ผลการค้นหา :

สวทช. มอบใบรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้กับ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ใช้สิทธิยกเว้นภาษีได้ด้วยตนเอง (Self-Declaration)
24 สิงหาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มอบใบรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้แก่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) เพื่อรับรองว่าเป็นองค์กรที่มีศักยภาพและมาตรฐานในการบริหารจัดการองค์กรเกี่ยวกับการดำเนินงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม พร้อมสามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ 200% สำหรับรายจ่ายในการวิจัยได้ด้วยตนเอง
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานอุตสาหกรรมและชุมชน กล่าวว่า ตามที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้กำหนดวิสัยทัศน์ ในการเป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด และ สวทช. ได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร 3 หน่วยงาน ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.), สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ (สรอ.) และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (สพช.) เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ ได้มีการประยุกต์ใช้ระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือเรียกอย่างย่อว่า ระบบ RDIMS โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการที่ผ่านการรับรองระบบ RDIMS และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับ สวทช. สามารถรับรองตนเองโดยไม่ต้องขอการรับรองเป็นรายโครงการ แล้วยื่นใช้สิทธิยกเว้นภาษี 200% ในรูปแบบ Self-Declaration ได้อีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะสร้างความสะดวกและความมั่นใจให้ผู้ประกอบการในการใช้สิทธิยกเว้นภาษีแล้ว การนำระบบดังกล่าวไปใช้ในกิจการ จะทำให้ผู้ประกอบการมีการบริหารงานวิจัยที่เป็นระบบและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในการสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อพัฒนาเป็นสินค้า หรือบริการนวัตกรรม โดยเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนของระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตได้
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ได้ผ่านการตรวจประเมินและรับรองจากคณะกรรมการรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ของ สวทช. แล้ว ซึ่งการที่บริษัทฯ ได้รับการรับรองระบบ RDIMS นั้น แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหารและความร่วมมือร่วมใจของพนักงานในระดับต่าง ๆ ในการสร้างองค์ความรู้ของการดำเนินการวิจัย ซึ่งนำไปสู่การคิดค้น พัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่า (Price) และคุณค่า (Value) ในสินค้าและบริการ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจให้กับองค์กรได้
การมอบใบรับรองฯ ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงศักยภาพของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังถือเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า สวทช. มุ่งสร้างเสริมการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ให้ผู้ประกอบการเอกชนเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดย สวทช. ขอแสดงความยินดีและภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมกับความสำเร็จของ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ และคาดหวังว่าบริษัทฯ จะเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในการลงทุนการวิจัยและพัฒนาด้าน วทน. เพื่อพัฒนาเป็นสินค้าหรือบริการนวัตกรรม โดยเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรมของประเทศในอนาคต
คุณนาวา จันทนสุรคน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) กล่าวขอบคุณ สวทช. ที่เล็งเห็นถึงความตั้งใจในการทำงานด้านการวิจัยและพัฒนาของบริษัท ให้ความไว้วางใจ และให้การรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ RDIMS แก่บริษัท บริษัทเชื่อว่าการลงทุนวิจัยและพัฒนาจะทำให้บริษัทสามารถขับเคลื่อนให้องค์กรดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งบริษัทได้กำหนดเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนในวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ คือ “บริษัทเหล็กชั้นนำด้านนวัตกรรมและโซลูชั่นทางธุรกิจที่คู่ค้าไว้วางใจ” และพันธกิจ คือ “สร้างสรรค์ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็กและบริการที่มีคุณค่าเพิ่มพิเศษสำหรับลูกค้าและผู้บริโภค สร้างคุณค่าร่วมและความไว้วางใจอย่างยั่งยืนสำหรับผู้มีส่วนได้เสีย”
การรับมอบใบรับรองในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบริษัท ระบบ RDIMS จะเป็นแนวทางหลักที่จะช่วยให้บริษัทสามารถบริหารโครงการวิจัยต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลเชิงประจักษ์จริง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตลาดเหล็กมีแนวโน้มการใช้งานผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนที่มีระดับชั้นคุณภาพสูง เหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษ และมีความจำเพาะเจาะจงในด้านการใช้งานเพิ่มขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหนักเบาและความแข็งแรงสูงขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น ผลิตภัณฑ์เหล็กทนความร้อนสูง ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ชั้นคุณภาพเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น อุตสาหกรรมกลุ่มนวัตกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมกลุ่มนวัตกรรมการก่อสร้าง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนนำไปสู่ความยั่งยืนทางด้านการประกอบการ สิ่งแวดล้อม และสังคม ควบคู่กันไป
----------------------------------
หากผู้ประกอบการรายใด สนใจพัฒนาระบบ RDIMS ให้กับกิจการ
โปรดติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ สวทช.
โทร. 0 2564 7000 ต่อ 1328 - 1332 และ 1631 – 1634
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปลี่ยนขวดพลาสติกเป็น ‘MOFs’ วัสดุนาโนขั้นสูง ตัวช่วยจับ CO2
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. เพิ่มค่าขวดพลาสติกธรรมดาให้กลายเป็น “วัสดุนาโนขั้นสูง” อย่าง MOFs หรือวัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ ตัวช่วยดักจับและกักเก็บ “คาร์บอนไดออกไซด์” ตัวร้ายทำโลกร้อน ชูจุดเด่นด้วยกระบวนการเคมีสีเขียว และชุดระบบปฏิกรณ์การไหลแบบต่อเนื่องด้วยระบบ Continuous flow ปิดคอขวดเรื่องกำลังการผลิต ตอบความต้องการใช้งานในราคาที่แข่งขันได้ พร้อมพัฒนาสูตร MOFs ที่หลากหลาย ประยุกต์ใช้ดักจับและกักเก็บโมเลกุลสารอย่างจำเพาะเจาะจงได้อีกมาก รองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมขั้นสูง ลดการนำเข้า ตอบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน
ดร.ชลิตา รัตนเทวะเนตร จากทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ขวดน้ำพลาสติกที่ทำมาจากพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) นั้น นับเป็นขยะที่พบได้จำนวนมากในทุกๆ วัน ในขณะเดียวกัน ก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การใช้ วทน. ในการเปลี่ยนขยะขวดพลาสติกให้เป็นวัสดุนาโนมูลค่าสูงอย่าง MOFs
MOFs ย่อมาจาก Metal Organic Frameworks หรือ วัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ เป็นวัสดุนาโนชนิดหนึ่งที่มีสมบัติน่าสนใจหลายอย่าง อาทิ มีพื้นที่ผิวมาก มีความพรุนสูง มีความหนาแน่นต่ำ และทนอุณหภูมิที่สูงมาก นอกจากนี้ ยังมีความสามารถที่น่าสนใจอย่างการคัดเลือกโมเลกุลที่ต้องการออกจากโมเลกุลอื่น มีการนำไปใช้กับตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีที่จำเพาะกับรูปร่างและโครงสร้างของสารเคมีนั้น ๆ ทำให้สามารถใช้เป็นสารดูดซับ หรือตัวกรองได้ ขึ้นอยู่กับโครงสร้าง
