หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. รับโล่ประกาศเกียรติคุณแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน ประจำปี 2565
4 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์:  ดร.สุธี เจริญผู้ชนะชัย รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รับโล่ประกาศเกียรติคุณแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน ประจำปี 2565 หรือ BEC Awards มอบโดย นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้โครงการพัฒนาและสนับสนุนบังคับใช้กฎกระทรวงว่าด้วยเกณฑ์มาตรฐานอาคารพลังงาน (BEC) เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้ตระหนักถึงการอนุรักษ์พลังงานในภาคอาคาร ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง สำหรับอาคารที่ สวทช. ได้รับรางวัล BEC Awards ได้แก่ อาคารศูนย์บริการงานวิศวกรรมและงานวิเคราะห์ทดสอบ (NFET) อาคาร 1 และ อาคาร 2 ตั้งอยู่ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กสทช. จับมือ สวทช. ร่วมสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่ออกแบบสำหรับทุกคน และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก
For English-version news, please visit : NSTDA and NBTC collaborate to foster inclusive broadcasting and telecommunication innovation วันที่ 3 สิงหาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมที่ออกแบบสำหรับทุกคน (Inclusive Design) และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (Assistive Technology) พร้อมทั้งแถลงข่าวร่วมจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (i-CREATe 2023) โดยมี ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กรรมการ กสทช. ด้านการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และผู้บริหารคณะนักวิจัยทั้งสองหน่วยงานร่วมแถลงข่าว ณ หอประชุมสายลม 5021 (หอประชุม ชั้น 2) สำนักงาน กสทช. การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กสทช. และ สวทช. ครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งกลุ่มคนทั่วไป และเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของภาคการศึกษาเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ออกแบบสำหรับทุกคน (Inclusive Design) ในยุคดิจิทัล (Digital World) และการจัดให้มีบริการที่ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ผ่านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (Assistive Technology) โดยเป็นการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ การมีส่วนร่วม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนากำลังคนสู่ยุคดิจิทัล อีกทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสทางสังคม (Social Mobility) ให้กับกลุ่มคนที่ยังต้องการเติมเต็มศักยภาพ โดยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาตัวเองและเพิ่มความสามารถในการดำเนินชีวิต และสร้างความเข้าถึงที่เท่าเทียมกัน (Equal Access) ในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์เทคโนโลยีและสารสนเทศให้กับทุกคนในสังคม ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมการเรียนรู้ฯ ในวันนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำไปสู่การสร้างโอกาสทางสังคม และการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม อีกทั้งยังเป็นโอกาสอันดีให้สำนักงาน กสทช. กับ สวทช. ได้เพิ่มพูนขีดความสามารถในการดำเนินงานร่วมกัน ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณภาพ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค สำนักงาน กสทช. พร้อมทำงาน และขยายความร่วมมือ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมด้านการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับทุกคน ร่วมกับ สวทช. เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสังคมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า และก้าวทันการพัฒนาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมา สวทช. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงาน กสทช. ในการจัดให้มีศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (TTRS) เพื่อให้คนพิการทางการได้ยินและคนพิการทางการพูดสามารถสื่อสารกับคนทั่วไปผ่านโทรคมนาคมพื้นฐานได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม นอกจากนี้ ยังได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาระบบบริการคำบรรยายแทนเสียง (Closed Caption) นวัตกรรมที่ช่วยให้คนพิการหรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางด้านการได้ยิน สามารถเข้าถึงเนื้อหาของข่าว งานประชุมวิชาการ และการเรียนการสอนได้ เพื่อช่วยให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นเสียงพูดได้ด้วยการอ่านข้อความที่ได้จากการถอดความแทนการฟังเสียง จากความร่วมมือด้วยดีตลอดมาจึงเป็นที่มาของความร่วมมือในวันนี้ สำหรับกิจกรรมในปี 2566 นี้ จะเป็นการร่วมจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง วิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 หรือ International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology: i-CREATe 2023 ระหว่างวันที่ 8-11 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมีผู้เข้าร่วมงาน 300 คน จาก 10 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับผู้ทรงคุณวุฒิในระดับสากล รูปแบบของงานมีทั้งการแสดงปาฐกถา การอบรมเชิงปฏิบัติการ การนำเสนอบทความวิชาการ การประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ การเยี่ยมชมหน่วยงานด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานประชุมในทุกปี และในปีนี้จะทรงเสด็จเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2023 ในวันที่ 10 สิงหาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กรรมการ กสทช. ด้านการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวว่า ภายในงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง วิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (i-CREATe 2023) สำนักงาน กสทช. ได้ร่วมจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ภารกิจด้านการสร้างความตระหนักและเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ การพัฒนานวัตกรรมและการจัดให้มีบริการที่ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ผ่านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงมีการบรรยายและเสวนาในหัวข้อ Digital Inclusion : Digital ID และ Who Benefits from Digital Assistive Technology? และในปีพ.ศ. 2567 ประเทศไทยก็จะมีงานประชุม TDAC: Thailand Digital Accessibility Content ที่จะเป็นงานประชุมที่ให้ความสำคัญกับผู้พิการเช่นกัน นอกจากนี้ ภายในงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ยังมีการสัมมนาในหัวข้อแนวคิดการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านกิจการโทรคมนาคม โดยได้รับเกียรติจาก อ.มณเฑียร บุญตัน และการเสวนาในหัวข้อ Easy Read & Plain Language การเข้าถึงข้อมูลที่อ่านเข้าใจง่าย และภาษาที่เข้าใจได้สำหรับทุกคน โดยวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญและเกี่ยวข้องกับหน่วยงานเพื่อผู้พิการ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
i-CREATe 2023 โชว์นวัตกรรม “ระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ (Marker)” เตรียมประยุกต์ใช้ทางการแพทย์
