หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ให้บริการ ‘Industry 4.0 Platform’ บริการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร
For English-version news, please visit : Industry 4.0 Platform: Empowering industrial transformation   ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 (industry 4.0) หรือการปรับเปลี่ยนให้เครื่องจักรภายในโรงงานสื่อสารถึงกันและกัน และสื่อสารกับมนุษย์ได้แบบเรียลไทม์ เพราะจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบและสั่งการเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตด้วย อย่างไรก็ตามการจะยกระดับภาพรวมของอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องอาศัยความพร้อมหลายด้าน ทั้งจากผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน สวทช. จึงเปิดให้บริการ 'Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (one-stop service) โดยเปิดให้บริการ 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย 'i4.0 maturity' ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศ โดยมี Thailand i4.0 Index เป็นเครื่องมือในการวัดระดับความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นการยกระดับได้อย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน 'i4.0 consulting' บริการให้คำปรึกษาด้านการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ 'i4.0 training' บริการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบระบบเทคโนโลยีสำหรับใช้งานภายในโรงงาน (System Integrator: SI) แรงงานทักษะสูง และผู้ให้บริการประเมินความพร้อมโรงงาน และสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มต้นวางแผนการยกระดับอุตสาหกรรม 'Industry 4.0 Platform’ ได้เปิดให้บริการประเมินอุตสาหกรรมด้วย 'Thailand i4.0 index' เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงสถานะความพร้อมของกิจการ โดยเปรียบเทียบกับกิจการชั้นนำระดับประเทศและระดับสากลที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน พร้อมแนะนำ 4 มิติที่ควรเร่งพัฒนาก่อน เพื่อปิดช่องโหว่ของความไม่พร้อม และเพิ่มประสิทธิภาพของสายการผลิต โดยผู้ประกอบการที่นำกิจการเข้ารับการประเมินด้วย 'Thailand i4.0 index' และได้รับการเห็นชอบแผนพัฒนาจาก สวทช. สามารถนำเอกสารรับรองยื่นขอรับการส่งเสริมจาก BOI เพื่อสิทธิประโยชน์ด้านการยกเว้นภาษีเงินได้ในสัดส่วน 100% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปี 'เปรียบเสมือนภาครัฐช่วยลงทุน’ (เงื่อนไขตามข้อกำหนดของ BOI)     บันได 4 ขั้น ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ขั้นแรกคือการประเมินความพร้อมด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ที่ www.nstda.or.th/i4platform/checkup เพื่อให้ทราบในเบื้องต้นว่าอุตสาหกรรมของตนอยู่ในระดับใด ขั้นที่สองคือการประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมรับคำแนะนำในการยกระดับโรงงาน โดยผู้ประกอบการและพนักงานอาจเข้ารับการอบรมเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะด้านอุตสาหกรรม 4.0 ด้วย ขั้นที่สามคือการรับคำแนะนำในการยกระดับอุตสาหกรรมทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ และอาจนำแผนงานมาทดสอบจำลองสถานการณ์ (simulation) ด้วย testbed อาทิ เครื่องจักร สายการผลิต และระบบดิจิทัลที่มีให้บริการ ก่อนลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตภายในโรงงานจริง เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และขั้นสุดท้ายคือการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่การเพิ่มความยืดหยุ่นในกระบวนการผลิต ลดต้นทุน ลดข้อเสีย และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขั้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการรับบริการทุกขั้นบันไดสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้ผ่าน 'Industry 4.0 Platform’ ที่ให้บริการโดย สวทช.     'Thailand i4.0 index' หรือ 'ดัชนีความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0' เป็นดัชนีเพื่อประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมที่ประเมินผ่าน 6 ด้านหลัก (17 ด้านย่อย) ที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมให้รองรับการเติบโตอย่างมั่นคงและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดย 6 ด้านหลักประกอบด้วย technology smart operation IT system & data transactionhuman capital market & customers strategy & organization ทั้งนี้ Thailand i4.0 Index พัฒนาขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรม ITAP สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม และได้รับการสนับสนุนการทำวิจัยจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนี www.thindex.or.th     ในการประเมินความพร้อม คณะกรรมการจะประเมินผ่าน 6 ด้านหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย 17 ด้านย่อย โดยแบ่งระดับความพร้อมเป็น 6 ระดับ (band) ซึ่งในช่วงอุตสาหกรรม 3.0 และ 4.0 ที่มีการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีและการลงทุนที่ค่อนข้างสูง จะแบ่งย่อยเป็น 2 ระดับต่อขั้นอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการก้าวขึ้นแต่ละขั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น     เมื่อผู้ประกอบการเข้ารับการประเมินอุตสาหกรรมแล้ว จะได้รับข้อสรุปผลการประเมินเป็น 2 ตารางหลักดังภาพตัวอย่าง ตารางแรก (ซ้าย) จะแสดงให้เห็นถึงระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบกับโรงงานชั้นนำของประเทศที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน (Best in Class: BIC) ส่วนตารางที่สอง (ขวา) จะแนะนำ 4 มิติที่ผู้ประกอบการควรปรับปรุงก่อน โดยพิจารณาจาก ระดับปัจจุบัน, โครงสร้างต้นทุน, KPI ของบริษัท และความห่างจาก BIC     ประโยชน์ 4 ต่อที่ผู้ประกอบการจะได้จากการเข้ารับการประเมินอุตสาหกรรม คือ ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Industry 4.0 และการประยุกต์ใช้งานในองค์กร ได้รายงานสรุปผลการประเมินระดับความพร้อม (assessment report) สำหรับใช้เป็นแนวทางกำหนดกลยุทธ์องค์กรตาม impact value chain ได้ข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการจัดหา System Integrator (SI) ที่เหมาะสมมาร่วมพัฒนา ได้ใช้ assessment report ประกอบการยื่นขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI     BOI สนับสนุนสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ ที่ลงทุนยกระดับกิจการสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยการยกเว้นภาษีเงินได้ในสัดส่วน 100% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปี ทั้งนี้ BOI ได้กำหนดเงื่อนไขในการสนับสนุนการลงทุน คือ 1. ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสู่ระบบอัตโนมัติ 2. ลงทุนระบบ automation and network technology 3. ลงทุนระบบ smart operation 4. ลงทุนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้งานในอุตสาหกรรม โดยมีเงื่อนไขในการพิจารณาสนับสนุนสิทธิประโยชน์ คือ 1. แผนการลงทุนจะต้องได้รับการเห็นชอบจาก สวทช. 2. ดำเนินงานแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับจากวันออกบัตรสนับสนุนโดย BOI     ด่วน จำนวนจำกัด !! สวทช. เปิดรับประเมินอุตสาหกรรมโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางฟรี 100 โรงงาน ติดต่อขอรับบริการได้ที่ i4Platform@nstda.or.th     รายละเอียดเพิ่มเติม Website: www.nstda.or.th/i4Platform Facebook: Thailand i4.0 Platform   ติดต่อสอบถามหรือขอรับบริการ E-mail: i4Platform@nstda.or.th Line: @i4Platform  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘นักวิจัย’ ไบโอเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยี สู้ ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ แนะเกษตรกรชาวไร่มันฯ ลดเสี่ยง-เลี่ยงใช้ท่อนพันธุ์ต่างถิ่น  
