หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เตือนระวังเห็ดพิษ ! ภัยร้ายหน้าฝน
นักวิจัย สวทช. เตือนระวัง #เห็ดพิษ ! ภัยร้ายหน้าฝน อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่ชัวร์ ไม่เชี่ยวชาญ อย่าชิมเด็ดขาด
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ไบโอเทค สวทช. มุ่งมั่นวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพด้านสาหร่าย กว่า 20 ปี หนุนอุตฯ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย หวังเป็นผู้นำส่งออกสัตว์น้ำโลกได้อีกครั้ง
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA and its mission in algal biotechnology development to boost Thai aquaculture industry ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพด้านสาหร่ายมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 20 ปี มีหน่วยวิจัยเฉพาะด้าน ได้แก่ ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพปลาและกุ้ง ซึ่งร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาการนำส่งสาหร่ายเซลล์เดียวดัดแปลงทางการกินช่วยแก้ไขปัญหาโรคในกุ้งและสัตว์น้ำอื่น และทีมวิจัยชีวศาสตร์และชีววิทยาระบบ ซึ่งร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พัฒนาชีววิทยาระบบของสาหร่ายครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการเพาะเลี้ยง การสกัดสารสำคัญ และการเพิ่มมูลค่า ทั้งหมดล้วนเพื่อช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aquaculture) ให้เกิดความยั่งยืน ลดพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศ สร้างจุดแข็งการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย หวังกลับมาเป็นผู้ส่งออกสัตว์น้ำแถวหน้าของโลกได้อีกครั้ง ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพปลาและกุ้ง ไบโอเทค สวทช. ที่มีความร่วมมือกับคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรหม หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพปลาและกุ้ง ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ม.มหิดล และไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมกันสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงกุ้งเศรษฐกิจ เกิดเป็น “หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง (Centex Shrimp)” เพื่อพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องโรคกุ้งและโรคในสัตว์น้ำชนิดอื่น โดยงานวิจัยด้านสาหร่ายที่พัฒนาคือ เทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียว ที่มีการดัดแปลงพันธุกรรมของสาหร่ายเซลล์เดียวให้สามารถสร้างชีวโมเลกุลอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านโรคอย่างมีประสิทธิภาพและจำเพาะเจาะจง รวมถึงมีคุณลักษณะในการสังเคราะห์อาหารด้วยแสงเป็นตัวคัดเลือกสาหร่ายที่ได้รับการดัดแปลง แทนที่จะใช้ยีนต้านยาปฏิชีวนะอย่างในระบบการดัดแปลงพันธุกรรมดั้งเดิมที่ใช้กันซึ่งสร้างความกังวลแก่การนำไปใช้จริง โดยสาหร่ายเซลล์เดียวนี้ทำให้การใช้จุลชีพดัดแปลงในอุตสาหกรรมเลี้ยงกุ้งมีความเป็นไปได้มากขึ้น เนื่องจากการระบาดของโรคไวรัสยังเกิดขึ้นต่อเนื่องและยังไม่มีเทคโนโลยีชีวภาพใดช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับฟาร์ม โดยสารชีวโมเลกุลที่ทีมได้วิจัยขึ้นพิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งโรคไวรัส ได้แก่ อาร์เอ็นสายคู่ที่จำเพาะต่อสารพันธุกรรมของไวรัส ซึ่งจะยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสผ่านกระบวนการอาร์เอ็นเออินเตอร์เฟียแรนซ์ สามารถนำส่งสาหร่ายเซลล์เดียวดัดแปลงทางการกิน ทำให้เกิดความสะดวกในการนำส่งอาร์เอ็นเอสายคู่ ลดขั้นตอนทำบริสุทธิ์ และยังทำให้สัตว์น้ำได้รับสารอาหารเพิ่มเติมจากสารชีวโมเลกุลที่มีอยู่แล้วด้วย จากผลวิจัย พบว่า สามารถป้องกันการตายจากโรคตัวแดงดวงขาวได้ถึง 70% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมและกลุ่มที่ได้กินสาหร่ายสายพันธุ์ดั้งเดิมที่อัตราตายเกือบ 100% นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะช่วยซื้อเวลาให้กับเกษตรกรในการกอบกู้สถานการณ์ แก้ไขปัญหาหน้าฟาร์ม เพื่อลดความรุนแรงของโรคไวรัส และลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น “เทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียว ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การใช้เพื่อผลิตอาร์เอ็นเอสายคู่ แต่ยังขยายผลใช้ผลิตสารชีวโมเลกุลชนิดอื่น ๆ ได้ เช่น โปรตีนเพื่อพัฒนาเป็นซับยูนิตวัคซีนแบบกิน โปรตีนที่ช่วยเพิ่มการเติบโตของสัตว์น้ำ และเปบไทด์สายสั้นที่ได้พิสูจน์แล้วว่ามีฤทธิ์ทางชีวภาพ เพื่อเป็นอาหารเสริมฟังก์ชั่นให้แก่สัตว์น้ำ โดยนอกจากผงสาหร่ายเซลล์เดียวดัดแปลงที่พัฒนาขึ้น ทีมวิจัยยังมีระบบการผลิตสารชีวโมเลกุลที่พร้อมให้ประยุกต์ใช้เพื่อผลิตสารชีวโมเลกุลตามโจทย์ความต้องการเกษตรกรในด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำในประเทศไทยและศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลก โดยในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาของทีมวิจัยได้สร้างผลกระทบในหลายภาคส่วน ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่มีการนำผลงานวิจัยและองค์ความรู้ไปใช้ในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยง และมีเอกชนด้านอาหารและเวชภัณฑ์นำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ในด้านสังคมเกิดการนำผลงานไปใช้ประโยชน์ในกลุ่มเกษตรผู้เพาะเลี้ยง และในด้านวิชาการมีการต่อยอดผลงานวิจัยจากนักวิจัยทั้งในและต่างประเทศ มีจำนวนอ้างอิงผลงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทีมวิจัยหวังว่า วันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียวจะเป็นกลไกหนึ่งที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการฟาร์ม ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยกลับมาเป็นผู้นำการส่งออกสัตว์น้ำได้อีกครั้ง” ดร.วรรณวิมล กล่าว ทีมวิจัยชีวศาสตร์และชีววิทยาระบบ ไบโอเทค สวทช. ที่มีความร่วมมือกับ มจธ. ดร.