ผลการค้นหา :

ไทยเดินหน้า “เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลน” มุ่งสนับสนุนการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
วันที่ 26 กรกฎาคม ของทุกปี คือ “วันสากลของการอนุรักษ์ป่าชายเลนโลก (International day for the conservation of the mangrove ecosystem)” หรือที่นิยมเรียกว่า “วันป่าชายเลนโลก” เป็นวันที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน ระบบนิเวศในแนวเชื่อมต่อระหว่างทะเลกับผืนแผ่นดิน พบได้ในแถบเขตร้อน (tropical) และกึ่งเขตร้อน (subtropical) ของโลก ป่าชายเลนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคนและสัตว์ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากิน แหล่งกักเก็บคาร์บอน และยังเป็นแนวกำแพงช่วยลดความรุนแรงของคลื่นลม ภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกด้วย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) นำความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดำเนินโครงการการศึกษาชีพลักษณ์และการเก็บอนุรักษ์พันธุกรรมพืชป่าชายเลนของไทยในสภาพปลอดเชื้อ โดยมุ่งหวังพัฒนาวิธีการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชป่าชายเลนแบบระยะยาว เพื่อเป็นคลังความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนในประเทศ
[caption id="attachment_45227" align="aligncenter" width="450"] ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารพืช NBT ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารพืช NBT ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า ปัจจุบันมีการอนุรักษ์พันธุ์พืชป่าชายเลนด้วยการจัดทำศูนย์รวบรวมพันธุ์ทั้งแบบอนุรักษ์ในพื้นที่ (in situ) และแบบนอกพื้นที่ (ex situ) ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่ด้วยสถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบัน ภัยแล้ง น้ำท่วม ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่ยากแก่การวางแผนรับมือล่วงหน้า ต่างส่งผลโดยตรงต่อการกระจายพันธุ์ของพืชบางชนิด ทำให้การเก็บรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จในระยะยาว ดังนั้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการสูญพันธุ์ของพืชในธรรมชาติ ทีมวิจัย NBT จึงได้ศึกษาวิจัย “การเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชชายเลนด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ” ภายใต้โครงการความร่วมมือดังกล่าว
“การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีการเพิ่มจำนวนต้นพืชแบบไม่อาศัยเพศในสภาพปลอดเชื้อ เหมาะแก่การผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคที่มีคุณลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ สามารถเพิ่มปริมาณได้รวดเร็วในพื้นที่ขนาดจำกัด อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับจัดเก็บเชื้อพันธุกรรมพืชที่มีเมล็ดแบบ Recalcitrant หรือเมล็ดชนิดที่ไม่สามารถลดความชื้นเพื่อการเก็บรักษาระยะยาวในสภาวะเยือกแข็ง (อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส) ได้ ซึ่งเมล็ดชนิดนี้พบมากในพืชพรรณที่เติบโตในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งร้อน”
[caption id="attachment_45228" align="aligncenter" width="450"] การสำรวจป่าชายเลนเพื่อการทำวิจัย[/caption]
ถึงกระนั้นแม้จะเป็นที่ทราบกันดีในวงการวิจัยว่า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นหนึ่งในแนวทางการอนุรักษ์พืชป่าชายเลนที่มีประสิทธิภาพ แต่จนถึงปัจจุบันทั่วโลกยังคงมีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยด้านนี้ออกมาไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจาก “ความยากในการเพาะเลี้ยง”
ดร.ปัญญาวุฒิ อธิบายว่า ความยากของการวิจัยด้านนี้คือต้องค้นหาวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่เหมาะสมแบบจำเพาะ เนื่องจากพืชแต่ละชนิด (species) ต้องการอาหารและสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน อีกทั้งพืชป่าชายเลนบางชนิดยังมีอัตราการเจริญเติบโตช้า ทำให้การวิจัยแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลานานหลักปี ซึ่งหากไม่ประสบความสำเร็จจะต้องเริ่มต้นกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนแรก
[caption id="attachment_45229" align="aligncenter" width="750"] ภาพการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ[/caption]
[caption id="attachment_45232" align="aligncenter" width="750"] การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ[/caption]
“ตัวชี้วัดความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกคือการทำให้ชิ้นส่วนพืชปลอดเชื้อและเจริญเติบโตต่อบนอาหารสังเคราะห์ภายหลังการฟอกฆ่าเชื้อได้สำเร็จ ส่วนที่สองคือยอดใหม่ของพืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้ผ่านการสับเปลี่ยนอาหารแล้ว 2 ครั้ง (subculture) หลังจากผ่านทั้งสองขั้นตอนที่สำคัญเหล่านี้แล้ว จึงจะมั่นใจได้ว่ากระบวนการเตรียมตัวอย่างพืชและสูตรอาหารมีความเหมาะสมต่อการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมชนิดนั้น ๆ ในระยะยาว ทั้งนี้เป็นการอิงตามหลักกระบวนการวิจัย (protocol) ที่ NBT ใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรมากว่า 200 ชนิดพันธุ์”
สำหรับการวิจัยเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลนในสภาพปลอดเชื้อในเฟสแรก สวทช. และ ทช. ได้ร่วมกันคัดเลือกพันธุ์พืชป่าชายเลนมาศึกษากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จำนวน 16 ชนิด คือ หงอนไก่ใบเล็ก พังกา-ถั่วขาว ใบพาย โปรงขาว ลำแพน หลุมพอทะเล โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ตะบูนขาว ตะบูนดำ ถั่วขาว ถั่วดำ โปรงแดง ฝาดดอกแดง พังกาหัวสุมดอกแดง และลำแพนหิน ซึ่งเป็นพืชที่มีความเสี่ยงตามประกาศของ IUCN Red List ตั้งแต่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ในระดับต่ำ (least concern) จนถึงใกล้สูญพันธุ์ (endangered)
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าถึงสถานการณ์การวิจัยเพาะเลี้ยงพืชป่าชายเลนในเฟสนี้ว่า ผลจากการดำเนินงานทำให้ทีมพบปัญหาสำคัญในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชป่าชายเลนที่เก็บตัวอย่างจากธรรมชาติ คือ ตัวอย่างเหล่านี้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์สูง โดยเฉพาะเชื้อในกลุ่ม Endophytic microbial หรือจุลินทรีย์ที่อาศัยในชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่สามารถทำให้ตายผ่านการฆ่าเชื้อที่พื้นผิวตามปกติ ทีมวิจัยจึงได้นำต้นกล้าที่จัดเก็บตัวอย่างจากป่ามาปลูกในโรงเรือนที่มีความชื้นน้อยกว่าธรรมชาติเพื่อลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ ก่อนฆ่าเชื้อด้วยรูปแบบและวิธีการที่ปรับให้เหมาะสม จนทำให้ต้นพันธุ์ปลอดเชื้อได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการวิจัยสูตรอาหารเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชพันธุ์ต่าง ๆ ต่อไป
[caption id="attachment_45230" align="aligncenter" width="750"] ขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลน[/caption]
[caption id="attachment_45231" align="aligncenter" width="750"] ขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพร[/caption]
ขณะเดียวกันกับการมุ่งมั่นเพาะเลี้ยงพืชชายเลนทั้ง 16 ชนิด ทีมยังได้วิจัยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรที่พบบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ป่าชายเลน เพื่อประโยชน์ด้านการอนุรักษ์คู่ขนานกันไปด้วย ปัจจุบันประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงแล้ว 6 ชนิดพันธุ์ คือ ผักเบี้ยทะเล ผักหวานทะเล ขลู่ เทพี สำง้ำ และสำมะงา
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าภายในธนาคารพืช NBT มีการวิจัยเพื่อการอนุรักษ์พรรณพืชป่าชายเลนอีกหลายด้าน เช่น การศึกษาลักษณะเรณูหรือละอองเกสร (pollen) เพื่อการระบุชนิดพันธุ์ของพืช เพราะปริมาณและความหลากหลายของเรณูที่ตรวจพบบ่งชี้ถึงความสามารถด้านการกระจายพันธุ์ของพืชในบริเวณนั้นได้ อีกตัวอย่างคือการศึกษา DNA barcode หรือรหัสพันธุกรรมตำแหน่งสำคัญที่บ่งชี้ถึงชนิดพันธุ์พืช เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงที่สำคัญสำหรับการระบุชนิดพันธุ์ ซึ่งการตรวจสอบชนิดพันธุ์พืชผ่านรูปแบบ DNA barcode เป็นวิธีการที่มีความแม่นยำสูง ตรวจสอบง่าย และไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงนักอนุกรมวิธานในการวิเคราะห์ผล
