ผลการค้นหา :

แบคทีเรียที่ผิวหนังสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนัง
คณะนักวิจัยจาก University of California San Diego School of Medicine รายงานหน้าที่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพของแบคทีเรียบางตัวบนผิวหนังคือ ป้องกันมะเร็ง คณะนักวิจัยค้นพบสายพันธุ์ของ Staphylococcus epidermidis ผลิต 6-N-hydroxyaminopurine (6-HAP) หนูที่มี S. epidermidis บนผิวหนังซึ่งไม่ผลิต 6-HAP มีเนื้องอกที่ผิวหนังจำนวนมากหลังจากสัมผัสกับ ultraviolet rays (UV) ซึ่งทำให้เกิดมะเร็ง แต่หนูที่มีสายพันธุ์ของ S. epidermidis ที่ผลิต 6-HAP ไม่มี 6-HAP เป็นโมเลกุลซึ่งทำให้การสร้างดีเอ็นเอเสียหายและป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์เนื้องอกที่เปลี่ยนแปลงรวมถึงมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการพัฒนาของเนื้องอกที่ผิวหนังที่เกิดจาก UV หนูซึ่งได้รับการฉีด 6-HAP เข้าเส้นเลือดดำทุกๆ 48 ชั่วโมงเป็นเวลา 2 สัปดาห์ไม่มีผลเป็นพิษ แต่เมื่อปลูกถ่ายด้วยเซลล์ melanoma ขนาดเนื้องอกเล็กลงโดยมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับตัวควบคุม Richard Gallo หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า กำลังมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่าเชื้อจุลินทรีย์บนผิวหนังมีความสำคัญต่อสุขภาพของคน อันที่จริงก่อนหน้านี้ได้รายงานว่าแบคทีเรียบางตัวบนผิวหนังผลิต peptides ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งป้องกันแบคทีเรียก่อโรคเช่น Staph aureus ที่มา: University of California - San Diego (2018, March 1). Beneficial skin bacteria protect against skin cancer. ScienceDaily. Retrieved March 14, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/03/180301103701.htm
นานาสาระน่ารู้

การออกกำลังกายเป็นประจำทำให้แก่ช้าลง
คณะนักวิจัยจาก University of Birmingham และ King's College London ค้นพบว่าการใช้ชีวิตอย่าง active ทำให้ดูอ่อนวัยและสุขภาพแข็งแรง คณะนักวิจัยได้ประเมินสุขภาพของผู้สูงอายุซึ่งออกกำลังกายส่วนใหญ่ของช่วงวัยผู้ใหญ่ว่าสามารถทำให้แก่ช้าลงหรือไม่ ในการศึกษาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นนักขี่จักรยานสมัครเล่น 125 คน อายุ 55 ถึง 79 เป็นผู้ชาย 84 คน และผู้หญิง 41 คน ผู้ชายต้องสามารถขี่จักรยาน 100 กิโลเมตร ในเวลา 6.5 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงต้องสามารถขี่จักรยาน 60 กิโลเมตร ในเวลา 5.5 ชั่วโมง ผู้สูบบุหรี่ ผู้ดื่มมาก และผู้มีความดันโลหิตสูงหรือสภาพสุขภาพอื่นๆ ไม่มีส่วนเข้าร่วมในการศึกษา ผู้เข้าร่วมได้รับหลายการทดสอบทางห้องปฏิบัติการและถูกเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ใหญ่ซึ่งไม่ได้มีกิจกรรมทางกายเป็นประจำ กลุ่มนี้ประกอบด้วย 75 คนสุขภาพแข็งแรงอายุ 57 ถึง 80 และะ 55 ผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวสุขภาพแข็งแรงอายุ 20 ถึง 36 ผลการศึกษาแสดงว่าการสูญเสียมวลและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไม่เกิดขึ้นกับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ผู้ขี่จักรยานยังไม่เพิ่มระดับไขมันหรือคอเลสเตอรอลของร่างกายตามอายุและระดับเทสโทสเตอโรนของผู้ชายยังคงสูง นอกจากนี้ผลการศึกษายังแสดงว่าข้อดีของการออกกำลังกายมีมากกว่ากล้ามเนื้อ ผู้ขี่จักรยานยังมีระบบภูมิคุ้มกันซึ่งไม่เสื่อมตามอายุ ไทมัส (thymus) ซึ่งผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า T cells เริ่มเสื่อมจากอายุ 20 และผลิต T cells ลดลง อย่างไรก็ตามในการศึกษานี้ ไทมัสของผู้ขี่จักรยานสามารถผลิต T cells ได้มากเท่าคนวัยหนุ่มสาว การศึกษาครั้งนี้เผยแพร่ในวารสาร Aging Cell ที่มา: University of Birmingham (2018, March 8). A lifetime of regular exercise slows down aging, study finds. ScienceDaily. Retrieved March 14, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/03/180308143123.htm
นานาสาระน่ารู้
สำนักหอสมุดกลาง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือ AIT
สำนักหอสมุดกลาง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือ AITสำนักหอสมุดกลาง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือ AIT เป็นสถาบันการศึกษานานาชาติ โดยเน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการจัดการ ในสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) หรือ ห้องสมุดกลาง สวทช. มีความร่วมมือด้านบริการทรัพยากรสารสนเทศกับสำนักหอสมุดกลาง AIT มาตั้งแต่ปี 2546 ข้อมูลการให้บริการของสำนักหอสมุดกลาง AIT และเป็น ดังนี้ประเภทและจำนวนทรัพยากรที่มีให้บริการ มีทรัพยากรสารสนเทศทั้งหมด จำนวนมากกว่า 138,169 รายการ ให้บริการ ได้แก่ หนังสือเรียน รายงานทางเทคนิค วิทยานิพนธ์ รายงานการประชุมวิชาการ นอกจากนี้ยังบอกรับสมาชิกฐานข้อมูลออนไลน์ 13 รายชื่อ ครอบคลุม e-journalฯ กว่า 10,000 รายชื่อ และมีบริการ e-Book ถึง 2 แพ็คเกจ สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมด 62,684 รายชื่อ บริการ- บริการฐานข้อมูลออนไลน์ มี 13 ฐานข้อมูล ประกอบด้วย 1. ACM Digital Library2. ASCE Library Complete Collection3. EBSCO Business Source Complete4. Emerald Emerging Market Case Studies5. Emerald Management e-Journal Premier6. IEEE/IET Electronic Library7. Journal Citation Report8. Knovel9. ScienceDirect10. Scopus11. SpringerLink12. Web of Science (Web of knowledge)13. WorldSciNet-บริการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศ ดังภาพประกอบรูปภาพที่ 1 แสดงหน้าสืบค้นฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศรูปภาพที่ 2 แสดงรายการที่สืบค้นในระบบ รูปภาพที่ 3 แสดงรายการที่ค้นพบในฐานข้อมูล -บริการยืม - คืนทรัพยากรสารสนเทศ การยืมหนังสือต่อ (Renew) การจองทรัพยากรสารสนเทศ -บริการคืนทรัพยากรสารสนเทศ สามารถส่งคืนทรัพยากรสารสนเทศ หลังจากเวลาทำการลงกล่องด้านข้างห้องสมุด ดังภาพประกอบ รูปภาพแสดง ตู้รับคืนอัตโนมัติ Book Return แหล่งมา : http://www.library.ait.ac.th/pages/loanandperiod.htm -บริการยืมระหว่างห้องสมุด สามารถให้บริการได้ ติดต่อ Mr.Somporn Pakhethai e-mail: sompornp@ait.ac.th Tel.02 5245852 Ext.5852 พื้นที่ในการให้บริการของสำนักหอสมุดกลางฯ ประกอบด้วย รูปภาพที่ 1 แสดงจองห้องพักออนไลน์กลุ่มห้องเรียน รูปภาพที่ 2 แสดงห้องล็อกเกอร์, การศึกษาส่วนบุคคล, พื้นที่อ่านหนังสือ,ห้องประชุมทางไกล และพื้นที่ค้นหา รูปภาพที่ 3 แสดงพื้นที่อ่านหนังสือ หมายเหตุ แหล่งที่มาของรูปภาพ http://www.library.ait.ac.th/# สิทธิ์ในการยืมหนังสือ และอัตราค่าปรับของผู้ใช้บริการ ประเภทสมาชิก รายการที่ยืมได้ ระยะเวลาในการยืม ปริญญาตรี 4 รายการ 2 สัปดาห์ ปริญญาโท นักเรียนแลกเปลี่ยน 8 รายการ 2 สัปดาห์ ปริญญาเอก นักวิจัย 12 รายการ 2 สัปดาห์ คณะต่างๆ 30 รายการ 3 เดือน ยืมระหว่างห้องสมุด 3 รายการ 2 สัปดาห์ เวลาสำหรับการให้บริการ เวลาเปิดทำการ วันจันทร์ - วันอาทิตย์ : เวลา 08.00 น. - 22.30 น. ปิดวันหยุดราชการ สำหรับผู้เข้าเยี่ยมชม : เวลา 08.00 น. -17.00 น. สนใจเข้าเยื่ยมชมหอสมุดฯ สามารถเข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
นานาสาระน่ารู้

30 แหล่งข้อมูลที่เด่นและฟรีประจำปี 2018
1. World Bank Open Data รวมข้อมูลสถิติประชากรและตัวบ่งชี้การพัฒนาและเศรษฐกิจจำนวนมากจากทั่วโลก2. IMF Data เผยแพร่ข้อมูลการเงินระหว่างประเทศ อัตราหนี้สิน ทุนแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ราคาสินค้า และการลงทุน3. The US National Center for Education Statistics ให้ข้อมูลสถาบันการศึกษาและสถิติประชากรทางการศึกษาของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก4. The UK Data Centre เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของ UK ของข้อมูลสังคม เศรษฐกิจ และประชากร 5. FiveThirtyEight ให้ข้อมูลความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับการเมืองและกีฬา6. FBI Uniform Crime Reporting รวบรวมและเผยแพร่สถิติอาชญากรรมของประเทศ โดยมีข้อมูลให้ฟรีที่ระดับประเทศ รัฐ และการปกครองส่วนท้องถิ่น7. Bureau of Justice 8. Qlick Data Market ให้ข้อมูลประชากรโลก เงินตรา ตัวบ่งชี้การพัฒนา และอากาศ9. NASA Exoplanet Archive ให้ข้อมูลดาวเคราะห์และดวงดาวที่ถูกรวบรวมโดยคณะสำรวจอวกาศของ NASA10. UN Comtrade Database มีสถิติการค้าระหว่างประเทศที่ถูกรวบรวมและเผยแพร่โดยองค์การสหประชาชาติ11. Financial Times Market Data มีข้อมูลที่ทันสมัยของการตลาดทางการเงินจากทั่วโลก รวมถึงดัชนีราคาหุ้น สินค้า และการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ12. Google Trends ทดสอบและวิเคราะห์ข้อมูลการค้นหาทางอินเทอร์เน็ตและแนวโน้มข่าวทั่วโลก13. Twitter ข้อดีของ Twitter เหนือสิ่งอื่นๆ คือการสนทนาส่วนใหญ่เป็นสาธารณะ 14. Google Scholar มีเนื้อหาฉบับเต็มของ เช่น เอกสารทางวิชาการ วารสาร และหนังสือ 15. Instagram เหมือนกับ Twitter การ posts และการสนทนาถูกตั้งไว้เป็นสาธารณะเสมอ16. OpenCorporates เป็นฐานข้อมูลบริษัทแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก17. Glassdoor API ให้ข้อมูลตำแหน่งงานว่าง ผู้สมัครงาน เงินเดือน และความพอใจของพนักงาน18. IMDB Datasets ข้อมูลภาพยนตร์ โทรทัศน์ และคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมเหล่านี้ 19. OpenLibrary Data Dumps ให้ข้อมูลหนังสือรวมถึงรายการบรรณานุกรมจากห้องสมุดทั่วโลก20. Labelled Faces in the Wild มี 13,000 ภาพหน้าคน 21. Microsoft Marco เป็นชุดข้อมูลการเรียนรู้ด้วยเครื่อง (machine learning) แบบเปิดของ Microsoft