“ด้วยความที่ MOFs เป็นวัสดุลูกผสม (hybrid material) ที่ประกอบไปด้วย ส่วนที่เป็นโลหะและสารอินทรีย์ ทีมวิจัยจึงมองเห็นโอกาส พัฒนากระบวนการย่อยพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลตจากขวดพลาสติกมาแทนที่ส่วนประกอบที่เป็นสารอินทรีย์ หรือออร์แกนิค ลิแกนด์ (organics ligand) ซึ่งเป็นสารตั้งต้น พร้อมพัฒนาสูตร/กระบวนการในการสังเคราะห์ MOFs นำร่อง ชนิด UiO-66 จากโลหะเซอร์โคเนียม (zirconium) และ MIL-53 จากโลหะอลูมิเนียม (aluminum) ด้วยแนวคิดเคมีสีเขียว (Green Chemistry) โดย MOFs ดังกล่าว มีสมบัติในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์หรือ CO2” ดร. ชลิตากล่าว
ขวดพลาสติกที่ผ่านการย่อย ก่อนจะเป็น MOFs
ขวดพลาสติกที่ผ่านการย่อย ก่อนจะเป็น MOFs
ตรวจเช็คระบบ Continuous flow ในการผลิต MOFs
MOFs ที่ได้จากระบบ Continuous flow
นักวิจัยนาโนเทคมองว่า MOFs มีโอกาสทางการตลาดที่น่าสนใจ ด้วยสมบัติในการดูดซับจากรูพรุนจำนวนมากบนพื้นผิว แต่ปัญหาคอขวดของวัสดุนวัตกรรมนี้คือ กำลังการผลิต แทบทุกที่ในโลกสามารถสังเคราะห์ออกมาได้ในปริมาณน้อยมาก ทำให้มีราคาสูง MOFs บางตัวมีราคาหลักล้านต่อกิโลกรัม ทำให้ความต้องการของตลาดชะงัก แม้อยากได้ ก็หาซื้อยาก หรือราคาแพงจนไม่สามารถใช้ได้ จึงมีแนวคิดในการพัฒนากระบวนการสังเคราะห์ MOFs จากขวดพลาสติก ที่สามารถขยายกำลังการผลิต เพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้
ดร. ชลิตากล่าวว่า โครงการวิจัยนี้ ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) แผนงานกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียนร่วมกับบริษัท แมกโน-เลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์คอร์ปอเรชั่น จำกัด และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ระยะเวลา 2 ปี โดยปีแรก เป็นการวิจัยและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์ MOFs จากเซอร์โคเนียม (zirconium) หรือ UiO-66(Zr) และอลูมิเนียม (aluminum) หรือ MIL-53(Al) ด้วยต้นทุนต่ำ และในปีที่ 2 จะเป็นการพัฒนาระบบการสังเคราะห์ MOFs ที่สามารถอัพสเกลได้
ทีมวิจัยนาโนเทค ได้พัฒนากระบวนการย่อยพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลตจากขวดพลาสติกมาเป็นสารตั้งต้น (monomers) ได้ด้วยกระบวนการที่มีต้นทุนต่ำ พร้อมกันนี้ ยังได้พัฒนาชุดระบบปฏิกรณ์การไหลแบบต่อเนื่อง ที่สังเคราะห์ด้วยระบบ Continuous flow ซึ่งมีข้อดีคือ ใช้แนวคิดเคมีสีเขียว ซึ่งเป็นการออกแบบกระบวนการสังเคราะห์ตั้งแต่ต้นน้ำโดยไม่สร้างภาระให้สิ่งแวดล้อม สามารถควบคุมการเกิดปฏิกิริยาได้ดี ลดการเกิดของเหลือ (waste) จากกระบวนการสังเคราะห์ ช่วยเพิ่มทำให้สามารถสังเคราะห์ MOFs ได้อย่างต่อเนื่อง ทลายคอขวดในด้านการอัพสเกลการผลิตได้
จากขวดพลาสติกเหลือใช้สู่ MOFs ช่วยจับ CO2
ผลจากการคิดค้นและพัฒนาของนักวิจัยนาโนเทค ทำให้สามารถ UiO-66 ได้ถึง 1 กิโลกรัมต่อชั่วโมง และ MIL-53 ที่ราว 20 กิโลกรัมต่อชั่วโมง และยังสามารถประยุกต์ใช้กับ MOFs อื่นๆ ได้ทุกแบบ
“วัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์หรือ MOFs นั้น มีขาย แต่ส่วนมากใช้ในงานวิจัยและพัฒนา ในขณะที่ในประเทศไทย ไม่ได้มีคนใช้ เพราะหาซื้อไม่ได้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว มีเพียงไม่กี่บริษัททั่วโลกที่มี MOFs ขาย แม้ปัจจุบัน จะมีผู้จำหน่ายหลายรายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่แพร่หลาย ด้วยปัจจัยด้านราคาเป็นหลัก” ดร. ชลิตากล่าว พร้อมเสริมว่า MOFs ที่นาโนเทคพัฒนาขึ้นนั้น มีต้นทุนที่ถูกกว่า ทำให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในเรื่องของประสิทธิภาพและราคา ปัจจุบัน เริ่มมีเอกชนรายใหญ่ที่แสดงความสนใจ และติดต่อเข้ามาแล้วโดยเฉพาะเรื่องของการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งตัว MOFs ที่นาโนเทคทำได้ ก็มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายการใช้งาน เป็นโอกาสที่จะต่อยอดได้ในอนาคต
ปัจจุบัน ดร. ชลิตาเผยว่า ได้จดทรัพย์สินทางปัญญา 2 สิทธิบัตร คือ การสังเคราะห์ UiO-66 และ MIL-53 ซึ่งทีมวิจัยนาโนเทคเอง พร้อมสำหรับความร่วมมือในด้านต่างๆ ทั้งการผลิต MOFs, การจ้างวิจัยเพื่อพัฒนาสูตรเฉพาะ รวมถึงการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีอีกด้วย
นอกจากนี้ นักวิจัยนาโนเทคยังแย้มว่า ทีมวิจัยยังมีแผนที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนของเหลือจากกระบวนการผลิต (waste) ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้มาสังเคราะห์เป็น MOFs ที่มีมูลค่าสูงได้อีกด้วย
“จากขวดพลาสติกราคาหลักบาท เมื่อผ่านกระบวนการย่อยเป็นสารตั้งต้น สามารถเพิ่มมูลค่าให้เป็นหลักร้อย และเมื่อใช้ วทน. เปลี่ยนเป็น MOFs สามารถเพิ่มมูลค่าได้เป็นหลักล้าน แม้กระบวนการนี้จะใช้ขวดพลาสติกจำนวนไม่มากนัก ช่วยลดขยะได้บ้าง แต่สร้างวัสดุขั้นสูงที่เพิ่มมูลค่าได้สูงมาก และสามารถขยายกำลังการผลิตได้ เป็นตลาด Blue Ocean ที่ตอบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) อย่างยั่งยืน” ดร. ชลิตาย้ำ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ครั้งแรก CEA มอบรางวัล CE Awards สวทช. คว้า 2 รางวัล Traffy Fondue และโครงการ Agri-Map ผลงานเด่นด้านการแก้ประเด็นทางสังคม (Creative Social Impact Awards)
วันที่ 24 สิงหาคม 2566 ณ สามย่าน มิตรทาวน์ ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่าน มิตรทาวน์ กรุงเทพฯ : สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA จัดพิธีมอบรางวัลความเป็นเลิศทางความคิดสร้างสรรค์ หรือ Creative Excellence Awards (CE Awards) ครั้งแรก เพื่อเชิดชูและส่งเสริมบุคคล ชุมชน ผู้ประกอบการ หน่วยงาน องค์กร หรือสถาบัน ต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการ เครื่องมือ หรือกระบวนการ โดยนำความคิดสร้างสรรค์ มาประยุกต์ใช้ในการสร้างให้เกิดคุณค่า (Value Creation) ที่ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ สังคมหรือสิ่งแวดล้อมเพื่อต่อยอดไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศ โดยได้รับเกียรติจากนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานมอบรางวัลให้กับนักสร้างสรรค์จำนวน 28 รางวัล
โอกาสนี้ผลงานวิจัยของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คว้า 2 รางวัล ในหมวดรางวัล Creative Social Impact Awards ซึ่งมอบให้กับผลงาน ที่นำความคิดสร้างสรรค์ไปประยุกต์ใช้ เพื่อแก้ไขหรือคลี่คลายประเด็นต่าง ๆ ทางสังคม (Social) อีกทั้งช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้นให้น้อยลง และอยู่ในประเภทรางวัล Creative Community Engagement Award ซึ่งหมายถึง ผลงานดังกล่าวได้นำความคิดสร้างสรรค์ไปแก้ไขปัญหาของชุมชน เช่น ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม การสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมของผู้คนหรือหน่วยงานในชุมชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขประเด็นสังคมนั้น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดย 2 ผลงาน สวทช. ที่คว้ารางวัล ได้แก่
ผลงาน Traffy Fondue (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) โดย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม นักวิจัยอาวุโส กลุ่มนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะผู้พัฒนาโครงการ Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง พร้อมทีมวิจัยเข้ารับรางวัล
ผลงาน Agri-Map กรมพัฒนาที่ดิน และศูนย์เทคโนโลยีอีเลกทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) โดยมี ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. และ ดร.นพดล คีรีเพ็ชร นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยคลังอนุพันธ์ความรู้ (KEA) กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ (DSARG) เป็นตัวแทนรับรางวัล
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เวทีประกาศรางวัล Creative Excellence Awards จะเป็นปฐมบทใหม่ของการเฉลิมฉลองให้แก่ศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ที่ “ความคิดสร้างสรรค์” ไม่ได้อยู่แค่ในบริบทของศิลปะหรือความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็น “กระบวนการเชื่อมโยงและตกผลึกองค์ความรู้ใหม่ ๆ” ซึ่งมีพลังในการจุดประกายและขับเคลื่อนผู้คนในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง ธุรกิจ ผู้คน ชุมชน สังคม หรือประเทศชาติ นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม
ดร. อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) กล่าวว่า รางวัล Creative Excellence Awards หรือ CE Awards ที่จัดขึ้นเป็นปีแรกนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศด้านการสนับสนุนผู้ประกอบการสร้างสรรค์ โดยเชิดชูเกียรติของนักสร้างสรรค์ไทยให้เป็นที่ยอมรับและรู้จักในวงกว้าง ทั้งยังเป็นการสร้างต้นแบบแห่งความสำเร็จของนักสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพในการถ่ายทอดผลงานที่สร้างประโยชน์และคุณค่าในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ตามสาขาต่าง ๆ รวม 28 รางวัล ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารางวัลนี้ยังจะช่วยกระตุ้นนักสร้างสรรค์ไทยได้พัฒนาผลงานที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจหรือคุณค่าทางสังคม เพื่อเพิ่มขีดความสามารในการแข่งขันและขับเคลื่อนประเทศได้
“สำหรับรางวัล CE Awards จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อเป็นเครื่องการันตีรับรองความโดดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนสร้างมูลค่าและความแตกต่างให้บุคคล หน่วยงาน และองค์กรที่ได้รับรางวัล รวมถึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์และการแสดงออกซึ่งวิสัยทัศน์แห่งความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก การกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงผลกระทบที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ของความคิดสร้างสรรค์ในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และสังคม ไปจนถึงเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนสู่คนรุ่นถัดไป เพราะหัวใจของรางวัลนี้อยู่บนความเชื่อที่ว่า “ความคิดสร้างสรรค์คือพลังที่ไร้ขอบเขต” ไม่ว่าจะอยู่ในตัวของบุคคลคนหนึ่ง ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง หรือสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ว่านี้ จะทำหน้าที่ในการจุดประกายและสรรค์สร้างเส้นทางอันหลากหลาย เพื่อบ่มเพาะนิเวศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ความคิดสร้างสรรค์ได้เติบโตงอกงาม พร้อมส่งต่อพลังเหล่านั้นสู่สังคมต่อไป” ดร. อรรชกา กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์

A-MED Care Pharma แพลตฟอร์มเชื่อมร้านยาดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง 16 อาการ
สวทช. จับมือกับ สภาเภสัชกรรม โดยการสนับสนุนจาก สปสช. เปิดตัว A-MED Care Pharma บริการเชื่อมร้านยาดูแล 16 อาการ แพลตฟอร์มดีๆ เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขทั่วไทย ในงาน NSTDA Meets the Press เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้พบปะพูดคุยกับนักวิจัยผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม และผู้บริหารจากสภาเภสัชกรรม ที่มาเล่าถึงการใช้งานแพลตฟอร์มอย่างใกล้ชิด
สำหรับ A-MED Care Pharma เป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการ การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง เพื่อสนับสนุนการทำงานของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และ สภาเภสัชกรรม นับเป็นหนึ่งในบริการของแพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์ดิจิทัล ซึ่งเป็น Core Business ของ สวทช. ที่มุ่งนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหาความแออัดของหน่วยบริการสาธารณสุข และช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

ดีเอสไอ ขยายความร่วมมือ สวทช. ด้านการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ยกระดับงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ
24 สิงหาคม 2566 ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี
โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และร้อยตำรวจเอก ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมลงนาม และดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ เพ็ญภาค ผู้อำนวยการกองเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมเป็นพยาน โดยความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถการปฏิบัติงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษและงานความมั่นคง ตลอดจนการส่งเสริมสนับสนุนทรัพยากรร่วมกันให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มุ่งเน้นในการสร้างขีดความสามารถด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ของประเทศ และเชื่อมโยงกับพันธมิตรในทุกภาคส่วนในการขยายผลการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยที่ผ่านมา สวทช. มีความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษมาระยะหนึ่ง และในครั้งนี้จะได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อขยายระยะเวลาความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่อไปอีก 5 ปี (ถึงวันที่ 19 ตุลาคม 2571) เพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีและเพิ่มขีดความสามารถการปฏิบัติงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษและงานความมั่นคง รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกันให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
“การขยายความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลงนี้ สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการนำศักยภาพของบุคลากรและองค์ความรู้ตลอดจนทักษะความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ร่วมกันขยายผลการนำผลงานวิจัยพัฒนาไปสู่การใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติ ตามที่ได้มีความร่วมมือกันก่อนหน้านี้ เช่น ความร่วมมือในการประกวดผลงานนวัตกรรมเทคโนโลยีสนับสนุนการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ " I4C -Innovation for Crime Combating Conference and Contest) การแลกเปลี่ยนและเป็นที่ปรึกษาด้าน Cybersecurity และ Cryptocurrency รวมทั้งขยายเครือข่ายความร่วมมือไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีเป้าหมายและเป็นรูปธรรม ตอบสนองความต้องการของประชาชนในประเทศ”
ร้อยตำรวจเอก ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย มีภารกิจและอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการป้องกัน การปราบปราม การสืบสวน และการสอบสวนคดีพิเศษ ที่ต้องดำเนินการสืบสวนและสอบสวนโดยใช้วิธีการพิเศษ ตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ โดยคดีพิเศษมีลักษณะเป็นคดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน หรือมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ ดังนั้นเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการวิจัยพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อให้ได้อุปกรณ์เครื่องมือสนับสนุนการปฏิบัติงานที่ประสิทธิภาพสูง ทันสมัย และเท่าทันต่อแนวโน้มของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
อย่างไรก็ตาม กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่สามารถดำเนินการได้โดยลำพัง เนื่องจากจำเป็นต้องประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลากหลายสาขา และยังต้องใช้บุคลากร สถานที่เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง ซึ่ง สวทช. เป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญหลักของประเทศในด้านการวิจัยพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษให้ความสนใจและเกิดความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีร่วมกันอย่างต่อเนื่องและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นทางการต่อไปอีก 5 ปี ข้างหน้าเชื่อว่าจะนำไปสู่การขยายผลงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติ ช่วยเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถด้านการปฏิบัติงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษรวมถึงงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

