หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
รายชื่อผู้ผ่านการสัมภาษณ์และมีสิทธิได้รับทุนภายใต้โครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech) ปีการศึกษา 2566
Announcement on the List of Applicants who Passed the 3rd Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Tokyo Tech Scholarship, Academic Year 2023, 3rd Round (English version) (Thai version) Announcement on the List of Applicants who Passed the 2nd Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Tokyo Tech Scholarship, Academic Year 2023, 2nd Round For Artificial Intelligence and Internet of Thing: AIoT Program and Sustainable Energy and Resources Engineering: SERE Program (English version)  (Thai version) Announcement on List of Applicants who Passed the 2nd Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Tokyo Tech Scholarship, Academic Year 2023, 2nd Round For Automotive and Advanced Transportation Engineering: A2TE Program (English version) (Thai version) Announcement on List of Applicants who Passed the 1st Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Tokyo Tech Scholarship, Academic Year 2023  (English version)  (Thai version)  
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ร่วมกับ บพข.  Kick off โครงการ “ยกระดับนวัตกรรมธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ/สมุนไพร (ไทย) สู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566-2568”
(21 มิ.ย. 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ห้อง CO-113 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ผู้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนิน “โครงการยกระดับนวัตกรรมธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ/สมุนไพร (ไทย) สู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566-2568” โดยมุ่งเป้าส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในธุรกิจสมุนไพร เพื่อยกระดับคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของสารสกัดจากสมุนไพรให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หรือ “สารสกัดมาตรฐาน (Standardized  Extract)” ซึ่งจะมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน จะสร้างโอกาสและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผู้เชี่ยวชาญภายใต้โครงการนี้ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ปี 2566 สวทช. ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้กำกับของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ให้ดำเนินโครงการ “โครงการยกระดับนวัตกรรมธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ/สมุนไพร (ไทย) สู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566-2568” โดย บพข. เป็น Key strategic partner สำคัญในการขับเคลื่อนการนำ วทน. เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านกลไกสนับสนุนในรูปแบบต่าง  ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ กลไกการพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise; IDEs) ขนาดใหญ่ พร้อมทั้งเอื้ออำนวยให้หน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้องผนึกกำลังทั้งด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ ให้ครอบคลุมและเกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในการสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรม สวทช. มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรผลงานวิจัย ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบ และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่าง ๆ เช่น ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ, pilot plant, green house, plant factory รวมทั้งมีเครือข่ายพันธมิตร เพื่อรองรับการยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพร ไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าสูง สวทช. ได้ทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมสมุนไพรมาอย่างต่อเนื่อง โดยทำหน้าที่เป็นคนกลาง (Intermediary Unit) เชื่อมโยงการทำงานวิจัยพัฒนา เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างผู้ให้บริการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรม (Innovation Business Development Service; IBDS) กับภาคธุรกิจอุตสาหกรรมสมุนไพร ซึ่งภายใต้โครงการนี้ สวทช.ร่วมกับ IBDs ทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ ได้แก่ บริษัท Build A Box จำกัด (บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการนวัตกรรม) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES) สวทช. เพื่อจัดทำแผนพัฒนานวัตกรรม ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับพื้นฐานของแต่ละบริษัท เพื่อนำไปใช้เป็นแผนที่นำทางในการยกระดับการสร้างนวัตกรรมของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ ทั้ง 6 บริษัท ไปสู่การเป็นองค์กรฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise: IDE) ที่ยั่งยืน โครงการนี้ฯ เป็นโครงการที่มีแผนการดำเนินงานระยะเวลา 3 ปี สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สมุนไพรไทยที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี ให้สามารถนำนวัตกรรมมาใช้ในการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDE) ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจสารสกัดของ SME ไทย สามารถพัฒนาคุณภาพของสารสกัดให้ได้รับมาตรฐานสารสกัด (Standardized Extract) รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้มากขึ้น จากข้อมูล บริษัทสำรวจข้อมูลทางการตลาดพบว่า การค้าปลีกผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลกในปี 2564 มีมูลค่า 54.96 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าการค้าปลีกผลิตภัณฑ์สมุนไพรสูงที่สุด เป็นอันดับ 1 มีมูลค่า 31.93 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ ภูมิภาคอเมริกาเหนือ (8.64 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) และภูมิภาคยุโรปตะวันตก (8.62 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทย มีมูลค่าสูงถึง 45.64 พันล้านบาท และคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร จะเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี และจะมีมูลค่าสูงถึง 59.5 พันล้านบาท ในปี 2569 มาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID – 19 ทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจและดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น “สมุนไพรไทยเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่า สะท้อนความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ และภูมิปัญญาของคนไทย มีความโดดเด่นในการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นต้น จึงเป็นอุตสาหกรรมฐานที่สำคัญของประเทศ ดังนั้น การให้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดแผนพัฒนาธุรกิจให้ชัดเจน รวมถึงงบประมาณในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้ง 6 ราย โดยใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจไปสู่ธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDE) จากผู้ผลิตวัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์แปรรูปขั้นต้นไปสู่การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ให้สามารถขยายธุรกิจและตลาดได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน มีรายได้เพิ่มขึ้นและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม การจัดงาน Kick off โครงการฯ ในวันนี้ นับเป็นการก้าวสำคัญในการแสดงความพร้อมของหน่วยงานพันธมิตรที่มุ่งมั่นร่วมมือผลักดันตามแผนงานของโครงการฯ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพร และมีความยั่งยืนตามแนวทาง BCG Economy Model ต่อไป” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว ทั้งนี้ภายในงานยังมีการบรรยายพิเศษจาก รศ.