(วันที่ 25 กันยายน 2566) ที่ห้องแถลงข่าว อว. ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ : ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.อรประไพ คชนันทน์ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ และดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับเทคโนโลยี สู้ ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ เพื่อแก้วิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลังที่ชาวไร่มันสำปะหลังทั่วประเทศกำลังประสบปัญหาอยู่ทั่วทุกภูมิภาค โดยมีนายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ร่วมนำเสนอ การใช้เทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อคัดกรองโรคใบด่างฯ และท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในเวลานี้ที่จะช่วยเกษตรกรลดความเสี่ยงในการนำท่อนพันธุ์ติดเชื้อโรคใบด่างมันฯ ไปเพาะปลูกต่อ โดยจะสามารถช่วยตั้งแต่การตรวจคัดกรองโรคในกระบวนการผลิตต้นพันธุ์สะอาด การติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคหลังการเพาะปลูกเพื่อจัดการควบคุมโรคระบาดได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการใช้ในงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง ทีมวิจัย สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ให้แก่ หน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน รวมถึงเกษตรกรหลายภูมิภาคของประเทศตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังเมื่อปี 2561 เป็นต้นมา ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสชนิด Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) เป็นโรคอุบัติใหม่ที่พบการแพร่ระบาดในพื้นที่เพาะปลูกในหลายจังหวัดของประเทศไทย โดยสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เกิดจากการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคใบด่างมันสำปะหลังมาปลูก ในกรณีที่ระบาดรุนแรงสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้ถึง 30-80 เปอร์เซ็นต์ ทีมนักวิจัยฯ ได้พัฒนาชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ Strip test ซึ่งสามารถพกพาไปใช้ในภาคสนาม โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างส่งมาตรวจยังห้องปฏิบัติการ สามารถทราบผลได้ภายใน 15 นาที และตรวจสอบได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการหรือเครื่องมือวัดอ่านผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในประเทศไทย รวมถึงการตรวจหาเชื้อในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดเชื้อ “สำหรับชุดตรวจ Strip test มีความแม่นยำร้อยละ 96 ความจำเพาะเจาะจงร้อยละ 100 และความไวร้อยละ 91 ใช้งานง่ายเพียง 3 ขั้นตอน 1. นำใบพืชมาบดในบัพเฟอร์ที่เตรียมไว้ให้ 2. จุ่มตัว  Strip test ลงไปในน้ำคั้นใบพืชที่บดได้ และ 3. รอ 15 นาทีแล้ว อ่านผลจากแถบสีที่เกิดขึ้น หากขึ้น 2 ขีด ณ ตำแหน่ง T และ C แสดงว่าตัวอย่างติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง หากขึ้น 1 ขีด ณ ตำแหน่ง C แสดงว่าตัวอย่างไม่ติดโรค ซึ่งได้ผลิตต้นแบบชุดตรวจ Strip test และนำชุดตรวจไปทดสอบการใช้งานจริงกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชน โดยได้มีการจัดฝึกอบรมเรื่อง “การตรวจวินิจฉัย เชื้อ Sri Lankan cassava mosaic virus ในตัวอย่างมันสำปะหลังด้วยชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test” และส่งมอบชุดตรวจที่พัฒนาขึ้นให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปใช้ประโยชน์ในการตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแล้วหลายภูมิภาค ดร.อรประไพ กล่าวต่อว่า สำหรับหน่วยงานภาครัฐหรือบริษัทเอกชนที่มีความต้องการตรวจสอบตัวอย่างจำนวนมาก และต้องการจัดตั้งเป็นศูนย์ตรวจคัดกรองโรคในพื้นที่ ทางทีมวิจัยฯ ยังได้พัฒนาเทคนิคการตรวจกรองไวรัสใบด่างมันสำปะหลังโดยใช้เทคนิคอิไลซ่า (ELISA) ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความถูกต้อง ราคาไม่แพง ชุดตรวจที่พัฒนาขึ้นมีความไว (sensitivity) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจที่มีการขายในเชิงการค้า และมีราคาถูกกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ สามารถตรวจกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังได้ในทุกขั้นตอนของการผลิตและเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปัจจุบัน ได้มีการจัดตั้งห้องปฏิบัติการอิไลซ่าให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจจำนวน 6 แห่ง และมีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ชุดตรวจที่พัฒนาขึ้นทั้ง 2 รูปแบบ ได้มีการดำเนินการเชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์เรียบร้อยแล้ว นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. เปิดเผยว่า ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา โรคใบด่างมันสำปะหลังได้สร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกใหญ่ที่สุดในประเทศ โรคใบด่างฯ ลุกลามและแพร่ระบาดมาถึงจังหวัดยโสธร อุบลราชธานีและอำนาจเจริญ โดยต้นตอเกิดจากเกษตรกรนำท่อนพันธุ์จากต่างถิ่นเข้ามาในพื้นที่และไม่ทราบว่าต้นพันธุ์ที่นำมาปลูกนั้นติดโรคใบด่าง ดังนั้นการมีองค์ความรู้และการพัฒนาชุดตรวจโรคใบด่าง ที่ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้นมา เพื่อนำไปให้เกษตรกรสามารถใช้ตรวจได้ด้วยตัวเกษตรกรเองและรู้ผลได้รวดเร็วภายใน 15 นาที จะช่วยลดผลกระทบจากโรคใบด่างได้ ทั้งนี้ สวทช. เห็นความสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยจัดการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานคัดเลือกเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์พื้นที่ เพื่อใช้จัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ ยกระดับรายได้ของเกษตรกร โดยมีการอบรมเกษตรกรภายใต้โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังในระบบอินทรีย์ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต แก่กลุ่มเกษตรกร 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ เพื่อขยายผลองค์ความรู้ ถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานสร้างเครือข่ายผู้ผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินงานโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับตัวชี้วัดในการถ่ายทอดเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพเกษตรปลอดภัย และเชื่อมโยงพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตร ทั้งกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐท้องถิ่น โดย บริษัท อุบล ไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นพี่เลี้ยงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “โครงการนี้ สวทช. มุ่งเน้นบูรณาการชุดองค์ความรู้ต่าง ๆ เช่น พันธุ์มันสำปะหลังที่เหมาะสมกับชุดดิน การจัดการดินและปุ๋ยร่วมกับการจัดการแปลง การเก็บเกี่ยวและแปรรูป การจัดการโรคและแมลง มุ่งเน้นการตรวจติดตาม เฝ้าระวัง ใช้ชุดตรวจไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ซึ่งช่วงการระบาดของโรคใบด่าง ทีม สวทช. ได้นำชุดตรวจไปอบรมให้เกษตรกร เพื่อนำไปใช้คัดกรองต้นมันสำปะหลังในแปลงได้ทันที ซึ่งชุดตรวจโรคใบด่างจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกษตรกรมั่นใจว่า แปลงมันสำปะหลังของตนเองนั้นจะเป็นแปลงที่ติดโรคใบด่างหรือไม่ และหากพบว่าติดโรคใบด่างก็สามารถถอนทำลายต้นพันธุ์ทิ้ง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่แปลงปลูกข้างเคียงลดความเสียหายได้”  นายชวินทร์ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับหน่วยงานภาครัฐหรือบริษัทเอกชนที่มีความสนใจเทคโนโลยี สามารถติดต่อทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โทรศัพท์ 025646700 ต่อ 3342
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเนื้อ “อินทผลัมพันธุ์บาฮี” การันตีคุณภาพผลผลิตตรงตามแม่พันธุ์
  Tech: สุดเจ๋ง ! นักวิจัยไทยพัฒนาวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีเชิงการค้าสำเร็จ เอกชนสานต่อสู่เชิงพาณิชย์ จัดตั้งห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพร้อมผลิตต้นกล้าออกสู่ตลาด ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ หนึ่งในผลงานนวัตกรรมจากไบโอเทค สวทช. ร่วมจัดแสดงในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประจำปี 2566 BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ พัฒนาเทคโนโลยีโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ผลิตและจำหน่ายโดยห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม บริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 08 1875 9340 หรือ 08 9155 2777   [caption id="attachment_47240" align="aligncenter" width="700"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค เล่าว่าปัจจุบันธุรกิจการปลูกอินทผลัมพันธุ์ชนิดรับประทานสดในประเทศไทยมีการขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น ทว่าอินทผลัมเป็นพืชต่างประเทศ เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องนำเข้าต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศเข้ามาปลูก เพราะสามารถการันตีถึงการตรงตามพันธุ์ ที่ส่งผลให้มีความสม่ำเสมอของคุณภาพและปริมาณของผลิตผลอินทผลัมที่จะออกสู่ตลาดได้ การพัฒนาเทคนิคผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อรวมถึงการปรับปรุงพันธุ์อินทผลัมให้เหมาะสมกับสภาพการปลูกและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพในประเทศไทยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรองรับความต้องการของเกษตกร ดังนั้นไบโอเทค สวทช. จึงได้ร่วมกับบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด พัฒนาเทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีซึ่งเป็นพันธุ์การค้ามาตรฐานชนิดรับประทานผลสดที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลิตต้นกล้าอินทผลัมคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม และลดการนำเข้าต้นกล้าอินทผลัมจากต่างประเทศ   [caption id="attachment_47241" align="aligncenter" width="700"] ต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม บริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด[/caption]   จุดเด่นของต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินผลัมบริษัทพี โซลูชัน กรุ๊ป จำกัด คือ เป็นต้นเพศเมียที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่นำมาจากต้นแม่พันธุ์คุณภาพดี ปลูกง่าย ดูแลง่าย เติบโตได้ดีเกือบทุกภูมิภาคในประเทศไทย เริ่มจำหน่ายผลผลิตได้หลังปลูกประมาณ 3 ปี อายุเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 150 วันหลังผสมเกสร ผลมีสีเหลืองทอง รูปร่างกลมรี เนื้อแน่น หวานกรอบอร่อย ไม่มีรสฝาด   [caption id="attachment_47242" align="aligncenter" width="700"] ประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด[/caption]   ประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของพีโซลูชันกรุ๊ปเริ่มผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจำหน่ายออกสู่ตลาดแล้ว และในอนาคตยังสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีอื่น ๆ ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง เช่น เบรม โคไนซี่ บาฮีแดง ฯลฯ รวมถึงรองรับการขยายพันธุ์ต้นอินผลัมที่มาจากการพัฒนาต้นพันธุ์เพาะเมล็ดลักษณะดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจการปลูกอินทผลัมเป็นให้เป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทยและสามารถส่งออกผลผลิตหรือต้นกล้าพันธุ์ดีได้ในอนาคต นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในประเทศไทยที่สามารถขยายพันธุ์พืชเศรษฐกิจจากต่างประเทศ ช่วยเพิ่มโอกาสและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการผลิตอินทผลัมชนิดรับประทานผลสด และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอินผลัมพันธุ์ใหม่ ๆ ในประเทศไทยอีกด้วย   เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ร่วมประชุมความร่วมมือ ไทย – จีน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(วันที่ 21 กันยายน 2566) ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน : ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมการประชุมความร่วมมือภายใต้กรอบคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทยครั้งที่ 4 (The 4th meeting of Joint Committee on Science and Technology Cooperation between Ministry of Higher Education Science Research and Innovation of Thailand and Ministry of Science and Technology of People’s Republic of China) โดย มี ศ. ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ นายจาง กว่างจวิน (Zhang Guang Jun) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Ministry of Science and Technology - MOST) ของจีนเป็นประธานร่วมในที่ประชุม สวทช. ได้นำเสนอความร่วมมือ 2 ด้านได้แก่ 1) ด้านระบบราง - สวทช.โดย ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ ดำเนินการร่วมกับ วว. และ CRRC ดำเนินการศึกษาการจัดตั้ง China-Thailand Belt and Road Joint Laboratory on Rail Transit เพื่อทำวิจัยและทดสอบชิ้นส่วนระบบราง โดยทั้งฝ่ายจีนและไทยจะผลักดันความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการทำงานในโครงการการสร้างรถไฟไทย-จีน ของกระทรวงคมนาคมของแต่ละประเทศต่อไป 2) ด้านการถ่ายทอดโนโลยี - สวทช. โดย ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีไทย-จีน หรือ Thailand-China Technology Transfer Center (TCTTC) ดำเนินการแลกเปลี่ยนนักวิจัย การจัดการฝึกอบรม และการจับคู่ธุรกิจเทคโนโลยีระหว่างผู้ประกอบการทั้งไทยและจีน โดยมีเป้าหมายในการยกระดับงานวิจัยให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงและเกิดการถ่ายทอดเชิงพาณิชย์ ก่อให้เกิดการลงทุนและผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งสองประเทศ โดยในปี 2567 จะร่วมกันผลักดันการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ของสหประชาชาติต่อไป  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค-สวทช. พัฒนาองค์ความรู้ ฟื้นฟูพื้นที่เพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่า อนุรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
  ‘เห็ดตับเต่า’ เป็นหนึ่งในเห็ดพื้นบ้านของไทยที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ที่สำคัญคือมีให้รับประทานเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น ซึ่งแหล่งผลิตเห็ดตับเต่าที่ใหญ่ที่สุดและคุณภาพดีที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่บ้านสามเรือน ตำบลสามเรือน อำเภบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นับเป็นเห็ดเศรษฐกิจที่เกิดจากวิถีภูมิปัญญาผสานกับการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาปรับใช้บริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมเพื่อผลิตเห็ดตับเต่าอย่างยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน   [caption id="attachment_47202" align="aligncenter" width="450"] นางสาวธิติยา บุญประเทือง นักวิจัยไบโอเทค สวทช.[/caption]   นางสาวธิติยา บุญประเทือง หัวหน้ากลุ่มวิจัยเห็ด ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า เกษตรกรบ้านสามเรือนเพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่าในดงโสนเป็นอาชีพหลักมานานหลายสิบปี และได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเห็ดตับเต่าคลองโพ แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2554 ส่งผลให้เชื้อเห็ดตับเต่าในพื้นที่ลดลงและพักตัวนานขึ้น ผลผลิตเห็ดในปีถัด ๆ มาก็ลดลงตามไปด้วย หากไม่เร่งฟื้นฟูอาจทำให้เห็ดตับเต่าค่อย ๆ หายไปจากพื้นที่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในระยะยาว “ทีมวิจัยจึงได้ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรบ้านสามเรือนเพื่อฟื้นฟูพื้นที่เพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่า เริ่มตั้งแต่ศึกษาสรีรวิทยาของเห็ดตับเต่า ศึกษาระบบนิเวศและปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการเจริญของเห็ดตับเต่าทั้งดิน น้ำ ความชื้น และอากาศ รวมถึงพืชอาศัยของเห็ดตับเต่า ซึ่งเดิมเคยมีความรู้ว่าเห็ดตับเต่าเป็นเห็ดเอ็กโทไมคอร์ไรซา (ectomycorrhiza) ที่เจริญร่วมกับรากของต้นไม้ จึงไม่สามารถเพาะในโรงเรือนได้เหมือนกับเห็ดชนิดอื่นๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เห็ดตับเต่าไม่เป็นเห็ดเอ็กโทไมคอร์ไรซา แต่เป็นเห็ดที่มีสังคมการอาศัยที่ซับซ้อนคือ มีความสัมพันธ์ร่วมระหว่างพืชอาศัย ซึ่งมีมากกว่า 60 ชนิด และต้นโสนเป็นหนึ่งในนั้น ร่วมกับแมลงคือมดและเพลี้ย ดังนั้นหากกำจัดมดและเพลี้ยจะส่งผลต่อเห็ดตับเต่าด้วย กลไกของสังคมนี้ยังคงอยู่ในระหว่างศึกษาถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เห็ดตับเต่าสามารถนำมาเพาะเลี้ยงในโรงเรือนได้แต่รสชาติเปรียบกับเห็ดตับเต่าที่ขึ้นในบริเวณแหล่งปลูกอาศัยตามธรรมชาติไม่ได้ ต้นทุนสูงและเพาะเลี้ยงยากจึงไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย” นักวิจัยเล่าว่าเกษตรกรที่บ้านสามเรือนจะเพาะเห็ดตับเต่าในดงโสนนาซึ่งเป็นพืชประจำถิ่นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่มีมากมาย โดยเห็ดตับเต่าจะเริ่มออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน หลังจากเก็บดอกเห็ดขายจนหมดแล้วและต้นโสนเริ่มแก่ พร้อมกับช่วงของการกักเก็บน้ำจากชลประทานซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่แก้มลิงของจังหวัด โดยน้ำจะเข้าท่วมถึงระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน หลังจากน้ำลดแล้วจึงเริ่มปรับพื้นที่ให้ต้นโสนงอกใหม่อีกครั้งคือการถอนต้นโสนทิ้งแล้วให้ต้นอ่อนขึ้นตามธรรมชาติ แล้วจึงนำเชื้อเห็ดที่หมักเตรียมไว้มาราดให้ทั่วแปลง และเมื่อเข้าสู่ต้นฤดูฝนในช่วงเดือนพฤษภาคมจะเริ่มสังเกตเห็นเส้นใยเห็ดตับเต่าเดินเต็มผิวดินและดอกเห็ดตับเต่าก็จะเริ่มบานเต็มพื้นที่อีกครั้ง   [caption id="attachment_47204" align="aligncenter" width="750"] นักวิจัยศึกษาระบบนิเวศของเห็ดตับเต่าและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน[/caption]   “เราศึกษาระบบนิเวศของเห็ดตับเต่าตั้งแต่โครงสร้างของดิน แร่ธาตุในดิน อุณหภูมิ ความชื้น ความเข้มแสงบริเวณโคนต้นเหนือพื้นดิน รวมถึงความสูงของต้นโสน พบว่าเห็ดตับเต่าจะเจริญได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความจำเพาะ เช่น ดินต้องมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์และมีความเป็นกรดสูง มีความชื้นในอากาศเหมาะสม มีแสงส่องถึงพื้นดินที่พอเหมาะ และต้องไม่มีสารเคมีปนเปื้อนในแปลงเพาะเห็ด ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องหมั่นดูแลสภาพแวดล้อมในแปลงและตัดแต่งกิ่งโสนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถางหญ้าที่รกออกโดยไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าเพื่อให้เชื้อเห็ดเจริญและออกดอกได้ดี