ผลการค้นหา :

ขอเชิญฟังการบรรยายพิเศษ หัวข้อ “Xplore’s high throughput experiment technology: focus area, services, and academic network”
สวทช. ร่วมกับ SCG
ขอเชิญนักวิจัย ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจ เข้าร่วมงาน TECH>>X
รับฟังการบรรยายพิเศษ หัวข้อ “Xplore's high throughput experiment technology: focus area, services, and academic network” พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างเครือข่ายงานวิจัยกับ
Dr. LUCA RONGO, CEO และ Mr. GUILLAUME MAGAN ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาและการประยุกต์ใช้ High Throughput Experiment จาก Xplore
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2566 เวลา 10.00-11.30 น.
สถานที่: ห้องประชุม CC305 ชั้น 3 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
และผ่านระบบ online Webex
ลงทะเบียนเข้าร่วมได้ที่
https://shorturl.at/jsOW6
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. ให้บริการ ‘Industry 4.0 Platform’ บริการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (Industry 4.0 Platform Solution)
For English-version news, please visit : Industry 4.0 Platform: Empowering industrial transformation
ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 (industry 4.0) หรือการปรับเปลี่ยนให้เครื่องจักรภายในโรงงานสื่อสารถึงกันและกัน และสื่อสารกับมนุษย์ได้แบบเรียลไทม์ เพราะจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบและสั่งการเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตด้วย
ถึงกระนั้นการจะยกระดับภาพรวมของอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะต้องอาศัยความพร้อมหลายด้าน ทั้งจากผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน สวทช. จึงเปิดให้บริการ 'Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (one-stop service)
Industry 4.0 Platform ประกอบด้วย 3 บริการหลัก ได้แก่ 'i4.0 maturity' ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศ โดยมี Thailand i4.0 Index เป็นเครื่องมือในการวัดระดับความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นการยกระดับได้อย่างเป็นระบบ และเป็นขั้นเป็นตอ 'i4.0 consulting' บริการให้คำปรึกษาด้านการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ และ 'i4.0 training' บริการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบระบบเทคโนโลยีสำหรับใช้งานภายในโรงงาน (System Integrator: SI) แรงงานทักษะสูง และผู้ให้บริการประเมินความพร้อมโรงงาน
บันได 4 ขั้น ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0
ขั้นแรกคือการประเมินความพร้อมด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ที่ www.nstda.or.th/i4platform/checkup เพื่อให้ทราบเบื้องต้นว่าอุตสาหกรรมของตนอยู่ในระดับไหน ขั้นที่สองคือการประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมรับคำแนะนำในการยกระดับโรงงาน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/r/OTlB9) ขั้นที่สามคือการรับคำแนะนำในการยกระดับอุตสาหกรรมทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ โดยผู้ประกอบการอาจนำแผนงานมาทดสอบจำลองสถานการณ์ (simulation) ด้วย testbed อาทิ เครื่องจักร สายการผลิต และระบบดิจิทัลที่มีให้บริการภายในระบบบริการของ Industry 4.0 Platform ก่อนลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตภายในโรงงานจริง เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และขั้นสุดท้ายคือการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับโรงงาน
โดยข้อมูลชุดนี้จะนำเสนอ Industry 4.0 platform solution หรือเทคโนโลยีที่ สวทช. ได้ร่วมกับพันธมิตรวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมระบบบริการช่วยเหลือผู้ประกอบการยกระดับอุตสาหกรรมแบบครบวงจร (one-stop service)
'Industry 4.0 platform solution' 4 เทคโนโลยีรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0
เทคโนโลยีแรกคือ URCONNECT อุปกรณ์รับส่งสัญญาณแบบ universal เพื่อเปลี่ยนเครื่องจักรเก่าให้เป็น IoT สามารถสั่งการอุปกรณ์ได้จากทางไกล และรับสัญญาณจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งไว้ตรวจจับการทำงาน รวมถึงการประเมินสุขภาพของอุปกรณ์ มาประมวลผลและจัดเก็บที่ระบบคลาวด์ ช่วยให้ผู้ดูแลตรวจสอบข้อมูลและควบคุมการทำงานได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา
เทคโนโลยีสองคือ UNAI (อยู่ไหน) ระบบระบุตำแหน่งและเส้นทางการเคลื่อนที่ของอุปกรณ์และสินค้าภายในโรงงาน เช่น การทำ smart warehouse
เทคโนโลยีที่สามคือ NETPIE ระบบ cloud computing สัญชาติไทย ที่เปิดให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรม
เทคโนโลยีที่สี่คือ Industrial IoT and Data Analytics Platform (IDA Platform) แพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรและการใช้พลังงานภายในโรงงานผ่านระบบคลาวด์
เมื่อนำชุดอุปกรณ์เหล่านี้มาติดตั้งภายในโรงงานจะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตแบบเรียลไทม์ โดยดูได้ทั้ง
1) ประสิทธิภาพโดยรวมการผลิตของเครื่องจักร (Overall Equipment Effectiveness: OEE)
2) ประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน (Energy monitoring)
3) ระบบแจ้งเตือนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ล่วงหน้า (Predictive Maintenance (PdM)
ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตและการบริหารพลังงานสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อปรับแผนงาน ก่อนส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุปกรณ์ปรับเปลี่ยนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการ 'Industry 4.0 platform solution’ เข้าปรึกษา และใช้บริการด้านต่าง ๆ แบบครบวงจรได้ที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ที่ EECi
- Industry 4.0 assessment
- training
- consultant
- low-cost platform solutions
- custom solution
- testbeds
SMC มีระบบ membership สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการที่ศูนย์เป็นประจำ โดยสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบจะได้รับจากการสมัคร คือ
- รับส่วนลดในการใช้บริการ
- รับคำปรึกษาเชิงลึกด้านเทคนิค และสิทธิประโยชน์
- ใช้พื้นที่ห้องทำงาน ห้องประชุม และห้องอบรม
- รับข้อมูลข่าวสารและกิจกรรม business matching
- จัดแสดงและสาธิตผลิตภัณฑ์ภายในศูนย์
โปรโมชันพิเศษคุ้ม 2 ต่อ สำหรับ 100 โรงงานแรกที่สมัครเข้าร่วมโครงการทดสอบการใช้งาน IDA platform ในเฟสที่สอง
ต่อที่ 1 : สิทธิพิเศษจากศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC)
- ทุนสนับสนุนโรงงานละ 100,000 บาท
- สนับสนุน IDA dashboard, cloud storage และ cloud IoT ฟรี 1 ปี
- สนับสนุน URCONNECT 1 ชุด (จำนวนจำกัด)
- สื่อวีดิทัศน์สำหรับเรียนรู้ทางออนไลน์ IDA fundamentals tutorial
ต่อที่ 2: หากโรงงานเป็นนิติบุคคลไทยและเป็น SME ตามนิยาม สสว. สามารถขอรับการสนับสนุนผ่าน
'โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP)’ โดย ITAP จะสนับสนุนค่าที่ปรึกษาสูงสุดไม่เกิน 50% ตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของ ITAP