อภิรดี หงส์ทอง หัวหน้าทีมวิจัยชีวศาสตร์และชีววิทยาระบบ ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค สวทช. กับ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เริ่มมาตั้งแต่ปี 2530 ด้วยโครงการ “การนำน้ำทิ้งจากโรงงานแป้งมันสำปะหลังมาเป็นแหล่งอาหารเพื่อใช้เลี้ยงสาหร่ายสไปรูลิน่า” เกิดเป็นการจัดตั้ง “กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย (Algal Biotechnology)” ที่ดำเนินงานโดยทีมอาจารย์นักวิจัย มจธ. และนักวิจัยไบโอเทค โดยงานวิจัยและพัฒนาของกลุ่มวิจัย เน้น 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) การเพาะเลี้ยง (Mass Cultivation) มุ่งเน้นให้ได้ผลผลิตและประโยชน์จากผลผลิตมากที่สุด มีงานวิจัยถึงผลของปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่อการเจริญของสาหร่ายสไปรูลิน่า การพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์ การพัฒนาสูตรอาหาร และการศึกษาด้านการจำลองทางคณิตศาสตร์ของระบบเพาะเลี้ยง โดยได้พัฒนาระบบการเพาะเลี้ยง ตั้งแต่ห้องแล็บจนระดับอุตสาหกรรม บ่อระบบเพาะเลี้ยงนอกอาคาร ซึ่งการศึกษาเริ่มที่สไปรูลิน่า รวมไปถึงสาหร่ายขนาดเล็กอื่นๆ และยังเป็นศูนย์ฝึกอบรมระบบการเพาะเลี้ยงแก่ภาคเอกชนและฟาร์มที่จะเลี้ยงสาหร่ายด้วย 2) สารเคมีมูลค่าสูง (High Value Chemicals) โดยศึกษาวิจัยสภาวะการเลี้ยง อิทธิพลของปัจจัยแวดล้อมต่อการสร้างสารต่าง ๆ ในสไปรูลิน่า การสกัดสารเคมีมูลค่าสูง เช่น ลิปิด กรดไขมันโอเมก้า3 ไฟโคไซยานิน และโพลีแซคคาไรด์จากสไปรูลิน่า รวมถึงศึกษาคุณสมบัติการเป็นสารออกฤทธิ์ชีวภาพ (Bioactive compound) ของสารต่าง ๆ ในสไปรูลิน่า งานด้านนี้จะเน้นเรื่องการสกัดสารสำคัญจากสาหร่ายสไปรูลิน่า เช่น ไฟโคไซยานินที่เป็นสารสีน้ำเงิน ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึงกิโลกรัมละ 14,000 บาท และมีบทความวิจัยที่แสดงการนำไปใช้ในทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ด้วย โดยกลุ่มวิจัยศึกษาถึงกระบวนการสกัดและขยายการผลิตให้มีต้นทุนต่ำลง 3) การศึกษาด้านชีวโมเลกุล (Molecular biology) มุ่งเน้นให้เกิดความรู้ความเข้าใจระดับชีวโมเลกุลของสาหร่ายสไปรูลิน่า รวมถึงกลไกการควบคุม และการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ชีวภาพ (Bioactive compound) โดยเป็นการศึกษาระดับเซลล์ เช่น สภาวะ stress response (การตอบสนองต่อความเครียดของเซลล์) ช่วงเวลาและปัจจัยการเลี้ยงที่มีผลต่อการสร้างสารเป้าหมาย เป็นต้น ซึ่งล้วนมีผลต่อการสร้างสารสำคัญของสาหร่าย นอกจากนั้นมีการพัฒนาระบบการถ่ายทอดยีนเข้าไปในสาหร่ายสไปรูลิน่า เพื่อใช้เป็นแหล่งผลิตสารเป้าหมาย รวมถึงวิจัยต่อยอดในเรื่องการสกัดโปรตีนจากสาหร่าย เพื่อผลิตเปปไทด์ออกฤทธิ์ต้านทานเชื้อโรค ใช้เป็นอาหารเสริมให้ลูกกุ้งขาววัยอ่อน และใช้สาหร่ายเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกด้วย “กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย มีองค์ความรู้ (knowledge) และความชำนาญ (know-how) ในเรื่องชีววิทยาระบบ (system biology) เป็นอย่างดี งานวิจัยครบวงจร ตั้งแต่การเพาะเลี้ยง การสกัดหรือดึงสารสำคัญของสาหร่ายออกมาใช้ประโยชน์ และการเพิ่มมูลค่าโดยเฉพาะต่อยอดให้เกิดเป็นเปปไทด์ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive peptide) ต่าง ๆ รวมทั้งวิเคราะห์ Bioactive peptide ชนิดต่าง ๆ ด้วย AI-based Platform ชื่อ SmartBioPep ที่ทางกลุ่มวิจัยได้พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งการดำเนินงานใน 3 แนวทางข้างต้นสามารถนำไปปรับใช้กับการศึกษาในสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่เพียงสาหร่ายสไปรูลิน่าได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาทางกลุ่มวิจัยได้มีการทำงานร่วมกับภาคเอกชนที่เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศในการศึกษาวิจัยเชิงลึก มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยง และการออกแบบระบบ รวมถึงกระบวนการสกัดสารเคมีมูลค่าสูงจากสาหร่ายสไปรูลิน่าให้แก่ภาคเอกชนที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้เกิดเป็นเครือข่ายระหว่างกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ อันจะนำไปสู่การให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และผลิตงานวิจัยได้ตรงความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่ายของกลุ่มวิจัยต่อไป” ดร.อภิรดี กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สดนาน! ยืดอายุน้ำมะนาว ด้วยกระบวนการ “นาโนเทคโนโลยี”
สวทช. จัดกิจกรรม NSTDA Meets The Press นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ จ.ลำปาง และ จ.เชียงใหม่ ไปพบปะกับเกษตรกรผู้ปลูกมะนาว และผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ "มะนีมะนาว" พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตน้ำมะนาวคั้นสด ที่มีคุณสมบัติคงสภาพความสดใหม่ได้นาน ด้วยกระบวนการแช่เยือกแข็งพิเศษ ซึ่งออกแบบและพัฒนากระบวนการโดยนักวิจัยนาโนเทค สวทช.   สำหรับ "มะนีมะนาว" เป็นต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีระดับนาโนไปพัฒนากระบวนการแปรรูปและยืดอายุผลผลิตทางการเกษตร นับเป็นตัวอย่างของการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG  และใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน หรือ FoodSERP ของ สวทช. ที่พร้อมนำองค์ความรู้ด้านต่างๆ ไปช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ให้ตอบโจทย์ตลาดและผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. – วช. ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย ระดมสมอง วางกลไกด้านจริยธรรมของประชาคมวิจัยไทย