[caption id="attachment_45236" align="aligncenter" width="750"] ละอองเกสรต้นหลุมพอทะเล[/caption]
[caption id="attachment_45235" align="aligncenter" width="750"] ละอองเกสรต้นฝาดดอกแดง[/caption]
[caption id="attachment_45234" align="aligncenter" width="750"] กระบวนการสกัด DNA เพื่อทำ DNA barcode[/caption]
“ทั้งนี้เป้าหมายการทำงานในระยะยาวของทีมวิจัยจากธนาคารพืช NBT คือ การสนับสนุนการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในไทยและต่างประเทศผ่านการทำงานเป็นเครือข่าย เพื่อบูรณาการองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการทำวิจัย มุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ของประชากรโลก คือการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” ดร.ปัญญาวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
หากคุณสนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือร่วมทำวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพไทยทั้งด้านพืชและจุลินทรีย์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NBT และติดต่อได้ที่ www.nationalbiobank.in.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ไบโอเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. เปิดโครงการเร่งพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่- ผู้ประกอบการ กลุ่มประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ล้านช้าง – แม่โขง
For English-version news, please visit : New acceleration program aims to build entrepreneurial skills for countries in Lancang – Mekong region
25 กรกฎาคม 2566 ณ อาคาร C ASEAN ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) “Lancang - Mekong Young Leaders and Entrepreneurship Acceleration Camp” ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหาร กล่าวว่า โครงการเร่งพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่- ผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ล้านช้าง – แม่โขง
เป็นความร่วมมือในระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) Beijing International Exchange Association และ InnoLab Asia เพื่อส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือของนักวิจัย เเละผู้ประกอบการ ในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงโดยเน้นการพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ และผู้ประกอบการในกรอบความร่วมมือล้านช้าง - แม่โขง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ
ได้แก่ จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย ที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นฐาน โดยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้นำรุ่นใหม่ สร้างความพร้อมในการเข้าสู่การแข่งขันในบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ
“ประเด็นที่สำคัญคือ การสร้างผู้ประกอบการที่มีศักยภาพโดยกระบวนการปลูกฝังแนวคิดการเป็น Leaders and Entrepreneurship ให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เพื่อให้มีมุมมองในการประกอบกิจการ โดยพัฒนาทักษะพื้นฐาน ตามความถนัดของแต่ละบุคคล ประกอบธุรกิจที่เหมาะสมในปัจจุบันและอนาคต มีการเชื่อมโยงเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มเติมในการประกอบอาชีพ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันให้กับประเทศ กลุ่มล้านช้าง - แม่โขง ในอนาคต ซึ่งจะเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจ ที่จะทำให้ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาธุรกิจในกลุ่มประเทศ ต่อไป” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
สำหรับกิจกรรมโครงการเร่งพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่- ผู้ประกอบการในกลุ่มกลุ่มประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ล้านช้าง – แม่โขง เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการอบรม Young Leaders Mindset to Achieve More จากสมาคม Thai Startup ต่อด้วยกิจกรรม Workshop “Huawei Leadership” จาก Huawei Technologies (Thailand) โดยในวันนี้ เป็นกิจกรรม Innovation Pitching มีผู้เข้าอบรมในโครงการ 21 ทีม ซึ่งจะคัดเลือก 10 ทีม ไป Business Trip to China
ข่าวประชาสัมพันธ์

ไบโอเทค สวทช. เผยผลการศึกษาเชิงนโยบายการปรับตัวระบบอาหารท้องถิ่น รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตต่าง ๆ
25 กรกฎาคม 2566 กรุงเทพฯ - ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ม.อุบลราชธานี และศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (IJC-FOODSEC) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen’s University Belfast ได้รับทุนวิจัยจาก Foreign Commonwealth & Development Office รัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย จัดกิจกรรมเผยแพร่การศึกษาในโครงการ “การสร้างความสามารถของระบบอาหารชุมชนในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เพื่อเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะช่วยเสริมสร้างระบบอาหารท้องถิ่นของไทยให้สามารถรับมือและปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตต่าง ๆ อันจะสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศบนฐานความยั่งยืน โดยศึกษาใน 2 พื้นที่หลัก คือ เมือง/ชานเมือง (กทม. นนทบุรี และนครปฐม) และชนบท/พื้นที่เกษตรกรรม คือ อุบลราชธานี เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญและที่ผ่านมาเจอปัญหาน้ำท่วม พร้อมกันนี้ ยังเปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อนำผลที่ได้เสนอต่อ “คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ” ต่อไป
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า ระบบอาหารของไทยในปัจจุบันต้องเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวนมากขึ้น และมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูง ผนวกกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ วิกฤตทางเศรษฐกิจ การระบาดของโควิด-19 ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ เหล่านี้ล้วนแต่ส่งผลกระทบทำให้ระบบอาหารของไทยมีความเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบอาหารท้องถิ่น ซึ่งผู้ที่อยู่ในระบบนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย ที่ยังมีปัญหาในการเข้าถึงทรัพยากร แหล่งทุน องค์ความรู้ ที่จำเป็นสำหรับการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ดังนั้น Foreign, Commonwealth and Development Office (FCDO), South Asia Research Hub โดยความร่วมมือกับ สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย จึงให้ทุนไบโอเทค สวทช. โดยฝ่ายศึกษานโยบายและความปลอดภัยทางชีวภาพ ร่วมกับ ม.อุบลราชธานี และศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (IJC-FOODSEC) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen’s University Belfast ให้เป็นผู้ดำเนินโครงการ “Climate resilience of local or community food systems in Thailand” เพื่อเสริมสร้างความสามารถของระบบอาหารของท้องถิ่น ให้มีความสามารถในการรับมือและปรับตัวต่อวิกฤตต่าง ๆ โดยเฉพาะต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยอาศัยกลไกทางนโยบาย และความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านอาหารบนฐานของความยั่งยืน
“ผลจากการดำเนินโครงการครั้งนี้ จะนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักร ในการร่วมกันพัฒนาและใช้ประโยชน์วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับระบบอาหารของไทยสู่ระบบอาหารที่มีความยั่งยืน สามารถบรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs 2030 ในอนาคตอันใกล้นี้” ผอ.ไบโอเทค กล่าว
