ผลการค้นหา :

ผู้อำนวยการ สวทช. นำคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีอำลาตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ของ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์
วันที่ 1 กันยายน 2566 ณ ห้องแถลงข่าว อาคารพระจอมเกล้า (ถนนโยธี) กระทรวง อว. : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำคณะผู้บริหาร สวทช. ร่วมพิธีอำลาตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ของ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งดำรงตำแหน่ง รมว.อว. รวมระยะเวลา 3 ปี (วันที่ 13 สิงหาคม 2563 - วันที่ 30 สิงหาคม 2566)
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก ได้ฝากให้ อว. มุ่งมั่นผลักดันไทยให้ก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2580 พร้อมฝากหลักคิดเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในการดำเนินงานของ อว. ซึ่งเป็นมันสมองของรัฐบาล สังคมและประเทศชาติ ได้แก่ กลยุทธ์ของ อว. ขับเคลื่อนประเทศด้วยการเดิน 2 ขา ทั้งวิทย์และศิลป์ควบคู่กัน ยุทธวิธีของ อว. ปลาเร็วกินปลาช้า ใช้ทางลัดทางเบี่ยงอย่าติดกับระเบียบ ทำงานด้วยความรักประเทศ รักงานที่ทำ หาทางร่วมมือกับคนเก่งทั้งในและต่างประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดตัวครั้งแรก ‘Ve-Sea’ รสชาติอาหารทะเล จากโปรตีนพืช โอกาสทางธุรกิจ เจาะกลุ่ม Plant Based Seafood
วันที่ 1 กันยายน 2566 ณ สามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ 1 ชั้น 5 : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหาร เวชสำอางและส่วนผสมฟังก์ชัน หรือ ฟูดเซิร์ป (FoodSERP) เปิดตัว ต้นแบบผลิตภัณฑ์ Ve-Sea อาหารทะเลจากโปรตีนพืช เป็นครั้งแรก ซึ่งนำมาแสดงนิทรรศการผลงานวิจัยกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกของ FoodSERP สวทช. ภายในงาน PLANT BASED FESTIVAL 2023 มหกรรมอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ
ดร. กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. เปิดเผยว่า ทีมวิจัย FoodSERP สวทช. ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช ทั้งปลา หมึก และกุ้ง ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหารที่อาศัยความรู้ทั้งทางด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหารซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของทีมวิจัย ประกอบกับการใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของวัตถุดิบแต่ละชนิดและเลือกผสมวัตถุดิบเข้าด้วยกัน ทำให้ทีมประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืชที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตในนาม ‘Ve-Sea’ เรียบร้อยแล้ว 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วย ซึ่งจากผลการทดสอบพบว่าผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัสใกล้เคียงของจริง อีกทั้งยังมีปริมาณโปรตีนเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่ใช้เนื้อปลาเป็นส่วนประกอบด้วย สำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อหมึกจากโปรตีนพืชคาดว่าจะเปิดตัวและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีภายในปี 2567
ทั้งนี้ด้วยโอกาสทางการตลาดในกลุ่มอาหารทะเลจากโปรตีนพืช จึงพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการธุกิจ ที่ต้องการเจาะกลุ่มตลาดบริโภคอาหารทะเลจากโปรตีนพืช (Plan-Based Seafood) ซึ่งอาหารจากโปรตีนพืชกลุ่มอาหารทะเลมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 1 ในท้องตลาด จึงเป็นช่องทางสำคัญของผู้ประกอบการที่จะสร้างธุรกิจโดยคู่แข่งไม่มากนัก
“ผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ทั้ง 3 ชนิดพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว 2 สูตร สูตรแรกคือปราศจากกลูเตน (Gluten free) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคในกลุ่มที่แพ้กลูเตนซึ่งมีตลาดหลักอยู่ในสหภาพยุโรปและอเมริกา โดยสูตรนี้ใช้โปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบร้อยละ 4-8 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ ซึ่งเทียบเท่าหรือสูงกว่าผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อปลาทั่วไปในท้องตลาด อีกสูตรหนึ่งคือสูตรที่มีกลูเตนสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการเพิ่มปริมาณโปรตีนให้ผลิตภัณฑ์ โดยมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 8 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ เนื้อสัมผัสมีความแน่นและเด้งมากกว่าอีกสูตร
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 สูตรยังมีจุดเด่นคือปราศจากคอเลสเตอรอล ทำให้ Ve-Sea เหมาะแก่กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการควบคุมปริมาณไขมัน ส่วนทางด้านเนื้อสัมผัสของทั้ง 2 สูตร ทีมวิจัยได้ออกแบบให้เชฟสามารถนำ Ve-Sea ไปรังสรรค์เป็นเมนูอาหารต่าง ๆ ทดแทนผลิตภัณฑ์จากเนื้อปลาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะปิ้ง ย่าง ทอด นึ่ง ต้ม ผัด ยำ หรือใส่ก๋วยเตี๋ยว
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีความสุขกับการลิ้มรสเมนูอาหารในรูปแบบต่าง ๆ ที่ชื่นชอบดังเดิม แต่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีเป้าหมายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ไม่ได้เพียงมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญถึงโอกาสทางการตลาดของผู้ประกอบการที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย จากจุดเด่นที่กล่าวถึงข้างต้นทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนการทำธุรกิจได้สะดวกทั้งรูปแบบ B2B (Business-to-business) และ B2C (Business-to-consumer) และทั้งเพื่อกลุ่มเป้าหมายภายในและต่างประเทศ”
สำหรับ Ve-Chick และ Ve-Sea ทั้งวีชิคและวีซีผลิตมาจากโปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นหลัก โดยใช้เทคโนโลยีที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้กับเครื่องจักรและกระบวนการผลิตอาหารแบบเดิมที่มีอยู่ได้และไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม เป็นนวัตกรรมการผลิตที่เรียกว่า “Blending” หรือ เทคโนโลยีการผสม ที่คิดค้นขึ้นมา แต่ต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติของแต่ละองค์ประกอบ ในการทำหน้าที่เพื่อให้ได้โครงสร้างและเนื้อสัมผัสที่ต้องการได้
ดร.กมลวรรณ กล่าวด้วยว่า อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของทีมวิจัยคือการมีส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย ด้วยการให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหาร (Novel food) รวมถึงบริการทดสอบคุณภาพ โดยให้บริการผ่าน ‘แพลตฟอร์ม FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)’ หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ One-stop service’ ว่า สวทช. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์มนี้ขึ้นเพื่อให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายกำลังการผลิต รวมถึงการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร โดยผสานความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ ภายใต้ สวทช.
“ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะอย่างผู้สูงอายุและผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการจากผู้ประกอบการ ส่วนทางด้านบริการทดสอบ เอ็มเทคพร้อมให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้านเนื้อสัมผัสของอาหาร อาทิ ความแข็ง ความหนืด และได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ให้บริการทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหารด้วยเครื่องจำลองสภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (ระบบ tiny-TIMagc) และสภาวะการทำงานของลำไส้ใหญ่ (ระบบ TIM-2) รวมถึงวิเคราะห์ทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อให้นวัตกรรมอาหารที่นักวิจัยเอ็มเทคร่วมกับผู้ประกอบการวิจัยและพัฒนาขึ้น ไม่เพียงมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่สมจริง แต่ยังเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีคุณภาพสูง” ดร.กมลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Sea และ Ve-Chick ติดต่อได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล (ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ) เบอร์โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์

1 ปี แผนปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน Medical AI
สวทช. ร่วมกับ สดช. แถลงผลการดำเนินงาน 1 ปี ตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565–2570 พร้อมลงนามความร่วมมือ “การวิจัยพัฒนาชุดข้อมูลและนวัตกรรม เพื่อต่อยอดการใช้ประโยชน์ด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์” สนับสนุนการนำเทคโนโลยี AI ไปช่วยยกระดับการแพทย์ และเพื่อขับเคลื่อน Medical AI ตามแผนปฏิบัติการฯ เพื่อผลักดันไทยก้าวสู่การเป็น Medical Hub ของเอเชียในอนาคต.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. ร่วมกับเครือข่าย STEM จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมทักษะ STEM แก่ครูระดับประถมศึกษา
(31 สิงหาคม 2566) ณ ห้อง SD-601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรม “เรียน-เล่นแบบ STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics)” แก่ครูระดับประถมศึกษา 12 โรงเรียน เพื่อส่งเสริมศักยภาพการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่จำเป็นในโลกศตวรรษที่ 21 ให้แก่เด็กและเยาวชนไทย
ในกิจกรรมมีการบรรยายถ่ายทอดเทคนิค “Play & Learn สนุกกับการเรียนรู้ STEM และ Coding ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่อง (Story telling) และปรากฏการณ์เป็นฐาน (Phenomenon-based learning)” โดย คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. เพื่อเป็นแนวทางการออกแบบการเรียนรู้และเทคนิคการจัดกิจกรรมตามแนวทาง STEM ให้แก่ผู้เข้าอบรม ซึ่งเป็นภารกิจที่ สวทช. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้าน STEM แล้ว สวทช. ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สื่อการเรียนรู้และของเล่นวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมสำหรับการฝึกฝนทักษะ STEM โดยดำเนินการออกแบบ และจัดหาพันธมิตรด้านการผลิตหรือการตลาด เพื่อผลิตสื่อการเรียนรู้และของเล่นวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพออกสู่สังคมไทย ซึ่งในกิจกรรมครั้งนี้ ทีม playative.com ผู้ออกแบบและผลิตของเล่นและสื่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ได้มาร่วมนำเสนอแนวคิดการออกแบบของเล่น เพื่อเป็นสื่อการสอนให้แก่เด็ก ๆ ภายใต้แนวคิด “การเรียนรู้เป็นการผจญภัยที่สนุกสนาน ช่วยให้ผู้เล่นได้พัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่มีแรงจูงใจในตนเอง (self-motivated learning)”
นอกจากนี้ยังมี ทีมงานอักษรศีล ผู้จัดอบรมให้ความรู้บุคลากรทางการศึกษาและจำหน่ายสื่อการเรียนรู้ เสริมทักษะและของเล่นเด็ก มาร่วมจัดกิจกรรมการคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกกะสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา
การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของ สวทช. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับความรู้ แนวคิดและวิธีการใหม่ ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้เสริมสร้างทักษะและกระบวนการคิดให้แก่นักเรียนหรือบุตรหลานของตนเองได้อย่างเหมาะสม
ข่าวประชาสัมพันธ์

“พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” องคมนตรี เปิดการสัมมนาวิชาการอุดมศึกษา ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ BCG สร้างคน สร้างต้นแบบพัฒนาเศรษฐกิจคู่คุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
วันที่ 31 สิงหาคม 2566 ณ หอประชุมวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี : พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการและแสดงนิทรรศการอุดมศึกษากับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ BCG ซึ่งจัดโดย สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 2 กันยายน 2566
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. บรรยายพิเศษ เรื่อง การขับเคลื่อนเศรฐกิจตามยุทธศาสตร์ BCG ว่า โมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งริเริ่มโดยประเทศไทย และถูกประกาศให้เป็นวาระแห่งชาตินับแต่ปี 2564 นั้น กำลังได้รับการยอมรับในระดับชาติ โดยในการประชุม APEC ที่ผ่านมา ผู้นำทั้ง 21 ชาติ ได้ให้การรับรองเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วย เศรษฐกิจ BCG เนื่องจากมีจุดแข็ง คือ ครอบคลุมทั้ง 3 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio) ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular) ด้านการเศรฐกิจสีเขียว (Green) ที่จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจ ควบคู่กับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันได้ กระทรวง อว. ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG โดยมุ่งสร้างบุคลากร สร้างความรู้ สร้างนวัตกรรม พัฒนาประเทศ ผ่านกลไก 6 ด้านได้แก่ 1) การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรม 2) การสนับสนุนเงินทุนและสิทธิประโยชน์ 3) การบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการ 4) การให้บริการ โครงสร้างและเครือข่าย 5) การเพิ่มความสามารถบุคลากร 6) การปรับปรุงข้อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ กลไกเหล่านี้จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันยุทธศาสตร์ BCG ให้เดินหน้าไปได้
ปลัดกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า นอกจากบทบาทของกระทรวง อว. แล้ว มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และหน่วยงานต่าง ๆ ก็มีส่วนในการขับเคลื่อน BCG สู่ชุมชน ผ่านโครงการ Area-based กล่าวคือ การนำความรู้และนวัตกรรมในการสร้างอัตลักษณ์ชุมชน ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ช่วยเพิ่มความสุขให้กับคนในพื้นที่ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มี 4 มหาวิทยาลัย ทำงานร่วมกับ 130 ตำบล สร้างโครงการต้นแบบภายใต้โมเดล BCG ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดี จึงอยากเชิญชวนทุกสถาบันการศึกษาทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ ร่วมมือกันพัฒนาและแก้ปัญหาให้กับชุมชนโดยมี BCG เป็นฐาน เพื่อเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศได้นำไปประยุกต์ใช้ต่อไป
ทั้งนี้ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. และทีมวิจัย สวทช. ได้เข้าร่วมงานดังกล่าวพร้อมทั้งให้การต้อนรับในบูธนิทรรศการแสดงผลงานด้าน BCG ของ สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร อาทิ ด้านเกษตร ผลงาน Magik Growth หรือ นวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวน ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. นำองค์ความรู้เรื่องวัสดุศาสตร์พัฒนาสูตรผสมเม็ดพลาสติก (polymer compound) ร่วมกับเทคโนโลยีการขึ้นรูปนอนวูฟเวน เพื่อให้วัสดุนอนวูฟเวนมีสมบัติให้น้ำและอากาศผ่านเข้าออกได้โดยง่าย ช่วยให้ทุเรียนที่ถูกห่อด้วยถุงห่อ Magik Growth สามารถสร้างสารสำคัญในผลไม้ทั้งแป้ง น้ำตาล สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ และถุงห่อทุเรียนสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ถึง 2 ฤดูกาลผลิต และยังช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนจากการลดใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงศัตรูพืช สร้างรายได้ให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียน
ด้านพลังงาน อาทิ โครงการวิจัยและพัฒนาแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นความสำเร็จของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
ด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อาทิ นวนุรักษ์ (NAVANURAK) แพลตฟอร์มสำหรับบริหารจัดการข้อมูลวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลวัฒนธรรมความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเป็นระบบ บริการข้อมูลแบบเปิด Open Data (www.navanurak.in.th) เพื่อแบ่งปันข้อมูลไปใช้หรือต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการจัดแสดงนิทรรศการผลงานการวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับการขับเคลื่อนด้วย BCG ได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ภายในงาน มีการบรรยายพิเศษในหัวข้อทีน่าสนใจ อาทิ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ BCG การบูรณาการความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏ ,โรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และ มหาวิทยาลัยราชภัฏยุคใหม่ เป็นต้น
///////////////////////
เกี่ยวกับ ‘โมเดลเศรษฐกิจ BCG’
โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและประชาชนมีรายได้มากขึ้นด้วยการต่อยอดจุดแข็งของประเทศทั้งในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ประกอบด้วย Bioeconomy (ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากร Circular Economy (ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน) การนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และ Green Economy (ระบบเศรษฐกิจสีเขียว) ที่มุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เป็นกลไกลสำคัญที่จะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเดิมจาก ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ไปสู่ ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์

11 องค์กรรัฐ-เอกชน มอบรางวัล “7 Innovation Awards 2023” ปีที่ 10
31 ส.ค. 2566 ณ ไบเทค บางนา : ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานในการมอบรางวัลด้านสังคม พร้อมด้วย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานมอบรางวัลด้านเศรษฐกิจ และ ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานกรรมการตัดสินรางวัล 7 Innovation Awards รวมถึงผู้บริหารองค์กร
และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมแสดงทรรศนะในวาระ “หนึ่งทศวรรษ Thailand Synergy ขับเคลื่อนนวัตกรรมสำหรับประเทศไทยสู่ความยั่งยืน” โดยภายในงานยังมีบูธแสดงผลงานนวัตกรรมจากผู้ที่เคยได้รับรางวัลในอดีตและปัจจุบันรวม 90 บูธ ทั้งนี้ ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) (สวทช.) ร่วมแสดงทรรศนะในโอกาสนี้ด้วยพร้อมทั้งได้เดินชมบูทที่ สวทช. ได้มีร่วมสนันสนุนอีกด้วย
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นับเป็นเวลาถึงหนึ่งทศวรรษแล้วที่งาน Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนวัตกรรมสำหรับประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน เซเว่น อีเลฟเว่นและองค์กรความร่วมมือทั้ง 10 องค์กร ต่างตระหนักร่วมกันว่า การที่ประเทศจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งทั้งในระบบเศรษฐกิจและสังคม ต้องอาศัยนวัตกรรมเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อน โดย SMEs และสตาร์ตอัป ถือเป็นฐานรากสำคัญของประเทศ ซึ่งการให้ความสำคัญและใส่ใจพัฒนานวัตกรรมอย่างจริงจังจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างการเติบโตให้กับประเทศได้ในระยะยาว ซึ่งตลอด 9 ปีที่ผ่านมา SMEs และสตาร์ตอัปไทย ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพผ่านผลงานที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ งาน “Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย ประจำปี 2023” ยังคงถูกจัดภายใต้วัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อเฟ้นหาสินค้านวัตกรรมจาก SMEs