หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
‘Thai School Lunch’ แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันให้นักเรียนไทย ถูกหลักโภชนาการ รายงานโปร่งใส ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
  หนึ่งในมาตรการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้เด็กไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2530 คือ การจัดเตรียมอาหารกลางวันให้นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษารับประทานทุกวันที่มาโรงเรียน เพื่อให้พวกเขาได้รับสารอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตและการเรียนรู้ ซึ่งหากพิจารณาเพียงเฉพาะด้านพลังงาน การจัดเตรียมอาหารทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วการจัดสำรับอาหารให้เด็กมีปัจจัยที่จะต้องพิจารณาหลายส่วน ทั้งคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมตามวัย สำรับอาหารที่ไม่จำเจ และการควบคุมรายจ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่ได้รับ โดยภารกิจเหล่านี้มักตกเป็นภาระหน้าที่เสริมของครูกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้พวกเขาอาจไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี้มาก่อนเลยก็ตาม     กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนา ‘Thai School Lunch’ แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันให้นักเรียนไทย โดยเปิดให้บริการแก่สถานศึกษาทั่วประเทศแล้วตั้งแต่ปี 2555 และพัฒนายกระดับแพลตฟอร์มต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน   Thai School Lunch ระบบจัดสำรับอาหารคุณภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระครู จุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบ Thai School Lunch มาจากนักวิจัย เนคเทค สวทช. และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เล็งเห็นว่าการจัดสำรับอาหารที่เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละช่วงวัย รวมทั้งการจัดทำอาหารให้นักเรียนจำนวนมากตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันคนเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก อีกทั้งยังเป็นภาระงานที่ค่อนข้างหนักสำหรับครู จึงได้บูรณาการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางออกแบบและพัฒนาระบบ Thai School Lunch แพลตฟอร์มออนไลน์ที่จะช่วยให้ครูจากทุกสถาบันการศึกษาภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดสำรับอาหารคุณภาพได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้แพลตฟอร์มได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2555 และให้บริการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้สังกัด ศธ. แต่มีความประสงค์ที่จะร่วมใช้งาน สามารถแจ้งความจำนงเพื่อลงทะเบียนเข้าใช้ระบบได้   [caption id="attachment_57155" align="aligncenter" width="750"] ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า Thai School Lunch เป็นระบบสำหรับช่วยคำนวณการจัดสำรับอาหาร ทั้งด้านคุณค่าโภชนาการที่เหมาะสม ปริมาณวัตถุดิบที่ต้องจัดซื้อ และค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ซึ่งเลือกคำนวณตามจำนวนนักเรียนที่ต้องดูแลและงบประมาณที่โรงเรียนได้รับได้ โดยครูเลือกจัดสำรับได้ 2 รูปแบบ รูปแบบแรกคือเลือกจากเมนูอาหารที่ระบบคำนวณข้อมูลด้านต่าง ๆ ไว้ให้แล้ว ส่วนรูปแบบที่สองคือครูเป็นผู้นำเข้าเมนูอาหารใหม่ด้วยตัวเอง จากนั้นระบบจะคำนวณข้อมูลต่าง ๆ ให้อัตโนมัติ ยกเว้นกรณีเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบ อาทิ วัตถุดิบท้องถิ่นที่ไม่ได้รับประทานอย่างแพร่หลาย ซึ่งหากเกิดกรณีนี้ขึ้นครูสามารถแจ้งความจำนงขอให้เก็บตัวอย่างวัตถุดิบไปวิเคราะห์ข้อมูลทางโภชนาการเพื่อนำข้อมูลเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมได้ “ทั้งนี้ข้อมูลสำรับอาหารที่ครูจัดให้เด็กรับประทานในแต่ละวันจะบันทึกไว้ทั้งหมดเพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดรวมถึงประชาชนทั่วไปตรวจสอบข้อมูลได้ผ่านแดชบอร์ด (dashboard) ของแพลตฟอร์ม โดยตั้งแต่ปีการศึกษา 2567 เป็นต้นไป ระบบจะไม่อนุญาตให้ครูบันทึกข้อมูลย้อนหลัง ดังนั้นข้อมูลของทุกโรงเรียนจะเป็นข้อมูลที่ตรงกับสำรับอาหารวันนั้นจริง ๆ” นอกจากฟังก์ชันหลักที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ผลจากการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการให้บริการระบบต่อเนื่องมากว่า 11 ปี ทำให้ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Thai School Lunch มีฐานข้อมูลรูปแบบสำรับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมและมีความเข้ากันได้ของรสชาติมากกว่า 1,000 สำรับ เพียงพอแก่การนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาระบบ AI จัดสำรับอาหารอัตโนมัติ เพื่อให้ครูทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ดร.สุปิยา อธิบายว่า ปัจจัยที่อยู่ภายใต้การคำนวณของ AI ประกอบด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ความหลากหลายของสำรับอาหาร และค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับงบประมาณ ดังนั้นต่อไปนี้ครูจะวางแผนจัดสำรับอาหารให้เด็กรับประทานล่วงหน้าได้ทั้งแบบรายวัน รายเดือน รายภาคการศึกษา หรือกระทั่งรายปีการศึกษา ที่สำคัญระบบผ่านการออกแบบให้ครูปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงเพื่อรองรับปัญหาวัตถุดิบมีราคาผันผวนได้ด้วย ดังนั้นการจัดสำรับอาหารให้เด็กนักเรียนรับประทานจึงไม่ใช่เรื่องยากและต้องใช้เวลามากอีกต่อไป     Thai School Lunch for BMA รายงานโปร่งใส ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ นอกจากการให้บริการระบบ Thai School Lunch แล้ว ในปี 2563 หรือประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา ทีมวิจัยยังได้เปิดให้บริการระบบ Thai School Lunch for BMA เพิ่มเติม เพื่อให้บริการแก่โรงเรียน 437 แห่งภายใต้สังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เนื่องจาก กทม. ต้องการใช้งานฟังก์ชันเสริมเพิ่มเติมจากแพลตฟอร์มหลัก โดย 2 ฟังก์ชันนั้นประกอบด้วย การจัดสำรับอาหารเช้าให้แก่นักเรียนและการออกแบบให้การจัดทำรายงานและการตรวจสอบเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง     ดร.สุปิยา อธิบายว่า ด้วยโรงเรียนในสังกัด กทม. มีมาตรการจัดเตรียมอาหารเช้าให้นักเรียนซึ่งเป็นมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากมาตรการของโรงเรียนสังกัดอื่น ๆ ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับ กทม. พัฒนาระบบเฉพาะ Thai School Lunch for BMA ขึ้น เพื่อให้ครูใช้แพลตฟอร์มนี้วางแผนจัดสำรับอาหารได้ทั้งมื้อเช้าและกลางวันครบจบในแพลตฟอร์มเดียว ส่วนอีกฟังก์ชันที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ การทำให้การรายงานผลและการตรวจสอบการดำเนินงานเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยในปีการศึกษา 2567 หรือที่กำลังเริ่มเปิดภาคเรียน ณ ขณะนี้ กทม. ได้กำหนดมาตรการให้บริษัทที่ทำสัญญาจัดส่งวัตถุดิบให้แก่โรงเรียนภายใต้สังกัด กทม. ต้องใช้งานแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for Catering ซึ่งเชื่อมโยงกับ Thai School Lunch for BMA ในการทำงาน “กลไกการทำงานของระบบ คือ เมื่อครูกำหนดสำรับอาหารของแต่ละวันผ่านแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for BMA เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการจะสามารถคำนวณปริมาณวัตถุดิบที่ต้องจัดส่งในแต่ละวันและสร้างใบส่งของผ่านแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for Catering ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งการจัดส่งวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารเช้าและกลางวันให้โรงเรียน ผู้ส่งมอบจะต้องรายงานปริมาณและวัตถุดิบอาหารสดที่จัดส่งพร้อมอัปโหลดภาพถ่ายเข้าสู่ระบบจัดเก็บข้อมูลของแพลตฟอร์ม เพื่อให้โรงเรียนกดตรวจรับทุกวัน และหน่วยงานที่กำกับดูแลเข้าติดตามข้อมูลการดำเนินงานของแต่ละโรงเรียน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสั่งจ่ายเงินให้ผู้ประกอบการได้โดยสะดวก (สามารถสร้างใบส่งของและเอกสารตรวจรับจากระบบเพื่อใช้แนบฎีกาเบิกจ่ายได้) ทำให้ช่วยลดจำนวนเอกสารและเพิ่มความถูกต้องของกระบวนการตรวจรับอาหารปรุงสำเร็จของโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานที่ดูแลด้านการปราบปรามทุจริตก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของแต่ละโรงเรียนได้เช่นกัน”     ปัจจุบัน ณ ปีการศึกษา 2567 มีโรงเรียนจากทั่วประเทศที่ลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบ Thai School Lunch และ Thai School Lunch for BMA รวมแล้วมากกว่า 37,600 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนที่อยู่ในการดูแลมากกว่า 5 ล้านคน “คณะผู้พัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแพลตฟอร์ม Thai School Lunch จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการขับเคลื่อนระบบต่อไปอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์ทั้งด้านการลดภาระงานของครูและบุคลากรจากสังกัดต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินงานร่วมกัน และที่สำคัญคือการมั่นใจได้ว่าเด็กไทยที่กำลังเติบโตไปเป็นอนาคตของชาติจะได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพจากโรงเรียนอยู่เสมอ ทั้งนี้หากในอนาคตแต่ละโรงเรียนมีการกำหนดสำรับอาหารล่วงหน้าเป็นรายภาคเรียนหรือปีการศึกษา ก็อาจนำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดการทำสัญญารับซื้อสินค้าคุณภาพ อาทิ ผักปลอดสาร เนื้อสัตว์ไร้สารเร่งการเจริญเติบโตจากเกษตรกรไทยล่วงหน้าได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเด็กแล้ว ยังทำให้เกษตรกรรู้โจทย์และวางแผนการผลิตสินค้าได้อย่างชัดเจน ช่วยลดปัญหาการผลิตสินค้าที่ไม่เป็นที่ต้องการหรือมีผลผลิตมากล้นตลาด จนทำให้สินค้าราคาตกต่ำได้” ดร.สุปิยา กล่าวทิ้งท้าย     สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าใช้งานระบบ Thai School Lunch ลงทะเบียนเข้าใช้งานได้ที่ www.thaischoollunch.in.th (ไม่มีค่าใช้จ่าย) และสำหรับผู้ที่สนใจติดตามสำรับอาหารของเด็กนักเรียนไทยในแต่ละวันเข้าดูแดชบอร์ดได้ที่เว็บไซต์เดียวกัน   หน่วยงานร่วมวิจัยหรือสนับสนุนการใช้งานแพลตฟอร์ม สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กรุงเทพมหานคร     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช. ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
อว. นำคณะผู้บริหาร ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัด อว. นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรี อว. พร้อมคณะผู้บริหารภายใต้สังกัด อว. และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ต้อนรับคณะนักบริหารจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมผลงานวิจัยนวัตกรรมด้านการเกษตร
(30 พฤษภาคม 2567) ณ โถงนิทรรศการ ชั้น 1 อาคารสราญวิทย์ สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี –คณะผู้เข้าอบรมโครงการนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 110 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมผลงานวิจัยด้านการเกษตร ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี ทีมนักวิจัย สวทช. ร่วมต้อนรับและนำเสนอผลงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านการเกษตรที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ กลไกการถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรสู่ชุมชน โดย คุณกัลยารัตน์ รัตนะจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) การวิจัยพัฒนาวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร (African swine fever : ASF)โดย ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค สวทช.) รักษ์น้ำ เทคโนโลยีการให้น้ำอัจฉริยะสำหรับควบคุมการให้น้ำในแปลงเกษตร โดย คุณธีรพัชส ประสานสรกิจ นักวิชาการอาวุโส สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) Magik Growth เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร โดย ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัย จากทีมวิจัยสิ่งทอกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค สวทช.) นอกจากนี้คณะฯ ได้เยี่ยมชมผลงานวิจัยทางด้านการเกษตรจากศูนย์วิจัยแห่งชาติ โดยมีผลงานวิจัยที่น่าสนใจ ดังนี้ ระบบฟาร์มรักษ์น้ำ: เทคโนโลยีการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เกษตรกรประหยัดน้ำ ทรัพยากร และลดต้นทุนการผลิต Magik Growth: นวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวน ปุ๋ยคีเลต: ปุ๋ยสูตรพิเศษที่ช่วยให้พืชดูดซึมธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืชผลทางการเกษตร Agri-Map: เครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลด้านการเกษตรได้สะดวก รวดเร็ว และตรงความต้องการ Linebot ข้าว และ สตรอว์เบอร์รี: แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคสตรอว์เบอร์รีผ่านภาพถ่าย เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมและทันท่วงที วัคซีน ASF: วัคซีนป้องกันโรค ASF ในสุกร ช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากโรคระบาด DAPBot (แดปบอท): แพลตฟอร์มสนับสนุนการจำแนกศัตรูพืชและการเข้าถึงชีวภัณฑ์เกษตร ในรูปแบบ Line Official การเยี่ยมชมครั้งนี้ มุ่งหวังส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง สวทช. และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตรในอนาคตต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อาหารทะเลจากพืช “วี-ซี (Ve-Sea)” นวัตกรรมเอ็มเทค สวทช. ถึงมือผู้บริโภคปราศจากคอเลสเตอรอล ตอบเทรนด์สุขภาพ-อาหารเพื่อความยั่งยืน
        อาหารทะเลเป็นของโปรดของใครหลายคน แต่ก็เป็นของต้องห้ามสำหรับใครหลายคน ทั้งผู้ที่แพ้อาหารทะเลและผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอล กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงนำเสนอนวัตกรรม "วี-ซี (Ve-Sea)" อาหารทะเลจากพืช ที่ยกขบวน กุ้งจากโปรตีนพืช และผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลา หมึก กุ้ง จากโปรตีนพืช ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหาร ผสานองค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหาร ส่งผลให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริง ส่งต่อให้บริษัท "บี ไอ จี เนเชอรัล อินโนเทค" เคลื่อนนวัตกรรมทางเลือกถึงมือผู้บริโภค ตอบโจทย์กลุ่มผู้แพ้อาหารทะเล แพ้กลูเตน และผู้ควบคุมคอเลสเตอรอล ตลอดจนการหนุนแนวคิดการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ และอาหารเพื่อความยั่งยืน         ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ รองผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้มหาศาลให้แก่ประเทศไทย ด้วยความได้เปรียบจากทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพสูง ทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารไปสู่ยุคใหม่ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน รวมถึงนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” "สวทช. ตระหนักถึงโอกาสจากแนวโน้มของตลาดโลกสำหรับอาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based food) ซึ่งมีมูลค่า 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 และคาดว่าในปี 2568 จะเติบโตสูงถึง 105.