ผลการค้นหา :
OER สามารถลดค่าใช้จ่ายของการศึกษาในอุดมศึกษา ถ้าทำ 4 ขั้นตอนนี้
คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open Educational Resources – OER) สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของการเรียนการสอนและการเรียนรู้ ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้สอนแต่ละคนสามารถปรับแต่งและปรับปรุงลักษณะของการเรียนการสอนและการเรียนรู้ได้ตามความต้องการของตนเองและให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน OER ก็เปิดโอกาสให้ผู้เรียนร่วมสร้างและมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนและการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้สามารถทำให้การเรียนรู้ได้ผลดียิ่งขึ้น แต่ OER เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ได้ ผู้สอนจำนวนมากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพของ OER เช่น อาจเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาและดูแล OER อาจมีเนื้อหาที่ OER ไม่ครอบคลุม และอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ OER ได้อย่างเต็มที่ตามลักษณะวิธีการใช้ที่มีประสิทธิภาพ Cengage (บริษัทที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับเนื้อหา เทคโนโลยี และบริการทางการศึกษา ซึ่งดำเนินงานในประเทศต่างๆ กว่า 20 ประเทศทั่วโลก) เสนอแนะ 4 ขั้นตอนเพื่อเพิ่มมูลค่าของ OER จัดเนื้อหาให้สอดคล้องกับหลักสูตรและทักษะที่จำเป็นในการทำงาน: หนึ่งในความท้าทายอันดับแรกของ OER คือ เนื้อหา การกำหนดเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและทักษะที่จำเป็นในการทำงานคือสิ่งสำคัญข้อหนึ่งสำหรับ OER นอกเหนือจากคุณภาพและความถูกต้องของเนื้อหา สนับสนุนด้วยเทคโนโลยีสำหรับการวิเคราะห์: การรวบรวมเนื้อหาที่ดีเยี่ยมด้วยเทคโนโลยีที่เปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถสามารถปรับแต่งลักษณะของการเรียนการสอนและการเรียนรู้ได้ตามที่ผู้สอนต้องการคือประเด็นสำคัญสำหรับ OER ขณะเดียวกัน OER ควรถูกเสริมด้วยเทคโนโลยีสำหรับการวิเคราะห์ ให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนผู้สอนและสถาบัน: การช่วยเหลือและการสนับสนุนทางเทคนิคแก่ลูกค้าคือสิ่งสำคัญ ผู้สอนต้องการการช่วยเหลือและการสนับสนุนของทีมที่เน้นเรื่องการประยุกต์ใช้และการฝึกอบรมเกี่ยวข้องกับ OER เช่นเดียวกัน เน้นการเรียนรู้และความเชี่ยวชาญด้านการสอน: เนื้อหาและเทคโนโลยีคือซึ่งสำคัญ แต่ความสามารถในการพิจารณาประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งกระบวนการเพื่อให้ OER มีศักยภาพมากที่สุดก็เป็นสิ่งสำคัญ นักออกแบบการเรียนการสอน ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนและหัวข้อเรื่อง และผู้เขียนมองไปไกลกว่าแค่สื่อตามหลักสูตรและสามารถออกแบบโซลูชั่นที่ช่วยสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม เนื้อหาที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของใครคนใดคนหนึ่ง เนื้อหาที่ดีควรให้อิสระและความยืดหยุ่นแก่ผู้ใช้ เนื้อหาที่ดีควรให้อำนาจแก่ผู้ใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหานั้นเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการเรียนการสอน พร้อมประหยัดเงิน นั่นคือเหตุผลที่ Cengage เปิดตัว OpenNow ซึ่งเป็น digital content platform ใหม่ที่ใช้งานง่ายและใช้ OER ได้อย่างง่ายดาย ค่าใช้จ่ายต่อนักเรียนต่อหลักสูตรเริ่มต้นที่เพียง 25 เหรียญสหรัฐ เป้าหมายของ OpenNow คือการทำให้การศึกษาในระดับอุดมศึกษามีราคาไม่แพงสำหรับผู้เรียน แต่ที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมในเนื้อหาต่อชุมชน ไม่ว่าจะเป็นข้อความฉบับเต็ม แบบประเมิน คำถาม หรือ OER ที่ถูกปรับแต่ง เพื่อให้ชัดเจนขึ้น ถูกต้อง หรือเป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ผลงานทั้งหมดที่ให้บริการใน OpenNow อยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons Licence: CC) ชนิดอ้างอิงแหล่งที่มา (CC-BY) ซึ่งหมายความว่าครูผู้สอนและสถาบันอุดมศึกษาสามารถนำทรัพยากรทางการศึกษาใน OpenNow ไปใช้ซ้ำและดัดแปลงแก้ไขตามที่ต้องการ แต่ต้องอ้างอิงถึงแหล่งที่มา บทความที่เกี่ยวข้อง Cengage เปิดตัว OpenNow ระบบเพื่อช่วยให้การเข้าถึงและใช้งาน OER เป็นเรื่องง่าย ที่มา: Costantini, C. (2017, November 1). OER can lower the cost of higher ed-but only if 4 steps are taken [Web log post]. Retrieved from https://www.ecampusnews.com/campus-administration/oer-lower-cost-higher-ed/?all
นานาสาระน่ารู้
25 ล้านภาพจาก 14 สถาบันทางศิลปะจะถูกดิจิไทซ์และเผยแพร่ในคลังจดหมายเหตุทางวิชาการขนาดใหญ่