และบริษัทสตาร์ตอัปไทยที่มีศักยภาพ ในการพัฒนาและต่อยอดให้เป็นนวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจนได้รับการยอมรับในระดับประเทศ และในระดับโลก และเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้ทดสอบศักยภาพของตนเองในการยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมในระดับประเทศในปีนี้มีผู้ประกอบการส่งผลงานเข้าประกวดเพื่อชิงรางวัลสุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards ประจำปี 2023 รวม 182 ผลงาน และมีผลงานที่ผ่านการตัดสินให้ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 33 รางวัล แบ่งเป็น 2 ประเภทรางวัล ได้แก่ รางวัลนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ครอบคลุมด้านผลิตภัณฑ์ ด้านบริการ หรือด้านกระบวนการ จำนวน 19 รางวัล และรางวัลนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษา รวมถึงโครงการเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) จำนวน 14 รางวัล
- รางวัลนวัตกรรมประเภทที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ จำนวน 19 รางวัล
รางวัลชนะเลิศ
นิ่มนิ่ม เส้นไข่ขาวพร้อมทาน บริษัท แข็งแรงทุกวัน จำกัด
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 2 รางวัล
1.CIRA Core Automation and Technology บริษัท ซีร่า ออโตเมชั่น แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด
2.Tasted Better แป้งเสริมอาหารดัชนีน้ำตาลต่ำ บริษัท เทสเต็ด เบ็ตเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 2 รางวัล
1.สเปรย์ดับเพลิง เฟลมเมกซ์ (FLAMEX) บริษัท นาซ่าไฟร์โปรดัคส์แอนด์เซฟตี้ จำกัด
2.Tiger Cash Box ตู้เก็บเงินอัจฉริยะ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ยิ่งยง สมาร์ท บิส
รางวัล Inventor Awards (สุดยอดนักประดิษฐ์) จำนวน 5 รางวัล
1.Jello Boom ขนมเจลลี่บุกสอดไส้น้ำผลไม้ บริษัท วีที สวีท แอนด์ ฟู้ด อินโนเทค จำกัด
2.Orga Organic Pet แชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงจากสารสกัดผลไม้ไทย บริษัท โบทานิคส์ ไลฟ์ จำกัด
3.VFlow ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงหลอดเลือด บริษัท เจดับบลิว เฮอร์เบิล จำกัด
4.MR.Zen เฟรนฟรายส์จากถั่วเขียวทอง บริษัท สไมล์ฟาร์ม ฟู้ด แอนด์ เซอร์วิส จำกัด
5.Vincent's เซรั่มเวชสำอางค์โพรไบโอติก บริษัท พาริช สกิน จำกัด
รางวัล Creator Awards จำนวน 9 รางวัล
1.Durrianar สกินแคร์สารสกัดจากยอดอ่อนและดอกทุเรียน บริษัท ทิพย์สุรัตน์ จำกัด
2.MoveMax Smart Logistics แพลตฟอร์มบริหารงานขนส่งสินค้าแบบครบวงจร บริษัท แฮนด์ดี้วิง จำกัด
3.iCube ระบบการบริหารจัดการข้อมูลสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม บริษัท ไอคิวบ์ จำกัด
4.แผ่นเส้นใยนาโนเซลลูโลสจากข้าว บริษัท ไทยนาโนเซลลูโลส จำกัด
5.SmartTerra สวนตู้ระบบนิเวศอัจฉริยะ บริษัท ฉลาด อินโนเวชั่น จำกัด
6.UVC Matrix หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติฆ่าเชื้อด้วยลำแสงยูวีซี บริษัท อินเตอร์เฟส ซิสเทค จำกัด
7.ถั่วลายเสือพร้อมรับประทาน ตราเคซี บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน)
8.C-Shortz คอลลาเจนพร้อมดื่ม บริษัท ซีโฟร์ เกรท อินโนเวชั่น จำกัด
9.ห่อหมกพุดดิ้ง ตราแม่ประไพ บริษัท เอช.พี.เฮลธี โฟรเซ่น ฟู้ดส์ จำกัด
- รางวัลนวัตกรรมประเภทที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จำนวน 14 รางวัล
รางวัลชนะเลิศ
Vulcan แพลตฟอร์มยกระดับอาชีพผู้พิการเป็นผู้ฝึกสอน AI บริษัท วัลแคน โคอะลิชั่น จำกัด
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 2 รางวัล
1.Advanced GreenFarm ระบบเพาะเลี้ยงวูฟเฟีย บริษัท แอดวานซ์กรีนฟาร์ม จำกัด
2.ฟางไทย เยื่อฟางข้าวและบรรจุภัณฑ์ขึ้นรูปจากเยื่อฟางข้าวอินทรีย์ บริษัท ฟางไทย แฟคทอรี่ จำกัด
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 2 รางวัล
1.M-zlex นวัตกรรมการผลิตน้ำเชื้อโคแยกเพศ บริษัท สยามโนวาส จำกัด
2.โอวาโด น้ำมันอะโวคาโดซอฟเจล บริษัท บริบูรณ์ฟาร์ม จำกัด
รางวัล Inventor Awards (สุดยอดนักประดิษฐ์) จำนวน 5 รางวัล
1.โมเดลธุรกิจแปรรูปกล้วยน้ำว้าเพื่อชุมชน วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านแคว
2.ผลิตภัณฑ์แปรรูปส้มมะปี๊ด แบรนด์แรบบิทจันท์ บริษัท แรบบิทจันท์ จำกัด
3.ผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงเบา แบรนด์แม่ทม บริษัท แม่ทมของอร่อย จำกัด
4.Plastic Value Added เครื่องกำจัดขยะพลาสติกเป็นน้ำมัน บริษัท ซินฮวดเฮง นวัตกรรม จำกัด
5.Oryzwel ผลิตภัณฑ์นมข้าวข้นหวานจากข้าวและธัญพืช บริษัท อิมฟู้ดครีเอชั่น จำกัด
รางวัล Creator Awards จำนวน 4 รางวัล
1.Recycle Day แพลตฟอร์มระบบจัดการขยะแบบครบวงจร บริษัท รีไซเคิลเดย์ จำกัด
2.Yorice สาเกหวานจากข้าวไทย บริษัท ทีเอชซี (ประเทศไทย) จำกัด
3.Anatani นมถั่วแระญี่ปุ่น บริษัท อะนาตานิ จำกัด
4.Vocoa โกโก้ไทยใส่ใจสุขภาพ บริษัท อมิวสโก้ ไบโอเทค จำกัด
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ https//www.7innovationawards.com และสามารถรับชมบรรยากาศงานย้อนหลังได้ทางhttps://www.facebook.com/7innovationawards
ข่าวประชาสัมพันธ์

ไบโอเทค สวทช. ‘เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไผ่เศรษฐกิจ 150,000 ต้น’ มุ่งส่งมอบไผ่พันธุ์ดี ไม่ติดอายุแม่
'ไผ่' เป็นพืชเศรษฐกิจของไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง นำไปใช้ประโยชน์ได้แทบทุกส่วน อาทิ หน่อและใบใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนของลำและเนื้อไม้ใช้ในงานแปรรูปเป็นโครงสร้างสถาปัตยกรรมและเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นชีวมวลในการผลิตเชื้อเพลิงเพื่อหล่อเลี้ยงการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตามการจะปรับปรุงพันธุ์และขยายต้นกล้าไผ่ให้ได้คุณภาพสูงตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เนื่องจากไผ่เป็นพืชที่อายุยืนยาว แต่เมื่อถึงช่วงของการออกดอก ไผ่ที่เกิดจากกอแม่เดียวกันจะทยอยตายตามกันไปจนหมดเรียกว่า ‘ตายขุย’ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสูญเสียเป็นวงกว้าง