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (มากกว่า 3 แสนล้านบาท) โดยในปี 2565 ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกโปรตีนทางเลือกจากพืชเป็นมูลค่า 628.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขยายตัวร้อยละ 13.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การนำเสนอจุดเด่นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ เช่น เมนูอาหารไทย อาหารทะเลจากพืช ฯลฯ และการสร้างเรื่องราวดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยเสริมจุดแข็งให้กับโปรตีนทางเลือกจากพืชของไทยในตลาดโลก" ดร.อศิรากล่าว โอกาสและความต้องการดังกล่าวสอดคล้องกับหนึ่งในแผนกลยุทธ์ที่สวทช.ต้องการขับเคลื่อนนวัตกรรมตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภค ผ่าน "แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน" หรือ "FoodSERP" ซึ่งให้บริการวิจัย การผลิต และการวิเคราะห์ทดสอบตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอาง รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สำหรับทดลองตลาดและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแบบ One-Stop Service โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1)ส่วนผสมฟังก์ชันเพื่อสุขภาพและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อาหาร 2)โปรตีนทางเลือกจากพืชตอบโจทย์เทรนด์อาหารมังสวิรัติและวีแกน 3)อาหารสำหรับกลุ่มผู้มีความต้องการพิเศษ เช่นผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วย และ 4)สารสกัดเชิงหน้าที่จากธรรมชาติสำหรับผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง และเวชสำอาง         ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช หรือ วี-ซี (Ve-Sea) นับเป็นนวัตกรรมต้นแบบในกลุ่มของโปรตีนทางเลือก ดร.นิสภา ศีตะปันย์ นักวิจัยอาวุโสเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า วี-ซี เป็นการต่อยอดจากเนื้อไก่จากโปรตีนพืช หรือ วี-ชิค (Ve-Chick) ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาคเอกชนไปแล้ว ในระหว่างการพัฒนานั้น ทีมวิจัยพบว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารทะเลเทียมจากพืช (plant-based seafood) มีสัดส่วนทางการตลาดค่อนข้างต่ำ ประมาณร้อยละ 1 จากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากพืชทั้งหมดในท้องตลาด แม้ว่าอัตราการเติบโตของตลาดอาหารจากโปรตีนพืชในช่วงปี 2564-2565 จะสูงถึงร้อยละ 14 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาน้อย ทำให้มีช่องว่างให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อีกมาก รวมถึงสามารถเปิดตลาดอาหารทะเลทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้อาหารทะเล ผู้แพ้กลูเตน รวมทั้งผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและต้องการลดคอเลสเตอรอล ทีมวิจัยพัฒนานวัตกรรมนี้โดยใช้เทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหาร ผสมผสานองค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหาร ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของทีมวิจัย ร่วมกับความเข้าใจหน้าที่ของวัตถุดิบแต่ละชนิด จากนั้นจึงคัดเลือกและผสมผสานวัตถุดิบเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืชที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริง แต่ปราศจากคอเลสเตอรอล โดยผลิตภัณฑ์ต้นแบบประกอบด้วย ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นหมึก เส้นปลา ฮือก้วย และสามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นกุ้งหรือผลิตภัณฑ์จากกุ้งได้เช่นกัน ความท้าทายหลัก ดร.นิสภาเผยว่า เป็นเรื่องของการปรับเนื้อสัมผัสให้ตรงกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ เนื่องจากเนื้อสัตว์ทะเลแต่ละชนิดมีเนื้อสัมผัสแตกต่างกัน และสัตว์ทะเลชนิดเดียวกันแต่นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างกัน ก็จะมีเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกันด้วย โจทย์สำคัญคือการปรับเนื้อสัมผัสอย่างไรให้เป็นไปตามที่ต้องการ เช่น ลูกชิ้นกุ้งต้องมีความแน่นแต่ไม่กรอบ ลูกชิ้นปลาต้องมีความเด้งเล็กน้อย ในขณะที่ลูกชิ้นหมึกอาจมีเนื้อสัมผัส 2 เฟส คือเฟสเนื้อเหลวข้นและเฟสชิ้นของแข็ง เพื่อให้รู้สึกได้ถึงเนื้อสัมผัส 2 แบบเมื่อเคี้ยว ในการทดสอบเนื้อสัมผัส นอกจากการชิมโดยมนุษย์ (subjective test) แล้ว ทีมวิจัยยังใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ (objective test) วิเคราะห์ร่วมด้วย โดยมีการวิเคราะห์เนื้อสัมผัสของอาหารด้วยเครื่องวัดเนื้อสัมผัส (texture analyzer) โดยวัดเป็นค่าความแข็ง (hardness) ความยึดเกาะติดกัน (cohesiveness) ความยืดหยุ่น (springiness) และค่าพลังงานในการเคี้ยว (chewiness) เป็นต้น อาหารทะเลจากพืช "วี-ซี (Ve-Sea)" ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล อินโนเทค จำกัด โดยเป็นสูตรปราศจากกลูเตน เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคกลุ่มแพ้กลูเตน ซึ่งมีตลาดหลักอยู่ในสหภาพยุโรปและอเมริกา สูตรนี้ใช้โปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบร้อยละ 4-8 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ ซึ่งเทียบเท่าหรือสูงกว่าผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อปลาทั่วไปในท้องตลาด         นายธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการบริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล อินโนเทค จำกัด กล่าวว่า อาหารถือเป็น Soft Power ของประเทศไทยที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก บริษัทฯ จึงเข้ามาในอุตสาหกรรมอาหารที่มุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการวิจัย พัฒนา และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นที่มาของการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากเอ็มเทค สวทช. เพื่อนำมาต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพบนความยั่งยืนภายใต้แบรนด์ "FOODFILL" ตอบโจทย์ลูกค้ายุคปัจจุบัน นำร่องด้วย Premix โปรตีนจากพืชชนิดผงสำหรับเชฟและร้านอาหารที่ต้องการควบคุมต้นทุน Precook เนื้อไก่จากพืช และ Ve-Sea ลูกชิ้นปลา ปลาเส้นจากพืช สะดวกในการปรุง รวมถึงการพัฒนา "แกงไทยพร้อมทาน" ที่สามารถเก็บได้ในอุณหภูมิห้อง ขนส่งง่าย และเก็บรักษาได้นาน 1 ปี "ปัญหาหนึ่งของอุตสาหกรรมอาหารจากโปรตีนพืชในประเทศไทย คือ การต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ที่บริษัท FoodFill เราใช้แนวทางการตลาดนำการผลิต จึงได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรแปลงใหญ่และวิสาหกิจชุมชนในการปลูกถั่วพู ในพื้นที่ระหว่างแปลง ในสวนมะพร้าว สวนยางพารา ในอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งไม่เพียงเพิ่มรายได้ให้แก่กลุ่มเกษตรกร แต่ยังเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติไปแล้ว 14 เป้าหมาย และเราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์และองค์กรของเราให้ครอบคลุมครบทั้ง 17 เป้าหมาย เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" นายธนินท์รัฐ กล่าว ที่สำคัญ การรับถ่ายทอดงานวิจัยและเทคโนโลยีจาก สวทช. ในมุมมองของกรรมการบริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล อินโนเทค จำกัด นั้น ไม่เพียงแต่ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาสินค้าให้ทันต่อความต้องการของตลาด แต่ยังมีทีมงานวิจัยที่มีองค์ความรู้และความสามารถ ทำหน้าที่เป็นทั้งที่ปรึกษาและเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการวิจัยเพื่อต่อยอดให้สินค้าของบริษัทมีจุดเด่น โดดเด่น และแตกต่างจากคู่แข่งในท้องตลาด โดยเฉพาะทีม "FoodSERP" ของ สวทช. ที่พร้อมให้บริการวิจัย การผลิต และการวิเคราะห์ทดสอบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและผู้ประกอบการ อาหารทะเลจากโปรตีนพืช หรือ วี-ซี (Ve-Sea) จะเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภคมาทดลองชิม ช็อป ที่บูธ 5-A39 Hall 5 ภายในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มครบวงจร THAIFEX-ANUGA Asia 2024 ระหว่าง 28 พ.ค.-1 มิ.ย. 2567 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Sea และ Ve-Chick ติดต่อได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล (ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ) เบอร์โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค สวทช. แถลงปิดโครงการพัฒนาศักยภาพผู้เชี่ยวชาญภายใต้ห่วงโซ่มันสำปะหลังลุ่มน้ำโขง ชี้สามารถจัดศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยีด้านมันสำปะหลัง สร้าง 4 หลักสูตรอบรมผู้เชี่ยวชาญไทยและเพื่อนบ้าน เพื่อความยั่งยืนของประเทศลุ่มน้ำโขง