ที่สำคัญเกษตรกรจะต้องไม่เก็บดอกเห็ดขายจนหมด ต้องปล่อยดอกเห็ดบางส่วนทิ้งไว้จนแก่เพื่อนำไปทำหัวเชื้อหรือให้เชื้อนั้นพักตัวในดินสะสมไว้เพื่อฤดูกาลถัดไป ในส่วนของต้นโสนไม่ควรนำเมล็ดไปขายเพราะจะส่งผลถึงปริมาณต้นอ่อนของต้นโสนซึ่งมีผลสัมพันธ์กับการลดปริมาณของเห็ดในฤดูถัดไปได้ ห้ามกำจัดมดและเพลี้ยในบริเวณเช่นเดียวกันเพราะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเห็ดตับเต่าที่จำเป็นต้องมีในถิ่นอาศัย” นักวิจัยกล่าว จากการศึกษาระบบนิเวศของเห็ดตับเต่าและทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรบ้านสามเรือนเป็นเวลากว่า 2 ปี นักวิจัยไม่เพียงได้องค์ความรู้สำหรับถ่ายทอดสู่เกษตรกรในพื้นเท่านั้น แต่ยังสามารถจำลองสภาวะธรรมชาติเพื่อเพาะเห็ดตับเต่าได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรที่ต้องการขยายพื้นที่เพาะเห็ดตับเต่า รวมถึงใช้เป็นโมเดลในการเพาะเห็ดตับเต่าสำหรับพื้นที่อื่นๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังพัฒนาเทคนิคการผลิตหัวเชื้อเห็ดตับเต่าหลายรูปแบบ และพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่าที่เหมาะกับหัวเชื้อแต่ละรูปแบบ   [caption id="attachment_47205" align="aligncenter" width="750"] เชื้อเห็ดตับเต่าแบบต่าง ๆ[/caption]   “เห็ดตับเต่าที่บ้านสามเรือนมีลักษณะดอกใหญ่ เนื้อแน่น และมีความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนเห็ดตับเต่าในพื้นที่อื่น ซึ่งกลิ่นและรสของเห็ดตับเต่านั้นยังขึ้นอยู่กับชนิดของรากไม้ แร่ธาตุในดิน และสภาพแวดล้อมที่เห็ดเจริญ เห็ดชนิดเดียวกันแต่ขึ้นต่างพื้นที่กัน กลิ่นและรสก็จะแตกต่างกันด้วย ดังนั้นการที่เราได้เข้าไปทำงานร่วมกับเกษตรกรในการฟื้นฟูเห็ดตับเต่าของบ้านสามเรือน นอกจากจะช่วยรักษาทรัพยากรในท้องถิ่น ฟื้นฟูอาชีพและรายได้ของคนในชุมชนให้กลับคืนมาแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์พันธุ์เห็ดตับเต่าชั้นดีของประเทศไทยอีกด้วย" นักวิจัยกล่าว   [caption id="attachment_47203" align="aligncenter" width="750"] เห็ดตับเต่าเป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญและเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านสามเรือน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา[/caption]   ปัจจุบันเห็ดตับเต่ากลายเป็นสินค้าเกษตรที่ขึ้นชื่อและเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านสามเรือน มีเกษตรกรผู้เพาะเห็ดไม่ต่ำกว่า 300 ราย ส่วนใหญ่จำหน่ายเป็นผลิตผลสดและบางส่วนนำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ให้ชุมชนเป็นปีละประมาณ 10 ล้านบาท อีกทั้งยังได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและศูนย์เรียนรู้ด้านการเพาะเห็ดตับเต่าที่สำคัญของประเทศ การพัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพร้อมนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมนับว่าเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชนบนฐานทรัพยากรที่มีในท้องถิ่นให้เติบโตและงอกงามได้อย่างยั่งยืนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG model)     เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เดินหน้าพัฒนา Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง มุ่งขยายผลใช้งานทุกจังหวัด
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตร “หน่วยงานดีเด่นในการใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อบริการประชาชน” มี 190 หน่วยงานทั่วประเทศได้รับมอบเกียรติบัตร เป็นหน่วยงานระดับจังหวัด 14 จังหวัด ที่มีการใช้งานครบทุกหน่วยราชการภายในจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นครราชสีมา, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, พะเยา, ลำพูน, ปราจีนบุรี, ภูเก็ต, เพชรบูรณ์, สมุทรปราการ, สระบุรี, เชียงใหม่, ลำปาง และสิงห์บุรี   สำหรับแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Traffy Fondue พัฒนาโดยทีมนักวิจัย สวทช. ซึ่งปรับปรุงพัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายขยายผลการใช้งานให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ครั้งที่ 5 (Advanced Engineering Workshop V)
การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ครั้งที่ 5 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ทั้งการออกแบบ และสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบทางเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ซึ่งจะนำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่บริษัทผู้ผลิตเพื่อทำการผลิตและส่งออกในนามของสินค้าของไทย (ร่าง) กำหนดการ การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ครั้งที่ 5 (Advanced Engineering Workshop V) จัดโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) (สซ.) ระหว่างวันที่ 29 – 30 กันยายน 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 ห้องประชุม 601 อาคารสราญวิทย์ 08.30 – 09.00 น. ลงทะเบียน 09.00 – 09.10 น. กล่าวต้อนรับ และเปิดการประชุม โดย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. Session 1 : ความสามารถด้านวิศวกรรมของ สวทช.  และแนวทางความร่วมมือ 09.10 – 10.30 น. เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมในยานพาหนะไฟฟ้าของ สวทช. เทคโนโลยีการออกแบบมอเตอร์พร้อมระบบขับเคลื่อน โดย ดร.บุรินทร์ เกิดทรัพย์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างน้ำหนักเบาและการออกแบบยานยนต์ไฟฟ้า โดย ดร.ชินะ เพ็ญชาติ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีการออกแบบแบตเตอรี่แพ็คในยานยนต์ไฟฟ้า โดย ดร.มานพ มาสมทบ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีการออกแบบอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดย ดร.ดวิษ กิระชัยวนิช นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download อภิปรายแนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน 10.30-10.45 น.   พัก 10.45 - 12.00 น. เทคโนโลยีพลังงานเพื่อความยั่งยืน เทคโนโลยี SMR และฟิวชัน พลังงานสะอาดแห่งอนาคต โดย ดร.นพพร พูลยรัตน์ หัวหน้าฝ่ายนิวเคลียร์ฟิวชันและพลาสมา ศูนย์วิศวกรรมและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ชั้นสูง สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download เทคโนโลยีไฮโดรเจนและเซลล์เชื้อเพลิง โดย ดร.วิศาล ลีลาวิวัฒน์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดย ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีแบตเตอรี่ไฟฟ้าเคมีและการบริหารจัดการพลังงาน โดย ดร.ธัญญา แพรวพิพัฒน์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีซินโครตรอนกับงานวิจัยด้านวัสดุพลังงานและแบตเตอรี่ โดย ดร.พินิจ กิจขุนทด หัวหน้าฝ่ายวิจัยประยุกต์ใช้แสงซินโครตรอน สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) อภิปรายแนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน 12.00 – 13.30 น รับประทานอาหารกลางวัน ณ บริเวณโถงหน้าห้องประชุม 601 13.30 – 17.00 น.  เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ อาคาร INC2 ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) โดย ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (ESTT) โดย ดร.ณัฐนัย คุณานุสนธิ์    NECTEC Pilot Plant และ MTEC Pilot Plant ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ (SPVT) โดย ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเทคโนโลยีกระบวนการผลิตวัสดุผง (PMPT) โดย นายภาณุ เวทยนุกูล(โลหะผง) และดร.สมพงษ์ ศรีมโนเสาวภาคย์ (อลูมิเนียมโฟม) ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (ESTT) (ด้านการแพ็คแบตเตอรี่) โดย ดร.มานพ มาสมทบ ห้องปฏิบัติการกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ (LCRG) (ด้าน Hydrogen Fuelcell) โดย ดร.วิศาล ลีลาวิวัฒน์ ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยวิศวกรรมน้ำหนักเบา (LWET) โดย ดร.ชินะ เพ็ญชาติ   อาคาร PTEC ใหม่ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) โดย ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธ์ วันเสาร์ที่ 30 กันยายน 2566 ห้องประชุมออดิทอเรียม อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิริธร 08.30-09.00 น. ลงทะเบียน 09.00-09.10 น. กล่าวต้อนรับ โดย ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 09.10 – 09.40 น. การอภิปราย ศักยภาพและทิศทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงผู้ร่วมอภิปราย ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) รองศาสตราจารย์ ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) รองศาสตราจารย์ ดร. ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) ดำเนินรายการโดย: ดร.