Pharos คือสมาคมภาพจดหมายเหตุระดับนานาชาติ (International Consortium of Photo Archives) ซึ่งเกิดจากความพยายามในการร่วมมือกันของสถาบันทางศิลปะ 14 แห่ง เช่น Getty and Frick National Gallery of Art Yale Center for British Art Rome’s Bibliotheca Hertziana และ Courtauld Institute จะจัดให้บริการภาพผลงานศิลปะหายาก 25 ล้านภาพผ่านระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผลงานศิลปะและวัสดุเสริมอื่นๆ จำนวน 17 ล้านรายการจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลและเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ภายในปี 2563 นี้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับผลงานศิลปะหายากที่ถูกรวบรวมและจัดแสดงในสถาบันทางศิลปะต่างๆ Claire Voon นักเขียนและนักข่าวของ Hyperallergic ได้เขียนใน Hyperallergic ว่าแม้ว่าฐานข้อมูลของ Pharos จะเปิดให้บริการแก่ทุกคนทั่วไปที่สนใจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ฐานข้อมูลนี้ก็มุ่งเป้าไปที่นักวิชาการและทุ่มเทให้กับการเผยแพร่ผลงานทางศิลปะที่รวบรวมได้จากที่ต่างๆ โดยเผยแพร่และให้บริการในรูปแบบออนไลน์ รวมถึงงานด้านการอนุรักษ์และนิทรรศการ เป็นต้น ตัวอย่างผลงานทางศิลปะจากสถาบันศิลปะต่างๆ ที่ถูกรวบรวม เผยแพร่และให้บริการในรูปแบบออนไลน์ผ่านฐานข้อมูลของ Pharos เช่น ศิลปะคลาสสิคและไบเซนไทน์ (Byzantine) จากสถาบันศิลปะ Frick ผลงานเกี่ยวกับคริสเตียนในช่วงต้นจาก National Gallery ของสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงภาพของเครื่องปั้นดินเผา ประติมากกรมและรูปปั้นโรมันจาก Bibliotheca Hertziana แม้ว่าในขณะนี้สถาบันทางศิลปะที่ร่วมในโครงการนี้ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในอเมริกาเหนือและยุโรป แต่โครงการและฐานข้อมูลของ Pharos ก็มีแผนที่จะขยายความร่วมมือไปยังสถาบันในพื้นที่อื่นๆ เพื่อรวบรวมรายการผลงานทางศิลปะจากทั่วโลก คลิกที่นี่เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล ที่มา Jones, J. (2017, November 11). 25 Million Images from 14 art institutions to be digitized & put online in one huge scholarly archive [Web log post]. Retrieved from http://www.openculture.com/2017/11/25-million-images-from-14-art-institutions-to-be-digitized-put-online-in-one-huge-scholarly-archive.html Ted Loos, T. (2017, MARCH 14). Photo archives are sleeping beauties. Pharos is their prince. The New York Time. Retrieved from https://www.nytimes.com/2017/03/14/arts/design/art-history-digital-archive-museums-pharos.html
นานาสาระน่ารู้
ปฏิญญาอาเซียนด้านนวัตกรรม (ASEAN Declaration on Innovation)
จากเอกสารปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ ว่าด้วยอาเซียน ๒๐๒๕: มุ่งหน้าไปด้วยกัน ได้กล่าวถึง การส่งเสริมการเติบโตทางผลิตภาพที่เข้มแข็ง โดยการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาระดับภูมิภาคเพื่อนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในการยกระดับภูมิภาคสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลกในอุตสาหกรรมการบริการและการผลิตที่ใช้ (อ้างอิง http://www.mfa.go.th/asean/contents/files/asean-media-center-20160203-160850-836205.pdf หน้า126-127) โดยเทคโนโลยีและองค์ความรู้ขั้นสูงขึ้นความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของอาเซียนจะขึ้นอยู่กับการปรับปรุงผลิตภาพของแรงงานและผลการดำเนินงานด้านผลิตภาพของปัจจัยการผลิตโดยรวม หากในขณะนี้อาเซียนกำลังเพิ่มการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลก โดยผลิตภาพแรงงานและผลิตภาพปัจจัยการผลิตโดยรวมจะถูกกำหนดโดยประสิทธิภาพในการใช้ปัจจัยการผลิต รวมทั้งความก้าวหน้าขององค์ความรู้ นวัตกรรมและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ทำให้เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านนโยบายและแผนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ รายละเอียดดังนี้ เรื่อง การร่วมรับรองเอกสารภายใต้ความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบต่อเอกสาร ASEAN Declaration on Innovation 2. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองเอกสาร ASEAN Declaration on Innovation ASEAN Declaration on Innovation เป็นเอกสารที่แสดงถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การสร้างงาน และการส่งเสริมการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีในสังคม โดยใช้นวัตกรรมเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตและการแข่งขันของอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค ในการจัดทำเอกสารดังกล่าวข้างต้น พณ. ในฐานะหน่วยงานประสานงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้มีการประสานและหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีข้อขัดข้องต่อเอกสารดังกล่าว นอกจากนี้ ในส่วนของเอกสาร ASEAN Declaration on Innovation หน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นผู้เจรจาร่วมกับประเทศอาเซียนเอง โดย AEC Council จะให้การรับรองเอกสารความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (รวมถึง เอกสาร ASEAN Declaration on Innovation ) ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 – 14 พฤศจิกายน 2560 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ (อ้างอิง http://www.naewna.com/politic/300370 หัวข้อที่8)
