หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
แผ่นเสียงที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากกว่า 2 แสนแผ่น จะเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์
ห้องสมุดประชาชนเมืองบอสตันจะแปลงแผ่นเสียงที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากกว่า 2 แสนแผ่น เผยแพร่และให้บริการในรูปแบบออนไลน์ Internet Archive ประกาศที่จะร่วมมือกับห้องสมุดประชาชนเมืองบอสตัน (Boston Public Library) แปลงแผ่นเสียงที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากกว่า 2 แสนแผ่น ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อสงวนรักษาและให้บริการแก่สาธารณะ เช่น 78s และสื่อบันทึกแรกของ LP และ Thomas Edison ซึ่งแผ่นเสียงเหล่านี้เดิมทีถูกจัดเก็บไว้และไม่ได้เปิดให้บริการแก่สาธารณะ การแปลงแผ่นเสียงเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี โดยผู้เชี่ยวชาญของ Internet Archive และความช่วยเหลือของ 2 บริษัท คือ George Blood, L.P. และ the ARChive of Contemporary Music โดยจะแปลงแผ่นเสียงให้อยู่ในเวอร์ชั่นที่หลากหลายเพื่อรองรับกลุ่มผู้ใช้บริการตั้งแต่ผู้ใช้ทั่วไปจนถึงผู้ใช้ที่ต้องการศึกษาหรือวิจัยเชิงลึก โครงการนี้นับได้ว่าเป็นการได้รับประโยชน์จาก Open access และการเข้าถึงแผ่นบันทึกเสียงที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าการแปลงสื่อให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลเป็นงานเร่งด่วนเพื่อสงวนรักษาแผ่นเสียงที่จะชำรุดหรือสูญหายตามกาลเวลา ที่มาข้อมูล: Open Culture. (2017, October 17). The Boston Public Library will digitize & put online 200,000+ vintage records. Retrieved October 18, 2017, from  http://www.openculture.com/2017/10/the-boston-public-library-will-digitize-put-online-200000-vintage-records.html
นานาสาระน่ารู้
 
นักวิทย์คิดถึงในหลวง : บทความรำลึกถึงพระราชจริยวัตร ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
นักวิทย์คิดถึงในหลวง : บทความรำลึกถึงพระราชจริยวัตร ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เขียนโดย นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ ที่วิเคราะห์ถึงพระราชกรณียกิจ พระราชดำริ และพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งด้านการทรงเป็นนักคิด นักค้นคว้า นักทดลอง นักปฏิบัติ และทรงมีความเป็นครู ผู้ถ่ายทอดความรู้ที่ทรงเรียนรู้และค้นพบ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่บทความเหล่านี้แก่เด็ก เยาวชนและประชาชนทั่วไปอ่าน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และนำไปเป็นแบบอย่างในการศึกษาเล่าเรียน รวมทั้งการดำเนินชีวิตได้ ดาวน์โหลดเอกสาร
เอกสารเผยแพร่
 
เทคโนโลยี CRISPR ใช้เพื่อเปลี่ยนสีของดอกไม้
นักวิจัยจาก University of Tsukuba  the National Agriculture and Food Research Organization (NARO) และ Yokohama City University ประเทศญี่ปุ่น เปลี่ยนสีของดอกไม้ของต้น Japanese morning glory (Ipomoea nil หรือ Pharbitis nil) จากสีม่วงเป็นสีขาวโดยไปขัดขวางยีนหนึ่ง งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นประสิทธิภาพอย่างมากของ CRISPR/Cas9 ในการศึกษาและจัดการกับยีนในพืชสวน ตามที่รายงานเมื่อ 30 สิงหาคม 2017 ในวารสาร Scientific Reports ดีเอ็นเอสายสั้นในยีน DFR-B (dihydroflavonol-4-reductase-B) ของ Japanese morning glory ถูกเลือกเป็นเป้าหมายของ CRISPR/Cas9 ดีเอ็นเอสายสั้นนี้มีตำแหน่งที่สำคัญในการทำหน้าที่ของเอนไซม์ (active site) ที่ผลิตโดยยีน DFR-B ดังนั้นขัดขวางการทำหน้าที่ของดีเอ็นเอสายสั้นนี้ควรจะทำให้เอนไซม์ไม่สามารถทำงานได้ ผลก็คือทำให้ขาด pigment ที่ให้สี (anthocyanin) CRISPR/Cas9 