นางสาวกุลวรางค์ สุวรรณศรี นักวิจัยนโยบาย งานวิจัยนโยบาย ฝ่ายศึกษานโยบายและความปลอดภัยทางชีวภาพ ไบโอเทค และหัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการศึกษาคือการเข้าใจบทบาทของเทคโนโลยี นวัตกรรม นโยบายและมาตรการ รวมถึงความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน ในการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบอาหารท้องถิ่นที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงการศึกษาช่องว่างด้านนโยบาย โดยทีมมุ่งพัฒนากรอบนโยบายและกลยุทธ์การพัฒนาความสามารถของระบบอาหารท้องถิ่น ในการรับมือและปรับตัวเป็นระบบอาหารที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารและโภชนาการได้อย่างเท่าเทียม โดยจากข้อมูลดัชนีความมั่นคงอาหารโลก (Global Food Security Index: GFSI) ชี้ว่าโดยรวมประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหารในระดับดี ในปี 2564 มีระดับคะแนนฉลี่ยอยู่ที่ 64.5 จาก 100 อย่างไรก็ดี ครัวเรือนไทยบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ยังมีปัญหาด้านโภชนาการ ได้รับสารอาหารที่ให้พลังงาน ธาตุอาหารในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ประกอบกับภัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้งและน้ำท่วม ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงต่อระบบอาหารระดับท้องถิ่น ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงในการมีอาหารเพียงพอ การเข้าถึงอาหาร และคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร ส่งผลต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาสังคม เช่นความยากจน ถือเป็นปัจจัยที่เร่งให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นช่องว่างด้านนโยบายที่สำคัญในหัวข้อต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ประกอบด้วยในหลายด้าน เช่น ด้านความสามารถในการตั้งรับปรับตัว (resilience) ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของระบบอาหารประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยมีการจัดตั้งคณะกรรมการอาหารแห่งชาติเพื่อดำเนินการจัดการด้านอาหารในทุกมิติ แต่ยังขาดโครงสร้างและหน่วยงานในการขับเคลื่อนที่ชัดเจนในระดับท้องถิ่น ประเด็นเรื่องการสร้างความสามารถของระบบอาหารในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังไม่ได้ถูกบรรจุในแผนอาหารระดับจังหวัด อีกทั้งประเทศไทยยังไม่มีแผนระดับชาติและระดับท้องถิ่นในการจัดการความมั่นคงด้านอาหาร หรือเตรียมการรับมือกับภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงมากขึ้น
ด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี ผลการศึกษาพบว่า งานวิจัยระดับพื้นที่ (area-based research) ซึ่งมีความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประเทศไทย ยังไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร ในการจัดสรรทุนวิจัยด้านเกษตรและอาหาร นอกจากนี้งานวิจัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืชอาหารที่ไม่ใช่ข้าวให้ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การคาดการณ์และเตือนภัยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีไม่เพียงพอและไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเหล่านี้ต้องการการวิจัยพัฒนาที่เข้มข้นมากขึ้น ส่วนประเด็นเรื่องการสร้างความสามารถของผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบอาหาร พบว่า ความรู้และความสามารถของเกษตรกรไทยยังเป็นปัญหาหลักของการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงคุ้นเคยกับการทำเกษตรแบบดั้งเดิม มีเพียงร้อยละ 10 ของเกษตรกรไทยที่สามารถปรับใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และจากปัญหาอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้โอกาสของการเกิดความเสียหายและการเกิดเชื้อก่อโรคจากการจัดเก็บและขนส่งอาหารที่ไม่ดีพอเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้นระบบตรวจสอบย้อนกลับจึงเป็นประเด็นที่ผู้ค้าและตลาดต้องการยกระดับให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ด้านการสนับสนุนทางการเงิน ธ.ก.ส. เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกร อีกทั้งยังมีการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) รูปแบบต่าง ๆ โดยมีการสนับสนุนวงเงินนับจากปี 2563 กว่า 6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีมาตรการทางการเงินอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นนโยบายที่ดีที่จะช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
การมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบอาหาร และระบบคุ้มครองทางสังคม ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม (Public Private Partnerships; PPPs) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสร้างความสามารถของระบบอาหารท้องถิ่นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะภาคเอกชนและ NGOs แต่ทั้งนี้ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกลุ่มพืชที่ปลูกเพื่อการค้า (cash crop) เท่านั้น“จากผลการศึกษาข้างต้น ทีมวิจัยได้ร่วมกันพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อยกระดับความสามารถในการตั้งรับปรับตัวของระบบอาหารท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาและใช้ประโยชน์ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการมีนโยบายเพื่อการรับมือและปรับตัวของระบบอาหารของประเทศไทยต่อวิกฤตต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องในระบบอาหาร ทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาสังคม ในการร่วมกันขับเคลื่อนให้มีการดำเนินการขับเคลื่อนทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติการต่อไป” นางสาวกุลวรางค์ สุวรรณศรี กล่าวปิดท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์

ขอเชิญเข้าร่วมงานสัมมนา DIGITAL HEALTH กุญแจปลดล็อกความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ (ฟรี)
Digital Health เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการช่วยวินิจฉัยโรค, การเก็บข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ (Big data) สำหรับการวิเคราะห์และวางแผนการดูแลสุขภาพมาช่วยในการจัดการ การดูแลสุขภาพและการป้องกันโรค เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาในพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการใช้ Digital health เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาและการดูแลสุขภาพ ผ่านนโยบาย BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ สัมมนานี้เป็นการรวมตัวกันของ สถาบันทางการแพทย์ หน่วยงานวิจัยภาครัฐและบริษัทเอกชนที่สนใจประเด็นปัญหาดังกล่าว จึงได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ควบคู่ไปกับการรักษาแบบเดิม ทำให้ลดภาระการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ การตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำรวมถึงการลดภาระความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาล
คุณจะได้พบกับกูรูทางการแพทย์จากหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (Assistive Technology and Medical Devices Research Center: A-MED)
ดร. สุนทร หลั่นเจริญ หัวหน้าฝ่ายสารสนเทศของโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ดร. สรรพฤทธิ์ มฤคทัต นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยการประมวลผลและเข้าใจภาพ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
คุณวรกาน ลิขิตเดชาศักดิ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม บริษัทหัวเว่ย ประเทศไทย
งานนี้เหมาะกับผู้บริหารโรงพยาบาล แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ นักพัฒนาระบบด้านสุขภาพและทางการแพทย์ นักศึกษาและบุคคลทั่วไป ร่วมรับฟังและถอดบทเรียนจากการนำเทคโนโลยีไปใช้งานจริง งานสัมมนานี้คุณจะได้พบกับผู้พัฒนาระบบ ผู้นำเทคโนโลยีไปใช้งานจริง นักวิจัยที่ศึกษางานด้าน AI ทางการแพทย์ ภาคเอกชนกับการนำเทคโนโลยีโทรคมนาคม 5G มาใช้ในงานอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ
Highlights
แนวทางการพัฒนา Digital Health ในประเทศไทย โอกาสและความท้าทายผ่านนโยบาย BCG สาขาเครื่องมือแพทย์
The Future of Smart Hosptals in Thailand
AI in Thailand Healthcare
Empowering Smart Healthcare Journey with Digital Transformation
ลงทะเบียน ที่นี่ รับจำนวนจำกัด
พบกันวันที่ 16 สิงหาคม 2566 เวลา 9.30-12.00น.