บทเรียนวิกฤตโควิด-19 สู่การพัฒนา “PETE (พีท) เปลความดันลบ” นวัตกรรมเพื่อความมั่นคงด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย
นับตั้งแต่ปี 2562 โรคโควิด-19 ได้สร้างความเสียหายด้านเศรษฐกิจและสังคมแก่ผู้คนทั่วโลกอย่างมหาศาล เป็นแรงกระตุกครั้งสำคัญให้ผู้นำทั่วโลกตระหนักถึงความรุนแรงของโรคระบาดใหญ่ (Pandemic) และหายนะที่เกิดขึ้นจากการขาดความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งประเทศไทยเองก็ต้องเผชิญความยากลำบากในการก้าวข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้มาเช่นกัน
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) และหน่วยงานพันธมิตร ผู้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา PETE (พีท) จัดเวทีถอดบทเรียนความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมรับมือวิกฤตโรคโควิด-19 อันนำไปสู่การสร้างความเข็มแข็งด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย
[caption id="attachment_46097" align="aligncenter" width="750"] PETE[/caption]
‘เสียงสะท้อนบุคลากรด่านหน้า’ ในสถานการณ์โควิด-19
“เสียงตะโกนกรีดร้องด้วยความเครียดและหวาดผวา น้ำตาที่ไหลผ่านหน้าด้วยความเหนื่อยล้าแสนสาหัส คือความเจ็บปวดที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเผชิญในปี 2563 ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ถาโถมอย่างหนัก โรคที่ไม่มีใครไม่รู้จักและไร้ซึ่งหนทางตั้งรับ” คือ คำบอกเล่าของ นพ.อนุแสง จิตสมเกษม รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช หนึ่งในบุคลากรด่านหน้าที่ได้หวนสะท้อนถึงความรู้สึกของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ต้องยืนหยัดต่อสู้ท่ามกลางสถานการณ์อันโหดร้ายในช่วงเวลานั้น
[caption id="attachment_46106" align="aligncenter" width="750"] นพ.อนุแสง จิตสมเกษม (ขวา)[/caption]
“ตอนนั้นสถานพยาบาลทั่วประเทศต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะอุปกรณ์สำหรับควบคุมการแพร่กระจายเชื้อขณะเคลื่อนย้ายคนไข้ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้บุคลากรด่านหน้าล้มป่วย หมอและพยาบาลต้องอลหม่านสร้างสรรค์อุปกรณ์เพื่อใช้งานกันเอง โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นาน ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. และทีมวิจัย ได้ติดต่อเข้ามาที่วชิรพยาบาลเพื่อนำเสนอแนวคิดการต่อยอดนวัตกรรม ‘เปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ติดโรคระบาดในระบบทางเดินหายใจ'
‘นวัตกรรมฝ่าวิกฤต’ ลดความเสี่ยงบุคลากรทางการแพทย์
ด้วยสถานการณ์ที่คับขัน ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. เร่งนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญมาพัฒนาต้นแบบ PETE (พีท) เปลความดันลบ ในเวลาอันสั้น เพื่อเป็นเครื่องมือให้บุคลากรด่านหน้าใช้รับมือโรคระบาด
[caption id="attachment_46048" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ[/caption]
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าโครงการ และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ในช่วงเวลานั้น อุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจมีความสำคัญและจำเป็นในทุกโรงพยาบาล แต่ในประเทศไทยมีน้อยมาก เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนที่มีอยู่ก็มีข้อจำกัดในการใช้งาน เช่น ขนย้ายลำบาก ไม่สามารถนำเข้าเครื่องเอกซเรย์ชนิด CT-scan ได้ ทีมวิจัยจึงมีแนวคิดพัฒนา PETE หรืออุปกรณ์เปลความดันลบที่ลดข้อจำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 และเพิ่มความปลอดภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
[caption id="attachment_46045" align="aligncenter" width="750"] PETE รุ่นที่ 8 ถ่ายทอดเทคโนโลยีและมีการจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว[/caption]
“จุดเด่นของ PETE คือเปลมีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ตัวเปลมีลักษณะเป็นห้องหรือท่อพลาสติกใส (plastic chamber) ขนาดพอดีตัวคน มีระบบปรับความดันอากาศภายในเปลเพื่อให้ผู้ป่วยหายใจสบาย และมีระบบฆ่าเชื้อโรคในอากาศเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ภายนอก นอกจากนี้อุปกรณ์ยังผ่านการออกแบบให้เคลื่อนย้ายเข้า-ออกรถพยาบาล รวมถึงเครื่องเอกซเรย์ชนิด CT Scan ได้โดยไม่ต้องพาผู้ป่วยออกจากเปล ที่สำคัญยังมีช่องถุงมือสำหรับทำหัตถการผู้ป่วย หรือสอดท่อหรือสายจากเครื่องมือแพทย์ จำนวน 6 ถึง 8 จุด เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วยได้โดยไม่ต้องเปิด chamber”
[caption id="attachment_46101" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบการใช้งานทางบกร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ[/caption]
[caption id="attachment_46102" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบการใช้งานทางบกร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ[/caption]
[caption id="attachment_46046" align="aligncenter" width="750"] ผลงาน PETE ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการประเภทการออกแบบผลิตภัณฑ์ ประจำปี 2565[/caption]
เอกชนพร้อมสู้ภัยโควิด-19 เดินหน้า ‘ผลิตเชิงพาณิชย์’
นับเป็นความโชคดีที่ภายหลังทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ฝ่าฟันความยากลำบากในการวิจัยและพัฒนาต้นแบบ PETE จนประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด ที่มีความพร้อมด้านการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีในทันที เพื่อเร่งผลิตอุปกรณ์ช่วยเหลือสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่กำลังเดือดร้อน
[caption id="attachment_46098" align="aligncenter" width="750"] คุณสกุล คงธนสาโรจน์ (ซ้าย) นาวาอากาศเอก พยงค์ รัตนสุข (คนที่ 2) คุณอานนท์ ศรีจักรโคตร (คนที่ 3)[/caption]
คุณอานนท์ ศรีจักรโคตร วิศวกรอาวุโส บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย PETE เล่าว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตรถพยาบาลและรถที่ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับปฏิบัติงานทางการแพทย์แบบเคลื่อนที่ จึงทราบดีว่าในปี 2563 บุคลากรด่านหน้าต้องเผชิญความยากลำบากในการทำงานเพียงใด พอทราบข่าวว่าเอ็มเทคพัฒนาต้นแบบ PETE ได้สำเร็จ เราจึงติดต่อขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีทันที
“จากการดำเนินงานร่วมกับทีมวิจัยตั้งแต่ช่วงต้น ทำให้มีโอกาสได้ทราบว่าทีมวิจัยต้องเผชิญกับอุปสรรคในการพัฒนานวัตกรรมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องข้อจำกัดในการเลือกใช้ ‘อุปกรณ์การผลิต’ เพราะตอนนั้นทั่วโลกต่างมีความต้องการวัสดุสำหรับการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์สูง อีกทั้งการขนส่งระหว่างประเทศยังทำได้ยากลำบาก ทีมวิจัยจึงต้องพยายามเลือกใช้อุปกรณ์ที่ผลิตได้ภายในประเทศเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านพ้นมาได้แล้วผลดีที่เกิดขึ้นคือเราสามารถผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อใช้เองในยามวิกฤตได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงกำลังการผลิตจากภายนอก อีกทั้งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ยังมีราคาถูกกว่าสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศหลายเท่าตัว ช่วยเพิ่มโอกาสให้สถานพยาบาลไทยเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูง”
ปัจจุบัน บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด ร่วมกับทีมวิจัยเอ็มเทค พัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต้นแบบ PETE เปลความดันลบ มาแล้วถึง 9 รุ่น ซึ่งรุ่นที่ 9 เป็นรุ่นที่บุคลากรทางการแพทย์ให้การยอมรับว่ามีประสิทธิภาพทัดเทียมกับสินค้าที่จำหน่ายในตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับใช้ทดแทนห้องความดันลบในสถานพยาบาลในกรณีมีห้องไม่เพียงพอ และใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ในโรงพยาบาลสนามหรือสถานที่กักตัวภายในชุมชนด้วย
