หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. เข้าร่วมการประชุม ASEAN COSTI ครั้งที่ 88 ร่วมขับเคลื่อน “อาเซียนขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” ภายใต้กรอบแผน APASTI ฉบับใหม่ (พ.ศ. 2569–2578)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ครั้งที่ 88 (ASEAN Committee on Science, Technology and Innovation: ASEAN COSTI-88) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–22 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมจูบิลี่ เพรสทีจ รัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร โดยมี ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดในฐานะผู้แทนหน่วยงาน เวทีสำคัญผลักดันความร่วมมือ วทน. อาเซียน การประชุม ASEAN COSTI ถือเป็นเวทีสำคัญในการกำหนดทิศทางและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ของภูมิภาคอาเซียน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค ผ่านโครงการความร่วมมือด้าน วทน. ระหว่างประเทศสมาชิก ความเชื่อมโยงกับประเทศคู่เจรจา และภาคีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสนับสนุนการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และสังคมจากผลงานวิจัยและนวัตกรรม ขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ “Innovative ASEAN” ด้วยกรอบแผน APASTI 2026–2035 การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการสนับสนุนการดำเนินงานตาม กรอบแผนปฏิบัติการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งอาเซียน ฉบับใหม่ (APASTI 2026–2035) ภายใต้วิสัยทัศน์ “อาเซียนขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” (Innovative ASEAN) โดยเน้นความร่วมมือด้าน งานวิจัยและนวัตกรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเคลื่อนย้ายผู้เชี่ยวชาญ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานร่วมของภูมิภาค ตลอดจน การส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนในระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม สวทช. และศูนย์วิจัยแห่งชาติร่วมประชุมอนุกรรมการเฉพาะด้าน ระหว่างวันที่ 20–21 ตุลาคม 2568 ผู้บริหารจากศูนย์วิจัยแห่งชาติ ได้แก่ NECTEC – ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ BIOTEC – ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ MTEC – ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ NANOTEC – ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ENTEC – ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ได้เข้าร่วมการประชุม อนุกรรมการเฉพาะด้าน (Subcommittee) ในฐานะผู้แทนประเทศไทย ครอบคลุมสาขา เทคโนโลยีชีวภาพ อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงาน วัสดุศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เสริมสร้างความร่วมมือในรูปแบบโครงการร่วม และผลักดันเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน สวทช. พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานตาม APASTI ฉบับใหม่ สวทช. ยืนยันความพร้อมในการสนับสนุนการดำเนินงานตามกรอบแผน APASTI 2026–2035 ผ่านบทบาทในการ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการประสานความร่วมมือเชิงระบบ ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อให้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สัมมนา “Smart Agriculture For Future: พลิกโฉมสู่เกษตร 4.0 สร้างผลผลิตพรีเมียม ขยายโอกาส ธุรกิจแบบยั่งยืน”
ITAP และไบโอเทค สวทช. ขอเชิญร่วมสัมมนา “Smart Agriculture For Future: พลิกโฉมสู่เกษตร 4.0 สร้างผลผลิตพรีเมียม ขยายโอกาสธุรกิจแบบยั่งยืน” 📅 วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ⏰ เวลา 09.00 – 15.00 น. 📍 ณ ห้องประชุม SD-601 อาคารสราญวิทย์ (ตึก 12) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ปลดล็อคธุรกิจการเกษตร สู่ยุค “เกษตร 4.0” เตรียมพบกับสัมมนาที่จะ พลิกโฉมภาคการเกษตรไทย ให้ก้าวสู่ความยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับโลก ด้วยแนวทาง Smart Agriculture ที่ผสาน เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) เข้ากับ เงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพสูงในต้นทุนที่ต่ำลง เนื้อหาสำคัญภายในงาน การบรรยายแนวทางการปรับตัวสู่ เกษตรสมัยใหม่ การเชื่อมโยง เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ กับ โอกาสทางการเงิน แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ เปิดรับคำปรึกษาเบื้องต้นจากผู้เชี่ยวชาญ แบบ One on One เหมาะสำหรับ ผู้ประกอบการ เกษตรปลอดภัย และ ธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ ที่ต้องการยกระดับกระบวนการผลิตให้ทันสมัยและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ลงทะเบียนเข้าร่วมฟรี! รับจำนวนจำกัดเพียง 50 ท่านแรก ลงทะเบียนล่วงหน้าที่: https://forms.gle/h3UmxjWviA3fmhYD8  
ปฏิทินกิจกรรม
 
ENTEC-NECTEC สวทช. ผนึกพันธมิตรจัดประชุม PVSEC-36 สร้างไทยเป็นฮับพลังงานสะอาดอาเซียน
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสมาคมอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ไทย จัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (The 36th International Photovoltaic Science and Engineering Conference, PVSEC-36) ระหว่างวันที่ 9–14 พฤศจิกายน 2568 เพื่อเป็นเวทีระดับนานาชาติที่รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักวิจัย ภาคอุตสาหกรรม และผู้กำหนดนโยบายจากทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด และนวัตกรรมด้านพลังงานแสงอาทิตย์และเทคโนโลยีโฟโตโวลตาอิก (Photovoltaic Technology) มีเป้าหมายหลักคือการส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการและอุตสาหกรรมในระดับนานาชาติ เผยแพร่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านเซลล์แสงอาทิตย์ ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาแนวทางพลังงานสะอาดและยั่งยืนเพื่ออนาคตของโลก อีกทั้งยังมีเป้าหมายในการสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทของพลังงานแสงอาทิตย์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติ โดยภายในงานประกอบด้วยการบรรยายพิเศษ การนำเสนอผลงานวิชาการกว่า 470 ผลงาน การจัดนิทรรศการ และกิจกรรมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในระดับโลก วันเปิดงานได้จัดกิจกรรม “Tutorial Workshop on Photovoltaics” เพื่อเป็นเวทีปูพื้นฐานความรู้ด้านเซลล์แสงอาทิตย์ (Photovoltaic: PV) สำหรับนักวิจัย นักศึกษา และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ดุสิต เครืองาม นายกสมาคมอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ไทย (TPVA) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและเป็นบุคคลสำคัญในวงการพลังงานแสงอาทิตย์ของไทย กล่าวเปิดการประชุม การบรรยายได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก อาทิ Prof. Dr.Arno Smets จาก Delft University of Technology ประเทศเนเธอร์แลนด์, Prof. Dr.Masafumi Yamaguchi จาก Toyota Technological Institute ประเทศญี่ปุ่น, Prof. Dr.Yoshihiro Hishikawa จาก Ritsumeikan University ประเทศญี่ปุ่น และ Dr. Ulrike Jahn จาก Fraunhofer Center for Silicon Photovoltaics ประเทศเยอรมนี ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ตั้งแต่หลักฟิสิกส์และวิศวกรรมของการแปลงพลังงานแสงเป็นไฟฟ้า สถานะและทิศทางอนาคตของเทคโนโลยี PV การทดสอบและประเมินสมรรถนะของโมดูล ไปจนถึงแนวทางการประยุกต์ใช้จริงในภาคอุตสาหกรรม สวทช. มีบทบาทสำคัญในการจัดงานครั้งนี้ โดย ENTEC มีนักวิจัยเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการจัดงานในหลายตำแหน่ง เช่น ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการจัดงาน (Co-Chair) และประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ (Chair of Public Relations Subcommittee) และมีนักวิจัยร่วมเป็นคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ การประชาสัมพันธ์ และการจัดนิทรรศการ ซึ่งสะท้อนบทบาทในการขับเคลื่อนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด การประเมินสมรรถนะและความยั่งยืนของระบบโซลาร์เซลล์ในเขตร้อน ขณะที่ NECTEC มีนักวิจัยร่วมเป็นคณะกรรมการจัดงานหลักและคณะอนุกรรมการด้านวิชาการและโปสเตอร์ นำโดย ดร.กอบศักดิ์ ศรีประภา นักวิจัยอาวุโส กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์และคณะ ช่วยดูแลด้านเทคนิค มาตรฐาน และระบบการนำเสนอผลงานวิจัย ตอกย้ำบทบาทในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์และระบบตรวจสอบมาตรฐานพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศ การมีส่วนร่วมของ สวทช. ในการ จัดงานครั้งนี้สะท้อนบทบาทสำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนองค์ความรู้ด้านพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับนานาชาติ ทั้งในด้านการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และมาตรฐานระบบพลังงานสะอาด การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงช่วยยกระดับศักยภาพนักวิจัยไทยให้ทัดเทียมระดับสากล แต่ยังสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางความรู้ด้านพลังงานสะอาดของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตามเป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) ของรัฐบาลไทย  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กิจกรรม MU-NSTDA Knowledge Sharing ประจำปี 2569 ครั้งที่ 1
🎉ขอเรียนเชิญเข้าร่วมกิจกรรม MU-NSTDA Knowledge Sharing ประจำปี 2569 ครั้งที่ 1 ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. 🚨หัวข้อ “บัญชีนวัตกรรมไทย: ส่งเสริมงานวิจัย สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์” วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.00 – 14.30 น. 💻ออนไลน์ Zoom meeting พบกับกิจกรรมบรรยาย การขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย ดังนี้ บัญชีนวัตกรรมไทยคืออะไร ผลงานที่สามารถขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย หลักเกณฑ์และขั้นตอนการขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย แนวทางการเขียนขอขึ้นทะเบียน และระบบการขึ้นทะเบียน ตัวอย่างการใช้ประโยชน์บัญชีนวัตกรรมไทย จากงานวิจัย สู่การสร้างผลกระทบเชิงพาณิชย์ กลุ่มเป้าหมาย/ผู้เข้าร่วมประชุม บุคลากรจากมหาวิทยาลัยมหิดล บุคลากร สวทช. เครือข่ายพันธมิตรของ สวทช. รวมทั้งผู้ที่สนใจทั่วไป ที่ประสงค์ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อโอกาสต่อยอดผลงานวิจัยสู่ตลาดจริง ลงทะเบียนเข้าร่วมฟรี (ไม่มีค่าใช้จ่าย) ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ผ่าน URL หรือ Scan QR Code ด้านล่างนี้  https://forms.gle/swzmURKf2gfWNGQX9
ปฏิทินกิจกรรม
 
“อุทยานวิทยาศาสตร์เอเชีย” รวมพลังขับเคลื่อนโลกธุรกิจด้วย ESG สู่ความยั่งยืน🌱
ไทยตอกย้ำศักยภาพการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมเอเชีย 🇹🇭 สวทช. โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคจากทั่วประเทศ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี "สมาคมอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งเอเชีย ครั้งที่ 28” หรือ ASPA Annual Conference 2025 เวทีความร่วมมือระดับนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใต้ธีม “The Role of Science and Technology Parks in Facilitating Corporates on the ESG Journey” เป็นการผนึกกำลังของอุทยานวิทยาศาสตร์จากประเทศต่าง ๆ ทั่วเอเชีย ในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจด้วยแนวทางของ ESG ที่คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน 🌱
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
โครงการ NSTDA Micro-Mouse Contest 2026 เวทีสร้างขุมพลังคนรุ่นใหม่ สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่ออนาคตของประเทศ
📣 ประกาศกำหนดการอย่างเป็นทางการ โครงการ NSTDA Micro-Mouse Contest 2026 เวทีสร้างขุมพลังคนรุ่นใหม่ สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่ออนาคตของประเทศ โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) 📌รายละเอียดโครงการ NSTDA Micro-Mouse Contest 2026 คือเวทีการแข่งขัน หุ่นยนต์ Micromouse สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของเยาวชนไทย และต่อยอดสู่การพัฒนาทักษะด้านวิศวกรรมและการเขียนโปรแกรมอย่างสร้างสรรค์ 📅 เปิดรับสมัคร ระหว่าง 8 ธันวาคม 2568 – 9 มกราคม 2569 พร้อมกิจกรรมอบรมและการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในเดือน กุมภาพันธ์ 2569 🎓 เตรียมความพร้อมก่อนสมัคร กับ Micromouse Mini Course คอร์สออนไลน์สำหรับเยาวชน เริ่มเผยแพร่ พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป 📍 รับชมได้ที่: NSTDA Official YouTube 🔗 ติดตามความเคลื่อนไหวโครงการได้ที่: Website NSTDA Micro Mouse Facebook: NSTDA Micromouse Contest 📧 สอบถามเพิ่มเติม: NMMC@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