นานาสาระน่ารู้
แบคทีเรียในทางเดินอาหาร (gut bacteria) ซึ่งสื่อสารกับเซลล์คนอาจนำไปสู่การรักษาแบบใหม่
งานวิจัยของ Rockefeller University และ Icahn School of Medicine at Mt. Sinai ซึ่งเผยแพร่ในวารสาร Nature ช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ค้นพบว่าแบคทีเรียในทางเดินอาหารและเซลล์คน ถึงแม้แตกต่างในหลายด้าน สื่อสารด้วยภาษาทางเคมีที่เหมือนกัน บนพื้นฐานของโมเลกุลที่เรียกว่า ligands โดยอาศัยข้อมูลนี้นักวิจัยได้พัฒนาวิธีการเพื่อตัดต่อยีนของแบคทีเรียเพื่อให้ผลิตโมเลกุลซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาความผิดปกติโดยไปเปลี่ยนขบวนการเผาผลาญในคน เมื่อทดสอบระบบนี้กับหนู การนำเสนอของแบคทีเรียในทางเดินอาหารที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนำไปสู่การลดลงของระดับน้ำตาลในเลือดและการเปลี่ยนแปลงของขบวนการเผาผลาญในหนู นักวิจัยได้ตัดต่อยีนของแบคทีเรียในทางเดินอาหารให้ผลิต ligands จำเพาะ ที่มีชื่อว่า N-acyl amides ซึ่งจับกับตัวรับ (receptor) ที่จำเพาะของคน ได้แก่ GPR 119 ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเกี่ยวข้องกับการควบคุมกูลโคสและความอยากอาหาร และก่อนหน้านี้เป็นเป้าหมายสำหรับการรักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วน Louis Cohen หนึ่งในนักวิจัย กล่าวว่า ligands ของแบคทีเรียที่พวกเขาสร้างขึ้นมีโครงสร้างเกือบจะเหมือนกับ ligands ของคน ที่มา: Rockefeller University (2017, August 30). Gut bacteria that 'talk' to human cells may lead to new treatments. ScienceDaily. Retrieved October 31, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/08/170830141248.htm
นานาสาระน่ารู้
นวัตกรรมของเวียดนาม – เวียดนามเสือตัวใหม่ของอาเซียน?
จากรายงานการจัดอันดับผลการดำเนินงานด้านนวัตกรรมของ 127 ประเทศ/เศรษฐกิจทั่วโลกครั้งล่าสุดในปี 2560 (Global Innovation Index 2017) โดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization – WIPO) มหาวิทยาลัยคอร์เนล (Cornell University) ของสหรัฐอเมริกา และสถาบันด้านบริหารธุรกิจชั้นนำอย่าง INSEAD โดยใช้ตัวชี้วัดกว่า 80 ตัว เช่น สภาพแวดล้อมทางการเมือง การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และความซับซ้อนทางธุรกิจ เป็นต้นพบว่าประเทศเวียดนามมีการก้าวกระโดดทางนวัตกรรมที่น่าจับตามอง โดยก้าวขึ้นมาที่ลำดับที่ 47 จาก 127 ประเทศ/เศรษฐกิจทั่วโลกและขยับดีขึ้นมา 12 อันดับเมื่อเทียบกับการจัดอันดับเมื่อปี 2559 เมื่อพิจารณาตัวเลขของการจดสิทธิบัตร (Patent) ของเวียดนามจากสถิติในปี 2558 พบว่าชาวเวียดนามขอจดสิทธิบัตรกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก 679 สิทธิบัตร แม้จะเป็นตัวเลขที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน เช่น มาเลเซียและไทย โดยเฉพาะสิงคโปร์ซึ่งถือครองอันดับ 1 ทางด้านนวัตกรรมและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และโอเชียเนียหรือกลุ่มประเทศและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ตัวเลขการขอจดสิทธิบัตรดังกล่าวของเวียดนามขยับเพิ่มขึ้นจาก 5 ปีก่อนหน้านี้ถึง 2 เท่า คือ 325 สิทธิบัตร ในทำนองเดียวกันปี 2558 ชาวเวียดนามขอจดเครื่องหมายการค้า (Trademarks) 32,212 รายการ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Industrial designs) 1,677 ชิ้น โดยทั้งหมดมากกว่าสถิติในปี 2557 ซึ่งมีสิทธิบัตร 561 สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า 28,231 รายการ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ 1,592 ชิ้น ที่ถูกขอยื่นจด จากสถิติขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ในเดือนพฤษภาคม 2560 พบว่าระหว่างปี 2554-2558 เฟอร์นิเจอร์และเกมส์ คือ กลุ่มของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เวียดนามมีการจดสิทธิบัตรมากที่สุด คิดเป็น 13.79% ตามมาด้วยกลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์ (6.90%) กลุ่มวิศวกรรมโยธา (6.63%) กลุ่มเครื่องจักรเกี่ยวกับสิ่งทอและกระดาษ (5.84%) และกลุ่มเครื่องยนต์ ปั๊ม และกังหัน (5.57%) นับตั้งแต่ช่วงปี 2523 สิงคโปร์ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเสืออาเซียน สิงคโปร์ยังคงพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่องจนก้าวขึ้นเป็น 1 ในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ดูได้จากการติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่มีการเติบโตทางนวัตกรรมจากรายงานของดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index) ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปัจจุบัน แม้สิงคโปร์จะยังคงรักษาตำแหน่งอันดับที่ 1 ของการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมโลกทั้งของทวีปเอเชียและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ข้อมูลจากรายงานของดัชนีนวัตกรรมโลก ปี 2560 มีบางประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่าสิงคโปร์ เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ รวมถึงเวียดนาม ที่พยายามไล่ตามสิงคโปร์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเวียดนามที่พบว่ามีตัวเลขของจำนวนเงินที่ใช้เพื่อการลงทุนทางด้านการศึกษาในระดับที่สูง คือ อันดับที่ 26 ของโลกซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการพัฒนากำลังคนของประเทศเพื่อการแข่งขันในอนาคต นอกจากนี้ยังมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของชาวเวียดนาม และตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความพยายามในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รายจ่ายเพื่อการสะสมทุนเบื้องต้น (Gross capital formation) ที่ก่อให้เกิดผลผลิตในอนาคต ที่สำคัญเวียดนามมีตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ในอันดับที่น่าสนใจ คือ อันดับที่ 26 ของโลก โดยเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้เวียดนามสามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ คือ อัตราค่าจ้างแรงงานที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังคงมีจุดอ่อนที่สำคัญหลายด้านซึ่งต้องเร่งแก้ไข เช่น สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ การพึ่งพาการนำเข้าบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจากต่างประเทศในปริมาณตัวเลขที่สูง และการขาดแคลนจำนวนของบริษัทและเงินที่ใช้ลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น เมื่อพิจารณาตัวเลขการขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาของเวียดนามในปี 2558 ตามที่กล่าวไปข้างต้น พบว่า จำนวนการยื่นจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาของเวียดนามค่อนข้างเน้นไปในการจดเครื่องหมายการค้าและการออกแบบอุตสาหกรรมมากกว่าสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งอาจสะท้อนถึงระดับความแข็งแกร่งเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาของภาคธุรกิจในเวียดนาม ที่มาข้อมูล: Dutta, S., Lanvin, B., & Wunsch-Vincent, S. (Ed.). (2017). the Global Innovation Index 2017. Retrieved from https://www.globalinnovationindex.org/gii-2017-reportWorld Intellectual Property Organization. (2017). Statistical country profiles: Viet Nam. Retrieved October 10, 2017 from http://www.wipo.int/ipstats/en/statistics/country_profile/profile.jsp?code=VN
นานาสาระน่ารู้
ใช้การหายใจแทนการใช้วิธีทดสอบด้วยเลือด (blood test)
นักวิทยาศาสตร์จาก ETH Zurich และ University Hospital Zurich ขณะนี้ได้พัฒนาวิธีติดตามการสลายไขมันที่ใช้ได้สะดวกมากและให้ผลทันทีโดยทดสอบการหายใจออกระหว่างการออกกำลังกาย เมื่อร่างกายเผาผลาญไขมันจะให้ผลิตผลพลอยได้เป็น acetone ซึ่งระเหยได้ คณะนักวิจัยได้พัฒนาตัวตรวจจับก๊าซขนาดเล็ก (small gas sensor) ซึ่งวัดการมีอยู่ของ acetone ตัวตรวจจับนี้มีความไวมากกว่ามากตัวตรวจจับก่อนหน้านี้ (สามารถตรวจจับโมเลกุลของ acetone โมเลกุลเดียวจากร้อยล้านโมเลกุล) นอกจากนี้ยังวัด acetone ได้เพียงตัวเดียว ดังนั้นส่วนประกอบที่ระเหยได้ที่เป็นที่รู้จักอื่นๆ มากกว่า 800 ตัว ในการหายใจออกจะไม่ส่งผลต่อการวัด ด้วยความร่วมมือกับ University Hospital Zurich คณะนักวิจัยได้ทดสอบประสิทธิภาพของตัวตรวจวัดที่ได้พัฒนาขึ้นกับอาสาสมัครในขณะที่ออกกำลังกาย โดยกลุ่มอาสาสมัครต้องปั่นจักรยานออกกำลังกายเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งและหยุดพักระยะสั้นสองช่วง นอกจากนี้อาสาสมัครต้องเป่าในหลอดซึ่งเชื่อมกับตัวตรวจจับ acetone เป็นช่วงสม่ำเสมอ วิธีการวัดใหม่นี้ไปในทางเดียวอย่างชัดเจนกับความเข้มข้นของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biomarker) ได้แก่ beta-hydroxybutyrate ในเลือดของอาสาสมัคร การวิเคราะห์เลือดนี้เป็นหนึ่งวิธีการมาตรฐานสำหรับติดตามการสลายไขมันในปัจจุบัน ตัวตรวจจับ acetone พัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ใช้ chip ที่เคลือบด้วยฟิล์มที่เป็นรูของอนุภาคนาโนกึ่งนำไฟฟ้าชนิดพิเศษ อนุภาคเหล่านั้นคือ tungsten trioxide ซึ่งคณะนักวิจัยได้ฝังซิลิคอน 1 อะตอม การพัฒนา chip เริ่มเมื่อเจ็ดปีที่ผ่านมา เมื่อคณะนักวิจัยค้นพบว่าอนุภาคนาโน tungsten trioxide ทำปฏิกิริยากับ acetone ถ้าอะตอมของอนุภาคนาโนจัดเรียงเป็นโครงสร้างผลึกที่แน่นอน ปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้ความต้านทานไฟฟ้าของ chip ที่เคลือบด้วยอนุภาคนาโนลดลง และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้สามารถวัดได้ chip ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้มีขนาดเท่ากับเหรียญยูโร 1 เซ็น (cent) แต่คณะนักวิจัยกำลังทำงานเพื่อพัฒนา chip ที่มีขนาดเล็กกว่านี้มากๆ วิธีทดสอบ acetone ในลมหายใจแบบพกพามีให้เห็นแล้ว แต่สามารถเพียงใช้ครั้งเดียวและใช้เวลาหลายนาทีก่อนจะแสดงผล Andreas Guntner หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า เทคโนโลยีของพวกเรามีข้อดีหลักคือ ราคาไม่แพง สามารถจัดการได้ และมีความไวของการวัดสูง นอกจากนี้สามารถวัดได้ผลทันที คณะนักวิจัยขณะนี้กำลังวางแผนที่จะพัฒนาวิธีการนี้เพื่อในที่สุดจะได้ออกสู่ตลาด คณะนักวิจัยมีต้นแบบของอุปกรณ์นี้แล้ว นอกจากนี้คณะนักวิจัยยังกำลังทำงานในการพัฒนาตัวตรวจจับก๊าซของโมเลกุลที่สำคัญทางการแพทย์อื่นๆ ในการหายใจออก เช่น ammonia เพื่อทดสอบการทำงานของไต ที่มา: ETH Zurich (2017, October 10). Breath instead of a blood test. ScienceDaily. Retrieved October 30, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/10/171010124118.htm
นานาสาระน่ารู้
การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป แม้แต่คนสุขภาพแข็งแรงมีโอกาสพัฒนาเป็นโรคหัวใจ
การศึกษาของ University of Surrey พบว่ากลุ่มประชากรแม้แต่ผู้ชายที่มีสุขภาพแข็งแรงมีระดับของไขมันในเลือดและไขมันเก็บในตับเพิ่มขึ้นหลังจากบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง การศึกษานี้เผยแพร่ในวารสาร Clinical Science มองไปที่สองกลุ่มของผู้ชายด้วยระดับไขมันในตับสูงหรือต่ำ และให้อาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือต่ำ เพื่อค้นหาว่าปริมาณของไขมันในตับมีผลต่อผลกระทบของน้ำตาลต่อสุขภาพของหลอดเลือดหัวใจหรือไม่ อาหารที่มีน้ำตาลต่ำมีไม่มากกว่า 140 แคลอรี่ต่อวันของน้ำตาล เป็นปริมาณใกล้เคียงแนะนำให้บริโภค ในขณะที่อาหารที่มีน้ำตาลสูงมี 650 แคลอรี่ หลังจาก 12 สัปดาห์ที่ได้รับอาหารที่มีน้ำตาลสูง ผู้ชายที่มีระดับไขมันในตับสูง เรียกภาวะนี้ว่า non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเผาผลาญไขมัน (fat metabolism) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ ผลการทดลองยังแสดงว่าเมื่อกลุ่มของผู้ชายสุขภาพแข็งแรงที่มีระดับไขมันในตับต่ำบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูง ไขมันในตับจะเพิ่มขึ้นและกระบวนการเผาผลาญไขมันกลายเป็นเหมือนกับผู้ชายที่มีภาวะ NAFLD ศาสตราจารย์ Bruce Griffin กล่าวว่า การค้นพบของพวกเราให้หลักฐานใหม่ว่าการบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูงสามารถเปลี่ยนกระบวนการเผาผลาญไขมันซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่มา: University of Surrey (2017, October 4). Too much sugar? Even 'healthy people' are at risk of developing heart disease. ScienceDaily. Retrieved October 25, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/10/171004202008.htm
นานาสาระน่ารู้
รางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2017: Cryo-electron microscopy
The Royal Swedish Academy of Sciences ตัดสินรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี 2017 แก่ Jacques Dubochet จาก University of Lausanne สวิตเซอร์แลนด์ Joachim Frank จาก Columbia University สหรัฐอเมริกา และ Richard Henderson จาก MRC Laboratory of Molecular Biology Cambridge สหราชอาณาจักร สำหรับการพัฒนา cryo-electron microscopy เพื่อใช้สำหรับแสดงโครงสร้างที่มีความละเอียดสูงของชีวโมเลกุลในสารละลาย นักวิจัยสามารถปัจจุบันทำให้ชีวโมเลกุลเคลื่อนที่ได้พอประมาณและเห็นขบวนการซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งช่วยทั้งการเข้าใจพื้นฐานทางเคมีของชีวิตและการพัฒนายา กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (electron microscopy) เชื่อมาเป็นเวลานานว่าเหมาะเพียงให้ภาพสำหรับวัตถุไม่มีชีวิตเพราะว่าลำแสงอิเล็กตรอนที่ทรงพลังทำลายวัสดุทางชีววิทยา แต่ในปี 1990 Richard Henderson ประสบความสำเร็จในการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนเพื่อสร้างภาพสามมิติของโปรตีนชนิดหนึ่งที่ความละเอียดระดับอะตอม