  ปัจจุบันเทคโนโลยีตรวจจับการเคลื่อนไหว หรือ Motion Capture ไม่ได้เพียงนำมาใช้สร้างความมหัศจรรย์ให้แก่ตัวละครเสมือนในภาพยนตร์แฟนตาซี แอนิเมชัน หรือซูเปอร์ฮีโรต่าง ๆ เช่น Avatar หรือ The Lord of the Rings เท่านั้น ล่าสุดนักวิจัยไทยนำแนวคิดเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดสู่ “ระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ (Marker)” สร้างภาพจำลองการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบสามมิติโดยไม่ต้องไม่ต้องสวมใส่อุปกรณ์เพื่อการตรวจจับ หรือมาร์กเกอร์ตามร่างกาย ช่วยลดความยุ่งยาก ลดเวลาการใช้งานและประมวลผล ขณะนี้อยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร และเตรียมนำไปประยุกต์ใช้งานทางการแพทย์ในอนาคต   [caption id="attachment_45464" align="aligncenter" width="450"] ดร.ประยุกต์ เจตสิกทัต[/caption]   ดร.ประยุกต์ เจตสิกทัต นักวิจัยหลังปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technological University: NTU) สาธารณรัฐสิงคโปร์ อดีตนักเรียนทุน มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้พระราชทานทุนการศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง เมื่อปี พ.ศ. 2557 ทำให้มีโอกาสได้ศึกษาและเริ่มทำงานวิจัยในศูนย์วิจัยวิทยาการหุ่นยนต์ (Robotics Research Center) ภายใต้การดูแลของรองศาสตราจารย์อั๋ง เหวย์เทค (Ang Wei Tech) โดยเน้นศึกษาวิจัยด้านการจับการเคลื่อนไหวของมนุษย์ด้วยอุปกรณ์วัดรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการออกแบบกระบวนการคำนวณด้วยการเรียนรู้ของคอมพิวเตอร์ (Machine Learning) ซึ่งหลังศึกษาจบระดับปริญญาเอก ยังทำงานวิจัยต่อเนื่องที่ Rehabilitation Research Institute of Singapore (RRIS) โดยนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญมาพัฒนาเทคโนโลยีระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ สำหรับใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์   [caption id="attachment_45467" align="aligncenter" width="750"] การถ่ายทำโดยใช้เทคโนโลยี Motion Capture ทั่วไป[/caption]   “Motion Capture คือเทคโนโลยีการตรวจจับการเคลื่อนไหว ที่ผ่านมาอาจเห็นการใช้งานบ่อยครั้งในเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยนักแสดงจะต้องสวมใส่ชุดเข้ารูป (Body Suit) และสวมใส่อุปกรณ์เพื่อการตรวจจับ หรือมาร์กเกอร์ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวและนำไปใช้สร้างภาพสามมิติ ข้อจำกัดของเทคนิคนี้ คือ การติดจุดมาร์กเกอร์ทั่วร่างกายต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความยากของตำแหน่งข้อต่อและกระดูกของแต่ละบุคคล ขณะที่การประมวลผลใช้เวลานาน เนื่องจากภาพวิดีโอที่ได้ต้องนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อระบุตำแหน่งจุดมาร์กเกอร์แต่ละจุดว่าเป็นส่วนใดของร่างกาย เช่น ศีรษะ ไหล่ ข้อศอก แขน ขา จากนั้นจึงจะใช้ประมวลผลสร้างภาพสามมิติ ดังนั้นภาพวิดีโอเพียง 1 นาที อาจต้องใช้เวลาประมวลผลเป็นภาพสามมิตินานถึง 1 ชั่วโมง จึงเป็นเรื่องยากมากในการนำมาใช้ในทางการแพทย์” ดร.ประยุกต์ กล่าวว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ จุดเด่นคือผู้ใช้งานไม่ต้องติดมาร์กเกอร์เพื่อระบุตำแหน่งตามร่างกาย แต่อาศัยการออกแบบกระบวนการคำนวณเพื่อฝึกฝนให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ วิเคราะห์ภาพ และระบุตำแหน่งได้ว่าแต่ละจุดเป็นอวัยวะส่วนใดของร่างกาย จากนั้นระบบจะนำภาพไปใช้ประมวลผลบันทึกเป็นข้อมูล 3 มิติ ซึ่งช่วยลดเวลาและความยุ่งยากในการใช้งาน โดยขณะนี้ทีมวิจัยสามารถสร้างต้นแบบระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ได้สำเร็จ ส่วนกระบวนการทำงานของระบบเริ่มจากการติดตั้งกล้องวิดีโอ ประมาณ 4-8 ตัว ในมุมต่าง ๆ เพื่อให้สามารถถ่ายภาพการเคลื่อนไหวของมนุษย์ให้ครอบคลุมทุกมุมมอง เมื่อกล้องวิดีโอแต่ละตัวบันทึกภาพการเคลื่อนไหวจะส่งข้อมูลไปที่คอมพิวเตอร์หลัก จากนั้นระบบจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งไปยังส่วนของ Machine Learning Inference เพื่อวิเคราะห์และระบุตำแหน่ง 2 มิติ ของมาร์กเกอร์แบบเสมือน และเมื่อได้ภาพ 2 มิติ ที่ระบุตำแหน่งถูกต้องจากหลาย ๆ มุมมอง ระบบจะนำไปสร้างเป็นตำแหน่ง 3 มิติ เพื่อบันทึกการเคลื่อนไหว     “สำหรับการประยุกต์ใช้งาน ขณะนี้มีทีมวิจัยในศูนย์ RRIS มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ได้นำระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ไปใช้ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงการแพทย์ โดยมีแผนนำไปใช้งานเบื้องต้นใน 3 ด้าน คือ ด้านออร์โธพีดิกส์ เช่น การตรวจวิเคราะห์ผู้ที่มีภาวะความเสี่ยงโรคข้อเข่าเสื่อม เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ด้านการตรวจประเมินสุขภาพ เช่น การตรวจจับความผิดปกติจากท่าทางการเดินในผู้สูงวัยเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังโรคที่มาจากความเสื่อมของร่างกาย และด้านการการฟื้นฟูสมรรถภาพ ใช้สำหรับการวางแผนการออกกำลังกายหรือการทำกายภาพแก่ผู้ป่วย รวมทั้งใช้ติดตามประเมินผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำ ทดแทนการใช้อุปกรณ์โกนิโอมิเตอร์หรือไม้บรรทัดวัดองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่าง ๆ ในรูปแบบเดิม อย่างไรก็ดีปัจจุบันเทคโนโลยีอยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตร และอยู่ในช่วงของการระดมทุนจัดตั้งบริษัท (Spin Off) เพื่อผลักดันเทคโนโลยีสู่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์” ระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ นับเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตาอย่างมากในการนำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในการด้านการเฝ้าระวัง ตรวจวินิจฉัย และการวางแผนการรักษา เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้มีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ยืนยาว ซึ่งเทคโนโลยีนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่จะนำมาจัดแสดงในการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (The 16th International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology : i-CREATe 2023) จัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จังหวัดปทุมธานี ระหว่างวันที่ 8-11 สิงหาคม 2566 ทั้งนี้ภายในงานยังมีการแสดงปาฐกถาพิเศษ การนำเสนอผลงานวิชาการ และนิทรรศการระดับนานาชาติเกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูงด้านวิศวกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกที่น่าสนใจอีกมากมาย รวมทั้งยังมีการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (Global Student Innovation Challenge: gSIC 2023) เพื่อส่งเสริมนิสิตนักศึกษาให้มีความสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดงาน i-CREATe 2023 ได้ที่ www.icreateasia.com   การประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2023 คือเวทีสำคัญในการนำเสนอผลงานวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านวิศวกรรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งเป็นเวทีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการและผู้สูงอายุระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับผู้ทรงคุณวุฒิในระดับสากล ซึ่งเกิดจากกลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย ภายใต้ชื่อว่า CREATe Asia โดยเป็นการรวมกลุ่มระหว่าง 13 องค์กร จาก 10 เขตเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
5 นักวิจัยไบโอเทค-สวทช. สร้างมูลค่า 5 พืชสมุนไพรเศรษฐกิจ เชื่อมโยงพันธมิตรสู่เกษตรสมัยใหม่ ผ่านเขตนวัตกรรม EECi
For English-version news, please visit : NSTDA unveils herbal plant research, promising to make significant economic impact ที่ สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi Headquarters) จ.ระยอง - นักวิจัยด้านพืชสมุนไพร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำงานวิจัยการพัฒนาการผลิตพืชสมุนไพร 5 ชนิด (บัวบก ขมิ้นชัน กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร และกะเพรา) เชื่อมโยงสู่ผู้ประกอบการสมุนไพรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ ภายใต้งานสัมมนา “การเชื่อมโยงและสร้างพันธมิตรในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่” จัดโดยเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เมื่อเร็ว ๆ นี้ (19 ก.ค. 66) โดยมี ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงาน EECi และ นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานอุตสาหกรรมและชุมชน ดร.ประพัฒน์ พันปี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม EECi ตลอดจนผู้ประกอบการ นักวิจัยไบโอเทค และผู้แทนกลไกสนับสนุนภาคเอกชนของ สวทช. เข้าร่วมในงาน ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงาน EECi กล่าวว่า สวทช. โดย EECi ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดงานสัมมนาการเชื่อมโยงและสร้างพันธมิตรในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตร เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างนักวิจัยด้านพืชและผู้ประกอบการ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนและยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ตลาดสมุนไพรไทย พร้อมกันนี้ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า ในการสร้างให้เกิดความยั่งยืนของผู้ประกอบการ สวทช. ได้มีกลไกสนับสนุนภาคเอกชนในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นบัญชีนวัตกรรมไทย / AGRITEC (สท.) หรือโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น EECi / อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย / ซอฟต์แวร์พาร์ค / Food Innopolis เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นบริการสนับสนุนผู้ประกอบการในการร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ผ่านเขตนวัตกรรม EECi ต่อไป ด้าน ดร.