นอกจากนี้การปลูกไผ่ให้มีลักษณะเด่นตรงตามสายพันธุ์ด้วยวิธีการขยายพันธุ์จากต้นแม่ด้วยวิธีปกติ อาทิ การแยกเหง้า ชำลำ และเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากข้อ ยังมีข้อจำกัดในเรื่องอายุเหง้า เพราะต้นลูกจะจดจำอายุของต้นแม่มาด้วย ดังนั้นหากต้นแม่มีอายุใกล้จะออกดอก ต้นที่เกิดใหม่ก็จะออกดอกแล้วตายไปพร้อม ๆ กับต้นพันธุ์ ทำให้ ‘ต้นที่ปลูกใหม่มีอายุสั้น เกษตรกรอาจได้รับผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน’
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดำเนินโครงการขยายต้นพันธุ์ไผ่ เพื่อส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งมอบต้นพันธุ์ไผ่ปลอดโรคจำนวน 150,000 ต้น ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการภายในปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงบประมาณ
[caption id="attachment_46323" align="aligncenter" width="750"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่าธรรมชาติของไผ่จะมีอายุ 3 แบบ ได้แก่ อายุเหง้า (ต้นแม่จากการเพาะเมล็ด) อายุปลูก (แยกกอมาปลูก) และอายุลำ (ลำที่พัฒนาใหม่ในกอแต่ละปี) ซึ่งโดยทั่วไปการขยายต้นกล้าไผ่นิยมทำด้วยวิธีชำลำ แยกเหง้าลงดิน หรือตัดข้อของต้นไผ่มาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพราะจะทำให้ต้นลูกมีลักษณะตรงตามต้นแม่พันธุ์ อย่างไรก็ตามวิธีการเหล่านี้มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ ‘ต้นลูกจะมีอายุเท่ากับอายุเหง้าของต้นแม่’ ส่วนหากเกษตรกรเพาะปลูกด้วยเมล็ดจากต้นพันธุ์ แม้ต้นใหม่ที่ได้จะไม่ติดอายุต้นแม่มาด้วย แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีลักษณะไม่เหมือนกับต้นพันธุ์เนื่องจากการแปรปรวนทางพันธุกรรม เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยได้ดำเนินโครงการขยายต้นพันธุ์ไผ่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ 2 รูปแบบคู่ขนานกันไป
[caption id="attachment_46321" align="aligncenter" width="750"] การชักนำให้เกิดต้นอ่อนจากแคลลัส (callus)[/caption]
“รูปแบบแรก คือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นไผ่ด้วยวิธีการโซมาติกเอมบริโอเจเนซิส (somatic embryogenesis) หรือการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากเซลล์ร่างกาย (somatic cells) ผ่านการชักนำให้เกิดต้นอ่อนจากแคลลัส (callus) ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่ โดยกลุ่มเซลล์นี้พัฒนาขึ้นจากการกระตุ้นเนื้อเยื่อเจริญ (meristem) ของต้นพันธุ์ด้วยอาหารเพาะเลี้ยงที่เหมาะสมในห้องปฏิบัติการ ซึ่งหากประสบความสำเร็จ ต้นอ่อน (somatic embryo) ของไผ่ที่เจริญเป็นต้นใหม่ (regeneration) จะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนแม่ทุกประการ (clonal plants) และมีอายุเริ่มต้นจากศูนย์หรือไม่จดจำอายุของต้นแม่มาด้วย ซึ่งขณะนี้การวิจัยอยู่ระหว่างติดตามการเจริญเติบโตเพื่อเปรียบเทียบกับต้นพันธุ์ต้นแม่ คาดว่าจะได้ทราบผลที่แน่ชัดภายในปีหน้า ส่วนรูปแบบที่สอง คือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากข้อของต้นพันธุ์ไผ่ที่รู้อายุ และผ่านการคัดเลือกลักษณะทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์การใช้งานแล้ว เพื่อให้ได้ต้นไผ่ที่ใช้ประโยชน์ได้ยืนยาวคุ้มค่าแก่การลงทุน โดยการทำวิจัยเฟสแรกนี้ทีมวิจัยตั้งเป้าหมายที่จะขยายต้นกล้าไผ่เพื่อการใช้ประโยชน์ด้านงานโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และเฟอร์นิเจอร์ อาทิ ไผ่รวกดำ (รวกใหญ่) ไผ่ซางหม่น และไผ่บงใหญ่ โดยได้รับการอนุเคราะห์พันธุ์ไผ่ที่ผ่านการคัดเลือกลักษณะทางเศรษฐกิจมาแล้วจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ให้การสนับสนุนโครงการ”
[caption id="attachment_46325" align="aligncenter" width="750"] การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากข้อของต้นพันธุ์ไผ่ที่รู้อายุ[/caption]
ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนากระบวนการขยายพันธุ์จนได้ ‘ต้นอ่อนไผ่ปลอดโรค’ ในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการนำความเชี่ยวชาญรวมถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของไบโอเทค สวทช. มาพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยอาหารเหลวแบบ ‘Temporary Immersion Bioreactor (TIB)’ หรือ ‘ระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม’ เพื่อเร่งขยายพันธุ์ไผ่ให้ทันต่อการส่งมอบต่อไป
[caption id="attachment_46320" align="aligncenter" width="750"] ระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม (TIB)[/caption]
ดร.ยี่โถ อธิบายว่า โดยทั่วไปการเลี้ยงต้นอ่อนที่เกิดจากกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะใช้การเพาะเลี้ยงต้นอ่อนในห้องปฏิบัติการภายใต้สภาพปลอดเชื้อด้วยอาหารแข็งหรือกึ่งแข็ง (1 ต้น ต่อ 1 ขวดโหล) ซึ่งเป็นวิธีการที่มีค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์และอาหารเพาะเลี้ยงไม่สูงนัก แต่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลปรับสูตรอาหาร สภาพแวดล้อม รวมถึงการย้ายเนื้อเยื่อพืชและเปลี่ยนอาหารใหม่ (subculture) ทุกต้น จนกว่าจะได้ต้นที่แข็งแรงและมีขนาดเหมาะสมแก่การจำหน่าย แต่ในกรณีของการขยายพันธุ์ในระดับเชิงพาณิชย์ (mass scale) ภายในระยะเวลาอันสั้น ทีมวิจัยมีความจำเป็นต้องเลือกใช้กระบวนการเลี้ยงด้วยวิธีการ TIB ซึ่งแม้จะมีต้นทุนด้านวัสดุและเครื่องมือที่สูงกว่า แต่ถือเป็นวิธีการที่คุ้มทุน เพราะช่วยลดต้นทุน แรงงาน และเวลาผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[caption id="attachment_46318" align="aligncenter" width="750"] ระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม (TIB)[/caption]