วงศกร พูนพิริยะ 09.45 – 10.00 น. มอบของที่ระลึกและถ่ายรูปร่วมกัน 10.00 – 10.10 น. พัก Session 1 (ต่อ): ความสามารถด้านวิศวกรรมของ สวทช. และแนวทางความร่วมมือ 10.10 – 11.00 น. ความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุปกรณ์และวิศวกรรมการแพทย์ นวัตกรรม Exo-apparel สำหรับสังคมสูงวัย โดย ดร.ธนรรค อุทกะพันธ์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download RT Wheelchair รถเข็นเอกซเรย์แบบปรับนอน-นั่ง โดย ดร.ดนุ พรหมมินทร์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับการประยุกต์ใช้ทางการแพทย์ โดย ดร.เสาวภาคย์ ธงวิจิตรมณี นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. AMED Care เทคโนโลยีเพื่อการยกระดับการให้บริการสาธารณสุข โดย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. การผลิตสารเภสัชรังสีด้วยเทคโนโลยีนิวเคลียร์ โดย นางโมฬีพัณณ์ แดงประเสริฐ ผู้จัดการศูนย์ไอโซโทปรังสี สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download อภิปรายแนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน Session 2 : ความร่วมมือการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมระหว่างหน่วยงาน 11.00 – 12.30 น. ความก้าวหน้าการพัฒนากล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนแบบส่องกราด (Scanning Electron Microscope : SEM) การออกแบบและพัฒนาชิ้นส่วนภาคจัดการ electron beam profile โดย นายพชร การคนซื่อ วิศวกร สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download การวัดและปรับปรุงคุณสมบัติของ electron beam profile และการประยุกต์ใช้ electron gun สำหรับการทดลองทางชีววิทยา โดย นางสาวพิชญาภัค กิติศรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Presentation  : Download การออกแบบห้องสุญญากาศและ scanning coil โดย ดร.ณรงค์ จันทร์เล็ก สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) Presentation  : Download การพัฒนาและปรับปรุงวงจรตรวจนับอิเล็กตรอนทุติยภูมิสู่การประมวลผลแบบดิจิตอล โดย นายธิติ เรืองสีสำราญ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download การรับข้อมูลดิจิตอลและประมวลผลเป็นภาพ (Image Processing) โดย ดร.รุ่งโรจน์ จินตเมธาสวัสดิ์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download อภิปรายแนวทางการทำงานต่อยอด 12.30 – 13.30 น. รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหาร อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร 13.30 – 14.20 น. ความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจสอบอายุโบราณวัตถุโดยเครื่องเร่งอนุภาค Accelerator Mass Spectrometry (AMS) แนวคิดการออกแบบและพัฒนา Accelerator Mass Spectrometer (AMS) สำหรับสำหรับ Radiocarbon dating โดย รศ.ดร.ประยูร ส่งสิริฤทธิกุล สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี Presentation  : Download แนวคิดการออกแบบและพัฒนา Ion Source ของ AMS โดย นายพชร การคนซื่อ วิศวกร สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download แลกเปลี่ยนหารือการพัฒนาต่อยอดร่วมกัน 14.20 – 14.45 น. เทคโนโลยี LiDAR และแนวโน้มการประยุกต์ใช้ในงานสำรวจทางโบราณคดี โดย ดร.รุ่งโรจน์ จินตเมธาสวัสดิ์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download 14.45 – 15.00 น. พัก 15.00 – 16.30 น.  ความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับด้านอวกาศ การดำเนินงานการสร้างและพัฒนาดาวเทียม TSC-1 ภายใต้ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย (Thai Space Consortium) โดย นายพงศกร มีมาก สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download เทคโนโลยีการออกแบบระบบกักเก็บพลังงานในการใช้งานในดาวเทียม โดย ดร.จิราวรรณ มงคลธนทรรศ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download การประยุกต์ Plasma Thruster ทางเลือกการขับเคลื่อนดาวเทียมเยือนดวงจันทร์ โดย ดร.อาหลี ตำหมัน ศูนย์วิศวกรรมและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ชั้นสูง สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) resentation  : Download แลกเปลี่ยนหารือการพัฒนาต่อยอดร่วมกัน 16.30 – 16.45 น. รับชม VTR สรุปกิจกรรมเยี่ยมชม 16.45 – 17.00 น. กล่าวขอบคุณและปิดงาน    
ปฏิทินกิจกรรม
 
ไบโอเทค-สวทช. จับมือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อวดโฉมพันธุ์ข้าวใหม่รับโลกรวนจากเอลนีโญ พร้อมต่อยอดให้ใช้ประโยชน์สาธารณะ และเชิงพาณิชย์
(18 ก.ย. 66) ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม - ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงาน “NSTDA-KU Rice Field Day 2023” งานแสดงพันธุ์ข้าวใหม่ รับโลกรวนจากเอลนีโญ ระหว่างวันที่ 18-19 กันยายน 2566 เพื่อเผยแพร่สายพันธุ์ข้าวที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมวิกฤตที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ องค์ความรู้ด้านข้าว ศักยภาพด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับข้าว และนวัตกรรมปรับปรุงพันธุ์ข้าวพร้อมจัดแสดงพันธุ์ข้าวเพื่ออนาคตรับโลกรวน เช่น ทนร้อน ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานโรคและแมลง และมีคุณภาพหุงต้มและโภชนาการตามความต้องการของตลาด เพื่อมุ่งให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะ เผยแพร่สู่เกษตรกร และต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยมี ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ เกษตรกรและผู้สนใจเข้าร่วมในงาน ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. จัดงาน NSTDA-KU Rice Field Day 2023 เพื่อแสดงศักยภาพสายพันธุ์ข้าวดีเด่นรับมือกับเอลนีโญที่มีการเปลี่ยนแปลงอากาศแบบสุดขั้ว ซึ่งพัฒนาด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแบบแม่นยำในภาคสนามแปลงนา โดยมุ่งเน้นให้เกิดการนำสายพันธุ์ข้าวไปใช้ประโยชน์สาธารณะและเชิงพาณิชย์อย่างรวดเร็ว และเปิดห้องปฏิบัติการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ และห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี แสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านจีโนมทางการเกษตร เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและพืชอื่นๆ ที่รวดเร็วตามต้องการ เท่าทันบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทย การจัดงานครั้งนี้จะเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแบบแม่นยำ และจัดแสดงสายพันธุ์ข้าวใหม่ที่มีคุณสมบัติดีเด่นที่เกิดจากผลงานวิจัยร่วมกันของทั้งสองหน่วยงานมานานกว่า 20 ปี ให้กับนักวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และเกษตรกร สามารถนำเอาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และ สายพันธุ์ข้าวดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มรายได้ รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อมุ่งสร้างความร่วมมือในเชิงสาธารณประโยชน์และเชิงพาณิชย์ต่อไป ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า งาน NSTDA-KU Rice Field Day 2023 เป็นครั้งแรกที่หน่วยงานทั้งสองนำสายพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ที่เกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไบโอเทค และหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมการข้าว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแหล่งทุนต่างๆ ทั้งในประเทศ เช่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) และต่างประเทศ เช่น Rockefeller Foundation, The Generation Challenge Programme (GCP) มาจัดแสดง รวมทั้งโชว์เทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์พืชสมัยใหม่ สายพันธุ์ข้าวที่จัดแสดงในงานนี้ เป็นพันธุ์ข้าวที่ลดผลกระทบของเอลนีโญ และลานีญา ที่นับจากนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการผลิตข้าวของประเทศ พันธุ์ข้าวเพื่ออนาคตรับโลกรวนนี้ มีคุณสมบัติต้านทานสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ ทนร้อน ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแห้ง ซึ่งพร้อมแล้วที่จะเผยแพร่สู่เกษตรกร และเป็นสายพันธุ์ข้าวศักยภาพสูงที่พร้อมให้หน่วยงานต่างๆ นำไปวิจัยต่อยอด รวมถึงเป็นงานแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาพันธุ์ข้าวและการนำไปใช้ประโยชน์ ได้แก่ การนำเสนอความก้าวหน้าทางจีโนมิกส์ และการให้บริการเชิงวิชาการ ซึ่งเน้นข้าวและพืชสำคัญทางเศรษฐกิจรวมทั้งพืชมูลค่าสูง เทคโนโลยีการประเมินลักษณะอย่างรวดเร็วโดยใช้ภาพถ่ายและระบบดิจิทอล เทคโนโลยีการวินิจฉัยโรคข้าวด้วยภาพถ่าย และการให้บริการประเมินลักษณะ biotic & abiotic stress ซึ่งเป็นการประเมินลักษณะความเครียดของพืชจากสิ่งแวดล้อมสำหรับการปรับปรุงพันธุ์ข้าว เช่น ต้านทานโรคและแมลง ทนร้อน ทนน้ำท่วม เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีการจัดแสดงระบบการคัดเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ RiceFit การศึกษาการใช้น้ำของข้าวและ greenhouse gas emission ในนาข้าวของประเทศ รวมถึงชีวภัณฑ์ต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ในระบบการผลิตข้าวอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย ทั้งนี้มุ่งหวังให้การจัดงานนี้มีส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนภาคเกษตรของประเทศไทยรองรับ climate change และสังคมผู้สูงอายุ ให้เกิดการปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรของประเทศไทย ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาต่อยอดแบบก้าวกระโดด และนำไปสู่การพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนมากขึ้นต่อไป สำหรับพันธุ์ข้าวรับโลกรวนที่จัดแสดง ประกอบด้วย พันธุ์ที่มีความต้านทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคไหม้ และต้านทานโรคขอบใบแห้ง เช่น พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วม / พันธุ์ข้าวหอมนาเล ทนน้ำท่วม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคขอบใบแห้ง / พันธุ์ข้าวหอมจินดา ต้านทานโรคขอบใบแห้ง / พันธุ์ข้าวธัญญา6401​ ต้านทาน เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคขอบใบแห้ง / พันธุ์ข้าวหอมสยาม ทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้ / พันธุ์ข้าวหอมสยาม 2 ทนน้ำท่วม เป็นต้น ซึ่งพันธุ์ข้าวเหล่านี้พร้อมแล้วที่จะต่อยอดใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะ            เชิงพาณิชย์ และเผยแพร่สู่เกษตรกร นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ข้าวใหม่อื่นๆ ที่พร้อมจะขึ้นทะเบียนพันธุ์ ทั้งข้าวโภชนาการสูง ข้าวหอมพื้นนุ่ม พื้นแข็ง ทั้งต่อช่วงไวแสงและไม่ไวต่อช่วงแสง รวมทั้งข้าวเหนียวอีกด้วย โอกาสนี้ ยังมีการเปิดให้เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการด้านข้าวที่ตั้งอยู่ในศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ได้แก่ ห้องแล็บดีเอ็นเอเทคโนโลยี ห้องแล็บวิเคราะห์เอกลักษณ์ดีเอ็นเอข้าวไทยเพื่อการส่งออก เช่น ความหอมของข้าว และห้องแล็บวิเคราะห์จีโนม (Genotyping Lab) ที่ศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรม ดร.วินิตชาญ รื่นใจชน หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ไบโอเทค สวทช. และ ดร ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว เปิดเผยว่า ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ไบโอเทค และศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มีความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ อุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย สำหรับงานวิจัยด้านชีวโมเลกุล โรงเรือนปลูกพืชทดลองสำหรับงานประเมินลักษณะต่าง ๆ ห้องเย็นเก็บเมล็ดพันธุ์และแปลงทดลองขนาดเล็กสำหรับงานคัดเลือกไปจนถึงแปลงขนาดใหญ่สำหรับผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่ผ่านมาได้สร้างองค์ความรู้ในการสืบหาและระบุยีนที่มีความสำคัญในการพัฒนาพันธุ์ข้าว และระบบปรับปรุงพันธุ์ข้าว Rice Breeding Platform รวมทั้งพัฒนาสายพันธุ์ข้าวให้มีคุณสมบัติตามความต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และเป็นศูนย์กลางของการใช้เทคโนโลยีด้าน Marker Assisted Selection (MAS) ในระดับประเทศและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มุ่งเน้นสร้างความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ เน้นพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว เน้นพัฒนาพันธุ์ข้าวตามความต้องการของผู้ผลิตและผู้บริโภค และข้าวที่มีคุณสมบัติโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพผู้บริโภค พันธุ์ข้าวที่พัฒนาขึ้นมีความทนทานต่อโรค แมลงศัตรูพืช และปรับตัวได้ดีต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำและศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าวมีบริการวิชาการ AgriOmics ในหลายส่วน เช่น ห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี ให้บริการตรวจสอบความบริสุทธิ์ของพันธุ์ข้าวหอมมะลิและพันธุ์ข้าวต่าง ๆ เพื่อการส่งออกและรองรับการวิจัย การให้บริการตรวจสอบการปลอมปนของสิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรม รวมถึงยังมีบริการใหม่ด้านการวิเคราะห์จีโนมพืช ได้แก่ การวิเคราะห์ Whole Genome Sequencing (WGS), Transcriptome sequencing (RNA-seq) และ Metagenome sequencing เพื่อการสนับสนุนงานวิจัยพื้นฐานที่ครอบคลุมด้าน Agri-genomics (พันธุศาสตร์พืช)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือพันธมิตรนำนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์จัดแสดงในงาน Medical Fair Thailand 2023
วันที่ 13 กันยายน 2566: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการ อนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพ ร่วมกันจัดนิทรรศการเครื่องมือแพทย์และบริการทางการแพทย์ ของกลุ่มผู้ประกอบการไทยภายใต้ Thailand Medical Device Pavilion ในงาน Medical Fair Thailand2023 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเครื่องมือแพทย์และสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นับเป็นการผนึกกำลังของ 3 หน่วยงานเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยในเวทีการค้าเครื่องมือแพทย์โลก ภายหลังสถานการณ์โรคระบาดโควิดคลี่คลายลง โดยมี ศ.ดร. ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.สุรอรรถ ศุภจัตุรัส ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และ คุณวินิจ ฤทธิ์ฉิ้ม ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออโธพีเซีย จำกัด ให้เกียรติตัดริบบิ้นเปิดบูธภายใต้ความร่วมมือของ 3 พันธมิตร ประกอบด้วย 🔷“BCG Thailand Medical Device Pavilion” ภายใต้ BCG Economy Model สาขาเครื่องมือแพทย์ โดย สวทช. ได้นำผลงานวิจัย Micro Needel จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งได้ Spin off เป็นบริษัท สไปค์ จำกัด ไปจัดแสดงผลงาน  และผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ไทยจาก 8 บริษัทและ  1 หน่วยงานรัฐ ได้แก่ 1. บริษัท อินโน-เอจ แลบอราทอรี จำกัด 2. เค.ไบโอไซเอ็นซ์ จำกัด 3. บริษัท เอ็มที อินโนเทร็กซ์ จำกัด 4. บริษัท วี เมด แล็บ เซ็นเตอร์ จำกัด 5. NEXTER LIVING CO., LTD บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด 6. SCG Chemicals Public Co., Ltd. บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) 7. Sunshine Medical Co., Ltd. บริษัท ซันไชน์ เมดิคอล จำกัด 8. บริษัท ซีเมด เมดิคอล จำกัด 9. ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์ (บริษัท เซโนสติกส์ จำกัด/ บริษัท อินโนเซนส์ 2021 จำกัด / บริษัท อี.ซี.เน็กซ์ จำกัด) 🔷"Innovation Thailand" โดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้นำผู้ประกอบการ Startup จำนวน 8 ราย มาร่วมแสดงผลงาน ได้แก่ 1.​Brain Dynamic Technology Co., Ltd. เจ้าของนวัตกรรม Polysomnography Technology  และระบบตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง 2.​Precision Dietz Co., Ltd. เจ้าของนวัตกรรม Dietz Telemedicine platform 3.​WELALA CO., LTD. เจ้าของนวัตกรรม DNA Methylation test, DNA sequencing test 4.​Healthtag Co.,Ltd. เจ้าของนวัตกรรม Healthtag มาตรฐานใหม่ของการเก็บข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล ​5.​TOMORROW SMILE CO., LTD . เจ้าของนวัตกรรม โปรแกรมวางแผนทันตกรรมแบบดิจิทัลให้ตรงตามความต้องการของคนไข้ได้มากขึ้นด้วยเทคโนโลยี 3D 6.​Sati co., ltd. เจ้าของนวัตกรรม Chart Sum ระบบบันทึกสรุปทางการแพทย์ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยสนับสนุนการบริหารและการตัดสินใจทางการแพทย์ 7.​Perfect Research Solutions Co., Ltd. เจ้าของนวัตกรรม อุปกรณ์ถ่างลิ้นสำหรับการผ่าตัดพังผืดใต้ลิ้นทารก 8.​ย่านนวัตกรรมการแพทย์สวนดอก หรือ Suandok Medical Innovation District (SMID) มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมการแพทย์ของภูมิภาคอย่างยั่งยืน 🔷"Thailand Pavillion" โดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพได้นำผู้ประกอบการรายใหญ่และรายกลาง จำนวน 9 ราย มาจัดแสดงผลงาน ได้แก่ 1. บริษัท เพอร์มา คอร์ปอเรชั่น จำกัด 2. บริษัท ศราวิณ เมดิคอล ซัพพลาย จำกัด 3. CVP Medical Technology Co., Ltd 4. บริษัท เมดิทอป จำกัด 5. บริษัท ซี.ซี. ออโตพาร์ท จำกัด 6. บริษัท โพสเฮลท์แคร์ จำกัด 7. บริษัท โนวาเมดิค จำกัด 8. บริษัท ออโธพีเซีย จำกัด 9. บริษัทนำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำกัด
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ภาคีเครือข่าย 16 องค์กร จัดงาน ‘วันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก’ ภายใต้แนวคิด Engaging patients for patient safety