ความสำเร็จครั้งนี้พิสูจน์ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนี้ Joachim Frank ทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถประยุกต์ใช้ทั่วไป โดยระหว่างปี 1975 และ 1986 ได้พัฒนาวิธีการจัดการกับภาพซึ่งภาพสองมิติที่คลุมเครือของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนได้รับการวิเคราะห์และรวมเข้าด้วยกันเพื่อทำให้ได้โครงสร้างสามมิติที่คมชัด Jacques Dubochet เติมน้ำไปยังกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน น้ำระเหยในสูญญากาศของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ซึ่งทำให้ชีวโมเลกุลเสียหาย ในช่วงต้นของปี 1980 Dubochet ได้ทำให้น้ำเย็นอย่างรวดเร็วซึ่งทำให้น้ำอยู่ในรูปของเหลวรอบๆ สิ่งตัวอย่างชีวโมเลกุล ทำให้ชีวโมเลกุลนั้นคงรูปตามธรรมชาติแม้อยู่ในสูญญากาศ หลังจากการค้นพบเหล่านี้ พื้นฐานของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนได้รับการพัฒนาให้เหมาะสม ความละเอียดระดับอะตอมที่ต้องการทำสำเร็จในปี 2013 และปัจจุบันนักวิจัยสามารถผลิตโครงสร้างสามมิติของชีวโมเลกุลเป็นประจำ ที่มา: Nobel Foundation (2017, October 4). Nobel Prize in Chemistry 2017: Cryo-electron microscopy. ScienceDaily. Retrieved October 24, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/10/171004090218.htm
นานาสาระน่ารู้
Cengage เปิดตัว OpenNow ระบบเพื่อช่วยให้การเข้าถึงและใช้งาน OER เป็นเรื่องง่าย
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2560 Cengage (บริษัทที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับเนื้อหา เทคโนโลยี และบริการทางการศึกษา ซึ่งดำเนินงานในประเทศต่างๆ กว่า 20 ประเทศทั่วโลก) เปิดตัว OpenNow ซึ่งเป็น digital content platform ที่ถูกออกแบบเพื่อช่วยให้สถาบันอุดมศึกษา ครูผู้สอน และนักเรียน สามารถเข้าถึงและใช้งานทรัพยากรทางการศึกษาแบบเปิด (Open Educational Resource: OER) ได้โดยง่าย โดยการเข้าถึงและใช้งานทรัพยากรดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 25 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคนและต่อรายวิชา หลักสูตรที่ให้บริการ เช่น Introduction to Psychology, American Government and Introduction to Sociology และหลักสูตรที่กำลังจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ เช่น College Algebra, General Chemistry, Macroeconomics, Microeconomics, Introduction to Biology, U.S. History, College Success, Composition and Developmental English OpenNow ให้บริการทรัพยากรทางการศึกษาแบบเปิดด้วย platform ที่ยืดหยุ่น ซึ่งดึงดูดนักเรียนและปลุกความเชื่อมั่นด้วยการประเมินและการวิเคราะห์ เนื้อหาของทรัพยากรทางการศึกษาถูกเลือกเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ครูผู้สอนสามารถใช้เนื้อหาตามที่ต้องการหรือขอความช่วยเหลือจากทีมออกแบบสื่อการเรียนการสอนของ Cengage เพื่อพัฒนาแผนที่หลักสูตร (Course mapping) และพัฒนาหลักสูตรในแบบที่เป็นผู้สอนแต่ละราย (Course personalization) หรือเพื่อพัฒนาหลักสูตรอื่นๆ เพิ่มเติมตามที่ต้องการ ทรัพยากรทางการศึกษาทั้งหมดที่ให้บริการใน OpenNow อยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons Licence: CC) ชนิดอ้างอิงแหล่งที่มา (CC-BY) ซึ่งหมายความว่าครูผู้สอนและสถาบันอุดมศึกษาสามารถนำทรัพยากรทางการศึกษาใน OpenNow มาใช้ซ้ำและดัดแปลงแก้ไขตามที่ต้องการ platform ของ OpenNow และเนื้อหาทั้งหมดที่เผยแพร่ใน OpenNow ถูกออกแบบเพื่อคนทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไป ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการในสังคม (Universal design) และสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยชาวอเมริกันผู้พิการ (American Disabilities Act) โดยผู้ใช้สามารถใช้งาน OpenNow ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ต ภายในเว็บไซต์ OpenNow ผู้ใช้สามารถไล่เรียงดู (Browse) ทรัพยากรทางการศึกษาที่ต้องการซึ่งถูกแบ่งกลุ่มตามสาขาวิชา หรือจะสืบค้นด้วยข้อมูลทางบรรณานุกรมของทรัพยากรฯ (ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ISBN หรือคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรฯ) OpenNow ยังอำนวยความสะดวกในการค้นหาและเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาของผู้ใช้ด้วยการแบ่งกลุ่มประเภทของผู้ใช้ เช่น นักเรียน ครูผู้สอน นักการศึกษา บรรณารักษ์ เป็นต้น นอกจากนี้ภายในเว็บไซต์ยังมีเครื่องมือและช่องทางเพื่อให้เกิดการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นในกลุ่มของผู้ใช้เพื่อสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ ที่มา: Industry Dive. (2017, October 10). Cengage launches OpenNow, designed to help institutions easily access and use OER, starting at $25 [Web log post]. Retrieved from http://www.educationdive.com/press-release/20171010-cengage-launches-opennow-designed-to-help-institutions-easily-access-and-u/