ถูกแทรกเข้าไปในต้นอ่อนของ  Japanese morning glory ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยใช้แบคทีเรียของพืช (Rhizobium) ช่วยในการแทรก เหมือนที่คาดหวังไว้ เอนไซม์ DFR-B ถูกทำให้ไม่สามารถทำงานได้เป็นผลสำเร็จ ผลก็คือประมาณ 75% ของพืชที่ได้รับการตัดต่อยีนมีดอกสีขาวและลำต้นสีเขียว พืชที่ไม่ถูกทำให้เปลี่ยนแปลงซึ่งมีเอนไซม์ทำงานได้มีดอกและลำต้นสีม่วง การเปลี่ยนแปลงของสีของลำต้นพบเห็นได้ในช่วงต้นมากๆ ในขบวนการการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จากการวิเคราะห์ยีนยืนยันว่าดีเอ็นเอเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไปในพืชที่ได้รับการตัดต่อยีนด้วยการแทรกของดีเอ็นเอหรือการตัดออกในทั้งสอง copies ของยีน DFR-B อีกสองยีนที่เกี่ยวข้องกัน คือ DFR-A และ DFR-C ได้รับการทดสอบและผลก็คือไม่พบมีการเปลี่ยนแปลงของยีน ยืนยันความจำเพาะเจาะจงของ CRISPR/Cas9 CRISPR/Cas9 ที่พูดถึงในที่นี้ยืนยันว่ายีน DFR-B เป็นยีนที่รับผิดชอบหลักสำหรับสีของต้น Japanese morning glory ในการวิจัยนี้ เทคโนโลยี CRISPR/Cas9 มีประสิทธิภาพไม่ 100% เต็ม คือไม่ใช่พืชเป้าหมายทั้งหมดจะถูกตัดต่อยีน อัตราการกลายพันธุ์อยู่ที่ 75% ซึ่งค่อนข้างสูง นี่เป็นหนึ่งของเหตุผลที่งานวิจัยครั้งนี้จะช่วยอย่างมากสำหรับคนที่สนใจจะเปลี่ยนสีและรูปร่างของดอกไม้โดยใช้ CRISPR/Cas9 ในดอกไม้ประดับ  ที่มา: University of Tsukuba (2017, September 5). CRISPR technology used to change flower color. ScienceDaily. Retrieved October 17, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/09/170905123207.htm
นานาสาระน่ารู้
 
หนังสือนิทรรศการ NAC2017
นิทรรศการ การประชุมวิชาการ สวทช. ประจาปี 2560 (NAC2017) สวทช. ยุคใหม่ ตอบกลุ่มเป้าหมายตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง NSTDA 5.0 : Building Thailand Towards Sufficiency Economy 29 มีนาคม – 1 เมษายน 2560 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถนนพหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี การประชุมวิชาการประจาปีของสานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถือ เป็นงานใหญ่และสำคัญที่ สวทช.จัดเป็นประจาต่อเนื่องมาทุกปีนับตั้งแต่ พ.ศ. 2548 โดยมีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และผลงานวิจัยของ สวทช. และที่ สวทช. สนับสนุนและดาเนินการร่วมกับเครือข่าย ให้แก่ นักวิจัย นักธุรกิจอุตสาหกรรม นักศึกษา ตลอดจนชุมชน โดยมุ่งเน้นให้เกิดการนาไปประยุกต์ใช้ในภาคเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง เสริมสร้างความเข้มแข็งและความสามารถในการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ดาวน์โหลดเอกสาร [79.8MB] หนังสือนิทรรศการ Nac2017 from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
นานาสาระน่ารู้
 
มาตรฐานแถบสีธงชาติไทย
มติคณะกรรมการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 100 ปี การประกาศใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย ที่มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องการกำหนดมาตรฐานแถบสีธงชาติไทย เพื่อให้มีมาตรฐานสีและเป็นมาตรฐานสีตามหน่วยสากล โดยกำหนดในลักษณะของค่าแนะนำทางราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี การดำเนินงานมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั้ง 9 แห่ง คือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมวิทยา ศาสตร์บริการ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานกฎระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในการคัดเลือกธงต้นแบบ ที่จะกำหนดสี ด้วยวิธีการวัดสีธงต้นแบบจากธงชาติ 3 แหล่ง แบ่งเป็น ธงชาติจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ จากธง 2 ประเภท ได้แก่ ธงชัยเฉลิมพล และ ธงไตรรงค์ ธงชาติจากพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย ธงจากราชนาวี โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ หรือวศ. ได้รับมอบหมายให้พิจารณาคัดเลือกธงจากทั้ง 3 แหล่ง โดยดูจากลักษณะปรากฏ และการวัดค่าสีด้วยเครื่อง Colorimetric spectrophotometer และมีมติเห็นสมควรให้กำหนดค่าแถบสีธงชาติไทยจากธงชาติราชนาวี และใช้ผลของกรมวิทยาศาสตร์บริการ ผลการทดสอบค่าแถบสีธงชาติไทย สีน้ำเงินแก่ สีขาว และสีแดง ด้วยเครื่อง Colorimetric spectrophotomete มีดังนี้ กำหนดค่า CIELAB D65 สีแดง ค่า L* = 36.4 , a* = 55.47 , b* = 25.42 สีขาว ค่า L* = 96.61 , a* = -0.15 , b* = -1.48 และสีน้ำเงิน ค่า L* = 18.63 , a* = 7.89 , b* = -19.45 โดยได้กำหนดค่า ∆E* (delta E) ไม่เกิน 1.5 ขณะนี้ได้นำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อกำหนดค่าสีของธงต้นแบบ ให้เป็นเกณฑ์ลักษณะของค่าแนะนำของธงชาติไทย โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 134 ตอนพิเศษ 245 ง ลงวันที่ 30 ก.ย.2560 ให้เป็นเกณฑ์ลักษณะของค่าแนะนำทางราชการ อย่างไรดีพบว่ายังขาดรายละเอียดสีที่ผู้ใช้ส่วนมากคุ้นเคย ได้แก่ รหัสสี RGB, CMYK และ Web Hexo color code ซึ่งคงต้องรอดูว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะกำหนดค่าใดออกมา ทั้งนี้หากลองทดสอบตรวจสอบการแปลงรหัสผ่านด้วยเครื่องมือออนไลน์ เช่น https://www.e-paint.co.uk/Convert_Lab.asp หรือ https://www.nixsensor.com/free-color-converter/ แหล่งข้อมูล http://news.thaipbs.or.th/content/266890https://www.facebook.com/www.thaiflag.org
นานาสาระน่ารู้
 
ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนาประเทศ 2560
ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนาประเทศ 2560 สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดทำดัชนีการวิจัยและพัฒนาของประเทศโดยใช้วิธีการสำรวจฯ และได้จัดทำ Hand Out "ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนา ประเทศ 2560"  ซึ่งเป็นข้อมูลจากการสำรวจของหน่วยงานภาครัฐบาล ภาคอุดมศึกษา ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนไม่ค้ากำไร และ ข้อมูลประมาณการของภาคเอกชน ดาวน์โหลดเอกสาร ** ติดตามเล่มอื่นๆ ได้ที่ https://www.nrct.go.th/การวิจัย/การวิจัย/ข้อมูลดัชนีการวิจัย
เอกสารเผยแพร่
 
กินไขมันมีอายุยืนกว่า
งานวิจัยของ University of California - Davis ซึ่งเผยแพร่ในฉบับเดือนกันยายนของวารสาร Cell Metabolism ค้นพบว่าอาหารที่มีไขมันสูงไม่เพียงทำให้อายุยืนขึ้นแต่ยังทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น โดยได้ทำการศึกษาในหนู แล้วพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของค่าเฉลี่ยอายุขัย 13% เมื่อได้รับอาหารที่มีไขมันสูง เมื่อเปรียบเทียบกับคนจะเป็น 7 ถึง 10 ปี แต่สิ่งน่าสนใจเหมือนกันคือหนูเหล่านั้นยังคงรักษาคุณภาพของสุขภาพในช่วงต่อมาของชีวิต การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าอาหารที่มีไขมันสูงมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตและสุขภาพ นอกจากนี้ยังสนับสนุนสำหรับความเป็นไปได้ของอาหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับความชรา มีอีกหนึ่งงานวิจัยของ the Buck Institute ที่เผยแพร่ในฉบับเดียวกันของวารสาร Cell Metabolism ให้ผลไปในทางเดียวกันกับการวิจัยครั้งนี้ ที่มา: Univerity of California - Davis (2017, September 5). Eat fat, live longer?. ScienceDaily. Retrieved October 12, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/09/170905145551.htm
นานาสาระน่ารู้
 
อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) แนวทางของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) แนวทางของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อุตสาหกรรม 4.0 แนวทางของอุตสาหกรรมในอนาคตได้มีการกระเพื่อมขึ้นทั่วโลก ซึ่งมีการเรียกขานที่แตกต่างกันไป  เช่น สหรัฐ คือ Smart Manufacturing ยุโรป คือ Factories of the Future (FoF) เยอรมัน คือ Industry 4.0 ญี่ปุ่น คือ Industrial Value Chain Initiatives (IVI) เกาหลีใต้ คือ Manufacturing Innovation 3.0 จีน คือ Made in China 2025: A New Era for Chinese Manufacturing ไต้หวัน คือ Productivities 4.0 กล่าวคือ แนวคิดที่ทาง EU หรือ European Union มีข้อสรุปออกมา เรียกว่า Factories of the Future (FoF) ในอเมริกาเรียกว่า Smart Manufacturing ส่วน Industry 4.0 เยอรมนีเป็นประเทศที่นำไปใช้ ทั้งนี้ในกรอบของการผลิตในอนาคต หรือ Factories of the Future จะพูดถึงเรื่องการหาวัตถุดิบใหม่ๆ เช่น มีน้ำหนักเบา หรือแบตเตอรี่ประหยัดพลังงานได้รีไซเคิลกลับมาใช้ได้ง่ายเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นต้น ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกระบวนการ Automation หรือว่าไอทีมาช่วยเพียงอย่างเดียว โดยหากหยิบยกการเรียกแบบเยอรมันผสานกับยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม สามารถแบ่งยุคได้ ดังนี้ 0 คือ ยุคหัตถกรรมและเกษตรกรรมที่ผลิตด้วยมือ หรือใช้สัตว์ช่วยในการผ่อนแรง 1.0 คือ ยุคการผลิตด้วยเครื่องจักรกลไอน้ำทุ่นแรงงานคน/สัตว์ 2.0 คือ ยุคแห่งการคิดค้นมอเตอร์ไฟฟ้า/พลังงานไฟฟ้า เพื่อทดแทนเครื่องจักรกลไอน้ำผลิตสินค้าที่เร็วขึ้น ถึงขั้นลักษณะที่เหมือนๆ กันจึงเกิดการผลิตแบบ Mass Production ที่สินค้าผลิตเหมือนกันในปริมาณมาก 3.0 คือ ยุคเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ดิจิทัล/หุ่นยนต์ เริ่มแพร่หลาย กระบวนการผลิตทุกอย่างเริ่มอัตโนมัติมากขึ้นทำงานซ้ำๆ ได้ดี เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ มีการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้งานทดแทนแรงงานมนุษย์ การผลิตด้วยการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาสั่งเครื่องจักรในการผลิต 4.0 คือ การผลิตด้วยการนำเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้ามาการเชื่อมโยงข้อมูลการผลิตระหว่างเครื่องจักรอย่างมีประสิทธิภาพ จากการผลิตที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จึงต้องมีการออกแบบ function การผลิตที่ละเอียดขึ้นแบบที่มนุษย์ไมสามารถผลิตได้ เป็นยุคใหม่ของการรวมพลังระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัลควบคุมเครื่องจักรให้เครื่องจักรสื่อสารข้อมูลกันเอง ซึ่งตัวที่ผลักดันได้ชัดเจนที่สุดให้เกิด 4.0 ขึ้นมาคือ อินเทอร์เน็ต/ไซเบอร์ กล่าวโดยสรุป คือ การผลิตที่มีเพียงงานหัตถกรรมและเกษตรกรรม ได้พัฒนาสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก (Industry 1.0) ที่มีการสร้างเครื่องจักรไอน้ำนำไปสู่การสร้างรถไฟและเครื่องจักรในโรงงาน การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (Industry 2.0) เป็นการเปลี่ยนจากการใช้เครื่องจักรไอน้ามาใช้พลังงานไฟฟ้า การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3 (Industry 3.0) เป็นการใช้ระบบอัตโนมัติในการผลิตแทนที่แรงงานคน และการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือ Industry 4.0 คือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการผลิตสินค้า สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคแต่ละราย เป็นการพัฒนาจนถึงเครื่องจักรสามารถสื่อสารกันเองได้ ส่งข้อมูลระหว่างกันได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่นำมาสู่การมีประสิทธิภาพที่ใช้แรงงานน้อยลง ใช้อุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ ที่มีความแม่นยำมากขึ้น วัสดุที่ใช้จึงมีความพิเศษมากขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้น และใช้ปริมาณที่น้อยลงอีกด้วย นอกจากนี้ “Industry 4.0” ยังถือว่าเป็นแนวคิดใหม่ที่เป็นเสมือนการปฏิรูปอุตสาหกรรมครั้งใหม่ล่าสุด ที่มีจุดเด่น คือ การพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารกับเครื่องจักร และระบบการผลิตในลักษณะ industrial automation เพื่อผลิตสินค้าตามความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค แต่ยังรักษาประสิทธิภาพ การผลิตที่สูง โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการผลิต เช่น 3D Printing, Augmented reality, Big data and analytics, Autonomous Robots, Simulation, Horizontal and vertical system integration, Smart Factor, Cybersecurity, The Cloud เป็นต้น ดังนั้น Industry 4.0 หรือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมขั้นที่ 4 จึงเป็นการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้ร่วมในกระบวนการผลิต เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของ Demand และ Supply ของโลกในอนาคต โดยมีปัจจัยขับเคลื่อน Demand ของโลกในปี 2025 ได้แก่ ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.9 พันล้านคน เปรียบเทียบได้กับมนุษย์ต้องมีโลกเพื่อรองรับประชากรถึง 2 ใบครึ่ง เพราะประชากรล้นโลก ส่งผลให้ทรัพยากรโลกลดน้อยลง จึงเกิดแนวคิดส่งมนุษย์ไปดาวดวงอื่น หรือ หาวิธีการใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพสูงสุด รายได้โดยเฉลี่ยของประชาชนจะส่งผลให้เกิดความกินดีอยู่ดีเพิ่มสูงขึ้น จะมีชนชั้นกลางและผู้มีรายได้สูง 4.2 พันล้านทั่วโลก ส่งผลให้มีความต้องการที่แตกต่างหลากหลายสูงขึ้น ขนาดตลาดของกลุ่มประเทศตะวันออก (30 Triton USD) และตะวันตก (34 Triton USD) ไม่แตกต่างกันมาก ผู้อาศัยในเขตเมืองจะเพิ่มสูงขึ้น (Urbanization) ปัญหาสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น แต่ละประเทศจะลดการพึ่งพิงทรัพยากรน้ำมันแล้วหันมาเพิ่มเปอร์เซ็นต์การใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น เพื่อลดความเสียงการขาดแคลนพลังงาน รวมถึงการใช้งาน Smart Grid จะขยายตัวมากขึ้น   การพัฒนา Industry 4.0 ในต่างประเทศ ในต่างประเทศมีการตื่นตัวในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเดิมสู่ Industry 4.0 มาก นำโดยประเทศเยอรมันที่ประกาศ German Standardization Roadmap Industrie 4.0 (Version 2) ในเดือนตุลาคม 2015 ตามหลังจีนที่ได้ประกาศแผน Roadmap ที่ชื่อ Made in China 2025 เพื่อเน้นการพัฒนากระบวนการผลิตของจีนเมื่อต้นปี 2015 เนื่องจากการปรับกระบวนการผลิตใหม่นี้จะสามารถช่วยลดต้นทุนทั้งกระบวนการได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำนั่นเอง ในอาเซียนนั้น ประเทศที่เป็นแนวหน้าด้าน Industry 4.0 คือประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งสิงคโปร์นั้นแม้ยังไม่มีความพร้อมด้านบุคลากรที่มีจำนวนเพียงพอ แต่อาจสามารถเป็นต้นแบบให้กับโรงงานในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) ที่ผลิตสินค้าให้แก่สิงคโปร์ต่อไปได้ ส่วนประเทศมาเลเซีย ซึ่งเน้นทางด้านไอทีแต่วัตถุดิบของมาเลเซียยังน้อยกว่าไทย หากไทยสามารถนำ Industry 4.0 ไปพัฒนาก่อนได้อาจจะสามารถขยับด้านการแข่งขันด้วย Industry 4.0 ได้ไม่ยากนัก การพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ Industry 4.0 ของประเทศต่างๆ ในเอเชีย ประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ Industry 4.0 ญี่ปุ่น ศึกษาการปรับการผลิตให้เป็นเทคโนโลยีของตนเองตามความเหมาะสมในแต่ละรูปแบบ และทยอยปรับการผลิตเข้าสู่ Industry 4.0 ตามความปรับที่แตกต่างกันทีละแผนก (Production