ผลการค้นหา :

ผอ.สวทช. ร่วมเปิดงาน SynBio Consortium Advancing the Game Changer 2023 สร้างจุดเปลี่ยน และโอกาสใหม่ทางอุตสาหกรรม
(10 พฤศจิกายน 2566) ณ ห้อง Mayfair Grand Ballroom โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ – 22 หน่วยงาน ภายใต้ภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์แห่งประเทศไทย (Thailand Synthetic Biology Consortium) ร่วมจัดงานประชุม SYNBIO Consortium ประจำปี 2566 หัวข้อ Advancing the ‘Game Changer’ โดยมุ่งหวังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology Technology) ของหลายภาคส่วน เช่น ภาคเอกชนทั้งที่เป็น start up และขนาดใหญ่ ภาครัฐที่มีบทบาทกำหนดนโยบาย การส่งเสริมกำลังคน และเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ กิจกรรมพบปะพูดแลกเปลี่ยนระหว่าง startup ผู้สนับสนุน นักลงทุนด้าน SynBio ตลอดจนบูทแสดงผลิตภัณฑ์ด้าน SynBio โดยมี คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดงาน ร่วมด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และนักวิจัยไบโอเทค นำโดย ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ร่วมในงาน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า งานประชุมภาคีเครือข่ายด้านชีววิทยาสังเคราะห์ ประจำปี พ.ศ. 2566 หรืองาน SynBio Cosirtium จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ในหัวข้อ Advancing the ‘Game Changer’ เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันอุตสาหกรรมชีวภาพให้เกิดขึ้นในประเทศและเป็นไปได้อย่างยั่งยืน โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ส.อ.ท. ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และบรรจุใน ONE FTI เพราะนอกเหนือจากกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม คือ First Industry จากเกษตรกรรมมาอุตสาหกรรม แล้ว ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ คือ Next Gen Industry เช่น BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ โดยอุตสาหกรรมชีววิทยาสังเคราะห์นับเป็นแนวโน้มที่ทั่วโลกกำลังขับเคลื่อนไปทางเดียวกัน ซึ่ง ส.อ.ท. มีนโยบาย BCG in action ด้วยการตั้งโครงการสำคัญนำร่องใน 8 อุตสาหกรรม เช่น การนำไบโอมาทำยารักษาโรค ไบโอพลาสติก เครื่องสำอาง เครื่องใย สิ่งทอ เชื้อเพลิง ไบโอเคมีคอล และไบโอฟู้ด เป็นต้น ซึ่ง 8 อุตสาหกรรมนำร่อง ได้มีการนำเอาภาค demand กับ supply มาเจอกัน โดย ส.อ.ท. เชื่อว่า การรวมพลังกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ รวมถึงทุกภาคส่วน จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจได้ และคาดหวังให้งานนี้จะช่วยพลิกโอกาสของโลกและวิกฤตต่าง ๆ ให้เป็นของประเทศไทย เป็น game changer ตัวจริงได้ต่อไป
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า Synthetic Biology เป็นแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมาแรงในกระแสโลก ที่ช่วยลดการพึ่งพาวิถีการทำเกษตรกรรม ปศุสัตว์ การผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้พื้นที่และทรัพยากรมหาศาล ที่สุดท้ายก่อให้เกิดขยะ มลพิษ และผลกระทบอื่น ๆ ต่อสิ่งแวดล้อมจนเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดภาวะโลกรวน ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชน ในนามภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์แห่งประเทศไทย (Thailand Synthetic Biology Consortium) ได้ร่วมมือกัน โดยปีนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ทำให้เกิดกิจกรรมจากการดำเนินงานเชิงรุกภายในเครือข่าย อาทิ การสร้าง SynBio Academy เพื่อสร้างกำลังคนทั้งรูปแบบ degree และ non-degree ป้อนเข้าสู่สถาบันวิจัยและภาคอุตสาหกรรมการลงทุนหน่วยรับจ้างพัฒนาและผลิตระดับอุตสาหกรรม (Contract Development and Manufacturing Organization: CDMO) การจัดทำแผนพัฒนา Biofoundry โครงสร้างพื้นฐานด้าน SynBio และการทำ Business Matching ภายในเครือข่ายเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และส่งเสริมให้เกิดธุรกิจนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยี SynBio ในกลุ่ม Biorefinery และการแพทย์ งานนี้นับเป็นงานที่มาร่วมอัพเดทความรู้ และมาสร้างเครือข่ายนักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ ในประเทศได้ และก่อให้เกิดอุตสาหกรรมชีววิทยาบนฐาน BCG นอกจากนี้ สวทช. กำลังดำเนินโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ในเขตนวัตกรรมพิเศษ EECi ด้วยเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงกับ SynBio Cosirtium ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ดร.วรรณพ ผอ.ไบโอเทค ร่วมเป็นหนึ่งในวิทยากรเสวนาเรื่อง โอกาสของธุรกิจด้านชีววิทยาสังเคราะห์ ช่วงที่ 3: การสนับสนุนจากภาครัฐ และ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผอ.กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ให้ข้อมูล เรื่อง Advancing Synbio with Biorefinery Pilot Plant by NSTDA
จากผลประชุมในครั้งนี้จะช่วยขยายเครือข่ายทั้งในกลุ่มมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย ภาคเอกชน และภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เกิดกิจกรรมที่มีส่วนร่วมระหว่างองค์กรในเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง และสร้างความความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์ของประเทศ เพื่อยกระดับงานวิจัยและดึงดูดการลงทุนด้าน SynBio ในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่เวทีระดับนานาชาติได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์