For English-version news, please visit : NSTDA-NRCT seminar aims to foster research integrity in Thailand (วันที่ 14 กรกฎาคม 2566) ณ ห้องแมจิก 3 ชั้น 2 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดประชุมเสวนาเรื่อง “เครือข่ายพันธมิตรภารกิจ Research Integrity” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานด้านจริยธรรมการวิจัยในหน่วยงานของแต่ละสถาบัน ร่วมกันวางกลไกการป้องกันการประพฤติมิชอบทางการวิจัยของประชาคมวิจัยให้กับประเทศ และทิศทางการดำเนินงานร่วมกันในอนาคต รวมถึงแบ่งปันความรู้ ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมในการทำวิจัยที่ดี โดยมีอธิการบดี ผู้บริหาร ผู้แทนจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เข้าร่วมงาน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จริยธรรมการวิจัย หรือ Research Integrity เป็นเรื่องที่สถาบันการศึกษา สถาบันการวิจัย และองค์กรที่ดำเนินงานเกี่ยวข้องกับงานวิจัยทั่วโลกล้วนให้ความสำคัญ เนื่องจากการขาดความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักเรื่องจริยธรรมการวิจัย จะนำไปสู่การประพฤติมิชอบทางการวิจัย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อวงการวิชาการเป็นอย่างมาก อีกทั้งในปัจจุบันเราอาจพบปัญหาการกระทำผิดจริยธรรมการวิจัยในรูปแบบใหม่ ๆ ที่นักวิจัยสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น เช่น การซื้อขายชื่อผู้นิพนธ์ หรือการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ มาช่วยในกระบวนการทำวิจัยในลักษณะที่ไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย เป็นต้น ทั้งนี้ สวทช. เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและพัฒนาอย่างมีคุณภาพและเป็นไปตามแนวทางจริยธรรมการวิจัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยมีการสร้างระบบการจัดการเรื่องจริยธรรมการวิจัยอย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น การริเริ่มจัดตั้งฝ่ายส่งเสริมจริยธรรมการวิจัย (The Office of Research Integrity: ORI) เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมการวิจัยในด้านต่าง ๆ ของหน่วยงานให้ถูกต้อง สอดคล้องตามหลักจริยธรรมการวิจัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้มีส่วนร่วมทำหน้าที่ในคณะกรรมการส่งเสริม และสนับสนุนจริยธรรมการวิจัยของประเทศ (Thailand Research Integrity Network: TH-RIN) ซึ่ง สวทช. จะช่วยบริหารจัดการการดำเนินงานต่าง ๆ ของคณะกรรมการ TH-RIN และช่วยสร้างความตระหนักด้านจริยธรรมการวิจัยของประเทศในระยะแรก ก่อนที่จะส่งผ่านภารกิจนี้ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เช่น สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ดำเนินการจัดการและดูแลเรื่องจริยธรรมการวิจัยของประเทศต่อไป ในโอกาสนี้ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในฐานะเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมนี้ ได้บรรยายในหัวข้อ “บทบาทของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติกับการพัฒนาเครือข่ายพันธมิตร TH-RIN: Thailand Research Integrity Network” กล่าวว่า วช. ในฐานะหน่วยงานภายใต้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีพันธกิจตาม พระราชบัญญัติบริหารราชการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการจัดทำ มาตรฐานและจริยธรรมการวิจัย มุ่งที่ จะสร้างความเข้มแข็งด้านมาตรฐาน การวิจัยและนวัตกรรมให้กับประเทศ มีกลไกที่สนับสนุนการดำเนินงานด้าน มาตรฐานและจริยธรรมการวิจัย ได้แก่จัดทำคู่มือ “จรรยาวิชาชีพวิจัยและ แนวทางปฏิบัติ” และ “คู่มือมาตรฐาน การเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานทาง วิชาการ” การจัดฝึกอบรมจรรยาบรรณ วิชาชีพวิจัยให้แก่นักวิจัย สถาบันวิจัย และผู้สนใจทั่วไป และเผยแพร่บนเว็บไซต์สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ จัดทำหลักสูตรเรียนรู้ออนไลน์ เรื่อง มาตรฐานและจริยธรรมการวิจัย และ อยู่ระหว่างพัฒนาเครือข่ายและ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ด้าน จริยธรรมการวิจัย “การจัดการประชุมในวันนี้ จะช่วยสร้างความตระหนัก และเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงาน ของ หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเรื่อง จริยธรรมการวิจัยทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่การร่วม วิเคราะห์ วางแผน ปรับปรุงกลยุทธ์การ ดำเนินงาน และพัฒนาการกำกับดูแล ด้านจริยธรรมการวิจัยของประชาคม วิจัยให้กับประเทศต่อไป ตลอดจนขยายเครือข่ายความร่วมมือด้าน จริยธรรมการวิจัยในระดับประเทศและระดับนานาชาติ” ดร.วิภารัตน์ กล่าว นอกจากนี้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ประธานคณะกรรมการส่งเสริม และสนับสนุนจริยธรรมการวิจัยของประเทศ ได้นำเสนอ (ร่าง) หลักจริยธรรมการวิจัย และการนำไปใช้ในประเทศไทย โดยได้เชิญผู้บริหาร ผู้แทนเครือข่ายพันธมิตรภารกิจ Research Integrity Network จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยทั่วประเทศ ตลอดจนนักวิจัย และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการวิจัย ร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ(ผ่านระบบออนไลน์) ต่อ (ร่าง) หลักการจริยธรรมการวิจัย: การนำมาใช้ในประเทศไทย (Principles of research ethics: application to Thailand) เพื่อนำความคิดเห็นและประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบการพิจารณารับรอง (ร่าง) หลักการจริยธรรมการวิจัยฯ ในการประชุม “เครือข่ายพันธมิตร ภารกิจ Research Integrity” ต่อไป   ลิงก์สำหรับดาวน์โหลด (ร่าง) หลักการจริยธรรมการวิจัยฯ: https://drive.google.com/file/d/1CLkCatGrvLa-xZQVST5mH7gCxAF8sTG4/view?usp=sharing
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ HUTCHINSON Japan ร่วมวิจัยระบบรางและการพัฒนายานยนต์สมัยใหม่  
For English-version news, please visit : NSTDA and Hutchinson Japan establish research collaboration in rail and modern transport วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ณ อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ Mr. Frederic LE DU Senior Vice President Asia, Representative of Director of Hutchinson Japan Co., Ltd. ร่วมลงนามข้อตกลงรักษาความลับระหว่างกัน (Mutual Non-Disclosure Agreement) เพื่อร่วมวิจัยทางด้านระบบรางและการพัฒนายานยนต์สมัยใหม่ โดยมี ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. และ Mr. Alexandre ORSOLINI, Director of Hutchinson Hiroshima Kasei Sealing (Thailand) Co., Ltd. เป็นพยานและร่วมพิธีลงนาม ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการดำเนินงานระหว่างศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (Rail and Modern Transport Research Center:RMT) สวทช. และ HUTCHINSON Japan ในระยะแรกจะร่วมดำเนินงาน 2 โครงการ ได้แก่  (1) Correlation between vibration force and changing mechanical behavior และ     (2) Elastic waves-based structural health monitoring using sensor array network for train's structure failure prevention  โดยใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีเซนเซอร์ของ HUTCHINSON