ประพัฒน์ พันปี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม EECi สวทช. ระบุว่า ในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ สวทช. โดยนักวิจัยไบโอเทคได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพร 5 ชนิดพืช ได้แก่ บัวบก ขมิ้นชัน กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร และกะเพรา ซึ่งล้วนเป็นพืชสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ให้มีเสถียรภาพทางการผลิต คุณภาพการผลิต นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food security) รวมถึงส่งเสริมให้เกิดเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) ที่มีการนำเทคโนโลยีผสมผสานการเกษตรยุคดิจิทัล มาใช้กับการเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตได้เท่าทวีคูณ โดยพืชชนิดแรกคือ บัวบก โดย ดร.กนกวรรณ รมยานนท์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาต้นแบบการผลิตบัวบกในระบบปลูกแนวตั้ง ที่เพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่สูงขึ้น บัวบกสายพันธุ์ดี ได้แก่ ไบโอบก-143 และ ไบโอบก-296 ทั้งสองสายพันธุ์ ที่คัดเลือกมาจากการรวบรวมสายพันธุ์บัวบกกว่า 200 สายพันธุ์ ซึ่งให้ผลผลิตและปริมาณสารสำคัญสูง พืชชนิดที่สอง ขมิ้นชัน โดย ดร.รุจิรา ทิศารัมย์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช มีการศึกษากระบวนการผลิตต้นพันธุ์ การคัดเลือกสายพันธุ์ และระบบการปลูกในโรงเรือนและแปลงปลูก พืชชนิดที่สาม กระชายดำ โดย ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาสายพันธุ์ที่มีสารออกฤทธิ์ทางยาสูง กรรมวิธีการผลิต และระบบการปลูกที่ลดการเกิดโรคในแปลงปลูก พืชชนิดที่สี่ ฟ้าทะลายโจร โดย ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาสายพันธุ์ที่มีศักยภาพ ระบบการผลิตที่ให้สารสำคัญสูง และต้นแบบระบบการผลิตแบบปิด แบบเปิด และกึ่งปิด และพืชชนิดที่ห้า กะเพรา โดย ดร.พนิตา ชุติมานุกูล นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาข้อมูลสายพันธุ์ที่มีมากถึง 90 สายพันธุ์ และกระบวนการปลูกในโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) ทั้งในด้านข้อมูลตอบสนองต่อปัจจัยสภาพแวดล้อมและต้นแบบการผลิตที่เหมาะสม ซึ่งงานสัมมนาครั้งนี้นอกจากสร้างการรับรู้ถึงความสำคัญของงานวิจัยพืชสมุนไพรแล้ว ยังได้ฉายภาพและนำเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานวิจัยขยายผล ณ โรงเรือนปลูกพืชอัจฉริยะ (Smart Greenhouse) และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ของเมืองนวัตกรรมชีวภาพ หรือ BIOPOLIS ที่ตั้งอยู่ใน EECi เพื่อรองรับอุตสาหกรรมชีวภาพไทยที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตอันใกล้ด้วย หนึ่งในนักวิจัยพืช ‘กระชายดำ’ ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังจะได้พันธุ์กระชายดำดีเด่นที่มีสารออกฤทธิ์สูง และสามารถนำไปปรับใช้เฉพาะทางได้ เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยา นอกจากนี้ได้พัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การสร้างต้นพันธุ์ปลอดโรคที่จะนำไปให้เกษตรกร เพื่อลดต้นทุน แรงงาน และระยะเวลาการปลูก รวมถึงยังได้ความรู้ไปใช้กับการผลิตต้นพันธุ์ได้ทั้งปี ซึ่งแตกต่างจากเหง้าที่ผลิตไม่ได้ทั้งปี ซึ่งในการศึกษาที่ EECi จะมีห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขนาดใหญ่ มีระบบ Bioreactor (เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในอาหารเหลว) ที่จะขยายต้นพันธุ์ในระดับเชิงพาณิชย์ และใช้กับพืชอื่น ๆ ได้ เช่น ไม้ดอกไม้ประดับ พืชหายากที่ต้องการอนุรักษ์ เป็นต้น ซึ่งทีมวิจัยพร้อมจะทำงานเชื่อมโยงร่วมกับผู้ประกอบการทั้งในส่วนกลางน้ำและปลายน้ำ และอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่มีความท้าทายในการแก้ปัญหา Pain Point มาอย่างยาวนานคือ กะเพรา ดร.พนิตา ชุติมานุกูล นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค เล่าให้ฟังว่า รัฐบาลกำหนดให้ ‘กะเพรา’ เป็นพืชสมุนไพรชนิดใหม่ในวงการของสมุนไพร แต่จุดอ่อนทางธุรกิจคือ การส่งออก ที่ถูกห้ามส่งออกมาตั้งแต่ปี 2554 เพราะกะเพรามีการใช้ยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมากและยังพบแมลงติดมากับพืชที่ส่งออกสูง สร้างความสูญเสียมูลค่ามหาศาล ฉะนั้น เพื่อการแก้ไขจึงได้พัฒนาการปลูกให้เป็นเกรดพรีเมียม ทดลองปลูกและศึกษาใน Plant factory เพราะไม่มีการใช้ยาปราบศัตรูพืชใด ๆ โดยทีมวิจัยได้ศึกษาตั้งแต่การรวบรวมสายพันธุ์ซึ่งมีมากถึง 90 สายพันธุ์ และยังไม่มีการศึกษาถึงสรรพคุณในแต่ละสายพันธุ์มาก่อน เช่น สายพันธุ์ที่ต้านอักเสบ ต้านจุลชีพ ป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ หรือสรรพคุณในด้านกลิ่น ที่ช่วยขับลม ลดคอเลสเตอรอล เป็นต้น รวมถึงศึกษาสภาวะ (condition) การปลูกที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารสำคัญของกะเพราได้มากที่สุด ซึ่งในการเชื่อมโยงกับ EECi ทางทีมวิจัยมีแผนในอนาคตอันใกล้ว่า จะนำส่วนที่คัดสายพันธุ์ที่ดีและสำเร็จมาแล้วใน condition ต่าง ๆ ทั้งการปลูกใน Plant Factory ใน Greenhouse และแปลงทดลองของเกษตรกร เช่น พันธุ์ A ที่หอมมากและหอมทั้ง 3 ที่ที่ปลูกซึ่งให้ผลคงที่ ทีมจะนำพันธุ์เหล่านั้นมาปลูกทดสอบและขยายการผลิตในโรงเรือนที่ EECi เพื่อตอบโจทย์กับภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสมุนไพรและที่เกี่ยวข้องที่สนใจการพัฒนาสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ โทร. 0 2564 6700 ต่อ 3305 (จิราวรรณ)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ก.ล.ต. – สวทช. หนุนผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SMEส่งเสริมกลไกการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
2 สิงหาคม 2566 ที่ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซนทารา แกรนด์ แอท เซนทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดสัมมนา “การเผยแพร่บทศึกษาระบบนิเวศ และนโยบายที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SME” โดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำทีมโดย ศ. วิทวัส รุ่งเรืองผล และ รศ. ดร.พีระ เจริญพร นำเสนอผลการศึกษาซึ่งได้ระบุถึงปัญหาและอุปสรรคในการระดมทุนของผู้ประกอบการในกลุ่ม “BCG New S-curve และ SME” รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับต่อยอดในการกำหนดนโยบายหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการระดมทุน พร้อมกันนี้ได้จัดสัมมนาพิเศษ หัวข้อ “แนวทางและความร่วมมือในการส่งเสริมผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SME ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน” โดยมี ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางสาวประภารัตน์ ตังควัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิทรอน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้แทนจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVE Exchange) และนายไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. ร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นขุมพลังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ของภาครัฐ เอกชน และชุมชน ผ่านการทำงานโดยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของนักวิจัยศูนย์แห่งชาติ 5 ศูนย์แห่งชาติ ที่สามารถนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสานต่อให้เป็นเทคโนโลยีเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ สำหรับ BCG สวทช. เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ BCG ของประเทศ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อกำหนดนโยบาย BCG ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับ ESG และ SDGs แนวทางการขับเคลื่อนให้การให้เติบโตของโลกอย่างสมดุล “การจะเข้าสู่ SDGs หรือ ESG แต่ละประเทศบริบทไม่เหมือนกัน ประเทศไทยถือว่ามีจุดเด่นด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และผลผลิตทางการเกษตรอยู่แล้ว ดังนั้นการเติบโตด้าน Bioeconomy มีได้สูง ขณะเดียวกันเรื่อง Circular economy และ Green economy เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อลดการใช้ทรัพยากร และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดจะเป็นไปได้ด้วยฐานของเทคโนโลยี เพราะจะเปลี่ยนแปลงจากอุตสาหกรรมปัจจุบัน ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ต้องใช้เทคโนโลยีเสมอ “BCG หรือ Bio-Circular-Green เป็นคำใหญ่ แต่คีย์เวิร์ดคือ Economy ดังนั้น BCG economy เรากำลังจะบอกว่าอนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ทั้งประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจประเทศไทยจะโตขึ้น วิสัยทัศน์ 4 ด้าน 1.