Module) เช่น เริ่มจากแผนกจัดซื้อ ตามด้วยแผนกวางแผนการผลิต และปรับสายการผลิต เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงการผลิตระหว่างโรงงานผลิตอีกด้วย ไต้หวัน เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศจากการส่งเสริมให้เกิดฐาน SMEs ซึ่งได้ขยับอันดับ World Ranking จากระดับใกล้เคียงกับไทยในอดีต จนอยู่เป็นอันดับที่ 14 ในปัจจุบันนั้น ได้มีการศึกษา Industry 4.0 ด้วยการแปลเอกสารจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาจีน แล้วนำไปปรับการผลิตต่อไป เช่น โรงงานทอผ้าที่ทอผ้าด้วยเครื่องจักรได้ปรับเป็น i-Factory ด้วยการปรับ PDCA (Plan, Do, Check, Action) และสร้างทีมงานศึกษาและปรับการผลิตเข้าสู่ Industry 4.0 โดยเริ่มนำเทคโนโลยีเซนเซอร์มาใช้ร่วมกับ Embedded และ reengineering จาก Industry 3.0 เป็น Industry 4.0 เพื่อให้การทำงานร่วมกับระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรให้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลไต้หวันก็ได้ตอบรับด้วยการส่งเสริมการศึกษาด้าน Human Interface/Interaction อีกด้วย เกาหลีใต้ ศึกษา Industry 4.0 และลอกแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแบบเยอรมัน จีน ศึกษา Industry 4.0 และลอกแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแบบเยอรมัน นอกจากนี้ยังได้มีความร่วมมือในการวางแผนการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานร่วมกับรัฐบาลเยอรมันอีกด้วย อินโดนีเซีย ศึกษา Industry 4.0 และลอกแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแบบเยอรมัน แล้วนำไปปรับการผลิตต่อไป ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ในส่วนของประเทศของไทยนั้น แม้จะมี GDP ประมาณร้อยละ 40 ใกล้เคียงกับจีน แต่ทั้งไทยและประเทศอื่นๆ ใน AEC ยังคงมีค่า GDP ที่พึ่งพาการลงทุนในการผลิตจากต่างประเทศ มากกว่าภาคบริการและการเกษตรอย่างในกลุ่มประเทศยุโรป ส่งผลให้ไทยต้องรีบศึกษา Industry 4.0 เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและให้สามารถอยู่รอดได้ในอนาคต ที่ต้องสามารถนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากกว่าการใช้ในเชิงส่วนบุคคลเท่านั้นอย่างในปัจจุบัน ซึ่งภาคอุตสาหกรรมไทยที่สามารถปรับตัวพร้อมรับ Industry 4.0 ได้สูงสุดคือ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ รองลงมาได้แก่ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปโลหะ สิ่งทอ การบริการ และอาหารที่ยังไม่พบการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งทางรอดของอุตสาหกรรมไทย คือ การยกระดับภาคการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่งให้เข้าสู่ Industry 4.0 ให้สอดคล้องกับที่ภาครัฐได้ตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้ นอกจากนี้ยังต้องสอดคล้องกับสภาพสังคมยุคใหม่ที่กำลังเป็น paperless society และนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาล รวมทั้งการผลักดันยุทธศาสตร์ Trading Nation ที่จะทำให้ไทยเป็นชาติการค้าในภูมิภาคและระดับโลก โดยมองตลาดโลกเป็นตลาดเป้าหมาย ข้อมูลอ้างอิง 1. กมลพรรณ แสงมหาชัย, Revolution to Industry 4.0, ศูนย์การจัดการพลังงานและเทคโนโลยีแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2558.2. เจน นำชัยศิริ, Driving the cluster towards Thai industries 4.0, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, 2558.3. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, Thai Industries 2025 กับแนวทางอุตสาหกรรมในอนาคต,Industry Focus, ปีที่4, ฉบับที่ 050, 2558.4. สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ, Managing Today to Shape Tomorrow’s World, Productivity Conference 2015, 2558.