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ประกาศผล ‘ทีมกาแล็กติก 4’ คว้ารางวัลชนะเลิศ ‘คิโบะ โรบ็อต โปรแกรมมิง ชาเลนจ์ ครั้งที่ 4’ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันชิงแชมป์ระดับนานาชาติ ตุลาคมนี้
  (12 กรกฎาคม 2566) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตร ประกาศผลการแข่งขัน “โครงการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge” โดยทีมกาแล็กติก 4 (Galactic 4) คว้ารางวัลชนะเลิศของการแข่งขัน ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติผ่านทางออนไลน์ ในภารกิจแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศแอสโตรบี (Astrobee) ที่ปฏิบัติงานอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) ให้ปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย โดยจะถ่ายทอดสดจากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม 2566 นี้   [caption id="attachment_44748" align="aligncenter" width="700"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]   ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สวทช. ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือแจ็กซา และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สถาบันเทคโนโลยีอวกาศนานาชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ บริษัทเดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และบริษัทเอ็นบีสเปซ จำกัด ร่วมกันจัดแข่งขันโครงการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge เพื่อพัฒนาขีดความรู้ความสามารถด้านสเต็มศึกษาของเยาวชนไทย ซึ่ง สวทช. เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบชิงแชมป์ประเทศไทย ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยใช้ภารกิจการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในระบบจำลองหรือ Simulation ควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ Astrobee เพื่อแก้ไขสถานการณ์แอมโมเนียรั่วไหลภายในสถานีอวกาศ โดยคัดเลือกผู้ชนะเพียง 1 ทีมที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดจาก 182 ทีมทั่วประเทศที่สมัครเข้าร่วมโครงการ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติต่อไป “ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมชนะเลิศได้แก่ ทีมกาแล็กติก4 (Galactic4) จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีสมาชิก 4 คน ประกอบด้วย นายณัฐวินทร์ แย้มประเสริฐ นายเดชาธร ดาศรี    นายกษิดิศ ศานต์รักษ์ และนายชีวานนท์ ชุลีคร ทั้งหมดเป็นนักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติ ในรายการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge ร่วมกับตัวแทนเยาวชนอีก 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2566” ดร.จุฬารัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีมสเปซเพนกวิน (Space Penguin) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีมจีดับเบิลยูอาร์ทีม (GWR Team) จากสถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และรางวัลทีมนำเสนอดีเด่น ได้แก่ ทีมยูเมะ (Yume) จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)   [caption id="attachment_44749" align="aligncenter" width="450"] ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.[/caption]   ด้าน ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. กล่าวเสริมว่า ในปีนี้มีเยาวชนสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 182 ทีม เป็นจำนวนที่สูงมากที่สุดในบรรดาประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสนใจของเยาวชนไทยที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเข้าร่วมกิจกรรม โดยแบ่งออกเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 18 ทีม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 130 ทีม ระดับมหาวิทยาลัย จำนวน 34 ทีม ซึ่งประสบการณ์จากการเขียนโปรแกรมครั้งนี้ จะทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้พัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ อย่างบูรณาการ ทั้งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และยังได้พัฒนาทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 อาทิ การคิดวิเคราะห์และการทำงานร่วมกันเป็นทีม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้และประสบการณ์ที่เยาวชนได้รับจากการแข่งขันครั้งนี้ จะมีส่วนส่งเสริมต่อยอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้ได้บุคลากรที่มีคุณภาพมาช่วยพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต   [caption id="attachment_44755" align="aligncenter" width="700"] นายทาเคฮิโระ นากามูระ (Takehiro Nakamura) ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ[/caption]   นายทาเคฮิโระ นากามูระ (Takehiro Nakamura) ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ  กล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีแก่เยาวชนไทยผู้สมัครเข้าร่วมแข่งขันทั้ง 182 ทีมว่า “รู้สึกประทับใจในการตอบรับการเข้าร่วมการแข่งขันจากทุกทีมเป็นอย่างยิ่ง ตลอดระยะเวลาหลายเดือนของการพัฒนาโปรแกรมเพื่อการแข่งขันได้เห็นถึงความตั้งใจของทุก ๆ ทีม ในการจะพัฒนาโค้ดเพื่อเอาชนะโจทย์การแข่งขันให้ดีที่สุด ภายใต้แนวคิดการทำงานจริงบนสถานีอวกาศ ขอแสดงความยินดีกับทุก ๆ ทีมที่ได้รับรางวัล และขอต้อนรับทีมผู้ชนะเลิศสู่การแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติที่จะถ่ายทอดสดมาจากศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น หวังว่าจะได้รับประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผลงานและการทำงานในอนาคตต่อไป”     สำหรับทีมตัวแทนประเทศไทยจะได้เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์นานาชาติผ่านทางออนไลน์ โดยถ่ายทอดสดจากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคมนี้ ผ่านช่องยูทูบของแจ็กซา ทั้งนี้เยาวชนที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกคนจะสื่อสารตรงไปที่สถานีอวกาศนานาชาติซึ่งมีนักบินอวกาศเป็นผู้ควบคุมการแข่งขันและได้สัมผัสกับศูนย์อวกาศสึกุบะซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นสถานที่หลักสำหรับปฏิบัติการโครงการวิจัยอวกาศของญี่ปุ่น และฝึกฝนนักบินอวกาศชาวญี่ปุ่นที่ขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานีอวกาศนานาชาติ ผู้สนใจติดตามข่าวความเคลื่อนไหวโครงการ Kibo Robot Programming Challenge ครั้งที่ 4 ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation หรือเฟซบุ๊ก NSTDA SPACE Education     เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรกมล พลสงคราม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