[caption id="attachment_46043" align="aligncenter" width="747"] HI PETE[/caption]
[caption id="attachment_46042" align="aligncenter" width="750"] HI PETE[/caption]
[caption id="attachment_46044" align="aligncenter" width="750"] HI PETE[/caption]
ส่งมอบ ‘เปลความดันลบ’ เกราะคุ้มกันกำลังพลคนด่านหน้า
ด้วยแรงสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทำให้บริษัทสุพรีร่าฯ ผลิตและส่งมอบอุปกรณ์ให้แก่สถานพยาบาลทั่วประเทศได้แล้วมากกว่า 120 ชุด
คุณสกุล คงธนสาโรจน์ นักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ จังหวัดนครราชสีมา เล่าว่า การได้ PETE มาใช้งาน ช่วยลดภาระงานเจ้าหน้าที่อย่างมาก จากที่ต้องใช้เวลานำแผ่นพลาสติกซีลภายในรถทั้งคันเป็นเวลาหลักชั่วโมงต่อการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 1 ครั้ง เหลือเพียงใช้เวลาติดตั้งอุปกรณ์ 5 นาทีเท่านั้น อีกทั้งการดูแลผู้ป่วยหลังจากเคลื่อนย้ายมายังสถานพยาบาลก็ทำได้สะดวกขึ้นมาก ทุกคนที่ได้ใช้งานรู้สึกสะดวก คลายความกังวล และมีความสุข
แม้วันนี้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย จะพบจำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างมากจนใกล้กลับคืนสู่สถานการณ์ปกติแล้ว แต่สถานพยาบาลต่าง ๆ ก็ยังคงใช้ PETE ในการดูแลผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจที่มีความรุนแรง อาทิ วัณโรค (Tuberculosis) อีสุกอีใส (Chickenpox) เพื่อปกป้องบุคลากรทางการแพทย์และบุคคลทั่วไปจากการแพร่กระจายเชื้ออยู่เสมอ
[caption id="attachment_46049" align="aligncenter" width="750"] ภาพการส่งมอบ PETE ในปี 2564[/caption]
‘พลังความร่วมมือ’ หนทางก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19
ผลความสำเร็จในพัฒนา PETE เปลความดันลบ จากต้นแบบในห้องปฏิบัติการสู่ผลงานที่ส่งมอบให้แก่สถานพยาบาลเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อก่อโรคในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 คงเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาด “ความร่วมแรงร่วมใจ” จากทุกภาคส่วน
ดร.ศราวุธ เล่าว่า นวัตกรรมนี้เกิดขึ้นได้จากการร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายในการนำสรรพกำลังและความเชี่ยวชาญสหสาขามาบูรณาการการทำงาน ต้องขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ร่วมฝ่าฟันความยากลำบากมาด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้งานที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้ข้อมูลปัญหาที่ชัดเจน และร่วมให้ความเห็นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ วชิรพยาบาล โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ โรงพยาบาลวิภาวดี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ แหล่งทุนวิจัยต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) รวมถึงภาคเอกชน ได้แก่ เครือมติชน บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทอีสเทิร์นโพลีเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด และประชาชนที่ร่วมบริจาคงบประมาณในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมให้มีความถูกต้องทางวิศวกรรมและตอบโจทย์ผู้ใช้
“อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนให้ต่อยอดขยายผลอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนด้านการทดสอบมาตรฐานจากกองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) มาตั้งแต่ต้น ทำให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ส่งผลดีด้านการสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่หน้างานเป็นอย่างมาก”
ต่อยอดนวัตกรรม PETE ‘เคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศและทางน้ำ’
PETE ไม่เพียงเป็นนวัตกรรมสำคัญในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำในอนาคต ทีมวิจัยยังตั้งเป้าพัฒนาขยายผลการใช้งาน PETE ให้เป็นอุปกรณ์ที่พร้อมเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในทุกสถานการณ์
ดร.ศราวุธ เล่าว่า ก้าวต่อไปของ PETE คือการพัฒนาอุปกรณ์ให้ใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้ทั้งทางอากาศและทางน้ำ โดยปัจจุบันทีมวิจัยกำลังร่วมกับหน่วยงานการแพทย์และศูนย์ทดสอบต่าง ๆ ในการทดสอบอุปกรณ์ภายใต้สถานการณ์จำลอง เพื่อนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงและจัดทำรายงานทางคลินิกเพื่อยื่นขอรับรองมาตรฐานอุปกรณ์ทางการแพทย์ระดับสากลในหัวข้อต่าง ๆ เพิ่มเติม นำไปสู่การเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันในตลาดโลก ตามที่ นาวาอากาศเอก พยงค์ รัตนสุข นายทหารนิรภัยเวชกรรมการบิน สถาบันเวชศาสตร์การบิน กองทัพอากาศ ได้ให้กำลังใจไว้ว่า ‘Go higher!’ ”
[caption id="attachment_46047" align="aligncenter" width="750"] PETE รุ่นที่ 9 อยู่ระหว่างการทดสอบการใช้งานให้ครอบคลุมภาคพื้นดิน ภาคอากาศ และภาคน้ำ เพื่อเตรียมการขยายผลในและต่างประเทศ[/caption]
การทำวิจัยเพื่อยกระดับขีดความสามารถของอุปกรณ์ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศและทางน้ำ ได้รับการสนับสนุนจาก ศลช. รวมถึงพันธมิตร อาทิ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กองบินตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันเวชศาสตร์การบิน กองทัพอากาศ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และกองบังคับการตํารวจน้ำ (สุราษฎร์ธานี) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ
[caption id="attachment_46103" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบการติดตั้งบนเฮลิคอปเตอร์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ[/caption]
[caption id="attachment_46105" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบจำลองภารกิจการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางน้ำ (แม่น้ำ) โดยศูนย์วิทยุวัฒนะจังหวัดปทุมธานี[/caption]
“ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการพัฒนานวัตกรรมและขยายผลการใช้งาน PETE เปลความดันลบในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว ยังเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย เพื่อขับเคลื่อนสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (medical hub) แห่งเอเชียตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วย” ดร.ศราวุธ กล่าวทิ้งท้าย
หากคุณสนใจร่วมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม PETE รวมถึงนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง ติดต่อได้ที่ pete@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ผนึกกำลัง บ.สยามคูโบต้าฯ ยกระดับเกษตรไทยด้วยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ
(วันที่ 22 สิงหาคม 2566) ณ คูโบต้าฟาร์ม อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการอาวุโส บริษัทสยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีเกษตร/เกษตรอัจฉริยะ
โดยมี ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. และนายรัชกฤต สงวนชีวิน ผู้จัดการฝ่าย Business Value Creation บริษัทสยามคูโบต้าฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งการลงนามในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้และถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ให้ถึงมือเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ ภายใต้ความร่วมมือในการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation, EECi)