ดร.สิรี ชัยเสรี ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในหัวข้อเรื่อง บทบาทของ บพข. ในการขับเคลื่อนผู้ประกอบการด้วย วทน. นางจินทิรา ยิมเรวัติ วิวัฒน์รัตน์ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่ม Innovation Driven Enterprise: IDE บรรยายเรื่อง แผนงาน IDE สนับสนุนผู้ประกอบการไทย สู่องค์กรฐานนวัตกรรม มุ่งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท ร่วมกับ ภญ.ดวงกมล ภักดีสัตยพงศ์ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบ กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) บรรยายเรื่อง อย. กับการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพร : การพัฒนาและรับรองสารสกัดสมุนไพร และ ดร.สัญชัย เอกธวัชชัย ที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. หัวหน้าโครงการ ฯ บรรยายถึงบทบาทของ สวทช. และแผนงานของโครงการยกระดับนวัตกรรมธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ ธรรมชาติ/สมุนไพร (ไทย) สู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566-2568” พร้อมด้วยความคาดหวังโครงการ IDE ในการช่วยยกระดับขีดความสามารถธุรกิจสมุนไพรจากมุมมองผู้ประกอบการ โดย ภก.ศรัณย์ แจ้วจิรา นายกสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Facebook Live: “พิธีมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ”
กำหนดการ “พิธีมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ” ในพื้นที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตบางพลัด จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการความร่วมมือ โครงการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับให้บริการสาธารณะในประเทศไทย วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566 เวลา 09:00 – 11:00 น. ณ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง   9:00 – 9:05 พิธีกร ดร.นุวงศ์ ชลคุป กล่าวต้อนรับ 9:05 – 9:15 ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) / ผู้แทน สวทช. กล่าวรายงาน 9:15 – 9:45 กล่าวแสดงความยินดีกับโครงการ โดย H.E. Georg Schmidt เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย (หรือผู้แทน) Ms. Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทย Dr. Mushtaq Memon ผู้ประสานงานฝ่ายประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร สำนักงานเอเชีย แปซิฟิก โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) รองผู้ว่าการฯ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คุณสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี คุณเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร 9:45 – 10:00 ถ่ายภาพหมู่ 10:00 – 10:30 การเสวนาพิเศษ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและความสำคัญในการเดินทางสาธารณะ โดย ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ / ผู้แทน สวทช. คุณสมศักย์ ปรางทอง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารด้านการใช้ไฟฟ้าและกิจการเพื่อสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) Mr. Li Yao President of the Dongguan Tailing Electric Vehicle Co., Ltd. คุณอารีรัตน์ ศรีประทาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะสตาเลียน จำกัด ดำเนินการเสวนา โดย ดร.นุวงศ์ ชลคุป    10:35 – 10:50 พิธีมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ณ บริเวณวงเวียนน้ำพุ หน้าศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง    10:50 – 11:00 ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน  
ปฏิทินกิจกรรม
 
เปลี่ยน ‘ลิกนิน’ ของเสียอุตสาหกรรมกระดาษ สู่สารสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดปล่อยคาร์บอนใน ‘ผลิตภัณฑ์พลาสติก’
For English-version news, please visit : Lignin recovered from paper industry gets utilized in plastic manufacturing   ‘ลิกนิน’ เป็นสารประกอบในวัตถุดิบชีวมวลที่อุตสาหกรรมกระดาษจำเป็นต้องกำจัดออก เพราะเป็นสารที่ส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์กระดาษ ทั้งด้านสี ผิวสัมผัส และการทนทานต่อความชื้น ซึ่งสารปริมาณมหาศาลนี้มักมีจุดจบเพียงการเป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานเท่านั้น เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดลู่ทางการใช้ประโยชน์ที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และพันธมิตร พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ ‘สารลิกนิน’ ที่ได้จากกระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยเทคนิคออร์แกโนโซลฟ์ (Organosolv process) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทีมวิจัยและบริษัทร่วมกันพัฒนาขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อให้การผลิตผลิตภัณฑ์กระดาษมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยผลิตภัณฑ์สารสกัดลิกนินที่ได้จากการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยวิธีการนี้มีจุดเด่นสำคัญที่แตกต่างจากกระบวนการทั่วไปซึ่งใช้สารเคมี คือ การคงไว้ซึ่งคุณสมบัติการดูดกลืนรังสียูวี การต้านทานสารอนุมูลอิสระ และความบริสุทธิ์ของสาร ซึ่งเหมาะแก่การใช้เป็นสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ปัจจุบันการวิจัยอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาแนวทางเพื่อการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลาสติกแล้ว   [caption id="attachment_44175" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชญานนท์ โชติรสสุคนธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ชญานนท์ โชติรสสุคนธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช. เล่าว่า โดยทั่วไปการผลิตกระดาษชนิดที่ต้องควบคุมสี ผิวสัมผัส รวมถึงการทนทานต่อความชื้น เช่น กระดาษฟอกขาวสำหรับงานพิมพ์ โรงงานจะกำจัดสารลิกนินที่อยู่ในวัตถุดิบชีวมวล (ประมาณร้อยละ 20-30)  ออกตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยกระบวนการทางเคมี หลังจากนั้นจะบำบัดลิกนินออกจากน้ำดำหรือน้ำเสียจากการผลิตกระดาษก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติเพื่อป้องกันการเกิดมลพิษ หรือบางโรงงานอาจแยกสารลิกนินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าหล่อเลี้ยงกระบวนการผลิตต่อไป อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ค่อนข้างก่อให้เกิดมูลค่าต่ำ     “เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างเต็มประสิทธิภาพ และได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษจากวัตถุดิบชีวมวลด้วยเทคนิคออร์แกโนโซลฟ์ที่ให้ประโยชน์ 2 ต่อขึ้น ประโยชน์ด้านแรกคือเป็นกระบวนการผลิตที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้านที่สองคือเป็นกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสารลิกนินจนเสียคุณสมบัติเด่นตามธรรมชาติ ทำให้สารลิกนินที่เคยเป็นของเสียหรือสารมูลค่าต่ำกลายเป็นสารที่มีมูลค่าสูงขึ้น เหมาะแก่การใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งภายหลังจากการสกัดสารลิกนินออกมาแล้ว จะมีการปรับขนาดโมเลกุลให้เหมาะสม แยกสิ่งเจือปนออก เพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์พร้อมใช้งาน”   [caption id="attachment_44176" align="aligncenter" width="400"] กระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษ[/caption]   [caption id="attachment_44177" align="aligncenter" width="400"] กระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษ[/caption]   [caption id="attachment_44178" align="aligncenter" width="400"] สารลิกนิน (Lignin)[/caption]   สำหรับอุตสาหกรรมแรกที่ทีมวิจัยมุ่งนำผลิตภัณฑ์สารสกัดลิกนินที่ได้ไปใช้เจาะตลาด คือ ‘พลาสติก’ เพราะประเทศไทยมีผู้ผลิตในอุตสาหกรรมนี้มากหลักพันราย สารชนิดนี้ตอบโจทย์ได้ทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความกรีนให้แก่ผลิตภัณฑ์ เหมาะแก่การเริ่มต้นขยายฐานลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง ดร.