บ.เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จับมือ นาโนเทค สวทช. ยกระดับเกษตรมูลค่าสูง ผลิต ‘น้ำมะนาวคั้นสด’ สดนาน 2 ปี สร้างกระแสบริโภค ‘น้ำมะนาวแช่แข็ง’  
“มะนาว” ถือเป็นพืชเศรษฐกิจคู่ครัวไทยที่ชูรสชาติอาหารไทยแท้ ๆ ซึ่งทั่วโลกต่างให้การยอมรับในตำรับอาหารไทยที่ปรุงด้วยมะนาวอย่าง ‘ต้มยำกุ้ง’ ทว่าปัญหาราคามะนาวมีความผันผวนทุกปี โดยในบางช่วงมะนาวราคาแพงลูกละ 5-8 บาท ขณะที่บางช่วงเกิดภาวะมะนาวล้นตลาดจนเกษตรกรต้องนำไปทิ้งก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลกระทบโดยตรงผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ปลูกมะนาวเป็นประจำทุกปี การยกระดับสินค้าเกษตรเข้าสู่การแปรรูปสินค้าเกษตรมูลค่าสูงด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรได้ “มะนีมะนาว” ชูจุดต่าง คงรส-กลิ่น มะนาวคั้นสดด้วยนวัตกรรม  นายเกษคง พรทวีวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจอาหารแปรรูปพืชผลทางการเกษตร เปิดเผยว่า ด้วยบริษัททำธุรกิจแปรรูปอาหารอยู่แล้ว จึงมองเห็นปัญหาความผันผวนของราคามะนาว เมื่อประสบภาวะมะนาวล้นตลาดจะมีราคาตกต่ำ ขณะที่เมื่อเข้าสู่หน้าแล้งมะนาวก็ขาดตลาดราคาต่อลูกสูงขึ้นมาก ทำให้ทั้งผู้บริโภคที่ใช้มะนาวและเกษตรกรต่างได้รับผลกระทบทั้งสองฝ่าย กระทั่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาจึงคิดแปรรูปสินค้าเกษตรโดยนำ “มะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ” ไร้เมล็ดมาคั้นสดบรรจุถุงผ่านกระบวนการแช่แข็งให้เป็นน้ำมะนาวที่มีราคาเดียวตลอดทั้งปี ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่ใช้ผลิตภัณฑ์สามารถคำนวณเรื่องต้นทุนราคามะนาวได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคามะนาวแพงแล้ว ยังช่วยให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงน้ำมะนาวคั้นสดใช้ปรุงอาหารได้ในครัวเรือน ซึ่งวางจำหน่ายแล้วในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ “มะนีมะนาวคือน้ำมะนาวคั้นสด 100 เปอร์เซนต์ ทำจาก มะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ” ไร้เมล็ดซึ่งมีการทำมาตรฐานเกษตรปลอดภัย ปลอดสารเคมีและสามารถนำมาทำในเชิงอุตสาหกรรมได้ แต่ด้วยข้อเสียของมะนาวแท้การเก็บแช่แข็งทั่วไปนั้น รสชาติจะเปลี่ยนไปเนื่องจากกระบวนการเก็บและอุณหภูมิที่เก็บอาจส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นเปลี่ยนไป ทำให้ผู้บริโภคและร้านอาหารทั่วไปไม่นิยมใช้น้ำมะนาวแช่แข็งเท่าไหร่นัก ดังนั้นบริษัทจึงมีการหารือทีมวิจัย นาโนเทค สวทช. ซึ่งมีองค์ความรู้ในการพัฒนาให้มีความแตกต่างจากมะนาวแช่แข็งทั่วไป โดยจุดเด่นอยู่ที่การเก็บด้วยการแช่เยือกแข็งแบบพิเศษ ที่ช่วยให้น้ำมะนาวแช่แข็งเก็บได้นานถึง 2 ปี (เมื่ออยู่ในช่องแช่แข็ง) เมื่อผู้บริโภคนำมาละลายใช้งานทีละนิดจะสามารถเก็บได้ในตู้เย็น (เมื่ออยู่ในช่องแช่ปกติ) ได้นานอีก 3 เดือน แถมยังช่วยแก้ปัญหารสและกลิ่น ที่ไม่เปลี่ยนไปจากน้ำมะนาวคั้นสด ตอบโจทย์ผู้บริโภคในเรื่องของกลิ่นและรสชาติของมะนาวคั้นสด ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมะนาวสดแช่แข็งของมะนีมะนาวในการปรุงอาหารมากขึ้น” นายเกษคง กล่าว ปลูก ‘มะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ’ ปีละล้านกิโล ส่งแปรรูป 90 เปอร์เซนต์ นายอเนก ประสม เจ้าของ “ไร่กาญจนา” จ.ลำปาง กล่าวว่า เริ่มทำสวนมะนาวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยเป็นเกษตรกรรายแรกของจังหวัดลำปางที่นำมะนาวสายพันธุ์ตาฮิติมาปลูก ด้วยเป็นสายพันธุ์ที่ทนโรค ทนแดด และต้านทานแมลงศัตรูพืชได้ดี ปัจจุบัน มีพื้นที่สวนมะนาวมากกว่า 40 ไร่ “พืชนี้เข้ามาเสริมการเกษตรระดับตำบล สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นตัวสร้างรายได้หลักที่ทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ เพราะปลูกขายได้ตลอดปี ในขณะเดียวกัน ก็เกิดการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกมะนาวบ้านแจ้คอน ต.ทุ่งผึ้ง จ.ลำปาง ที่มีสมาชิกอยู่ราว 60 ราย ผลิตมะนาวได้วันละ 10-38 ตัน หรือปีละกว่า 1 ล้านกิโลกรัม โดย 90% ส่งให้กับบริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด มากว่า 5 ปีแล้ว” นายอเนก กล่าว ความสำเร็จจากไร่มะนาว ทำให้เขาตั้งเป้าพัฒนาให้เพื่อนเกษตรกรในพื้นที่ทำการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดรับเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่จะมาช่วยยกระดับการเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพให้กับผลผลิตทางการเกษตรต่าง ๆ เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เข้ามา ตลาดที่ชัดเจน รายได้ที่มั่นคงจะช่วยกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่สืบทอดทำเกษตรกรรม ยืดอายุ น้ำมะนาวคั้นสด ด้วยเทคนิคแช่เยือกแข็งพิเศษ ดร. กิตติวุฒิ เกษมวงศ์ หัวหน้าทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โจทย์ในด้านการพัฒนาคุณภาพของน้ำมะนาวแช่แข็ง รวมถึงเพิ่มคุณสมบัติในด้านกลิ่นและรสให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ทีมวิจัยนาโนเทคเริ่มทำงาน โดยการทดสอบสมมุติฐานเรื่องของกระบวนการแช่เยือกแข็ง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้กันอยู่แล้วทั่วไป และพบว่า สามารถปรับปรุงกระบวนการฯ ได้ โดยเชื่อมโยงกับการลดการทำงานของเอนไซม์ในน้ำมะนาว ที่จะทำให้คุณภาพของน้ำมะนาวแช่แข็งไม่ลดลง โดยคุณภาพที่ลดลงของน้ำมะนาวแช่แข็งเกิดจากเอนไซม์บางอย่างที่มีอยู่ในน้ำมะนาว