“การเลี้ยงต้นอ่อนด้วยวิธี TIB จะใช้ไบโอรีแอกเตอร์ที่มีลักษณะเป็นภาชนะขนาดใหญ่ 2 ภาชนะ วางซ้อนกันบน-ล่าง ภาชนะบนใช้สำหรับเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ภาชนะล่างใช้สำหรับใส่อาหารเพาะเลี้ยง ระบบจะดันอากาศเข้าทางโหลล่างเพื่อดันอาหารเพาะเลี้ยงขึ้นมาท่วมเนื้อเยื่อในภาชนะบนด้วยความถี่และระยะเวลาที่เหมาะสมตามที่ทีมวิจัยตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ เพื่อควบคุมปริมาณอาหารและสภาพแวดล้อมให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช ช่วยให้ประหยัดต้นทุนและเวลาในการดูแลรวมถึงการย้ายต้นอ่อนได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญต้นอ่อนของพืชที่เลี้ยงด้วยวิธีนี้จะโตเร็วกว่าวิธีเดิม 3-5 เท่า อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการเจริญและพัฒนาเป็นต้นอ่อนสมบูรณ์ได้ครั้งละปริมาณมากด้วย โดยในกรณีของไผ่ที่ลำต้นมีขนาดเล็กหากเลี้ยงด้วยไบโอรีแอกเตอร์ขนาด 5 ลิตร ภายใน 1 เดือนจะได้ไผ่สำหรับแจกจ่ายมากถึง 1,000 ต้นต่อไบโอรีแอกเตอร์ ทั้งนี้ภายหลังจากการผลิตต้นไผ่เพื่อส่งมอบผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในเฟสแรกเรียบร้อยแล้ว ทีมวิจัยมีแผนที่จะวิจัยและพัฒนากระบวนการขยายพันธุ์ต้นไผ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่น ๆ อาทิ ไผ่หม่าจู ไผ่ข้าวหลาม ไผ่ยักษ์ ไผ่ตง ไผ่เลี้ยงลำ ต่อไปในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ตามแม้ทีมวิจัยจะมีความเชี่ยวชาญด้านการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และการเลี้ยงต้นอ่อนด้วยเทคนิค TIB แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกครั้งที่เริ่มต้นพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชนิดที่แตกต่างกันออกไป ปัจจัยทางพันธุกรรม (genetic dependent) ที่ส่งผลต่อการตอบสนองการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ยังคงเป็นโจทย์ท้าทายในการวางแผนวิจัยรวมถึงแนวทางการตั้งรับเมื่อต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาของเซลล์พืชอยู่เสมอ
ดร.ยี่โถ เล่าว่า การเพาะเลี้ยงพืชต่างชนิดและสายพันธุ์ต้องพัฒนาสูตรอาหารและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมแบบจำเพาะต่อพันธุกรรมของพืชเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในระบบโซมาติกเอมบริโอเจเนซิส ที่ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในการทำวิจัยสูง แต่หากผลการทำวิจัยประสบความสำเร็จแล้ว ก็ถือเป็นการดำเนินงานที่คุ้มค่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเกษตรไทย ซึ่งทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. พร้อมส่งเสริมการขยายพันธุ์พืชเศรษฐกิจให้แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเปิดให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสม ไปจนถึงการพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงในระดับอุตสาหกรรม
"ทีมวิจัยมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำให้คนไทยได้เข้าถึงทรัพยากรชีวภาพประสิทธิภาพสูง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตลอด value chain โดยนอกจากการผลิตต้นพันธุ์ไผ่คุณภาพสูงปลอดโรคเพื่อส่งมอบให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการดังที่ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันแล้ว ที่ผ่านมาทีมวิจัยยังได้พัฒนากระบวนการคัดเลือกพันธุ์พืชเศรษฐกิจและการขยายพันธุ์พืชในระดับอุตสาหกรรม เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ที่สนใจมาโดยตลอดด้วย ตัวอย่างพันธุ์พืช เช่น พืชตระกูลปาล์มอย่าง ปาล์มน้ำมัน อินทผลัม พืชสมุนไพรอย่าง กระชายดำ ขมิ้นชัน และไม้ดอกมูลค่าสูงอย่างปทุมมา" ดร.ยี่โถ กล่าวทิ้งท้าย
การวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตต้นพันธุ์แท้ปลอดโรคของพืชเศรษฐกิจในระดับอุตสาหกรรม เป็นก้าวสำคัญของการยกระดับเศรษฐกิจชีวภาพของไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรชีวภาพและการอนุรักษ์ทรัพยากรให้คงอยู่ในระยะยาว ตามแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ผู้ที่สนใจติดต่อขอรับองค์ความรู้ รับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต หรือร่วมวิจัยการผลิตพืชชนิดพันธุ์ใหม่ ได้ที่ ทีมนวัตกรรมโรงเรือนผลิตพืชสมุนไพร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช.
[caption id="attachment_46319" align="aligncenter" width="450"] ทีมวิจัย[/caption]
[caption id="attachment_46322" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัย[/caption]
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ปฏิวัติ อ่อนพุทธา ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก และไบโอเทค สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ทูลเกล้าฯ ถวายโปรแกรมประเมินภาวะโภชนาการ KidDiary เพื่อใช้ในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริฯ
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2566 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จออก ณ อาคารชัยพัฒนา สวนจิตรลดา พระราชทานพระราชวโรกาสให้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เนคเทค สวทช. และ ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช. เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท
เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายโปรแกรมประเมินภาวะโภชนาการ หรือ KidDiary ซึ่งจัดทำในรูปแบบ offline ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (ปัจจุบันเปิดให้บริการในรูปแบบ online) จำนวนทั้งสิ้น 500 ชุด เพื่อทรงนำไปใช้ในกิจกรรมของโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และพระราชทานแก่สถานศึกษาในโครงการตามพระราชดำริ ฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับใช้ประโยชน์ในการประเมินภาวะโภชนาการของเด็กและเยาวชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งด้านโภชนาการและสุขอนามัยให้เป็นไปตามมาตรฐานการเจริญเติบโตใหม่ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ยังได้ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อเรื่อง "โปรแกรมประเมินภาวะโภชนาการเด็ก 1 วัน - 19 ปี (KidDiary for Excel)" ในโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งได้จัดฝึกอบรมสำหรับคณะครูและบุคลากรทางการศึกษาจากประเทศต่าง ๆ อันได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ระหว่างวันที่ 22-30 สิงหาคม 2566 โดย KidDiary เป็นคลังข้อมูลสุขภาพเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ ที่มีความทันสมัยและเชื่อมโยงกันแบบ Real-time ในหน่วยงาน ช่วยให้เกิดการบูรณาการ การดูแลและส่งเสริมภาวะโภชนาการและพัฒนาการของเด็กไทยให้มีสุขภาพดีสมวัย
ติดตามรายละเอียดโปรแกรมประเมินภาวะโภชนาการ (KidDiary) ได้ที่เว็บไซต์ https://kiddiary.in.th/ และ https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/kiddiary-platform.html
ข่าวประชาสัมพันธ์