นักวิจัย ไบโอเทค และนาโนเทค สวทช. คว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568
 ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย ในฐานะองค์กรด้านความงามชั้นนำของโลก ประกาศสนับสนุนบทบาทนักวิจัยสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 ด้วยการมอบทุนวิจัยมูลค่า 250,000 บาท พร้อมโล่เกียรติคุณ ให้กับนักวิจัยสตรี 4 ท่านผู้ได้รับทุนในโครงการทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ประจำปี 2568 โดยนักวิจัยจาก สวทช. สามารถคว้ารางวัลมาได้ 2 รางวัล ประกอบด้วย 1. สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. ดำเนินงานวิจัยการพัฒนาวัคซีนต้นแบบและแพลตฟอร์มพื้นฐาน เพื่อควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ซึ่งสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมสุกรไทยกว่า 1.5 แสนล้านบาท โดยวัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์แสดงผลป้องกันโรคได้สูงถึง 70–100% และอยู่ระหว่างเตรียมทดสอบในระดับฟาร์มจริงเพื่อเสริมความมั่นคงทางชีวภาพของประเทศ 2. สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ดร.มัตถกา คงขาว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ที่มุ่งพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิว เพื่อใช้ในการนำส่งยาอย่างจำเพาะเจาะจงสำหรับการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน และโรคทางระบบประสาท โดยมีการทดสอบทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและสัตว์ทดลอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การแพทย์แม่นยำของประเทศ พร้อมต่อยอดสู่อุตสาหกรรมยาและเวชสำอางในอนาคต โอกาสนี้ คณะผู้บริหารจาก สวทช. ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกับนักวิจัยผู้ได้รับรางวัล โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ผศ. ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดร. ภญ.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และเป็นผู้ที่เคยได้รับรางวัลทุนวิจัยจากลอรีอัล ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รองผู้อำนวยการไบโอเทค และเป็นผู้ที่เคยได้รับรางวัลทุนวิจัยจากลอรีอัล ศาสตราจารย์ ดร.ศิวพร มีจู สมิธ, ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล, คุณศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ และ ดร.ศุภวงศ์ วิชพันธุ์ รองผู้อำนวยการนาโนเทค ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. รวมทั้ง ดร.วิรัลดา ภูตะคาม และ ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิจัยอาวุโสไบโอเทค ผู้ที่เคยได้รับรางวัลทุนวิจัยจากลอรีอัล เข้าร่วมแสดงความยินดี ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ โครงการทุนวิจัยลอรีอัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” หรือ For Women in Science ริเริ่มขึ้นในปี 2541 โดย มูลนิธิลอรีอัล ด้วยความร่วมมือจากยูเนสโก แต่ละปีได้สนับสนุนนักวิจัยสตรีรุ่นใหม่มากกว่า 250 ท่าน ในโครงการระดับประเทศและระดับภูมิภาคทั่วโลก และได้มอบทุนเกียรติยศระดับนานาชาติแก่นักวิจัยสตรีระดับ Laureates ไปแล้วมากกว่า 100 ท่าน ซึ่งมีถึง 7 ท่าน ที่ก้าวสู่ความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบล สำหรับในประเทศไทย โครงการทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” มอบทุนวิจัยทุนละ 250,000 บาท ให้กับนักวิจัยสตรีที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี ในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย ได้ดำเนินงานโครงการมาเป็นปีที่ 23 โดยมีนักวิจัยสตรีไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 91 ท่าน จากกว่า 20 สถาบันในประเทศไทย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กระทรวง อว. สนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 รพ.ค่ายสุรนารี พัฒนาสายรัดห้ามเลือด–เฝือกอ่อน เสริมสมรรถนะแพทย์ทหาร ป้องกันการเสียชีวิตกำลังพลชายแดน สร้างความมั่นคงของชาติ
สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประยุกต์องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมขั้นสูง สู่งานความมั่นคงของประเทศ สนับสนุนภารกิจแพทย์ทหาร โดยร่วมมือกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลค่ายสุรนารี พัฒนาสายรัดห้ามเลือดแบบก้านหมุน และเฝือกอ่อนเพื่อใช้งานในราชการสนาม ผลทดสอบเทียบเท่ามาตรฐานสากล มีต้นทุนถูกกว่านำเข้า สร้างโอกาสพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน (วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องแถลงข่าว อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว.: นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีมอบสายรัดห้ามเลือด 1,000 ชุด และเฝือกอ่อนจำนวน 500 ชุด ที่ร่วมพัฒนาโดยความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนและโรงพยาบาลค่ายสุรนารี เพื่อใช้ในราชการสนามแก่ กองทัพภาคที่ 2 โดยมี พลโทวีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ได้ร่วมพัฒนา 2 อุปกรณ์ ได้แก่ 1. สายรัดห้ามเลือดแบบก้านหมุน หรือ “ทูนิเก้” (Combat Application Tourniquet: CAT) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ที่ใช้เพื่อควบคุมภาวะเลือดออกรุนแรงจากบาดแผลที่แขนหรือขา ซึ่งไม่สามารถหยุดเลือดได้ด้วยวิธีกดแผลโดยตรง และ 2. เฝือกอ่อน (Splint) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลสำเร็จรูปสำหรับตรึงกระดูกหรือข้อเคลื่อนชั่วคราว หลักการทำงานของสายรัดห้ามเลือดคือการสร้างแรงกดที่เพียงพอให้มากกว่าความดันโลหิตซิสโตลิก (Systolic Blood Pressure) ของผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งความดันดังกล่าวเป็นค่าความดันสูงสุดในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยปกติมีค่าอยู่ประมาณ 50–150 มิลลิเมตรปรอท เมื่อสายรัดห้ามเลือดสร้างแรงกดเพียงพอจะปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดจากหลอดเลือดแดง และแถบที่กว้างของสายรัดจะกระจายแรงกดและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อเฉพาะจุด จึงมีประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่าวัสดุชั่วคราว อาทิ เชือก หรือผ้าแคบ และในการใช้งานจำเป็นต้องบันทึกเวลาเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ทราบ เนื่องจากระยะเวลาที่เกิน 2 ชั่วโมง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อขาดเลือดที่นำไปสู่เนื้อตาย และภาวะความดันในช่องกล้ามเนื้อสูง ส่วนเฝือกอ่อนเป็นวัสดุที่ผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์บางที่ประกบด้านบนและด้านล่างด้วยชั้นโฟมโพลีเอทิลีน มีสมบัติทางกลศาสตร์ที่สำคัญ คือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและขนาดวัตถุอย่างถาวรโดยไม่กลับคืนรูปร่างเดิม จึงสามารถดัดโค้งให้เข้ากับสรีระได้คงรูปถาวร และมีเสถียรภาพในการตรึงกระดูกหัก ที่สำคัญ คือเป็นวัสดุที่โปร่งแสงรังสี (Radiolucent) ทำให้สามารถถ่ายภาพรังสีเอกซ์ (X-ray) เพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บได้โดยไม่ต้องถอดเฝือกออก วัสดุนี้จึงเหมาะสำหรับการปฐมพยาบาลภาคสนามและการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อุปกรณ์สำหรับราชการสนามทั้ง 2 ชนิดนี้ สถาบันฯ ผลิตขึ้นโดยได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมของสถาบันฯ โดยวัสดุในการผลิตสายรัดห้ามเลือดและเฝือกอ่อนนั้น เป็นอะลูมิเนียมที่สถาบันฯ นำมาอบอ่อน (Annealing) เพื่อลดความแข็งและเพิ่มความเหนียวให้กับวัสดุด้วยเครื่องมือของห้องปฏิบัติการทางเทคนิคและวิศวกรรม ซึ่งปกติใช้งานในการพัฒนาและซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนและระบบลำเลียงแสง อะลูมิเนียมที่ปรับปรุงคุณสมบัติแล้วสามารถประยุกต์ใช้กับเฝือกอ่อนเพื่อดัดโค้งให้เข้ากับสรีระของผู้บาดเจ็บได้ตามความต้องการ และเมื่อนำอะลูมิเนียมดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับสายรัดห้ามเลือดจะยืดหยุ่นรับกับอวัยวะ แต่ไม่คลายตัว จึงห้ามเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลการทดสอบสายรัดห้ามเลือดที่สถาบันฯ พัฒนาขึ้นนี้ สามารถรัดห้ามเลือดได้นานต่อเนื่อง 5–6 ชั่วโมงโดยไม่คลายตัว มีประสิทธิภาพเทียบเท่าสายรัดห้ามเลือดมาตรฐานที่นำเข้าจากต่างประเทศแต่มีต้นทุนต่ำกว่าครึ่ง รศ.ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กล่าวว่า “การพัฒนาสายรัดห้ามเลือดและเฝือกอ่อนเพื่อใช้งานในราชการภาคสนามนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์ใช้ความเชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนเพื่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งหลังจากนี้จะได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ในการผลิตให้แก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ และสถาบันฯ ยังคงมุ่งมั่นในการนำวิทยาศาสตร์แสงซินโครตรอนและเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ในหลากหลายสาขา เพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้และการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป” • ก่อนหน้านี้ สวทช. กระทรวง อว. มอบ รถต้นแบบทำลายทุ่นระเบิดฯ ให้กองทัพบก นำร่องใช้งานแล้ว ใน พท. ชายแดน โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้นำเสนอนิทรรศการผลงาน “ต้นแบบรถขุดตักดัดแปลงทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 สำหรับภูมิประเทศซับซ้อนสูงในพื้นที่ชายแดน” โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมาคณะนักศึกษา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 67 หรือ วปอ.67 ได้ทำการส่งมอบ ต้นแบบรถขุดตักดัดแปลงทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 ให้แก่ พล.ท.สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง กองทัพบก เพื่อนำไปใช้ในภารกิจการป้องกันประเทศ สำหรับต้นแบบรถขุดตักดัดแปลงทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 ที่พัฒนาขึ้นนั้น สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ภายใต้การสนับสนุนจากนักศึกษา วปอ. 67 ได้พัฒนาต้นแบบเครื่องมือทำลายทุ่นระเบิดฯ โดยมี ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (RMT) เป็นหัวหน้าทีมในการออกแบบกระบวนการทางวิศวกรรมขั้นสูงและเทคโนโลยีวัสดุ สำหรับใช้ในการทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 การพัฒนานวัตกรรมเริ่มต้นจากแนวคิดการประยุกต์ใช้รถขุดดินขนาดเล็ก (ขนาดประมาณ 3.5 ตัน) ที่มีความคล่องตัวในการเคลื่อนในภูมิประเทศลาดชันและทุรกันดาร ใช้ทักษะในการขับขี่พื้นฐาน และมีความแข็งแรงทนทานเพียงพอ มาติดตั้งอุปกรณ์ทำลายทุ่นระเบิด พร้อมติดตั้งชุดเกราะเสริมความปลอดภัยให้ห้องคนขับ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ปฏิบัติงานควบคุมไม่ได้รับอันตราย การออกแบบทางวิศวกรรมขั้นสูงที่ผนวกรวมการออกแบบ 3 มิติ (3D Design) และการจำลองบนคอมพิวเตอร์ (Computer Simulation) ถูกใช้ในขั้นตอนการออกแบบชิ้นส่วนทางวิศวกรรม เพื่อให้มั่นใจถึงความแม่นยำในขนาดมิติในการผลิตและใช้งาน แข็งแรงเพียงพอจากแรงดันระเบิด นอกจากนี้ได้มีการเรียนรู้ถึงพฤติกรรมแรงดันจากการระเบิดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับมนุษย์ด้วยการจำลองทางคอมพิวเตอร์ การเลือกใช้วัสดุความแข็งแรงเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่คณะวิจัยของเอ็มเทค สวทช. มีประสบการณ์และคลุกคลีกับวัสดุกลุ่มนี้ยาวนาน การพัฒนาชุดเกราะเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานควบคุม จึงได้เลือกเหล็กกล้าความแข็งแรงสูงที่มีค่าความเค้น ณ จุดคราก ไม่ต่ำกว่า 700 MPa (S700 Structural Steel) ความหนา 12 มม. ชุดหัวกดทำลายทุ่นระเบิด (Landmine Punching Destroyer) ได้ออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขและสภาวะการณ์ในการทำลายทุ่นระเบิด โดย “ก้านกด” ถูกติดตั้งให้มีระยะความสูงห่างจากพื้นดินที่เหมาะสมเพื่อช่วยการระบายของแรงดันจากการระเบิดอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะลดโอกาสการเกิดความเสียหายของชิ้นส่วน วัสดุของก้านกดเป็นเหล็กกล้าปานกลางผ่านกระบวนการอบชุบทางความร้อนเพื่อให้มีความแข็งแรงเพียงพอ (Yield Strength 720 MPa) ทำเป็นแท่งเกลียว (Stud Bolt) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 28.5 มม. ทำให้สะดวกต่อการถอดเปลี่ยนหรือปรับปรุงแก้ไขหากเกิดการชำรุดในระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน นวัตกรรมนี้แสดงให้เห็นว่า สวทช. ไม่ได้ทำงานอยู่แค่ในห้องทดลอง แต่ยังนำงานวิจัยมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมของประเทศ การพัฒนาเครื่องมือที่ผลิตโดยคนไทยเพื่อความมั่นคงของชาตินับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และเป็นการคืนความปลอดภัยให้กับชีวิตและผืนดินของประชาชนตามแนวชายแดน  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. รับควบ 2 รางวัลในงาน Public Sector Day Thailand 2025 