ซึ่งส่งผลให้คุณภาพ (กลิ่น สี และรส) เปลี่ยนไป ซึ่งปัจจุบัน การลดการทำงานของเอนไซม์ดังกล่าว จะใช้การพาสเจอไรซ์ (Pasteurization) หรือยูเอชที (Ultra-high-temperature: UHT) ที่ใช้ความร้อน เปรียบเสมือนการต้ม ซึ่งเราไม่อยากใช้ความร้อน เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพของน้ำมะนาว จึงออกแบบกระบวนการแช่เยือกแข็งที่เหมาะสมที่สุด กระบวนการแช่แข็งที่นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ออกแบบนั้น เป็นการปรับปรุงกระบวนการผลิตเดิมที่ผู้ประกอบการใช้อยู่ แต่ปรับเปลี่ยนกระบวนการแช่เยือกแข็งในสภาวะที่ควบคุม ในอุณหภูมิที่และเวลาที่ควบคุม ซึ่งส่งผลให้สามารถลดการทำงานของเอนไซม์ได้มากกว่า 50% จากการดูเอนไซม์มาร์คเกอร์ (Enzyme Marker) มากกว่ากระบวนการแช่เยือกแข็งปกติที่ลดการทำงานของเอนไซม์ได้ราว 10-20% เท่านั้น ซึ่งผลการทดสอบด้วยกระบวนการที่นาโนเทค สวทช. ปรับปรุงนั้นคือ กลิ่น สี และรสของน้ำมะนาวแช่แข็งที่นำมาทำละลายเทียบเคียงน้ำมะนาวสด และดีกว่าน้ำมะนาวสดที่เก็บในรูปของเหลวในระยะเวลาเท่ากัน ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของกลิ่น สี รส ภายใน 2-3 วัน นอกจากนี้ น้ำมะนาวแช่แข็งด้วยกระบวนการที่ปรับปรุง สามารถเก็บได้นานกว่า 2 ปี และเมื่อนำไปทำละลายแล้ว สามารถเก็บในรูปของเหลวได้นาน 1-2 สัปดาห์โดยที่กลิ่น สี และรสเทียบเคียงมะนาวสด และจะเก็บรักษาในอุณหภูมิแช่เย็นได้อีก 2-3 เดือนโดยมีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ยอมรับได้ ตรวจสอบมาตรฐาน รส-กลิ่น อย่างแม่นยำ ด้วยเทคโนโลยี Lime ID “นอกจากนี้ ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตรของนาโนเทคยังได้พัฒนาเครื่องประเมินคุณภาพกลิ่น-รสของน้ำมะนาว ในชื่อ Lime ID ที่ใช้เทคโนโลยีจมูกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Nose) ผสานกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการประมวลผล” ดร.กิตติวุฒิเผย พร้อมชี้ว่า เราต้องการสร้างอัตลักษณ์ของน้ำมะนาวที่ชัดเจน เนื่องจากการตรวจสอบคุณภาพของน้ำมะนาว ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการดม การชิม ว่า กลิ่นและรสไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้ การใช้คนมาทดสอบ มีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งในเรื่องของความแม่นยำ ปริมาณการทดสอบ ที่บางครั้งไม่สามารถควบคุมได้ การนำปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีเข้ามาเสริม นับเป็นทางเลือกหนึ่ง Lime ID ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ ส่วนรับกลิ่นรส ที่มีเซ็นเซอร์อาเรย์รับกลิ่นรส, ส่วนรวบรวมสัญญาณ ซึ่งจะแปรสัญญาณจากเซ็นเซอร์ให้เป็นดิจิทัล และส่วนประมวลผล ที่จะนำสัญญาณที่มาเปรียบเทียบเชิงสถิติกับฐานข้อมูลที่ทีมวิจัยได้จัดเตรียมชุดข้อมูลกลิ่นและรสเอาไว้ โดยจะแสดงผลการทดสอบเป็นคะแนน 1-9 โดยผลิตภัณฑ์มะนีมะนาว จะอยู่ที่ 7-9 คะแนน ซึ่งเป็นระดับที่ผู้บริโภคและตลาดยอมรับ “ความสำเร็จของการวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งหนึ่งตัวอย่างของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และเป็นโมเดลที่สามารถต่อยอดเทคโนโลยีไปใช้กับผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้หรือผักสดอื่น ๆ ที่มีกระบวนการเสื่อมเหมือนน้ำมะนาว ในขณะเดียวกัน ก็นับเป็นต้นแบบโมเดลสำหรับแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (Service Platform for Food & Functional Ingredients) หรือ FoodSERP ของ สวทช. ที่จะช่วยให้การทำงานวิจัยที่ต้องผสานองค์ความรู้สหสาขาสามารถทำได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น เอื้อประโยชน์ให้องค์ความรู้ของ สวทช. ต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น” ดร.กิตติวุฒิ กล่าว ######################## ข้อมูลเพิ่มเติม:  FoodSERP หรือ แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (Service Platform for Food & Functional Ingredients) เป็นหนึ่งใน core business ของ สวทช. มีพันธกิจหลักในการให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหาร เครื่องสำอาง และส่วนผสมฟังก์ชัน ตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะ (Tailor made) ของลูกค้า ในรูปแบบ One-stop service โดยทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหลากสาขา มีวิทยาการความรู้ (know-how) และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่างๆที่พร้อมให้บริการ รวมถึงเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและมีมาตรฐานการผลิต ที่จะช่วยผู้ประกอบการในการนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม แก้ปัญหาต่างๆในสายการผลิต เพิ่มความพร้อมของเทคโนโลยี การวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ รวมถึงสร้างความเชื่อมโยงในการดำเนินงานกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชัน ส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredients ) สมุนไพร และเวชสำอาง จากฐานทรัพยากรชีวภาพด้านการเกษตรและจุลินทรีย์ของประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“เปล – เต็นท์ความดันลบ” นวัตกรรมสู้โควิด-19 สู่การรับมือโรคอุบัติใหม่
MTEC สวทช. ภายใต้การสนับสนุนจาก สกสว. - สวรส. - วช. และ ศลช. ร่วมมือกันเดินหน้าผลักดัน ชุดนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รองรับโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอุบัติใหม่ ประกอบด้วย PETE เปลความดันลบ และ HI PETE เต็นท์ความดันลบ เพื่อต่อยอดพัฒนาให้มีความสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น เตรียมพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หลังจาก PETE และ HI PETE เป็นนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์นำไปใช้ประโยชน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
“การแถลงผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาล”