ชญานนท์ เล่าว่า ขณะนี้ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการนำสารลิกนินที่สกัดจากอุตสาหกรรมกระดาษมาใช้เสริมคุณสมบัติเด่นให้กับพลาสติกหลายประเภทที่นิยมใช้งานในประเทศอย่าง PE, PP, HDPE และ LLDPE ทั้งชนิดที่ใช้เม็ดพลาสติกจากปิโตรเลียมและชนิดที่ใช้ไบโอพลาสติกเป็นส่วนผสมแล้ว ตัวอย่างเด่นของการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้งานภายนอกอาคาร โดยนำคุณสมบัติป้องกันรังสียูวีของลิกนินมาช่วยปกป้องเนื้อพลาสติกไม่ให้กรอบและแตกก่อนเวลาอันควร การใช้ลิกนินเป็นสารให้สีเอิร์ทโทนหรือสีเฉดน้ำตาลกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมทดแทนการใช้สีเคมีที่ผลิตจากออกไซด์ของโลหะ โดยปรับเฉดสีได้ตามต้องการ การเพิ่มคุณสมบัติยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการป้องกันการส่องผ่านของรังสียูวีให้แก่ผลิตภัณฑ์ฟิล์มห่อหุ้มอาหารเพื่อช่วยยืดอายุอาหารสดลดอัตราการเน่าเสีย ทำให้วางจำหน่ายได้ยาวนานขึ้น   [caption id="attachment_44173" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างเฉดสี[/caption]   “ทั้งนี้ล่าสุดทีมวิจัยได้พัฒนาการใช้ลิกนินเป็นสารประกอบเชิงหน้าที่ในพลาสติก PLA หรือพลาสติกที่ใช้ในการขึ้นรูปเส้นพลาสติก (PLA filament) เพื่อใช้ในงานพิมพ์สามมิติ (3D Printing) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ ผลิตภัณฑ์นี้ใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติทุกประเภท งานพิมพ์ที่ได้จะมีโทนสีน้ำตาลทอง โปร่งแสง แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไป สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจการประยุกต์ใช้ลิกนินเป็นสารเติมแต่งเชิงหน้าที่ในผลิตภัณฑ์พลาสติก สามารถนำแบบชิ้นงานมาทดลองขึ้นต้นแบบด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิตินี้ ก่อนตัดสินใจลงทุนพัฒนาแม่พิมพ์สำหรับรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไปได้”   [caption id="attachment_44174" align="aligncenter" width="500"] ตัวอย่างงานพิมพ์สามมิติ[/caption]   ผลดีจากการพัฒนากระบวนการสกัดลิกนินเพื่อประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่เพียงเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้ง ลดต้นทุน และสร้างความโดดเด่นให้แก่สินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เท่านั้น การนำสารลิกนินซึ่งเป็นของเสียจากอุตสาหกรรมกระดาษไปใช้ประโยชน์ ยังช่วย ‘ลดการปลดปล่อยคาร์บอน’ สู่ชั้นบรรยากาศได้เป็นอย่างดี ดร.ชญานนท์ อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า การนำสารลิกนิกไปเผาทั้งเพื่อกำจัดขยะและผลิตไฟฟ้าโดยไม่มีกระบวนการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจากการเผามาใช้ประโยชน์ต่อ จะทำให้เกิดการปลดปล่อยคาร์บอนจากลิกนินสู่ชั้นบรรยากาศ แต่หากนำสารลิกนินมาใช้ประโยชน์โดยคงสภาพของสารประกอบไว้ จะเป็นการกักเก็บคาร์บอนไว้ในสารดังเดิม ช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุโลกร้อนได้เป็นอย่างดี โดยผู้ประกอบการสามารถใช้ตัวเลขการกักเก็บคาร์บอนหักลบค่าการปลดปล่อยคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products: CFP) เพื่อประโยชน์ทั้งด้านการลดภาษีคาร์บอนและการเพิ่มจุดขายเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผลิตภัณฑ์ได้ด้วย ผลงานวิจัยนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการทำวิจัยที่ครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการจัดการสารส่วนเกินในอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงการพัฒนาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม ช่วยให้ผู้ประกอบการทั้งในภาคอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ พลาสติก รวมถึงประเภทอื่น ๆ ได้เห็นถึงแนวทางบูรณาการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ ในการร่วมกันสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งด้านกระบวนการสกัดสารลิกนินและการนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลาสติก ผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อได้ที่คุณตะวัน เต่าพาลี ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อีเมล tawan.tao@biotec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัวโครงการ RIAN พร้อม MOU ร่วม 5 หน่วยงาน ตั้งเป้าหนุนเกษตรกร 30,000 ราย มีโอกาสเข้าถึงนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ
For English-version news, please visit : NSTDA joins the launch event of Thailand RAIN project, entering an MOU to implement climate-smart agriculture (21 มิ.ย. 66) ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ - องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล โดยกระทรวงการเกษตร รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เปิดโครงการเครือข่ายนวัตกรรมด้านการเกษตรประจำภูมิภาค (Regional Agriculture Innovation Network - RAIN) หรือโครงการเรน เพื่อสนับสนุนให้มีการใช้งานนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ (climate smart innovations - CSI) เพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และขยายการค้าขายในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผ่านการสร้างศูนย์นวัตกรรมด้านภูมิอากาศ พร้อมลงนามความร่วมมือกับ 5 พันธมิตรไทยและต่างชาติ เดินหน้านวัตกรรมด้านเกษตร โดยไบโอเทค-สวทช. เป็น 1 ในพันธมิตรที่จะมีความร่วมมือด้าน “สนับสนุนการขยายผลนวัตกรรมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มีส่วนช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและเพิ่มโอกาสเชิงพาณิชย์” โดยพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางเกว็นโดลิน คาร์ดโน อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย พร้อมด้วยนายวิลเลียม สปาร์คส์ ผู้อำนวยการโครงการ RAIN ดร.เจือจันทร์ ตั้งเติมทอง ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคโครงการ RAIN ผู้บริหารจากทั้ง 5 หน่วยงานที่ร่วม MOU ซึ่งมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค ร่วมในพิธีเปิด นายวิลเลียม สปาร์กส์ ผู้อำนวยการโครงการ RAIN ให้คำมั่นว่า ภายในปี พ.ศ. 2570 โครงการเรนจะทำการส่งเสริมให้เกษตรกรจำนวน 30,000 คน ได้มีการนำนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ 30 ชนิด ซึ่งจะส่งผลช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าได้ปริมาณ 76,000 ตัน ทั้งนี้ โครงการเรนจะมุ่งเน้นการทำงานกับพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ลำไย ทุเรียน มะพร้าว และมังคุด นอกจากนี้ โครงการเรน ยังสนับสนุนการริเริ่มศูนย์นวัตกรรมด้านภูมิอากาศนานาชาติสำหรับภาคการเกษตร แห่งแรกที่จะจัดตั้งขึ้นนอกประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่ศูนย์นวัตกรรมฯ ดังกล่าว จะได้มีการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องการเกษตรและการป่าไม้เท่าทันภูมิอากาศ และยังมีส่วนช่วยในการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศในระดับโลกด้วยเช่นกัน ในงานเปิดตัวโครงการเรน มีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างองค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล และพันธมิตรที่มีความโดดเด่นทั้งไทยและต่างชาติจำนวนทั้งสิ้น 5 องค์กร ได้แก่ 1) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประเด็นความร่วมมือ: สนับสนุนการขยายผลนวัตกรรมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มีส่วนช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและเพิ่มโอกาสเชิงพาณิชย์ 2) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ประเด็นความร่วมมือ: การส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และขยายโอกาสทางการขาย 3) บริษัท ซีพีเอส อะกริ จำกัด ประเด็นความร่วมมือ: การขยายการใช้งานและการบูรณาการของข้อมูลด้านภูมิอากาศในเทคโนโลยีด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ผลิตข้าว มันสำปะหลัง และพืชสวน 4) บริษัท ฮาร์มเลส ฮาร์เวสต์ จำกัด ประเด็นความร่วมมือ: การขยายการนำแนวทางการเกษตรฟื้นฟูและเท่าทันภูมิอากาศสำหรับภาคการผลิตและการแปรรูปมะพร้าวที่ส่งผลดีต่อทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม 5) ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการวิจัยและบัณฑิตศึกษาด้านการเกษตร (SEARCA) ประเด็นความร่วมมือ: การเร่งให้การเกิดเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานโดยผ่านนวัตกรรมด้านการเกษตรและการขยายผลเทคโนโลยีเท่าทันภูมิอากาศที่จะช่วยเพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และขยายโอกาสทางการขาย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยถึงประเด็นความร่วมมือครั้งนี้ว่า สวทช. โดยไบโอเทค ร่วมกับ ม.เกษตรศาสตร์ ดำเนินโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลสำหรับประเทศลุ่มน้ำโขง มาตั้งแต่ปี 2547 เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลในการคัดเลือกพันธุ์ (Marker Assisted Selection; MAS) มาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวในปัจจุบันของประเทศในเขตลุ่มน้ำโขง โดยเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยหน่วยปฏิบัติการค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว (Rice Gene Discovery Unit) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยร่วมระหว่าง ไบโอเทค สวทช. และ ม.เกษตรศาสตร์ มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น กรมการข้าว ม.ขอนแก่น ม.อุบลราชธานี Department of Agricultural Research หรือ DAR จากเมียนมา National Agriculture and Forestry Research Institute หรือ NAFRI จาก สปป.ลาว โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ม.เกษตรศาสตร์ สวทช. และ Generation Challenge Program ในการจัดฝึกอบรมภาคปฏิบัติที่สถานที่วิจัยเพื่อพัฒนาบุคลากรและการทำงานวิจัยร่วมกัน ตลอดจนการให้ทุนการศึกษาทั้งระดับปริญญาโท และปริญญาเอก เพื่อให้นักศึกษาและนักวิจัยนำเอาความรู้และเทคโนโลยีกลับไปปรับปรุงพันธุ์ข้าวของประเทศตัวเองต่อไป สวทช. ได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนพัฒนางานวิจัยด้านมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่งานวิจัยต้นน้ำ เช่น เทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์สะอาด เช่น ระบบการสร้างต้นพันธุ์มันสำปะหลังสายพันธุ์ไทยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การพัฒนาแนวทางการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังจากต้นพันธุ์ปลอดโรคอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี mini stem cutting และการพัฒนาต้นแบบชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test สำหรับตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง เป็นต้น งานวิจัยกลางน้ำ เช่น การวิเคราะห์ฐานข้อมูลค่ามาตรฐานกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากรการผลิตของอุตสาหกรรมแป้งมันสาปะหลังไทย และงานวิจัยปลายน้ำ เช่น ต้นแบบผลิตภัณฑ์ช้อน ส้อม และมีดไบโอพลาสติก ต้นแบบวัสดุทดแทนไม้ธรรมชาติจากเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่มันสำปะหลัง และพัฒนากระบวนการผลิตฟลาวมันสำปะหลังระดับอุตสาหกรรมจากมันสำปะหลังชนิดขมที่มีปริมาณไซยาไนด์สูง พร้อมทั้งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตฟลาวมันสำปะหลังให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง ได้แก่ บริษัท ชอไชยวัฒน์อุตสาหกรรม จำกัด ภายใต้แบรนด์ Sava) และ บริษัท อุบลซันฟลาวเวอร์ จำกัด (UBS) ภายใต้แบรนด์ Tasuko นอกจากนี้ สวทช. โดยเนคเทค ยังมีทีมวิจัยด้านการเกษตรประมาณ 30 คนที่คอยวิจัยและพัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนเกษตรกรปัจจุบัน Smart Farm หลายแห่งได้เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี IoT ติดตั้งเซ็นเซอร์ และจัดทำระบบวัดค่าแสดงผล รวมไปถึงการสร้างระบบควบคุมผ่าน Smart Device เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถบริหารจัดการ และเฝ้าดูสถานการณ์รอบ ๆ แปลงเพาะปลูกได้ ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว เช่น Agri-Map ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก: แพลตฟอร์มเป็นเสมือนมือขวาของเกษตรกร เพื่อช่วยบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ ทั้งนี้ ได้รวบรวมข้อมูลทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สภาพพื้นดิน แหล่งน้ำ อากาศ และสามารถนำมาวิเคราะห์หาพืชที่นำมาทดแทนในแปลงของเกษตรกรได้ จัดทำฐานข้อมูลของการเกษตรโดยครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทย ทำให้เกิดความเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโต และปริมาณของผลผลิต ได้แก่ ปริมาณ สัดส่วน และช่วงเวลาของธาตุอาหารที่พืชต้องการ ของแต่ละสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป สภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อศักยภาพการเติบโต ปริมาณน้ำตามความต้องการของต้นพืช ข้อจำกัดเหล่านี้สามารถใช้ข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ใช้ในการวางแผน บริหารจัดการ เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตได้ ซึ่งสามารถใช้งานได้ผ่านทางแอปพลิเคชันมือถือและบนเว็บไซต์ องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นองค์การพัฒนาที่มีความโดดเด่นทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและระดับสากล ที่มุ่งเสนอทางออกสำหรับความท้าทายสำคัญของโลกในด้านสังคม เกษตรกรรม และสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบัน องค์การฯ มีการดำเนินงานกว่า 140 โครงการใน 46 ประเทศ ทั้งนี้ องค์การฯ มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2497 โดยงานภายในประเทศในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีการให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยแก๊ซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และภาคการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมไปถึงงานด้านการลดปัญหาการค้ามนุษย์
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ลุยพื้นที่ EECi จัดค่ายเฉพาะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นกิจกรรมฝึกทักษะปฏิบัติการ นวัตกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ 