ต้องสร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ 2.การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากต้องโตอย่างเข้มแข็ง 3.เทคโนโลยีใหม่ต้องถูกนำมาใช้ เพื่อสร้างความสามารถในการสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และ 4.ต้องยกระดับอุตสาหกรรม BCG ให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน สร้างนวัตกรรมพรีเมียม และให้ของเสียเป็นศูนย์ ทั้งนี้ด้วยตัวอุตสาหกรรม BCG นั้น จะทำให้มีอุตสาหกรรมใหม่เกิดขึ้น คือ Circular-Green economy ซึ่งหลายอุตสาหกรรมกำลังปรับแปลงอุตสาหกรรมของตนเองให้รักษ์โลกมากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง และจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ดีขึ้นช่วยสร้างเศรษฐกิจด้วยตัวเอง” อย่างไรก็ตาม สวทช. มีผลงานที่ออกมาก็จดเป็น IP Licensing เพื่ออนุญาตใช้สิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของผลงานวิจัยพร้อมถ่ายทอดมากกว่า 300 IP ต่อปี มีการร่วมกับบริษัทเพื่อวิจัย และการจ้าง สวทช. วิจัยมากกว่า 400 โครงการต่อปี แต่ละปีจะมี IP Market Place ในงาน Thailand Tech Show รวมมากกว่า 1,300 ผลงาน จาก 45 พันธมิตรทั่วประเทศ ทั้งหน่วยวิจัยภาครัฐ สถาบันการศึกษาและภาคเอกชน รวมทั้งโครงการ ITAP ที่ช่วยเป็นกลไกการสนับสนุน SMEs ออกกันคนละครึ่ง นอกจากนี้ สวทช. ยังมีเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ยกเว้นภาษี 200% สำหรับการลงทุนวิจัยการพัฒนาและนวัตกรรม ซึ่ง สวทช. ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองโครงการวิจัยให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อสามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีกับกรมสรรพกร และการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคล สำหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัย เป็นจำนวน 2 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง รวมทั้งรับรองธุรกิจเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งใช้เทคโนโลยีเป็นฐานในกระบวนการผลิตและให้บริการ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ ได้แก่ ผู้ประกอบการรายใหม่ ที่เป็นกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือแนวหน้าและอยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี กิจการร่วมลงทุน ที่ลงทุนในกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือแนวหน้าและอยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกเว้นภาษีสำหรับผลตอบแทนจากการลงทุน 10 ปี และ นักลงทุน ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ที่ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท นายไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. เล็งเห็นความสำคัญของธุรกิจในกลุ่ม “BCG New S-curve และ SME” ตามแผนยุทธศาสตร์สำนักงาน ก.ล.ต. (ปี 2566 – 2568) ที่มุ่งสนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายตามแนวนโยบายของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลไกของตลาดทุนซึ่งจะช่วยให้การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างเข้มแข็ง และสอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 4 ด้านการกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลเพื่อลดอุปสรรคการเข้าถึงตลาดทุนของกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย โดยที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงเกณฑ์การระดมทุนสำหรับ SME และ Startup ผ่านช่องทางที่สะดวก มีทางเลือกที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการเงินทุน เช่น ระบบคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) การเสนอขายในวงจำกัด (PP-SME) และการเสนอขายบุคคลทั่วไปแบบ PO-SME ซึ่งปัจจุบันได้รับความสนใจและมีมูลการระดมทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนหลักเกณฑ์รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนตามเกณฑ์มูลค่าหุ้นสามัญตามราคาตลาด (เกณฑ์ Market Capitalization) เพื่อส่งเสริมให้บริษัทไทยที่ประกอบธุรกิจในกลุ่ม BCG รวมถึงบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทย ทั้งนี้ภายในงานมีการออกบูธของ ก.ล.ต. และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อให้ข้อมูล ตอบข้อซักถามและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการระดมทุนแก่ผู้ที่สนใจ
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
แอปฯ “รู้ทัน” ชวนคนไทยรู้เท่าทัน “โรคไข้เลือดออก”
  ไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคระบาดร้ายแรงประจำถิ่นประเทศไทย รวมถึงประเทศในแถบร้อนชื้น มียุงลายเป็นพาหะของเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus: DENV) พบการระบาดตลอดทั้งปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูฝนและมีการระบาดหนักในทุก 2-5 ปี โดยในปี 2566 นี้เป็นปีที่ประเทศไทยส่อเค้าระบาดหนักอีกครั้ง ล่าสุดกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 พบผู้ป่วยแล้วกว่า 45,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 41 ราย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค วิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์ม “ทันระบาด” เพื่อสนับสนุนการเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออกแบบเชิงรุกสำหรับเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังต่อยอดสู่แอปพลิเคชัน “รู้ทัน” เพื่อเป็นเครื่องมือให้ประชาชนใช้ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออก รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคโควิด-19 ฝุ่น PM2.5 ดัชนีความร้อนที่นำไปสู่โรคลมแดด   “ทันระบาด” แพลตฟอร์มจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลโรคไข้เลือดออกแบบเรียลไทม์สำหรับเจ้าหน้าที่ หากย้อนไปช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ประชาชนอาจยังคุ้นเคยกับการได้เห็นเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคเดินถือกระดาษแผ่นใหญ่ออกสำรวจลูกน้ำยุงลายภายในชุมชน วัด และโรงเรียน แต่ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลได้ง่ายขึ้นด้วยสมาร์ตโฟนเพียงเครื่องเดียว   [caption id="attachment_45354" align="aligncenter" width="750"] นายธนพล โยธานัก (ซ้าย) ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ (กลาง) นายมาโนชญ์ รัตนเนนย์ (ขวา)[/caption]   ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ หัวหน้าทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เนคเทค สวทช. เล่าว่า ตั้งแต่ปี 2559 เนคเทค สวทช. ได้ร่วมกับกรมควบคุมโรค เปิดตัวแพลตฟอร์ม “ทันระบาด” เพื่อสนับสนุนการวางแผนป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออกให้มีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์มากยิ่งขึ้น โดยแพลตฟอร์มประกอบด้วย 4 แอปพลิเคชันหลัก คือ “ทันระบาดสำรวจ” ใช้รวบรวมข้อมูลการสำรวจลูกน้ำยุงลาย และรายงานความชุกชุมของลูกน้ำยุงลายให้กับพื้นที่แบบเรียลไทม์ “ทันระบาดติดตาม” ใช้นำเสนอสถานการณ์โรคไข้เลือดออกและความชุกชมของลูกน้ำยุงลายในรูปแบบแผนที่ และตารางที่สามารถเลือกดูข้อมูลได้ตามมิติที่สนใจ “ทันระบาดรายงาน” เป็นเครื่องมือช่วยสรุปชุดข้อมูลสำคัญที่ใช้งานเป็นประจำออกมาในรูปแบบรายงานอย่างอัตโนมัติ และ “ทันระบาดวิเคราะห์” สำหรับสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลในมุมมองที่สนใจ     “นับตั้งแต่เปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน ทีมวิจัย เนคเทค