📌 ประเทศไทยพร้อมแค่ไหน จะไปต่ออย่างไร ในโลกที่ AI แทรกซึมทุกมิติ ❗ครั้งแรกกับแถลงผลการสำรวจความพร้อมด้าน AI ของไทย พร้อมเจาะลึกทุกประเด็นการประยุกต์ใช้งาน AI อย่างมีธรรมาภิบาล . 📢 12 ก.ค. นี้… ETDA (โดยศูนย์ AIGC) ร่วมกับ สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ชวนติดตาม “การแถลงผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาล” พร้อมเผยมิติสำคัญที่มีผลต่อการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้และพัฒนาเทคโนโลยี AI ภายในประเทศ . พบกับ 2 Topics ที่ไม่ควรพลาด ✅ ผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาล ✅ เสวนารับฟังความคิดเห็นในประเด็นความพร้อมของประเทศไทยในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) . ✨ พร้อมเปิดโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำให้เกิดกรอบทิศทางการประยุกต์ใช้งาน AI อย่างสร้างสรรค์ รองรับการขยายตัวของการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในประเทศไทยอย่างมีธรรมาภิบาลได้อย่างเหมาะสม . ปักหมุด❗ ⏰ วันพุธที่ 12 ก.ค. 66  เวลา 09.00 - 13.30 น. 👉 ณ ห้องประชุมชั้น 3 โรงแรม แกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพ (Exclusive สำหรับผู้ที่อยากไปชมสดหน้างาน รับจำนวนจำกัด ลงทะเบียนภายในวันที่ 10 ก.ค. นี้ ได้ที่ https://meeting-nstda.webex.com/.../r1b444986208140a9e686... . 👉 หรือชมผ่าน Facebook : ETDA Thailand
ปฏิทินกิจกรรม
 
A-MED Telehealth และ KidBright คว้า 2 รางวัล ‘ค่าของแผ่นดิน’ ประจำปี 2565
วันที่ 7 กรกฎาคม 2566 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล:  พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2565 ให้กับบุคคล หน่วยงาน และโครงการ ที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีคุณค่าแก่การยกย่อง และมีคุณค่าแก่การชื่นชม เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ และเป็นขวัญกำลังใจที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ รวมทั้งเป็นต้นแบบแห่งการสร้างสรรค์ความดี อันพึงเป็นคุณลักษณะที่ดีแก่สังคมไทย โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับ 2 รางวัล ได้แก่ โครงการระบบบริการทางการแพทย์ทางไกล (A-MED Telehealth) สำหรับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาสาธารณสุข และ โครงการสอนโค้ดดิ้ง วิทยาการข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ในโรงเรียน (KidBright) ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมกับผู้ที่ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2565 อันน่าภาคภูมิใจนี้ โดยย้ำว่าทุกคนที่ได้รับรางวัลล้วนเป็นผู้มีความมุ่งมั่นทำประโยชน์และทำความดีเพื่อสังคมและประเทศชาติ ซึ่งการทำประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ เป็นหน้าที่ของทุกคนในฐานะพลเมืองของประเทศ รวมถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ เสียสละและอุทิศใจกาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน สังคม และชาติบ้านเมือง อย่างไรก็ตามการทำประโยชน์ในแต่ละสาขาอาชีพนั้นต้องใช้ระยะเวลาและกระทำอย่างต่อเนื่อง จนเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม เป็นที่ประจักษ์ โดยจะเป็นกำลังใจให้แก่ทุกคนในการทำความดีในโอกาสต่อ ๆ ไป โอกาสนี้ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)สวทช. และ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะทาง ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) และ นายวัชรากร หนูทอง หัวหน้าทีมวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ A-MED ที่ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาสาธารณสุข จากผลงาน “ระบบบริการทางการแพทย์ทางไกล (A-MED Telehealth) สำหรับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19” และ ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EDT) เนคเทค ที่ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา จากผลงาน “โครงการสอนโค้ดดิ้ง วิทยาการข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ในโรงเรียน (Kidbright)” สำหรับการสรรหาบุคคล หน่วยงาน และโครงการ “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2565  มีผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อคัดเลือกจำนวน 847 ราย แบ่งเป็นประเภทบุคคล จำนวน 588 ราย ประเภทหน่วยงาน จำนวน 179 และประเภทโครงการ จำนวน 80 ราย โดยคณะอนุกรรมการดำเนินโครงการ “ค่าของแผ่นดิน” และคณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และกลั่นกรองบุคคล หน่วยงาน โครงการ เพื่อคัดเลือกประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” ได้ประชุมร่วมกันและเห็นชอบผลงานที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกได้รับประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” จำนวน 54 ราย แบ่งเป็นผลงานที่มีความโดดเด่น และมีคุณค่าแก่การยกย่องได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ จำนวน 46 ราย และเป็นผลงานที่มีคุณค่าแก่การชื่นชมได้รับใบประกาศเกียรติคุณ จำนวน 8 ราย ประกอบด้วยด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1. ด้านการพัฒนาสังคมและส่งเสริมคุณภาพชีวิต 2. ด้านการส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3. ด้านการส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. ด้านการส่งเสริมและพัฒนาสาธารณสุข 5. ด้านการส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรม 6. ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร 7. ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา และ 8. ด้านอื่น ๆ --------- ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ : https://www.thaigov.go.th/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ สคส. ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