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล กรุงเทพฯ : นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “National AI Strategy and Cloud-First Policy” โดยมี นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี และโฆษกกระทรวงดีอี พร้อมด้วยตัวแทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม สวทช. รับรางวัล Public Sector Innovation AWARD WINNERS 2025 โอกาสนี้ ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อม ดร.ศราวุธ คงยัง หัวหน้านักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เข้าร่วมรับรางวัล Public Sector Innovation Thailand  AWARD WINNERS 2025  ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กรและบุคคลากรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมในภาครัฐ อันก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตประชาชนและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในประเทศไทย NSTDA Cloud คว้ารางวัล Public Service Innovation Champion ในปีนี้มีหน่วยงานส่งโครงการเข้าร่วมประกวด 20 โครงการ จาก 15 หน่วยงาน โดย สวทช.ในฐานะเ ป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ที่มีภารกิจครอบคลุมการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ ผลักดันมาตรการสนับสนุนนวัตกรรม พัฒนาบุคลากร สร้างโครงสร้างพื้นฐาน และดำเนินการวิจัยในสาขาสำคัญเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ   ได้จัดทำโครงการ NSTDA Cloud เป็นโครงการทดแทนโครงสร้างพื้นฐานระบบเครื่องแม่ข่ายและระบบสารสนเทศระบบเดิม เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ให้ก้าวทันกับเทคโนโลยี มีประสิทธิภาพสูง และมีความปลอดภัย และยังเป็นจุดเริ่มต้นของ Research Cloud ในอนาคตอันใกล้ ได้รับรางวัลรางวัล Public Service Innovation Champion รางวัลแห่งนวัตกรรมบริการภาครัฐ ที่มอบให้แก่หน่วยงานผู้บุกเบิก สร้างสรรค์บริการรูปแบบใหม่ ที่ตอบโจทย์ยุคสมัย Pathumma LLM โดย เนคเทค สวทช. คว้า GenAI Public Impact นอกจากนี้  เนคเทค สวทช.  ยังได้รับรางวัล GenAI Public Impact  รางวัลแห่งการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ยุคใหม่ สร้างนวัตกรรมบริการที่ล้ำสมัย เพื่อประเทศชาติ  สำหรับโครงการ Pathumma LLM  เป็นการดำเนินการวิจัยทั้งเชิงเทคนิคและนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อผลักดันผลงานวิจัยสู่ภาคอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. ได้พัฒนา ออกแบบ Pathumma LLM ให้รองรับการประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ (Text), เสียง (Audio), และภาพ (Vision) ถือเป็นก้าวสำคัญของ AI สัญชาติไทย ที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริการ AI ในบริบทที่มีลักษณะเฉพาะทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรม Public Sector Day ASEAN 2025 คือ เวทีที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้นำภาครัฐ พร้อมก้าวทันเทคโนโลยีคลาวด์และ AI ล่าสุด ร่วมสำรวจแนวทางที่ภาครัฐกำลังใช้คลาวด์ในการขับเคลื่อนแผนดิจิทัลระดับชาติ และยกระดับประสบการณ์ของประชาชน พร้อมเรียนรู้การนำคลาวด์และ AI มาใช้แก้ไขความท้าทายเร่งด่วน เปิดโอกาสใหม่ทางนโยบาย และผลักดันให้อาเซียนก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านดิจิทัล  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช.-ม.เกษตรฯ จัดงาน “NSTDA-KU Rice Field Day 2025” ปีที่ 2 โชว์ศักยภาพพันธุ์ข้าวนวัตกรรม ผลผลิตสูง 2 ตันต่อไร่ พร้อมรับมือวิกฤติภูมิอากาศ ตอบโจทย์เกษตรยั่งยืน
(6 พ.ย. 68) ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จัดงาน “NSTDA-KU Rice Field Day 2025” เป็นปีที่ 2 เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทย ที่มุ่งนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่การปฏิบัติจริง พลิกโฉมภาคเกษตรไทยให้ยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับโลก ภายในงานจัดแสดง “พันธุ์ข้าวนวัตกรรมผลผลิตสูงถึง 1.5 - 2 ตันต่อไร่” ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ต้านทานโรค-แมลง ทนสภาวะแวดล้อมวิกฤติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธุ์ข้าวพร้อมใช้หรือพันธุ์ข้าวทางเลือกใหม่ ที่พัฒนาสำเร็จแล้วจำนวน 7 พันธุ์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตร (รพ.2) และมี 3 พันธุ์อยู่ระหว่างการขอรับรองพันธุ์จากกรมการข้าว ได้แก่ ข้าวเจ้าพันธุ์หอมสยาม พันธุ์หอมสยาม 2 พันธุ์หอมชลสิทธิ์ 2 พันธุ์ไบโอเทค 1 และมีข้าวเหนียวพันธุ์น่าน 59 พันธุ์หอมนาคา รวมถึงข้าวโภชนาการที่ดี พันธุ์ไรซ์เบอรี่ 2 เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกรในการผลิตข้าวผลผลิตสูง มีศักยภาพรองรับสภาวะแวดล้อมวิกฤติ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือกว่า 25 ปีระหว่างม.เกษตรฯ และไบโอเทค สวทช. ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า งานนี้เป็นผลผลิตจากความร่วมมือทางวิชาการอันยาวนานและมั่นคงระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กับ ไบโอเทค สวทช. ที่ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวร่วมกันมากว่า 25 ปี โดยนำเทคโนโลยีการคัดเลือกด้วยเครื่องหมายโมเลกุล (Marker-Assisted Selection หรือ MAS) มาประยุกต์ใช้อย่างเข้มข้น เพื่อสร้างสรรค์และปรับปรุงพันธุ์ข้าวใหม่ที่มีคุณสมบัติเด่นหลากหลาย ทั้ง พันธุ์ข้าวผลผลิตสูง พันธุ์ข้าวต้านทานโรคและแมลง ทนสภาพแวดล้อมวิกฤติ ข้าวโภชนาการสูง และข้าวคาร์บอนต่ำ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หวังว่า นักวิชาการและที่สำคัญที่สุดคือพี่น้องเกษตรกรจะสามารถนำองค์ความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว เพิ่มรายได้ และลดต้นทุนการผลิตข้าวได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โชว์เทคโนโลยีพันธุ์ข้าวใหม่ตอบโจทย์เศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า งานนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เพื่อแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวของไทยที่มุ่งตอบโจทย์ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีศักยภาพผลผลิตต่อไร่สูงในระดับ 1.5 - 2 ตันต่อไร่ พันธุ์ข้าวที่พัฒนาขึ้นมีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น เพียง 90-100 วัน ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและลดต้นทุนการผลิต ทั้งยังทำให้ภาคเกษตรของไทยสามารถปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืนผ่านการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรของประเทศ ถ่ายทอดเทคโนโลยี – กิจกรรมครบวงจรตลอดห่วงโซ่ข้าว ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแบบแม่นยำและการนำเสนอสายพันธุ์ข้าวใหม่ที่มีคุณสมบัติดีเด่น โดยภายในงานมีกิจกรรมครอบคลุมตลอดห่วงโซ่มูลค่าของข้าว ณ แปลงนาสาธิต มีการจัดแสดงพันธุ์ข้าวผลผลิตสูง เพื่อก้าวสู่เป้าหมายผลผลิต 2 ตันต่อไร่ พร้อมทั้งพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติต้านทานโรคและแมลง รวมถึงทนทานต่อสภาวะแวดล้อมวิกฤติ โดย ดร.มีชัย เซี่ยงหลิว นักวิจัยไบโอเทค ได้แนะนำพันธุ์ข้าวดีเด่น ผลผลิตสูง และเชื้อพันธุกรรมข้าวให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสของจริงกับสายพันธุ์ที่มีศักยภาพสูงและพร้อมเผยแพร่ โดยเฉพาะกลุ่มพันธุ์ข้าวหอมไทยพื้นนุ่มคุณภาพพรีเมียม อาทิ พันธุ์หอมสยาม พันธุ์หอมสยาม 2 และพันธุ์หอมชลสิทธิ์ 2 นอกจากนี้ยังมีข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ที่มีศักยภาพในการผลิตแบบข้าวคาร์บอนต่ำ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมี การบรรยายวิชาการ จากผู้เชี่ยวชาญ อาทิ “Breeding Beyond Boundaries” โดย ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล AI ในงานข้าว” โดย ดร.ธีระ ภัทราพรนันท์ (เนคเทค สวทช.) “สารชีวภัณฑ์สำหรับการจัดการแปลง” โดย ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน (ไบโอเทค สวทช.) ตลอดจนมีการจัดนิทรรศการผลงานการปรับปรุงพันธุ์ พันธุ์ข้าวพร้อมใช้ และแปลงที่แสดงเชื้อพันธุกรรมข้าวกว่า 700 พันธุ์ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการให้บริการด้านเทคโนโลยี ขับเคลื่อนเกษตรไทยด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งาน "NSTDA–KU Rice Field Day 2025" เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการทำงานเชิงบูรณาการระหว่างภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคการผลิต ที่นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสร้างผลลัพธ์จริงให้กับประเทศ ทั้งการเพิ่มรายได้ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของชาติ สอดคล้องกับพันธกิจของ สวทช.ในการ “สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” (Empowering the Nation through Science and Technology) เพื่อให้ทุกผลงานวิจัยของไทยกลายเป็นพลังที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้ประเทศ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร จัดงานประชุมนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (IBD 2025) ผลักดันเวทีความหลากหลายทางชีวภาพระดับโลก ขับเคลื่อนงานวิจัยของประเทศไทย
(วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568) ณ ห้องบอลรูม 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมด้วย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และพันธมิตร โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และมูลนิธิสวนหลวง ร.9 เข้าร่วมจัดงานแถลงข่าวการจัดประชุมวิชาการนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (International Conference on Biodiversity หรือ IBD2025) ภายใต้หัวข้อ“Biodiversity and Humanity in Global Crisis” หรือ “ความหลากหลายทางชีวภาพกับมนุษยชาติ ในยุควิกฤตโลก” ระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา ในปี พ.ศ. 2568 และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างประชาคมนักวิจัยของไทยและต่างประเทศ ด้านความหลากหลายทางชีวภาพในมิติต่าง ๆ ทั้งงานวิจัยและวิชาการ การอนุรักษ์ การป้องกันการฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนเพื่อหาแนวทางความร่วมมือในระดับสากล โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จ ฯ เป็นประธานพิธีเปิดและบรรยายพิเศษ โอกาสนี้คณะผู้จัดงานได้จัดทำวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติชุด “เจ้าฟ้านักความหลากหลายทางชีวภาพ” ถ่ายทอดพระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณในการ อนุรักษ์ ฟื้นฟู ตลอดจนองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยมี ศาสตราจารย์สนิท อักษรแก้ว ประธานคณะกรรมการจัดประชุมวิชาการนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ นายสุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา รองศาสตราจารย์ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ที่ปรึกษาคณะกรรมการ นายดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นางสาวเสาวนีย์ มุ่งสุจริตการ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ รองศาสตราจารย์นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์ Mr.Harald Link กรรมการจัดประชุม ฯ และศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้บริหาร สวทช. เฝ้าฯ รับเสด็จ ทั้งนี้ ไบโอเทค สวทช. โดย ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย หรือ TBRC ซึ่งเป็นคลังทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สนับสนุนการอนุรักษ์และจัดเก็บตัวอย่างชีวภาพระยะยาว ร่วมนำผลงานวิจัยมาจัดแสดงตามแนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่ผาแดง จังหวัดตาก ผ่านการเชื่อมโยงฐานข้อมูลมาตรฐานนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์ พร้อมทั้งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการเก็บรักษาเชื้อจุลินทรีย์ศักยภาพและจัดทำคลังอนุรักษ์ความหลากหลายของเชื้อรา (Fungarium) เพื่อเป็นมาตรฐานอ้างอิงอนุกรมวิธาน สำหรับการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพให้มีความถูกต้องและปลอดภัย โดยผลงานวิจัยที่นำมาจัดแสดงในงานแถลงข่าวเป็นผลงานที่สามารถนำไปต่อยอดใช้งานได้จริง ได้แก่ ● กาแฟหมักยีสต์ จากสายพันธุ์ท้องถิ่นเพิ่มมิติกลิ่นรสและอัตลักษณ์พื้นที่ ● น้ำส้มสายชูจากเปลือกเชอรี่กาแฟ อัปไซเคิลวัสดุเหลือทิ้งสู่ผลิตภัณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐาน ● เม็ดปลูกพืช (Seed balls) ผสมจุลินทรีย์เพื่อเร่งการงอก เพื่อกระตุ้นการงอกและส่งเสริมการเจริญเติบโต พัฒนาโดยชุมชนเพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ● มะเขือเทศเชอรี่แบบอินทรีย์ต้านทานโรคในโรงเรือนไผ่ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร และยังมีผลงานวิจัยเชิงลึกควบคู่กับงานวิจัยพื้นที่ผาแดง เช่น การจัดทำคลังข้อมูลเห็ดป่าจำแนกได้ 59 ชนิด/47 สกุล (พบ Termitomyces ใหม่ ≥3 ชนิด; การเพาะเลี้ยง Schizophyllum commune และ Pleurotus pulmonarius สำเร็จ) ● ราทำลายแมลง 30 ชนิด (รายงาน Ophiocordyceps muscae ชนิดใหม่) ● อิฐชีวภาพ (Bio-bricks) จากกากกาแฟ/ชานอ้อย สำหรับโครงสร้างเบา ● ชีวภัณฑ์กาแฟ (Trichoderma TBRC 4734) สามารถช่วยลดโรคและแมลงได้เด่นชัด ● เทคโนโลยีเห็ดป่าคู่ไม้ยาง (หัวเชื้อ Astraeus/Amanita สร้างเอคโตไมคอร์ไรซา) พร้อมการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชนและพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย สวทช. ร่วมนำผลงานของนักเรียนภายใต้โครงการฯ ซึ่งเป็นผลงานตามหลักการกระบวนการสืบเสาะของนักเรียนเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนรอบตัวตามแนวทางของโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย มาจัดแสดงและถวายรายงาน จำนวน 2 ผลงาน ได้แก่ “ผลงาน Bee Creative” โดย เด็กหญิงสุพัชชา วงศ์สา โรงเรียนบ้านหนองตะกู จ.นครราชสีมา และ “ผลงาน วัฏจักรชีวิตผีเสื้อ” โดย เด็กชายทักษกร เกียรติลัภนชัย โรงเรียนพญาไท กรุงเทพมหานคร โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย ผศ. ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน สวทช. และนักเรียนจากโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ทูลเกล้าฯ ถวายของที่ระลึกแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ IBD2025 ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากประกอบด้วย การประชุม สัมมนา (International Oral and Poster) การบรรยายจากวิทยากรทั้งในและต่างประเทศ Panel discussion: การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพกับการก้าวข้ามยุควิกฤตโลก การนำเสนอผลงานภาคบรรยายจำนวน 22 เรื่อง และภาคโปสเตอร์ จำนวน 190 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 212 เรื่อง โดยนักวิจัยนักวิชาการ นิสิตนักศึกษา และนักเรียน จาก 14 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เลบานอน นิวซีแลนด์ ศรีลังกา ไต้หวัน เวียดนาม ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอเมริกา ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชมนิทรรศการและทัศนศึกษา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2568 เพื่อเรียนรู้และสัมผัสระบบนิเวศจริง พร้อมสร้างความตระหนักรู้และความร่วมมือในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘OnSpec x AI’ คู่หูเทคโนโลยีใหม่ คัดกรองโรคร้ายใน 5 นาที
ตลอดกว่าห้าทศวรรษที่ผ่านมา การตรวจวัดสัญญาณรามาน (Raman spectroscopy) เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการระบุอัตลักษณ์ของสาร ทั้งในอุตสาหกรรมการผลิตยา การตรวจวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงการตรวจหาสารเคมีตกค้างในภาคการเกษตร เพราะเทคโนโลยีนี้มีจุดเด่นเรื่องความรวดเร็วและความแม่นยำ ถึงกระนั้นการใช้งานเทคโนโลยีนี้ก็ยังไม่แพร่หลาย ด้วยข้อจำกัดที่สัญญาณรามานมักมีความเข้มข้นต่ำ และปัญหาการประมวลผลสัญญาณของสารประกอบที่มีความซับซ้อนสูง กระทั่ง 2–3 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เริ่มเติบโตอย่างก้าวกระโดด และขยายขอบเขตสู่บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ผู้พัฒนาเทคโนโลยี AI มากยิ่งขึ้น ทำให้ AI ก้าวเข้ามาเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกการประมวลผลสัญญาณรามานที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ โดยปัจจุบันสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานด้านการแพทย์แล้ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต OnSpec (ออนสเปก) ชิปขยายสัญญาณรามานเพื่อการวิเคราะห์ชนิดของสารความเข้มข้นต่ำ และเทคโนโลยีประมวลผลข้อมูลสัญญาณด้วย AI สำหรับใช้คัดกรองโรค เช่น วัณโรคแฝง ไข้เลือดออก มะเร็งถุงน้ำดี OnSpec ชิปขยายสัญญาณรามานหลักล้านเท่า [caption id="attachment_76405" align="aligncenter" width="450"] ดร.นพดล นันทวงศ์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ เนคเทค สวทช.[/caption] ดร.นพดล นันทวงศ์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ เนคเทค สวทช. อธิบายว่า สัญญาณรามาน คือ สัญญาณแสงเลเซอร์ที่ยิงไปตกกระทบบนพื้นผิววัตถุแล้วสะท้อนกลับมา โดยแสงบางส่วนจะมีสีหรือความยาวคลื่นเปลี่ยนไปเล็กน้อยตามลักษณะการสั่นของพันธะเคมีในโมเลกุล ทำให้แสดงถึงอัตลักษณ์ของสารแต่ละชนิดได้เสมือนลายนิ้วมือที่ใช้ระบุตัวตน “อย่างไรก็ตาม เทคนิคการตรวจวัดสัญญาณรามานยังมีจุดอ่อนเรื่องการวิเคราะห์สารที่มีความเข้มข้นต่ำ เพราะสัญญาณแสงที่สะท้อนกลับมาอาจอ่อนเกินกว่าที่จะตรวจจับอัตลักษณ์ได้ ที่ผ่านมานักวิจัยจากหลายประเทศทั่วโลกจึงพยายามพัฒนา ‘Surface-Enhanced Raman Scattering chip: SERS chip (เซอรส์ ชิป)’ วัสดุโครงสร้างระดับนาโนเพื่อใช้ขยายสัญญาณรามานให้มีความเข้มข้นขึ้นระดับหลักล้านเท่า โดยมีผู้พัฒนาจนประสบความสำเร็จและใช้งานได้จริงแล้วตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา” หนึ่งในทีมวิจัยที่ประสบความสำเร็จในการผลิต SERS chip ตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว คือ กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์จากเนคเทค สวทช. โดยทีมวิจัยได้ตั้งชื่อผลงานว่า ‘OnSpec’ [caption id="attachment_76408" align="aligncenter" width="750"] OnSpec[/caption] ดร.