สำหรับระบบการฝึกอบรมการอ่านและการตอบคำถาม22. Machine Learning Dataset Repository รวบรวมชุดข้อมูลแบบเปิดให้โดยนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในโครงการการเรียนรู้ด้วยเครื่อง23. eBay Market Data Insights มีข้อมูลหลายล้านการขายออนไลน์และการขายโดยการประมูลจาก eBay24. Natural History Museum Data Portal มีข้อมูลตัวอย่างในประวัติศาสตร์เกือบ 4 ล้านตัวอย่างของพิพิธภัณฑ์ในลอนดอน และบันทึกเสียงทางวิทยาศาสตร์ของโลกธรรมชาติ25. CERN Open Data มีข้อมูลมากกว่า 1 petabyte จากการทดลองทางฟิสิกส์อนุภาคที่เกิดขึ้นโดย CERN26. One Million Audio Cover Images เป็นชุดข้อมูลของ archive.org รวบรวมเพลงจากทั่วโลก เพื่อใช้ในงานวิจัยการประมวลภาพ 27. Complete Public Reddit Comments Corpus มีมากกว่า 1 พันล้านข้อคิดเห็นสาธารณะที่ลงกับ Reddit ระหว่างปี 2007 และ 2015 28. Microsoft Azure Data Markets Free Datasets มีข้อมูลจากเกษตรกรรมถึงอากาศ29. Irish Electric Vehicle Charge Point Status 30. LondonAir ข้อมูลคุณภาพอากาศและมลภาวะของทั่วลอนดอน ที่มา: Bernard Marr (2018, February 26). Big Data And AI: 30 Amazing (And Free) Public Data Sources For 2018. Retrieved February 28, 2018,from https://www.forbes.com/sites/bernardmarr/2018/02/26/big-data-and-ai-30-amazing-and-free-public-data-sources-for-2018/#3a784b7a5f8a
นานาสาระน่ารู้

แนวคิดที่ผิดเกี่ยวกับ OER (Open Educational Resources)
แนวคิดทั้งหมดดังข้างล่างนี้เป็นแนวคิดที่ผิดเกี่ยวกับ OER 7 อันดับแรกที่ได้จากการลงคะแนนจากมากกว่า 100 คณะ บรรณารักษ์ นักศึกษา และสมาชิกคนอื่นๆ ในการศึกษาระดับอุดมศึกษาของอเมริกาเหนือ ทีมอาสาสมัครได้พัฒนาการสำรวจความคิดเห็นและลงในรายการ email และโซเชียลมีเดียเป็นเวลา 2 สัปดาห์ในเดือนกรกฎาคม 2017 แนวคิดที่ 1: เปิด (open) อย่างง่ายหมายถึงฟรีความจริง: เปิด หมายถึงการอนุญาตให้ดาวน์โหลด ดัดแปลง และแบ่งปันวัสดุฟรี แนวคิดที่ 2: OER ทั้งหมดเป็นดิจิทัลความจริง: OER มีหลายรูปแบบ อาจเป็นแบบพิมพ์ ดิจิทัล เสียง และอื่นๆ แนวคิดที่ 3: จ่ายเพื่ออะไรได้อย่างงั้นความจริง: OER สามารถถูกผลิตให้ได้มาตรฐานคุณภาพเดียวกับตำราเรียนดั้งเดิม แนวคิดที่ 4: ลิขสิทธิ์สำหรับ OER ยุ่งยากความจริง: การอนุญาตแบบเปิด (open licensing) ทำให้ OER ง่ายในการใช้ตำราเรียนอย่างฟรีและถูกต้อง แนวคิดที่ 5: OER ไม่ยั่งยืนความจริง: หลายต้นแบบกำลังค่อยๆ พัฒนาเพื่อสนับสนุนความยั่งยืนและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ OER แนวคิดที่ 6: ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) ขาดสิ่งเสริมความจริง: ตำราเรียนแบบเปิดบ่อยๆ มีสิ่งเสริม และเมื่อไม่มี OER ที่มีอยู่สามารถให้การสนับสนุนเพิ่ม แนวคิดที่ 7: สถาบันไม่พร้อมสำหรับ OERความจริง: สถาบันสามารถเริ่ม OER เพียงเล็กน้อย ที่มา: SPARC (2017, October 25). OER Mythbusting. Retrieved February 19, 2018,from https://sparcopen.org/wp-content/uploads/2017/10/OER_Mythbusting_2017.pdf
นานาสาระน่ารู้

การประสบความสำเร็จตลอดชีวิตเกิดจากการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เชื่อว่าหลายคนไม่เคยแบ่งเวลาสำหรับการเรียนรู้ ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่รู้หรือไม่ว่าคนเก่งระดับโลกอ่านหนังสือเกือบทุกวัน เช่น อดีตประธานาธิบดี Barack Obama อ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมงขณะอยู่ที่ทำงาน Bill Gates อ่านหนังสือทุกสัปดาห์ และ Warren Buffett ใช้ 80% ของเวลาในการอ่านและการคิดตลอดชีวิตการทำงาน เหมือนกับที่เคยได้ยินว่าคนเก่งส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือ ทำไมคนเก่งจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบที่ง่ายคือการเรียนรู้เป็นการลงทุนที่ดีที่สุดอย่างเดียวของเวลาซึ่งสามารถทำได้ หรือเหมือนที่ Benjamin Franklin กล่าวว่า "การลงทุนในความรู้เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุด" ดังนั้นเมื่อรู้คุณค่าของความรู้แล้ว จงทุ่มเทเวลาเพื่อการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ - ความรู้เป็นเงินรูปแบบใหม่ เมื่อพูดว่าไม่มีเวลาสำหรับการเรียนรู้บางสิ่งใหม่ ตามปกติเป็นเพราะทุ่มเทเวลาเพื่อหาเงิน แต่บางสิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันซึ่งเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเงินและความรู้ พวกเรากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นที่ Peter Diamandis ซึ่งเป็น futurist ที่มีชื่อเสียง เรียก rapid demonetization (เทคโนโลยีทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่แพงก่อนหน้านี้ถูกลงมากหรือฟรี) ในขณะที่สินค้าและบริการถูกเทคโนโลยีทำให้ถูกลง ความรู้ก็มีคุณค่ามากขึ้น เหมือนเงิน ความรู้บ่อยๆ เป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนและเก็บคุณค่า แต่ไม่เหมือนเงินเมื่อใช้ความรู้หรือให้ออกไป จะไม่สูญเสียไป การเคลื่อนย้ายความรู้ไปยังที่ไหนบนโลกไม่มีค่าใช้จ่ายและเกิดขึ้นทันที คุณค่าของความรู้เพิ่มขึ้นตามเวลาเร็วกว่าเงิน ความรู้สามารถเปลี่ยนเป็นหลายสิ่ง รวมถึงสิ่งซึ่งเงินไม่สามารถซื้อ เช่น ความสัมพันธ์แท้จริง ความรู้ช่วยให้บรรลุเป้าหมายเร็วกว่าและดีกว่า ทำให้เป็นนักสื่อสารที่ดี ช่วยให้คิดใหญ่กว่าและเหนือสภาพแวดล้อม - ทำอย่างไรถึงจะเรียนรู้ความรู้ที่ถูกต้อง 1. ระบุความรู้ที่มีคุณค่าที่เวลาที่ถูกต้อง2. เรียนรู้ความรู้นั้นอย่างรวดเร็ว3. สื่อสารคุณค่าของทักษะของคุณไปยังคนอื่นๆ4. เปลี่ยนความรู้เป็นเงินและผลลัพธ์5. เรียนรู้วิธีลงทุนทางการเงินในการเรียนรู้เพื่อได้ผลตอบแทนสูงที่สุด6. master ทักษะการเรียนรู้วิธีเรียนรู้ - เริ่มมีเวลาสำหรับการเรียนรู้ด้วย 3 ขั้นตอนข้างล่าง1. แบ่งเวลาสำหรับการเรียนรู้ถึงแม้จะยุ่งมาก2. ตั้งมั่นและไม่เสียสมาธิกับเวลานั้น3. ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ อ่านจบแล้วคุณกำลังหาเวลาเพื่อการเรียนรู้อยู่ใช่ไหม ที่มา: Michael Simmons (2018, January 16). The secret to lifelong success is lifelong learning. World Economic Forum. Retrieved February 13, 2018, from https://www.weforum.org/agenda/2018/01/the-secret-to-lifelong-success-is-lifelong-learning/
นานาสาระน่ารู้

สรุปจากหนังสือ ขอบฟ้าใหม่ในการจัดการความรู้
ขอบฟ้าใหม่ในการจัดการความรู้
หนังสือที่กล่าวถึงช่องทางการจัดการความรู้ของประเทศไทย ที่จะยังประโยชน์ให้กับสังคมไทย การจัดการความรู้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการกำหนดความรู้ที่สำคัญยิ่งยวดคือ "วิธีดำเนินการจัดการความรู้ที่มียุทธศาสตร์" หนังสือเล่มนี้จะเป็นแรงบันดาลใจและเปิดช่องทางให้กับสังคมไทยได้ใช้พลังงานของการจัดการความรู้เพื่อเป็นพลวปัจจัยหนึ่งในการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน
สรุปความจากหนังสือ "ขอบฟ้าใหม่ในการจัดการความรู้"
1. การจัดการความรู้ (KM) คือ การสร้างและจัดการกระบวนการเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสมไหลไปยังบุคคล ที่ถูกต้อง ณ เวลาที่เหมาะสม เพื่อให้บุคคลแลกเปลี่ยนสารสนเทศ และนําไปใช้เพื่อเพิ่มการบรรลุผลสําเร็จ (performance) ขององค์กร
2. แนวทางจัดการความรู้แนวทางใหม่ ในยุคดิจิทัล ยุคไซเบอร์ หรือยุคโซเชี่ยลมีเดีย นี้ มีช่องทางจัดการความรู้แนวทางใหม่ๆ ที่สะดวก และทรงพลังมากมาย ในสภาพที่ connectivity ด้านเทคโนโลยีสะดวกเช่นนี้ การเคลื่อนย้ายความรู้ แม้จะสําคัญ แต่การเชื่อมโยงคนสําคัญกว่า และจะนําไปสู่การไหลของความรู้แบบไม่รู้ตัว ไม่เป็นภาระ และอาจเจือปนความสนุก โดยที่ต้องมีการวางระบบให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างคนได้ง่าย แล้วมีระบบของเทคโนโลยีให้ความรู้ไหลสู่ระบบจัดเก็บ จัดหมวดหมู่ ตีความหมาย และกลายเป็นส่วนของความรู้ในองค์กร ที่ง่ายต่อการค้นไปใช้ ณ จุดและเวลาที่ต้องการ
แนวทางจัดการความรู้แนวทางใหม่ๆ เน้นที่ไอทีทั้งสิ้น เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าของไอที ในยุค IT 2.0 เน้นการเอาชนะสารสนเทศล้นเกิน โดยสรุปประเด็นความรู้เป็นข้อความสั้นๆ ส่งไปให้พนักงาน
เครื่องมือ IT ยุค 2.0 ที่สามารถนำมาใช้ในการจัดการความรู้
บล็อก (blog) ย่อมาจากคํา web log เป็นการเขียนบันทึก หรือไดอารี่ออนไลน์
Collaboration tool ที่ใช้กันมากที่สุดคือ Microsoft SharePoint
Expertise location เป็นเครื่องมือบูรณาการคน กระบวนการ เทคโนโลยี และเนื้อความรู้ เพื่อเชื่อมโยงคนกับสารสนเทศเกี่ยวกับคนอื่นๆ หาคนที่มีทักษะและเชื่อมไปสู่คนที่มีคําถาม หรือต้องการความรู้ รวมทั้งช่วยหาตัวคนที่เหมาะสําหรับไปทํางานในโครงการที่ต้องการทักษะนั้นๆ
Mashup เป็นเครื่องมือรวมข้อมูลจาก 2 แหล่ง เพื่อจัดทําเป็นแหล่งเนื้อความรู้ใหม่
Microblog เป็นเครื่องมือเผยแพร่ข้อมูลสั้นๆ เช่น Twitter
Podcast เป็นคลิปเสียงหรือวีดิทัศน์ ที่สามารถดาวน์โหลดลงคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนได้
RSS (Really Simple Syndication) ช่วยให้คนบอกรับข่าวสารออนไลน์ได้
Social bookmarking folksonomy และ collaborative tagging เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนสารสนเทศที่อยู่ในเว็บ
Social Networking ที่รู้จักกันดีที่สุดคือ FaceBook (และ Line)
Virtual space พื้นที่เสมือนสําหรับการเรียนรู้
Wiki เป็นระบบสําหรับแลกเปลี่ยนเนื้อความรู้ แก้ไข และตีพิมพ์เผยแพร่ Wiki เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ จากความร่วมมือของสมาชิกในชุมชน และยังเป็นเครื่องมือโอเพ็นซอร์สอีกด้วย ยิ่งมีสมาชิกเข้ามาใช้และปรับปรุงเนื้อความมากเท่าไรสาระความรู้ก็ยิ่งทรงพลัง หรือมีคุณภาพมากเพียงนั้น แต่ไม่ใช่ว่า Wiki จะไร้ปัญหา เพราะพนักงานต้องการเวลาในการเขียนลง Wiki และผู้เชี่ยวชาญยิ่งไม่มีเวลา นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญอาจไม่พอใจที่ข้อเขียนของตนถูกพนักงานใหม่แก้ไข และไม่ใช่ว่าปัญญารวมหมู่ (collective wisdom) จะดีกว่าปัญญาของผู้เชี่ยวชาญจริงๆ