วันที่ 6 กรกฎาคม 2566  ณ ห้องบุษกร (ชั้น 1) อาคารศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ลงนามความร่วมมือ (MOU) เพื่อสนับสนุนความเชี่ยวชาญของบุคลากรและสนับสนุนทรัพยกรงานวิจัยร่วมกันเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ และสร้างความตระหนักรู้เชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับภัยคุกคามสารสนเทศทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล สนับสนุนการศึกษาและวิจัย ให้ความช่วยเหลือด้านแผนปฏิบัติการและมาตรการป้องกัน รับมือ และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้น รวมทั้งดำเนินการพัฒนาหลักสูตรจัดฝึกอบรมการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองส่วนบุคคเพื่อยกระดับทักษะความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยการลงนามในบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการให้ความร่วมมือ แบ่งปันความรู้เพื่อเสริมสร้างการคุ้มครองข้อมูลและความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อร่วมกันดำเนินงานกิจกรรมด้านวิชาการ งานวิจัย รวมถึงพัฒนาระบบนิเวศวิจัยในรูปแบบต่าง ๆ เป็นการขับเคลื่อนและส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘Gunther Bath’ กันเธอหกล้มแล้วไม่มีคนช่วย นวัตกรรมตรวจจับการล้มเพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแล
For English-version news, please visit : Gunther Bath: Fall detection system in bathroom   เมื่อคนเราก้าวเข้าสู่ช่วงสูงวัย ร่างกายที่เคยทำงานได้เต็มประสิทธิภาพก็ต่างโรยราไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคงประกอบกับสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง ส่งผลให้ผู้สูงอายุพลัดตก หกล้ม หรือหมดสติล้มพับไปกับพื้นได้ง่าย ซึ่งหากเกิดเหตุขึ้นแล้วไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ก็อาจมีปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรงตามมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา Gunther Bath (กันเธอร์ บาธ) นวัตกรรมตรวจจับและแจ้งเตือนการพลัดตกหกล้มแบบติดตั้งผนังห้องน้ำ ชนิดไม่มีการถ่ายและบันทึกภาพสำหรับการประมวลผล เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้สูงอายุและผู้อาศัยในครัวเรือน   [caption id="attachment_44562" align="aligncenter" width="500"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. อธิบายถึงอุปกรณ์ Gunther Bath ว่า ชุดอุปกรณ์และระบบการทำงานประกอบด้วย Well-mounted ambient sensor (Ultra-wideband) อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมแบบติดตั้งผนัง เพื่อนำข้อมูลที่ตรวจจับได้มาประมวลผลด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), LANAH hub อุปกรณ์ศูนย์กลางสำหรับรับข้อมูลจากเซนเซอร์ และจัดส่งข้อมูลที่ต้องสื่อสารไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ, Well-living application แอปพลิเคชันสำหรับรับแจ้งเตือนการพบเหตุพลัดตกหกล้ม, Emergency button ปุ่มสำหรับกดยืนยันการเกิดเหตุฉุกเฉิน   [caption id="attachment_44574" align="aligncenter" width="250"] Gunther Bath[/caption]     หลักการทำงานของ Gunther Bath คือ การใช้เซนเซอร์ตรวจจับอิริยาบถของผู้ใช้งานห้องน้ำ หากตรวจพบการล้ม ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว หรือนอนหมดสติอยู่กับพื้น ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลทราบภายในหลักวินาที ดร.ศราวุธ เล่าถึงกลไกการทำงานของอุปกรณ์ว่า เมื่อผู้สูงอายุหรือคนในบ้านเดินเข้าห้องน้ำ ระบบจะตรวจจับลักษณะการเคลื่อนไหว (Transition) และอิริยาบถ (Posture) ของผู้ใช้งานด้วย Ambient sensor แล้วส่งสัญญาณที่ตรวจจับได้ไปประมวลผลด้วย AI ซึ่งหาก AI พบท่าทางที่บ่งชี้ถึงการหกล้มหรือหมดสติ ระบบจะตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากเซนเซอร์ต่ออีก 5 วินาที เพื่อยืนยันว่าเกิดเหตุขึ้นจริง จะทำการส่งข้อมูลไปที่ LANAH hub ก่อนส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ (Cloud) เพื่อแจ้งเตือนไปที่ Well-living application ให้ผู้ดูแลได้ทราบถึงอุบัติเหตุภายในเวลาประมาณ 10-15 วินาที “หลังจากผู้ดูแลได้รับแจ้งเหตุแล้ว สามารถส่งข้อความเสียงผ่านแอปพลิเคชันให้ไปดังที่ลำโพงซึ่งติดตั้งไว้ในห้องน้ำเพื่อสื่อสารกับผู้ประสบเหตุ เช่น ขอให้ช่วยกดปุ่ม Emergency button เพื่อยืนยันการเกิดเหตุฉุกเฉิน, แจ้งว่าทราบการเกิดอุบัติเหตุแล้วกำลังเดินทางไปช่วยเหลือ, ให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองเบื้องต้น”     Gunther Bath เป็นอุปกรณ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ภายในห้องน้ำเท่านั้น ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสถานที่และการควบคุมต้นทุนการผลิต ดร.ศราวุธ อธิบายว่า แม้ปัจจุบันจะมีผู้พัฒนาเทคโนโลยีหลายแห่งวางจำหน่ายอุปกรณ์ตรวจจับการพลัดตกหกล้มแล้วหลากรูปแบบ ทั้งแบบสวมใส่ (Wearable sensor) แบบใช้กล้องตรวจจับภาพ (Vision sensor) และแบบตรวจจับการเคลื่อนไหวจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม (Ambient sensor) แต่โดยส่วนใหญ่อุปกรณ์เหล่านี้ยังมีข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เช่น ความไม่แม่นยำในการตรวจจับการเคลื่อนไหว ความไม่เป็นส่วนตัว ความไม่สะดวกสบาย ราคาที่ค่อนข้างสูง “เพื่อลดข้อจำกัดในการใช้งานให้มากที่สุด ทีมวิจัยจึงออกแบบให้ Gunther Bath ตรวจจับการพลัดตกหกล้มด้วย Ambient sensor ที่ไม่มีการถ่ายและบันทึกภาพ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลด้วยการออกแบบและฝึกฝนให้ AI เรียนรู้รูปแบบการเคลื่อนไหวและการแสดงอิริยาบถต่าง ๆ จนแยกแยะท่าทางการทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในห้องน้ำกับการพลัดตกหกล้มได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ทีมวิจัยได้จำกัดความสามารถของอุปกรณ์ให้ทำงานตรวจจับความเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานครั้งละ 1 คนเท่านั้น (ตามปกติของการใช้ห้องน้ำ) เพื่อให้ Gunther Bath มีความซับซ้อนของอุปกรณ์ไม่สูงมาก ซึ่งจะส่งผลให้อุปกรณ์มีราคาที่ไม่สูงเกินไป ช่วยให้คนไทยเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีได้ในวงกว้าง”   [caption id="attachment_44561" align="aligncenter" width="500"] ภาพตัวอย่างการติดตั้งอุปกรณ์ภายในห้องน้ำ[/caption]   Gunther Bath เป็นหนึ่งในนวัตกรรมเพื่อ ‘ผู้สูงอายุ’ และ ‘ผู้ดูแล’ ที่นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. วิจัยและพัฒนาขึ้นเพื่อขานรับการเข้าสู่สังสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย ซึ่งเอ็มเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วในปีนี้ ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยพัฒนาต่อยอด ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น