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ , ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล สถาบันวิทยสิรเมธี (VISTEC)  ร่วมกันจัดกิจกรรมค่ายเฉพาะทางสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมี สพฐ. อบจ.ระยอง เทศบาลนครแหลมฉบัง เมืองพัทยา โรงเรียนเอกชน จ.ชลบุรี  สนง.ศึกษาธิการ จ.ระยอง และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)  ร่วมส่งน้อง ๆ ระดับชั้น ม. 1 - 3 จำนวน 200 คน จาก 14 โรงเรียน เข้าร่วมกิจกรรมค่าย EEC Innovation Youth Camp : เทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ WiMaRC เซนเซอร์เครือข่ายไร้สายและสร้างเซนเซอร์เตือน รดน้ำต้นไม้ด้วยตนเอง และฝึกปฏิบัติการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (FabLab) ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อีอีซีไอ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง และ กิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ ขยะอาหารกับภาวะโลกร้อน ณ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) จ.ระยอง นอกจากนั้น ยังได้  เยี่ยมชม โรงเรือนอัจฉริยะ (Smart Greenhouse) , ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน EECi และ โรงเรือนเทคโนโลยีขยะเพิ่มทรัพย์ (C-ROS) Cash Return from Zero Waste and Segregation of Trash ,VISTEC ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สายงานเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สวทช.นางสาวสุภาภรณ์ ศรอำพล ผอ.ฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และ ทีมนักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้  ถ่ายภาพร่วมกับคณะครูและนักเรียน กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเสริมประสบการณ์นอกห้องเรียนให้กับนักเรียน ได้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยและนวัตกรรมต่อการขับเคลื่อนการพัฒนา ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STEAM Education) และเตรียมกำลังคนให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor : EEC  ได้ต่อไป ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต้อนรับคณะครูและนักเรียน จากโรงเรียนในเขตพื้นที่ EEC และเปิดกิจกรรมค่าย EEC Innovation Youth Camp เทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ WiMaRC เซนเซอร์เครือข่ายไร้สาย โดย คุณมนตรี แสนละมูล นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบและเครือข่ายอัจฉริยะ , NECTEC “ไวมาก” เป็นนวัตกรรมพร้อมใช้ของเนคเทคที่รวมเทคโนโลยี IoT Cloud Platform ของ NETPIE และบอร์ดสมองกล เข้าด้วยกัน เป็นตัวช่วยในการมอนิเตอร์และควบคุมสภาวะที่มีผลต่อการทำเกษตรกรรม โดยจะทำการจัดเก็บ จัดการข้อมูล อย่างเป็นระบบเพื่อให้เกษตรกรจัดการแปลงเพาะปลูกได้อย่างถูกต้อง แม่นยำและเหมาะสม ไวมาก “WiMaRC” ย่อมาจาก Wireless sensor network for Management And Remote Control คือ ระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ ได้มีการนำไปใช้จริงในพื้นที่เกษตรสวนทุเรียนในจังหวัดระยอง กิจกรรมสร้างเซนเซอร์เตือนรดน้ำต้นไม้ด้วยตนเองและเรียนรู้ประโยชน์ของพืชไมโครกรีน โดยคุณจิดากาญจน์ สีหาราช นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ และ คุณปริญญา ผ่องสุภา  วิศวกร ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ในส่วนของกิจกรรมสร้างเซนเซอร์เตือนรดน้ำต้นไม้ มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกร ผ่านกิจกรรมจาก “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” ให้มีทักษะด้านวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถออกแบบและสร้างชิ้นงาน โดยการใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม และเครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ “กระบวนการสร้างชิ้นงานจากเครื่องตัดเลเซอร์” ผ่านการสร้างชุดเซนเซอร์แจ้งเตือนรดน้ำต้นไม้  เรียนรู้การต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย และรู้จักพืชจิ๋วไมโครกรีนที่ให้วิตามินสูง ปลูกง่าย และดีต่อสุขภาพ โดยเริ่มจากทำความรู้จักกับเครื่องตัดเลเซอร์ ต่อมาเป็นการวาดรูปด้วยโปรแกรม Inkscape เพื่อเปลี่ยนไอเดียของตนเอง ให้กลายเป็นเส้นร่างหรือเส้นเวกเตอร์ แล้วจึงนำไปตัดด้วยเครื่องตัดเลเซอร์ จากนั้นนำไปประกอบเข้ากับเซนเซอร์และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กลายเป็นชุดเซนเซอร์แจ้งเตือน รดน้ำต้นไม้ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง  กิจกรรมสถานการณ์ขยะ..สู่วิกฤตขยะอาหาร วิทยากรโดย ดร.ธัญญพร วงศ์เนตร สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมชีวโมเลกุล สถาบันวิทยสิรเมธี ดร.ภานุ พิมพ์วิริยะกุล ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และดร.ชัชฎาภรณ์ พิณทอง ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  กิจกรรม รู้จักขยะอาหาร (Food waste) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มขยะอินทรีย์ ซึ่งมีปริมาณมากถึง 64% ของขยะมูลฝอยทั้งหมด โดยขยะอินทรีย์มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นสารอินทรีย์ (มีธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลัก ๆ คือคาร์บอน ไนโตรเจน ไฮโดรเจน และออกซิเจน) ที่สามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการทางธรรมชาติ หากไม่มีการจัดการที่ถูกต้องจะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นจากการเน่าเสีย และส่งผลต่อสภาพแวดล้อมมากกว่าขยะประเภทอื่นๆ โดยทางทีมนักวิจัยจาก VISTEC มีต้นแบบแนวทางการแก้ไขปัญหาและการจัดการขยะอาหารด้วยการนำมาแปรรูปเปลี่ยนเป็นพลังงาน (Recovery) โดยนำเศษอาหารเหลือทิ้งมาหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์แบบไร้ออกซิเจน  (Anaerobic digestion)            ในถังหมักระบบปิด และได้ผลผลิตเป็นแก๊สมีเทน ซึ่งเป็นแก๊สที่นำมาใช้เป็นพลังงงานในการหุงต้มแทนแก๊ส LPG ได้ และได้น้ำหมักที่เกิดจากการย่อยสลายอย่างสมบูรณ์นำมาเป็นสารบำรุงพืชชีวภาพในรูปแบบของเหลวได้ต่อไปด้วย เด็กหญิงกชพร แก้วแปงจันทร์ ระดับชั้น ม.2 โรงเรียนกวงฮั้ว จ.ระยอง   เล่าว่า กิจกรรมที่ชอบมากที่สุดคือการออกแบบลวดลายบนแผ่นอะคริลิก มีโอกาสได้ใช้เครื่องเลเซอร์คัตเตอร์ และได้ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการออกแบบงานศิลปะควบคู่ไปด้วยกัน ได้รับความรู้และสนุกมาก  ในอนาคตอยากมาเข้าร่วมกิจกรรมอีก และอยากทำกิจกรรมเกี่ยวกับหุ่นยนต์หรือการควบคุมโดยใช้หุ่นยนต์ เด็กหญิงพิชญา พูลพิพัฒน์ ระดับชั้น ม.3 โรงเรียนกอัสสัมชัญ จ.ระยอง  บอกถึงความประทับใจที่ได้มาทำกิจกรรมเป็นการเปิดโลกใหม่ และเป็นครั้งแรกที่ได้มาที่ สถาบันวิทยสิริเมธี เห็นถึงความเจริญ ความพัฒนาของที่นี่ ประทับใจอย่างสอง คือตอนที่ได้ไปเดินชมตึก อาคารสถานที่ เป็นการเปิดโลกมาก ทำให้ทราบว่ามีสถานที่นี่อยู่ในจังหวัดตัวเองด้วย และความประทับใจในเรื่องกิจกรรม กิจกรรมดีทุกอย่าง ได้ความรู้ระยะเวลาเหมาะสมมาก วิทยากรนำเสนอและสอนได้ดีมาก  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดขุมพลังวิจัย ฟูดเซิร์ป (FoodSERP) “แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน” ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอางไทย
For English-version news, please visit : FoodSERP ready to serve clients in food and cosmeceutical industry (วันที่ 19 มิถุนายน 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (Service platform for food and functional Ingredients Group) พร้อมด้วยทีมวิจัย สวทช. เปิดบ้านให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์พิเศษ แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน หรือ ฟูดเซิร์ป FoodSERP ในกิจกรรม NSTDA Meets the Press พร้อมเข้าเยี่ยมชมแพลตฟอร์มบริการผลิตส่วนผสมฟังก์ชันอาหาร (Functional food Ingredients) โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค แพลตฟอร์มบริการผลิตเวชสำอาง (Cosmeceuticals) โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง และ รวมถึงบริการด้านวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ บนฐานความเข้มแข็งของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมส่วนผสมฟังก์ชัน อาหาร และเวชสำอางของประเทศ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (Service platform for food and functional Ingredients) สวทช. เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอาหาร คือหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศเป็นเม็ดเงินมหาศาล ด้วยความได้เปรียบของไทยที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ในขณะที่ทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารโลก มุ่งไปสู่อาหารใหม่ หรืออาหารฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันของไทย จึงได้ดำเนินการจัดตั้ง “แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน” หรือ “FoodSERP” เพื่อให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอาง รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สำหรับทดลองตลาดและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในรูปแบบ One-Stop Service ในผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ส่วนผสมฟังก์ชัน  2.