(30 พ.ค. 67) ณ ห้องแถลงข่าว อว. - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) พร้อมพันธมิตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) แถลงข่าวปิดโครงการ “Train-the-Trainer Program under Lancang - Mekong Cooperation to Enhance Production Capacity and People’s Livelihood by Improving the Value Chain for Cassava Cultivation and Application: Clean Cassava Chips, Native Starch, Modified Starch, Ethanol and Biogas Production (TTC Project)” ซึ่งได้รับทุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี 2563 เพื่อมุ่งพัฒนาศักยภาพผู้เชี่ยวชาญของห่วงโซ่มันสำปะหลัง ประกอบด้วย เกษตรกรผู้ผลิต นักวิชาการ บุคลากรจากภาคเอกชน และผู้ประกอบการในประเทศลุ่มน้ำโขง ชี้สามารถขยายเครือข่ายความร่วมมือตลอดห่วงโซ่มูลค่า จัดตั้งศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยีด้านมันสำปะหลัง พร้อมพัฒนา 4 หลักสูตรสำคัญอบรมแก่ผู้เชี่ยวชาญกว่า 150 คนในไทยและเพื่อนบ้าน ทั้งเรื่องการปลูก การผลิตแป้งและแปรรูป การจัดการของเสีย และการผลิตเอทานอล เพื่อความยั่งยืนของประเทศลุ่มน้ำโขง โดยมี ดร.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. นายหม่า มิงเกิง ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วย ผศ.ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. และนักวิจัยในโครงการ นำโดย ดร.วรินธร สงคศิริ หัวหน้าโครงการ ดร.กาญจนา แสงจันทร์ หัวหน้าโครงการร่วม รวมทั้งผู้แทนจากประเทศเพื่อนบ้าน และสถานทูตเข้าร่วมในงาน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า สวทช. ได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนพัฒนางานวิจัยด้านมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่งานวิจัยต้นน้ำ เช่น เทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์สะอาด ระบบการสร้างต้นพันธุ์มันสำปะหลังสายพันธุ์ไทยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การพัฒนาแนวทางการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังจากต้นพันธุ์ปลอดโรคอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี mini stem cutting และการพัฒนาต้นแบบชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test เป็นต้น งานวิจัยกลางน้ำ เช่น การวิเคราะห์ฐานข้อมูลค่ามาตรฐานกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากรการผลิตของอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังไทย และงานวิจัยปลายน้ำ เช่น ต้นแบบผลิตภัณฑ์ช้อน ส้อม และมีดไบโอพลาสติกจากมันสำปะหลัง ต้นแบบวัสดุทดแทนไม้ธรรมชาติจากเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่มันสำปะหลัง และพัฒนากระบวนการผลิตฟลาวมันสำปะหลังระดับอุตสาหกรรมจากมันสำปะหลังชนิดขมที่มีปริมาณไซยาไนด์สูง พร้อมทั้งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตฟลาวมันสำปะหลังให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังระดับอุตสาหกรรม ดร.วรินธร สงคศิริ, หัวหน้าโครงการ TTC และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวิศวกรรมชีวเคมีและชีววิทยาระบบ ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า จากความสำเร็จโครงการและองค์ความรู้ที่สั่งสมกว่า 20 ปี ทีมวิจัยไบโอเทค มีความพร้อมที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปยังอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศลุ่มน้ำโขง ได้แก่ กัมพูชา ลาว เวียดนาม ไทย และยังได้ทำงานร่วมกับประเทศจีนอีกด้วย ทีมวิจัยจึงได้ริเริ่มโครงการชื่อ TTC เพื่อมุ่งพัฒนาศักยภาพผู้เชี่ยวชาญของห่วงโซ่มันสำปะหลัง ประกอบด้วย เกษตรกรผู้ผลิตมันสำปะหลัง นักวิชาการ บุคลากรและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศลุ่มน้ำโขง ทั้งนี้ มันสำปะหลังถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของประเทศ โดยในปี 2566 ไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังรายใหญ่ที่สุดของโลก มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 70% และหากรวมกับประเทศเพื่อนบ้านลุ่มแม่น้ำโขง จะพบว่ามีส่วนแบ่งตลาดโลกสูงถึง 95% ผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการ TTC พบว่า สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีตลอดห่วงโซ่มูลค่ามันสำปะหลัง โดยมีผู้เข้าร่วมการอบรมทั้งจากภาครัฐและเอกชน จำนวน 154 คน จากประเทศในแถบลุ่มน้ำโขงและสาธารณรัฐประชาชนจีน สามารถขยายเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมมันสำปะหลังตลอดห่วงโซ่มูลค่าผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ 1.1 การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยีด้านมันสำปะหลัง (Cassava Information Center) 1.2 การพัฒนา ได้แก่ การปลูกมันสำปะหลัง การผลิตแป้งและแปรรูป การจัดการของเสียและการผลิตก๊าซชีวภาพ และการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง 1.3 การอบรมผู้เชี่ยวชาญใน 4 หลักสูตรข้างต้น โดยจัดอบรมในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน 1.4 การถอดบทเรียนการดำเนินงานโครงการ 1.5 กิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่ต่อยอดจากโครงการ เช่น โครงการการวิเคราะห์ฐานข้อมูลค่ามาตรฐานกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากรการผลิต และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังไทย โครงการการพัฒนาโมเดลนำร่องในการสนับสนุนและขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อสร้างผลกระทบขนาดใหญ่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบองค์รวมโดยผ่านกลไกมหาวิทยาลัย (CIGUS Model) โดยใช้อุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังเป็นต้นแบบ รวมทั้งโครงการการส่งเสริมความยั่งยืนและความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพในภูมิภาคอาเซียนจากข้อมูลและประสบการณ์ของประเทศไทย สนับสนุนโดย สมาคมแป้งมันสำปะหลังแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ศุภมาส” ประกาศนโยบาย “อว. for AI” ติดอาวุธคนไทยใช้ AI พัฒนาประเทศ ชู flagship การพลิกโฉมมหาวิทยาลัยด้วย AI ผลัก 3 แผนงานเด่น หนุน AI เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างบุคลากรด้าน AI 3 หมื่นคนใน 3 ปี พร้อมดัน AI ใช้จริงในภาคธุรกิจยกระดับเศรษฐกิจไทย