นาโนเทค สวทช. จัดสัมมนา “Shaping the Future of Beauty & Food Innovation” ในงานแถลงข่าวการจัดงาน Vitafoods Asia 2023
อาหารและความสวยความงาม ต่างเป็นอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และแข่งขันสูง การพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบความต้องการของ 2 อุตสาหกรรมใหญ่นี้ เสมือนการติดอาวุธให้ผู้ประกอบการมีจุดแข็ง เพื่อก้าวสู่การแข่งขันในตลาดสากล ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงจัดสัมมนา"Shaping the Future of Beauty & Food Innovation" ขึ้น โดยจะมุ่งเน้นการให้ความรู้ทางด้านงานวิจัย นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมความงามและอาหาร รวมถึงการแชร์ประสบการณ์ในการทำวิจัย/ทำธุรกิจจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ โดยเป็นกิจกรรมภายใต้งานแถลงข่าวการจัดงาน Vitafoods Asia 2023 ในวันพุธที่ 6 กันยายน 2566 เวลา 13.00-16.45 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพ
งาน Vitafoods Asia 2023 เป็นงานแสดงสินค้า บริการและนวัตกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรม Nutraceutical, Food and beverage โดยเชื่อมต่อซัพพลายเออร์จากต่างประเทศกว่า 600 รายและผู้นำธุรกิจกว่า 21,000 รายในอุตสาหกรรมอาหารเสริมและอาหารและเครื่องดื่ม ที่มองหาแหล่งที่มาของส่วนผสม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และบริการที่เป็นนวัตกรรมและมีคุณภาพสูงสุด ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20-22 กันยายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
ปฏิทินกิจกรรม

เดินหน้ารุกแผน AI แห่งชาติ เผยผล 1 ปีการดำเนินงาน พร้อมปักธงโปรเจกต์ใหญ่ พัฒนาข้อมูล AI หนุนการแพทย์
For English-version news, please visit : NSTDA unveils one-year progress report on the implementation of National AI Strategy and Action Plan
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ที่สามารถทลายขีดจำกัดของมนุษย์ และพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังเช่น ChatGPT และ Midjourney ที่ทำงานได้ซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ทั่วโลกไม่อาจปฏิเสธต่อการนำ AI มาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมแทบทุกภาคส่วน เช่น ด้านอุตสาหกรรม การเกษตร การแพทย์ การศึกษา การท่องเที่ยว หรือแม้แต่ในด้านการตลาด AI ยังมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ เจาะลึกพฤติกรรมลูกค้า และสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่เป็นกระแสความนิยมบนโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างยอดขายให้ธุรกิจ ขณะที่หน่วยงานภาครัฐเริ่มนำ AI มาใช้เพิ่มคุณภาพการบริหาร การให้บริการ รวมถึงการร้องเรียนต่าง ๆ เพื่อดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึง หากแต่ว่าแม้ AI จะมีคุณอนันต์ ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดโทษมหันต์ได้ หากรู้ไม่เท่าทัน นำไปใช้ในทางที่ผิด หรือไม่มีหน่วยงานที่พร้อมกำกับดูแลใกล้ชิด
เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนา AI ที่จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565–2570” (Thailand National AI Strategy and Action Plan 2022-2027) โดย สวทช. และ สดช. ร่วมเป็นเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนฯ ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานมาครบรอบ 1 ปี จึงจัดแถลงข่าว “1 ปี แผนปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน Medical AI” (เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว.
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการร่วมของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การจัดทำแผนปฏิบัติการ AI ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่สำคัญในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล มีการจัดทำคู่มือจริยธรรม AI เล่มแรกของไทย การจัดหลักสูตรจริยธรรมที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และการเปิดตัวศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ AI อย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางบริการ AI บนคลาวด์ภาครัฐ (GDCC) รวมทั้งเปิดให้บริการ LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณอันดับ 1 ในอาเซียน และอันดับที่ 70 ของโลก สำหรับการวิจัยและพัฒนาของภาครัฐและเอกชน
“ด้านการพัฒนากำลังคน ขณะนี้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนด้าน AI ได้เห็นชอบภาพรวมข้อเสนอการพัฒนากำลังคนด้าน AI เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI ในทุกระดับและทุกสาขาตรงตามความต้องการของเอกชน ส่วนผลงานด้านนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้ เช่น มีหน่วยงานภาครัฐใน 76 จังหวัด นำระบบวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาความยากจนแบบชี้เป้า (TPMAP) เข้าไปขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย ทั้งนี้จากการดำเนินงานขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ในด้านต่าง ๆ ส่งผลให้ปัจจุบันมีบุคลากรเข้ารับการอบรมในโครงการและหลักสูตร AI จำนวน 83,721 คน มีโครงการวิจัยและพัฒนาด้าน AI ในกองทุนวิจัยมูลค่า 1,290 ล้านบาท มีสตาร์ตอัปลงทุนเพิ่มจากการส่งเสริมของรัฐมูลค่า 639 ล้านบาท และที่สำคัญคือจากการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (AI Government Readiness Index) ประเทศไทยเลื่อนอันดับขึ้นจาก 59 เป็น 31 ทันทีที่มีแผนปฏิบัติการ AI ในปีที่ผ่านมา (ทั้งนี้สามารถติดตามรายละเอียดการดำเนินงานเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ai.in.th)”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างผลงานการประยุกต์ใช้ AI ที่จะเป็นก้าวสำคัญสู่การขับเคลื่อนวงการแพทย์ คือ การพัฒนาเครือข่ายและแพลตฟอร์มบริหารจัดการข้อมูลเปิดด้านการแพทย์ หรือ Medical AI Data Sharing โดยวันนี้มีการลงนามความร่วมมือ เรื่อง “การวิจัยพัฒนาชุดข้อมูลและนวัตกรรม เพื่อต่อยอดการใช้ประโยชน์ด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์” ระหว่าง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ สวทช. ภายใต้การสนับสนุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.)
“ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ทางการแพทย์มากขึ้น แต่โจทย์ใหญ่คือการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดด้านการแพทย์ที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยด้าน AI เข้าถึง เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงการขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ดังนั้นความร่วมมือในการพัฒนา Medical AI ของทั้ง 3 หน่วยงานในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้นักวิจัยด้าน AI ได้เข้าถึงคลังข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอกซเรย์ทรวงอก ภาพ MRI/CT มะเร็ง ภาพจอประสาทตา (โดยข้อมูลมีการจัดการด้านข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ผ่านคณะกรรมการ Medical AI DATA Consortium) เพื่อให้สามารถนำความเชี่ยวชาญด้าน AI เข้าไปส่งเสริม ขยายผล และต่อยอดการใช้ประโยชน์ของข้อมูล ดังเช่น กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประสบความสำเร็จในการพัฒนา “AIChest4All” ซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้แพทย์คัดกรองผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด วัณโรค โรคทรวงอก และความผิดปกติอื่น ๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำใน 1 นาที เครือข่ายความร่วมมือที่ครบวงจรเช่นนี้จะดึงดูดให้โรงพยาบาลวิจัย และหน่วยงานสาธารณสุข ให้ความสนใจเข้าร่วมอีกไม่น้อย นับเป็นอีกความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI จะเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้มีความทันสมัย รวมทั้งผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ (Medical Hub) ของเอเชีย”
ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ในนามกระทรวง อว. ยินดีที่มีส่วนสำคัญในการร่วมกันผลักดันการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เป้าหมายของแผนฯ ที่กำหนดไว้ ให้เกิดผลลัพธ์อย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรม ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมการเพื่อให้เท่าทันต่อการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ดังนั้น การเตรียมความพร้อมในระดับต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างความสามารถทางเทคโนโลยี AI ในประเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวนี้ได้วางมิติการพัฒนาได้อย่างครบถ้วน ทั้งในเรื่องของกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากำลังคน การวิจัยพัฒนา และส่งเสริมการประยุกต์ใช้งาน AI ซึ่งในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาของการดำเนินงาน ภายหลังอนุมัติแผนฯ อย่างเป็นทางการ ได้แสดงให้เห็นถึงพลังความร่วมมือที่ทุกท่านได้เข้ามามีบทบาทร่วมกันผลักดันการดำเนินงาน จนเกิดผลงานตัวชี้วัดที่สำคัญ ที่ส่งผลกระทบทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคม
และในวันนี้เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่จะแสดงให้เห็นถึงการบูรณาการความร่วมมือ ระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ได้ประสานพลังเพื่อทำงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเน้นบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานที่จะอาศัยศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน ผลักดันให้เกิดการพัฒนาแพลตฟอร์มการบริหารจัดการข้อมูลเปิดด้านการแพทย์ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาและการต่อยอดการใช้ประโยชน์ด้านปัญญาประดิษฐ์ รวมไปถึงการพัฒนากำลังคน ตลอดจนส่งเสริมระบบนิเวศการวิจัยและพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ของประเทศไทยให้ก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘Winona Probio’ นวัตกรรมเสริมสุขภาพจาก ‘โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย’ คุณภาพมาตรฐานสากล
For English-version news, please visit : Winona Probio: Probiotic supplement based on locally isolated microorganisms
Tech: สุดปัง ! “Winona Probio” นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยรายแรกในประเทศ ผลิตจากจุลินทรีย์มีชีวิตที่ผ่านการคัดแยก วิจัยพัฒนา และทดสอบประสิทธิภาพในคนไทยแล้ว หนึ่งในผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. หรือ NAC2023
BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์โดยศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางวิจัยด้านโพรไบโอติก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) พัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิตเซลล์จุลินทรีย์โพรไบโอติกในระดับกึ่งอุตสาหกรรมโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์โดยบริษัทวิโนน่า เฟมินิน จำกัด ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 0 2821 5501 อีเมล : nopppart.s@winonafeminine.com เฟซบุ๊ก : วิโนน่า คอสเมติกส์ ไลน์ : @winona หรือเว็บไซต์ www.winonafeminine.com
[caption id="attachment_46231" align="aligncenter" width="700"] นพรัตน์ สุขสราญฤดี ผู้ก่อตั้ง บริษัทวิโนน่า เฟมินิน จำกัด[/caption]
นพรัตน์ สุขสราญฤดี ผู้ก่อตั้ง บริษัทวิโนน่า เฟมินิน จำกัด เล่าว่า บริษัทเริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เฟมินินแคร์จากสมุนไพรไทย โดยเน้นทำตลาดในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของเราเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ภายนอก เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จึงเริ่มมองหานวัตกรรมเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ และพบว่าในต่างประเทศมีการนำจุลินทรีย์โพรไบโอติกมาใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพกันเป็นจำนวนมาก แต่ในประเทศไทยยังมีน้อยและส่วนใหญ่ต้องนำเข้า ในขณะที่อุตสาหกรรมโพรไบโอติกมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น จึงเกิดความสนใจที่จะนำโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ โดยเราได้รับอนุญาตใช้สิทธิข้อมูลเทคโนโลยีจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยจำนวน 2 สายพันธุ์ จากศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางวิจัยด้านโพรไบโอติก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) ถัดมาได้ร่วมวิจัยกับไบโอเทค สวทช. ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกเพื่อสตรี เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีคุณภาพที่ดีตามมาตรฐานระดับสากล และมีความพร้อมในการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับ บริษัทวิโนน่า เฟมินิน จำกัด และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
[caption id="attachment_46226" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย[/caption]
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์วิโนน่าโพรไบโอ คือ ผลิตจากจุลินทรีย์โพรไบโอติก Lactobacillus paracasei และ Bifidobacterium animalis สายพันธุ์ไทย ที่มีเซลล์มีชีวิตจำนวนสูง ผ่านการพิสูจน์คุณสมบัติการเป็นโพรไบโอติกที่ดี และได้รับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ขององค์การอาหารและยา (อย.) จากผลการศึกษาโดยศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางวิจัยด้านโพรไบโอติก มศว. พบว่าเป็นโพรไบโอติกที่มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบในตับและลำไส้ ลดการสะสมของไขมัน ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากโพรไบโอติกไม่ใช่ยาหรือสารเคมี แต่เป็นจุลินทรีย์ตามธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว
[caption id="attachment_46227" align="aligncenter" width="700"] ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลิตภัณฑ์วิโนน่าโพรไบโอ ใช้เทคโนโลยีกระบวนการผลิตเซลล์โพรไบโอติกของโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (BBF) สวทช. ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตอาหาร และได้รับมาตรฐานสากล Codex GHPs และ HACCP รวมถึงการดำเนินงานภายใต้แนวทางการปฏิบัติที่ดีในการใช้จุลินทรีย์ในระดับอุตสาหกรรม หรือ Good Industrial Large Scale Practice (GILSP) ในสภาพควบคุมระดับ LS1 โดย BBF มีความพร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญ องค์ความรู้ และเครื่องมือที่ทันสมัย พร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์กลุ่มวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมชีวภาพ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยและผลิตด้วยเทคโนโลยีของคนไทยไม่เพียงตอบโจทย์เทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการนำเข้าโพรไบโอติก ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพิ่มการสร้างงาน และเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารใหม่ของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย : ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

Industry 4.0 Platform ศูนย์รวมบริการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0
สวทช. จัดกิจกรรม NSTDA Meets the Press นำคณะสื่อมวลชนไปพบปะพูดคุยกับนักวิจัยเกี่ยวกับ Industry 4.0 Platform แพลตฟอร์มบริการที่พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการภาคการผลิตหรือโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงกระบวนการผลิตสินค้า ให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านต่างๆ เพื่อยกระดับโรงงานสู่การเป็นอุตสาหกรรม 4.0
สำหรับ Industry 4.0 Platform เป็นหนึ่งใน Core Business ของ สวทช. โดยการยกระดับภาคการผลิตสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วย Industry 4.0 Platform จะเป็นขุมพลังหลักในการผลักดันอุตสาหกรรมไทยให้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน พร้อมรองรับโลกอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
คลิปสั้นทันเหตุการณ์