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยที่มุ่งมั่นพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่ผ่านมา สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยีด้านเกษตรอัจฉริยะ ที่เป็นผลงานจากนักวิจัยไทย เช่น ระบบควบคุมการให้น้ำตามความต้องการของพืชสำหรับพืชแปลงเปิด (ระบบฟาร์มรักษ์น้ำ) HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ เทคโนโลยีโรงเรือนอัจฉริยะ (smart green house) เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aqua IoT) กล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการปลูกพืช (Water Fit simple) เป็นต้น การขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรในภาคตะวันออก สวทช. ได้ดำเนินงานผ่านหน่วยงาน EECi ที่มีการเตรียมความพร้อมเป็นศูนย์กลางในการพัฒนางานวิจัยและสนับสนุนให้เกิดการนำองค์ความรู้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้าง
สวทช. ใช้กลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบมีส่วนร่วมกับสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และพัฒนาแหล่งเรียนรู้ต้นแบบในชุมชน รวมทั้งนำเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะหลากหลายมาติดตั้งในพื้นที่ของคูโบต้าฟาร์ม เพื่อร่วมกันเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะบนพื้นที่ของฟาร์ม ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักวิจัยและนักวิชาการของทั้งสองหน่วยงาน รวมถึง มีเกษตรกรจำนวนมากได้เข้ามาเรียนรู้และได้มีโอกาสเข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สวทช. ยินดีอย่างยิ่ง ที่จะร่วมกับบริษัทฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรในประเทศไทย เพื่อร่วมกันศึกษาวิจัย ทดสอบ และสนับสนุนให้เกิดการประยุกต์และขยายผลใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ พัฒนาพื้นที่/สถานีเรียนรู้ สาธิตการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ และการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรพร้อมองค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางด้านเทคโนโลยีเกษตร/เกษตรอัจฉริยะระหว่างบุคลากรทั้งสองฝ่าย และผลักดันให้เกิดการขยายผลสู่การปฏิบัติจริงเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย รวมทั้งช่วยกันพัฒนาและยกระดับเจ้าหน้าที่และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ให้มีความรู้ความเข้าใจ เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดย สวทช. ยินดีให้การสนับสนุนองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นผลงานวิจัยของ สวทช. เพื่อจะได้ร่วมกันยกระดับภาคการเกษตรของประเทศไทย ในยุค Thailand 4.0 และร่วมกันขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วยการนำองค์ความรู้มายกระดับประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรในประเทศไทย
นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการอาวุโส บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้พัฒนาความร่วมมือกับ สวทช. จัดทำพื้นที่ต้นแบบสาธิตการใช้เทคโนโลยี Smart Farming ในพื้นที่คูโบต้าฟาร์ม เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้เกษตรครบวงจรและสัมผัสการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ผ่านประสบการณ์ตรง อีกทั้งส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนให้พึ่งพาตนเองได้
ซึ่งความร่วมมือกับ สวทช. ในครั้งนี้ เพื่อคึกษาวิจัยและสนับสนุนให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ อุปกรณ์ IoT และเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทย ตลอดจนแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกษตรครบวงจร KUBOTA (Agri) Solutions บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนจะเป็นแรงขับเคลื่อนการพัฒนา Smart Farming ในประเทศไทยให้สามารถเกิดขึ้นจริง และเกิดการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อยกระดับภาคการเกษตรของไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตร ประจำปีการศึกษา 2566 พร้อมร่วมแสดงความยินดีแก่ผู้สำเร็จการศึกษาโครงการ TAIST-Tokyo Tech
(เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566) ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานกล่าวเปิดพิธีสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านวิศวกรรมขั้นสูง หลักสูตรนานาชาติโครงการ TAIST-Tokyo Tech ประจำปีการศึกษา 2566 ของโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.จุนอิจิ อิมูระ รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษา สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech) กล่าวต้อนรับผู้สำเร็จการศึกษาและเป็นผู้มอบใบประกาศนียบัตร โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา เป็นผู้มอบของที่ระลึกให้กับผู้สำเร็จการศึกษาและ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนาเข้าร่วมในพิธี
สำหรับในปีการศึกษา 2566 มีผู้สำเร็จการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 47 คน จาก 3 หลักสูตร ดังนี้
1 หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (Automotive and Advanced Transportation Engineering: A2TE Program) 10 คน
2 หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Artificial Intelligence and Internet of Things : AIoT Program) 17 คน
3 หลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน(Sustainable Energy and Resources Engineering program : SERE Program) 20 คน
นอกจากนี้มีผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรในหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งระบบราง (Rail Transport Program Director : RT Program) จำนวน 15 คน
ทั้งนี้โครงการ TAIST-Tokyo Tech ดำเนินการโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยไทย 5 สถาบัน ได้แก่ 1. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 2. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 3. สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ5.มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีอธิการบดีและผู้แทนแต่ละสถาบันเข้าร่วมและแสดงความยินดีแก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ในโอกาสนี้ นายกฤต เอนกศิริพงศ์ ตัวแทนนักศึกษารุ่นน้องจากหลักสูตร AIoT ได้กล่าวคำอำลารุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษา โครงการ TAIST-Tokyo Tech ครั้งนี้ด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน

ไบโอเทค-สวทช. ปฏิวัติวงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนด้วย “อควาเจด” นวัตกรรมสาหร่ายสีเขียวเซลล์เดียวต้านโรคไวรัสเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
22 ส.ค. 66 ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัวนวัตกรรมเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน “อควาเจด” (AquaJade) ผลิตภัณฑ์สาหร่ายเซลล์เดียวเพื่อควบคุมโรคระบาด ซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่มีความท้าทายในอุตสาหกรรมสัตว์น้ำในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์นี้พัฒนาขึ้นโดย ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรหม และ ดร.เพทาย จรูญนารถ นักวิจัยไบโอเทค สวทช. โดย “อควาเจด” มีศักยภาพกระตุ้นความสามารถของอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้ง ช่วยจัดการกับความเสียหายจากโรคระบาดและส่งเสริมแนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหาการลดลงของปริมาณกุ้งส่งออกอย่างต่อเนื่องจากการผลิตกุ้งได้ 400,000 ตัน ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ในปี พ.ศ. 2553 ลดลงเหลือ 148,000 ตัน ซึ่งคิดเป็นเงิน 4 หมื่นล้านบาท ในปี พ.ศ. 2565 “เพราะเหตุใดประเทศผู้นำโลกด้านการส่งออกกุ้งจึงมีการผลิตลดลงได้ถึงเพียงนี้?” เป็นคำถามสะท้อนจาก ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรหม นักวิจัยไบโอเทค ผลผลิตที่ลดลงอย่างมากนี้อาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในตลาดสำคัญ การแข่งขันสูงกับประเทศคู่แข่ง และที่สำคัญที่สุดคือ ความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของเชื้อโรค การระบาดดังกล่าวนำไปสู่การสูญเสียอย่างร้ายแรง ซึ่งมักจะสูงถึง 60% ของผลผลิตทั้งหมด ทำให้โอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมลดลง การจัดการปัญหาการติดเชื้อในฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยยาปฏิชีวนะหรือสารเคมีภัณฑ์อื่น ๆ จึงถูกนำมาใช้ฆ่าแบคทีเรียและปรสิตก่อโรค