วันที่ 29 พ.ค.67 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าวเปิดตัวนโยบาย“ อว. for AI” โดยมี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศ.ดร. บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. เข้าร่วม พร้อมมีหน่วยงานภาคีเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำของโลกร่วมแสดงผลงาน เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย อว. for AI ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี น.ส.ศุภมาส ได้แถลงนโยบายว่า กระทรวง อว. ได้วิเคราะห์ปัญหาหลักด้าน AI ของประเทศไทยพบว่ามี 2 ปัญหาหลักคือ การขาดแคลนบุคลากรและการประยุกต์ใช้ AI ยังมีน้อย ซึ่งกระทรวง อว. ได้หาทางแก้ปัญหา และเตรียมความพร้อมในการใช้ AI เพื่อพัฒนาประเทศ โดยสนับสนุนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) ซึ่งมี 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1. ด้านจริยธรรมและกฎระเบียบ AI โดยมีเป้าหมายสร้างความเข้าใจและความตระหนักด้านจริยธรรมในการใช้ AI อย่างน้อย 6 แสนคน และมีกฎหมาย/ข้อบังคับด้าน AI ที่จำเป็น 2. ด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI เพื่อให้เกิดการลงทุนด้าน AI เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี 3. ด้านกำลังคน AI มีเป้าหมายผลิตกำลังคน AI 3 หมื่นคน 4. ด้านวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม AI ตั้งเป้าสร้าง 100 นวัตกรรม AI ที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ 4.8 หมื่นล้าน และ 5. ด้านการส่งเสริมธุรกิจและการใช้ AI โดยมีการใช้นวัตกรรม AI ใน 600 หน่วยงานทั่วประเทศ และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติในภารกิจของกระทรวง อว. ดิฉันจึงให้มีนโยบาย "อว. for AI" โดยใช้ศักยภาพด้าน AI ของกระทรวง อว. ซึ่งจะเป็นจุดตั้งต้นสำคัญในการสร้างขีดความสามารถของประเทศบนฐานของ AI ต่อไป โดยนโยบาย อว. for AI จะดำเนินงานใน 3 เสาหลัก อันได้แก่ 1.AI for Education: การใช้ AI ในการเรียนการสอนให้คนไทยมีศักยภาพสูงสุด และเร็วที่สุด ปัจจุบันมีทักษะหลายๆ ด้านที่คนไทยยังไม่สามารถพัฒนาให้เพียงพอ และมีคุณภาพตามความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยยังต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว กระทรวง อว.จึงมีแนวคิดการนำ AI มาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยการใช้เครื่องมือด้าน education tools ต่างๆ เป็นแนวทางที่จะเพิ่มจำนวนคนในทักษะที่จำเป็นได้ในเวลาอันสั้น นอกจากนี้จะต่อยอดโดยการนำ AI มาทำหน้าที่เหมือนครูหรือโค้ชช่วยเรียนรู้นอกเวลาเรียน ในหัวข้อที่ผู้เรียนสนใจ เน้นการพัฒนาทักษะเสริมตามความต้องการส่วนบุคคลได้อย่างรวดเร็ว โดยมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ เช่น e-learning platform ที่รัฐบาลจีนสนับสนุนให้มีการใช้ AI ตอบสนองความต้องการการเรียนรู้เฉพาะคน และเสริมทักษะสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งสามารถรองรับนักเรียนกว่า 200 ล้านคน ในประเทศไทยเรามี Thai MOOC (Thailand Massive Open Online Course) แพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์แบบเปิด ที่เพิ่มช่องทางการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานให้กับคนไทย โดยสามารถเรียนออนไลน์ได้ฟรี และเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา เราสามารถนำ AI ที่สามารถพูด อ่าน เขียน มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Thai MOOC โดย AI จะช่วยทำหน้าที่เหมือน Teacher Tutor หรือ Coach ช่วยเรียนรู้ในการสนทนา ถาม ตอบในเวลาเรียน แบบ interactive ในลักษณะการเรียนเฉพาะบุคคล (personalize) แบบตัวต่อตัวกับผู้เรียนทุกคน หรือ เลือกเรียนกับผู้สอนที่อยากเรียนด้วย เช่น ดารา หรือแม้กระทั่งเรียนกับ รมต. อว. ก็ได้ นอกจากนี้ AI ยังสามารถประเมินความรู้ ความสามารถของผู้เรียนผ่านระบบทดสอบ ออกแบบหลักสูตรหรือเนื้อหาการเรียนให้เหมาะกับระดับความรู้ ประเมินการเรียนรู้ในระหว่างเรียน ปรับระยะเวลา ความเร็วในการเรียนจนจบหลักสูตร ที่เราไม่ต้องเริ่มต้นที่ Level 1 สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา และเรียนพร้อมๆกันเป็นแสนคนก็ได้ วิธีการเรียนแบบนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในด้านการศึกษา ทั้งนี้ AI Teacher จะทำให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสเท่ากัน ทำให้เพิ่มโอกาสในการเข้าเรียนในคณะ หรือมหาวิทยาลัยที่อยากเรียน เพิ่มโอกาสในการได้งานดีๆ ค่าตอบแทนสูงๆ นโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษาของกระทรวง อว. ได้ตั้งเป้าหมายให้นิสิต นักศึกษาเข้าใจและสามารถใช้งาน AI ได้ตั้งแต่ ปี 2 โดยต้องรู้เท่าทัน AI (AI Literacy) มีทักษะความเข้าใจและสามารถนำ AI ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ (AI Competency) รวมทั้งนิสิต นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยจะต้องมีจริยธรรมในการใช้ AI (AI Ethics) ดิฉันอยากขอความร่วมมือทุกๆ มหาวิทยาลัย สนับสนุนการปฏิรูปอุดมศึกษาที่ใช้เทคโนโลยี AI โดยการปรับปรุง ออกแบบ หลักสูตรการเรียนการสอนให้นิสิต นักศึกษาได้เรียน AI ตั้งแต่ ปี 1 เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือ (tool) หรือเป็นปัจจัยที่ 5 ของนิสิต นักศึกษา จบเป็นบัณฑิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน หรืออุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “ดิฉันจะสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในมหาวิทยาลัย (AI Infrastructure) กระทรวง อว. จะใช้ AI ในการตอบโจทย์ทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ Lifelong Learning โดยในระยะแรก จะเน้นการสอนภาษาอังกฤษซึ่งจะเป็น flagship ที่สำคัญของกระทรวง อว. ต่อจากนั้นจะขยายผลนำไปใช้กับการเรียนนอกเวลาเรียนสำหรับผู้ที่จบการศึกษาไปแล้ว และต้องการ Reskill Upskill หรือ Newskill” 2. AI workforce development: การพัฒนาบุคลากรด้าน AI และการสร้างพื้นฐานด้าน AI ให้คนไทยในระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน โดยจะเร่งดำเนินการเพื่อผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพออกสู่ตลาด AI โดยเร็ว ผ่านโครงการพัฒนากำลังคนด้าน AI ในทุกระดับ เช่น โครงการขับเคลื่อนการเข้าใจ AI ในระดับประถม มัธยม และอาชีวศึกษา โครงการพัฒนาศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ระดับนานาชาติ โครงการพัฒนากำลังคนด้าน AI สำหรับสถาบันการศึกษากลุ่ม AI degree โครงการ Super AI engineer โครงการ AI สำหรับบุคลากรภาครัฐ และ โครงการ Credit Bank โดยตั้งเป้าให้สามารถผลิตกำลังคนได้ใน 3 ระดับคือ ผู้เชี่ยวชาญ AI (AI professional) วิศวกร AI ที่เข้าสู่ภาคธุรกิจ (AI engineer) และนัก IT หรือวิชาชีพอื่น ๆ ที่มีทักษะการใช้เครื่องมือ AI (AI beginner) ให้ได้ไม่น้อยกว่า 3 หมื่นคนภายใน 3 ปี ทั้งนี้ข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ปัจจุบันมีการขาดแคลนคนทำงานด้าน AI กว่า 8 หมื่นคน แต่คน AI กว่าครึ่งไม่ได้ทำงานด้าน IT และธุรกิจยังมีความต้องการจ้างคนไปทำวิจัยพัฒนาในสัดส่วนที่สูงที่สุด (ร้อยละ 35) 3. AI innovation: การสนับสนุนนวัตกรรม AI สู่ตลาด การพัฒนามาตรฐานและทดสอบ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดความแพร่หลาย เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทย โดยจะสนับสนุนการทำนวัตกรรมด้าน AI อย่างเต็มที่ ซึ่งผลการสำรวจความพร้อมในการใช้ AI ขององค์กร โดยเนคเทค สวทช. และเอ็ตด้า พบว่าหน่วยงานที่อยู่ระหว่างตัดสินใจใช้ AI ยังขาดความมั่นใจและแรงกระตุ้นที่จะลงทุนและใช้งานอยู่มากกว่าครึ่ง โดยมีสาเหตุมาจากประเทศไทยยังมีการใช้งานน้อย ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และงบประมาณ ทำให้ยังไม่เห็นถึงการใช้ประโยชน์ที่ชัดเจน ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า ในอีกหกปีข้างหน้า AI