Blog เป็นเครื่องมือโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ที่สร้างปฏิสัมพันธ์และมีโอกาสได้รับ feedback จากผู้อ่าน มีพลังสูงในการประชาสัมพันธ์แนวความคิดของผู้บริหาร องค์กรต่างๆ ใช้ blog ในกิจกรรม KM ประโยชน์หลักของ blog คือ เป็นเครื่องมือของผู้บริหารและพนักงานในการสื่อสารประเด็นสําคัญต่อชุมชนวงกว้างขององค์กร เพื่อรับฟัง feedback
Social Tagging & Book-marking เป็นเครื่องมือให้พนักงานแลกเปลี่ยนลิ้งค์ไปยังเว็บไซต์และเนื้อหาความรู้ที่ตนคิดว่ามีประโยชน์ต่อการทํางาน ช่วยให้เพื่อนพนักงานทราบว่ามีสารสนเทศเรื่องนั้นๆ อยู่ รวมทั้งทราบว่ามีคนจํานวนมากแค่ไหนเห็นคุณค่า รวมทั้งบอกคุณค่าตามคําหลักที่ติดฉลากไว้ และมีการบอกน้ำหนัก คุณค่าตามความถี่ของการใช้งาน
Rating and Recommendations ตัวอย่างเช่น บริษัท Accenture ให้พนักงานให้เรทติ้งแก่ไอเดียของเพื่อนพนักงาน เพื่อนําไอเดียที่ได้เรทติ้งสูง ไปเสนอให้ผู้บริหารพิจารณา ซึ่งพบไอเดียดีๆ ที่นํามาใช้ปรับปรุงงานได้มากมาย โดยที่ต้องมีการจัดการให้มีคําแนะนําบนเว็บไซต์ ให้พนักงานรู้สึกสบายใจที่จะเสนอไอเดีย
Federated Search Functions (เครื่องมือค้นแบบบริการครบที่จุดเดียว) เป็นเครื่องมือช่วยลดภาระการค้นหาความรู้จากหลากหลายแหล่ง และลดภาระต่อข้อมูลมากมาย พลังของเครื่องมือชนิดนี้คือ find ability (มีพลังค้นหาความรู้ แหล่งความรู้ และบุคคลที่ต้องการ) โดยไม่ต้องไปค้นด้วยหลายเครื่องมือ จากหลายแหล่ง
RSS (Really Simple Syndication) เป็นเครื่องมือช่วยแจ้งเตือนว่ามีการเพิ่มเติมหรือแก้ไขสาระที่อยู่ใน cyber space หรือมี post ใหม่ ใน site ภายในหรือภายนอกองค์กร ดังตัวอย่าง Gotoknow มี RSS ช่วยแจ้งเจ้าของบันทึกเมื่อมีคนมากดไล้ค์ หรือมาเขียน comment
Microblogs หมายถึงการสื่อสารสั้นๆ จาก 1 คน ไปยังคนจํานวนมาก ตัวอย่างที่ใช้กันมากคือ Twitter เป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการขอคําแนะนํา feedback หรือช่วยเหลือ มีพลังมากในการสื่อสารภายในทีมทํา project และช่วยการติดตามการทํางานของสมาชิกในทีม รวมทั้งใช้นัดหมายการประชุม เทคโนโลยี big data จะช่วยให้ทํา data mining ข้อมูลจากข้อความสั้นเหล่านี้ จัดทําเป็นคลังความรู้ขององค์กรอีกทางหนึ่งได้
Mobile Devices (สมาร์ทโฟน) สมาร์ทโฟนช่วยให้พนักงานเข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ ณ เวลาที่ตนต้องการความรู้ (teachable moment) ไม่ว่าพนักงานจะทํางานอยู่ที่ใด และช่วยให้องค์กรติดต่อหรือสนองตอบพนักงาน องค์กรสามารถเพิ่มพลังของเครื่องมือนี้ได้ โดยทําให้ความรู้อยู่ในสภาพที่เมื่อปรากฏบนจอขนาดเล็ก พนักงานก็รับการสื่อสารได้ง่าย รวมทั้งต้องจัดการให้ระบบ firewall ของไอที อํานวยความสะดวกต่อสมาร์ทโฟนของพนักงาน
เครื่องมือ 2.0 ที่มีการจัดระบบสําหรับใช้ช่วยการจัดการความรู้ขององค์กร อย่างมียุทธศาสตร์ จะช่วยสร้างวัฒนธรรมแบ่งปันความรู้ และสร้างคุณค่าเพิ่มแก่องค์กรจากกิจกรรมแบ่งปันความรู้ แบบฝังอยู่ในกิจกรรมการทํางานตามปกติ ยิ่งมีพนักงานที่เป็นสมาชิกใช้เครื่องมือ 2.0 มาก ระบบก็จะยิ่งมีพลัง และยิ่งมีวัฒนธรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การริเริ่มนําเครื่องมือ 2.0 มาใช้ก็จะยิ่งง่าย
เครื่องมือ 2.0 มีพลังสร้างเนื้อความรู้ผ่านปฏิสัมพันธ์แบบ virtual ระหว่างพนักงาน ต้องมีการจัดการเพื่อดึงสาระในปฏิสัมพันธ์อย่างค่อนไปทางไม่เป็นทางการนี้ ไปสู่การสั่งสมความรู้ภายในองค์กร และนํากลับออกมาให้พนักงานใช้ประโยชน์ในการทํางาน
3. โครงสร้างพื้นฐานของระบบจัดการความรู้ ต้องมีฝ่ายบริหารระดับสูงขององค์กรและของหน่วยธุรกิจ ที่เป็นผู้ตัดสินใจด้านทรัพยากรสนับสนุน ต้องมีทีมทํางานในระบบสนับสนุนและอํานวยความสะดวก ในการแบ่งปันหรือการไหลของความรู้ และให้มีความรู้พร้อมใช้ให้พนักงานมีใช้เมื่อต้องการ รวมทั้งต้องมีการสื่อสารและฝึกอบรมให้พนักงานเข้าถึงเครื่องมือใหม่ๆ และต้องมีทรัพยากรสนับสนุนกิจกรรมสําคัญอย่างเพียงพอ
4. วัฒนธรรม KM คือ วัฒนธรรมแบ่งปันความรู้ ต้องสร้าง โดย 4 วิธีการ คือ ผู้บริหารทําเป็นตัวอย่าง ขจัดปัจจัยที่ส่งเสริมการปิดบังความรู้ ให้รางวัลและยกย่องพฤติกรรมการแบ่งปันความรู้ และส่งเสริมการใช้เครื่องมือ KM ด้วยวิธีการที่ให้ความสนุกสนาน
5. การวัดผลกระทบของกิจกรรมจัดการความรู้เป็นสิ่งจําเป็น เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการระบบ KM เพื่อนําเอาผลของการประเมินมาปรับระบบและยุทธศาสตร์ ให้สอดรับกับธุรกรรมขององค์กรยิ่งขึ้น
ที่มา: วิจารณ์ พานิช. ขอบฟ้าใหม่ในการจัดการความรู้. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม, 2559.
การจัดการความรู้ (KM)

4 คำถามเกี่ยวกับการศึกษาแบบเปิด (Open education)
1. การศึกษาแบบเปิดคืออะไร - การเปิดกว้างการเข้าถึงเนื้อหาฟรีและได้รับอนุญาตของแหล่งทรัพยากรการศึกษาเพื่อจุดประสงค์ของการศึกษาแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ การวิจัย รวมถึงความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคเศรษฐกิจ- การศึกษาฟรี วัสดุทั้งหมดที่ใช้ในการศึกษาอยู่ภายใต้การอนุญาตแบบเปิด รวมถึงวัสดุที่ใช้ในการสอนทุกชนิดตั้งแต่คอร์สไปถึงรูปภาพหรืออินโฟกราฟิก รวมถึงตำราเรียนทั้งหมด - บทความวิจัยที่เข้าถึงแบบเปิด วิทยาศาสตร์แบบเปิด (Open Science) และข้อมูลแบบเปิด (Open Data)- การเข้าถึงการศึกษาฟรีสำหรับทุกคนทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยากจะเข้าถึงการศึกษา ทำให้เข้าถึงการศึกษาง่ายขึ้น- เป็นการศึกษาที่ง่ายกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า- เป็นการศึกษาแบบออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อเข้าร่วมในห้องเรียน- สร้างโอกาสสำหรับการเรียนรู้ส่วนตัว (personal learning) 2. ทำไมคิดว่าการศึกษาแบบเปิดสำคัญ- ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการศึกษาแบบดั้งเดิมในสถาบันเป็นวิธีที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้มากกว่าสำหรับการเรียนรู้สำหรับทุกคน เปิดประสบการณ์และความคิดเห็นเพื่อความร่วมมือข้ามภูมิภาค ทำให้เกิดความเชื่อมแน่นทางสังคม และการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน- ลดค่าใช้จ่ายของนักเรียนและสถาบัน และลดภาระทางการเงินของภาครัฐบาลทางการศึกษา ดังนั้นการศึกษาแบบเปิดเป็นสื่อกลางสำหรับเอาชนะอุปสรรคของการศึกษา- ทำให้เข้าถึงวัสดุวิจัย การเรียนรู้ และการสอน นอกเหนือจากในห้องเรียน ทำให้วัสดุและตำราเรียนมีให้ใช้แบบเปิดทำให้ครูและนักเรียนหรือผู้เรียนรู้สามารถเข้าถึงวัสดุที่ไม่สามารถจ่ายเงินซื้อได้ - ทำให้คนที่ยากจะเข้าถึงการศึกษา (มีอุปสรรคทางร่างกาย การเงิน หรือภูมิศาสตร์) ได้รับการศึกษา- ทำให้คนสอบไม่ผ่านหรือคนทำงานที่ได้รับค่าตอบแทนน้อยได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพียงมีอินเทอร์เน็ต 3. การศึกษาแบบเปิดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง- การทำให้ตำราเรียนและวัสดุมีให้ใช้แบบเปิด ทำให้การศึกษาในมหาวิทยาลัยมีค่าใช้จ่ายน้อยลงมาก- การศึกษาแบบเปิดสามารถหมายถึงการศึกษาที่มีคุณภาพสูง- ทำให้แหล่งทรัพยากรสามารถเข้าถึงได้โดยทุกคนทั่วโลก (คนที่ต่างพื้นฐาน สัญชาติ พูดด้วยภาษาที่ต่างกัน)- ต้องใช้เจ้าหน้าที่และเงินจำนวนมากเพื่อสร้างและดูแลช่องทางที่มีแหล่งทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดให้ใช้ฟรี 4. บทบาทของการศึกษาแบบเปิดต่อการศึกษาในอนาคตคืออะไร- เปลี่ยนแปลงการศึกษา เปิดกว้างการเข้าถึง ความร่วมมือกันมากขึ้น กระตุ้นสถาบันทั้งภาครัฐและเอกชนเปิดออกสู่สังคมทุกระดับและเปิดเผยข้อมูลทั้งสถิติ แผน กลยุทธ์ และนโยบายต่อสาธารณะด้วยวิธีที่โปร่งใส- การแบ่งปันวัสดุการสอนระหว่างสถาบันจะช่วยให้สถาบันที่มีขนาดเล็กกว่า สถาบันที่มีแหล่งทรัพยากรน้อยกว่า และสถาบันใหม่มีการบรรยายที่สามารถเข้าถึงวัสดุที่แตกต่าง มุมมองที่แตกต่าง วิธีการสอนที่แตกต่าง- การมีตำราเรียนและวัสดุการสอนให้ใช้ฟรีผ่านหลายช่องทาง ทำให้นักเรียนซึ่งไม่สามารถจ่ายเงินซื้อได้มีวัสดุเหล่านี้ใช้สามารถทำให้เพิ่มอัตราการผ่านและเกรด ที่มา: What is Open Education?. Retrieved January 19, 2018, from https://www.yearofopen.org/what-is-open-education/
นานาสาระน่ารู้

แนะนำแหล่งเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อเดือนที่ผ่านมามีโอกาสได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ภายในพื้นที่ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย อาคารเก่าแก่ริมน้ำเจ้าพระยา ที่ที่เคยเป็นอาคารโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งแรกของประเทศ โดยเปิดดำเนินการครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. พ.ศ. 2512 พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมความรู้ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์การเมืองและสังคมของประเทศและโลก ณ ช่วงเวลานั้นๆ เช่น เหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 หรือ เหตุการณ์ญี่ปุ่นขอผ่านประเทศไทย มีหลายเรื่องหลายอย่างที่ตนเองก็พึ่งได้เรียนรู้ และอยากนำมาบอกเล่าต่อ เริ่มกันที่ห้องแรก ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงเครื่องพิมพ์ธนบัตรจำนวน 3 เครื่อง ซึ่งต้องใช้ประกอบกันเพื่อพิมพ์ธนบัตร 1 ฉบับ เครื่องพิมพ์ดังกล่าวเคยใช้พิมพ์ธนบัตรในอดีต ปัจจุบันได้ปลดเกษียณแล้ว นอกจากนี้ ภายในห้องยังได้แสดงตัวอย่างอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์ธนบัตร เช่น แม่แบบงานแกะโลหะ และอุปกรณ์แกะโลหะเพื่อทำแบบพิมพ์ธนบัตร เป็นต้น โดยมีการนำสื่อมัลติมีเดียเข้ามาร่วมใช้ในการแสดงขั้นตอนการทำงานของเครื่องพิมพ์ธนบัตร เพื่อทำให้เห็นว่าเครื่องพิมพ์นั้นทำงานอย่างไร เครื่องพิมพ์ธนบัตรจริงในอดีต วิดีทัศน์สาธิตการทำงานของเครื่องพิมพ์ธนบัตรในอดีต งานพิมพ์ปรู๊ฟด้วยมมือ (ซ้าย) แม่แบบงานแกะโลหะ (ขวา) อุปกรณ์แกะโลหะเพื่อทำแบบพิมพ์ธนบัตร วิดีทัศน์แสดงการทำแบบพิมพ์ธนบัตร ต่อด้วย ห้องมั่นคง ห้องที่ใช้เก็บธนบัตรที่อยู่ระหว่างและจัดพิมพ์เสร็จแล้ว รอหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากห้องมั่นคงเป็นสถานที่สำคัญ ดังนั้นระดับการรักษาความปลอดภัยจึงต้องมั่นคงสูงสุดสมชื่อห้อง เห็นได้จากประตูเหล็กนิรภัยที่ทำด้วยเหล็กกล้าทั้งบาน ความหนาประมาณเมตรกว่าๆ นอกจากนี้ ยังได้เห็นรถขนธนบัตรของจริงอายุหลายสิบปี ภายในห้องมั่นคงอีกด้วย รถขนธนบัตร ภายในห้องมั่นคง เดินขึ้นมาอีกชั้นก็จะพบกับห้องนิทรรศการเงินตรา ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่การจัดแสดงเหรียญลิเดีย (Lydian) ต้นกำเนิดของเหรียญทั้งปวง เรื่อยมาจนถึงเหรียญและเงินรูปแบบต่างๆ ในภูมิภาคสุวรรณภูมิของเมืองต่างๆ เช่น เมืองทวารวดี เงินตราโบราณรุ่นแรกที่ปรากฏในดินแดนไทย เมืองล้านนา เงินชื่อเรียกแปลกๆ ตามรูปทรงและหน้าตาของเงิน เช่น เงินผักชี และเงินปากหมู เป็นต้น และจบลงด้วยเงินพดด้วงโบราณในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนที่จะเริ่มจัดทำเหรียญกษาปณ์และธนบัตร โดยธนบัตรแบบแรกที่ออกใช้ในประเทศไทย เรียกว่า ธนบัตรแบบที่หนึ่ง (ราวปี พ.ศ 2445) เป็นการสั่งพิมพ์จากประเทศอังกฤษ เนื่องจากธนบัตรมีการพิมพ์หน้าเดียว ธนบัตรรุ่นนี้จึงถูกเรียกว่า ธนบัตรหน้าเดียว เหรียญลิเดีย (Lydian) ต้นกำเนิดของเหรียญทั้งปวง (ด้านซ้ายมือ) ไถ้ หรือ ถุงสำหรับใส่เงินพดด้วง พันธบัตรเงินกู้ ปี พ.ศ. 2448 ประเทศสยาม ขอกู้เงินจากต่างประเทศ (อังกฤษ / ฝรั่งเศส) โดยออกเป็นพันธบัตรจำนวนเงิน 1 ล้านปอนด์ ซึ่งตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยทรงนำเงินกู้ชุดนี้มาพัฒนาระบบสาธารณูปโภคของประเทศสยาม อาทิ สร้างถนน, สร้างทางรถไฟ สายกรุงเทพฯ - นครราชสีมา, การชลประทาน และสาธารณะสุข เป็นต้น (ข้อมูลจาก คุณภาณุวัฒน์ พุฒพรึก ผู้วิเคราะห์อาวุโส (ควบ) ทีมส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ ศูนย์การเรียนรู้แบงก์ชาติ) แม่พิมพ์ธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ ในหลวง ร.9 เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัตรครบ 70 ปี 9 มิ.ย. 2559 ภายในห้องแสดงนิทรรศการนี้ ยังได้รับรู้เรื่องราวของ เงินถุงแดง ซึ่งเป็นเงินที่ รัชกาลที่ 3 ทรงสะสม กำไรจากการค้าสำเภา ในรูปเงินตราสกุลที่ยอมรับกันในทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น เงินเหรียญนกของแม็กซิโก ทรงบรรจุเงินตราดังกล่าวลงในถุงผ้าสีแดง ซึ่งส่วนหนึ่งเก็บรักษาไว้ข้างพระแท่นบรรทม จนเป็นที่มาของคำว่า เงินพระคลังข้างที่ เงินถุงแดงนี้ถูกเก็บเป็นเงินสำรองตลอดรัชสมัย รัชกาลที่ 4 เมื่อถึงแผ่นดิน รัชกาลที่ 5 เงินถุงแดง ที่ได้สะสมไว้มากถึง 3 หมื่นชั่ง ได้ถูกนำมาใช้จ่ายค่าเสียหายแก่ฝรั่งเศส เพื่อไถ่บ้านไถ่เมืองหลังวิกฤตการณ์ปากน้ำ ร.ศ. 112 ดังนั้น เงินถุงแดง ก็คือ เครื่องสะสมมูลค่า เพื่อแลกสิ่งที่ไม่อาจประเมินมูลค่าได้ของสยามประเทศ แบบจำลองเงินถุงแดง นิทรรศการชั้นถัดมาจัดแสดงธนบัตรไทยที่สมบูรณ์ที่สุดในยุคสมัยใหม่ ตั้งแต่ธนบัตรและเหรียญที่หมุนเวียนในปัจจุบันจนถึงธนบัตรและเหรียญที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษ นิทรรศการห้องถัดมาที่ได้เข้าชม คือ ห้องที่รวบรวมประวัติ ผลงาน และการดำเนินนโยบายการเงินของผู้อำนวยการธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ที่น่าสนใจคือฝาผนังห้องที่ออกแบบให้เห็นถึงความผันผวนทางเศรษฐกิจไทยในแต่ละยุคสมัยที่ผู้อำนวยการฯ แต่ละท่านในขณะที่ดำรงต้องเผชิญ ยังมีมุมส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีการวางแผนทางการเงินที่ดี นิทรรศทั้งหมดพยายามออกแบบให้รองรับผู้เข้าชมทุกกลุ่ม เช่น มีอักษรเบรลล์และแบบจำลองเงินตราสำหรับผู้พิการทางสายตา มีการนำระบบ QR code มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้ข้อมูลรูปแบบต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน มีการใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อช่วยให้การนำเสนอดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชม และมีการออกแบบพื้นที่ที่ไม่ใช่เพียงเพื่อความสวยงามในการจัดแสดงวัตถุในพิพิธภัณฑ์ แต่ถูกออกแบบเพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอข้อมูลในนิทรรศการ เช่น ฝาผนังของห้องที่แสดงให้เห็นถึงความผันผวนทางเศรษฐกิจไทยในแต่ละยุคสมัย เป็นต้น แบบจำลองเงินตราสำหรับผู้พิการทางสายตา การใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อนำเสนอข้อมูลและเรื่องราวระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนในอดีต ท่านใดสนใจเข้าเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 9.30-20.00 น. ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรก (ถึงเดือนมิถุนายน) ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยส่วนเข้านำชมพิพิธภัณฑ์จะมีวันละ 3 รอบ รอบละ 80 คน โทรศัพท์ 023567766 หรือ www.botlc.or.th
นานาสาระน่ารู้
หอสมุดป๋วย อึ้งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หอสมุดป๋วย อึ้งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) เป็นห้องสมุดแห่งหนึ่งสังกัดหอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) หรือห้องสมุดกลาง สวทช.มีความร่วมมือด้านบริการทรัพยากรสารสนเทศกับทางหอสมุดป๋วยฯ ตั้งแต่ปี 2546 ประเภทและจำนวนทรัพยากรที่มีให้บริการหอสมุดป๋วยฯ มีทรัพยากรสารสนเทศ แยกตามประเภทให้บริการ เช่น หนังสือในรูปแบบสิ่งพิมพ์ จำนวน 278,647 เรื่อง ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 34,275 เรื่อง มีวารสารในรูปแบบสิ่งพิมพ์ จำนวน 217 เรื่องในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ถึง 106,542 เรื่อง วิทยานิพนธ์ในรูปแบบสิ่งพิมพ์ จำนวน 19,500 เรื่อง ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 20,995 เรื่อง บริการของหอสมุดป๋วยฯ มี ดังนี้บริการฐานข้อมูลออนไลน์ มี 5 หมวดหมู่ ประกอบด้วย หมวดธุรกิจและการจัดการ มีจำนวน 53 ฐานข้อมูล เช่น BUSINESS SOURCE COMPLETE, EBSCO HOST, EMERALD MANAGEMENT, IMF ELIBRARY,INTERSCIENCE WILEY และ WORLD BANK ELIBRARY ฯลฯ หมวดมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีจำนวน 52 ฐานข้อมูล เช่น EDUCATION RESEARCH, PSYCBOOKS,THE FOUNDATION FOR, ANNUAL REVIEWS, CAMBRIDGE JOURNALS และ DIRECTORY OF OPEN ฯลฯ หมวดวิทยาศาสตร์สุขภาพ มีจำนวน 57 ฐานข้อมูล เช่น ACCESSMEDICINE, ACCESSPHARMACY,THIEME ELECTRONIC BOOK LIBRARY, BMJ JOURNALS, CLINICALKEY และ UPTODATE ฯลฯ หมวดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีจำนวน 26 ฐานข้อมูล เช่น ASCE, SPRINGER EBOOKS, SCIENCEDIRECT, IET INSPEC, SCIFINDER และ MATICHON E-LIBRARY ฯลฯ หมวดสหสาขาวิชา มีจำนวน 21 ฐานข้อมูล เช่น NETLIBRARY, ACADEMIC SEARCH COMPLETE, GALE ACADEMIC ONEFILE, PRESSREADER, H.W. WILSON และ SCOPUS ฯลฯ บริการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศ ดังภาพประกอบรูปภาพที่ 1 แสดงหน้าสืบค้นฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศ รูปภาพที่ 2 แสดงรายการที่สืบค้นในระบบ รูปภาพที่ 3 แสดง current location, call number, สถานะ และบาร์โค้ด บริการยืม-คืนทรัพยากรสารสนเทศ การยืมหนังสือต่อ (Renew) การจองหนังสือ (Request) โดยผ่านระบบห้องสมุดอัตโนมัติ Koha (หากพนักงาน สวทช. ต้องการยืมทรัพยากรสารสนเทศของหอสมุด สามารถยืมได้ โดยนำแบบฟอร์มการยืมจากห้องสมุดกลาง สวทช. ไปยื่นตรงเคาน์เตอร์ยืมได้) ส่วนบริการคืนทรัพยากรสารสนเทศมี 2 แบบ 1. สามารถคืนทรัพยากรสารสนเทศตรงเคาน์เตอร์บริการ และ แบบ 2 สามารถคืนตรงตู้รับคืนอัตโนมัติ (BOOK RETURN) ตลอด 24 ชั่วโมง ดังภาพประกอบ รูปภาพแสดง ตู้รับคืนอัตโนมัติ BOOK RETURN บริการยืมระหว่างห้องสมุด (Book Delivery) ระหว่างท่าพระจันทร์ กับ ศูนย์รังสิต (หอสมุดป๋วย อึ้งภากรณ์, ห้องสมุดนงเยาว์ ชัยเสรี) เป็นบริการยืมทรัพยากรสารสนเทศระหว่างสาขาฯ ให้แก่นักศึกษา, อาจารย์ บุคลากรของมหาวิทยาลัย สมาชิกสมทบของห้องสมุด รวมทั้งพนักงาน สวทช. ที่ต้องการใช้บริการ- การเข้าใช้บริการที่นั่งอ่านหนังสือ พนักงาน สวทช. สามารถเข้าใช้ได้ โดยติดบัตรพนักงาน สวทช.ไปทุกครั้ง (จะไม่คิดค่าใช้จ่ายในการเข้าใช้บริการ) พื้นที่ในการให้บริการหอสมุดป๋วยฯ มีทั้งหมด 3 ชั้น แต่ละชั้นมีความแตกต่างกัน ดังนี้ชั้นที่ 1: โซนอ่านหนังสือ ห้องเรียนรู้ด้วยตนเอง นิทรรศการอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ชั้นที่ 2: โซนบริการยืม-คืน หนังสือ เคาน์เตอร์บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า ห้องมัลติมีเดีย วิทยานิพนธ์ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ หนังสือภาษาต่างประเทศ วารสารฉบับปัจจุบันและล่วงเวลา หนังสือพิมพ์ปัจจุบันและล่วงเวลาชั้นที่ 3: ห้องบริการสื่อการศึกษา โสตทัศนวัสดุ ห้องกิจกรรม หนังสือภาษาไทย หนังสืออ้างอิงภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ นวนิยาย เรื่องสั้นและวรรณกรรม รูปภาพแสดง โซนอ่านหนังสือและรูปภาพแสดง การสืบค้นข้อมูล สิทธิ์ในการยืมหนังสือ และอัตราค่าปรับของผู้ใช้บริการ ของหอสมุดป๋วยฯ มี 2 กรณีกรณีที่ 1 สิทธิ์ในการยืมหนังสือ สำหรับนักศึกษา - นักศึกษาระดับปริญญาตรียืมได้ 20 เล่ม ยืมได้นาน 15 วัน/เล่ม- นักศึกษาระดับปริญญาโท เอก ประกาศนียบัตรยืมได้ 40 เล่ม ยืมได้นาน 15 วันต่อเล่ม- กรณีคืนหลังกำหนดส่ง มีค่าปรับล่าช้า 5 บาท/เล่ม/วัน (กรณีเป็นหนังสือสำรอง 10 บาท/เล่ม/วัน)หมายเหตุ สำนักหอสมุดปรับรูปแบบการชำระค่าปรับหนังสือ ค่าบริการพิมพ์ สแกน ฯลฯ ด้วยบัตรสมาร์ทเฟิร์ส (บัตรนักศึกษา) แทนการใช้เงินสดกรณีที่ 2 สิทธิ์ในการยืมหนังสือ สำหรับพนักงาน สวทช. ทางหอสมุด มีเงื่อนไขให้สิทธิ์ยืม จำนวน 20 เล่ม ต่อหน่วยงานสวทช. ส่วนการคืนทรัพยากรสารสนเทศหลังกำหนดส่ง มีค่าปรับล่าช้า 5 บาท/เล่ม/วัน หมายเหตุ ห้ามพนักงาน สวทช. คืนหลังกำหนดส่ง ด้วยเงื่อนไขของหอสมุด จะตัดสิทธิ์ในการยืมของท่านอื่นๆ ของหน่วยงาน สวทช.) เวลาสำหรับการให้บริการของหอสมุดป๋วย อึ้งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต)จันทร์-ศุกร์ : เวลา 08.30 - 20.00 น.เสาร์-อาทิตย์ : เวลา 09.00 - 17.30 น.งดให้บริการในวันหยุดนักขัตฤกษ์ สนใจเข้าเยื่ยมชมหอสมุดป๋วย อึ้งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) 99 หมู่ 18 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12121โทรศัพท์ 0-2564-4444 ต่อ 1305 อีเมล pathum@tu.ac.th สามารถเข้าชมเว็บไซต์ ได้ที่
นานาสาระน่ารู้

แผนยุทธศาสตร์กระทรวงยุติธรรม ระยะ 20 ปี พ.ศ.2560-2579
แผนยุทธศาสตร์กระทรวงยุติธรรม ระยะ 20 ปี พ.ศ.2560-2579
ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็ม
THAILAND 4.0

แผนยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2560-2564
แผนยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2560-2564
ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็ม
THAILAND 4.0