(วันที่ 17 กันยายน 2566) ณ โรงแรม อัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ : ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมงาน วันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลก ครั้งที่ 5 และ“วันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย ครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด Engaging patients for patient safety จัดโดย สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพ 16 องค์กร โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การขับเคลื่อนงานยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ” เนื่องในวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลก และวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย พร้อมประกาศ “ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย บุคลากรและประชาชน ระยะที่ 2: 3P Safety Strategy” พร้อมมอบประกาศนียบัตรแก่สถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ 3P Safety Hospital ปี 2566 จำนวน 107 แห่ง นายสันติ กล่าวว่า ปีนี้องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญเรื่องการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและญาติ โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในทุกมิติเรื่องความปลอดภัยของตนเอง รวมถึงครอบครัวและญาติในการดูแลให้มีความปลอดภัย พลิกแนวคิดจากการออกแบบการดูแลเพื่อผู้ป่วย เป็นการออกแบบการดูแลร่วมกับผู้ป่วย หรือ Engaging patients for patient safety สร้างการมีส่วนร่วมของผู้ป่วย ครอบครัว และประชาชน เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของ Global Patient Safety Action Plan 2021-2030 ที่มีเป้าหมายลดความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นในระบบบริการ เปิดกว้างการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและประชาชน ตั้งแต่การปฏิบัติโดยการเป็นส่วนหนึ่งของทีมในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว ไปจนถึงระดับนโยบาย โดยร่วมกันพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกคน ซึ่งการออกแบบการบริการในทุกมิติเรื่องความปลอดภัย จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ผู้ป่วย บุคลากรสาธารณสุข ญาติและครอบครัว “ขอชื่นชมสถานพยาบาลทุกแห่งที่เข้าร่วมโครงการฯ แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารและทีมงานมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาระบบบริการที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสำหรับทุกคน ซึ่งการที่ประเทศไทยมีการขับเคลื่อนนโยบาย Patient and Personnel Safety หรือ 2P Safety มาอย่างต่อเนื่องถึง 4 ปี และประกาศความพร้อมที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ระยะที่ 2 โดยเพิ่มความปลอดภัยไปถึงประชาชน เป็น Patient, Personnel and People Safety หรือ 3P Safety เพื่อเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวสู่ระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและความปลอดภัยเพื่อทุกคนนั้น ผมพร้อมที่จะสนับสนุนและผลักดันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ 3P Safety เป็นประเทศแรกในโลกอีกครั้ง” นายสันติกล่าว แพทย์หญิงปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในผู้ป่วยและบุคลากร มาตั้งแต่ต้น มีนโยบาย Patient and Personnel Safety มียุทธศาสตร์การขับเคลื่อนระยะที่ 1 พ.ศ. 2561-2565 และ มีเป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคคลากรระดับประเทศ ซึ่งกำหนดแนวทางปฏิบัติเป็น SIMPLE โดยมีการพัฒนาและขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติกับสถานพยาบาลทั่วประเทศ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการจำนวน 950 โรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลสมาชิกใหม่ที่เข้าร่วมโครงการและรับใบประกาศนียบัตรเป็นโรงพยาบาล 2P Safety Hospital จำนวน 107 โรงพยาบาล โดยทุกโรงพยาบาลมีการประกาศเป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข ทั้งนี้ ประเทศไทยนำแนวทางปฏิบัติ 2P Safety ไปประยุกต์ใช้และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการรายงานอุบัติการณ์เข้าสู่ระบบ National Reporting and Learning System เพื่อเฝ้าระวังและนำอุบัติการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขด้วย “ความปลอดภัย เป็นประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพที่เชิญชวนทุกสถานพยาบาลมาร่วมดำเนินการกันในปีนี้ โดยอาศัยองค์ประกอบทั้งผู้ป่วย บุคลากร ประชาชนหรือญาติผู้ดูแล เป็น 3P คือ Patient Personal และ People ผสมผสานในการพัฒนาระบบที่คำนึงถึงทั้งผู้ให้ ผู้รับบริการและญาติ เป็นการขับเคลื่อนที่มีพลังและมีการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง ซึ่งสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงพลังที่ขยายเชื่อมต่อสังคมและประชาชนในการร่วมมือกันเพื่อความปลอดภัยในบริการสุขภาพ และประเทศไทยได้ประกาศการขับเคลื่อนที่ก้าวล้ำจาก Patient and Personnel Safety โดยเพิ่มความสำคัญของประชาชน หรือ People เป็น Patient, Personnel and People Safety หรือ 3P Safety ในเวทีประชุมรัฐมนตรีโลกที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ด้วย ทั้งนี้ ได้มีการวางแนวทางผ่านยุทธศาสตร์ 3P Safety strategy ซึ่งจะนำเสนอต่อรัฐมนตรีต่อไป โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญความสำเร็จของการขับเคลื่อนเรื่องความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกและประเทศต่างๆ ทั่วโลก คือ การได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากผู้นำระดับสูง ทำให้การประกาศนโยบาย การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่ผ่านมา สามารถผนึกกำลังองค์กรหน่วยงานต่างๆ มาร่วมกันพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม การประกาศนโยบายเพิ่มเป็น 3P Safety จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่นำไปสู่การสร้างความปลอดภัยและสังคมสุขภาวะอย่างมีส่วนร่วมเพื่อทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยเริ่มต้นจากสถานพยาบาล” ผอ.สรพ.กล่าว ด้าน ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นการเดินทางมาถึงปีที่ 5 ที่ 2P Safety Tech ได้มีการพัฒนานวัตกรรม และถูกนำไปใช้จริง ซึ่งรวมแล้วมากกว่า 24 นวัตกรรม ยกตัวอย่าง 4 ผลงานที่น่าสนใจ เช่น  ผลงาน Rapid Response Alert จาก รพ.หาดใหญ่ มีผู้ป่วยใช้งานรวมกันแล้วกว่า 30,000 คน  ผลงานระบบการให้บริการเวรเปล รพ.สกลนคร มีผู้ป่วยใช้งานกว่า 60,000 คน ผลงาน Stroke ระยอง มีคนใช้งานกว่า 5,000 และ รพ.ค่ายสมเด็จพระนเรศวร พิษณุโลก ก็มีการนำไปใช้กับผู้ป่วยมากกว่า 6,000 และนวัตกรรมอื่น ๆ ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องก็มีผู้ป่วยได้ประโยชน์จากนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังส่งผลให้บุคลากรสาธารณสุข ลดเวลาในการปฏิบัติงานในหลายขั้นตอน เช่น ลดการกรอกเอกสารในกระดาษ เห็นข้อมูลคนป่วยแบบ Real-Time ทำให้รักษาได้เร็วขึ้น เป็นต้น “สวทช. ได้ติดตามความก้าวหน้าโครงการ 2P Safety Tech อยู่เป็นระยะซึ่งทุกทีมต่างมีความตั้งใจในการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมเพื่อมุ่งแก้ปัญหาของแต่ละงาน และพิเศษกว่าทุกปีคือ ปีนี้เป็นปีแรกที่มีเงื่อนไขของการพัฒนาต้องร่วมมือกันระดับเครือข่าย ไม่ได้แยกกันทำทีละโรงพยาบาลเช่น 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นมิติของการพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวข้ามอุปสรรคในหลาย ๆ ด้าน เช่น มีการทำงานระหว่างโรงพยาบาลชุมชน กัน องค์กรปกครองส่วนตำบล เป็นต้น เนื่องจากทุกท่านได้ร่วมมือกันตั้งแต่ต้น เห็นเส้นทางของการเติบโตของนวัตกรรม การพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใต้แนวคิด Open Innovation เป็นความร่วมมือทั้งรัฐและเอกชน ซึ่งนวัตกรรมที่เกิดขึ้นสามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า โครงการนี้ มีส่วนกระตุ้นให้บุคลากรสาธารณสุขเกิดความตื่นตัวและมีแนวคิดการสร้างนวัตกรรมในองค์กรมากขึ้น ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมขององค์กรยุคใหม่ที่ต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปีนี้จะสามารถช่วยกันผลักดันให้เกิดการใช้งานจริงได้ และนำไปขยายผลต่อในวงกว้างได้มากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามขอความยินดีกับทุกนวัตกรรมที่ได้นำเสนอ ทุกท่านถือว่าได้มากกว่ารางวัล คือ ความภาคภูมิใจที่งานของท่านถูกนำไปใช้จริง และขอขอบคุณ สรพ. ที่เปิดโอกาสให้ สวทช. ได้มีส่วนร่วม เชื่อมต่อนวัตกร มาเจอกับบุคลากรของสาธารณสุข ที่มาพร้อมกับปัญหาที่ท้าทาย” ดร.อดิสร กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สัมมนาประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนที่นำทางเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน เพื่อนำทางประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