นานาสาระน่ารู้
MARC must Die
เมื่อ 15 ปีก่อน (ค.ศ. 2002) Roy Tennant ได้พูดว่า “MARC Must Die” ใน Library Journal คำพูดดังกล่าวนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ (ในเชิงลบ) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับของการลงรายการทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด แต่ทั้งนี้สิ่งที่ Roy Tennant ต้องการสื่อสารจากคำพูดดังกล่าว คือ การต้องการให้บรรณารักษ์ตระหนักถึงความจริงว่ามาตรฐานพื้นฐาน (อย่างเช่น MARC) ไม่ได้รองรับผู้ใช้งานอย่างที่เคยเป็นมา ตัวอย่างเช่น จะระบุชัดใน MARC อย่างไรว่า URL ที่กำหนดจะพาผู้ใช้ไปถึงเอกสารฉบับเต็มของรายการทรัพยากรนั้นๆ คำพูดที่ว่า “MARC Must Die” นั้น มีเจตนาต้องการสื่อสารเกี่ยวกับประเด็นของเมทาดาทาของห้องสมุดและความท้าทายที่บรรณารักษ์เผชิญกับเครื่องมือที่มีอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา คือ the Library of Congress กำลังทำงานเพื่อพัฒนา Linked data (Linked data คือ แบบแผนเพื่อการเชื่อมโยงกันระหว่างชุดข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้ ด้วยการใช้กระบวนการ semantic web โดยเฉพาะการใช้ URIs และ RDF ซึ่งวัตถุประสงค์ของ Linked data คือ เพื่อการเข้าถึงข้อมูลได้โดยทั้งคนและเครื่องคอมพิวเตอร์ Linked data ใช้มาตรฐานในตระกูล RDF เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล เช่น RDF/XML, RDFa, Turtle และ SPARQL query language) สิ่งที่เกิดขึ้นจากคำพูดนี้แสดงถึงความพยายามที่จะขบคิดเพื่อพัฒนาสิ่งที่เป็นอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น...การคิดทบทวนและการตั้งคำถามถึงเครื่องมือหรือมาตรฐานที่มีและใช้งานอยู่กับบริบทที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน และที่กำลังจะเปลี่ยนไป ที่มา: Library of Congress. (n.d.). Linked data. Retrieved October 20, 2017 from http://id.loc.gov/authorities/subjects/sh2013002090.html Roy. (2017, October 15). “MARC Must Die” 15 Years On [Web log post]. Retrieved from http://hangingtogether.org/?p=6221
นานาสาระน่ารู้
หยุดกลัวเกี่ยวกับการคาดการณ์และการวัดผลลัพธ์ของ KM
สรุปความคิดเห็นจากบทสัมภาษณ์ของ Phillip Jones ผู้จัดการ Change management practice ของ Access Sciences Corporation เกี่ยวกับการคาดการณ์ประโยชน์และการวัดผลลัพธ์ของการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM)
ทำไมการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM ถึงยาก?
หน่วยงานส่วนใหญ่ตระหนักถึงคุณค่าของความรู้ แต่ความรู้คือสิ่งที่ไม่สามารถนับจำนวน เห็น หรือสัมผัสได้ ขณะที่หน่วยงานมักวัดสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ ดังนั้นจึงเป็นงานยากสำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับ KM ในการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM
อะไรคือข้อกังวลที่ใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM ของผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับ KM?
ความกังวล สามารถแบ่งออกเป็น 2 ข้อหลัก คือ 1. การที่ผู้ที่ปฏิบัติงานฯ คิดว่าตัวเองไม่สามารถคาดการณ์หรือวัดผลลัพธ์ของ KM ที่สามารถทำให้คนอื่นๆ เชื่อได้ว่าการคาดการณ์หรือวัดผลลัพธ์นั้นเป็นจริง เพราะความรู้เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม ผู้ที่ปฏิบัติงานฯ อาจคิดว่าจะไม่มีใครยอมรับการคาดการณ์และรายงานของตน ซึ่งสิ่งที่ผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับ KM ควรทำความเข้าใจคือ การวัดผลลัพธ์ของ KM คือ เพื่อลดจำนวนของความคลุมเครือหรือความไม่แน่นอนของผลลัพธ์เกี่ยวกับ KM 2. ความกลัว คือ ผู้ที่ปฏิบัติงานฯ กังวลที่จะแบ่งปัน (Sharing) โมเดลของการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของตัวเองแก่คนอื่นๆ
อะไรคือโมเดลของการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM?
โมเดลของการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM ประกอบด้วย
1. จำแนกสิ่งที่กำลังทำออกเป็นคำถามที่เหมาะสมหลายๆ ข้อ
2. มองหาหลักการที่สำคัญเกี่ยวกับคำถามเหล่านั้น
3. ทำการคาดการณ์ และวัดหรือปรับการคาดการณ์นั้นด้วยข้อมูลที่สามารถรวบรวมได้
4. สร้างโมเดล
5. จำลองการใช้โมเดลด้วยตัวแปรการทดสอบต่างๆ
องค์กรสามารถตรวจสอบโมเดลเพื่อช่วยคาดการณ์หรือวัดผลลัพธ์ของ KM ได้อย่างไร?