จะเติบโตขึ้นกว่า 18% ต่อปี ด้วยมูลค่ามากกว่าหนึ่งแสนล้านบาท แต่อุปสรรคที่สำคัญในขณะนี้คือ การนำมาใช้งานได้จริง และยังขาดการสนับสนุนเงินทุนที่เป็นรูปธรรม ซึ่งกระทรวง อว. จะเร่งสนับสนุนการนำนวัตกรรม AI มาใช้ให้เกิดการใช้งานจริง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ผ่านกลไกสนับสนุนนวัตกรรมจากหน่วยงานภายใต้ กระทรวง อว. เช่น การสนับสนุนทุนจากกองทุน ววน. ต่อไป “ดิฉันขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่ AI กำลังมีบทบาทในการเปลี่ยนเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของเรา กระทรวง อว. เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และพร้อมมุ่งมั่นให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง นโยบาย อว. for AI จะเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการสร้างระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยไทยให้เป็น Education 6.0 ที่เป็นการเรียนรู้แบบ Immersive Education เป็นการศึกษาแบบไร้รอยต่อระหว่าง Offline และ Online โดยนำ AI และ เมตาเวิร์ส มาช่วยในการเรียนการสอน นำมหาวิทยาลัยเข้าสู่การเป็น AI University กระทรวง อว. มีหน่วยงานหลักที่มีความพร้อมในการขับเคลื่อนนโยบายนี้คือ เนคเทค สวทช. ที่ถือว่าเป็นหัวหอกในการพัฒนา AI ของประเทศ และเป็นหน่วยงานในประเทศไทยที่มี Supercomputer ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการพัฒนา AI และสวทช. ยังได้รับความสนใจจากบริษัทชั้นนำระดับโลกหลายบริษัท ที่พร้อมจะร่วมมือพัฒนา AI solutions ให้กับหน่วยงานรัฐ มหาวิทยาลัย และ ภาคเอกชน ด้วยความพร้อมเหล่านี้ กระทรวง อว. จะเป็นศูนย์กลางที่จะสามารถ short cut และเร่งพัฒนา solution ที่ตอบโจทย์ความต้องการ ให้ออกสู่ตลาดภายใน 1 ปี ดิฉันขอให้ทุกหน่วยงานของกระทรวง อว. มุ่งมั่นร่วมดำเนินการสนับสนุนนโยบาย อว. for AI อย่างจริงจัง เต็มความสามารถ เพื่อที่จะใช้เทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ” น.ส.ศุภมาส กล่าว  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญร่วมฟังสัมมนา “พลิกโฉมโรงงานผลิตอาหารของคุณเป็น Smart Food Factory ด้วย IIoT Solutions” (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
📌 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ขอเชิญผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการ ผู้จัดการ พนักงาน ผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร ที่สนใจการปรับเปลี่ยนองค์กร หรือ มีบทบาทในการพัฒนาองค์กรสู่โรงงานอัจฉริยะ เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ร่วมงานสัมมนาพิเศษ และ Clinic ให้คำปรึกษา   ✨พลิกโฉมโรงงานผลิตอาหารของคุณเป็น Smart Food Factory ด้วย IIoT Solutions 📅 วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2567 🕙 เวลา 09.00 – 12.30 น. 📍 โถง INC2C ชั้น 1 อาคาร INC2 ทาวเวอร์ C อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ✨ Highlight 🎤 อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารไทยกับการผลักดันเข้าสู่ Industry 4.0 โดย บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด 🎤 เสวนา Overcoming Challenges in Digital Transformation (ความท้าทายของยุค Digital Transformation) โดย  บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน), บริษัท โนวา กรีน เพาเวอร์ ซิสเท็ม จำกัด, NECTEC สวทช., อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. 🎤 แนวทางการยกระดับความพร้อมของอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0  โดย กลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0  สวทช. 🎉พิเศษ! สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมเท่านั้น 🎫 Voucher รับคำปรึกษา สำหรับการประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 🎫 Clinic ประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 🎫 พบกับผลิตภัณฑ์และบริการด้าน Smart Factory Solution จาก สวทช. และบริษัทพันธมิตรพิเศษ! สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมเท่านั้น ✨กิจกรรมไม่มีค่าใช้จ่าย รับจำนวนจำกัด 📌 📌 สนใจลงทะเบียนร่วมงาน คลิกที่นี่ 📞 สอบถามเพิ่มเติม : ikd-kas@nstda.or.th  📞 081-710-3831 (คุณชัยนันท์)  
ปฏิทินกิจกรรม
 
งานเปิดตัว “นวัตกรรมอาหารทะเลจากพืช (Ve-Sea) จากเอ็มเทค สวทช. สู่ผลิตภัณฑ์ FoodFill”
ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงานเปิดตัว "นวัตกรรมอาหารทะเลจากพืช (Ve-Sea) จากเอ็มเทค สวทช. สู่ผลิตภัณฑ์ FoodFill" นวัตกรรมอาหารที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและกลูเตน อร่อยเหมือนจริง ด้วยเทคโนโลยีออกแบบโครงสร้างอาหาร ทางเลือกสำหรับผู้แพ้อาหารทะเล ----------------------- พร้อมชมการสาธิตการปรุงอาหาร และชิมเมนู Ve-sea โดยเชฟมืออาชีพและรับฟังเสวนาพิเศษ เรื่อง "อาหารสุขภาพ ธุรกิจแห่งความยั่งยืน" จากนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และนักธุรกิจด้านสุขภาพ ----------------------- พบกันในงาน THAIFEX-ANUGA Asia 2024 วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.00 น. – 16.30 น. ณ ห้องฟีนิกซ์ 2 Hall 10 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ----------------------- ลงทะเบียนหน้างานเวลา 13:00 น. **รับจำนวน 50 ท่านเท่านั้น กําหนดการแถลงข่าว ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพ: เปิดตัวนวัตกรรมอาหารทะเลจากพืช (Ve-Sea) วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.00 น. – 16.30 น. ณ ห้องฟีนิกซ์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงาน THAIFEX-ANUGA Asia 2024 13:00 - 13:30 น. ลงทะเบียนสื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติ 13:30 - 13:40 น. พิธีกรกล่าวต้อนรับ 13:40 - 13:50 น. FoodSERP สวทช. : ขับเคลื่อนวิจัยนวัตกรรมโปรตีนทางเลือก โดย ดร.อศิรา เฟื่องฟูาติ รองผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. 13:50 - 14:00 น. FoodFill : อาหาร สุขภาพ บนความยั่งยืน โดย นายธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการบริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล อินโนเทค จํากัด 14:00 - 14:10 น. เทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหารสําหรับผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช โดย ดร.นิสภา ศีตะปันย์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. 14:15-15:00 น. Food Demonstration และชิมเมนู Ve-sea โปรตีนจากพืชเพื่อสุขภาพ โดย เชฟไอริน พร้อมด้วย คุณบ๊วย เชษฐวุฒิ วัชรคุณ 15:00-15:30 น. ผู้บริหารร่วมถ่ายภาพบนเวทีและให้สัมภาษณ์พิเศษแก่สื่อมวลชน 15:30-16:30 น. เสวนาเรื่อง อาหารสุขภาพ :ธุรกิจแห่งความยั่งยืน  แนวโน้มและตลาดอาหารโปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพ โดย คุณสุธีรา อาจเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโส และผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. นวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ โดย ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. Good Health and Well-being โดย คุณชวนัสถ์ สินธุเขียว ประธานสมาพันธ์สมาคมสปาแอนด์เวลเนสไทย “you are what you eat” 70% ของสุขภาพมาจากการกิน โดย เชฟไอริน เจ้าของร้าน คีโตเพื่อสุขภาพ ชีวิตชีวา KETO & LOWCARB อาหารคุมเบาหวาน ดําเนินการเสวนาโดย คุณแพรว ปาลิดา หงส์กระจ่าง หมายเหตุ: กําหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
ปฏิทินกิจกรรม
 
การนำแบตเตอรี่ไปแช่ในตู้เย็นจะช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ได้จริงหรือ ?