ตามที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และเครือข่ายพันธมิตรได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานตามพันธกิจ ประจำปีงบประมาณ 2565 จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ให้ดำเนินงานโครงการ “แผนที่นำทางเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) เพื่อนำทางประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” นั้น . ในการนี้ จึงขอเชิญร่วมสัมมนาประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนที่นำทางเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน เพื่อนำทางประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน . วันอังคารที่ 26 กันยายน 2566 เวลา 09.00-12.00 น. ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี . รายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานถึงวันที่ 20 กันยายน 2566 https://www.nstda.or.th/r/VEA58
ปฏิทินกิจกรรม
 
‘ศุภมาส’ชวนพ่อเมืองทุกจังหวัด ใช้ “ทราฟฟี่ ฟองดูว์” แก้ปัญหาประชาชน
‘ศุภมาส’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. หนุน รัฐบาลดิจิทัล ผลักดัน แพลตฟอร์ม ‘ทราฟฟี่ ฟองดูว์’ (Traffy Fondue) ชวนผู้ว่าราชการจังหวัด สถานที่ราชการ และหน่วยงานของรัฐทั่วประเทศเดินหน้าใช้เป็นประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาประชาชน ‘ชัชชาติ’ ปลื้ม กทม. รับรางวัลหน่วยงานดีเด่น หลังใช้แพลตฟอร์มกว่าปีเศษ แก้ปัญหารวดเร็ว 11 เท่า เล็ง ขยายผลเป็น Traffy Fondue Plus ผุด ‘4 ดี’ สร้างการมีส่วนร่วมประชาชน เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566) ที่ห้องแถลงข่าว อว. ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตร “หน่วยงานดีเด่นในการใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อบริการประชาชน” ให้กับ 190 หน่วยงาน ทั้งในระดับจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง โดยมี  รองศาสตราจารย์ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บรรยายพิเศษในหัวข้อ“การขับเคลื่อนการใช้งาน Traffy Fondue  แก้ปัญหาระดับ เส้นเลือดฝอย กรุงเทพมหานคร” พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร) นายวสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มทราฟฟี่ ฟองดูว์  ร่วมพิธีมอบประกาศเกียรติบัตร นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ขอชื่นชมและขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานเพื่อประชาชน โดยยังมีอีกหลายจังหวัดและหลายหน่วยราชการที่ยังไม่ได้นำทราฟฟี่ ฟองดูว์ มาใช้เพื่อให้บริการประชาชน จึงขอเชิญชวนทุกท่านอีกครั้ง ซึ่งกระทรวง อว. พร้อมที่จะเดินหน้าทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มที่ และขอขอบคุณสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นขุมพลังหลักด้านการวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศไทย ที่ได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาแพลตฟอร์มทราฟฟี่ ฟองดูว์ จนสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เป็นเครื่องมือสำคัญให้กับหน่วยราชการต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้อย่างทั่วถึง “รัฐบาลจะใช้การบริหารในรูปแบบของการกระจายอำนาจ (ผู้ว่า CEO) เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริหารงานในแต่ละจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ กล่าวคือ จะมีการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดเพื่อสร้างโอกาสและสร้างประโยชน์ให้ประชาชนเป็นสำคัญ สนับสนุนการจัดการปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาด โดยรัฐบาลจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการให้บริการมาเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใส ขจัดช่องโหว่ในการทุจริต ลดค่าใช้จ่าย และปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น” รัฐมนตรีกระทรวง อว. กล่าว ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. โดยหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ‘ทราฟฟี่ ฟองดูว์’ ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมือง และใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยรับเรื่องร้องเรียนปัญหาเมือง โดยมีการขยายผลการใช้งานไปทั่วประเทศ ปัจจุบันระบบฯ ได้รับแจ้งเรื่องแล้วมากกว่า 373,000 เรื่อง มีหน่วยงานรับแจ้งในระบบรวมมากกว่า 10,400 หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย เทศบาล มากกว่า 1,300 หน่วยงาน และองค์การบริหารส่วนตำบล มากกว่า 1,800 หน่วยงาน ครอบคลุมการใช้งานทั่วประเทศ โดยมี 14 จังหวัด ที่เข้าร่วมใช้งานแล้วทุกหน่วยราชการ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นครราชสีมา, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, พะเยา, ลำพูน, ปราจีนบุรี, ภูเก็ต, เพชรบูรณ์, สมุทรปราการ, สระบุรี, เชียงใหม่, ลำปาง และสิงห์บุรี และอยู่ระหว่างประสานงานเพื่อเข้าร่วมใช้งานทุกหน่วยราชการ อีก 3 จังหวัด ได้แก่ ตรัง นนทบุรี และแม่ฮ่องสอน “กิจกรรมในครั้งนี้ เริ่มจากการที่ สวทช. ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือใน โครงการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน ทราฟฟี่ ฟองดูว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาของประชาชน ร่วมกับ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และยังเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการพัฒนาและขยายผลระบบรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมืองด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศสู่ระดับการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) และ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่ต้องการให้เกิดการขยายผลการใช้งานระบบรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมือง (Traffy Fondue) ให้ครอบคลุม ทุกหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทุกภาคส่วน จึงถือเป็นอีกเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาบริการของรัฐ ให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้บริการในโลกยุคดิจิทัล” รองศาสตราจารย์ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่ง ที่ สวทช. หน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ได้มอบเกียรติบัตรแก่หน่วยงานดีเด่นในการใช้แพลตฟอร์มทราฟฟี่ ฟองดูว์   เพื่อให้บริการประชาชน ซึ่งนับเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบราชการจากระบบท่อเป็นแพลตฟอร์ม ช่วยลดขั้นตอนการสั่งการและการดำเนินการแก้ไขปัญหา ให้มีความสะดวกรวดเร็ว ประชาชนไว้วางใจและได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน โดยในส่วนของกรุงเทพมหานคร มีการนำทราฟฟี่ ฟองดูว์  ไปใช้งานและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาระดับเส้นเลือดฝอยกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีประชาชนร้องเรียนปัญหามาแล้ว 380,704 เรื่อง แก้ไขสำเร็จแล้ว 279,184 เรื่อง (73%) ประเภทปัญหาที่ได้รับแจ้งมากที่สุด คือ ถนน (21%) รองลงมา คือ เรื่องอื่น ๆ (14%) ทางเท้า (9%) แสงสว่างและความปลอดภัย (ประเภทละ 6%) ความสะอาด น้ำท่วม และสิ่งกีดขวาง (ประเภทละ 5%) ท่อระบายน้ำและจราจร (ประเภทละ 4%) เป็นต้น “ผลจากการใช้งานทราฟฟี่ ฟองดูว์ แก้ปัญหาระดับเส้นเลือดฝอย กรุงเทพมหานคร สะท้อนแล้วว่า พลังของแพลตฟอร์มเป็นสิ่งสำคัญในการกระจายอำนาจให้ประชาชน ทราฟฟี่ ฟองดูว์ ช่วยให้กรุงเทพมหานครรับปัญหาของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาของประชาชนได้อย่างทันท่วงที สิ่งเหล่านี้เป็นการนำเสียงของประชาชนเป็นที่ตั้งมากขึ้น ตอบโจทย์ของประชาชนให้มากขึ้น พยายามดูแลประชาชนให้ละเอียดขึ้น นี่จะเป็นสิ่งที่กรุงเทพมหานครจะดำเนินการต่อไป” ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเปิดรับแนวคิดจากภาคประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาให้ประชาชน กรุงเทพมหานครเตรียมพัฒนาต่อยอดทราฟฟี่ ฟองดูว์ สู่ทราฟฟี่ ฟองดูว์ พลัส (Traffy Fondue Plus) เพื่อดำเนินการนำร่องพัฒนาต่อยอดใน 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1. ด้านข่าวสารดี เพื่อติดตามเรื่องสำคัญมีผลกระทบต่อประชาชน ประชาชนสนใจและได้ประโยชน์ 2. ด้านบริการดี ช่วยให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงข้อมูลและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ 3.ด้านข้อมูลดี เพื่อนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยเพิ่มศักยภาพการวิเคราะห์ข้อมูล และแก้ไขข้อร้องเรียน และ 4. ด้านสนุกดี เพื่อต่อยอดการร้องเรียนสู่การมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองของประชาชน (Active Citizen) สำหรับพิธีรับมอบเกียรติบัตร “หน่วยงานดีเด่นในการใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อบริการประชาชน” นอกจาก 14 จังหวัดที่มีการใช้งานทุกส่วนราชการแล้ว ยังมีหน่วยงานภาคส่วนอื่น ๆ เข้ารับมอบกว่า 100 หน่วยงาน อาทิ หน่วยงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด, หน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบล, หน่วยงานเทศบาล, หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ
ข่าวประชาสัมพันธ์