ณ ห้อง Asia Health Room ใน Hall 7 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณประภัสสร (หนิง) โทร. 0-2564-7000 ต่อ 5365 มือถือ. 081-854-1844 อีเมล์ bcd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. ร่วมกับ KBTG จัดสัมนา AI and Big Dataแลกเปลี่ยนประสบการณ์แนวทางการแก้ไขปัญหาในการพัฒนาระบบ Big Data/AI
(24 กรกฎาคม 2566) ณ K+ Building ซอยจุฬาลงกรณ์ 20 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย โดยชมรม ThailandSPIN ร่วมกับ บริษัทกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) จัดงานสัมนาหัวข้อ AI and Big Data: เรื่องบ่นและหนทางออก (ภาค 2) Reflect and Resolve ได้รับการร่วมสนับสนุนจาก Google / ETDA / IMC / ร.พ.ศิริราช / ธ.ก.ส. / Innocop / GISDA / SCG / AIS / KBTG / Ascend Group / มหาวิทยาลัยมหิดล / Huawei / Data Science Thailand / Microsoft
โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานกิตติมศักดิ์บริษัทกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเป็นประธานกล่าวเปิดงานในครั้งนี้
ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานกิตติมศักดิ์ KBTG กล่าวว่า ทุกคนรู้จักปัญญาประดิษฐ์ AI มาระยะหนึ่งแล้ว เรารู้จัก AlphaGo ใช้ Deep Neural Network ชนะ Lee Sodol World Champion ถึง 5-0 ในปี คศ. 2015 ที่สร้างความมั่นใจว่า AI ได้กลับมาแล้ว หลังจากยุคแห่งการซบเซาที่เราเรียกว่า AI Winter ซึ่งสมัยก่อนเราคิดว่า AI ทำงานได้เฉพาะกิจเฉพาะเรื่องและคิดว่า General AI คอมพิวเตอร์คงทำไม่ได้เหมือนที่มนุษย์ทำ แต่เราผิดไปถนัด Generative AI อย่างเดียวสามารถครอบคลุม Art, Writing, Software Development, Product Design, Healthcare, Finance, Gaming, Marketing, และ Fashion
อย่างไรก็ดี Generative AI (Gen-AI) มีศักยภาพที่จะนำไปใช้ในทางที่ผิดเช่นสร้าง Fake News หรือ Deep Fakes ที่หลอกลวงประชาชาชนได้ ซึ่งในการประชุมสภาความมั่นคงของสหประชาชาติ เมื่อวันที่18 กรกฎาคม 2023 เลขาธิการสหประชาชาติ เสนอให้มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ด้าน AI คล้ายกับ International Atomic Energy Agency, International Civil Aviation Organization หรือ The Intergovernmental Panel on Climate Change เพื่อผลักดันประโยชน์และควบคุมโทษของ AI ให้ทั่วทุกประเทศ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2023 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน ได้ประชุมกับผู้แทนบริษัทยักษ์ใหญ่ ผู้นำของสหรัฐ 7 บริษัท (Amazon, Anthropic, Google, Inflection, Meta, Microsoft, and OpenAI) ที่ทำเนียบขาวและแถลงถึงการป้องกันความเสี่ยงจากเทคโนโลยีนี้
ได้แก่ 1. การทดสอบระบบ AI โดยผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภายนอกและในบริษัทก่อนจะ Release ผลิตภัณฑ์ 2. สร้าง Watermarks บนผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้ใช้ได้ทราบว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มาจาก Generate AI 3. มีการรายงานต่อสาธารณะถึงความสามารถและข้อจํากัดของ AI อย่างสม่ำเสมอ 4. ค้นคว้าวิจัยความเสี่ยง เช่น ความลำเอียง Bias การเลือกปฏิบัติ Discrimination และการละเมิดความเป็นส่วนตัว Privacy วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างการรับรู้ว่า Online Content นั้นสร้างมาจาก AI
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ชมรม Thailand SPIN เกิดขึ้นจากการผลักดันของภาครัฐ โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สวทช. ร่วมกับภาคเอกชนจำนวนมาก รวมถึงภาคการศึกษา และ Community ชื่อดังต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศดิจิทัล และนวัตกรรม
โดยกิจกรรม AI and Big Data: เรื่องบ่นและหนทางออก (ภาค 2) ในวันนี้เป็นเวทีแลกเปลี่ยน ช่วยเหลือ ถ่ายทอดความรู้ และสร้างความตระหนัก ในกลุ่ม Software Process Improvement อีกทั้ง สร้างเครือข่ายการปรับปรุง กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ยั่งยืน ทางคณะผู้จัดมองเห็นว่า AI และ Big Data มี ส่วนสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ จึงได้จัดงานนี้ขึ้น โดยมีคนที่ทำจริงด้าน AI และ Big Data จากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และบริษัทด้านเทคโนโลยีชื่อดังมากมาย มาร่วมกันถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ที่น่าสนใจมากกว่า 10 หัวข้อ เช่น AI กับโอกาสที่มีต่อธุรกิจ ศักยภาพด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ การบริหารจัดการข้อมูลทางด้านการเงินการธนาคาร การบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐ รวมถึง แนวโน้มเทคโนโลยีด้าน Al และ Big Data เป็นต้น
สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและกูรูด้าน Big Data และ AI จากนวัตกรรมดิจิทัล หลากหลายภาคีทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา อาทิ นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ Green Business Director SCG International Corporation Co., Ltd ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี (IMC Institute) ผศ. ดร.ประพัฒน์ สุริยผล รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศ และ หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมข้อมูลศิริราช คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล นายพงษ์เทพ พรหมศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์และบริหารจัดการข้อมูล ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดร.กานต์ อุ่ยวิรัช Data Product Developer and Technical Coach ODDS นายสุรศักดิ์ วนิชเวทย์พิบูล CTO of Huawei Cloud Business บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และวิทยากรอีกมากมายที่เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์
ข่าวประชาสัมพันธ์

แล็บวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ “สาหร่าย”
ไบโอเทค สวทช. นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการที่ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพด้านสาหร่าย ประกอบด้วย "หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง" ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ "กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย" ที่สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
โดยทั้ง 2 หน่วยวิจัยของไบโอเทค สวทช. มุ่งวิจัยและพัฒนาสารสกัดจากสาหร่าย เพื่อนำไปใช้สำหรับการแก้ปัญหาโรคในสัตว์น้ำ โดยเฉพาะกุ้งและปลา เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตและลดความสูญเสีย มีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยให้กลับมาเป็นผู้นำการส่งออกในตลาดโลกอีกครั้ง.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. จับมือ ส.อ.ท. และกรมโรงงานฯ ดันการวิจัยเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรม ให้เป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ สู่การสิ้นสุดการเป็นของเสีย ตามหลักแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