นพดล เล่าว่า OnSpec มีจุดแข็งคือขยายสัญญาณรามานได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปกว่า 100 เท่า และใช้งานร่วมกับเครื่องวัดสัญญาณรามานทั่วไปทั้งชนิดที่ใช้ในห้องปฏิบัติการและแบบพกพาได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีการผลิตที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีอัตราความสำเร็จในการผลิตต่อรอบมากกว่าร้อยละ 90 และยังมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าทั่วไปมาก จึงเหมาะแก่การใช้ผลิตในระดับอุตสาหกรรม โดยทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ภาคเอกชนไทยเรียบร้อยแล้ว “วิธีการใช้งาน OnSpec ทำได้ง่าย เพียงหยดตัวอย่างสารหรือสิ่งส่งตรวจลงบนชิป จากนั้นนำชิปไปติดตั้งในเครื่องรามานสเปกโทรมิเตอร์ (Raman spectrometer) เพื่อยิงแสงเลเซอร์และตรวจวัดสัญญาณที่สะท้อนกลับ ใช้เวลารวมทุกขั้นตอนเพียง 5–10 นาทีก็ทราบผลการตรวจได้แล้ว” นอกจากการพัฒนา OnSpec ปัจจุบันทีมวิจัยยังกำลังพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดสัญญาณรามานแบบพกพาเพื่อความสะดวกในการใช้งานนอกห้องปฏิบัติการด้วย โดยคาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีในปี 2570 [caption id="attachment_76411" align="aligncenter" width="750"] หยดสารละลายที่ต้องการตรวจสอบลงบนชิป OnSpec[/caption] [caption id="attachment_76409" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบเครื่องตรวจวัดสัญญาณรามาน[/caption] มุ่งเป้าลดเวลาตรวจวัดทางการแพทย์ ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้นำ OnSpec ไปทดสอบใช้งานแล้วในหลายสาขา ทั้งนิติวิทยาศาสตร์ เช่น การตรวจหาคราบสารเสพติด สารระเบิด และการเกษตร เช่น การตรวจวัดสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างในพืชผล ผลลัพธ์ที่ได้ต่างยืนยันถึงประสิทธิภาพการตรวจวัดของ OnSpec ทั้งความรวดเร็วและความแม่นยำ ขณะเดียวกันในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา ทีมวิจัยยังต่อยอดนำเทคโนโลยี AI มาช่วยประมวลผลการตรวจวัดสัญญาณสำหรับการใช้งานทางด้านการแพทย์ด้วย ดร.นพดล อธิบายว่า ที่ผ่านมาการนำเทคโนโลยีตรวจวัดสัญญาณรามานมาประยุกต์ใช้กับงานด้านการแพทย์ถือเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้ต่ำ เนื่องจากสัญญาณรามานจากตัวอย่างทางชีวภาพที่เป็นสารประกอบ เช่น เลือด น้ำเหลือง มักเป็นสัญญาณที่มีการซ้อนทับของคลื่นสูง แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ทำให้ทีมวิจัยสามารถนำ AI มาเป็นผู้ช่วยประมวลผลสัญญาณได้แล้ว “ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังทำงานร่วมกับสถาบันการแพทย์ต่าง ๆ ในประเทศไทย วิจัยการตรวจวัดสัญญาณรามานของโรคร้าย 3 โรค โรคแรกคือโรคไข้เลือดออก ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในการวิจัยสัญญาณรามานที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มจะมีอาการรุนแรงหรือทรุดหนักหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันสามารถวิเคราะห์เพื่อระบุว่าเป็นผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในเด็กได้แม่นยำกว่าร้อยละ 90 และระบุว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรงได้แม่นยำกว่าร้อยละ 70 แล้ว โดยการวิจัยเรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)” โรคที่สองที่ทีมวิจัยกำลังพัฒนากระบวนการประมวลผล คือ โรควัณโรคแบบแฝง โดยร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิจัยสัญญาณรามานที่บ่งชี้ว่าผู้เข้ารับการตรวจมีแนวโน้มที่จะมีเชื้อวัณโรคแฝงอยู่ในร่างกายหรือไม่ เพราะเชื้อวัณโรคแฝงอยู่ในร่างกายของผู้ติดเชื้อได้นานหลักสิบปีหรือกระทั่งตลอดชีวิต เมื่อผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันลดลงจะเกิดอาการป่วย และอาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้างได้ ดร.นพดล อธิบายว่า ปัจจุบันทีมวิจัยวิเคราะห์เพื่อระบุการมีเชื้อวัณโรคแฝงได้แม่นยำกว่าร้อยละ 80 แล้ว การที่แพทย์ตรวจพบได้เร็วจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาผู้ป่วยและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสต์ยุติวัณโรค (The End TB Strategy) ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดขึ้น โดยองค์กรอนามัยโลกตั้งเป้าลดอัตราการเกิดวัณโรคลงร้อยละ 90 และลดอัตราการเสียชีวิตของประชากรโลกจากวัณโรคลงร้อยละ 95 ภายในปี 2578 ทั้งนี้ในการวิจัยเรื่องนี้ สวทช. และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก Open Philanthropy (โอเพน ฟิแลนโทรปี) องค์กรอิสระจากสหรัฐอเมริกา “โรคสุดท้ายที่กำลังดำเนินการวิจัยอยู่ คือ โรคมะเร็งถุงน้ำดี ที่ประชากรไทยโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มป่วยเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ทีมวิจัยได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิเคราะห์สัญญาณรามานของผู้ป่วยโรคมะเร็งถุงน้ำดีเพื่อประมวลผลว่าผู้ป่วยกำลังป่วยอยู่ในระยะไหนของโรค ขณะนี้เทคโนโลยีสามารถวิเคราะห์ระยะของโรคในหนูทดลองได้แม่นยำกว่าร้อยละ 80 แล้ว สำหรับสาเหตุที่ทีมวิจัยต้องพัฒนาการตรวจวัดสัญญาณรามานที่บ่งชี้ระยะของโรคมะเร็งชนิดนี้มาจากปัญหาว่าในระยะเริ่มต้นของโรค ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยอาจทำได้ล่าช้า และรักษาได้ไม่ทันการณ์” ปัจจุบันการพัฒนา OnSpec เพื่อประยุกต์ใช้ด้านการแพทย์ทั้ง 3 งาน ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา โดยทีมวิจัยคาดว่าจะยื่นขอทดสอบมาตรฐาน ISO 13485 ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบบริหารคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ได้ในอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า และจะนำไปสู่การทดสอบทางคลินิกต่อไป “การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในการประมวลผลสัญญาณรามาน ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกขีดจำกัดในการใช้งานเทคโนโลยีซึ่งจะพลิกโฉมเทคโนโลยีการตรวจอัตลักษณ์ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายอุตสาหกรรม โดยในระยะเริ่มต้นทีมวิจัยได้มุ่งเป้าไปที่งานด้านการแพทย์เพื่อประโยชน์ของประชากรไทยและประชากรโลกก่อน หากได้รับการสนับสนุนข้อมูลทางการแพทย์ที่มีคุณภาพจากหน่วยงานการแพทย์ทั้งภายในและต่างประเทศ ก็จะช่วยให้การวิจัยและพัฒนาที่กำลังดำเนินการอยู่ประสบความสำเร็จได้เร็ว และขยายขอบเขตให้ครอบคลุมโรคร้ายต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้นต่อไป” ดร.นพดล กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล เนคเทค สวทช. อีเมล business@nectec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย เนคเทค สวทช. และภาพจาก Shutterstock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น