โปรตีนทางเลือก 3.อาหารเฉพาะกลุ่ม และ 4.สารสกัดเชิงหน้าที่ โดยผ่านการดำเนินงานเชิงบูรณาการของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสหสาขา ความพร้อมของแพลตฟอร์มเทคโนโลยี เครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการขยายผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ “FoodSERP พร้อมให้บริการการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมภายใต้มาตรฐานสากล ได้แก่ โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค เป็นสถานที่ผลิตอาหาร ที่ได้รับมาตรฐานสากล Codex GHPs และ HACCP รวมถึงการดำเนินงานภายใต้แนวทางการปฏิบัติที่ดีในการใช้จุลินทรีย์ในระดับอุตสาหกรรม หรือ Good Industrial Large Scale Practice (GILSP) ในสภาพควบคุมระดับ LS1 ซึ่งรองรับการผลิตจากจุลินทรีย์ทั่วไปและจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม รวมถึงกระบวนการชีวภาพต่างๆ โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ให้บริการตั้งแต่การทดลองผลิตในสเกลขนาดเล็กเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง บริการขยายขนาดการผลิต และการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมด้วยมาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP” ดร.กอบกุล กล่าวต่อว่า นอกจากโรงงานต้นแบบแล้ว FoodSERP ยังมีบริการสำคัญที่จะช่วยยกระดับและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชันและเวชสำอาง ประกอบด้วย บริการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชันอาหาร สารสกัดจากพืชและสมุนไพร และเวชสำอาง สำหรับใช้ทดสอบประสิทธิภาพ ทดสอบทางคลินิก หรือทดลองตลาด รวมถึงการเตรียมข้อมูลวิเคราะห์ทดสอบและขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ บริการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนทางเลือกและอาหารเฉพาะบุคคล ด้วยเทคโนโลยีเอ็กซ์ทรูชัน และเทคโนโลยีการผลิตอาหารด้วยการพิมพ์ 3 มิติ บริการทดสอบประสิทธิภาพ คุณภาพและความปลอดภัยของส่วนผสมฟังก์ชันและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ การทดสอบประสาทสัมผัสเชิงโมเลกุลด้านการรับรสและกลิ่น การทดสอบเนื้อสัมผัสอาหาร และความหนืดของเครื่องดื่ม การทดสอบการย่อยและการดูดซึมของตัวอย่างทดสอบ ด้วยแบบจำลองระบบทางเดินอาหาร การทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพต่างๆ เช่น ชะลอวัย ต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระ ของส่วนผสม (ingredients) หรือผลิตภัณฑ์เวชสำอาง โดยใช้โมเดลผิวหนัง ทั้งในระดับเซลล์ (2D cells) เนื้อเยื่อผิวหนังสามมิติ (3D skin) และผิวหนังที่ได้จากอาสาสมัคร (ex vivo Skin) การทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพด้วยแบบจำลองปลาม้าลาย (zebrafish) การทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพด้วยแบบจำลองลำไส้แบบ 3 มิติ นอกจากนี้ยังมีบริการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อาหาร ผัก ผลไม้ และมีบริการการวิเคราะห์/ทดสอบสมบัติของบรรจุภัณฑ์พลาสติก สำหรับ FoodSERP จัดตั้งขึ้นในปลายปี 2565 โดยเป็นหนึ่งใน core business ของ สวทช. มีพันธกิจหลักในการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงความพร้อมด้านต่าง ๆ ไปสู่การใช้ประโยชน์จริงและส่งผลกระทบต่อประชาชนหมู่มากของประเทศ ผ่านการให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหาร เวชสำอาง และส่วนผสมฟังก์ชัน ตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะ (Tailor made) ของลูกค้า ในรูปแบบ One-stop service โดยทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหลากสาขา มีวิทยาการความรู้ (know-how) และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่พร้อมให้บริการ รวมถึงเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและมีมาตรฐานการผลิต ที่จะช่วยผู้ประกอบการในการพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม แก้ปัญหาต่าง ๆ ในห่วงโซ่การผลิต เพิ่มความพร้อมของเทคโนโลยี การวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งด้านประสิทธิภาพ คุณภาพและความปลอดภัย ตลอดจนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ รวมถึงสร้างความเชื่อมโยงในการดำเนินงานกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชัน และสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredients ) สมุนไพร และเวชสำอาง จากฐานทรัพยากรชีวภาพด้านการเกษตรและจุลินทรีย์ของประเทศ ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ อันจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ข้อมูลเพิ่มเติม www.nstda.or.th/foodserp 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เสริมแกร่งพลังสิบ ด้วยเทคนิคการจัดค่ายวิทยาศาสตร์จาก สวทช.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในรูปแบบค่ายวิทยาศาสตร์ หัวข้อ การอบรมเชิงปฏิบัติการแนวทางการพัฒนาค่ายวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนสำหรับวิทยากรแกนนำ โรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบระดับมัธยมศึกษา สำหรับครูในโครงการ 10 โรงเรียน จำนวน 60 คน ระหว่างวันที่ 1 - 4 มิถุนายน  2566  ณ ห้องบรรยาย 2  บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย กิจกรรมออกแบบเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เชิงปฏิบัติการ หรือจัดค่ายวิทยาศาสตร์ที่ส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ สร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจผ่านการลงมือปฏิบัติจริง สามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ที่ส่งเสริมให้ครูนำความรู้ ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมไปพัฒนาและจัดค่ายวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนตนเองได้ต่อไป โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวชลฤทัย ทวีแสง รองผู้อำนวยการสำนักบริหารงานความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา สพฐ. กล่าวเปิดการอบรม เริ่มการอบรมด้วยการบรรยาย โดย คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการฯ  ในหัวข้อ โรงเรียนนักจัดค่าย : เทคนิคการออกแบบและพัฒนาค่ายวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาผู้เรียน ต่อด้วย ตัวอย่างกิจกรรมบูรณาการค่าย สนุกคิดกับเกมคณิตศาสตร์ โดย อ.อรรถวุฒิ วงศ์ประดิษฐ์  ภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งแนะนำแนวทางประยุกต์ใช้กิจกรรม เชื่อมโยงสู่การออกแบบเชิงวิศวกรรมในโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) โดย นายปริญญา ผ่องสุภา วิศวกร โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. หลังจากนั้นเป็นตัวอย่างกิจกรรม “นักสืบวิทยาศาสตร์ ไขปริศนา...ผ่าคดี” เชื่อมโยงความรู้สู่การพัฒนากิจกรรมค่าย STEAM ในโรงเรียน นำเสนอแนวคิดในการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมค่าย โดย นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ชุดกิจกรรมประกอบด้วย กิจกรรมเสริมทักษะนักสืบ ใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์และตรรกะไขปริศนา โดย คุณกนกพรรณ เสลา หลักฐานที่ 1  ตามหารอยนิ้วมือ เรียนรู้เรื่องลายนิ้วมือ ลายนิ้วมือแฝง การพิมพ์ลายนิ้วมือ การเก็บลายนิ้วมือแฝง โดย คุณจิดากาญจน์ สีหาราช หลักฐานที่ 2 ปริศนาผงสีขาว ใช้กระบวนการวิเคราะห์ทางเคมี เพื่อทำการตรวจสอบผงปริศนา โดย คุณกรกนก จงสูงเนิน หลักฐานที่ 3 สารพันธุกรรมไขคดี เรียนรู้เกี่ยวกับลายพิมพ์ DNA (DNA Fingerprint) และฝึกแยกสารด้วยชุดสื่อการเรียนรู้จำลอง หลักการเคลื่อนที่ของสารบนเจลภายใต้สนามไฟฟ้า (Gel electrophoresis) โดย คุณสุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล ปิดท้ายวันแรกด้วย ตัวอย่างแนวทางการจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ นันทนาการสร้างสรรค์ทักษะนวัตกรรม วันที่ 2 เริ่มกิจกรรม ณ แหล่งเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ด้วยการบรรยายพิเศษ หัวข้อ การจัดกิจกรรมเสริมการศึกษาภายในพิพิธภัณฑ์ โดย ดร.