For English-version news, please visit : NSTDA, DIW and FTI join forces to end industrial waste
วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และนายเกรียงไกร เธียรนุกุลประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาการผลักดันเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรมให้เป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยมีมาตรฐานการควบคุมที่เหมาะสมทั้งในเชิงวิชาการความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการสิ้นสุดการเป็นของเสีย (End of Waste) ต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ได้จริงและพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. โดยทีมนักวิจัยได้สั่งสมประสบการณ์การทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาเป็นระยะเวลานาน ทั้งการวิจัยการเพิ่มมูลค่ากากของเสียในภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร มีผลงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรมที่หลากหลายและมีมูลค่าสูง พร้อมทีมวิจัยในการร่วม Proof Technology และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเปรียบเทียบระหว่างการนำกากของเสียไปทิ้ง ฝัง กลบ เผา กับการนำมาเพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการเป็นวัตถุดิบสำหรับอีกอุตสาหกรรม ซึ่งความร่วมมือของทั้ง 3 หน่วยงานครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมกันผลักดันการวิจัยและพัฒนาไปสู่เป้าหมายการใช้ประโยชน์และเป็นหนึ่งในแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือครั้งนี้ เห็นความสำคัญในการผลักดันกฎระเบียบ End of Waste ในประเทศไทย ซึ่งการดำเนินการกล่าว สอดรับกับ นโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญในการยกระดับภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชน นอกจากนี้ ยังเป็นการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากร เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ โดยมุ้งเน้นกากของเสียอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ชีววัตถุ และ แร่ธาตุพื้นฐาน ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งและกระจายรายได้สู่ชุมชน
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคเอกชนและผู้ประกอบการ ที่มีสมาชิกทั้งอุตสาหกรรมผู้ก่อกำเนิดของเสีย (waste generator) อุตสาหกรรมรับขนส่งของเสีย (waste transporter) และอุตสาหกรรมผู้รับบำบัด กำจัดของเสีย (waste processor) และให้ความสำคัญในการนำแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนมากำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงาน ส.อ.ท. จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน
ของเสีย หรือ Circular Material Hub (CMH) สำหรับเป็นช่องทางการนำของเสียหรือวัสดุไม่ใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างงานผ่านสตาร์ทอัพ (Startup) โดยอาศัยแนวคิดการเปลี่ยนของเสียจากอุตสาหกรรมหนึ่ง ไปสู่การเป็นวัตถุดิบหรือ Materials ให้อีกอุตสาหกรรมหนึ่ง สอดคล้องกับหลักการ End of Waste รวมถึงมีแหล่งทุนอินโนเวชั่นวัน (Innovation one) ที่ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำหรับให้ทุนในธีม BCG และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถสนับสนุนในการทำงานวิจัยร่วมกันเพื่อผลักดันไปสู่ End of waste ได้อย่างรวดเร็ว และเกิดความคล่องตัว ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเป็นส่วนสำคัญในการร่วมผลักดัน End of waste ของประเทศไทยได้ในทุกห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain)
ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ มุ่งหวังให้เกิด 1) การนำกากของเสียอุตสาหกรรมไปเพิ่มมูลค่า ใช้ประโยชน์ สู่การใช้งานจริง ทั้งในเชิงวิชาการ กิจกรรมผลักดัน งานสัมมนา และการรวมกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง 2) การร่วมวิจัยและพัฒนาการเพิ่มมูลค่ากากของเสียอุตสาหกรรมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเป็นวัตถุดิบในอีกอุตสาหกรรม และเกิดการต่อยอดงานวิจัยสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำและยั่งยืน 3) ร่วมพัฒนา และปฏิรูปมาตรฐาน และนำเสนอให้มีการปรับปรุง กฎระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสิ้นสุดของการเป็นของเสีย และการใช้วัตถุดิบทุติยภูมิ (Secondary Raw Material) รวมถึงการพัฒนามาตรฐานสำหรับวัตถุดิบทุติยภูมิเพื่อให้เกิด Circular supplies และ 4) การพัฒนาความร่วมมือ กลไกการทำงานร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพื่อให้เกิดธุรกิจที่มีการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ธุรกิจวัสดุรีไซเคิล เป็นต้น อันก่อให้เกิดมาตรฐานการยอมรับทั้งในเชิงเทคนิค ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม และกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ กิจกรรมที่เกิดขึ้นแล้วจากความร่วมมือครั้งนี้ คือ การจัดงานสัมมนา End of Waste Thailand โอกาสและการผลักดันสู่ความสำเร็จเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2566 และการเตรียมดำเนินโครงการนำร่อง ต้นแบบการเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรมใน 3 กากอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ โซเดียมซิลิเกตจากขี้เถ้าแกลบ Bone ash จากก้างปลาทูน่า และยิปซั่มบอร์ดจากยิปซั่มสังเคราะห์
ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้ง 3 หน่วยงาน มุ่งหวังที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดการเป็นกากอุตสาหกรรม หรือ End of Waste ที่จะนำไปสู่การเกิดอุตสาหกรรมที่นำกากของเสียมาเป็นวัตถุดิบ หรือ ผลิตภัณฑ์ อย่างแพร่หลายมีมาตรฐาน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้นำไปใช้งาน นำไปสู่สังคมที่มีการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ติวเข้ม นักเรียนทุนวิทย์ฯ จบใหม่ ประจำปี 66 เสริมแกร่ง กำลังคนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาประเทศ
(วันที่ 21 กรกฎาคม 2566) ณ โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ กรุงเทพฯ : ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)เป็นประธานเปิดสัมมนานักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำเร็จการศึกษา ประจำปี 2566 จัดโดยฝ่ายนักเรียนทุนรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช.