อย่างไรก็ดี ดร.เพทาย จรูญนารถ นักวิจัยไบโอเทค ได้เน้นย้ำว่า สารเคมีดังกล่าวไม่สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากไวรัสได้ และเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ยาปฏิชีวนะจะปนเปื้อนในผลผลิตสัตว์น้ำ ซึ่งอาจส่งผลเหนี่ยวนำให้สิ่งมีชีวิตในห่วงโซ่อาหารลำดับถัดไปเกิดการดื้อยาปฏิชีวนะได้ ฉะนั้นเพื่อเป็นการต่อสู้กับความท้าทายเหล่านี้ “อควาเจด” ได้นำเสนอเทคโนโลยีรูปแบบใหม่เพื่อการจัดการโรคระบาดในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยได้ใช้ประโยชน์จากสาหร่ายสีเขียวเซลล์เดียวซึ่งเป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติของสัตว์น้ำขนาดเล็กหลายชนิด เช่น ลูกกุ้งและลูกปลา เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคในลักษณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ดร.วรรณวิมล อธิบายว่า ในการทดสอบอาหารผสม “อควาเจด” การให้ลูกกุ้งกินอาหารปกติเปรียบเทียบกับอาหารผสมผง “อควาเจด” ในอัตราส่วน 1:1 เป็นเวลา 4 วันก่อนการติดเชื้อไวรัสตัวแดงดวงขาว พบว่า ในวันสุดท้ายของการทดสอบ อัตรารอดของลูกกุ้งในกลุ่มที่กินอาหารปกติมีน้อยกว่า 10% ในขณะที่อัตรารอดของลูกกุ้งในกลุ่มที่กินอาหารผสม “อควาเจด” สูงถึงเกือบ 70%”
เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและการนำไปใช้ได้จริง สาหร่ายเซลล์เดียวจะต้องผ่านกระบวนการทำสาหร่ายแห้งก่อนผสมอาหาร ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนของสาหร่ายดัดแปลงพันธุกรรมในสิ่งแวดล้อม โดย ดร.เพทาย เปิดเผยว่า ผงสาหร่ายที่ได้จากการทำแห้งนี้ สามารถนำไปผสมเพื่อขึ้นรูปเป็นเม็ดอาหารสำหรับกุ้ง ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งในการประยุกต์ใช้เพื่อการป้องกันโรคและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน
แม้ว่าศักยภาพของ “อควาเจด” ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นจะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอย่างน่าพึงพอใจ แต่ผลิตภัณฑ์ยังคงมีความท้าทายในด้านการผลิตในปริมาณมาก โดยการเพาะเลี้ยงสาหร่ายดัดแปลงพันธุกรรมในลักษณะนี้ จะต้องดำเนินการในระบบปิดภายใต้สภาวะควบคุมที่ตั้งอยู่ในสถานที่ที่เป็นไปตามกฎหมายของแต่ละพื้นที่ รวมถึงยังมีความจำเป็นต้องศึกษาอายุการเก็บรักษา และปริมาณสาหร่ายที่เหมาะสมที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส
เพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจเทคโน (techno-economic) รวมถึงต้นทุนที่ใช้ที่ส่งผลให้เห็นผลชะลอการตายของกุ้งจากโรคไวรัสได้ ทั้งนี้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสัตว์น้ำตามเวลาที่เปลี่ยนไป เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งและผู้ส่งออกของไทยจะมีโอกาสในการปรับรูปแบบธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแนวใหม่ เพื่อการผลิตกุ้งระดับพรีเมียมซึ่งสอดคล้องกับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน รวมไปถึงผลกระทบจากภาวะโลกรวนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันนี้ “อควาเจด” ไม่ได้เพียงแต่ช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แต่ยังแสดงถึงกระบวนการผลิตกุ้งด้วยระบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
“ด้วยการสนับสนุนจากภาคส่วนรัฐบาล ผู้ลงทุนภาคเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ “อควาเจด” พร้อมแล้วที่จะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนจากทั่วโลก ด้วยความร่วมมือกับผู้ที่มีบทบาทหลักในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทีมวิจัยมีความมุ่งมั่นในการถ่ายทอดการค้นพบของเราให้เป็นประโยชน์ที่สามารถจับต้องได้สำหรับผู้ผลิตกุ้ง ผู้ส่งออก และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด นำไปสู่ยุคใหม่ของอุตสาหกรรมกุ้งไทยที่มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดอย่างยั่งยืน” ดร.วรรณวิมล กล่าวสรุป
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะวิศวะ จุฬาฯ จับมือเอ็มเทค สวทช. และ อพวช. เป็นเจ้าภาพจัด “การแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ IDC RoBoCon 2023”
19 สิงหาคม 2566 อิมแพค เมืองทองธานี : คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กระทรวง อว.)
เป็นเจ้าภาพจัด “การแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ IDC RoBoCon 2023 ” ภายใต้หัวข้อ “Thailand: The World’s Kitchen” ประเทศไทย: ครัวของโลก รอบชิงชนะเลิศในวันที่ 19 สิงหาคม 2566 ” ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2566 โดยในปีนี้ ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และมี 8 ประเทศเข้าร่วม ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินเดีย เม็กซิโก อียิปต์ และไทย
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงที่มาของการแข่งขันฯ ว่า “ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่สนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศไทย เอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดแข่งขันการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ในระดับประเทศมาตั้งแต่ปี 2551 หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปีนี้ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันระดับนานาชาติ ครั้งที่ 33 ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 3 ต่อจากในปี 2550 และปี 2559 ในรูปแบบ Hybrid โดยนักศึกษาไทยได้มีโอกาสมากขึ้นในการเข้าแข่งขัน เพื่อสร้างประสบการณ์และแลกเปลี่ยนเสริมสร้างความรู้ในเชิงวิศวกรรมและปฏิบัติระหว่างกัน นำไปสู่การยกระดับเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของประเทศ พร้อมรับมือและปรับตัวให้เท่าทันกับเทรนด์เทคโนโลยีของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ศ. ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความสำคัญต่อการศึกษาและการผลิตกำลังคนทางด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นหน่วยงานหลักในจัดการแข่งขันครั้งนี้ โดยการแข่งขันระดับนานาชาติเป็นรูปแบบจัดทีมแข่งขันแบบคละนักศึกษาจากประเทศต่าง ๆ ทำให้นักศึกษาไทยได้นำความรู้ทางวิชาการมาปรับใช้ในการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ ฝึกฝนทักษะการทำงานและการสื่อสารกับนักศึกษาประเทศต่าง ๆ ส่วนในโจทย์ปีนี้เป็นการแข่งขันภายใต้หัวข้อ “Thailand: The World’s Kitchen” หรือ ประเทศไทย: ครัวของโลก สอดคล้องกับการส่งเสริมให้อาหารไทยเป็น soft power ที่สำคัญในการสร้างจุดขายให้กับประเทศและสร้างโอกาสในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย”
การแข่งขันครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เข้าร่วมจำนวน 34 คน จากนักศึกษาจำนวนที่เข้าร่วมทั้งหมด 91 คน แบ่งเป็น 13 ทีม ๆ ละ 7 คน แบบคละประเทศ ในรูปแบบ On-site และ Online ภายใต้ระยะเวลาที่จำกัดคือ 10 วัน (ระยะเวลาเก็บตัวและสร้างหุ่นยนต์แข่งขันตั้งแต่วันที่ 7-19 สิงหาคม 2566 ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) และวัสดุและอุปกรณ์ที่กำหนดให้เท่านั้น โดยนักศึกษาต้องอาศัยทักษะต่าง ๆ ตั้งแต่การสื่อสารทำความรู้จักกัน แบ่งปันไอเดียความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ทางวิศวกรรมพื้นฐาน เพื่อออกแบบและสร้างหุ่นยนต์พิชิตโจทย์ปัญหา โดยทีมที่ชนะการแข่งขันทีมชนะเลิศ Purple ทีมรองชนะเลิศ Light Blue ทีมรองชนะเลิศอันดับที่สอง Navy และ Yellowทีมออกแบบยอดเยี่ยม Navy
ทีมชนะเลิศ Purple
ทีมรองชนะเลิศอันดับที่สอง Navy และ Yellow
ทีมออกแบบยอดเยี่ยม Navy
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผู้อำนวยการ สวทช. เข้าชมงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2566” พร้อมให้กำลังใจน้อง ๆ ที่ร่วมกิจกรรมระบายสี Magik Color ภายในบูธ สวทช.