สุภรา กมลพัฒนะ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการเรียนรู้ ศูนย์พัฒนาความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ ต่อด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า และกิจกรรมฝึกปฏิบัติการทางธรรมชาติวิทยา : สตัฟฟ์กุ้ง โดย นักวิชาการ ศูนย์บริหารคลังตัวอย่างทางธรรมชาติวิทยาและสัตว์สตัฟฟ์ สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ และกิจกรรมปฏิบัติการ Automata มหาสนุก เรียนรู้กลไกพื้นฐานของเฟือง ลูกเบี้ยว ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ทำให้เคลื่อนไหว ผ่าน 4D: Deconstruction – Discovery – Design and Make - Display โดย นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ กองส่งเสริมการเรียนรู้ศูนย์พัฒนาความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ วันสุดท้ายของการอบรม เป็นการบรรยายและกิจกรรมการเรียนรู้ หัวข้อ ส่องทักษะ ดึงสมรรถนะ ผู้เรียนจากการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ โดย รศ.ดร.ชาตรี  ฝ่ายคำตา  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อออกแบบแผนการจัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ พร้อมการนำเสนอจากทั้ง 10 โรงเรียน เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมอบรม “จากการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ทำให้โรงเรียนได้แรงบันดาลใจ ในการกลับไปจัดค่ายวิทยาศาสตร์ ในโรงเรียนของตนเอง โดยได้เห็นตัวอย่างการประยุกต์ปรับใช้อุปกรณ์ ต่างๆ ในการทำกิจกรรม ให้เหมาะสมกับผู้เรียน และตัวอย่างการดึงนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์มาออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมกับบริบทโรงเรียนได้เป็นอย่างดี” จากคุณครู รร.ระยองวิทยา
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ณ โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน จ. อุดรธานี
วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๔.๓๐ น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเทพภูเงิน อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ทรงติดตามโครงการตามพระราชดำริ ซึ่งกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๒๔ ดำเนินงานสนองพระราชดำริ ที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเทพภูเงิน อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเปิดสอนชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ มีนักเรียน ๔๔ คน และได้ทอดพระเนตรความก้าวหน้า “โครงการจัดการน้ำบริโภค โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเทพภูเงิน จังหวัดอุดรธานี” ภายใต้ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดําริ ฯ ดร. ทินสิริ ศิริโพธิ์ กรรมการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดําริ ฯ ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัยไบโอเทค สวทช. ดร.จามร เชวงกิจวณิช นักวิจัยนาโนเทค สวทช. และนางสาวธัญญ์ณัช บุษบงค์ สำนักงานประสานงานโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ สวทช. พร้อมทั้งผู้บริหารหน่วยงานเครือข่ายกว่า ๙ หน่วยงาน ได้แก่ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อธิบดีกรมป่าไม้ รองเลขาธิการสำนักงาน กปร. เกษตรจังหวัดอุดรธานี ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรบาดาลที่ ๑๐ อุดรธานี ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ ๘ อุดรธานี อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และนักวิจัยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เฝ้ารับเสด็จ ซึ่งเป็นการร่วมดำเนินงานแก้ไขปัญหาน้ำตามที่มีพระราชกระแส เมื่อปี ๒๕๖๑ โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน จ. อุดรธานี โดยที่ผ่านมา มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานเครือข่าย ให้ความช่วยเหลือด้านน้ำให้แก่โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน และชุมชนบ้านเทพภูเงิน อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ – ปัจจุบัน สามารถแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำ น้ำบริโภคและอุปโภคของโรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน และชุมชนใกล้เคียง ตามพระราชดำริฯ ได้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้แล้ว กล่าวคือ มีน้ำอุปโภคบริโภคที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ และการไม่มีสารกำจัดวัชพืชปนเปื้อน ชุมชนบ้านเทพภูเงินสามารถทำการปลูกพืชสมุนไพรได้ และได้วางแผนดำเนิน “โครงการการจัดหาแหล่งน้ำ น้ำอุปโภคบริโภคให้แก่ โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน จ. อุดรธานี และ ชุมชนบ้านเทพภูเงิน จ.อุดรธานีระยะที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๖๖ - ๒๕๗๐)” เพื่อให้เกิดความยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑ การตรวจสอบ การทำงานการบำรุงรักษาและการตรวจมาตรฐานคุณภาพน้ำเพื่อความปลอดภัยของระบบจัดการน้ำอุปโภคบริโภค โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน และชุมชนรอบโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอตามรอบเวลาที่สมควร ๒.ช่วยเหลือชาวบ้านชุมชนบ้านเทพภูเงิน ให้มีแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยการปรับปรุงเพิ่มเติมฝายรับน้ำเพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพน้ำไปถึงชุมชนเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรพื้นฐาน สนับสนุนการทำเกษตรพื้นฐาน การปลูกพืชสมุนไพรและการช่วยเหลือด้านการตลาดเพื่อให้มีรายได้เพิ่มเติมจากการเกษตรพื้นฐาน และ สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนการทำสวนยางให้เป็นป่ายาง
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ ยกระดับอุตสาหกรรมชีวเวชภัณฑ์ไทยสู่สากล
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดอาคาร "โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ" (NBF : National Biopharmaceutical Facility) ต้อนรับคณะนักวิจัยไทยและต่างชาติ รวมทั้งคณะสื่อมวลชน เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ภายในโรงงานต้นแบบ ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย สามารถต่อยอดงานวิจัยด้านยาชีววัตถุจาก Lab-scale สู่ Pilot-scale ในเชิงพาณิชย์ สำหรับรองรับอุตสาหกรรมชีวเวชภัณฑ์ของประเทศไทย
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน รับรางวัล Ajinomoto – FoSTAT Awards นักวิจัยดีเด่น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ประจำปี 2566
(15 มิถุนายน 2566) ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ: ดร. จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ในโอกาสได้รับรางวัล Ajinomoto - FoSTAT Awards นักวิจัยดีเด่น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ประเภท Outstanding Food Scientist Award ประจำปี 2566 จากผลงานเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต functional ingredients สำหรับการประยุกต์ใช้ในอาหารและอาหารสัตว์ (Development of functional ingredient industry for food and feed application) โดยมี รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ประธานกรรมการมูลนิธิอายิโนะโมะโต๊ะ เป็นผู้มอบรางวัล ภายในงาน Food Innovation Asia Conference 2023 ทั้งนี้รางวัลดังกล่าวมูลนิธิอายิโนะโมะโต๊ะ ร่วมกับ สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย จัดโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อมอบรางวัลให้นักวิจัยดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร ที่มีการพัฒนาผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องและประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร พร้อมทั้งเชิดชูเกียรตินักวิจัยที่อุทิศตนเป็นแบบอย่างที่ดี โดยพิจารณาจากผลงานวิจัยที่ส่งข้อเสนอโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ลุยพัฒนา-สร้างมาตรฐาน “แพ็กแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบสับเปลี่ยนได้” หนุนไทยเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน
  วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาขาดแคลนพลังงานที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ คือแรงขับดันให้เกิดการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเป็นตัวเร่งให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่ประเทศไทยตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมทั้งเตรียมปักหมุดเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรหลายภาคส่วนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “แพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เพื่อเร่งยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและขับเคลื่อนไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียนตามเป้าหมายนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของรัฐบาล   [caption id="attachment_43978" align="aligncenter" width="700"] ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงานสะอาด เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงานสะอาด ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ มีแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศด้วยนโยบาย 30@30 คือตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในประเภทของยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความสนใจในการพัฒนาเพื่อให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้สนใจใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในไทยเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2565 ตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเติบโตถึง 100% โดยมียอดจดทะเบียนใหม่ประมาณ 7,300 คัน แต่ยังถือเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนรถจักรยานยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในประเทศกว่า 2 ล้านคันต่อปี เนื่องจากมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ายังมีราคาสูงและยังไม่ตอบสนองความต้องการการใช้งานได้เต็มรูปแบบ “ในประเทศไทยและอาเซียนมีการใช้งานมอเตอร์ไซค์เป็นจำนวนมาก เฉพาะประเทศไทยมีผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์มากถึง 21 ล้านคัน และมีการใช้งานที่หลากหลายทั้งบริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ และบริการส่งผู้โดยสาร ในขณะที่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าก็มีความหลากหลายเช่นกัน อีกทั้งพลังงานของแบตเตอรี่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองการใช้งานได้ในระยะการขับขี่แต่ละรอบเวลาการบริการ โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน และยังมีข้อจำกัดด้านเวลาที่ใช้ในการเติมพลังงาน โดยอาจใช้เวลาอย่างต่ำ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ไม่สะดวกต่อผู้ใช้งาน จึงเกิดแนวคิดการสับเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ หรือ battery swapping โดยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งใกล้เคียงกับการเติมน้ำมัน” “อย่างไรก็ตาม การสับเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในปัจจุบันยังจำกัดอยู่เพียงการสับเปลี่ยนภายในมอเตอร์ไซค์จากผู้ประกอบการรายเดียวเท่านั้น เนื่องจากไม่มีข้อกำหนดกลางด้านรูปแบบผลิตภัณฑ์แพ็กแบตเตอรี่และสถานีประจุไฟฟ้า เราจึงเริ่มทำโครงการวิจัยพัฒนารูปแบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่สลับเปลี่ยนใช้งานได้เมื่อแบตเตอรี่หมดและอยู่ระหว่างการชาร์จ เพื่อสร้างมาตรฐานของแพ็กแบตเตอรี่และสถานีชาร์จ ให้ใช้ได้กับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหลายรุ่น หลายผู้ผลิต รวมถึงสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ข้ามสถานีกันได้” ทั้งนี้ โครงการวิจัยและพัฒนาแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับบริษัทเบต้า เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด, บริษัทจีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัทไอ-มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด, บริษัทกริดวิซ (ประเทศไทย) จำกัด และสวทช. โดยวิจัยและพัฒนาร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและมหาวิทยาลัยขอนแก่น     ปัจจุบันทีมวิจัยได้ต้นแบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ผ่านมาตรฐานระดับสากลแล้ว 1 รุ่น ต้นแบบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 2 รุ่น 2 ยี่ห้อ รวม 15 คัน และต้นแบบตู้สับเปลี่ยนแบตเตอรี่ 3 รุ่น รวม 3 ตู้ สำหรับติดตั้งที่สถานีชาร์จ 3 แห่ง ได้แก่ บริเวณหน้าศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จ.ปทุมธานี ปั๊มน้ำมันบางจาก เอกมัย-รามอินทรา คู่ขนาน 4 กรุงเทพมหานคร และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง จ.นนทบุรี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการทดสอบการใช้งานภาคสนาม เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับจัดทำข้อเสนอแนะความเป็นไปได้ในการพัฒนาแพล็ตฟอร์มสำหรับประเทศไทยต่อไป     ดร.พิมพา บอกถึงข้อดีของการมีแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานว่าจะทำให้เราสามารถผลิตแพ็กแบตเตอรี่รูปแบบเดียวที่ใช้ได้กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นหลายผู้ผลิต รวมถึงใช้งานสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้หลากหลายผู้ให้บริการ เกิดการร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐานของสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ ลดราคาการติดตั้งสถานีหลายรุ่นหลายแห่ง เพิ่มความสะดวกในการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้แก่ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และผู้ขับขี่ยังเข้าถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ล่าสุดที่สถานีสับเปลี่ยนได้ และที่สำคัญคือช่วยให้ราคาต้นทุนของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและแพ็กแบตเตอรี่ลดลง “เมื่อเรามีมาตรฐานทางเทคนิคกลางระหว่างแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ตู้ประจุไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศไทย จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ให้บริการด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และตู้ประจุไฟฟ้าในแต่ละราย ดำเนินการระหว่างกันได้ผ่านมาตรฐานกลางที่กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการผลิต การถือครองมอเตอร์ไซค์ แพ็กแบตเตอรี่และสถานีประจุไฟฟ้า และจะส่งผลให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าแพร่หลายมากขึ้น มีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานในราคาที่ถูกลง แบตเตอรี่ที่สิ้นสุดการใช้งานจากมอเตอร์ไซค์อาจจะมีการนำไปใช้ต่อได้หรือจะถูกจัดการได้ง่ายขึ้น ลดการปล่อยมลพิษ และที่สำคัญคือเราได้องค์ความรู้ที่จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของประเทศ เกิดการสร้างตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน สามารถต่อยอดให้เกิดอุตสาหกรรมและบริการรูปแบบใหม่ตามมาอีกมากมาย” ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงวิจัยพัฒนาเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างคนสร้างองค์ความรู้ที่จะเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมให้แก่ประเทศ     เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น