เพื่อสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายระหว่างนักเรียนทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้วเตรียมความพร้อมให้นักเรียนทุนได้ทำงานภายหลังสำเร็จการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ มีทักษะและประสบการณ์ในการเป็นนักวิจัยอาชีพ
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ฝ่ายนักเรียนทุนรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. จัดสัมมนานักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่สำเร็จการศึกษา ประจำปี 2566 จำนวนประมาณ 40 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนทุนที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานภายหลังสำเร็จการศึกษา โดยฝ่ายนักเรียนทุนฯ ร่วมกับ วิทยากรจากสมาคมนักวิจัยรุ่นใหม่ Thai Young Scientists Academy (TYSA) ซึ่งกลุ่ม TYSA เป็นการรวมตัวกันของนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มาร่วมมือกันสร้างเครือข่ายนักวิจัย โดยเป็นภาคีสมาชิกภายใต้การดำเนินการของ มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (บวท.) มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และแชร์ประสบการณ์การหาทุนวิจัย การสร้างตัวตนในฐานะนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในบริบทของประเทศไทย ให้กับนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์ฯ ภายใต้กิจกรรมการเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ในหัวข้อ “How to Establish Yourself as an Independent Researcher in Thailand” ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางในการร่วมกันสร้างเครือข่ายงานวิจัยร่วมกันในอนาคต
ดร.สมบุญ กล่าวต่อว่า ฝ่ายนักเรียนทุนฯ สวทช. ได้รับมอบหมายภารกิจจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ในการทำหน้าที่ประสานงาน เชื่อมโยง ขับเคลื่อนภารกิจการดูแลนักเรียนทุน ซึ่งประกอบด้วยภารกิจจัดสรรทุน ให้มหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยของประเทศ ภารกิจขออนุมัติงบประมาณสำหรับนักเรียนทุนที่เรียนอยู่ ภารกิจดูแลนักเรียนทุนที่ได้รับทุนแล้วให้สามารถเดินทางไปเรียน และเรียนจบกลับมาอย่างเรียบร้อย รวมถึงการดูแลนักเรียนทุนหลังสำเร็จการศึกษาโดยส่งเสริมการทำงาน
“ที่ผ่านมาเราได้ขับเคลื่อนภารกิจไปพร้อม ๆ กัน ในการดูแลนักเรียนทุนที่กำลังเรียนอยู่ จะมีสำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานดูแลเรื่องระเบียบ และจัดส่งเงินทุนให้นักเรียน ซึ่งงบประมาณที่ อว. ได้ขอทุนสนับสนุนจากรัฐบาลในแต่ละปีแสดงให้เห็นความสำคัญที่ผู้บริหารเล็งเห็นประโยชน์และการดำเนินงานโครงการทุนต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุความสำเร็จของโครงการที่ต้องการให้เกิดการยกระดับความรู้ ความเชี่ยวชาญ ของกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์ในทุกระดับ โครงการฯ จึงมุ่งผลิตและสร้างกำลังคนโดยส่งนักเรียนทุนไปเรียนทั้งต่างประเทศและในประเทศ เพื่อสร้างโอกาสการทำงานร่วมกัน ขยายขีดความสามารถของนักเรียนทุน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนทุนให้ช่วยกันทำงานพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อไป” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมกับ บพข. คิกออฟ 2 โครงการ เสริมแกร่งผู้ประกอบการผลักดันสู่เวทีโลก
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) และ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)
จัดประชุมเริ่มต้นโครงการ "การสร้างการเติบโตของธุรกิจฐานนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการไทยในตลาดระดับชาติและระดับโลก" และโครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม”ภายใต้แผนงานพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDEs) ขนาดใหญ่เป็นการพัฒนาผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมให้เติบโตผ่านกลไกการสนับสนุนและเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับผู้ให้บริการนวัตกรรมที่เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา โดยมุ่งเน้นกิจกรรมตั้งแต่การประเมินศักยภาพด้านนวัตกรรมและโอกาสในการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรม 4.0
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โลกในยุคปัจจุบันกำลังเคลื่อนเข้าสู่มิติใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในทุกด้าน ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีการยกระดับปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน ให้สามารถไปสู่ธุรกิจที่สร้างคุณค่า (Value-Based Business) และมีการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven) เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความเติบโตและความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจ จากการปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ให้สามารถต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม
ทั้งนี้การดำเนินธุรกิจจากร้อยล้าน ไปสู่พันล้าน ต้องอาศัยความรู้หลากหลายมิติ ทั้งด้านเทคโนโลยี การตลาด การเงิน และการบริหารจัดการธุรกิจ ผนวกรวมเข้ากับการเชื่อมโยงทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ และบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อผลักดันธุรกิจนวัตกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศในภาพรวมได้
โครงการ "การสร้างการเติบโตของธุรกิจฐานนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการไทยในตลาดระดับชาติและระดับโลก" และโครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม” จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมไทย (IDE) ที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจนวัตกรรม ตั้งแต่การประเมินศักยภาพด้านนวัตกรรม ประเมินสถานภาพความพร้อมในการส่งออก การเข้าถึงตลาดในประเทศและต่างประเทศ การเชื่อมโยงธุรกิจและการให้คำปรึกษาเชิงลึกรายบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมให้สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความเข้มแข็ง สามารถสร้างรายได้และส่งผลกับการเติบโตของบริษัทได้อย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2579 และการสร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี ให้เพิ่มขึ้น 1,000 ราย ภายในปี 2570 ตามเป้าหมายประเทศ
รองผู้อำนวยการ กล่าวเพิ่มเติมว่า สวทช. มีกลไกการสนับสนุนผู้ประกอบการให้ครอบคลุมในหลากหลายด้าน ตั้งแต่กระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ กระบวนการผลิตใหม่ การตั้งธุรกิจใหม่ การใช้บริการจากการนำนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันก่อให้เกิดการบริการแบบใหม่และการแก้ปัญหาใหม่ (Total solution) ที่มี ความโดดเด่น มีเอกลักษณ์และมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) จากผลิตภัณฑ์กระบวนการ บริการและรูปแบบธุรกิจแบบเดิม โดยทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากการเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จากการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรมของ สวทช. ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช.กล่าวว่า ประโยชน์จากการที่ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ คือการนำนวัตกรรมมาใช้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กร และประเทศในภาพรวม เช่น สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สามารถสร้างธุรกิจได้จากงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับผู้ประกอบการไทยสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ สร้างความร่วมมือเพื่อแบ่งปันและต่อยอดองค์ความรู้ระหว่างผู้ประกอบการในห่วงโซ่คุณค่าในรูปแบบของนวัตกรรมแบบเปิด ช่วยให้ระยะเวลาของการพัฒนานวัตกรรมให้รวดเร็วขึ้น สามารถลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์หรือบริการด้านเทคโนโลยีรวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือและร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมาจากการกำหนดโจทย์นวัตกรรมจากความต้องการจริง เป็นการปรับตัวเพื่อให้พร้อมรับมือกับการแข่งขันที่ตอบสนองต่อเป้าหมายการส่งเสริมผู้ประกอบการที่ดำเนินการธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม จนทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ เชื่อมโยงและบูรณาการความร่วมมือภายใต้บริบทใหม่ของระบบนิเวศนวัตกรรมของท้องถิ่น ภูมิภาค และประเทศได้
“ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดยฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) ซึ่งมีประสบการณ์การวิเคราะห์ความต้องการของผู้ประกอบการโดยผู้เชี่ยวชาญ กว่า 18,000 ราย มีการให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านพัฒนาเทคโนโลยีของ SMEs กว่า 13,000 ราย และ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ซึ่งมีประสบการณ์การวิเคราะห์ Business Model มาแล้วกว่า 3,000 Model บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี มาแล้วกว่า 1,300 ราย นับว่ามีความพร้อมอย่างที่สุดในการดำเนินโครงการภายใต้แผนงานพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม ซึ่งต้องอาศัยทีมงานที่มีทักษะสูง มีที่ปรึกษาซึ่งมีความเชี่ยวชาญที่จะเข้าไปช่วยวิเคราะห์ว่าสิ่งใดคือปัจจัยหลักของธุรกิจนั้น มีนักวินิจฉัยธุรกิจเข้าไปประเมินสถานภาพของกิจการให้รู้จุดแข็ง จุดอ่อนที่แท้จริงของบริษัท จึงสามารถปิดช่องว่างและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของผู้ประกอบการได้ตรงจุด ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายของโครงการ อีกทั้ง ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ยังมีเครือข่ายและพันธมิตรด้านการบ่มเพาะทั้งในเอเชีย ยุโรปและ อเมริกา ดังที่ผ่านมาได้นำ Startup ไทยออกสู่ตลาดสากลและจดทะเบียนขยายบริษัทไปยังประเทศต่าง ๆ ได้
โดยทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากการเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จากการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การวิจัย นวัตกรรม และกลไกของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”ดร.อดิสร กล่าวทิ้งท้าย
กิจกรรมภายในงานมีการบรรยายพิเศษเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อยกระดับ SMEs สู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรม โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในหัวข้อ “ยกระดับ SMEs สู่บริษัทฐานนวัตกรรม 1,000 ล้าน x 1,000 ราย” ดร.จันทร์ฉาย พิทักษ์อรรณพ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า EXIM BANK บรรยายเรื่อง “ขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม กุญแจความสำเร็จสู่ตลาดโลก” และบรรยายพิเศษโดยคุณ Clarence Tan กรรมการผู้จัดการบริษัท ORIGGIN Pte. Ltd. ประเทศสิงคโปร์ ในหัวข้อ “Speed up your business growth to global market”
ทางด้านโครงการ “การสร้างการเติบโตของธุรกิจฐานนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการไทยในตลาดระดับชาติและระดับโลก” ดร.ณัฐกา สิงหวิลัย รองผู้อำนวยการ ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) สวทช. ได้ชี้แจงกิจกรรมและแผนงานโครงการให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจและการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมร่วมแนะนำรายละเอียดการจัดกิจกรรมในโครงการให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการต่อไป
และโครงการแปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. (BIC) แนะนำกิจกรรมให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้ทราบถึงรายละเอียดแผนการดำเนินงาน และข้อปฏิบัติในโครงการ พร้อมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจเชิงกลยุทธ์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเชิงนวัตกรรม ร่วมให้คำแนะนำให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อเตรียมความพร้อมในการายกระดับธุรกิจจากร้อยล้านสู่พันล้าน
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ผนึกพลัง TCELS – วว. จัดกิจกรรมติดอาวุธผู้ประกอบการไทยกลุ่มเวชสำอาง/สมุนไพร กรุยทางเปิดตลาดต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย วว.
จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมทักษะด้านการเจรจาธุรกิจ Business Pitching ให้กับผู้ประกอบการไทยในกลุ่มเวชสำอาง/สมุนไพร เพื่อเสริมสร้างทักษะการเจรจาธุรกิจ เรียนรู้กระบวนการเจรจาต่อรอง และวิธีนำเสนอสินค้า/บริการแก่นักลงทุน เพื่อต่อยอดการสร้างความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหาร ให้เกียรติกล่าวเปิดงานและต้อนรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ “Perfect Pitch เจรจาธุรกิจอย่างไรให้ได้งาน ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการเชื่อมโยงธุรกิจนวัตกรรมเวชสำอางและสมุนไพรสู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566 หรือ Cosmeceutical and Herbal Innovation with Business Link 2023 (CIB2023) โดยโครงการจะคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเพื่อเข้าร่วมการบ่มเพาะ เรียนรู้และฝึกฝนทักษะในด้านต่างๆ ที่สำคัญ/จำเป็นต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน คุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ให้มีความพร้อมมากที่สุดสำหรับการต่อยอดในเชิงธุรกิจสู่ตลาดสากล
โอกาสนี้ ดร.พัชราภรณ์ วงษา ผู้อำนวยการโปรแกรมบริหารโภชนเภสัชภัณฑ์และเวชสำอาง TCELS พร้อมด้วยผู้บริหารจาก วว. ได้แก่นายจิรวัฒน์ วัฒนบุตร ผู้อำนวยการกองบริการธุรกิจนวัตกรรม และ ดร.ธัญชนก เมืองมั่น นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือก 6 บริษัท เข้าร่วมกิจกรรมด้วย โดยในกิจกรรมได้มีการบรรยายให้ความรู้ และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อทางด้านการพัฒนาทักษะด้านการเจรจาธุรกิจ เช่น Pitching Model Canvas, PROFESSIONALITY for Pitcher, Sales Pitching รวมถึง ทักษะในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Voice Communication) และทักษะการพัฒนาบุคลิกภาพให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเร่งผลักดันและส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางหรือเวชสำอาง สารสกัดและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ให้สามารถขยายตลาดไปสู่ระดับนานาชาติได้ รวมถึงเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สารสกัดสมุนไพรไทยได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสินค้าและบริการมีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘Ve-Sea’ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา ฮือก้วยจากโปรตีนพืช เนื้อสัมผัสแน่นหนึบ ได้ประโยชน์เต็มคำ
ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อหมูและเนื้อไก่มีวางจำหน่ายในตลาดค่อนข้างหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคได้รับประทาน แต่สำหรับ ‘ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช’ ที่หลายคนชื่นชอบกลับยังไม่มีให้เห็นมากนัก สาเหตุสำคัญมาจากความยากในการผลิตให้ได้เนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงของจริง การพัฒนา Plant-based seafood จึงยังเป็นโจทย์ที่ท้าท้าย น่าจับตา และมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูง
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา ‘Ve-Sea’ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วย ผลิตภัณฑ์ใหม่ในสายการผลิตเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช มุ่งตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและกลุ่มผู้แพ้อาหารทะเล
[caption id="attachment_44759" align="aligncenter" width="700"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. เล่าถึงที่มาการผลิต ‘Ve-Sea’ ว่า หลังจากทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการผลิตเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ‘Ve-Chick’ ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่เอกชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารทะเลอย่างหมึกและกุ้งต่อ เพราะเป็นกลุ่มนวัตกรรมอาหารที่มีความต้องการสูง โดยจากข้อมูลเชิงสถิติพบว่าในช่วงปี 2564-2565 ตลาด Plant-based seafood มีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 14 และประมาณการณ์ว่าในช่วงปี 2565-2572 จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28.5 อย่างไรก็ตามด้วยความยากในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้มีเนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงของจริง ทำให้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีสัดส่วนในตลาดเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสทางธุรกิจค่อนข้างสูง