18 สิงหาคม 2566 : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เยี่ยมชมงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2566” โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ให้การต้อนรับ
พร้อมเข้าชมและให้กำลังใจน้อง ๆ ที่ร่วมสนุกกับการระบายสีกระเป๋าผ้าด้วยแป้งพิมพ์สีธรรมชาติ Magik Color ภายในบูธ สวทช. ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจและเสียงตอบรับจากน้อง ๆ ครู และผู้ปกครองอย่างล้นหลาม .....ยังเหลืออีก 2 วันเท่านั้นกับงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมสนุกได้จนถึงวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00-19.00 น. ณ Hall 9-11 อิมแพค เมืองทองธานี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เปิดตัว Industry 4.0 Platform:แพลตฟอร์มยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยดิจิทัล เสริมศักยภาพผู้ประกอบการแบบครบวงจร
17 สิงหาคม 2566 ณ สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง นำโดย ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม EECi สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดสัมภาษณ์พิเศษในกิจกรรม NSTDA Meets the Press เรื่อง Industry 4.0 Platform แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม4.0 ผลักดันผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน
ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรมสมัยใหม่ EECi สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกต่างกำลังตื่นตัวต่อการปฏิวัติสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) ที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ในสายการผลิตเพื่อยกระดับสินค้า เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ขณะที่อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของไทยยังอยู่ที่ระดับ 2–3 เท่านั้น ซึ่งหากไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ ดังนั้นการยกระดับภาคการผลิตสู่อุตสาหกรรม 4.0 จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่เป็นความท้าทายต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ ภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ ภาคแรงงาน ตลอดจนผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ อีกทั้งยังสอดรับกับเป้าหมายสำคัญของประเทศและสอดคล้องกับการพัฒนาตามแนวทาง Thailand 4.0
“การยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยให้เปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้สำเร็จและยั่งยืน จำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบ มีแบบแผน และเป็นขั้นเป็นตอน สวทช. ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนจัดทำ ‘Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มที่รวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยบริการแบบครบวงจร มุ่งเน้นเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนและของเสีย เพิ่มคุณภาพของการผลิตสินค้า ปรับปรุงกระบวนการให้สอดคล้องกับมาตรฐานต่างๆ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หนึ่งใน “NSTDA Core Business” ของ สวทช. ที่มุ่งสร้างกระบวนการวิจัยและกลไกที่จะนำไปสู่การใช้ประโยชน์จริง เพื่อแก้ปัญหาที่เป็นโจทย์สำคัญเร่งด่วนของประเทศ”
การยกระดับภาคการผลิตสู่อุตสาหกรรม 4.0 ของ Industry 4.0 Platform ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก อันดับแรกคือการประเมินความพร้อมของสถานประกอบการโดยผู้เชี่ยวชาญว่ามีข้อจำกัดหรือปัญหาในเรื่องใด เพื่อหาแนวทางการพัฒนาอย่างเหมาะสมกับบริบทขององค์กร เมื่อทราบผลประเมินแล้ว ถัดมาคือการวางแผนจัดทำแผนปฏิบัติการ (Transformation roadmap) ที่มีรายละเอียดในการดำเนินงานอย่างชัดเจน และสุดท้ายคือการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ในโรงงาน มีการนำเทคโนโลยีเข้าไปประยุกต์ใช้งานจริงในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จะดำเนินการผ่านกิจกรรมและบริการภายใต้ Industry 4.0 Platform
“Industry 4.0 Platform มีงานที่สำคัญอยู่ 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) i4.0 Maturity คือศูนย์ข้อมูลความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนา Thailand i4.0 Index ดัชนีชี้วัดระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 2) i4.0 Consulting คือการให้บริการที่ปรึกษาทางด้านเทคนิค โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในทุกสาขาตามความจำเป็นขององค์กร ให้ข้อเสนอแนะ คำปรึกษา และคำแนะนำด้านการลงทุนและสิทธิประโยชน์ที่พร้อมสนับสนุน รวมถึงบริการวิจัยและพัฒนา บริการถ่ายทอดเทคโนโลยี บริการวิเคราะห์ทดสอบ และ 3) i4.0 Training การพัฒนาศักยภาพบุคลากรในทุกระดับ เตรียมความพร้อม และพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น หลักสูตรสำหรับ System Integrator (SI) หลักสูตร Industry 4.0 สำหรับผู้บริหารระดับสูง”
ดร.รวีภัทร์ กล่าวว่า Industry 4.0 Platform ดำเนินการร่วมกับพันธมิตรทั้งภายในและภายนอก สวทช. อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สถาบันเครือข่ายและหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการเงิน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) โดยมีกลุ่มเป้าหมายสำคัญ อาทิ ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ รวมถึงองค์กรหรือบุคลากรด้าน System Integration
“สวทช. มีนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาที่เป็นรากฐานสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ รวมทั้งยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่เป็นขุมพลังในการพัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย ยกตัวอย่าง ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ซึ่งมีเทคโนโลยีนำร่องการให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทยแล้ว เช่น แพลตฟอร์ม IDA (Industrial IoT and Data Analytics Platform) แพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระบบภายในโรงงานผ่านเซนเซอร์และ IoT เพื่อวิเคราะห์และบริหารจัดการการทำงานของเครื่องจักรอย่างมีประสิทธิภาพ ที่มีบริการพร้อมถ่ายทอดสู่อุตสาหกรรม รวมทั้งยังมีการพัฒนา Autonomous Mobile Robots หรือหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายด้าน อาทิ การขนถ่ายสินค้า หุ่นยนต์บริการ
ดร.รวีภัทร์ กล่าวว่า เป้าหมายของการร่วมกันพัฒนา Industry 4.0 Platform เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมีความรู้ความเข้าใจ และมีแนวทางในการลงทุนยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งสามารถ “ลงมือดำเนินการ” ยกระดับสถานประกอบการได้ตามลำดับความจำเป็น สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กรและสอดคล้องกับบริบทของไทย อีกทั้งข้อมูลที่ได้รับจากการประเมินความพร้อมจะมีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นฐานในการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมไทยให้เข้าใกล้อุตสาหกรรม 4.0 และพร้อมรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”
กลุ่มลูกค้า/ผู้ใช้งานเทคโนโลยีเป้าหมาย: • ผู้ประกอบการไทยในภาคอุตสาหกรรม • องค์กร/บุคลากรด้าน System Integration
ติดต่อสอบถาม E-mail: i4Platform@nstda.or.th LINE ID: @i4Platform Facebook: Thailand i4.0 Platform
Website: https://www.nstda.or.th/i4Platform
ข่าวประชาสัมพันธ์