นานาสาระน่ารู้
 
สรุปยุทธศาสตร์ที่ 5 การเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12
สรุปยุทธศาสตร์ที่ 5 การเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ในส่วนที่ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 5 การเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน มีแนวทางการพัฒนา ดังนี้ 1. การรักษาความมั่นคงภายในเพื่อให้เกิดความสงบในสังคมและธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ โดยสร้างจิตสำนึกของคนในชาติให้มีความหวงแหนและธำรงรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เสริมสร้างความปรองดองของคนในชาติและมีกลไกในการตรวจสอบและพัฒนาภาคการเมือง ป้องกันและแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้  2. การพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพการป้องกันประเทศ โดยพัฒนาศักยภาพและความพร้อมของกองทัพในการป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของประเทศ พัฒนาระบบงานด้านการข่าวที่มีประสิทธิภาพ มีระบบเตรียมพร้อมและกลไกเผชิญเหตุที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบบริหารจัดการเชิงบูรณาการและเตรียมความพร้อมในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านโรคติดต่ออุบัติใหม่ พัฒนาระบบรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลด้านการก่อการร้ายทั้งหน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอกประเทศ พัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศดำเนินบทบาทเชิงรุกและใช้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งระดับภูมิภาคและพหุภาคี สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ  3. การส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศด้านความมั่นคง โดยดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างสมดุล เสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับประเทศเพื่อนบ้านและส่งเสริมความร่วมมือในการบริหารจัดการความมั่นคงตามแนวชายแดน พัฒนาระบบการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลด้านไซเบอร์ให้มีความมั่นคงปลอดภัยและกำกับดูแลระบบการส่งข้อมูลส่วนบุคคลข้ามแดนไปต่างประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภายในประเทศ ภูมิภาค และนานาชาติในการวางระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพที่ได้มาตรฐานสากล  4. การรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยเสริมสร้างความร่วมมือในการรักษาความมั่นคงทางทะเลทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ แก้ไขปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรโดยรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล พัฒนาสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับคุณค่าของทะเล  5. การบริหารจัดการความมั่นคงเพื่อการพัฒนา โดยปรับปรุงระบบติดตาม เฝ้าระวัง ศึกษา วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์ด้านความมั่นคง พัฒนากลไกด้านความมั่นคงและระบบการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ ให้พร้อมรับสถานการณ์ทั้งระดับชาติและระดับพื้นที่
THAILAND 4.0
 
สรุปยุทธศาสตร์ที่ 4 การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12
สรุปยุทธศาสตร์ที่ 4 การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในส่วนที่ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีแนวทางการพัฒนา ดังนี้ 1. การรักษาฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ โดยอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ อนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน พัฒนาระบบบริหารจัดการที่ดินและแก้ไขการบุกรุกที่ดินของรัฐ ปกป้องทรัพยากรทางทะเลและป้องกันการกัดเซาะตลิ่งและชายฝั่ง วางแผนบริหารจัดการทรัพยากรแร่  2. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยเร่งรัดการประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ เร่งรัดให้มีแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับลุ่มน้ำ ผลักดันกระบวนการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำของแหล่งน้ำต้นทุนและระบบกระจายน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและการจัดสรรน้ำต่อหน่วยในภาคการผลิต  3. แก้ไขปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อม โดยเร่งรัดแก้ไขปัญหาการจัดการขยะตกค้างสะสมในพื้นที่วิกฤต ผลักดันกฎหมายและกลไกเพื่อการคัดแยกขยะ สนับสนุนการแปรรูปเป็นพลังงาน ใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่อให้เกิดการลดปริมาณขยะ รวมทั้งสร้างวินัยคนในชาติเพื่อการจัดการขยะอย่างยั่งยืน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำวิกฤตและลุ่มน้ำสำคัญอย่างครบวงจร แก้ไขปัญหาวิกฤตหมอกควันไฟป่าในเขตภาคเหนือและภาคใต้ ปรับปรุงกฎหมายและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมืองเพื่อรองรับการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  4. ส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการผลิตและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการผลิตภาคการเกษตรไปสู่เกษตรกรรมที่ยั่งยืน ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนโดยคำนึงถึงขีดความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ สร้างแรงจูงใจเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนไปสู่การบริโภคที่ยั่งยืน  5. สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจัดทำและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สามารถรองรับพันธกรณีระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนามาตรการและกลไกเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน ส่งเสริมภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีการจัดเก็บและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมของประชาชน และภาคส่วนต่างๆ ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  6. บริหารจัดการเพื่อลดความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ โดยบูรณาการการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเข้าสู่กระบวนการวางแผน เสริมสร้างขีดความสามารถในการเตรียมความพร้อมและการรับมือภัยพิบัติ พัฒนาระบบการจัดการภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉิน พัฒนาระบบการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการจัดการภัยพิบัติ  7. พัฒนาระบบการบริหารจัดการและกลไกแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยปรับปรุงกลไกและกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพ ผลักดันการนำแนวทางการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย สร้างจิตสำนึกความตระหนักและปรับปรุงกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ทบทวนแก้ไขกฎหมาย ส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนและชุมชนเพื่อสร้างพลังร่วม  8. การพัฒนาความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ
THAILAND 4.0
 
สรุปยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12
สรุปยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ในส่วนที่ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน มีแนวทางการพัฒนา ดังนี้ 1. การบริหารจัดการเศรษฐกิจส่วนรวม ได้แก่ 1.1 การพัฒนาด้านการคลัง โดยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดแผนงานโครงการ การจัดสรรงบประมาณ การบริหารและการตรวจสอบกระบวนการงบประมาณของประเทศ  เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ภาครัฐและขยายฐานภาษีให้ครอบคลุม ใช้เครื่องมือทางภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพื่อเป็นช่องทางการเพิ่มรายได้ภาครัฐ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปรับโครงสร้างการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจทั้งระบบและฟื้นฟูรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาฐานะการเงิน  1.2 การพัฒนาภาคการเงิน โดยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงินและสถาบันการเงินทั้งในตลาดเงินและตลาดทุน ขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน  พัฒนานวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มประสิทธิภาพและเสถียรภาพของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ  2. การเสริมสร้างและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการ ได้แก่ 2.1 การพัฒนาภาคการเกษตร โดยเสริมสร้างฐานการผลิตภาคการเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน สร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเกษตรแบบมีส่วนร่วม ยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเข้าสู่ระบบมาตรฐานและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ เสริมสร้างขีดความสามารถการผลิตในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเกษตร ส่งเสริมและเร่งขยายผลแนวคิดการทำเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาปัจจัยสนับสนุนในการบริหารจัดการภาคเกษตรและสนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่  2.2 การพัฒนาภาคอุตสาหกรรม โดยพัฒนาต่อยอดความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพปัจจุบันเพื่อยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง วางรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมสำหรับอนาคต  2.3  การพัฒนาภาคบริการและการท่องเที่ยว โดยเสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันในเชิงธุรกิจของภาคบริการ  พัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงบูรณาการ พัฒนาอุตสาหกรรมกีฬาอย่างครบวงจร  2.4 การพัฒนาภาคการค้าและการลงทุน โดยส่งเสริมการทำตลาดเชิงรุก พัฒนาการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้ได้มาตรฐานสากล สนับสนุนผู้ประกอบการลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พัฒนาปัจจัยสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศและการลงทุนของคนไทยในต่างประเทศ  ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบ พัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา
THAILAND 4.0
 
สรุปยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12
สรุปยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ในส่วนที่ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม มีแนวทางการพัฒนา ดังนี้ 1. เพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มเป้าหมายประชากรร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ำสุดให้สามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพของรัฐ และมีอาชีพ โดยขยายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพให้แก่เด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง จัดบริการด้านสุขภาพให้กับประชากรกลุ่มเป้าหมายฯ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สร้างโอกาสในการมีที่ดินทำกินของตนเองและยกระดับรายได้ กำหนดนโยบายการคลังเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพิ่มการจัดสวัสดิการสังคมให้กับกลุ่มเป้าหมายประชากรร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ำสุดอย่างเพียงพอและเหมาะสม  2. กระจายการให้บริการภาครัฐทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการที่มีคุณภาพให้ครอบคลุมและทั่วถึง โดยส่งเสริมให้มีการกระจายการบริการด้านการศึกษาที่มีคุณภาพให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้นระหว่างพื้นที่ บริหารจัดการการให้บริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เร่งรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้แรงงานนอกระบบตระหนักถึงประโยชน์ของการสร้างหลักประกันในวัยเกษียณและประโยชน์จากระบบประกันสังคม ส่งเสริมและจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมให้ประชากรกลุ่มต่างๆ ปรับปรุงปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจ รวมทั้งกฎหมาย กฎระเบียบให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม  3. เสริมสร้างศักยภาพชุมชน การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และการสร้างความเข้มแข็งการเงินฐานรากตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยสร้างและพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลงในชุมชน ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน สนับสนุนการให้ความรู้ในการบริหารจัดการทางการเงิน สนับสนุนชุมชนให้มีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการ บริการ และการจัดการทรัพยากรในชุมชน
THAILAND 4.0