สวทช. และกรมควบคุมโรคยังคงพัฒนาแพลตฟอร์มนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่เจ้าหน้าที่ ตัวอย่างฟังก์ชันที่พัฒนาเพิ่ม เช่น ‘ทันระบาดคุณภาพ’ เครื่องมือสำหรับจัดการคุณภาพของข้อมูลการสำรวจลูกน้ำยุงลาย และ “ทันระบาด EOC” ระบบประเมินเพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทั้งในระดับท้องถิ่นและประเทศได้ทราบถึงสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อวางแผนจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข (Emergency Operation Center: EOC)”   [caption id="attachment_45359" align="aligncenter" width="750"] ทันระบาดติดตาม[/caption]   [caption id="attachment_45358" align="aligncenter" width="750"] ทันระบาดติดตาม[/caption]   [caption id="attachment_45357" align="aligncenter" width="750"] ทันระบาดวิเคราะห์[/caption]     “ทันระบาด” สู่ “รู้ทัน” แอปพลิเคชันเพื่อสร้างการตระหนักรู้แก่ประชาชน แม้เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจะมีหน้าที่โดยตรงด้านการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน แต่จะดีกว่าหรือไม่หากเราทุกคนจะมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังโรคระบาดเพื่อตัดวงจรโรค รวมถึงดูแลตัวเองและครอบครัวให้ปลอดภัยอยู่เสมอ นายมาโนชญ์ รัตนเนนย์ นักวิจัยทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เนคเทค สวทช. เล่าว่า หลังจากพัฒนาแพลตฟอร์มทันระบาดจนพร้อมให้บริการแก่เจ้าหน้าที่ทั้งประเทศแล้ว ทีมวิจัยเนคเทค สวทช. และกรมควบคุมโรค ยังได้ร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” เพื่อนำข้อมูลจากทันระบาดมาสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกแก่ประชาชน โดยเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่ปี 2564 ภายในแอปพลิเคชันจะมีการดึงข้อมูลสถานการณ์การระบาดของโรคมาแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบตามพิกัดที่ผู้ใช้งานอยู่ ณ​ ขณะนั้น เช่น ขณะนี้อยู่ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มีความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกสูง ควรป้องกันตัวไม่ให้ยุงกัด และกำจัดยุงลายและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในพื้นที่ นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังดูข้อมูลในรูปแบบแผนที่ตั้งแต่ระดับตำบลถึงระดับภาพรวมประเทศ เพื่อแจ้งเตือนคนรู้จักหรือวางแผนเตรียมอุปกรณ์ป้องกัน อาทิ เสื้อแขนยาว ยากันยุง ก่อนเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงได้     นอกจากการเฝ้าระวังไข้เลือดออกแล้ว แอปพลิเคชัน “รู้ทัน” ยังผ่านการออกแบบให้ดึงข้อมูลเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ดัชนีความร้อน รวมถึงสภาพอากาศ มาแจ้งเตือนให้ประชาชนได้ทราบในแอปพลิเคชันเดียวเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานแก่ประชาชน นายธนพล โยธานัก วิศวกร ทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เล่าว่า ทีมวิจัยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมควบคุมโรค กรมอุตุนิยมวิทยา กรมควบคุมมลพิษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการให้บริการข้อมูลผ่านทาง API (Application Programming Interface) เพื่อให้แอปพลิเคชันรู้ทันสามารถดึงข้อมูลการระบาดของโรคโควิด-19 ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ค่าดัชนีความร้อน รวมถึงสภาพอากาศตามพิกัดพื้นที่มานำเสนอให้ผู้ใช้งานทราบ พร้อมให้ข้อมูลคำแนะนำในการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมได้ ทั้งนี้แอปพลิเคชันรู้ทันได้รับการสนับสนุนจาก คาโอ คอร์ปอเรชั่น (Kao Corporation) ในการขับเคลื่อนการให้บริการแก่ประชาชนเพื่อให้เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย     ก้าวต่อไปของการพัฒนา “ทันระบาด”​ และ “รู้ทัน”​ คือการพัฒนาให้แพลตฟอร์มอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่และประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ดร.นัยนา เล่าถึงเป้าหมายในอนาคตว่า ทีมวิจัยมีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มทันระบาดให้สามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลเพื่อคาดการณ์แนวโน้มการระบาดของโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ต่าง ๆ สำหรับแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่รวมถึงประชาชนรับทราบความเสี่ยงล่วงหน้าได้ และมีแผนพัฒนาให้รู้ทันมีฟังก์ชันระบบแจ้งเตือนความเสี่ยง เพื่อให้ประชาชนทราบภาวะเสี่ยงได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องเปิดแอปพลิเคชัน ทั้งนี้ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการร่วมขับเคลื่อนแพลตฟอร์มนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั่วทั้งประเทศไทยต่อไป ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” เพื่อใช้งานได้แล้วผ่านทั้ง Play Store และ App Store ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเพื่อการร่วมวิจัยได้ที่ นายมาโนชญ์ รัตนเนนย์ เนคเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2296 หรืออีเมล manot.rattananen@nectec.or.th เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ล็อกคุณค่าสารสกัดมะขามป้อมด้วยนวัตกรรมนาโนสู่เวชสำอางบำรุงผิว “HERBLOC”
  Tech: สุดปิ๊ง ! นักวิจัยไทยพัฒนาสารสกัดจากมะขามป้อมสู่นวัตกรรมซีรัมบำรุงผิวหน้าทรงประสิทธิภาพ “HERBLOC” ที่ใช้นาโนเทคโนโลยีช่วยกักเก็บสารสำคัญไว้ในอนุภาคนีโอโซม (niosomes) ช่วยเพิ่มความคงตัวของสารสกัดและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ของสารสกัดให้ดียิ่งขึ้น หนึ่งในผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงานการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 (Global Summit of Women 2022 : GSW2022) BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ วิจัยและพัฒนาโดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. รับถ่ายทอดเทคโนโลยีไปผลิตและจำหน่ายโดย ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาร์เก็ตติ้ง เมเนีย ติดต่อสอบถามได้ที่ อีเมล : k.marketingmania@gmail.com เฟซบุ๊ก : herbloc2021 หรือไลน์ : @herbloc   [caption id="attachment_45214" align="aligncenter" width="750"] ดร.สกาว ประทีปจินดา และ สักรินทร์ ดูอามัน ทีมนักวิจัยนาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.สกาว ประทีปจินดา นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า มะขามป้อมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในกระบวนการสร้างเม็ดสีของเซลล์ผิวหนัง ซึ่งได้รับการยอมรับในการนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอย่างกว้างขวาง แต่ปัญหาหลักของสารสกัดจากมะขามป้อมคือเรื่องของความคงตัว เมื่อเจอกับความชื้นหรือแสงแดดจะเสื่อมสภาพได้ง่าย ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาสารสกัดจากมะขามป้อมให้อยู่ในรูปของอนุภาคนีโอโซมด้วยเทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชั่น (Nanoencapsulation) เพื่อเพิ่มความคงตัวให้สารสกัดและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดให้ดียิ่งขึ้น เมื่อนำไปพัฒนาเป็นสูตรตำรับเวชสำอางและทดสอบในอาสาสมัครพบว่ามีความปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิว ทำให้ผิวแลดูขาว กระจ่างใสและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว สักรินทร์ ดูอามัน นักวิจัยทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. เล่าต่อว่า สารสกัดจากสมุนไพรมีข้อดีคือประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ แต่ยังมีจุดอ่อนในเรื่องการทำละลายและการคงตัว จึงต้องพัฒนาสารสกัดให้มีความพร้อมแก่การนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพดี มีความคงตัว ออกฤทธิ์ได้ตลอดการใช้งาน และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค อย่างเช่นสารสกัดมะขามป้อม ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดสูง ทำให้พัฒนาสูตรได้ยาก แต่เมื่อเราพัฒนาสารสกัดให้อยู่ในอนุภาคนีโอโซมแล้วทำให้พัฒนาสูตรตำรับได้ง่ายและหลากหลายมากขึ้น โดยหนึ่งในสูตรตำรับที่พัฒนาขึ้นคือผลิตภัณฑ์ซีรัมบำรุงผิวหน้า Emblica Encapsulation Anti-Aging Facial Serum ปัจจุบันได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาร์เก็ตติ้ง เมเนีย ผลิตจำหน่ายภายใต้แบรนด์ HERBLOC   [caption id="attachment_45213" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ซีรัมบำรุงผิวจากสารสกัดมะขามป้อม HERBLOC[/caption]   จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ซีรั่มบำรุงผิวหน้า HERBLOC คือ มีส่วนผสมหลักเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ โดยเฉพาะสารสกัดมะขามป้อมที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งเป็นสาเหตุผิวหมองคล้ำ ผลิตด้วยเทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชั่น เพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บสารสำคัญและค่อยๆ ปลดปล่อยเข้าสู่เซลล์ผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยผลัดเซลล์ผิวทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส ชะลอการเกิดริ้วรอย และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว HERBLOC ผลิตโดยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP และผลิตภัณฑ์ผ่านการจดแจ้งจาก อย. เรียบร้อยแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยที่นำคุณค่าของสมุนไพรไทยมาเพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ และตอบโจทย์การพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจบีซีจีของประเทศ   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สภาเภสัชฯ ผนึกกำลัง สวทช. และ สปสช. เดินหน้านำเทคโนโลยี A-MED Care Pharma เชื่อมระบบบริการเภสัชกรรม พัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย
(เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566) ณ ห้องประชุมชั้น 10 อาคารมหิตลาธิเบศร สภาเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี : รศ. พิเศษ ภก. กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ นพ.สินชัย ต่อวัฒนกิจกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมแถลงพิธีลงนามความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบบริการด้านเภสัชกรรม รศ. พิเศษ ภก. กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวว่า นับตั้งแต่วิกฤตการระบาดของโควิด 19 เภสัชกรได้มีบทบาทในการช่วยเหลือระบบสาธารณสุขต่าง ๆ ตั้งแต่การแจกชุด ATK การมีส่วนร่วมดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในการแยกตัวที่บ้าน (Home Isolation) ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นในการที่ได้รู้จักและใช้งานในระบบ A-MED Care และได้มีการพัฒนาต่อมาเพื่อใช้ใน โครงการเจอ แจก จบ หรือ โครงการ Self-isolation ที่ร้านยา (เป็นหน่วยร่วมบริการส่งต่อเฉพาะด้านเภสัชกรรมของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ได้ให้บริการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 (กลุ่มสีเขียว) ที่บ้าน โดยใช้ระบบ A-MED Care ในการบันทึกอาการ จ่ายยา และติดตามอาการไปจนถึงขั้นตอนการเบิกจ่ายค่าบริการ นับเป็นบริการแรกที่ประชาชนจำนวนมากได้รู้จักและชื่นชมในบทบาทของเภสัชกร มีผู้ป่วยได้รับการดูแลจากเภสัชกรชุมชนใน โครงการเจอ แจก จบ นี้ร่วม 6 หมื่นคน จาก 700 ร้านยาที่ร่วมโครงการ ในปีงบประมาณ 2566 ทางสภาเภสัชกรรมจึงเสนอบริการ 16 อาการเล็กน้อยมารับยาที่ร้านยา โดยเภสัชกรจะแนะนำการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น และหลังจากรับยาไป 3 วัน จะติดตามผลการใช้ยาว่าผู้ป่วยดีขึ้นหรือไม่อย่างไร โครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการนี้ สร้างความพึงพอใจแก่ประชาชนนับเป็นจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของการให้บริการโดยเภสัชกรชุมชน ประชาชนสามารถสังเกตสติ๊กเกอร์ของร้านยาที่ให้บริการ ที่เขียนว่า “ร้านยาคุณภาพของฉัน ” “ระบบ A-MED Care พัฒนาโดย สวทช. เป็นแพลตฟอร์มหลังบ้านในการบริหารจัดการ การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ซึ่งร้านยาที่เข้าร่วมโครงการฯ นอกจากจะมีมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีทางเภสัชกรรม (Good Pharmacy Practice / GPP) ของกระทรวงสาธารณสุขแล้วจะต้องผ่านเกณฑ์การรับรอง “ ร้านยาคุณภาพ” และผ่านการอบรมหลักสูตร “การดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ”ตามที่สภาเภสัชกรรมกำหนดด้วย  ทั้งนี้เพื่อให้การบริการเป็นไปตามมาตรฐาน ประชาชนจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่ดีมีมาตรฐานตามที่สภาเภสัชกรรมกำหนด และมีการจ่ายยาอย่างถูกต้องสมเหตุผล   นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ระบบ A-MED Care Pharma ช่วยให้การให้บริการของเภสัชกรในโครงการเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว  ใช้งานง่าย  มีความเสถียรและมีแอดมินคอยช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอดเวลา ผนวกกับการดูแลจ่ายยา ให้คำแนะนำ ติดตาม หรือส่งต่อพบแพทย์ ตรงตามความต้องการของประชาชน จะเห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยมารับบริการมีจำนวนถึง 2 แสนคน มารับบริการที่ร้าน 3 แสนกว่าครั้ง (ข้อมูล ณ. วันที่ 26 กรกฎาคม 2566) และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งผู้รับบริการและร้านยาที่เข้ามาร่วมโครงการ “ก้าวต่อไปในปี 2567  คือ การพัฒนาระบบ A-MED Care Pharma ในบริการจ่ายยาเพื่อลดความแออัด หรือ ระบบ e-prescription  รูปแบบที่เรียกว่า โมเดล 3  เพื่อให้ร้านยาได้ใช้งานระบบเดียว ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทั้ง ระบบการบันทึก การรายงาน และการส่งเบิกจ่าย  เป็นระบบเดียวในร้านยาซึ่งจะทำให้ร้านยาไม่ต้องใช้หลายระบบในการทำงานบันทึกการให้บริการ ซึ่งเป็นความท้าทายของวิชาชีพเภสัชกรในการปรับตัวเข้าสู่วิถีใหม่ (New Normal) เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมบริการต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมโยง ประมวลผล และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) มีภารกิจและเป้าหมายหลักมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญดำเนินงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างฐานรากสำคัญด้านเทคโนโลยีของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ สวทช. ได้ตระหนักอย่างยิ่งถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีระบบบริการด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุข ที่มาประยุกต์ใช้ในการดูแลประชาชนและผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพ ต่อเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด19 ซึ่งเกิดขึ้นในไทยเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2563 จนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามแม้สถานการณ์ต่าง ๆ จะดีขึ้น แต่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางสุขภาพและจำเป็นต้องปรับตัวเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) โดยที่โควิด 19 ได้เพิ่มอัตราเร่งในการนำเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุข มาใช้ในการดูแลประชาชนและผู้ป่วยเพื่อลดการเดินทางและลดความแออัดมายังสถานบริการสุขภาพแต่ยังคงดูแลประชาชนและผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบ A-MED Care Pharma พัฒนาโดย สวทช. เพื่อเป็นแพลตฟอร์มหลังบ้านในการบริหารจัดการการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ซึ่งร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการจะต้องผ่านมาตรฐานหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน ของกระทรวงสาธารณสุข และผ่านเกณฑ์การคัดเลือกของสภาเภสัชกรรม เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลรักษาที่ได้มาตรฐานมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเต็มที่ โดย สวทช. พร้อมที่ให้การสนับสนุนบุคลากร ทรัพยากร ภายใต้กรอบพันธกิจของหน่วยงานเพื่อให้เกิดการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและการใช้งานอย่างเต็มกำลังความสามารถ “ทั้งนี้ สวทช. ได้รับความไว้วางใจจากเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและนายกสภาเภสัชกรรม ในการร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมนี้ เข้าไปมีส่วนร่วมขับเคลื่อน การให้บริการด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุขของประเทศไทย ให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัย ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เกิดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของระบบบริการสาธารณสุขที่ทันสมัย ให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยขยายผลการใช้งานในวงกว้าง ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ของประเทศในการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างทั่วถึง” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว นพ.สินชัย ต่อวัฒนกิจกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เภสัชกรรมเป็นวิชาชีพสุขภาพที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีบทบาทหน้าที่ในการปรุงยาและใช้ยาเพื่อบริบาลผู้ป่วย และด้วยศักยภาพของวิชาชีพเภสัชกรรมที่เข้าถึงทุกชุมชนในรูปแบบร้านยา จึงได้ร่วมให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ภายใต้ชื่อ “ร้านยาชุมชนอบอุ่น” ปัจจุบันมีจำนวนกว่าหนึ่งพันแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ นอกจากการให้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแล้ว ล่าสุดยังได้เพิ่มนวัตกรรมบริการ “ร้านยาบริการดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ” (common illnesses) โดยร้านยาคุณภาพของฉัน เพื่อให้คำปรึกษาสุขภาพ จ่ายยาตามอาการ และติดตามอาการผู้ป่วย โดยได้รับการตอบรับด้วยดีจากประชาชนผู้ใช้สิทธิ ดังนั้น เพื่อให้บริการร้านยาชุมชนอบอุ่นสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบ A-MED Care Pharma เพื่อรองรับ จึงนำมาสู่ความร่วมมือครั้งนี้ โดยการสนับสนุนจากสภาเภสัชกรรมและสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งมีความร่วมมือที่ดีกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาโดยตลอด และจะนำไปสู่การพัฒนาแนวทางและการดำเนินงานทุก ๆ ด้านของการให้บริการเภสัชกรรม เกิดนวัตกรรมบริการเภสัชกรรมใหม่ ๆ รวมถึงการพัฒนาระบบข้อมูลต่าง ๆ ในส่วนงานเภสัชกรรม เพื่อให้เกิดการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศต่อไป สำหรับ ระบบบริการด้านเภสัชกรรมและนวัตกรรมบริการด้านการสาธารณสุขผ่านร้านยาคุณภาพของฉันด้วยระบบ A-MED Care Pharma เริ่มดำเนินการให้บริการประชาชนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยครอบคลุม 16 กลุ่มอาการ เช่น ปวดหัว เวียนหัว ปวดข้อ เจ็บกล้ามเนื้อ ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดท้อง ท้องเสีย ผื่นคัน และบาดแผล หากประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยตาม 16 กลุ่มอาการที่กล่าวมา สามารถเข้ารับบริการได้ที่ร้านยาคุณภาพใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาในโครงการได้ที่เว็บไซต์ สปสช. หรือสายด่วน สปสช. 1330 หรือสังเกตสติกเกอร์ “ร้านยาคุณภาพของฉัน” ที่หน้าร้านยา โดยเภสัชกรจะซักถามอาการและจ่ายยาพร้อมให้คำแนะนำการใช้ยาและการปฏิบัติตัว รวมถึงติดตามอาการเมื่อครบ 3 วัน ทั้งนี้ หากพบว่าคนไข้มีอาการไม่ดีขึ้น ร้านยาจะส่งต่อคนไข้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญร่วมงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 (Thailand Research Expo 2023) ครั้งที่ 18
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ขอเชิญร่วม งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 (Thailand Research Expo 2023) ครั้งที่ 18 ระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2566  หัวข้อ “วิจัยไทยก้าวไกล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน”  ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวทีระดับชาติที่นำเสนอความก้าวหน้าผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีคุณภาพ  เพื่อเชื่อมโยงบูรณาการองค์ความรู้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ทั้งในมิติเชิงวิชาการ นโยบาย สังคม/ชุมชน และพาณิชย์/อุตสาหกรรม  โดยลงทะเบียนเข้าร่วมงานผ่านทางเว็บไซต์  https://www.researchexporegis.com  และลงทะเบียนเข้าร่วมเยี่ยมชมงานแบบหมู่คณะผ่านทาง QR Code ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2566 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.researchexpo.nrct.go.th  และ  www.nrct.go.th 
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
“End of Waste” เพิ่มมูลค่ากากของเสียอุตสาหกรรม ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ลงนามความร่วมมือ การวิจัยและพัฒนาการผลักดันเพิ่มมูลค่ากากของเสียอุตสาหกรรม ให้เป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อการสิ้นสุดการเป็นของเสีย (End of Waste) ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Econo my) โดยความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. พร้อมนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเพิ่มมูลค่ากากของเสีย หรือวัสดุเหลือทิ้ง ให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการนำกลับมาเป็นวัตถุดิบที่มีมูลค่าตามความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่สังคมที่มีการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Economy Model
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
นาโนเทค สวทช. วิจัยเพิ่มประสิทธิภาพสารสกัดใบบัวบกด้วยระบบการนำส่ง ต่อยอดสู่เวชสำอางมาตรฐานสากล
For English-version news, please visit : Nanocarrier as a delivery system for bioactive compounds in Centella asiatica   บัวบก (Centella asiatica) เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมในการบริโภคอย่างแพร่หลาย และนิยมใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์หลายชนิดจากประเทศฝรั่งเศส ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นต้นกำเนิดแบรนด์เวชสำอางชั้นนำของโลกก็มีการใช้ใบบัวบกเป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเช่นกัน เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีสารออกฤทธิ์บำรุงรักษาที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) นำความเชี่ยวชาญและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานวิจัยพัฒนา ‘ประสิทธิภาพการนำส่ง’ และ ‘การคงตัว’ ของสารสกัดใบบัวบก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง มุ่งยกระดับขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยให้ยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน   [caption id="attachment_45209" align="aligncenter" width="750"] ดร.อรพรรณ คิง (ซ้าย) และคุณสักรินทร์ ดูอามัน (ขวา)[/caption]   ดร.อรพรรณ คิง นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ใบบัวบกเป็นพืชที่มีสารสำคัญหลัก 2 ชนิดที่น่าสนใจ คือ Asiaticoside และ Madecassoside เป็นสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ แต่สารสกัดสมุนไพรยังมีจุดอ่อนสำคัญที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์เวชสำอาง 2 ด้าน ด้านแรกคือเป็นสารกลุ่มละลายน้ำได้ดี จึงซึมผ่านชั้นผิวหนังได้น้อยกว่าสารกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถออกฤทธิ์ตรงเป้าหมายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกด้านหนึ่งคือเป็นสารที่มีความคงตัวต่ำ เมื่อนำไปใช้เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active ingredient) ในเครื่องสำอาง เนื้อของผลิตภัณฑ์อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหากโดนแสงหรือความร้อน เช่น สีเปลี่ยนไปก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในคุณภาพ และเกิดความไม่สบายใจที่จะใช้สินค้าต่อ   [caption id="attachment_45507" align="aligncenter" width="450"] บัวบก (Centella asiatica)[/caption] “เพื่อยกระดับสารสกัดจากใบบัวบก ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการห่อหุ้มสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน (Nanoencapsulation) ด้วยสารห่อหุ้มที่มีความจำเพาะในกลุ่ม Lipid-based nanocarrier ช่วยให้สารซึมผ่านชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และออกฤทธิ์ยังบริเวณเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล เมื่อนำไปใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ ผู้ใช้งานจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้การห่อหุ้มสารสกัดในระดับอนุภาคนาโนยังช่วยให้สารมีความคงตัว ผลิตภัณฑ์จึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีและจะยังคงมีปริมาณสารออกฤทธิ์ตามที่กำหนดจนถึงวันหมดอายุด้วย” ภายหลังการวิจัยและพัฒนากระบวนการยกระดับสารสกัดใบบัวบกจนได้มาตรฐานพร้อมนำไปใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์แล้ว ทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. จะรับช่วงต่อนำสารสกัดที่ได้พัฒนาในรูปของ Lipid-based nanocarrier มาสร้างสรรค์เป็น ‘ตำรับเวชสำอางใหม่’ ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้งานทั้งในไทยและต่างประเทศ คุณสักรินทร์ ดูอามัน นักวิจัยทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. เล่าถึงกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ว่า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยจะนำโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมาวิเคราะห์ร่วมกับคุณสมบัติของสารสำคัญ เพื่อพิจารณาว่าควรผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทใด ก่อนผสานความเชี่ยวชาญด้านวิทย์และศิลป์ สร้างสรรค์ออกมาเป็นเวชสำอางที่โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพและการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความประทับใจในการใช้งาน     “ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมี 4 ผลิตภัณฑ์ คือ Facial Serum, Facial Sleeping mask, Emulgel และ Hand cream ทุกผลิตภัณฑ์ล้วนโดดเด่นด้านการชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวหนังและลบเลือนริ้วรอยแห่งวัย โดยแต่ละตำรับจะใส่สารสำคัญอื่น ๆ เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงด้วย เช่น สารตรึงความชุ่มชื้นและเคลือบผิวหนังเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำระหว่างวัน สารกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยนด้วยกระบวนการตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนเข้าร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์และรับถ่ายทอดเทคโนโลยีในกลุ่มนี้แล้ว 2 บริษัท ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ผ่านช่องทางของสื่อสารของแบรนด์ Herb Miracle และ iNSIEME     นอกจากการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดและเวชสำอางเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของทีมคือการให้บริการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเวชสำอางตามโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การยกระดับประสิทธิภาพสารสกัด การพัฒนาผลิตภัณฑ์​ ไปจนถึงการทดสอบประสิทธิภาพการออกฤทธิ์และความปลอดภัย ภายใต้ “FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)” หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ One-stop service’ ดร.อรพรรณ อธิบายว่า ทีมวิจัยจากนาโนเทค สวทช. พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนายกระดับประสิทธิภาพการนำส่งและการคงตัวของสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน ด้วยเทคโนโลยีนาโนการห่อหุ้มหรือกักเก็บ (Nanoencapsulation) และพร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาตำรับเวชสำอางประสิทธิภาพสูงสูตรเฉพาะของแบรนด์ตามโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ นอกจากความพร้อมด้านการให้บริการวิจัยแล้ว นาโนเทค สวทช. ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ คือ โรงงานต้นแบบสำหรับผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ภายใต้มาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP สำหรับให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบและสินค้าด้วย “ที่นี่เป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่พร้อมให้บริการเครื่อง High-pressure homogenizer หรือเครื่องลดขนาดอนุภาคของสารในระดับนาโนเพื่อการผลิตสินค้าในระดับอุตสาหกรรมแก่ภาคเอกชน นอกจากนี้นาโนเทคยังมีความเชี่ยวชาญด้านการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ด้วยการผ่านการทดลองทางคลินิก (Clinical test) และมีผู้เชี่ยวชาญด้านเงื่อนไขข้อบังคับ (Regulation) การผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ช่วยพิจารณาส่วนประกอบและกระบวนการผลิตในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของแต่ละประเทศด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่ร่วมวิจัยและพัฒนาจะมีคุณภาพสูง มีศักยภาพที่จะจำหน่ายได้จริงทั้งในไทยและประเทศเป้าหมาย คุณสักรินทร์ กล่าวเสริมทิ้งท้าย การพัฒนากระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งสารสกัดจากสมุนไพร รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเวชสำอาง เป็นหนึ่งในความเชี่ยวชาญที่นาโนเทค สวทช. ภูมิใจและพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทย เพื่อหนุนเสริมการยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตหรือร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากใบบัวบก ติดต่อได้ที่ ฝ่ายธุรกิจนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7100 ต่อ 6610, 6680 หรืออีเมล bitt-ind@nonotec.or.th สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ร่วมกับ สวทช. และภาคีเครือข่าย จัดพิธีรับตราพระราชทานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประจำปีการศึกษา 2565 เดินหน้าปลุกศักยภาพเด็กไทยตั้งแต่ปฐมวัยมุ่งสู่การพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน
มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และภาคีเครือข่าย จัดพิธีรับตราพระราชทาน โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ประจำปีการศึกษา 2565 ระหว่างวันที่ 18 – 23 กรกฎาคม 2566 ณ ห้องแสงเดือน แสงเทียน ชั้น 2 อาคารพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จ.ปทุมธานี วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นผู้แทนพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มอบตราพระราชทานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ประจำปีการศึกษา 2565 พร้อมแสดงความยินดีกับเครือข่ายและโรงเรียนทั่วประเทศที่ผ่านการประเมินขอรับตราพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. วิทยากรหลักอาวุโสของโครงการ ฯ กล่าวว่า ในปีนี้มีผู้นำเครือข่ายท้องถิ่น วิทยากรเครือข่ายท้องถิ่น และผู้แทนจากโรงเรียนที่ผ่านการประเมินเพื่อรับตราพระราชทาน จำนวน 13,461 คนทั้งในระดับปฐมวัยและประถมศึกษา  โดยในปีนี้เป็นปีแรกที่มีโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาผ่านการประเมินรับตราพระราชทาน ครั้งที่ 1  และโรงเรียนระดับปฐมวัยในเครือข่าย สวทช. ผ่านเกณฑ์การประเมินเข้าร่วมรับตราพระราชทานครั้งที่ 4 จำนวนทั้งสิ้น 14 โรงเรียน โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย เป็นโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการโดย 8 หน่วยงานภาคีเครือข่าย ได้แก่ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กลุ่มบริษัท บี.กริม และเป็นความร่วมมือกับ มูลนิธิ Haus der kleinen Forscher สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยทั้งเนื้อหาและกระบวนการส่งเสริมให้เด็ก ๆ พัฒนากระบวนการคิด ปลูกฝังให้มีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยี ส่งเสริมให้ตั้งคำถาม หาคำตอบ สื่อสารความรู้ที่ได้และได้ทำงานเป็นทีม เรียนรู้ด้วยความสนุก ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เปิดประสบการณ์การเรียนรู้และทักษะใหม่ ๆ โดยพัฒนาศักยภาพของครูปฐมวัยทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 โครงการฯ ดำเนินการครบ 12 ปี มีสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการกว่า 29,144  โรงเรียนทั่วประเทศ ผ่านผู้นำเครือข่ายท้องถิ่น 255 แห่ง ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ และครูผู้สอนกว่า 50,000 คน ซึ่งปรากฎผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ทุกประการ คือครูและเด็กสนใจเรียนรู้และสนุกกับกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ที่ผ่านมา โครงการฯ ได้จัดให้มีกิจกรรมอบรมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การอบรมครูปฐมวัยและประถมศึกษาด้าน STEM ในหัวข้อรอบตัว เช่น น้ำ อากาศ แม่เหล็ก ESD ฯลฯ การจัดทำสื่อการเรียนการสอนสำหรับครู การจัดทำรายการโทรทัศน์ "บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย" และ  จัดเทศกาลวันนักวิทยาศาสตร์น้อย ในปีนี้โครงการฯ มุ่งเน้นปลูกฝังแนวคิดเรื่อง “ความยั่งยืน” หรือ Education for Sustainable Development (ESD) ให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้อย่างเข้าใจด้วยการฝึกให้เด็ก ๆ คิดถึงสิ่งที่อยู่รอบตัว ชุมชน เพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) ทั้ง 17 เป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ (UN) อีกด้วย  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์