“ผลจากการทุ่มเทแรงเป็นเวลากว่า 10 เดือน ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช ทั้งปลา หมึก และกุ้ง ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหารที่อาศัยความรู้ทั้งทางด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหารซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของทีมวิจัย ประกอบกับการใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของวัตถุดิบแต่ละชนิดมาเลือกใช้และผสมวัตถุดิบเข้าด้วยกัน ทำให้ทีมประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืชที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตในนาม ‘Ve-Sea’ เรียบร้อยแล้ว 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วย ซึ่งจากผลการทดสอบพบว่าผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัสใกล้เคียงของจริง อีกทั้งยังมีปริมาณโปรตีนเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่ใช้เนื้อปลาเป็นส่วนประกอบด้วย สำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อหมึกจากโปรตีนพืชคาดว่าจะเปิดตัวและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีภายในปี 2567”
ปิ้ง ย่าง ทอด นึ่ง ต้ม ผัด ยำ ใส่ก๋วยเตี๋ยว จะเมนูไหนก็ทำง่าย อร่อย และดีต่อสุขภาพ คือ จุดขายสำคัญของผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ที่ทีมวิจัยอยากให้ผู้บริโภคทั้งในไทยและต่างประเทศได้ลิ้มลอง
ดร.กมลวรรณ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ทั้ง 3 ชนิดพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว 2 สูตร สูตรแรกคือปราศจากกลูเตน (Gluten free) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคในกลุ่มที่แพ้กลูเตนซึ่งมีตลาดหลักอยู่ในสหภาพยุโรปและอเมริกา โดยสูตรนี้ใช้โปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบร้อยละ 4-8 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ ซึ่งเทียบเท่าหรือสูงกว่าผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อปลาทั่วไปในท้องตลาด อีกสูตรหนึ่งคือสูตรที่มีกลูเตนสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการเพิ่มปริมาณโปรตีนให้ผลิตภัณฑ์ โดยมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 8 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ เนื้อสัมผัสมีความแน่นและเด้งมากกว่าอีกสูตร
“นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 สูตรยังมีจุดเด่นคือปราศจากคอเลสเตอรอล ทำให้ Ve-Sea เหมาะแก่กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการควบคุมปริมาณไขมัน ส่วนทางด้านเนื้อสัมผัสของทั้ง 2 สูตร ทีมวิจัยได้ออกแบบให้เชฟสามารถนำ Ve-Sea ไปรังสรรค์เป็นเมนูอาหารต่าง ๆ ทดแทนผลิตภัณฑ์จากเนื้อปลาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะปิ้ง ย่าง ทอด นึ่ง ต้ม ผัด ยำ หรือใส่ก๋วยเตี๋ยว ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีความสุขกับการลิ้มรสเมนูอาหารในรูปแบบต่าง ๆ ที่ชื่นชอบดังเดิม แต่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีเป้าหมายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ไม่ได้เพียงมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญถึงโอกาสทางการตลาดของผู้ประกอบการที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย จากจุดเด่นที่กล่าวถึงข้างต้นทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนการทำธุรกิจได้สะดวกทั้งรูปแบบ B2B (Business-to-business) และ B2C (Business-to-consumer) และทั้งเพื่อกลุ่มเป้าหมายภายในและต่างประเทศ”
นอกจากการวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่เอกชนแล้ว อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของทีมวิจัยคือการมีส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย ด้วยการให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหาร (Novel food) รวมถึงบริการทดสอบคุณภาพ ในนาม FoodSERP สวทช.
ดร.กมลวรรณ เล่าถึงการให้บริการผ่าน ‘แพลตฟอร์ม FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)’ หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ One-stop service’ ว่า สวทช. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์มนี้ขึ้นเพื่อให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายกำลังการผลิต รวมถึงการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร โดยผสานความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ ภายใต้ สวทช.
“ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะอย่างผู้สูงอายุและผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการจากผู้ประกอบการ ส่วนทางด้านบริการทดสอบ เอ็มเทคพร้อมให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้านเนื้อสัมผัสของอาหาร อาทิ ความแข็ง ความหนืด และได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ให้บริการทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหารด้วยเครื่องจำลองสภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (ระบบ tiny-TIMagc) และสภาวะการทำงานของลำไส้ใหญ่ (ระบบ TIM-2) รวมถึงวิเคราะห์ทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้นวัตกรรมอาหารที่นักวิจัยเอ็มเทคร่วมกับผู้ประกอบการวิจัยและพัฒนาขึ้น ไม่เพียงมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่สมจริง แต่ยังเป็นอาหารที่มีคุณภาพสูง” ดร.กมลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Sea และ Ve-Chick ติดต่อได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล (ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ) เบอร์โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

International Online Seminar On Genomics and Molecular Epidemiology of Antimicrobial Resistance in ASEAN and Pacific Rim
Announcement
International Online Seminar On
Genomics and Molecular Epidemiology of Antimicrobial Resistance in ASEAN and the Pacific Rim
The seminar will take place on 8 September 2023 on the WebEx platform,
from 8:00 – 16:30 ICT. Registration required, NO registration fee.
Organized by
Professor Pornchai Matangkasombut Center for Microbial Genomics (CENMIG), Mahidol University
National Science and Technology Development Agency (NSTDA), Thailand
Centre for Research in Infectious Diseases and Biotechnology (CeRIDB),
Universiti Sultan Zainal Abidin (UniSZA), Terengganu, Malaysia.
The seminar recording is now available for viewing. You can access it here:
Morning session: https://youtu.be/EyfPTTihj5c
Afternoon session: https://youtu.be/-kJ2nWJvH08
Please feel free to review and share the seminar content at your convenience. Your commitment to learning will be greatly appreciated.
Seminar Overview
Antimicrobial resistance is an increasing health problem worldwide with the mortality expected to be higher than Covid19 at its peak, especially in Asia. The advancement of genome sequencing technology and others provides an opportunity to explore novel possible solutions to this urgent problem. Various efforts have been embarked on by several institutes, mostly independently. This seminar is organized for people interested in the topic to share their experiences and information, hoping to promote concerted and collaborative endeavors. This seminar is to be held as part of the “Asia-Pacific One Health Initiative on AMR (ASPIRE)” Working Group on Research and Development. ASPIRE was established at the 2016 Tokyo Meeting of Health Ministers on Antimicrobial Resistance in Asia under the aegis of the Ministry of Health, Labour and Welfare of Japan.
Seminar program
https://sharebox.nstda.or.th/d/74640265
To learn more about the speakers, please visit:
https://sharebox.nstda.or.th/d/74640265
Get started with Webex online meeting for seminar attendees!
https://sharebox.nstda.or.th/d/44f3538c
For more information, please contact
Miss Sasithorn Pongsamrangun
National Science and Technology Development Agency (NSTDA)
Email: sasithorn.pon@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม