หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จากนั้น ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และบุคลากร สวทช. ร่วมพิธีถวายพระพรชัยมงคล และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นบุคลากรที่ดีขององค์กรและพลังของแผ่นดิน โดยพร้อมเพรียงกัน ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม อาคารสำนักงานกลาง สวทช. โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ประธานในพิธีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และนำคณะทั้งหมดกล่าวคำปฏิญาณว่า จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นบุคลากรที่ดีขององค์กร มีความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในความกตัญญูกตเวทีต่อชาติและแผ่นดิน จะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม มุ่งมั่นนำความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาชาติบ้านเมืองทุกภาคส่วนอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อสร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และจะเจริญรอยตามแนวทางในพระบรมราโชวาทสืบไป พร้อมร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีจอมราชา
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
10 Technologies to Watch 2024: กล้ามเนื้อเทียม (Artificial Muscle)
สังคมไทยคล้ายกับอีกหลายสังคมทั่วโลกที่เข้าสู่การเป็น 'สังคมสูงอายุ' อย่างเต็มตัว การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดีเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นมาก ปัญหามวลกล้ามเนื้อที่ลดลง ลุกนั่งลำบาก ทรงตัวไม่ดี พลัดตกหกล้มง่าย เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บ อาจทำให้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงหรือถึงกับเสียชีวิตได้ การส่งเสริมสุขภาพด้วยอุปกรณ์เสริม เช่น อุปกรณ์จากเทคโนโลยีกล้ามเนื้อเทียมจึงมีประโยชน์มาก ใช้เป็นอุปกรณ์ชีวการแพทย์หรืออุปกรณ์เสริมการเคลื่อนไหวจำพวก exoskeleton ช่วยให้เดินขึ้นลงบันไดได้ดีขึ้น หรือทำให้คนงานส่งของยกน้ำหนักของได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้สร้างหุ่นยนต์จำพวก soft robot ที่มีรูปแบบการเคลื่อนที่จำเพาะ ใช้ในภารกิจกู้ภัยได้ เป็นต้น     กล้ามเนื้อเทียม หรือกล้ามเนื้อจำลอง (artificial muscle) คือ วัสดุหรืออุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเลียนแบบการทำงานของกล้ามเนื้อจริงตามธรรมชาติ มีลักษณะสำคัญคือ ยืด หด ขยายหรือหมุนได้ เมื่อได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า (stimulus) ไม่ว่าเป็นกระแสไฟฟ้า ความดัน หรืออุณหภูมิ ฯลฯ อาจแบ่งกล้ามเนื้อเทียมได้เป็นหลายประเภทตามกลไกการทำงานและวัสดุ อาทิ ชนิดที่ใช้พอลิเมอร์และไอออนหรือไฟฟ้า     ปัจจุบันกล้ามเนื้อเทียมส่วนใหญ่เป็นแบบทำงานด้วยแรงลม (pneumatic artificial muscle) ซึ่งพัฒนามาอย่างยาวนานและค่อนข้างปลอดภัย มีมูลค่าการตลาดราว 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเติบโตเป็น 5,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2031 โดยมีจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นเป็นผู้นำและมีการนำไปใช้ประโยชน์เป็น soft robot เป็นจำนวนมาก โดยมีแนวโน้มจะนำวัสดุชนิดใหม่ ๆ มาใช้มากขึ้น เช่น carbon nanotube, graphene-liquid crystal composite fiber, shape memory alloy, liquid crystal elastomer ที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ รีไซเคิลได้ หรือนำกลับมาขึ้นรูปใหม่ได้ และใช้เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ (3D Printing) ในการขึ้นรูปได้อีกด้วย     ปัจจุบันมีความต้องการกล้ามเนื้อเทียมไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เช่น การใช้เป็นอุปกรณ์สวมใส่เพื่อช่วยในการฟื้นฟูหรือเสริมแรงสำหรับผู้พิการ การผ่าตัดแบบ microsurgery นอกจากนี้ยังมีความต้องการนำกล้ามเนื้อเทียมไปประยุกต์ใช้ในหุ่นยนต์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และระบบควบคุมอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม (industrial automation) เพื่อให้หุ่นยนต์มีน้ำหนักเบา ทำงานกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย และปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย หากกล้ามเนื้อเทียมเหล่านี้ได้รับการพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ เราน่าจะได้เห็นหุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวและทำงานได้อย่างคล่องแคล่วจนน่าทึ่งเลยทีเดียว
ข่าว
 
นานาสาระน่ารู้
 
บทความ
 
ภัยเงียบ ! “เดคาบีดีอี” ใช้ประโยชน์เป็นสารหน่วงไฟ แต่พิษภัยอันตรายกว่าที่คิด
  เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มักจะมีการเติมสารหน่วงไฟ เช่น เดคาบีดีอี เพื่อชะลอการติดไฟของวัสดุ แต่เมื่อผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสื่อมสภาพ หมดอายุการใช้งาน และกลายเป็นขยะ สารมลพิษบางชนิดรวมถึงเดคาบีดีอีที่แฝงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ก็มีโอกาสเล็ดลอดสู่สิ่งแวดล้อมและเข้าสู่ร่างกายของเราโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผลกระทบจากสารเคมีแม้จะไม่ได้แสดงผลทันทีแต่เมื่อได้รับสะสมเป็นเวลานานและในปริมาณมากขึ้น อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพเกินกว่าที่เราจะคาดคิด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ดำเนินโครงการ “decaBDE สารมลพิษตกค้างยาวนานและการจัดการอย่างยั่งยืน” เพื่อสร้างความตระหนักรวมถึงแนวทางป้องกันและหลีกเลี่ยงภัยอันตรายของสาร decaBDE ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)   [caption id="attachment_59169" align="aligncenter" width="469"] ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. และผู้ดำเนินโครงการ “decaBDE สารมลพิษตกค้างยาวนานและการจัดการอย่างยั่งยืน” กล่าวว่า เดคาโบรโมไดฟีนิลอีเทอร์หรือเดคาบีดีอี (decabromodiphenyl ether: decaBDE) เป็นสารหน่วงไฟชนิดหนึ่งที่ถูกใช้มานานอย่างกว้างขวางในหลายผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะพลาสติก เช่น จอโทรทัศน์แบบเก่า เคสเครื่องใช้ไฟฟ้า ปลอกสายไฟ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น ผ้าม่าน โซฟา เบาะรถยนต์ และอาจปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล เช่น ของเล่นเด็ก และวัสดุสัมผัสอาหาร     “หลายปีที่ผ่านมามีการตรวจพบ decaBDE ในร่างกายมนุษย์ ทั้งในเลือด น้ำนมแม่ น้ำอสุจิ และในสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิด นอกจากนี้ยังพบในอากาศและฝุ่นทั้งภายในและภายนอกอาคารบ้านเรือน โดยเฉพาะในบริเวณรอบ ๆ พื้นที่สำหรับจัดเก็บหรือถอดแยกชิ้นส่วนซากอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้เพราะ decaBDE สามารถเล็ดลอดสู่สิ่งแวดล้อมได้ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิต การใช้ การกำจัดทิ้ง ไปจนถึงการรีไซเคิล ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ decaBDE สามารถกระจายตัวไปตามแหล่งน้ำ สะสมในดิน หรือแม้กระทั่งจับตัวกับอนุภาคในอากาศ ซึ่งทำให้เคลื่อนย้ายไปได้ไกลในสิ่งแวดล้อม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมมีการตรวจพบ decaBDE ในพื้นที่ห่างไกลอย่างขั้วโลก ไม่เพียงเท่านี้ decaBDE ยังจับตัวกับไขมันได้ดีจึงสะสมและเพิ่มปริมาณในสิ่งมีชีวิตผ่านการกินกันเป็นทอด ๆ ในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งพบว่ามี decaBDE ปนเปื้อนอยู่ในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม และปลา”   [caption id="attachment_59175" align="aligncenter" width="750"] decaBDE สามารถกระจายตัวไปตามแหล่งน้ำ สะสมในดิน จับตัวกับอนุภาคในอากาศ ซึ่งทำให้เคลื่อนย้ายไปได้ไกลในสิ่งแวดล้อม[/caption]   เนื่องจากผลกระทบที่รุนแรงดังที่กล่าวมา decaBDE จึงถูกบรรจุเป็นหนึ่งในสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน หรือ สาร POPs (persistent organic pollutants) ในภาคผนวก A (สารที่ต้องเลิกใช้) ภายใต้อนุสัญญาสตอกโฮล์ม เมื่อปี พ.ศ. 2560 และอยู่ในทำเนียบสาร POPs ของประเทศไทยฉบับที่ 2 ร่วมกับสารมลพิษตกที่ค้างยาวนานอื่น ๆ รวม 15 ชนิด นอกจากนี้ decaBDE (ทั้งในรูปแบบสารเคมีเดี่ยวและสารผสม) ยังถูกควบคุมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ในความรับผิดชอบของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งหากมีการนำเข้า ผลิต ส่งออก นำผ่าน และมีไว้ในครอบครองต้องขออนุญาตกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย decaBDE อันตรายแค่ไหน ใครเสี่ยงบ้าง ? ดร.ศิริกาญจน์ ให้ข้อมูลว่า จากผลการสำรวจในปี พ.ศ. 2562 พบว่าประเทศไทยมีการตกค้างของสาร decaBDE ในสิ่งทอที่ใช้งานอยู่ประมาณ 3 ล้านตัน และในเคสโทรทัศน์แบบหลอดรังสีแคโทดที่ผลิตก่อน พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) ทั้งที่ยังใช้อยู่และรอทิ้งประมาณ 500–820 ตัน       ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับ decaBDE เข้าสู่ร่างกายคือผู้ที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนที่มี decaBDE โดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในโรงงานคัดแยกซากชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำไปหมุนเวียนหรือรีไซเคิล รวมถึงคนทั่วไปก็เสี่ยงได้รับ decaBDE ที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม “decaBDE เข้าสู่ร่างกายได้ทั้งจากการหายใจ การสัมผัส การที่ฝุ่นเข้าปาก และการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน และยังส่งต่อจากแม่สู่ลูกผ่านทางสายสะดือและการให้นมบุตร ซึ่งในทารกและเด็กเล็กพบปริมาณ decaBDE ต่อน้ำหนักตัวสูงกว่าผู้ใหญ่ จึงมีโอกาสได้รับผลกระทบมากกว่าด้วย เมื่อ decaBDE เข้าสู่ร่างกายจะเป็นพิษต่อระบบประสาท ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อและระดับสมดุลของฮอร์โมน ทำให้เด็กมีพัฒนาการช้าลง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ decaBDE ในร่างกายสามารถสลายตัวเป็นสารมลพิษอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น เช่น สารก่อมะเร็ง เป็นพิษต่อตับ ระบบสืบพันธุ์ และไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่ decaBDE ยังเป็นพิษต่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดในระบบนิเวศด้วย”   [caption id="attachment_59178" align="aligncenter" width="750"] decaBDE ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม สะสมและเพิ่มปริมาณในสิ่งมีชีวิตผ่านการกินกันเป็นทอด ๆ ในห่วงโซ่อาหาร[/caption]   เราจะลดความเสี่ยงจาก decaBDE ได้อย่างไร ? ดร.ศิริกาญจน์ ให้คำแนะนำว่า ผู้ประกอบการและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องสามารถลดความเสี่ยงจาก decaBDE และหมุนเวียนวัสดุได้อย่างปลอดภัยโดยการบ่งชี้และแยกแยะวัสดุและผลิตภัณฑ์ว่ามี decaBDE ผสมอยู่หรือไม่ สวมใส่ถุงมือและหน้ากากกันฝุ่นในระหว่างทำงาน รวมทั้งเรียนรู้และปฏิบัติตามแนวทางการจัดการที่เหมาะสมด้วยเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด หรือ BAT/BEP สำหรับบุคคลทั่วไปควรหมั่นทำความสะอาดที่อยู่อาศัย และจัดการขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี โดยแยกจากขยะชนิดอื่นและนำไปทิ้งในจุดทิ้งขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ทิ้งรวมกับขยะทั่วไป   [caption id="attachment_59179" align="aligncenter" width="750"] ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับ decaBDE เข้าสู่ร่างกายคือผู้ที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนที่มี decaBDE โดยตรง[/caption]   แม้ว่าสารมลพิษตกค้างยาวนานอย่าง decaBDE จะถูกใช้งานมาหลายปี และยังมีบางส่วนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่หากผู้ประกอบการและผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนสามารถปฏิบัติตามมาตรการและแนวทาง BAT/BEP ในการจัดการสารเคมีในผลิตภัณฑ์และสารมลพิษตกค้างยาวนานได้อย่างเหมาะสม นอกจากจะช่วยส่งเสริมการหมุนเวียนวัสดุอย่างปลอดภัยแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน เพื่อโลกที่ดีกว่าและอนาคตที่สดใสสำหรับเราทุกคน     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. นำทัพ ร่วมจัดใหญ่ Thailand Tech Show ในงาน อว.แฟร์ ยกระดับผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยต่อยอดธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
(วันที่ 23 กรกฎาคม 2567) ณ เวทีกลาง ชั้น G Hall 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผนึกกำลังร่วมพันธมิตร จัดงาน Thailand Tech Show 2024 Science for Exponential Growth: Tech to Biz ยกระดับผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม เพิ่ม High Value และต่อยอดธุรกิจ พร้อมพบปะและเจรจาธุรกิจกับเจ้าของผลงานวิจัยโดยตรง ระหว่าง 22 - 28 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  เปิดเผยว่า การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จำเป็นต้องอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นฐาน ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคต โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในงานจัดงาน Thailand Tech Show 2024 ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของงาน อว.แฟร์ เพื่อเป็นเวทีกลางในการนำเสนอและเผยแพร่ผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่พร้อมถ่ายทอดของ สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม อย่างมีประสิทธิภาพส่งเสริมให้เกิดการลงทุนวิจัย ที่ตอบโจทย์การสร้างธุรกิจ เกิดมูลค่าเพิ่ม และโอกาสใหม่ ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งรวมงานวิจัยได้ง่าย ลดต้นทุนและระยะเวลาของผู้ประกอบการ โดยนำเสนอในรูปแบบตลาดเทคโนโลยี ผู้ซื้อพบผู้ขาย สนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยี และ Tech Startup ภายใต้แนวคิด เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจเทคโนโลยีด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบครบวงจรและยั่งยืน ผ่านกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ 3 กิจกรรมไฮไลต์ ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่ ประกอบด้วย National IP Marketplace : รวบรวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีกว่า 180 ผลงาน จาก 33 หน่วยงาน ที่พร้อมสำหรับการลงทุนและต่อยอดทางธุรกิจ ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม เสริมขีดความสามารถการแข่งขันให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน 10 Technologies to Watch : เจาะลึก 10 เทคโนโลยีที่กำลังจะมาแรงและจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของหลายอุตสาหกรรม พบกับข้อมูลเชิงลึกและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่คุณไม่ควรพลาด! และกิจกรรม Investment Pitching: เวทีที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยไทยได้นำเสนอผลงานอันโดดเด่น เพื่อเชื่อมโยงกับนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพในการผลักดันนวัตกรรมสู่ตลาดโลก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจ มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ในงาน อว.แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND วันที่ 23 – 28 กรกฎาคม 2567 เปิดเข้าชมงานตั้งแต่เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/thailandtechshow/2024/  หรือ https://www.facebook.com/NSTDATHAILAND/ และเว็บไซต์ www.mhesifair.com  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Traffy Fondue ฟีเจอร์ใหม่! ยกระดับรับแจ้งปัญหาเมืองด้วย AI
สวทช. จัดกิจกรรม NSTDA Meets the Press เรื่อง “Traffy Fondue ยกระดับการแจ้งปัญหาเมืองด้วย AI สุดล้ำ!” โดย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. ได้มาเล่าถึงการต่อยอดพัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Traffy Fondue ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยให้ระบบการรับแจ้งปัญหาเมืองมีประสิทธิภาพมากขึ้น   ประชาชนและหน่วยงานที่ต้องการใช้ Traffy Fondue สามารถใช้ LINE เพิ่มเพื่อน @TraffyFondue เพื่อแชทแจ้งปัญหา และติดตามรายงานอัปเดตการแก้ไขปัญหาได้ ผ่านการแจ้งเตือนในของ LINE Chatbot และข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://www.traffy.in.th/
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ผอ.สวทช. อัปเดต 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ใน 5 ปีข้างหน้า ในงาน “Thailand Tech Show – อว. Fair 2024”
(วันที่ 23 กรกฎาคม 2567) ณ เวทีกลาง ชั้น G Hall 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษหัวข้อ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2567” (10 Technologies to Watch 2024) ภายในงาน “Thailand Tech Show 2024” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม จัดโดย สวทช. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “อว.Fair 2024” SCI-POWER For Future Thailand จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การนำเสนอ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2567 เพื่อนำเสนอแนวโน้มหรือเทรนด์ของเทคโนโลยีโลกที่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้างภายใน 5-10 ปีข้างหน้า โดยเริ่มจากเทคโนโลยีใกล้ตัวด้านสุขภาพ ได้แก่ 1.กล้ามเนื้อเทียม (Artificial Muscle) กล้ามเนื้อเทียมหรือกล้ามเนื้อจำลอง สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบการทำงานของกล้ามเนื้อจริงตามธรรมชาติ  โดยปัจจุบันมีความต้องการกล้ามเนื้อเทียมเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เช่น การใช้เป็นอุปกรณ์สวมใส่เพื่อช่วยในการฟื้นฟูหรือเสริมแรงสำหรับผู้พิการ การผ่าตัดแบบ microsurgery นอกจากนี้ยังมีความต้องการนำกล้ามเนื้อเทียมไปประยุกต์ใช้ในหุ่นยนต์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และระบบควบคุมอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม (industrial automation) เพื่อให้หุ่นยนต์มีน้ำหนักเบา สามารถทำงานกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย 2. จุลชีพในลำไส้เพื่อดูแลสุขภาพ (Human Gut Microbes for Healthcare) ร่างกายส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในลำไส้ ซึ่งถ้าขาดสมดุลของจุลินทรีย์มีประโยชน์ ก็จะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ทั้งโรคทางเดินอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคทางเมแทบอลิกต่าง ๆ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มากมายในท้องตลาดที่มีจุลินทรีย์ดี ทั้งแบบพรีไบโอติก (prebiotic) โพรไบโอติก (probiotic) และซินไบโอติก (synbiotic) ในอนาคตอันใกล้อาจมีการใช้เชื้อที่ผ่านการวิศวกรรม จนได้คุณสมบัติแปลกใหม่เพิ่มเติมหรือดีกว่าเดิม อาจช่วยเฝ้าระวังหรือรักษาโรคอย่างเฉพาะเจาะจงได้อีกด้วย ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ดังกล่าวอาจสร้างขึ้นได้ โดยอาศัยความรู้ที่เรียกว่า ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology)  ซึ่งใช้หลักการทางวิศวกรรมชีวเคมี ในการออกแบบและสร้างระบบชีวภาพ จนได้เป็น “วงจรยีน (gene circuit)” ในเซลล์ซึ่งเปิด-ปิดการทำงานของยีนบางอย่างได้อย่างจำเพาะ โดยอาศัยการตอบสนองสัญญาณหรือตัวกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถแจ้งเตือนการเกิดโรค หรือสามารถย่อยสลายสารพิษ หรือรักษาโรคได้อีกด้วย 3. แฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Healthcare) จะดีแค่ไหน หากเรารู้ผลการรักษาก่อนการรักษาจริง  สามารถปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับเราที่สุด หรือแม้แต่สามารถประเมินความเสี่ยงการเป็นโรคต่าง ๆ ของเราได้ล่วงหน้า ปัจจุบันมีบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนา Digital Twin Platform สำหรับดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยจำลองระบบการเผาผลาญพลังงานของผู้ป่วยจากข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ป่วย  และบริษัทในประเทศสิงคโปร์ ได้พัฒนาระบบทำนายความเสี่ยงในการเป็นโรคไตเรื้อรังของผู้ป่วยเบาหวาน โดยใช้แบบจำลอง AI ที่ประมวลผลจากข้อมูลประวัติทางการแพทย์ต่าง ๆ ของผู้ป่วย โดยในส่วนของประเทศไทยมีแนวโน้มที่บริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีการแพทย์ รวมทั้งบริษัท health-tech startup ที่จะนำเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใช้งานในประเทศไทยในอนาคต 4. การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเอไอเสริม (AI-Augmented Software Development) ความก้าวหน้าของ generative AI และ Machine Learning เปิดโอกาสให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถนำ AI มาใช้ในกระบวนการออกแบบ สร้าง ทดสอบ รวมไปถึงการวางตลาดแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วมากขึ้น ประมาณการณ์กันว่าจะมีการยกระดับผลิตภาพ (productivity) ของการทำซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ราว 35-45% ไปพร้อม ๆ กับการลดต้นทุนได้ถึง 20% โดยใช้เวลาที่สั้นลงอีกด้วย ทั้งนี้คาดว่าภายในปี พ.ศ.2571 วิศวกรซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเมอร์ในองค์กรราว 75% จะใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ด เทียบกับปัจจุบันที่ยังทำเช่นนี้น้อยกว่า 10% 5. เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ติดเอไอ (AI Wearable Technology) ปัจจุบันเริ่มมีอุปกรณ์สวมใส่บนร่างกายที่ใช้เทคโนโลยี AI เพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านเซนเซอร์แบบไบโอเมทริก (biometric sensor) ซึ่งเมื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ด้วยอัลกอริทึมแบบ deep learning ก็ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึก ข้อเสนอแนะ และคำแนะนำต่าง ๆ ที่แม่นยำแก่ผู้ใช้งานได้ โดยอุปกรณ์สวมใส่ AI รุ่นใหม่ ๆ จะทำงานรวดเร็วขึ้น และทำงานได้อย่างแม่นยำเที่ยงตรงมากขึ้น ในส่วนของทีม A-MED สวทช. ได้พัฒนาระบบเซนเซอร์อัจฉริยะสำหรับสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย เพื่อตรวจจับอิริยาบถและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ รวมไปถึงท่านอน การล้ม และตำแหน่งที่เกิดเหตุภายในอาคาร พร้อมแสดงผลและแจ้งเตือนผู้ดูแลแบบเรียลไทม์ 6. เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies, PETs) การเก็บข้อมูลในคลาวด์และการใช้ IoT มีบทบาทมากขึ้น แต่การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies, PETs) จึงมีความสำคัญในการช่วยคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ผ่านการเข้ารหัสแบบใหม่ที่ทำให้ข้อมูลประมวลผลบนคลาวด์ได้ “โดยไม่ต้องถอดรหัส” ในบางประเทศมีการนำเทคโนโลยี PETs มาให้บริการแล้วในวงการการเงิน สุขภาพ และทรัพยากรบุคคล สำหรับประเทศไทย เนคเทค สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยี PETs ให้ใช้กับแพลตฟอร์ม IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Industry 4.0 ของประเทศในชื่อ ไซบิลเลี่ยน (CYBLION) พ้องเสียงกับชื่อสายพันธ์สุนัข ช่วยทำให้การคำนวณข้อมูลของโรงงานอุตสาหกรรมบนคลาวด์ทำได้อย่างปลอดภัย โดยเนคเทคได้ทดสอบใช้งานจริงในโรงงานธนากรผลิตน้ำมันพืชจำกัด (น้ำมันพืชกุ๊ก) แล้ว 7. หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย (Security Robot) เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (robotics) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ปัจจุบันมีการใช้งานหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยแล้วในหลายประเทศ ตลาดโลกของหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย ประเมินกันว่าอาจจะสูงถึง 71,800 ล้านเหรียญในปี พ.ศ.2570 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 17.8% ขณะที่เฉพาะในแถบเอเชียแปซิฟิกสูงถึงเกือบ 20% โดยปัจจัยกระตุ้นสำคัญคือ ความต้องการเทคโนโลยีนี้ในทางทหารและการป้องกันประเทศเป็นหลัก ในส่วนของ สวทช. มีองค์ความรู้ด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ระบบสื่อสาร และ AI ทำให้สามารถบูรณาการองค์ความรู้ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยได้ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด การที่มีระบบฐานข้อมูล ระบบควบคุมและประมวลผลที่พัฒนาขึ้นเอง จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า 8. เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง (Direct Battery Recycling Technology) การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ทำให้มีความต้องการแบตเตอรี่โดยเฉพาะแบบลิเทียมไอออน เพราะมีการใช้กับยานยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอัตราความต้องการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเติบโตมากกว่า 25% ต่อปี โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าในปี พ.ศ.2573 จึงเกิดความต้องการเทคโนโลยีรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งกระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ปัจจุบันมักอาศัยความร้อนสูง หรือใช้กระบวนการที่ต้องใช้สารเคมีที่เป็นพิษ ความพยายามหลีกเลี่ยงกระบวนการทั้งสองแบบนี้ นำมาสู่ “เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง” ที่ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากอาศัยกระบวนการทางกายภาพในการร่อน ตัด ย่อย บด และคัดแยกนำสารเพื่อนำกลับมาใช้สร้างเป็นขั้วแคโทด (cathode) ของแบตเตอรี่ขึ้นใหม่ ประเมินกันว่าเทคโนโลยีแบบนี้อาจไปถึงจุดที่มีความสามารถในการนำชิ้นส่วนกลับมาใช้ได้มากถึง 90% อีกทั้งจะสามารถลดความต้องการสินแร่ใหม่เพื่อนำมาผลิตแบตเตอรี่ได้มากกว่า 25% ในปี พ.ศ.2573 9. ไฮโดรเจนเพื่อการขับเคลื่อน (H2 for Mobility) รถยนต์ปัจจุบันกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ คาดกันว่าพลังงานจากไฮโดรเจนจะเป็นอีกตัวเลือกของพลังงานอนาคต ในส่วนของประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตไบโอไฮโดรเจน (biohydrogen) จากพื้นฐานความเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีสารตั้งต้นจากก๊าซมีเทนในมูลสัตว์หรือชีวมวลต่าง ๆ ที่จัดเป็นกรีนไฮโดรเจน (green hydrogen) แบบหนึ่ง ซึ่งอาจนำมาผ่านกระบวนการทางเคมีต่าง ๆ จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นไฮโดรเจนออกมาในที่สุด ต้นทุนการผลิตไบโอไฮโดรเจนก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง กระบวนการผลิตไฮโดรเจนแบบนี้ ลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ (carbon footprint) และนำมาขายเป็นคาร์บอนเครดิต (carbon credit) ของประเทศไปพร้อม ๆ กันได้อีกด้วย 10. ยุคถัดไปของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบน้ำหมุนเวียน (Next Generation of Recirculating Aquaculture System: RAS) การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาทต่อปี แต่การเพาะเลี้ยงด้วยวิธีการดั้งเดิม เช่น การเลี้ยงในบ่อดิน การเลี้ยงในกระชัง มีข้อเสียหลายประการ เช่น ใช้น้ำมากและสร้างมลพิษทางน้ำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคสัตว์น้ำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม โดยเทคโนโลยี RAS เป็นการเลี้ยงแบบใช้น้ำหมุนเวียน โดยมีการบำบัดของเสียออกจากน้ำและเติมออกซิเจนให้กับน้ำ มีข้อดีคือไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำ สามารถเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างหนาแน่นในพื้นที่น้อย สามารถควบคุมสภาวะการเลี้ยงและมีการติดตามปัจจัยต่าง ๆ ได้ดีกว่าวิธีการแบบเดิม จึงลดความเสี่ยงจากโรคสัตว์น้ำได้มาก ที่ผ่านมา สวทช. ได้พัฒนาระบบ RAS สำหรับกุ้งและปลากะพงซึ่งเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ระบบที่พัฒนาขึ้นมีราคาที่ถูกลงกว่าในท้องตลาด ทำให้คืนทุนได้เร็วและสามารถควบคุมระบบการเลี้ยงได้ง่ายขึ้น ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.  กล่าวว่า จากทั้ง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2567 ครึ่งหนึ่งเป็น digital technology และมี AI ร่วมอยู่ด้วย แสดงให้เห็นถึงการมาถึงของยุค AI ได้เป็นอย่างดี ขณะที่มีอยู่ 3 เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ กับอีก 2 เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน และอีก 1 เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับด้านการประมง คาดหวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ ทั้งในแง่ของข้อมูลเทรนด์โลกที่ควรให้ความสนใจ และในแง่ข้อมูลการตลาดเบื้องต้น เพื่อเปิดโอกาสภาคธุรกิจที่สนใจ ได้มีโอกาสเข้าไปลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเหมาะสมต่อไป รายละเอียดข้อมูล 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2567 (10 Technologies to Watch 2024) https://www.nstda.or.th/home/news_post/10-technologies-to-watch-2024/
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
10 Technologies to Watch 2024
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษเรื่อง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch) ที่เวที Thailand Tech Show 2024 ซึ่ง สวทช. จัดขึ้นภายใต้งานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยพลังสหวิทยาการ (อว. แฟร์: SCI-POWER For Future Thailand) เป็นการคาดการณ์เทคโนโลยีที่จะมีผลกระทบได้อย่างชัดเจนใน 5 – 10 ปีข้างหน้า https://www.youtube.com/watch?v=4z25US0FIxY ดาวน์โหลดไฟล์ Presentation (48 MB)   10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ปี 2024 1. กล้ามเนื้อเทียม (Artificial Muscle) 2. จุลชีพในลำไส้เพื่อดูแลสุขภาพ (Human Gut Microbes for Healthcare) 3. แฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Healthcare) 4. การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเอไอเสริม (AI-Augmented Software Development) 5. เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ติดเอไอ (AI Wearable Technology) 6. เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies : PETs) 7. หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย (Security Robot) 8. เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง (Direct Battery Recycling Technology) 9. ไฮโดรเจนเพื่อการขับเคลื่อน (H2 for Mobility) 10. ยุคถัดไปของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบน้ำหมุนเวียน ในการนำเสนอ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองของ สวทช. เรามีวัตถุประสงค์ตั้งแต่เริ่มต้นที่จะนำเสนอแนวโน้มหรือเทรนด์ของเทคโนโลยีโลกที่กำลังจะส่งผลกระทบกับพวกเราทุกคน เพื่อให้นักธุรกิจและคนทั่วไปเกิดความสนใจ และมีข้อมูลเบื้องต้นประกอบการตัดสินใจในกรณีที่ต้องการลงทุน โดยตั้งเป้าไว้ที่การเห็นผลกระทบในวงกว้างภายใน 5-10 ปี หากจะย้อนกลับไปดูคำทำนายของเราเพื่อการเปรียบเทียบในกรณีของการเปิดตัวของ generative AI ชื่อดังคือ Chat GPT ที่สร้างความฮือฮาและยังสร้างแรงกระเพื่อมจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่เปิดให้คนทั่วไปใช้งานวันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 จะเห็นได้ว่ากรณีนี้ถือเป็นเรื่องที่สุดขั้วทีเดียว เพราะ generative AI เป็น 1 ใน 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองที่เรา “ทำนาย” ไว้ในปีเดียวกันนั้นเอง ย้อนกลับไปอีก 3 ปีก่อนหน้านั้น เราเล่าถึง AI ในหัวข้อเทคโนโลยีแบบ Future AI ว่า AI มีอยู่หลากหลายประเภทมาก ซึ่งก็รวมทั้ง generative AI ที่คนส่วนใหญ่ในตอนนั้นยังไม่รู้จัก แต่ในวงการก็จับตามองว่ากำลังมาแรงมาก และจะเปลี่ยนโลกไปหลายด้านในอนาคตอันใกล้ ย้อนกลับไปอีกเล็กน้อย เราก็พูดถึงเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะทำให้เกิด generative AI ที่มีประสิทธิภาพดี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Big Data และ Deep Learning จะเห็นได้ว่ากว่าจะเกิด generative AI ที่ทรงพลังอย่าง Chat GPT และ AI ตัวอื่น ๆ ที่กำลังแข่งกันอยู่ในปัจจุบันอย่าง Gemini และ Claude ก็ต้องมีงานวิจัยพื้นฐานที่รองรับอย่างเข้มข้นมากพอ สำหรับปีนี้ เทคโนโลยีหลายอย่างที่กำลังจะกล่าวถึงก็มี AI มาเกี่ยวข้องมากบ้าง น้อยบ้าง ในทางตรงบ้าง ในทางอ้อมบ้าง ดังจะได้เห็นกันต่อไป 1. กล้ามเนื้อเทียม (Artificial Muscle) สังคมไทยคล้ายกับอีกหลายสังคมทั่วโลกที่เข้าสู่การเป็น “สังคมสูงอายุ” อย่างเต็มตัว การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดีเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นมาก ปัญหามวลกล้ามเนื้อที่ลดลง ลุกนั่งลำบาก ทรงตัวไม่ดี พลัดตกหกล้มง่าย เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บ อาจทำให้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงหรือถึงกับเสียชีวิตได้ การส่งเสริมสุขภาพด้วยอุปกรณ์เสริม เช่น อุปกรณ์จากเทคโนโลยีกล้ามเนื้อเทียมจึงมีประโยชน์มาก ใช้เป็นอุปกรณ์ชีวการแพทย์หรืออุปกรณ์เสริมการเคลื่อนไหวจำพวก exoskeleton ช่วยให้เดินขึ้นลงบันไดได้ดีขึ้น หรือทำให้คนงานส่งของยกน้ำหนักของได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้สร้างหุ่นยนต์จำพวก soft robot ที่มีรูปแบบการเคลื่อนที่จำเพาะ ใช้ในภารกิจกู้ภัยได้ เป็นต้น กล้ามเนื้อเทียมหรือกล้ามเนื้อจำลอง (artificial muscle) คือ วัสดุหรืออุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเลียนแบบการทำงานของกล้ามเนื้อจริงตามธรรมชาติ มีลักษณะสำคัญคือ ยืด หด ขยายหรือหมุนได้ เมื่อได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า (stimuli) ไม่ว่าเป็นกระแสไฟฟ้า ความดัน หรืออุณหภูมิ ฯลฯ อาจแบ่งกล้ามเนื้อเทียมได้เป็นหลายประเภทตามกลไกการทำงานและวัสดุ อาทิ ชนิดที่ใช้พอลิเมอร์และไอออนหรือไฟฟ้า ปัจจุบันกล้ามเนื้อเทียมส่วนใหญ่เป็นแบบทำงานด้วยแรงลม (pneumatic artificial muscle) ซึ่งพัฒนามาอย่างยาวนานและค่อนข้างปลอดภัย มีมูลค่าการตลาดราว 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเติบโตเป็น 5,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2031 โดยมีจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นเป็นผู้นำและมีการนำไปใช้ประโยชน์เป็น soft robot เป็นจำนวนมาก โดยมีแนวโน้มจะนำวัสดุชนิดใหม่ ๆ มาใช้มากขึ้น เช่น carbon nanotube, graphene-liquid crystal composite fiber, shape memory alloys, liquid crystal elastomers ที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ รีไซเคิลได้ หรือนำกลับมาขึ้นรูปใหม่ได้ และใช้เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ (3D Printing) ในการขึ้นรูปได้อีกด้วย ปัจจุบันมีความต้องการกล้ามเนื้อเทียมไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เช่น การใช้เป็นอุปกรณ์สวมใส่เพื่อช่วยในการฟื้นฟูหรือเสริมแรงสำหรับผู้พิการ การผ่าตัดแบบ microsurgery นอกจากนี้ยังมีความต้องการนำกล้ามเนื้อเทียมไปประยุกต์ใช้ในหุ่นยนต์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และระบบควบคุมอัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม (industrial automation) เพื่อให้หุ่นยนต์มีน้ำหนักเบา ทำงานกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย และปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย หากกล้ามเนื้อเทียมเหล่านี้ได้รับการพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ เราน่าจะได้เห็นหุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวและทำงานได้อย่างคล่องแคล่วจนน่าทึ่งเลยทีเดียว 2. จุลชีพในลำไส้เพื่อดูแลสุขภาพ (Human Gut Microbes for Healthcare) ร่างกายส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในลำไส้ ซึ่งถ้าขาดสมดุลของจุลินทรีย์มีประโยชน์ ก็จะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ทั้งโรคทางเดินอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคทางเมแทบอลิกต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือแม้แต่โรคมะเร็ง อีกด้วย ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มากมายในท้องตลาดที่มีจุลินทรีย์ดีเหล่านี้ ทั้งผลิตภัณฑ์แบบพรีไบโอติก (prebiotic) โพรไบโอติก (probiotic) และซินไบโอติก (synbiotic) โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองจุลินทรีย์อย่างยาวนานและซับซ้อน ในอนาคตอันใกล้อาจมีการใช้เชื้อที่ผ่านการวิศวกรรม จนได้คุณสมบัติแปลกใหม่เพิ่มเติมหรือดีกว่าเดิม นอกจากการเป็นอาหารเสริมสุขภาพ จุลินทรีย์ใหม่นี้อาจช่วยเฝ้าระวังหรือรักษาโรคอย่างเฉพาะเจาะจงได้อีกด้วย ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ดังกล่าวอาจสร้างขึ้นได้โดยอาศัยความรู้ที่เรียกว่า ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) ซึ่งใช้หลักการทางวิศวกรรมชีวเคมีในการออกแบบและสร้างระบบชีวภาพ จนได้เป็น “วงจรยีน (gene circuit)” ในเซลล์ซึ่งเปิด-ปิดการทำงานของยีนบางอย่างได้อย่างจำเพาะ โดยอาศัยการตอบสนองสัญญาณหรือตัวกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม ทำให้แจ้งเตือนการเกิดโรค หรือย่อยสลายสารพิษ หรือรักษาโรคได้อีกด้วย เราอาจออกแบบวงจรยีนทำให้เซลล์ตรวจสอบสารแปลกปลอม เช่น miRNA, ชิ้นส่วนที่มีความจำเพาะกับเนื้องอก, biomarker ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน เพปไทด์ สารเมแทบอไลต์ และทำให้เซลล์ตอบสนองหรือมีฟังก์ชันในลักษณะต่าง ๆ เช่น เมื่อเซลล์เจอเนื้องอกแล้วทำให้เซลล์ตายไปพร้อมกับเนื้องอก ทำให้ยาออกฤทธิ์จำเพาะที่ หรือทำให้เกิดการปล่อยสารบางอย่างเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ตัวอย่างงานวิจัย เช่น ปี 2017 มีนักวิจัยทำให้แบคทีเรีย E. coli บ่งชี้ภาวะอักเสบในลำไส้หนูได้สำเร็จ โดยสร้างวงจรยีนของ E. coli ทำให้ตรวจหาตัวบ่งชี้ภาวะอักเสบในลำไส้คือ สารเตตระไทโอเนต (tetrathionate) จากนั้นก็ทำให้สีอุจจาระเปลี่ยนไป ซึ่งสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า แบคทีเรียนี้อาศัยและออกฤทธิ์ในลำไส้หนูได้นาน 6 เดือน จึงใช้บ่งชี้ภาวะการอักเสบในระยะยาวได้ ที่ล้ำไปกว่านั้นได้มีการวิศวกรรมแบคทีเรีย E. coli ทำให้ใช้ตรวจหาตัวบ่งชี้ภาวะเลือดไหลในลำไส้หมู โดยแบคทีเรียดังกล่าวจะเปล่งแสงเมื่อมีเลือดไหลในลำไส้ ในการทดสอบมีการบรรจุ E. coli นี้ในไมโครแคปซูล (microcapsule) พร้อมกับมีชิป (chip) ที่สามารถใช้ตรวจวัดแสงดังกล่าว สัญญาณบ่งชี้ที่ตรวจวัดได้ทำให้เกษตรกรทราบว่าหมูตัวไหนป่วย จึงนำไปรักษาได้ทันการ ในอนาคตเราอาจออกแบบวงจรยีนทำให้เซลล์จุลินทรีย์จำเพาะบางชนิดทำหน้าที่ตรวจสอบสารแปลกปลอมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนที่มีความจำเพาะกับเนื้องอก, biomarker ชนิดต่าง ๆ และทำให้เซลล์ตอบสนองหรือมีฟังก์ชันในลักษณะต่าง ๆ ในทำนองเดียวกับตัวอย่างที่กล่าวไปแล้ว ช่วยทำให้ยาออกฤทธิ์ได้อย่างจำเพาะที่ หรือแม้แต่ช่วยปล่อยสารบางอย่าง เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย 3. แฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Healthcare) ไม่มีใครอยากเจ็บป่วย หากเจ็บป่วยและไปพบแพทย์ ก็ย่อมต้องมีการให้ยาหรือรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ แต่จะดีแค่ไหน หากเราแทบจะรู้ผลการรักษาก่อนการรักษาจริง สามารถปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับเราที่สุด หรือแม้แต่ประเมินความเสี่ยงการเป็นโรคต่าง ๆ ของเราได้ล่วงหน้า สิ่งที่จะเข้ามาทำให้ความฝันดังกล่าวเป็นจริงได้แก่ แฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Healthcare) ปัจจุบันนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของเราแต่ละคน ถูกบันทึกเก็บไว้ด้วยอุปกรณ์อัจฉริยะสวมใส่ได้หรือพกพาได้ชนิดต่าง ๆ ที่มีเซนเซอร์ติดไว้ อาทิ สมาร์ตวอตช์หรือสมาร์ตโฟน ข้อมูลที่สัมพันธ์กับช่วงเวลา สภาพร่างกาย และตำแหน่งบนโลก กลายเป็น “ฐานข้อมูลดิจิทัล” โดยเก็บค่าที่วัดได้อย่างต่อเนื่องไว้ตามฐานข้อมูลออนไลน์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลประวัติการรักษาต่าง ๆ เช่น ผลการตรวจเลือดและภาพถ่ายทางการแพทย์อีกด้วย หากดึงข้อมูลเหล่านี้ทั้งในอดีตและปัจจุบันมาวิเคราะห์ได้ ก็จะช่วยให้การตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคได้ดีขึ้น และจำลองผลการรักษาที่มีต่อการทำงานของอวัยวะหรือร่างกายได้ระดับหนึ่ง รวมไปถึงพยากรณ์โรคได้ และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ด้วย บริษัททวินเฮลท์ (Twin Health) จากสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนา Digital Twin Platform สำหรับดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยจำลองระบบการเผาผลาญพลังงานของผู้ป่วยจากข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ป่วย เช่น ข้อมูลผลตรวจทางการแพทย์ ข้อมูลจากอุปกรณ์สวมใส่ รวมทั้งข้อมูลพฤติกรรมจากแบบสอบถาม เมื่อประมวลผลด้วย AI ก็สามารถสร้างแผนการดูแลสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการนอนที่เหมาะสมได้ บริษัทคิวไบโอ (Q Bio) สหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาเครื่อง MRI ที่สแกนผู้ป่วยได้ทั้งตัว โดยใช้เวลาแค่ 15 นาที เมื่อใช้ข้อมูลนี้ร่วมกับข้อมูลทางสุขภาพอื่น ๆ เช่น ข้อมูลทางพันธุกรรม ข้อมูลทางสุขภาพ ข้อมูลจากอุปกรณ์สวมใส่ และนำไปประมวลผลโดยใช้แบบจำลอง AI ที่สร้างจากฐานข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ ก็ได้ข้อมูลสุขภาพเฉพาะบุคคลที่มีประโยชน์ สรุปผลสุขภาพและความเสี่ยงในปัจจุบัน และทำนายแนวโน้มในอนาคตได้ ส่วนบริษัทเมชไบโอ (Mesh Bio) ประเทศสิงคโปร์ ได้พัฒนาระบบ HealthVector® Diabetes เพื่อทำนายความเสี่ยงในการเป็นโรคไตเรื้อรังของผู้ป่วยเบาหวาน โดยใช้แบบจำลอง AI ที่ประมวลผลจากข้อมูลประวัติทางการแพทย์ต่าง ๆ ของผู้ป่วย ระบบนี้ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ที่สิงคโปร์แล้ว ถือเป็นระบบ Digital Twin แรกของโลกที่ใช้งานทางคลินิกได้แล้ว บริษัทมีแผนขยายงานในภูมิภาคอาเซียนต่อไป สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่มีตัวอย่างการใช้งานจริงของเทคโนโลยีนี้ แต่ก็มีแนวโน้มที่บริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีการแพทย์ รวมทั้งบริษัท health-tech start-up ต่าง ๆ ที่จะนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้งานในประเทศไทยในอนาคต 4. การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเอไอเสริม (AI-Augmented Software Development) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกตื่นเต้นและแม้แต่ตกใจไปกับความสามารถของ generative AI ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม สร้างภาพขึ้นตามคำสั่งหรือ prompt ที่ใช้เพียงวลีหรือประโยคง่าย ๆ การพัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาเป็นฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น แต่ความก้าวหน้าของ generative AI และ Machine Learning (ML) เปิดโอกาสให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถนำ AI มาใช้ในกระบวนการออกแบบ สร้าง ทดสอบ รวมไปถึงการวางตลาดแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วมากขึ้นและด้วยกระบวนการที่ง่ายขึ้น น่าจะถือได้ว่า AI เป็น software development tools ที่สำคัญแบบหนึ่งในอนาคตอันใกล้ ประมาณการณ์กันว่าจะมีการยกระดับผลิตภาพ (productivity) ของการทำซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ราว 35-45% ไปพร้อม ๆ กับการลดต้นทุนได้ถึง 20% โดยใช้เวลาที่สั้นลงอีกด้วย AI จะเข้ามาช่วยการสร้างและแปลโค้ดต่าง ๆ โดยเฉพาะโค้ดรูปแบบดั้งเดิมให้ใช้ได้กับภาษาสมัยใหม่ รวมไปถึงการแปลงภาษาธรรมชาติอย่างภาษาพูดของคนให้กลายเป็นโค้ดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ อัลกอริทึม (algorithm) ที่ AI และ ML สร้างขึ้น จะมีส่วนเข้ามาเป็นผู้ช่วยเสนอแนะการตัดสินสำคัญต่าง ๆ รวมถึงเพิ่มบทบาทใน “การออกแบบพัฒนาทักษะ” ทั้งในรูปแบบของการอบรมหรือการทำงาน การเสริมทักษะ การรีสกิล (reskill) การอัปสกิล (upskill) ให้เหมาะสมกับบุคลากรในองค์กรมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้คาดว่าภายในปี 2028 วิศวกรซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเมอร์ในองค์กรราว 75% จะใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ด เทียบกับปัจจุบันที่ยังทำเช่นนี้น้อยกว่า 10% หากเตรียมการอย่างเหมาะสมก็จะถือเป็นโอกาสสำคัญ เราจะมีวิศวกรซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเมอร์ที่ทำงานกับ AI ได้อย่างดี ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ในการสร้างงานและผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสทางการตลาดและความสามารถในการแข่งขันสำหรับธุรกิจในทุกขนาด ตั้งแต่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์รายย่อย ธุรกิจสตาร์ตอัป (start-up), SMEs ตลอดจนธุรกิจขนาดใหญ่ ซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น อาจมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลของคนในประเทศลง และจะเป็นส่วนหนึ่งของเครืองมือที่ทำให้เกิด digital transformation ซึ่งจะช่วยให้ประเทศพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ จนเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (digital economy) อย่างเต็มตัวในที่สุด แต่หากล่าช้าหรือไม่เตรียมการให้ดี ก็จะกลับกลายเป็นภัยคุกคามได้ในที่สุด 5. เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ติดเอไอ (AI Wearable Technology) ปัจจุบันเริ่มมีอุปกรณ์สวมใส่บนร่างกายที่ใช้เทคโนโลยี AI เพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีนี้ทำให้เก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านเซนเซอร์แบบไบโอเมทริก (biometric sensor) ซึ่งเมื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ด้วยอัลกอริทึมแบบ deep learning ก็ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึก ข้อเสนอแนะ และคำแนะนำต่าง ๆ ที่แม่นยำแก่ผู้ใช้งานได้ ตลาดผลิตภัณฑ์ AI Wearable Devices ทั่วโลกในปี 2022 มีมูลค่าเกือบ 8 แสนล้านบาท และคาดว่าช่วงปี 2023-2030 จะขยายตัวราว 30% สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันคนไทยใส่สมาร์ตวอตช์ราว 19% หรือเกือบ 1 ใน 5 และตลาดในประเทศเติบโตราว 23% ต่อปี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น smart phone 5G, Internet of Things (IoT), AI ที่สอดรับกับการใช้งาน AI Wearable Devices ประกอบกับกระแสการใส่ใจสุขภาพและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเชื่อมต่อและเก็บข้อมูลเพื่อวัดค่าต่าง ๆ ที่ปัจจุบันยังทำผ่านสมาร์ตวอตช์เป็นหลัก ในอนาคตอันใกล้จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาอัจฉริยะ รองเท้าอัจฉริยะ เสื้ออัจฉริยะ แหวนอัจฉริยะ แจ็กเก็ตอัจฉริยะ และแม้แต่พวงกุญแจอัจฉริยะ ที่ช่วยเรื่องการชำระเงิน ทำธุรกรรม หรือช่วยตัดสินใจ จี้ห้อยคอ AI อาจช่วยจดประชุม สรุปประเด็น ร่างอีเมล จดจำนัดหมาย แจ้งเตือน เสมือนเป็นเลขาส่วนตัวอยู่ข้างกาย อุปกรณ์สวมใส่ AI รุ่นใหม่ ๆ จะทำงานรวดเร็วขึ้น เพราะมีไมโครชิปที่ดีขึ้น และทำงานได้แม่นยำเที่ยงตรงมากขึ้น เพราะมีเทคโนโลยี AI ที่ดีขึ้น ขณะที่ความสามารถในการตรวจวัดต่าง ๆ ก็จะมีความหลากหลายมากขึ้นและทำงานดีขึ้นด้วยเช่นกัน เสื้อผ้าจะมีเส้นใยพิเศษที่วัดปฏิกิริยาทางไฟฟ้าของกล้ามเนื้อผู้สวมใส่ แม้แต่ชุดชั้นในก็อาจพัฒนาให้มีความสามารถตรวจสอบมะเร็งเต้านมได้ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์สวมใส่ AI ที่ตรวจวัดระดับน้ำตาลได้ ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีแหวนอัจฉริยะชื่อ Oura ring ที่วัดอัตราการเต้นของหัวใจและระดับออกซิเจนในเลือด ในประเทศไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้พัฒนาอุปกรณ์สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยอัลไซเมอร์ นาฬิกาอัจฉริยะ “โพโมะ” ช่วยป้องกันเด็กหายวางขายใน 20 ประเทศ มีแอปพลิเคชันชื่อ ฟิตสตาร์ (FitStar) ให้คำแนะนำแก่ผู้เล่นโยคะ แอปพลิเคชันลูโมซิตี (Lumosity) ที่วัดระดับการทำงานของสมอง เพื่อดูผลของการออกกำลังกายต่อการพัฒนาสมอง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายแอปพลิเคชันที่ช่วยส่งเสริมการฝึกสมาธิและฝึกการตัดสินใจอีกด้วย ฯลฯ AMED ของ สวทช. ได้พัฒนาระบบเซนเซอร์อัจฉริยะสำหรับสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย เพื่อตรวจจับอิริยาบถและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ รวมไปถึงท่านอน การล้ม และตำแหน่งที่เกิดเหตุภายในอาคาร พร้อมแสดงผลและแจ้งเตือนผู้ดูแลแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีเซนเซอร์โมดูล (sensor module) ที่เกี่ยวเนื่องกับ Wearable Technology ต่าง ๆ กระจายอยู่ทุกศูนย์วิจัยแห่งชาติของ สวทช. อีกด้วย 6. เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies : PETs) การเก็บข้อมูลในคลาวด์และการใช้อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) มีบทบาทมากขึ้น และจะยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก เพราะจะเป็นหัวใจของระบบอุตสาหกรรม 4.0 แต่การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ก็อาจก่อความเสียหายได้มาก ดังกรณีตัวอย่าง พนักงานบริษัทซัมซุงนำ source code ของบริษัทไปให้ ChatGPT รีวิวจนข้อมูลรั่วไหล หรือกรณีบริษัท MediSecure ที่ให้บริการจ่ายยาแบบอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศออสเตรเลียที่โดน ransomware โจมตี ทำให้ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมากรั่วไหล หรือบริษัทผู้ให้บริการ Cloud AI ชื่อ สโนว์เฟลก (Snowflake) ทำข้อมูลลูกค้ารั่วไหลจนทำให้หุ้นของบริษัทตกลงไป 26% ในรอบ 12 เดือน ยังมีกรณีความมั่นคงระดับสูงที่ทหารสหรัฐอเมริกาได้ใส่สมาร์ตวอตช์วิ่งออกกำลังกายรอบค่ายทหารจนทำให้มีตำแหน่งค่ายทหารของสหรัฐอเมริกาในประเทศซีเรียและอิรักหลุดรอดออกไปผ่านทางคลาวด์ที่บริษัทผู้ผลิตสมาร์ตวอตช์ใช้บริการอยู่ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างคาดไม่ถึง เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies: PETs) จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเทคโนโลยีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่ปลอดภัยมากพอ เนื่องจากระหว่างการส่งข้อมูลจากเซนเซอร์ไปประมวลผลในคลาวด์นั้น แม้จะมีการเข้ารหัสข้อมูลแล้วก็ตาม แต่เมื่อไปถึงที่คลาวด์ ก็จำเป็นต้องถอดรหัสเพื่อนำข้อมูลจริงนั้นมาประมวลผล จึงเกิดช่องโหว่ทำให้ข้อมูลเหล่านั้นรั่วไหลที่คลาวด์ได้หากโดนแฮ็ก ยังไม่รวมกรณีที่เจ้าของคลาวด์อาจนำข้อมูลของเราไปใช้งานอย่างอื่นที่ไม่ได้รับอนุญาต เทคโนโลยีแบบใหม่คือ PETs ช่วยคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ผ่านการเข้ารหัสแบบใหม่ที่ทำให้ข้อมูลประมวลผลบนคลาวด์ได้ “โดยไม่ต้องถอดรหัส” ดังนั้นระบบคลาวด์เองจึงไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาข้อมูลที่กำลังประมวลผลอยู่เลย มีแต่เจ้าของข้อมูลที่มีกุญแจถอดรหัสเท่านั้นที่จะเข้าถึงเนื้อหาข้อมูลได้ เทคโนโลยีนี้จึงปิดช่องโหว่การรั่วไหลของ¬ข้อมูลได้มากขึ้น แม้แต่กรณีคลาวด์โดนแฮ็กก็ตาม มีการนำเทคโนโลยี PETs มาให้บริการแล้วในวงการการเงิน สุขภาพ และทรัพยากรบุคคล เช่น บริษัท EN|VIEL, Tripple-Blind และ Inpher ในสหรัฐอเมริกา บริษัท ZAMA มีการนำเอาเทคโนโลยี PETs มาใช้ในการระบุตัวตนแบบ biometric authentication และทำ confidential trading อีกด้วย ขณะที่บริษัท RAVEL ในประเทศฝรั่งเศสก็นำเอาระบบนี้ไปใช้ให้บริการโฆษณาส่วนบุคคล เป็นต้น สำหรับประเทศไทย เนคเทค สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยี PETs ให้ใช้กับแพลตฟอร์ม IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Industry 4.0 ของประเทศในชื่อ ไซบิลเลี่ยน (CYBLION) พ้องเสียงกับชื่อสายพันธุ์สุนัข ช่วยทำให้การคำนวณข้อมูลของโรงงานอุตสาหกรรมบนคลาวด์ทำได้อย่างปลอดภัย โดยเนคเทคได้ทดสอบใช้งานจริงในโรงงานธนากรผลิตน้ำมันพืช จำกัด (น้ำมันพืชกุ๊ก) แล้ว 7. หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย (Security Robot) การรักษาความปลอดภัยเป็นความจำเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ อย่างไรก็ตาม การรักษาความปลอดภัยในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่หลายด้าน อาทิ การเฝ้าระวังบุคคลและเหตุต้องสงสัยเพื่อป้องกันเหตุร้ายในพื้นที่สำคัญ ต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ การตรวจการณ์พื้นที่ขนาดใหญ่ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ เจ้าหน้าที่มีความเสี่ยงในการปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย รวมถึงพื้นที่ความมั่นคงที่มีการเกิดเหตุซ้ำ หน่วยงานความมั่นคงรวมถึงภาคเอกชนทั่วโลกให้ความสนใจลงทุนทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมากในแต่ละปี เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (robotics) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง การนำหุ่นยนต์มาใช้ในการรักษาความปลอดภัยจะช่วยลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่, AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจการณ์ให้ดีมากขึ้นได้อีกด้วย คุณลักษณะเด่นของการใช้หุ่นยนต์ช่วยในการรักษาความปลอดภัยมีหลายด้าน ได้แก่ ความสามารถในการทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่อ่อนล้าหรือหย่อนประสิทธิภาพ สามารถวิเคราะห์ภาพและพฤติกรรม สามารถแจ้งเตือนเพื่อป้องกันการเกิดเหตุความไม่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้แล้ว หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยยังสามารถทำงานได้ในพื้นที่หรือสภาวะแวดล้อมที่หลากหลาย ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ระบบนำทางอัตโนมัติจะทำให้หุ่นยนต์เคลื่อนที่ได้อย่างทั่วถึงทุกบริเวณ ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปกับหุ่นยนต์จำพวกนี้ในระยะยาวจะน้อยกว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการจ้างฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่เป็นมนุษย์ และไม่ต้องกังวลใจเรื่องความเชื่อใจได้ของ รปภ. ที่เป็นมนุษย์อีกด้วย ปัจจุบันเริ่มมีการใช้งานหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยแล้วในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และญี่ปุ่น มีการใช้งานหุ่นยนต์เพื่อรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ที่มีประชาชนจำนวนมาก เช่น สนามบินหรือสถานีรถไฟ รวมทั้งมีการใช้หุ่นยนต์เพื่อลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยงอันตราย ตลาดโลกของหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย ประเมินกันว่าอาจจะสูงถึง 71,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2027 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 17.8% ขณะที่เฉพาะในแถบเอเชียแปซิฟิกสูงถึงเกือบ 20% โดยปัจจัยกระตุ้นสำคัญคือ ความต้องการเทคโนโลยีนี้ในทางทหารและการป้องกันประเทศเป็นหลัก สวทช. มีองค์ความรู้ด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ระบบสื่อสาร และ AI ทำให้สามารถบูรณาการองค์ความรู้ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยได้ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด การที่มีระบบฐานข้อมูล ระบบควบคุมและประมวลผลที่พัฒนาขึ้นเอง จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า 8. เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง (Direct Battery Recycling Technology) การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำทำให้มีความต้องการแบตเตอรี่ โดยเฉพาะแบบลิเทียมไอออน เพราะมีการใช้กับยานยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีความจุพลังงานจำเพาะสูง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานคุ้มค่า และยังมีแนวโน้มราคาที่ลดลงอีกด้วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอัตราความต้องการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเติบโตมากกว่า 25% ต่อปี โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าในปี 2030 ประเทศไทยเองก็มีอัตราการเติบโตของการใช้ EV สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยปี 2023 มียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าสูงถึงสัดส่วนร้อยละ 12% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ขายใหม่ทั้งประเทศ จึงเกิดความต้องการเทคโนโลยีรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพสูง ในกระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ในปัจจุบันมักอาศัยความร้อนสูง หรือใช้กระบวนการที่ต้องใช้สารเคมีที่เป็นพิษ ความพยายามหลีกเลี่ยงกระบวนการทั้งสองแบบนี้นำมาสู่เทคโนโลยีใหม่ที่ลดการใช้พลังงาน ซึ่งจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการลดการใช้โลหะหนัก โดยบางกระบวนการลดได้มากถึง 90% หากเทียบทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การทำเหมืองเพื่อให้ได้โลหะใหม่มาใช้ หัวใจหลักของเทคโนโลยีรีไซเคิลโดยตรงคือ จะไม่ใช่กระบวนการเผาด้วยความร้อนสูงที่มากกว่า 1,000 องศาเซลเซียสในเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบเดิมที่เรียกว่า ไพโรเมทัลเลอร์จี (pyrometallurgy) นอกจากนี้ ยังไม่ใช่กระบวนการที่ต้องใช้สารละลายเคมีแบบที่เรียกว่า ไฮโดรเมทัลเลอร์จี (hydrometallurgy) ซึ่งทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก แต่เทคโนโลยีรีไซเคิลโดยตรงอาศัยกระบวนการทางกายภาพในการร่อน ตัด ย่อย บด และคัดแยกนำสารเพื่อนำกลับมาใช้สร้างเป็นขั้วแคโทด (cathode) ของแบตเตอรี่ขึ้นใหม่ ประเมินกันว่าเทคโนโลยีแบบนี้อาจไปถึงจุดที่นำชิ้นส่วนกลับมาใช้ได้มากถึง 90% อีกทั้งจะลดความต้องการสินแร่ใหม่เพื่อนำมาผลิตแบตเตอรี่ได้มากกว่า 25% ในปี 2030 การรีไซเคิลแบบนี้เหมาะกับแบตเตอรี่ที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมเศรษฐกิจแบบ BCG คาดว่าจะมีการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีแบบนี้มากกว่า 20% โดยมี EBITDA margin ของอุตสาหกรรมนี้มากกว่า 10% 9. ไฮโดรเจนเพื่อการขับเคลื่อน (H2 for Mobility) รถยนต์ปัจจุบันกำลังค่อยเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ฟากผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นบางรายก็ลงทุนวิจัยมหาศาลไปรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน เพราะคาดกันว่าพลังงานจากไฮโดรเจนจะเป็นอีกตัวเลือกของพลังงานอนาคตได้เช่นกัน มีคนจำนวนมากคาดหวังว่าพลังงานไฮโดรเจนจะมาเป็นตัวปิดช่องว่าง 20% ของ Net Zero ของภาคการขนส่งขนาดใหญ่ และการป้อนไฟฟ้าให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ประเทศไทยนั้นมีความพร้อมอยู่พอสมควร มีร่างกฎหมายเกี่ยวกับพลังงานไฮโดรเจนแล้ว และมีศักยภาพในการผลิตไบโอไฮโดรเจน (biohydrogen) จากพื้นฐานความเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีสารตั้งต้นจากก๊าซมีเทนในมูลสัตว์หรือชีวมวลต่าง ๆ ที่จัดเป็นกรีนไฮโดรเจน (green hydrogen) แบบหนึ่ง ซึ่งอาจนำมาผ่านกระบวนการทางเคมีต่าง ๆ จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นไฮโดรเจนออกมาในที่สุด ต้นทุนการผลิตไบโอไฮโดรเจนก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง กระบวนการผลิตไฮโดรเจนแบบนี้ลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ (carbon footprint) และนำมาขายเป็นคาร์บอนเครดิต (carbon credit) ของประเทศไปพร้อม ๆ กันได้อีกด้วย การผลิตไฮโดรเจนอีกแบบคือ ผลิตจากก๊าซธรรมชาติได้เป็น บลูไฮโดรเจน (blue hydrogen) ก็ยังถูกกว่ากรีนไฮโดรเจนที่ผลิตจากกระบวนการแยกโมเลกุลของน้ำโดยตรง โดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่แปลงมาจากความร้อนหรือพลังงานแสงอีกทีอยู่ดี เมื่อร่วมกับกระบวนการ CCS (Carbon Capture and Storage) ก็จะช่วยให้มีค่าคาร์บอนเป็นลบ จึงดีต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีปัจจัยเสริมเรื่องความเชี่ยวชาญในการขนส่งก๊าซ และมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ มีมาตรการความปลอดภัยระดับอุตสาหกรรมที่ชัดเจนอีกด้วย ส่วนปัจจัยเสริมระดับโลกได้แก่เรื่อง การคิดค่าปรับคาร์บอนหรือ CBAM ของสหภาพยุโรปที่ปัจจุบันเริ่มเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านปี 2023-2025 ที่ต้องมีรายงานค่าการปล่อยและการชดเชยก๊าซเรือนกระจกแล้ว แต่มีเทคโนโลยีสำคัญที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติมก็คือ เทคโนโลยีในการกักเก็บไฮโดรเจน ซึ่งจะช่วยเรื่องการทดแทนการนำเข้าและผลิตใช้เองในประเทศได้ เมื่อปลายปีที่แล้วมีก้าวที่น่าจับตามองคือ การประกาศจับมือกันระหว่าง PTT–OR–Toyota–BIG ที่จะเริ่มเปิดสถานีต้นแบบเติมไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงแห่งแรกของประเทศไทยขึ้น ในขณะที่บริษัท Toyota ก็ประกาศจะใช้รถยนต์รุ่น Mirai จำนวน 500 คัน สำหรับรับส่งนักกีฬาในโอลิมปิกเกมส์และพาราลิมปิกเกมส์อย่างเป็นทางการที่กรุงปารีสในปีนี้ เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพของรถยนต์แบบนี้อีกด้วย 10. ยุคถัดไปของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาทต่อปี แต่การเพาะเลี้ยงด้วยวิธีการดั้งเดิม เช่น การเลี้ยงในบ่อดิน การเลี้ยงในกระชัง มีข้อเสียหลายประการ ทั้งใช้น้ำมากและสร้างมลพิษทางน้ำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคสัตว์น้ำ เสี่ยงต่อสวัสดิภาพของสัตว์น้ำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เช่น กรณีเลี้ยงในกระชังแล้วน้ำในแม่น้ำล้นตลิ่งหรือแห้งหรือเกิดเน่าเสีย นอกจากนี้ยังใช้พื้นที่มากอีกด้วย เทคโนโลยี RAS เป็นการเลี้ยงแบบใช้น้ำหมุนเวียน โดยมีการบำบัดของเสียออกจากน้ำและเติมออกซิเจนให้น้ำ มีข้อดีคือไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำ สามารถเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างหนาแน่นในพื้นที่น้อย ควบคุมสภาวะการเลี้ยงและมีการติดตามปัจจัยต่าง ๆ ได้ดีกว่าวิธีการแบบเดิม จึงลดความเสี่ยงจากโรคสัตว์น้ำได้มาก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเทคโนโลยี RAS มักใช้ในวงจำกัดเพื่อการเลี้ยงสัตว์น้ำมูลค่าสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ฯลฯ เนื่องจากคุ้มทุนได้ง่าย เพราะการเลี้ยงระบบ RAS ต้องอาศัยการลงทุนที่สูงกว่าการเลี้ยงแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังต้องการการดูแลควบคุมระบบการเลี้ยงอย่างใกล้ชิดอีกด้วย ยุคถัดไปของเทคโนโลยี RAS คือ การออกแบบให้ระบบมีความเหมาะสมกับสัตว์น้ำแต่ละชนิด โดยมีเป้าหมายคือ ทำให้ใช้เงินลงทุนระบบลดลงและควบคุมระบบการเลี้ยงได้ง่ายขึ้น ที่ผ่านมา สวทช. ได้พัฒนาระบบ RAS สำหรับกุ้งและปลากะพงซึ่งเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ระบบที่พัฒนาขึ้นมีราคาที่ถูกลงกว่าในท้องตลาด ทำให้คืนทุนได้เร็วและสามารถควบคุมระบบการเลี้ยงได้ง่ายขึ้น การพัฒนาดังกล่าวได้อาศัยเทคโนโลยีการออกแบบและคำนวณทางวิศวกรรมขั้นสูง (advanced engineering design & computation) รวมทั้งเทคโนโลยีระบบควบคุมแบบอัตโนมัติ (automatic control) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) นอกจากนี้ยังมีแผนการพัฒนาระบบต่อโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI และเทคโนโลยีการประมวลผลภาพ (image processing) ในการติดตามและควบคุมการเลี้ยงในทุกขั้นตอน สรุป 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปีนี้ ในภาพรวม ราวครึ่งหนึ่งเป็น digital technology และมี AI ร่วมอยู่ด้วย มากบ้างน้อยบ้าง แสดงให้เห็นถึงการมาถึงของยุค AI ได้เป็นอย่างดี ขณะที่มีอยู่ 3 เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับสุขภาพ กับอีก 2 เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน และอีก 1 เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับด้านการประมง หวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ ทั้งในแง่ของข้อมูลเทรนด์โลกที่ควรให้ความสนใจ และในแง่ข้อมูลการตลาดเบื้องต้น เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านที่สนใจได้มีโอกาสเข้าไปลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเหมาะสมต่อไป Download รายละเอียด
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ทรงเปิดงาน “อว.แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” มหกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงาน อว.แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ด้วยพลังสหวิทยาการ หรือ“อว.แฟร์” จัดโดย กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. และคณะผู้บริหาร เฝ้าฯ รับเสด็จ พร้อมมี นางสาวเพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้แทนศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เฝ้ารับเสด็จฯ และทูลเกล้าฯ ถวายพวงมาลัย ณ ฮอลล์ 3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในการนี้ นางสาวศุภมาส ได้เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร จากนั้น นายอนุทิน กราบบังคมทูลรายงานถึงการจัดงาน อว.แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND ส่วนภูมิภาค และส่วนกลาง ที่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทรงวางพระหัตถ์บนแท่นอะคริลิกเปิดงานฯ จากนั้นเสด็จฯ ทอดพระเนตรนิทรรศการ 6 โซนหลัก ได้แก่ 1) โซน SCIENCE FOR ALL WELL-BEING ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามจากนวัตกรรมของคนไทย 2) โซน SCIENCE FOR FUTURE THAILAND นำเสนอขบวนรถไฟแห่งอนาคต ฉายภาพให้เห็นประเทศไทยในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า 3) โซน INSPIRED BY SCIENCE ที่จะจุดประกายความคิด สร้างจินตนาการและแรงบันดาลใจให้ทุกคน 4) โซน SCIENCE FOR LIFELONG LEARNING เปิดโลกแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต พร้อมแนะแนวอาชีพแห่งอนาคต 5) โซน SCIENCE FOR EXPONENTIAL GROWTH แสดงศักยภาพของงานวิจัยและนวัตกรรมของคนไทย และ 6) โซน STARTUP LAUNCHPAD ซึ่งแสดงถึงศักยภาพในการผลักดัน Startup ไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมกันนี้ ได้ทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ (Royal Pavilion) ก่อนจะทรงฉายพระฉายาลักษณ์ร่วมกับคณะผู้บริหารฯ สมควรแก่เวลา จึงประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ สำหรับงาน “อว.แฟร์” เป็นงานมหกรรมที่รวมสหวิทยาการทั้งด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม การศึกษาที่มีคุณภาพ ด้าน Soft Power ที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัยมากกว่า 170 หน่วยงาน ครอบคลุมทั่วประเทศ ผู้เข้าชมงานจะได้พบกับกิจกรรมและสาระความรู้ดี ๆ ผ่านนิทรรศการ 6 โซนที่แสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีของไทยและนานาชาติ โดยมีไฮไลต์เป็น ‘หินดวงจันทร์จากยานอวกาศฉางเอ๋อ 5’ ที่นำมาจัดแสดงนอกประเทศเป็นครั้งแรกในไทย เป็นสื่อสัมพันธไมตรีระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทย เครื่องเล่น VR สุดล้ำจากบริษัทผู้พัฒนาเกมออนไลน์รายใหญ่ของจีน การเฉลยข้อสอบ TCAS และการแนะแนวอาชีพในอนาคต บูธแสดงผลงานจากผู้ประกอบการและสตาร์ตอัป มากกว่า 300 บูธ ร่วมชม ช้อป ผลิตภัณฑ์ฐานงานวิจัยการันตีรางวัลจากหลายเวที ไม่ว่าจะเป็น อาหารนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Functional Food) อาหารแห่งอนาคต (Future Food) เครื่องสำอาง และสินค้าที่พัฒนาจากวิทยาศาสตร์ งานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม และสินค้าด้าน Soft power โดยมีสินค้ามากกว่า 200 รายการ 20,000 กว่าชิ้น และกิจกรรมสัมมนา เวิร์กช็อปต่าง ๆ มากมาย พร้อมรับชมมินิคอนเสิร์ตจากหลากหลายศิลปินชื่อดัง ตลอดจนผู้ที่มาร่วมงานจะมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลประจำวัน ได้แก่ รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า วันละ 2 คัน และรางวัลสูงสุดรถกระบะไฟฟ้า จำนวน 1 คัน พร้อมของรางวัลอื่น ๆ อีกมากกว่า 17,000 ชิ้น โดยการจัดงาน “อว.แฟร์” ในวันแรก เริ่มต้นด้วยกิจกรรมจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กับ “Japanese Startups Pitching” เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นการนำเสนอผลงานและนวัตกรรมจากบริษัทสตาร์ตอัปของญี่ปุ่น เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เห็นถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้และพัฒนาต่อในบริบทของไทย รวมถึงสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการและนักลงทุนเพื่อส่งเสริมการเติบโตและความร่วมมือในอนาคต จากนั้นการแสดงสองชุดจากมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ได้แก่ “ราชาบุรีวิถีสายน้ำ” และ “ศิลปะการต่อสู้มวยไทยโบราณ” เพื่อแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและศิลปะของจังหวัดราชบุรี ต่อด้วย การแสดงสองชุดจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้แก่ การแสดงชุดที่ 1 “บาร์เทนเดอร์โชว์” นำเสนอศิลปะการผสมเครื่องดื่มของบาร์เทนเดอร์ รวมถึงการโชว์ทักษะการใช้เครื่องมือ เทคนิคในการผสมเครื่องดื่ม และการแสดงชุดที่ 2 “ดนตรีและร้องเพลง Folk Song” นำเสนอเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ปิดท้ายด้วย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีกับการแสดงพิเศษในชุด “สาวโคราชลำเพลิน” การแสดงนี้นำเสนอศิลปะการแสดงลำเพลิน ซึ่งเป็นรูปแบบดนตรีและการร่ายรำพื้นบ้านของจังหวัดนครราชสีมาหรือโคราชที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวา แสดงถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวโคราชที่มีความรักในเสียงเพลงและการละเล่นพื้นบ้าน นอกจากกิจกรรมและการแสดงที่หลากหลายแล้ว ยังมีมินิคอนเสิร์ตส่งท้ายจาก ซาร่าห์ ซาโรลา (Sarah Salola) ศิลปินที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์และเพลงที่มีเนื้อหาโดนใจผู้ฟัง ซึ่งมินิคอนเสิร์ตนี้ช่วยสร้างความบันเทิงให้กับผู้เข้าร่วมงานและสร้างบรรยากาศในงานให้มีความสนุกสนานและคึกคักยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ใกล้ชิดและเพลิดเพลินกับการแสดงสด ๆ จากศิลปินที่พวกเขาชื่นชอบด้วย นอกจากนี้ ในงาน อว.แฟร์ มีอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญกับการแสดง “โดรนแปรอักษร เฉลิมพระเกียรติ เทิดไท้องค์ราชัน 72 พรรษา” เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีโดรนในรูปแบบที่สร้างสรรค์และงดงามในการแสดงความเคารพ โดยการแสดงนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดึงดูดความสนใจและเสริมสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งจะจัดแสดงเพียง 2 วัน ในวันที่ 22 - 23 กรกฎาคม 2567 เวลา 19.30 น. เป็นต้นไป ณ ลานกลางน้ำ APEC2022 สวนเบญจกิติ มาร่วมมาสัมผัสประสบการณ์จริงและเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ ด้วยตัวคุณเองในงานมหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี อว.แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND งานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ด้วยพลังสหวิทยาการ ทั้งนี้ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2567 จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่เวลา 16.00 – 20.00 น. และในวันที่ 23 – 28 กรกฎาคม 2567 เปิดให้ประชาชนเข้าชมงานตั้งแต่เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.mhesifair.com และเฟซบุ๊ก www.facebook.com/MHESIThailand
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. รับโล่เกียรติคุณ จากผู้จัดงาน InfoComm Asia 2024
(เมื่อเร็ว ๆ นี้ ) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมพิธีรับมอบโล่เกียรติคุณ ในฐานะหน่วยงานที่ร่วมแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านการประชาสัมพันธ์งาน Infocomm Asia 2024 . ทั้งนี้ บริษัท เอ็กซ์โปอินเตอร์ จำกัด ร่วมกับ InfoCommAsia Pte Ltd และ The Audiovisual and Integrated Experience Association โดยการสนับสนุนจาก สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. จัดงาน InfoComm Asia 2024 ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมด้านภาพและเสียงระดับมืออาชีพ (Pro-AV) ที่ล้ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากผู้ผลิตและผู้พัฒนาระบบจากประเทศชั้นนำของโลก มาแสดงสินค้าเทคโนโลยีซึ่งเป็นที่สุดของการพลิกโฉมทุกธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล สำหรับงาน InfoComm Asia 2024 (IFASIA 2024) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 - 19 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘MicroWash-V’ ผลิตภัณฑ์ล้างผักและผลไม้ บริโภคปลอดภัยใน 5 นาที
  ปฏิเสธไม่ได้ว่าการผลิตพืชผลทางการเกษตรในระดับอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในพื้นที่เขตร้อนชื้นอย่างประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงศัตรูพืชและเชื้อก่อโรค จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการควบคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน ซึ่งหากผู้ประกอบการหรือเกษตรกรวางแผนการใช้สารเคมีอย่างเหมาะสม สารเคมีเหล่านั้นจะสลายไปตามธรรมชาติจนหลงเหลือในระดับต่ำหรือไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อย่างไรก็ตามผลการทดสอบคุณภาพโดยหน่วยวิจัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทยได้สะท้อนความจริงออกมาแล้วว่า ผักและผลไม้ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายตามท้องตลาดไทยมีค่าสารเคมีตกค้างเกินกว่าปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (Maximum Residue Levels: MRL) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัท อากรีว่า จำกัด พัฒนา ‘MicroWash-V (ไมโครวอช-วี)’ ผลิตภัณฑ์ล้างผักและผลไม้ กำจัดสารเคมีและสิ่งสกปรกตกค้างได้ใน 5 นาที   ภัยสารเคมีตกค้าง ยากจะหลีกเลี่ยง          การผลิตพืชผลทางการเกษตรเชิงพาณิชย์มักใช้สารเคมีหลายชนิดเพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืชและป้องกันโรคพืช โดยสารเคมี 4 กลุ่มที่ใช้งานมากและพบตกค้างได้บ่อยครั้ง คือ สารกลุ่มออร์แกโนคลอรีน ออร์แกโนฟอสเฟต คาร์บาเมต และไพรีทรอยด์ ซึ่งหากผู้บริโภคได้รับสารเหล่านี้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจนถึงแก่ชีวิตได้   [caption id="attachment_58871" align="aligncenter" width="750"] คุณบุญเลี้ยง เศรษฐกสิวิทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อากรีว่า จำกัด[/caption]   คุณบุญเลี้ยง เศรษฐกสิวิทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อากรีว่า จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสารเคมีทางการเกษตรและเมล็ดพันธุ์พืชสะท้อนว่า สารเคมีทางการเกษตรที่ใช้อยู่ทั่วไปในปัจจุบันผ่านการพัฒนาสูตรให้มีโครงสร้างซับซ้อนมากขึ้นโดยตลอด เพื่อรับมือกับปัญหาแมลงศัตรูพืชดื้อยาและสภาพอากาศที่แปรปรวนเป็นอย่างมาก ผลที่ตามมาคือหากขาดการใช้สารเคมีอย่างเหมาะสม สารเคมีเหล่านี้จะตกค้างอยู่ในผลผลิตทางการเกษตร ไม่สามารถกำจัดออกโดยการใช้น้ำสะอาดเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องนำผักและผลไม้ไปแช่ในสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่างเพื่อสลายโครงสร้างของสารเคมี เช่น การแช่ในน้ำผสมน้ำส้มสายชู ด่างทับทิม ผงฟู เป็นเวลาอย่างน้อย 10-15 นาที ก่อนนำผักและผลไม้เหล่านั้นไปล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ซึ่งการชำระล้างด้วยวิธีนี้จะช่วยลดสารตกค้างได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้สารบางชนิดมีฤทธิ์การกัดกร่อนที่ค่อนข้างรุนแรง ผู้ใช้สารประเภทนี้จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และการแช่ผักและผลไม้ในสารละลายประเภทดังกล่าวเป็นเวลานานอาจส่งผลให้สีและรสชาติเปลี่ยนแปลงไปได้ “เพื่อให้การล้างผักทำได้ง่าย ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้น บริษัท อากรีว่า จำกัด ได้ร่วมกับนาโนเทค สวทช. พัฒนาผลิตภัณฑ์ล้างผักและผลไม้ภายใต้ชื่อแบรนด์ MicroWash-V ขึ้น การใช้งานผลิตภัณฑ์ทำได้ง่ายเพียงผสมผลิตภัณฑ์ในอัตรา 5 ซีซี (กด 1-2 ปั๊ม หรือปริมาณ 1 ช้อนชา) ต่อน้ำ 1 ลิตร นำผักผลไม้ไปแช่ไว้ 3-5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผลิตภัณฑ์จะช่วยชำระล้างสารเคมีตกค้างออกได้ถึงร้อยละ 95 โดยไม่ทำให้ผักมีสีและรสชาติเปลี่ยนแปลงไป การใช้งานที่ง่ายและใช้เวลาสั้นจะช่วยให้ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องการชำระล้างสารเคมีก่อนการบริโภคผลิตผลทางการเกษตรมากยิ่งขึ้น ทำให้ผักและผลไม้เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ 1 ขวด มีปริมาตร 400 มิลลิลิตร มีอายุการใช้งานยาว 2 ปี”     MicroWash-V นวัตกรรมเพื่อสุขภาพคนไทย          ทำอย่างไรจึงจะทำความสะอาดผักและผลไม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาสั้น ใช้งานง่าย และสะดวก คือ โจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการมอบให้กับนักวิจัยนาโนเทค สวทช.   [caption id="attachment_58872" align="aligncenter" width="750"] ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า จากโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการกักเก็บสารออกฤทธิ์ในอนุภาคระดับนาโนมาพัฒนาสารไมโครอิมัลชัน (microemulsion) ขนาด 10-100 นาโนเมตร ที่มีสารประกอบกรดอินทรีย์และสารลดแรงตึงผิวหลายชนิดเป็นส่วนประกอบขึ้น เพื่อให้สารชนิดนี้สามารถชำระล้างสารเคมีที่มักพบตกค้างในผลิตผลทางการเกษตร จุลินทรีย์ก่อโรคประเภทเชื้อราและแบคทีเรีย รวมถึงสารเคลือบผิวผลไม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยสารประกอบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์​ เป็นสารอินทรีย์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารได้จึงมีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูง โดยคุณบุญเลี้ยงได้กล่าวเสริมว่า ภายหลังจากทีมวิจัยนาโนเทคพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต MicroWash-V จนประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ทีมวิจัยยังคงอยู่เคียงข้างกับผู้ประกอบการในทุกขั้นตอนสำคัญ ทั้งการขยายกำลังการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม การจัดเตรียมข้อมูลสำหรับใช้ในการขออนุญาตสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการช่วยกำหนดแนวทางในการทดสอบความพึงพอใจของผู้บริโภค เพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น จนปัจจุบันบริษัทสามารถนำผลิตภัณฑ์ MicroWash-V ไปจำหน่ายในตลาดผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสุขภาพได้เรียบร้อยแล้ว “แม้ขั้นตอนการดำเนินงานหลักทั้งหมดจะเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดหนักในประเทศไทย ทำให้การดำเนินงานหลายด้านเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ทีมวิจัยก็ยังคงตั้งใจดำเนินงานจนประสบความสำเร็จ และช่วยดูแลจนผลงานวิจัยขยายผลไปสู่การผลิตและจำหน่ายได้จริง บริษัทจึงรู้สึกประทับใจในการดำเนินงานร่วมกับทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. เป็นอย่างมาก และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมทำวิจัยกับ สวทช. ในโอกาสต่อ ๆ ไป”​ คุณบุญเลี้ยงกล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์​ MicroWash-V ติดต่อสอบถามได้ที่บริษัท อากรีว่า จำกัด เบอร์โทรศัพท์ 02 510 4430 หรือ 095 802 2728     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
Traffy Fondue เปิดฟีเจอร์ใหม่ ใช้ AI สุดล้ำ บริหารจัดการ ‘เรื่องแจ้งปัญหา’
สุดล้ำ เอไอ ในแพลตฟอร์ม ทราฟฟี ฟองดูว์ ยกระดับการแก้ปัญหาไปอีกขั้น ระบบสามารถวิเคราะห์รูปภาพปัญหาและข้อความด้วยปัญญาประดิษฐ์ พร้อมส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ (วันที่ 17 กรกฎาคม 2567) ณ โถงอาคาร สวทช. (โยธี) ชั้น 1 เขตพญาไท กรุงเทพฯ: ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ในกิจกรรม NSTDA Meets the Press ถึงการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Traffy Fondue ยกระดับการแจ้งปัญหาด้วย AI สุดล้ำ! โดยนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้บนบนแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ที่จะช่วยให้การสื่อสารเรื่องแจ้งปัญหา มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าใจปัญหาได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ตอบโจทย์เรื่องที่แจ้งให้แก้ปัญหามากยิ่งขึ้น และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดี สะท้อนการบริหารจัดการเมืองที่มีความโปร่งใสจากการมีส่วนร่วมของประชาชน [caption id="attachment_58920" align="aligncenter" width="2028"] ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม[/caption] ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการ ทราฟฟี ฟองดูว์ : แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง ซึ่งเป็นช่องทางรับแจ้งและจัดการปัญหาเมืองที่พบผ่าน LINE Chatbot แบบอัตโนมัติ เมื่อระบบได้รับรายละเอียดปัญหาจากผู้แจ้งครบถ้วนแล้ว ระบบจะวิเคราะห์ประเภทปัญหาจากข้อมูลโดยอัตโนมัติ และแจ้งเรื่องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหาในพื้นที่ดังกล่าว อีกทั้งยังสามารถสอบถามเพิ่มเติมหรือแจ้งความคืบหน้าแก่ผู้ที่แจ้งปัญหาได้แบบเรียลไทม์ โดยมีการขยายผลการใช้งาน 77 จังหวัด มีหน่วยงานใช้งานแล้วมากกว่า 15,000 แห่ง (ข้อมูล ณ เดือน มิ.ย.67) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารในการรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ช่วยลดภาระการทำงานของเจ้าหน้าที่ และให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและยกระดับการมีส่วนร่วมของพลเมือง ทั้งนี้มีสถิติรับเรื่องร้องทุกข์ (มิ.ย. 65 - ก.ค. 67) มากกว่า 940,000 เรื่อง ดำเนินการเสร็จสิ้นมากกว่า 733,000 เรื่อง คิดเป็น 77% ดร.วสันต์ กล่าวว่า  สำหรับการฟีเจอร์ใหม่ AI ใน Traffy Fondue นั้น เพื่อที่จะช่วยให้การสื่อสารเรื่องแจ้งปัญหามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีการนำเทคโนโลยี AI มาเป็นตัวช่วยประมวลข้อมูลเรื่องรับแจ้งปัญหาที่ประชาชนแจ้งเข้ามา ตั้งแต่สรุปสาระของปัญหาที่ได้รับแจ้ง คัดแยกประเภทปัญหาจากข้อความ และรูปภาพ จัดลำดับความสำคัญของปัญหา และสามารถเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาของเจ้าหน้าที่รวมทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบในแก้ไขปัญหา ที่สำคัญคือการตรวจสอบคำหยาบ คำไม่สุภาพ และเสนอแนะข้อความที่สุภาพ ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าใจปัญหาได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องตอบโจทย์เรื่องที่แจ้งให้แก้ปัญหามากยิ่งขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดี และสะท้อนการบริหารจัดการเมือง ที่มีความโปร่งใสจากการมีส่วนร่วมของประชาชน   นอกจากนี้ฟีเจอร์ใหม่ของ Traffy Fondue ยังพัฒนาขั้นตอนการแจ้งปัญหาจาก 5 ขั้นตอน เหลือ 3 ขั้นตอน เพื่อความสะดวกในการแจ้งเรื่องแก้ปัญหาให้กับประชาชน ได้แก่ กดปุ่ม แจ้งเรื่องใหม่ แล้วแชร์พิกัดตำแหน่ง พิมพ์รายละเอียดของปัญหา ส่งภาพประกอบของปัญหาและรับการ์ดยืนยันการแจ้ง ทั้งนี้ประชาชนและหน่วยงานที่ต้องการใช้ Traffy Fondue สามารถใช้ LINE สแกนคิวอาร์โค้ด หรือเพิ่มเพื่อน @TraffyFondue (หรือคลิก link https://lin.ee/nwxfnHw) เพื่อแชทแจ้งปัญหา และติดตามรายงานอัพเดทการแก้ไขปัญหาได้ ผ่านการแจ้งเตือนในของ LINE Chatbot และข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.traffy.in.th/        
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
THAILAND TECH SHOW 2024 | SCIENCE FOR EXPONENTIAL GROWTH
22-28 กรกฎาคม 2567 ชั้น G Hall 1 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ . Thailand Tech Show งานประจำปีของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่สร้างคุณค่าให้แก่เศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นฐาน  ได้ตระหนักถึงความสำคัญการเสริมศักยภาพการแข่งขัน และยกระดับผู้ประกอบการจากการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม เพิ่ม High Value และต่อยอดธุรกิจและ/หรือเกิดธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถเติบโตได้เร็ว เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย บูรณาการความร่วมมือพันธมิตรหน่วยงานวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน มหาวิทยาลัยจากทั่วประเทศ  ขับเคลื่อนเวทีนำเสนอต่อยอดผลงานวิจัยพร้อมใช้ ในรูปแบบตลาดเทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่ายในจุดเดียว  เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อพบผู้ขายและเจรจาเพื่อขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ธุรกิจนวัตกรรม  รวมทั้งเป็นเวทีเชื่อมโยงสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยี และ Tech Startup ด้วยการลงทุนในรูปแบบใหม่และ/หรือ แหล่งทุนที่เหมาะสม เพื่อเป็นกลไกการเร่งสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และการต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ให้เกิดขึ้นในวงกว้างและอย่างรวดเร็ว  รวมถึงการขยายตลาดให้กับธุรกิจเทคโนโลยีทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ งาน Thailand Tech Show 2024 ปีนี้  เป็นอีกหนึ่งกิจกรรม highlight ในงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยพลังสหวิทยาการ (อว. แฟร์: SCI-POWER For Future Thailand)  ภายใต้แนวคิด วิทยาศาสตร์…. เพื่อยกระดับขับเคลื่อนธุรกิจและอุตสาหกรรมสู่อนาคต Science for Exponential Growth เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจเทคโนโลยีด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบครบวงจรและยั่งยืน ระหว่างวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2567 ชั้น G Hall 1 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ National IP Marketplace โอกาสทางธุรกิจกับ ผลงานวิจัยพร้อมถ่ายทอดสู่เชิงพาณิชย์ มากกว่า 180 ผลงาน จาก 33 หน่วยงาน เพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ช่วยเสริมขีดความสามารถการแข่งขันให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน   การบรรยายพิเศษ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch)” เทรนด์เทคโนโลยีในการทำธุรกิจ เพื่อที่จะปรับกลยุทธ์และวางแผนให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง โดยศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ที่จะมาคาดการณ์ 10 เทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งผู้ประกอบการในปัจจุบันจะต้องรู้และปรับตัวให้เท่าทันกับเทรนด์โลกแห่งเทคโนโลยี INVESTMENT PITCHING โอกาสทางธุรกิจกับการนำเสนอผลงานต่อนักลงทุนและนักอุตสาหกรรม กับ ผลงานวิจัยที่มีความพร้อมถ่ายทอดผลงานให้กับผู้ประกอบการที่มองหาโอกาสและช่องทางในการทำธุรกิจเทคโนโลยี กำหนดการ วันเปิดงาน Thailand Tech Show 2024 | Science for Exponential Growth 23 กรกฎาคม 2567 09:30-12:00 น. ณ เวทีกลาง ชั้น G Hall 3 งาน อว. แฟร์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 09:30-10:00 น. พิธีเปิดงาน กล่าวเปิดงาน โดย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กิตติกรรมประกาศความสำเร็จในการถ่ายทอดเทคโนโลยี 10:00-10:45 น. การบรรยายเรื่อง “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch)” โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 10:45-12:00 น. Investment Pitching (นำเสนอผลงานละ 7 นาที) ผลงานเด่นของ สวทช. 5 ผลงาน ผลงานจากหน่วยงานพันธมิตร 3 ผลงาน ช่วงการโหวตให้คะแนน และมอบรางวัล ผลงานที่นำเสนอได้ดีที่สุด (The best presentation) ผลงานที่น่าลงทุนที่สุด (The most interesting technology for investment) ประกาศผล หมายเหตุ :  กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมและความจำเป็น กิจกรรมพิเศษเฉพาะที่ อว.แฟร์ เท่านั้น ลุ้นรางวัลใหญ่ทุกวัน!! เพียงเข้าร่วมกิจกรรมภายในงาน ลุ้นรับมอเตอร์ไซค์ EV ทุกวัน วันละ 2 คัน และรางวัลสูงสุด รถกระบะ EV จํานวน 1 คัน และของรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย   รายละเอียดเพิ่มเติม : www.mhesifair.com    หมายเหตุ วัน เวลา และสถานที่จัดงาน (สำหรับประชาชนทั่วไป) วันที่ 22 กรกฎาคม 2567 เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรม ตั้งแต่เวลา 16.00 – 20.00 น. วันที่ 23 – 28 กรกฎาคม 2567 เปิดให้ประชาชนเข้าชมงานตั้งแต่เวลา 09.00 – 20.00 น จัดโดย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์