รายละเอียดเพิ่มเติม
Website: www.nstda.or.th/i4Platform
Facebook: Thailand i4.0 Platform
ติดต่อสอบถามหรือขอรับบริการ
E-mail: i4Platform@nstda.or.th
Line: @i4Platform
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ร่วมผสานพลัง วทน. เพื่อการพัฒนาประเทศ ในเวที STS Forum 2023
For English-version news, please visit : NSTDA engages in STS forum 2023, strengthening Thailand’s STI
น.ส. ศุภมาส อิศรภักดี รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำทีมผู้บริหารและนักวิจัยของกระทรวง อว. เข้าร่วมการประชุมผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับโลก (Science and Technology in Society: STS forum) ภายใต้กรอบแนวคิด “Lights and Shadows of Science and Technology” ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2566 ชูปัญหาที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายและร่วมกันแก้ไขปัญหาในระดับมหภาค เช่น การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ความพยายามลดการปล่อย CO2 จนถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูง การจะก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือของประชาคมโลก ใช้ วทน. เป็นเครื่องมือ โดย อว. เอง พร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกประเทศ เพิ่มศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เป็นตัวกลางเชื่อมภาควิชาการและอุตสาหกรรม รวมถึงพัฒนากำลังคนมารองรับ
ในการประชุมดังกล่าว ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ได้เป็นผู้ติดตาม รมว.อว. ให้เข้าร่วมสนับสนุนข้อมูลในการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (S&T Ministers’ Roundtable Meeting) ครั้งที่ 20 ซึ่งเป็นการหารือด้าน “Open Science and International Brain Circulation” นอกจากนั้น ศ.ดร.ชูกิจ ยังได้เป็นผู้ติดตามในการหารือทวิภาคีกับผู้บริหารของ Japan Science and Technology Agency (JST) ประเทศญี่ปุ่นและ Agency for Science, Technology and Research (A*STAR) ประเทศสิงคโปร์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาและการพัฒนากำลังคน ซึ่งจะเสริมความเข้มแข็งซึ่งกันและกัน
การประชุมทวิภาคีร่วมกับ JST เป็นการแลกเปลี่ยนหัวข้อความสนใจและผลักดันความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างไทยและญี่ปุ่น ในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องต่อการพัฒนาประเทศ เช่น พลังงานสีเขียว (green energy) การเตรียมพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่/อุบัติซ้ำ (pandemic) รวมทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการจัดการข้อมูล (big data) โดย สวทช. ได้เน้นย้ำการสนับสนุนโครงการ East Asia Science and Innovation Area Joint Research Program (e-ASIA JRP) ที่มีสำนักงานเลขานุการโครงการตั้งอยู่ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ในขณะที่การประชุมทวิภาคีกับ Agency for Science, Technology and Research (A*STAR) ประเทศสิงคโปร์ ได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวโน้มงานวิจัยของไทยและสิงคโปร์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในด้านภาษาศาสตร์ที่ สวทช. และ A*Star อยู่ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีการแปลภาษาซึ่งสนใจร่วมมือพัฒนาต่อยอด นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย ยังเน้นย้ำการสนับสนุนความร่วมมือโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. ที่สนับสนุนทั้งงานวิจัยและภาคอุตสาหกรรม ทั้ง High Performance Computing (HPC) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ฯ, Biorefinery Pilot Plant ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และงานวิจัยด้านพลังงาน ซึ่งจะได้มีการหารือกันต่อไป
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ สวทช. ยังได้เข้าร่วมในการประชุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในงาน STS Forum อาทิ การหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้บริหารหน่วยงานวิจัยทั่วโลกในเวที 12th Global Summit of Research Institute Leaders (RIL 2023) การได้รับเกียรติให้บรรยายในเวที Cooperation in S&T: Collaboration among Academia, Industry and Government ซึ่ง สวทช. ได้เน้นย้ำการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่างๆ โดยยกตัวอย่าง เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ที่ สวทช. ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลให้เป็นผู้เชื่อมโยงงานวิจัยสู่ภาคอุตสาหกรรม และการเข้าร่วมประชุม The 13th Funding Agency Presidents’ Meeting (FAPM) ที่เป็นการประชุมระดับนโยบายของหน่วยงานให้ทุนวิจัย ซึ่ง สวทช. เข้าร่วมในมุมมองหน่วยงานที่ประสบการณ์การบริหารจัดการทุนวิจัย
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. กล่าวว่า “ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมไปถึงการทำงานร่วมกันในระดับนานาชาติ เพื่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาดใหม่ วิกฤติด้านพลังงาน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน การนำทีมประเทศไทยโดยท่านรัฐมนตรีฯ เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ สวทช. ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมการประชุมเป็นอย่างมาก หน่วยงานพันธมิตรที่ สวทช. มีความร่วมมือมาเป็นเวลานานอย่างเช่น JST และ A*Star ได้รับทราบและเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลไทยในการทำงานเพื่อความยั่งยืนร่วมกัน อาทิ โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่กำหนดวิสัยทัศน์ในการสร้างการเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนและมีคุณภาพด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของคน โดยรักษาสมดุลการใช้ประโยชน์และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อบรรลุต่อเป้าหมายของ SDGs รวมไปถึงการร่วมจัดเตรียมนักวิจัยของเราและพันธมิตร ด้วยทักษะและความเชี่ยวชาญที่จำเป็น และมีความสนใจร่วมกัน เช่น Biorefinery Pilot Plant, High-performancecomputing (HPC), Artificial intelligence (AI), Sustainable Manufacturing Center (SMC) ซึ่ง สวทช. ในฐานะขุมพลังหลักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศไทย จะได้ดำเนินการตามกรอบความร่วมมือของการประชุมร่วมกันในครั้งนี้ต่อไป”
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

4 พันธมิตรเครือข่ายวิทยาศาสตร์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ต่อยอดนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ สู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
29-30 กันยายน 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (สซ.) และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.)
จัดการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ครั้งที่ 5 (Advanced Engineering Workshop V) โดยมีผู้บริหาร นักวิจัย วิศวกรและบุคลากรจากทั้ง 4 หน่วยงาน รวมกว่า 200 คน ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการวิจัย พร้อมเข้าชมผลงานจากห้องปฏิบัติการวิจัยและศูนย์วิเคราะห์ทดสอบต่าง ๆ ของ สวทช.
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ครั้งที่ 5 (Advanced Engineering Workshop V) ถือเป็นการประชุมครั้งแรกที่ สวทช. ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในเครือข่ายร่วมกับ สดร. สซ. และ สทน. อย่างเป็นทางการ และได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานวิจัย พัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนำเสนอผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมขั้นสูง
เปิดโอกาสให้วิศวกร ช่างเทคนิค นักวิจัย และบุคลากรจากหลายหน่วยงาน ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในสาขาที่แตกต่างกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ทั้งการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบทางเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่หน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ สถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจในสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
“การจัดงาน Advance Engineering Workshop ครั้งที่ 5 เป็นการสานความก้าวหน้าของงานวิจัยที่ดำเนินร่วมกันจากงานประชุมครั้งที่ผ่านมา อันได้แก่ การร่วมกันพัฒนากล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนแบบส่องกราด (Scanning Electron Microscope: SEM) การพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจสอบอายุโบราณวัตถุโดยเครื่องเร่งอนุภาค Accelerator Mass Spectrometry (AMS) และการต่อยอดงานวิจัยด้าน Lidar ที่นำไปใช้ด้านโบราณคดี นอกจากนั้นจะเป็นการเปิดประเด็นใหม่ในการนำเสนอด้านเทคโนโลยีด้านยานยนต์และพลังงาน เพื่อให้ทั้ง 4 หน่วยงานได้รับทราบถึงงานที่แต่ละหน่วยงานดำเนินการอยู่ และเพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ นำไปสู่ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่อไป” ดร.สมบุญ กล่าว
ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้บริหารจากทั้ง 4 หน่วยงาน ได้แก่ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน รองศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ และดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมเวทีการอภิปรายในหัวข้อ “ศักยภาพและทิศทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง” พร้อมกันนี้ได้มีการนำเสนอผลงานวิจัยจากนักวิจัยรวม 25 ผลงานจากทั้ง 4 หน่วยงาน อาทิ
เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมในยานพาหนะไฟฟ้าเทคโนโลยีพลังงานเพื่อความยั่งยืน ความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุปกรณ์และวิศวกรรมการแพทย์ ความก้าวหน้าการพัฒนากล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนแบบส่องกราด ความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจสอบอายุโบราณวัตถุโดยเครื่องเร่งอนุภาค เทคโนโลยี LiDAR และแนวโน้มการประยุกต์ใช้ในงานสำรวจทางโบราณคดี และความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องด้านอวกาศ โดยผู้เข้าร่วมประชุมยังได้เข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานและชมผลงานของ 6 ห้องปฏิบัติการวิจัยและ 2 ศูนย์วิเคราะห์ทดสอบของ สวทช.
การประชุมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ โดยนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบทางเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ซึ่งจะนำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมของไทย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมของไทยและขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีในประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทีม A-MED สวทช. ให้บริการคำบรรยายแทนเสียงการถ่ายทอดสด “4 ปีแห่งความสำเร็จ สว.พบประชาชน”
ภาพเบื้องหลังการทำงานให้บริการคำบรรยายแทนเสียงของทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร. อนันต์ลดา โชติมงคล พร้อมทีมวิจัย และศูนย์บริการคำบรรยายแทนเสียงประเทศไทย (Thailand Captioning Service Center) ร่วมให้บริการคำบรรยายแทนเสียงสำหรับการถ่ายทอดสดการสัมมนาโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชน "4 ปีแห่งความสำเร็จ สว.พบประชาชน" เพื่อช่วยให้ผู้ที่บกพร่องทางการได้ยินและผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางการได้ยิน สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นเสียงพูดได้ด้วยการอ่านข้อความที่ได้จากการถอดความแทนการฟังเสียง เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 ณ ห้องประชุมจันทรา ชั้น 2 อาคารรัฐสภา
ติดตามรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=2y3uJ6dvJV0
ข่าวประชาสัมพันธ์

เทคโนโลยีชุดตรวจป้องกันการระบาด “โรคใบด่างมันสำปะหลัง”
สวทช. จัดกิจกรรม NSTDA Meets The Press เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้พบปะพูดคุยกับทีมนักวิจัย ไบโอเทค ที่มาเล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยี "ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง" สามารถตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังได้ง่าย สะดวก และทราบผลได้อย่างรวดเร็ว
โดยเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังโรคใบด่างที่กำลังมีการระบาดในประเทศไทย เนื่องจากสามารถตรวจหาการติดเชื้อได้ในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงการนำท่อนพันธุ์ติดเชื้อไปเพาะปลูก อีกทั้งในระหว่างการเพาะปลูก หากตรวจพบการติดเชื้อ โดยเฉพาะในต้นที่ยังไม่แสดงอาการของโรคใบด่าง ก็จะช่วยให้เกษตรกรถอนทำลายทิ้งได้ทัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ลดความเสียหายได้อย่างทันท่วงที
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

อีอีซี รวมพลังภาคีภาครัฐ-เอกชน MOU หนุนใช้รถยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะ และรับส่งพนักงานในพื้นที่ อีอีซี พร้อมร่วมพัฒนาระบบนิเวศน์การลงทุน นำร่องปี 66 เกิดรถโดยสารไฟฟ้า 100 คัน คาดใน 2 ปีเพิ่มเป็น 10,000 คัน ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 5 แสนตัน/ปี จูงใจดึงลงทุนคลัสเตอร์ EV และ BCG รวม 40,000 ล้านบาท
For English-version news, please visit : Public-private initiative to promote the use of EV buses in EEC
วันที่ 28 ก.ย.2566 นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะ และรถรับ-ส่งพนักงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกับ นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ศาสตราจารย์ นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย นายวีระเดช เตชะไพบูลย์ นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (อาร์อี 100) และนายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือภาครัฐและเอกชน ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีถ่ายทอดองค์ความรู้ ขับเคลื่อนการลงทุนและใช้ประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า ในระบบขนส่งสาธารณะ และรับส่งพนักงานในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ นำไปสู่การพัฒนาพื้นที่อีอีซี อย่างยั่งยืน ณ ห้อง Conference 1-2 สำนักงานอีอีซี
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า การลงนามฯ MOU ครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือสำคัญจากภาคีภาครัฐ และเอกชน เพื่อสนับสนุนการลงทุนในเศรษฐกิจ BCG ผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบนิเวศน์ ดึงดูดการลงทุนนวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในพื้นที่ อีอีซี ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นที่ตั้งและฐานการผลิต EV แห่งภูมิภาค โดยภายใต้กรอบความร่วมมือ MOU ดังกล่าว จะส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่แพร่หลายในระบบขนส่งสาธารณะ และการรับส่งพนักงาน ประชาชนในพื้นที่ อีอีซี เข้าถึงบริการดังกล่าวได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ผลักดันให้เกิดการผลิต และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด สอดคล้องกับเป้าหมายพัฒนาให้พื้นที่อีอีซี เป็นพื้นที่ Net Zero Carbon Emission ในภาคอุตสาหกรรม โดยระยะ 5 ปีแรก สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 10% และการลงทุนใหม่ในพื้นที่ 40% ต้องมีแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว สร้างการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน
ทั้งนี้ อีอีซี จะเชื่อมโยงความร่วมมือและพัฒนากลไกการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ โดยทุกฝ่าย จะร่วมกันสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การถ่ายทอดองค์ความรู้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ การติดตั้งสถานี ชาร์จไฟฟ้าเพื่อรองรับ รวมไปถึงขยายผลสร้างมูลค่าเพิ่มโครงการฯ โดยอีอีซี จะร่วมขับเคลื่อนพัฒนาระบบนิเวศจูงใจ ให้เกิดการลงทุน เช่น เรื่องสิทธิประโยชน์รูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี การอำนวยความสะดวกเพิ่มความรวดเร็ว ในการอนุมัติ อนุญาตที่อีอีซีสามารถออกใบอนุญาตแทนหน่วยงานต่างๆ ได้ถึง 44 ใบอนุญาต คาดว่าจะเริ่มได้ ในมกราคม ปี 2567 ซึ่งจากความร่วมมือครั้งนี้ เป็นกิจกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับ คลัสเตอร์ EV และคลัสเตอร์ BCG (ในกลุ่มพลังงานสะอาด)
นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า สอวช. ในฐานะหน่วยงานด้านนโยบาย อวน. (การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) สนับสนุนการพัฒนาและยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ จะดำเนินการภายใต้ข้อตกลง ฉบับนี้ เพื่อนำร่องให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เร่งให้เกิดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนสำคัญ ให้มีคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และสร้างซัพพลายเชนในประเทศให้มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญ และเมื่อความร่วมมือในพื้นที่อีอีซีนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว จะสามารถถอด เป็นบทเรียนเพื่อขยายให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับการพัฒนาไปสู่เป้าหมายการผลิตแล การใช้งานยานยนต์ไร้มลพิษ และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย
ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การลงนาม ฯ ครั้งนี้ สวทช. จะเป็นหน่วยงานในการสนับสนุน ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับรถโดยสารพลังงาน ไฟฟ้า และการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่อีอีซี เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาของประเทศ ซึ่ง สวทช. ได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการสั่งสมองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง กับยานยนต์ไฟฟ้า เช่น การออกแบบแบตเตอรี่แพ็ค การออกแบบมอเตอร์ ระบบควบคุมพร้อมระบบขับเคลื่อน เทคโนโลยี การลดน้ำหนักตัวรถที่ยังคงความแข็งแรงของโครงสร้างและความปลอดภัย การวิเคราะห์ Vehicle dynamic การพัฒนา ระบบ EV Charger การพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ รวมถึงการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบกับศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. ซึ่งเป็นศูนย์วิเคราะห์ทดสอบและรับรองในระดับสากล เป็นต้น ทั้งนี้ สวทช. มีความพร้อมใน การสนับสนุนการทดสอบเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาใช้จริง และยกระดับ ระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่อีอีซี รวมถึงส่งเสริมผู้ประกอบในการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของ สวทช. ที่ ต้องการสนับสนุนเทคโนโลยีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำต่อไป
นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ จะเป็นโครงการนำร่องเพื่อเป็นต้นแบบการใช้รถโดยสารไฟฟ้า สำหรับขนส่งสาธารณะและรับ-ส่งพนักงานสำหรับประชาชน เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในพื้นที่อีอีซี โดยคาดว่าในปี 2566 นี้จะเกิดรถโดยสารไฟฟ้า อย่างน้อย 100 คัน พร้อมสถานีชาร์ท ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 5 พันตันต่อปี เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และพัฒนาวัตถุดิบสินค้าในประเทศ (local content) เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 60% สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศมากกว่า 360 ล้านบาท และคาดว่าภายใน 2 ปี หากสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารไฟฟ้าได้ 10,000 คัน จะมีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 60,000 ล้านบาท เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศมากกว่า 48,000 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 5 แสนตันต่อปี
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า ธนาคารฯ ได้กำหนดวิสัยทัศน์ปี 2570 ในการสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายด้านการค้าและการลงทุน ระหว่างประเทศ อันส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย โดยตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้า และ การลงทุนของไทยให้เติบโตในเวทีโลกอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ธนาคารฯ ได้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสของการลงทุนตาม เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินสนับสนุนการลงทุนในเศรษฐกิจ สีเขียว เช่น EXIM Green Start เพื่อให้สอดคล้องตาม Thailand Taxonomy หรือ Exim Supply Chain Financing Solution เพื่อเสริมสภาพคล่อง SMEs ในเครือข่ายธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหญ่ สำหรับความร่วมมือ ในครั้งนี้ จะสนับสนุนการเข้าถึงการบริการทางการเงินของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ การประกอบธุรกิจ โดยธนาคารเห็นถึงโอกาสในการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวในอนาคต
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์

ประกาศรางวัล เงินออมสร้างชาติ ซีซัน 8 3 ทีมคว้าชัย “ออมดีขยี้ใจ” “Tonmai3D” และ “NACA” กับโจทย์สุดหิน ‘ช่วยพ่อแม่วางแผนเกษียณ’
(28 กันยายน 2566) ณ ห้อง Auditorium ชั้น 3 อาคาร Software Park ถนนแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด จ.นนทบุรี: ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมพร้อมด้วย นายสมเกียรติ ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด ร่วมมอบรางวัลในโครงการ Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 8 ตอน “ช่วยพ่อแม่วางแผนเกษียณ”
ซึ่ง โครงการฯ ดังกล่าวจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2559 เพื่อเป็นเวทีให้กับนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไปได้แสดงศักยภาพ ในการใช้เทคโนโลยี นำความรู้ ทักษะและความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาผลงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางด้านการเงินที่เข้าใจยาก ให้เป็นสื่อการ์ตูนแอนิเมชัน และวีดิทัศน์เรื่องสั้นที่สนุกและเข้าใจง่าย สามารถเข้าถึงได้ในทุกช่วงวัย อีกทั้งยังได้เรียนรู้การนำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือช่วยบริหารเงินออมให้งอกเงยเพื่ออนาคตยามเกษียณ
ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย กล่าวว่า โครงการเงินออมสร้างชาติ ได้ดำเนินงานมาต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร บริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) และขอแสดงความยินดีกับทีมงานและน้อง ๆ ทุกๆ ทีม ที่ได้ปล่อยพลังในการสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มคนที่เป็นพ่อ-แม่ ทั้งของน้อง ๆ ซึ่งท่านทำงานมาทั้งชีวิต 30-40 ปี ได้ตระหนักถึงการวางแผนเกษียณสุขได้อย่างไร ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญของปีนี้ในการประกวดแนวคิคของโครงการ Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 8 ตอน “ช่วยพ่อแม่วางแผนเกษียณ” ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมทุกท่านที่ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด โดยเฉพาะเยาวชนซึ่งปีนี้จำนวนเข้าร่วมประกวดมากขึ้น และหวังว่าจะนำไปต่อยอดผลงานและเป็นประสบการณ์ที่ดีในการทำงานในอนาคต
นายสมเกียรติ ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด กล่าวว่า ในการประกวดปีนี้จากจำนวน 169 ทีม เหลือ 14 ทีมที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในวันนี้ ซึ่งนอกจากเป็นผลงานที่มีคุณค่าและเป็นวิทยาทานให้บุคคลในสังคมได้ตระหนักรู้แล้ว น้อง ๆ เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการยังได้ฝึกแนวคิดในการนึกถึงสังคมส่วนรวมให้มาก่อนส่วนตัวไปด้วย อีกทั้งยังได้ฝึกการเรียนรู้ใน บู๊ตแคมป์ (Bootcamp) จากผู้มีประสบการณ์ระดับประเทศให้ความรู้และวิทยาทานกับน้อง ๆ อย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นประสบการณ์และความรู้อันล้ำค่า ที่จะช่วยให้เยาวชนและบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าประกวดได้ประโยชน์จากโครงการ และช่วยกันสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นไป
“สำหรับที่มาของหัวข้อการประกวดในปีนี้ มีที่มาจากเมื่อประมาณ 11 ปีที่แล้ว มีงานวิจัยของ ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน ผู้ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจอายุวัฒน์ (Longevity economy) การตลาดอายุวัฒน์ ซึ่งได้ทำการวิจัยให้กับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) โดยงานวิจัยระบุว่า สังคมไทยเป็นสังคมชราเร็ว ซึ่งพบว่าร้อยละ 50 เกษียณจน หรือมีฐานะติดลบหลังเกษียณ จึงเป็นที่มาให้ WealthMagik พยายามหาพันธมิตรเพื่อสื่อสารเรื่องการวางแผนการลงทุนก่อนเกษียณ และเป็นโครงการเงินออมสร้างชาติ เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ผ่านการสร้างสรรค์การสื่อสารในรูปแบบสื่อดิจิทัลของเยาวชนเพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารไปยังครอบครัวและสังคมในวงกว้างขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เยาวชนตระหนักรู้และเตรียมตนเองตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยทำงาน และสร้างสังคมที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมร่วมกันต่อไป”
สำหรับรางวัลสำหรับผู้ชนะการประกวดผลงาน Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 8 หัวข้อ “ช่วยพ่อแม่วางแผนเกษียณ” ใน หมวดการ์ตูนแอนิเมชัน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทนักเรียน นักศึกษา
ทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม ออมดีขยี้ใจ จากผลงานเรื่อง พ่อจ๋าแม่จ๋าฟังทางนี้! รับทุนการศึกษา จำนวน 40,000 บาท พร้อมโล่รางวัลชนะเลิศ และเกียรติบัตร
รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม HAPPYZ จากผลงานเรื่อง Beat the Clock รับทุนการศึกษา จำนวน 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศเกียรติบัตร และยังได้รับรางวัล Popular Vote พร้อมทุนการศึกษาจำนวน 5,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม หิวข้าว จากผลงานเรื่อง Green Retire Life รับทุนการศึกษา จำนวน 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร
ประเภทบุคคลทั่วไป ทีมชนะเลิศ ได่แก่ ทีม Tonmai3D โดย จากผลงานเรื่อง Chat รับเงินรางวัล จานวน 80,000 บาท พร้อมโล่รางวัลชนะเลิศ และเกียรติบัตร
รองชนะเลิศอันดับ 1 ได่แก่ ทีม Fiction Five จากผลงานเรื่อง Carpenter’s Daughter รับเงินรางวัล จำนวน 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร รองชนะเลิศอันดับ 2 ได่แก่ ทีม Asteria จากผลงานเรื่อง Armor รับเงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร และยังได้รับรางวัล Popular Vote พร้อมเงินรางวัลจำนวน 5,000 บาท
นอกจานี้ยังมี ประเภทรางวัลสำหรับผู้ชนะการประกวดวีดิทัศน์เรื่องสั้น (Short Video) โครงการ Software Park –WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 8 หัวข้อ “ช่วยพ่อแม่วางแผนเกษียณ”
ทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม NACA จากผลงานเรื่อง เกษียณสุขใจในบ้านทรายทอง รับเงินรางวัล จำนวน 40,000 บาท พร้อมโล่รางวัลชนะเลิศและเกียรติบัตร
รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม MOVING IMAGE จากผลงานเรื่อง “ด้วยรักและผูกกรรม เอ้ย ผูกพัน เอ้ย ถูกแล้ว” เงินรางวัล จำนวน 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม GF Tear จากผลงานเรื่อง Serum รับเงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร และยังได้รับรางวัล Popular Vote พร้อมเงินรางวัล จำนวน 5,000 บาท
ทั้งนี้ "เงินออมสร้างชาติ" เป็นโครงการประกวดแอนิเมชัน และ Short VDO จัดโดย SoftwarePark และ WealthMagik ผู้สนใจติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ wealthmagik.com/animationaward
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ติวเข้ม เยาวชนในชนบท รับทุนพัฒนาทักษะด้าน ‘สะเต็มและโค้ดดิ้ง’ เตรียมพร้อมสู่ ‘ยุวเกษตรกรอัจฉริยะ’ ในอุตสาหกรรมเกษตรแม่นยำ
(วันที่ 27 กันยายน 2566): ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานในพิธีมอบเงินสนับสนุนการทำโครงงานให้กับนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะด้านสะเต็มและโค้ดดิ้ง (STEM and Coding Skills) แก่เยาวชนในชนบท เพื่อก้าวสู่ยุวเกษตรกรอัจฉริยะในอุตสาหกรรมเกษตรแม่นยำ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) โดยมีโรงเรียนเป้าหมายภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ ที่ผ่านการคัดเลือกข้อเสนอโครงงานด้านเกษตรอัตโนมัติเกษตรแม่นยำ จำนวน 46 โครงงาน จากโรงเรียน 31 แห่ง รวมจำนวนทั้งสิ้น 114 คน เข้าร่วมอบรมหลักสูตร “การทำโครงงานเกษตรอัฉริยะ (AI Coding for Smart Agriculture)” ระหว่างวันที่ 25-27 กันยายน 2566 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนที่ผ่านการพิจารณารับทุนสนับสนุนการพัฒนาทักษะด้านสะเต็มและโค้ดดิ้ง (STEM and Coding Skills) ซึ่งจะเป็นกำลังใจและสร้างแรงจูงใจให้กับเยาวชนจากโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งโรงเรียนสอนนักเรียนพิการ กลุ่มโรงเรียนพระประปริยัติธรรม สามเณรจากกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม รวมถึงโรงเรียนในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบท (ทสรช.) ภายใต้มูลนิธิฯ ได้นำทุนพัฒนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนของตนเองและเพื่อน ๆ ร่วมสถานศึกษามากที่สุด สำหรับโครงงานที่ได้รับทุนสนับสนุนมีจำนวนทั้งสิ้น 46 โครงงาน จากโรงเรียน 31 แห่ง โดยแต่ละโครงงานจะได้รับทุนสนับสนุนไม่เกิน 5,000 บาท (ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำโครงงาน) จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 226,491 บาท
ทั้งนี้ ตลอดการอบรมเชิงปฏิบัติการทั้ง 3 วัน นักเรียนที่เข้าร่วมอบรมจะได้ทดลองลงมือปฏิบัติจริงด้านการพัฒนาโครงงานแบบกลุ่ม อีกทั้งได้รับองค์ความรู้จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิต่าง ๆ อาทิ การโค้ดควบคุมไมโครคอนโทรเลอร์ และหลักการควบคุมอัตโนมัติทั้งแบบอนาลอกและดิจิทัล, การพัฒนาโครงงานด้วยโค้ดดิ้ง เพื่องานการเกษตรอัจฉริยะ โดย รศ.ยืน ภู่วรวรรณ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การประยุกต์เอไอโมเดลกับงานการสร้างนวัตกรรม โครงงานเกษตรอัจฉริยะเป็นโครงงานที่สร้างสรรค์และประยุกต์ต้นแบบ โดย รศ.พันธุ์ปิติ เปี่ยมสง่า ภาควิชาคอมพิวเตอร์ ม.เกษตรศาสตร์ เป็นต้น โดยมีนางสาวเยาวลักษณ์ คนคล่อง ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานโครงการตามพระราชดำริฯ นายนพดร ปัญญาจงถาวร รองผู้อำนวยการงานส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพชั้นสูง สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. นายนริชพันธ์ เป็นผลดี ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่าน เข้าร่วมกิจกรรม
อย่างไรก็ตาม สวทช. คาดหวังว่าโครงการดังกล่าว จะเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้จัดทำ โครงงานหรือนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่งเสริมให้เกิดทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ การแก้ปัญหาเป็น และเรียนรู้การทำงานกับผู้อื่นผ่านกระบวนการทำโครงงานได้ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 แก่เยาวชนทุกคนในยุคดิจิทัล
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. – บีโอไอ จับมือ บ.โซนี่ฯ เดินหน้าโครงการ WiL หนุนพัฒนากำลังคนคุณภาพ สู่อุตสาหกรรมภาคการผลิต
(วันที่ 27 กันยายน 2566) ที่บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด จ.ชลบุรี: สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต นำโดย ดร.บรรพต หอบรรลือกิจ ที่ปรึกษาโครงการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน งานส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพชั้นสูง สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. นางสาวชนานกานต์ สันตยานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต
พร้อมด้วย น.ส.ซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) นายเรียว อาเมมิยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี จำกัด และผู้บริหารบริษัทโซนี่ ร่วมกันประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินโครงการ WiL (Work-integrted Learning) ซี่งเป็นการบูรณาการ การเรียนรู้กับการทํางานจากความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการภาคการผลิตบริษัทต่าง ๆ และสถาบันการศึกษา โดยบริษัท โซนี่ฯ เป็นหนึ่งในตัวอย่างของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการ WiL
ดร.บรรพต หอบรรลือกิจ ที่ปรึกษาโครงการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน งานส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพชั้นสูง สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. กล่าวว่า โครงการ WiL (Work-integrted Learning) มีระยะเวลาดําเนินโครงการระหว่างเดือนกรกฎาคม 2565 - กรกกฎาคม 2567 เป็นการบูรณาการความรู้ โดยการประยุกต์ความรู้และวิธีการทํางานเข้ากับบทเรียน สามารถเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนทั้งในด้านการทํางานและการเรียนรู้ พร้อมทั้งยังเป็นการเพิ่มกําลังคนที่มีคุณภาพเพื่อส่งต่อบุคลากรเข้าสู่โรงงานให้ตรงกับความต้องการในภาคอุตสาหกรรม
โดยรูปแบบการดําเนินโครงการ WiL จัดให้มีการศึกษาใน 2 ระบบได้แก่ การศึกษาในระดับ ปวส. และระดับปริญญาโท เข้าปฏิบัติงานในสถานประกอบการเป็นระยะเวลา 2 ปี พร้อมทั้งเรียนรู้ตามหลักสูตรที่ลงทะเบียน เรียนรู้การทํางานในอุตสาหกรรมและเนื้อหาบูรณาการเพื่อพัฒนาโครงงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ กับอุตสาหกรรม ปัจจุบันในระดับ ปวส. มีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการจำนวน 1,329 คน จาก 40 สถาบันการศึกษา ซึ่งภาคการศึกษาที่ 1 และ 2 พบว่าผลการเรียนผ่านทุกคน และขณะนี้กําลังดําเนินศึกษาในภาคการศึกษาที่ 3 สําหรับผลการปฏิบัติงานในโรงงาน พบว่ามีอัตราการทํางาน 95% โดยเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วนักศึกษาจะได้เรียนรู้จากการทํางานจริงในภาคอุตสาหกรรมในตําแหน่งพนักงานปฏิบัติการ เรียนรู้ตามหลักสูตรของสถาบันการศึกษา และเรียนรู้หลักสูตรโครงการ WiL ระดับปวส. เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานจริง สำหรับในระดับนักศึกษาปริญญาโท มีจำนวน 12 คน จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปัจจุบันได้ลงทะเบียนเรียนภาคการศึกษาที่ 1 และ 2 โดยผลการเรียนพบว่าผ่านทั้งหมด 12 คน ส่วนผลการปฏิบัติงานในโรงงาน พบว่านักศึกษาสามารถดําเนินงานตามที่ได้รับมอบหมายได้ดี
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ WiL จะได้รับ คือ ได้พนักงานซึ่งเกิดจากการบ่มเพาะนักศึกษา เป็นบุคลากรทักษะสูงที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม อีกทั้งยังสามารถขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ให้การสนับสนุนการลงทุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้โครงการ WiL สวทช. และ BOI มีการเชื่อมโยงหน่วยงานวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน กับภาคการศึกษา ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศขององค์กรนวัตกรรม โดย สวทช. มีเป้าหมายหลัก ในการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้เกิด Ecosystem ดังกล่าว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนการของพัฒนาประเทศ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ด้าน นายเรียว อาเมมิยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า บริษัทโซนี่ ฯ ผลิตกล้องถ่ายภาพ เลนส์กล้องถ่ายภาพ กล้องติดรถยนต์ เครื่องเสียงติดรถยนต์ แผงวงจรไฟฟ้า และส่งมอบผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยให้กับลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลนส์กล้องถ่ายภาพเลนส์เดี่ยวและกล้องถ่ายภาพที่สร้าง ได้รับการยอมรับจากช่างภาพมืออาชีพและตัวแทน Photo Agency และเป็นที่ชื่นชมของลูกค้าทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทย บริษัทโซนี่ ฯ มีฐานการผลิตสองแห่ง คือ ที่ชลบุรีและบางกระดี่ จ.ปทุมธานี โดยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Sony ในฐานะแบรนด์ที่น่าเชื่อถือทั่วโลก
“การจะได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าเช่นนี้ เราจำเป็นต้องผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุด อย่างไรก็ดีเรายังมีนักเรียน/นักศึกษา ที่มีวินัยตั้งใจปฏิบัติงาน สามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้เราพัฒนาคุณภาพของสินค้าตอบสนองด้านคุณภาพให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ต้องขอขอบคุณโครงการ WiL ที่สามารถเชื่อมโยงนักเรียน/นักศึกษาเข้ากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งขอบคุณ BOI ที่ช่วยสนับสนุนโครงการนี้ ทั้งนี้บริษัทโซนี่ ฯ และ โครงการ WIL จะร่วมกันพัฒนาคุณภาพของสินค้าให้สูงขึ้น เพื่อส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าทั่วโลกอย่างไม่หยุดยิ่ง” นายอาเมมิยะ ระบุ
โอกาสทอง นศ. ฝึกทักษะจำเป็น ‘โรงเรียนในโรงงาน’
นางสาวกษมา หะยีเจะแว นักศึกษาในระดับปริญญาโท หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในฐานะนักศึกษาโครงการโรงเรียนในโรงงาน หรือ โครงการ WiL เปิดเผยว่า เหตุผลที่ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการนี้เพราะโครงการนี้มีข้อดีต่าง ๆ มาก เช่น ได้รับทุนการศึกษาเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ขณะเดียวกันก็ได้รับประสบการณ์การทำงานในสถานประกอบการจริงและยังได้รับเงินเดือนจากการทำงานด้วย ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายและมีเงินเพื่อใช้ในการดำรงชีพในแต่ละเดือน
“หลังจากร่วมโครงการนี้ องค์ความรู้ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ได้ ช่วยทำให้เราสามารถประยุกต์องค์ความรู้ที่มีนำไปใช้ในการทำงานได้อย่างเหมาะสม เช่น พัฒนาความสามารถในการสื่อสารและเรียนรู้คำศัพท์ทางเทคนิครวมถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่ว จึงถือได้ว่าโครงการนี้ได้ให้ประสบการณ์ในการทำงานต่าง ๆ มากมาย ถือเป็นการเตรียมความพร้อมอย่างดีเยี่ยมให้กับตนเองสำหรับการทำงานและการประกอบอาชีพเกี่ยวสาขาวิชาที่ตนเองได้ร่ำเรียนมา สุดท้ายต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี ทั้ง สวทช. ขอบคุณ บริษัท สมาร์ท 2015 เซอร์วิสเซส ที่ให้โอกาสหนูในการเข้าร่วมโครงการนี้ และบริษัท โซนี่ เทคโนโลยี ประเทศไทย จำกัด ที่ให้โอกาสในการทำงานและการเรียนรู้เพื่อประสบการณ์ที่ดีในการทำงาน”
เช่นเดียวกับ นางสาวปนัดดา สัตถาผล นักศึกษาปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร กล่าวว่า เป็นนักศึกษาโครงการ WiL โรงเรียนในโรงงาน อยู่แผนก KDV สังกัด บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี ประเทศไทย จำกัด ซึ่งหลังจากที่เข้าร่วมโครงการนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองได้มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก มีความรับผิดชอบมากขึ้น สามารถแบ่งเวลาเรียน เวลาอ่านหนังสือ และเวลาทำงาน เรียนรู้ที่จะประหยัดอดออม มีเงินเก็บในการดูแลตัวเองมากขึ้น มีสติมากขึ้นเวลาที่ตัดสินใจทำอะไร นอกจากนี้พ่อแม่ภูมิใจมากในตัวเรา เพื่อน ๆ หลายคนก็ชมว่าเราเก่งขึ้นมากๆ ทำให้มีกำลังใจในตนเองมากขึ้น สามารถทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย และรู้สึกขอบคุณตัวเอง ที่สามารถเติบโตขึ้นได้เป็นคนเดิมในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นมาก ๆ และขอขอบคุณบริษัทโซนี่ และโครงการ WiL ที่ให้โอกาสนักศึกษาคนหนึ่งได้ก้าวมาถึงจุดนี้ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีในชีวิต
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘นาโน โค๊ตติ้ง เทค’ ดันนวัตกรรมถึงมือผู้บริโภค นำร่องเปิดตัวสเปรย์กันฝุ่น-ตะไคร่น้ำ
ฝุ่นละออง หรือคราบจากตะไคร่น้ำ ล้วนทำให้บ้านดูไม่งามตา ต้องออกแรงขัดกันบ่อย ดีปเทคสตาร์ทอัพ สวทช. อย่างบริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด เปิดตัวสเปรย์เคลือบกันฝุ่น-ตะไคร่น้ำ ต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเคลือบนาโน (Nano Coating) นำร่องผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ขยายฐานลูกค้ากลุ่มครัวเรือน สร้างการรับรู้ในวงกว้าง พร้อมแย้มเตรียมขยายไลน์สินค้านวัตกรรมกลุ่ม B2C เพิ่ม 3-5 ชนิดในปี 67 เพื่อลองตลาด ด้านตัวหลักอย่างสารเคลือบเซลล์แสงอาทิตย์ยังเป็นตัวหลักสร้างรายได้ เตรียมลุยตลาดต่างประเทศ ตอกย้ำเป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ด้านสารเคลือบของอาเซียนใน 5 ปี
ดร. ธันยกร เมืองนาโพธิ์ นักวิจัยทีมวิจัยนวัตรรมเคลือบนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน นาโนเทค สวทช. และ Managing Director บริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด กล่าวว่า 1 ปีที่ผ่านมาสำหรับการเป็นดีปเทคสตาร์ทอัพนั้น ประสบความสำเร็จและสามารถทำได้ตามเป้าที่วางเอาไว้ ทั้งในเรื่องของรายได้ และการตอบรับของลูกค้าที่เชื่อมั่นเทคโนโลยีเคลือบนาโน ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของเรา
บรรยากาศการทำงานในห้องปฏิบัติการ
“ช่วงตั้งไข่หรือ 1 ปีแรกของนาโน โค๊ตติ้ง เทคนั้น เรามุ่งเน้น B2B ที่เน้นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของเราเป็นสารเคลือบเซลล์แสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ กลุ่มเป้าหมายก็จะเป็นบริษัทที่มีเซลล์แสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ซึ่งก็สามารถสร้างการรับรู้ถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของเราที่แตกต่างและโดดเด่นจากของที่มีอยู่แล้วในตลาด ทำให้เรามีลูกค้ารายใหญ่จากอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมพลังงาน” ดร. ธันยกรกล่าว
สำหรับปีที่ 2 นาโน โค๊ตติ้ง เทค จะเริ่มขยายตลาดสู่ B2C หรือกลุ่มผู้บริโภคที่เป็น End Users เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น จึงต่อยอดผลิตภัณฑ์สารเคลือบเซลล์แสงอาทิตย์ที่เดิมเป็นขนาดอุตสาหกรรม ออกมาเป็นสเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2อิน1 ที่สามารถลดการยึดเกาะของฝุ่นและตะไคร่น้ำ สำหรับลูกค้าครัวเรือนโดยเฉพาะ
สเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2อิน1 (2-IN-1 ANTI-Dust & Algae/Moss Attachment Prevention NANO Spray) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถใช้งานได้เลย กับพื้นผิวเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ขนาดเล็กในบ้าน วัสดุก่อสร้างที่เป็นพื้นไม้ คอนกรีต พลาสติก ยกเว้นกระจกใส ซึ่งจะช่วยลดการยึดเกาะของฝุ่นและตะไคร่น้ำต่างๆ ช่วยยืดเวลาทำความสะอาดอีกด้วย
ทดสอบสเปรย์เคลือบ
ประสิทธิภาพกันน้ำหลังเคลือบ
เปรียบเทียบประสิทธิภาพกันน้ำ
ดร. พิศิษฐ์ คำหน่อแก้ว หัวหน้าทีมวิจัยนวัตรรมเคลือบนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน นาโนเทค สวทช. และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด กล่าวว่า สเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2อิน1 นั้น เป็นเพียง 1 ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่บริษัทฯ นำร่องเปิดตลาดลูกค้าทั่วไป ตามแผนกลยุทธ์การดำเนินงานของปีที่ 2 ที่เราจะลงทุนรับถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ในกลุ่มสารเคลือบนาโนเข้ามาเพิ่ม โดยเริ่มจากงานวิจัยภายในนาโนเทคที่โดดเด่นและมีความเป็นไปได้ทางการตลาดก่อน อาทิ หน้ากากอนามัยที่มีผ่านการเคลือบพิเศษ สารเคลือบสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ เป็นต้น
“ปีนี้ เราจะเห็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เข้าถึงคนทั่วไปมากขึ้น ทั้งที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีมา และนวัตกรรมที่บริษัทวิจัยและพัฒนาเอง โดยเราได้ทดลองตลาดสำหรับสเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2อิน1 ผ่านการออกบูทภายในงาน Asean Sustainable Energy Week 2023 ซึ่งผลตอบรับดี ลูกค้าให้ความสนใจ และมีแผนที่จะเข้าถึงคนหมู่มากผ่านการออกบูทในงานนิทรรศการต่างๆ ให้มากขึ้น พร้อมขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสำหรับ B2C ออกไปในกลุ่มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ เฟซบุ๊ค และยังมองถึงติ๊กต่อก (Tiktok) สำหรับช่องทางในอนาคตอีกด้วย” ดร. พิศิษฐ์ชี้
อย่างไรก็ดี ดร. พิศิษฐ์ กล่าวว่า เราเพิ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสำหรับ B2C เข้ามาในไลน์สินค้าของบริษัท แต่ก็ยังเป็นการทดลองตลาด โดยจะมีการประเมินหลังจากนี้ว่า ผลิตภัณฑ์ไหนมีการตอบรับที่ดีเพื่อวางแผนผลักดัน และขยายธุรกิจต่อไป แต่ทั้งนี้ หัวใจหลักของเราก็ยังคงเป็นกลุ่มสารเคลือบเซลล์แสงอาทิตย์ โดยความท้าทายคือ เราจะได้รับโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะในด้านการเคลือบผิววัสดุที่แตกต่างออกไปในแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงการเพิ่มฟังก์ชั่นกันน้ำ กันฝุ่น ยับยั้งเชื้อ รวมถึงในอนาคตที่อาจจะมีเรื่องการปกป้อง ป้องกันพื้นผิวที่เฉพาะเจาะจงสำหรับอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนอีกด้วย
สเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2 อิน 1
ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมภายใต้นาโน โค๊ตติ้ง เทค
สำหรับปีที่ 2 จากผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ ซึ่งคือ สารเคลือบผิวเซลล์แสงอาทิตย์ ดร. ธันยกรเผยว่า มีแผนจะขยายการรับรู้ถึงแบรนด์ หาลูกค้าให้มากขึ้น และขยายสู่ตลาดต่างประเทศ นำร่องที่เวียดนามในปีที่จะถึงนี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้เปลี่ยนจากเดิมที่มาจาก 2 ยูนิตในปีแรก คือ สารเคลือบผิวเซลล์แสงอาทิตย์ 50% และโซลูชั่นสำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (Solution for Industries) 50% เปลี่ยนเป็น สารเคลือบผิวเซลล์แสงอาทิตย์ 70% และโซลูชั่นสำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (Solution for Industries) ร่วมกับผลิตภัณฑ์ B2C 30% พร้อมทั้งจะลงทุนเพิ่มบุคลากรทีมขาย ซึ่งจะทำให้การทำงานในปีที่ 2 ของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตอบเป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ทางด้านสารเคลือบในแถบอาเซียนภายใน 5 ปีให้ได้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ไบโอเทค สวทช. – ม.เกษตรศาสตร์ “พัฒนาพันธุ์ข้าว” รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงานแสดงพันธุ์ข้าว “NSTDA-KU Rice Field Day 2023” เพื่อเผยแพร่สายพันธุ์ข้าวที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมวิกฤตต่าง ๆ ซึ่งพัฒนาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ องค์ความรู้ และนวัตกรรมปรับปรุงพันธุ์ข้าว
โดยภายในงานเปิดให้ผู้สนใจได้เยี่ยมชม ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม มีห้องปฏิบัติการวิจัยด้านข้าวแบบครบวงจร พร้อมเปิดให้เยี่ยมชมแปลงนาสาธิตพันธุ์ข้าวเพื่ออนาคตรับโลกรวนจากเอลนีโญ เช่น ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ตลอดจนต้านทานโรคและแมลงต่าง ๆ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์