  การนำแบตเตอรี่ไปแช่ในตู้เย็นไม่ว่าจะช่องแช่แข็งหรือช่องแช่เย็นธรรมดาเพื่อยืดอายุการใช้งาน เป็นความเชื่อที่ผิดและไม่ควรทำตาม ! เนื่องจากอุณหภูมิที่เย็นเกินไป ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ อาจจะเกิดการกัดกร่อนตามรอยต่อ และทำให้เกิดการรั่วไหล วิธีการเก็บรักษาแบตเตอรี่ที่ถูกต้อง คือ เก็บรักษาในอุณหภูมิไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป ทั้งนี้หากพบแบตเตอรี่บวมหรือเสื่อมสภาพ ก็ไม่ควรใช้งานต่อ แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่ก้อนใหม่จะเป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุด ข้อมูลจาก : ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. อ้างอิงข้อมูลจาก เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่   เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
บทความ
 
‘ทุเรียนอินทรีย์นิรามิสสุข’ อร่อย ปลอดภัย ใช้ ‘นวัตกรรมถุงแดง’
  “เนื้อเยอะ เม็ดลีบ เปลือกบาง มีรสหวานจากธรรมชาติ และปราศจากสารเคมี” คือจุดเด่นของทุเรียนสวนนิรามิสสุข จังหวัดตราด ที่นอกจากจะผ่านการบ่มเพาะด้วยความใส่ใจแล้ว ยังใช้นวัตกรรม ‘ถุงห่อทุเรียน Magik Growth (เมจิกโกรท)’ ผลงานนักวิจัยไทยที่เข้ามาช่วยลดปัญหาหนอนเจาะผลทุเรียน เพลี้ยแป้ง สัตว์กัดแทะและราดำ รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตทุเรียนด้วย   หนอนเจาะผลทุเรียน ทำผลผลิตเสียหายมากกว่าครึ่ง !   [caption id="attachment_56791" align="aligncenter" width="750"] นายขจรพงศ์ ชูปัญญานนท์ ผู้จัดการสวนนิรามิสสุข จังหวัดตราด[/caption] นายขจรพงศ์ ชูปัญญานนท์ ผู้จัดการสวนนิรามิสสุข จังหวัดตราด เล่าว่า สวนนิรามิสสุขมีพื้นที่ทั้งหมด 50 ไร่ เป็นพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 30 ไร่ แบ่งเป็นทุเรียน 10 ไร่ และมังคุดกับลองกองรวม 20 ไร่ ทั้งนี้มีแนวคิดหันมาทำสวนทุเรียนอินทรีย์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการทำเกษตรอินทรีย์มีปัญหาหนักที่ต้องเจอ คือ โรคและแมลง อีกทั้งความรุนแรงก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะแมลงศัตรูพืช “ปัญหาใหญ่ที่พบคือ ‘หนอนเจาะทุเรียน’ แต่ละปีผลผลิตทุเรียนมีความเสียหายรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งปีล่าสุด ผลผลิตทุเรียนเสียหายมากกว่า 50% สมมติมีทุเรียน 1,000 กว่าลูก โดนหนอนเจาะไปแล้ว 600-700 ลูก ซึ่งทุเรียนที่หนอนเจาะส่งขายไม่ได้ ก็ต้องหาทางออกด้วยการแกะเนื้อทุเรียนไปแปรรูป เช่น ทุเรียนกวน ทำให้มูลค่าการขายลดลง สร้างความเสียหายอย่างมาก”     นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน ป้องกันหนอนเจาะ 100% ที่ผ่านมาสวนนิรามิสสุขพยายามหาวิธีแก้ปัญหา ทั้งการใช้สารชีวภัณฑ์ สมุนไพร รวมถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ในการป้องกันแต่ยังไม่เห็นผลเด่นชัด กระทั่งเจอนวัตกรรม ‘ถุงห่อทุเรียน Magik Growth’ ผลงานการพัฒนาของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่อาจเป็นทางออก “ตอนแรกเห็นราคาถุงห่อทุเรียน Magik Growth ก็แอบลังเลใจ เพราะราคาใบละ 40 กว่าบาท แต่เมื่อมองในระยะยาว ถุงห่อใช้ซ้ำได้ถึง 2-3 รอบการผลิต และสามารถส่งกลับคืนไปยังผู้ขายเพื่อแลกเป็นส่วนลดกับการซื้อถุงล็อตใหม่ได้ ก็คิดว่าถ้าใช้แล้วดีในระยะยาวก็น่าลอง ในช่วงปีแรกทดลองใช้ถุงห่อทุเรียนบางส่วนก่อนประมาณ 30 ต้น ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นที่พอใจมาก เพราะป้องกันหนอนเจาะทุเรียนแทบ 100% ทำให้ปัจจุบันนี้สวนนิรามิสสุขใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth กับทุเรียนทุกต้นทั้งสวนมาแล้วถึง 3 รอบการผลิต”     การใช้ถุงห่อทุเรียนไม่เพียงลดผลผลิตที่เสียหาย แต่ยังได้เสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างล้นหลามถึง ‘คุณภาพทุเรียน’ “ผู้บริโภคและแม่ค้าที่รับทุเรียนไปขายบอกว่า ทุเรียนของเราคุณภาพดี ผิวสวย มีปริมาณเนื้อทุเรียนเยอะ เม็ดเล็ก เปลือกบาง เวลาผ่าลูกทุเรียนเห็นเนื้อทุเรียนแล้ว ลูกค้าชอบมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ด้วยเช่นกัน ดังนั้นนวัตกรรมนี้ไม่ได้มีดีแค่ป้องกันแมลง แต่ช่วยยกระดับคุณภาพทุเรียนด้วย”         ความลับที่ซ่อนอยู่ใน ‘ถุงแดง’ เห็นเป็นเพียงถุงแดง ๆ ใช่ว่าจะออกแบบมาแค่ห่อหุ้มทุเรียนไม่ให้แมลงหรือสัตว์กัดแทะเข้าทำลายผล เพราะถุงห่อทุเรียน Magik Growth ยังผ่านการวิจัยและพัฒนาให้มีสมบัติพิเศษต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของผลทุเรียน   [caption id="attachment_56787" align="aligncenter" width="750"] ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. ผู้พัฒนาถุงห่อทุเรียน Magik Growth กล่าวว่า ถุงห่อถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นโครงสร้าง 3 มิติ เกิดจากการพัฒนาสูตรพอลิเมอร์ และใช้เทคโนโลยีการขึ้นรูปนอนวูฟเวน ทำให้ถุงมีรูพรุนและความหนาที่เหมาะสม ช่วยให้ถ่ายเทน้ำและอากาศได้ดี แต่ขณะเดียวกันถุงห่อก็แข็งแรงพอที่จะนำกลับมาใช้งานซ้ำได้ถึง 2-3 ฤดูกาลผลิต นอกจากนี้ผิวด้านนอกถุงห่อยังมีความลื่นจึงช่วยลดการเข้าทำลายของสัตว์กัดแทะ เช่น กระรอก กระแต และกระถิกได้ “ตัวถุงห่อที่เลือกใช้สีแดง เพราะเป็นช่วงคลื่นแสงที่ช่วยกระตุ้นการพัฒนาผลในทุเรียน ลดปริมาณเส้นใย และปริมาณไฟเบอร์ในเนื้อทุเรียน พร้อมกันนี้ตัวถุงยังสามารถคัดกรองช่วงแสงที่มีความจำเพาะต่อการเติบโตของทุเรียนด้วย ช่วยให้ทุเรียนสร้างสารสำคัญในผลไม้ทั้งแป้ง น้ำตาล สารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ทั้งนี้จากการเก็บข้อมูลการทดลองใช้ถุงห่อทุเรียนทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและภาคสนามร่วมกับภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พบว่าถุงห่อช่วยให้น้ำหนักและปริมาณเนื้อของทุเรียนเพิ่มขึ้น”     ถุงห่อทุเรียนคุ้มค่า ! ลดสารเคมี เพิ่มมูลค่าการขาย การใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth แม้จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในเรื่องของค่าถุง และค่าจ้างในการห่อผล แต่ผู้ประกอบการและเกษตรกรที่หันมาทดลองใช้ต่างยืนยันว่าคุ้มค่าในระยะยาว เพราะนอกจากช่วยลดต้นทุนการใช้สารเคมีได้มากแล้ว ยังช่วยพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพดีระดับพรีเมียม ดร.ณัฐภพ เล่าว่า เทคโนโลยีถุงห่อทุเรียน Magik Growth มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บริษัทเอกชนเพื่อผลิตและจัดจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว ปัจจุบันมีสวนทุเรียนนำถุงห่อทุเรียนไปใช้งานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออก เช่น จ.ระยอง จันทบุรี และตราด เกษตรกรผู้ใช้งานบอกว่า การห่อทุเรียนทำให้ผิวเปลือกทุเรียนสะอาด สีสวย ลดการเกิดโรคและความเสียหายจากแมลง ช่วยลดการใช้สารเคมี อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคและเกษตรกร ที่สำคัญผลทุเรียนที่ได้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เปลือกบาง ปริมาณเนื้อเยอะ ทำให้เพิ่มราคาขายได้อีกด้วย ล่าสุดล้งส่งออกทุเรียนจันทบุรี (ล้งเอ-ต่าย) ซึ่งรับซื้อผลผลิตทุเรียนปีละหลายตันเพื่อส่งออกไปยังประเทศเกาหลีใต้ ได้ร่วมสนับสนุนเกษตรกรในเครือข่ายใช้ทุเรียนถุงห่อ Magik Growth เพื่อบรรเทาผลกระทบความเสียหายจากการตรวจพบสารเคมีที่เปลือกทุเรียน     ผลผลิตทุเรียนปลอดภัย เพราะใช้ถุงแดง สำหรับสวนนิรามิสสุขที่ปลูก ‘ทุเรียนอินทรีย์’ การใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth อาจไม่ได้มีผลต่อการลดต้นทุนสารเคมี แต่ถุงห่อทุเรียนคือตัวช่วยชั้นดีที่ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายการผลิต ‘ทุเรียนปลอดภัย’ “เราตั้งใจปลูกทุเรียนปลอดภัย อยากปลูกผลไม้ปลอดภัยให้ผู้บริโภคได้รับประทาน ซึ่งนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth เข้ามาตอบโจทย์ได้มาก ทั้งสร้างความแตกต่าง และเป็นเกราะป้องกันปัญหาโรคและแมลงได้ 100% ที่สำคัญคือการห่อทุเรียนทำให้เรารู้สึกว่าได้ดูแลทุเรียนทุกลูกจริง ๆ อีกทั้งเสียงตอบรับจากผู้บริโภคต่างก็ประทับใจทั้งในเรื่องคุณภาพและเนื้อสัมผัส ทำให้เราจะยังใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ต่อไป เพื่อสร้างผลผลิตและนิเวศปลอดภัยให้ทุกคน” นายขจรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย     ถุงห่อทุเรียน Magik Growth นับเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับ ‘ผลไม้เศรษฐกิจไทย’ ให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากการใช้สารเคมี ดีต่อสุขภาพผู้บริโภคและเกษตรกร ตอบโจทย์การขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยสู่ความยั่งยืน     เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
อวท. ร่วมพันธมิตรเปิดหลักสูตรอบรมสร้างแบรนด์ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมกับ KickStart Academy จาก บริษัท พีช แอนด์ โค คอร์ปอเรชั่น จำกัดเปิดโอกาสให้คุณได้เป็นเจ้าของแบรนด์แบบมืออาชีพ  ด้วยหลักสูตรพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้สำหรับธุรกิจอาหารเสริมสุขภาพ Functional Food & Supplement Business Masterclass (FBM) ✅️ เรียนรู้จากวิทยากรผู้มีประสบการณ์จริงชั้นแนวหน้าของธุรกิจ ✅️ เนื้อหาหลักสูตรครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ✅️ ให้คุณได้เรียนรู้จริง เห็นจริง และลงมือทำจริง ✅️ มีผู้เชี่ยวชาญดูแลแบบ One on One ตลอดการอบรม ✅️ เปิดมุมมองความต้องการของตลาดในระดับนานาชาติ สิ่งที่คุณจะได้รับจากการเรียนหลักสูตร FBM ✨สูตรตำรับและต้นทุนของผลิตภัณฑ์ พร้อมให้คุณนำไปใช้ในการจ้างโรงงานผลิต ✨เราช่วยคุณออกแบบโลโก้ บรรจุภัณฑ์ พร้อมจดทะเบียนเครื่องการค้าให้กับแบรนด์ของคุณ ✨มีโอกาสได้ยื่นขอทุน  Proof of Concept (POC) จาก TED Fund มูลค่า 1.5  ล้านบาท ✨โอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ตรงที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจจริง ✨กิจกรรมศึกษาดูงาน ที่พาคุณไปเห็นและสัมผัสกับกระบวนการผลิต ✨รับประกาศนียบัตรจากอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) 🖊️รับสมัคร : ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2567 🗓️ระยะเวลาเรียน : 3 สิงหาคม - 27 กันยายน2567 (ทุกวันเสาร์ยกเว้นวันสุดท้ายเป็นวันศุกร์) ⏰ชั่วโมงเรียนจำนวน 63 ชั่วโมง รวม 9 วัน (ห้องเรียน 7.5 วัน + Field Trip 1.5 วัน) 📍สถานที่เรียน อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และโรงแรมยู สาทร สนใจหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ 🔹️เบอร์ 083-038-3709 🔹️Line @fbm.contact
ปฏิทินกิจกรรม
 
ขอเชิญนักสังคมสงเคราะห์และท่านที่สนใจ เข้าประชุมวิชาการสมาคมนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทย ประจำปี2567
ในหัวข้อ " หัวข้อ “ยกระดับบริการคลินิกสังคมสงเคราะห์ " สนับสนุนโดย โครงการ social tele care สสส. ในวันที่ วันศุกร์ที่ 7-8 มิถุนายน 2567 ณ ห้องประชุม 1209 ชั้น 12 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และระบบออนไลน์ ผ่าน Zoom Meeting หัวข้อน่าสนใจ เทคโนโลยีดิจิทัล ในระบบบริการสุขภาพไทย บรรยายพิเศษ โดย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข 2.บรรยายพิเศษ A-MED home ward กับการดูแลผู้ป่วยยาเสพติดและผู้ป่วยจิตเวชที่บ้าน โดย อธิบดีกรมการแพทย์ และ การตระหนักรู้ เทคโนโลยีดิจิทัล สำหรับนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ โดย ดร. กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) *** ดาวโหลด หนังสือเชิญประชุม ได้ที่ https://shorturl.at/enrwO *** ลงทะเบียน เข้าประชุม ได้ที่ https://shorturl.at/iDOU2 และดาวโหลดเอกสารการประชุมและรหัสซูมได้ที่ .....https://shorturl.at/lqyBN  
ปฏิทินกิจกรรม