เริ่มจากการตั้งคำถามที่ถูกต้องและเหมาะสมเกี่ยวกับโมเดล ตัวอย่างเช่น องค์กรควรตั้งคำถามว่า โมเดลนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่ อย่างไร
อะไรคือความผิดพลาดที่พบโดยทั่วไปจากการกำหนดโมเดลเพื่อวัดผลลัพธ์ของ KM?
ความผิดพลาดแรกคือการคิดว่าโมเดลคือเครื่องมือที่มหัศจรรย์ แต่ความจริงแล้ว การวัดผลลัพธ์ของ KM คือการลดความคลุมเครือหรือความไม่แน่นอน ไม่ใช่การกำจัดความคลุมเครือหรือความไม่แน่นอนนั้น ความผิดพลาดที่สองคือการไม่ตรวจสอบหรือประเมินการคาดการณ์ตามความเป็นจริง และความผิดพลาดสุดท้ายคือการยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
ที่มา: Trees, L. (2017, March 13). Stop being afraid of knowledge management forecasting and measuring [Web log post]. Retrieved from https://www.apqc.org/blog/stop-being-afraid-knowledge-management-forecasting-and-measuring
การจัดการความรู้ (KM)
วิธีการใหม่สำหรับเอดส์: ไม่ปล่อยให้เอชไอวีออกจากเซลล์เพื่อให้ตายผ่านกระบวนการตายของเซลล์ (apoptosis)
นักวิจัยจาก Kumamoto University ในประเทศญี่ปุ่นพัฒนาสารประกอบใหม่ซึ่งเป็นตัวหลักในการทำลายเอชไอวี เมื่อสารประกอบดังกล่าวถูกนำเข้าในเซลล์ติดเชื้อ การปล่อยไวรัสออกจากเซลล์จะถูกยับยั้งดังนั้นเก็บไวรัสไว้ในเซลล์ ต่อมาเซลล์ตายอย่างธรรมชาติผ่านกระบวนการ apoptosis เป็นความหวังว่าวิธีการนี้จะนำไปสู่การหายจากเอดส์อย่างสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้ เมื่อไม่นานมานี้ การใช้ยาหลายตัวในการรักษาสามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนเอชไอวีในร่างกายได้เมื่อได้รับอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามวิธีนี้ไม่สามารถกำจัดอนุภาคไวรัสที่หลบซ่อนอยู่ (อนุภาคไวรัสที่ไม่เพิ่มจำนวนซึ่งอยู่อย่างสงบในเซลล์ของร่างกาย) ในทันทีเมื่อการให้ยาหยุดลง ไวรัสจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในร่างกาย การกำจัดแหล่งที่สะสมไวรัสปัจจุบันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในงานวิจัยเอดส์ วิธีการ kick และ kill ซึ่งถูกพัฒนาเมื่อหลายปีก่อนเป็นกลวิธีสำหรับฆ่าเซลล์ที่เป็นแหล่งสะสมไวรัส วิธีการนี้ใช้ยาซึ่งมีเป้าหมายเป็นเซลล์ที่เป็นแหล่งสะสมไวรัสและกระตุ้นไวรัสซึ่งต่อมาทำให้ระบบภูมิคุ้มกันค้นพบเซลล์เหล่านี้โดยใช้ไวรัสที่ถูกกระตุ้นเป็นตัวบอกตำแหน่ง ถึงแม้วิธีนี้ได้รับการทดสอบทางคลินิก ยังคงมีปัญหาคือไม่สามารถยับยั้งฤทธิ์ของไวรัสได้ดีหลังจากการกระตุ้นสำเร็จ นักวิจัยของ Kumamoto University พัฒนาวิธีการใหม่ซึ่งเรียกว่า Lock-in และ apoptosis เริ่มต้นด้วยสังเคราะห์สารประกอบ L-HIPPO ซึ่งจับแน่นกับโปรตีนของเอชไอวี Pr55Gag และยับยั้งการแตกตัวออกของไวรัส เมื่อL-HIPPO ถูกใส่ไปในเซลล์ติดเชื้อไวรัสโดยอาศัยตัวพาชื่อ alpha-CDE ทำให้ไวรัสถูกจำกัดให้อยู่ภายในเซลล์และเซลล์จะตายโดยกระบวนการ apoptosis ตามธรรมชาติ รองศาสตราจารย์ Mikako Fujita จาก Kumamoto University หนึ่งของผู้นำในการศึกษานี้ กล่าวว่า อย่างโชคไม่ดี วิธีนี้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้สำหรับคนที่ติดเชื้อเอชไอวี อย่างแรกพวกเราต้องปรับปรุงยาซึ่งกระตุ้นไวรัสและรวมเข้ากับ L-HIPPO เพื่อมุ่งเป้าไปที่แหล่งเก็บสะสมไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่จะเป็นก้าวสำคัญไปยังการหายอย่างสมบูรณ์จากเอชไอวี พวกเราเชื่อว่างานวิจัยของพวกเราจะช่วยกำจัดเอดส์ได้อย่างสมบูรณ์ ที่มา: Kumamoto University (2017, October 2). New approach for AIDS: Lock HIV in reservoir cells, to die through apoptosis. ScienceDaily. Retrieved October 19, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/10/171002093415.htm
นานาสาระน่ารู้