อบรมเชิงปฏิบัติการ Smart Farming Smart Branding คิด สร้าง ขาย
เปิดรับสมัครเข้าร่วมอบรมหลักสูตร Smart Farming Smart Branding คิด สร้าง ขาย
เรียนรู้การตลาด การสร้างแบรนด์ในธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ การออกแบบ-วางระบบน้ำในแปลงและประยุกต์ใช้กับระบบสมาร์ท
30 พ.ย.-1 ธ.ค. 66 เวลา 8.30-16.00 น. ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
รับ 30 ท่านเท่านั้น ค่าลงทะเบียน 1,500 บาท
สมัครได้ที่ https://shorturl.at/DGRU0
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ คุณณัฐชยา โทร. 097 1979009
ปฏิทินกิจกรรม

ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ด้วยแพลตฟอร์ม FoodSERP
สวทช. ร่วมกับ สมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS) ลงนามความร่วมมือ “การพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เวชสำอาง” พร้อมจัดงานเสวนาเรื่อง “ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามด้วย FoodSERP for sustainable health and beauty” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในการร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามของไทย ด้วยการใช้ประโยชน์จาก FoodSERP แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันของ สวทช.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

ผู้อำนวยการ สวทช. ได้รับคัดเลือกเป็นประธานสมาพันธ์องค์การวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ (Alliance of International Science Organizations: ANSO)
For English-version news, please visit : NSTDA President appointed as the President of the Alliance of International Science Organizations (ANSO)
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ณ นครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ประชุม The 6th ANSO Governing Board (GB) และที่ประชุม The 3rd ANSO General Assembly (GA) ได้มีมติให้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำรงตำแหน่ง ประธานสมาพันธ์องค์การวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ (The Alliance of International Science Organizations (ANSO)) หรือ ANSO President ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี (ค.ศ. 2024-2026)
โดยคณะกรรมการบริหารฯ (GB) ชุดใหม่จะประกอบด้วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธาน ผู้อำนวยการ Chinese Academy of Sciences และ Brazilian Academy of Sciences บราซิล ดำรงตำแหน่งรองประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการเป็นผู้นำ หน่วยงานวิทยาศาสตร์อีก 6 หน่วยงาน คือ Scientific and Technological Research Council of Türkiye (TUBITAK) ตุรกี, National Research Center อียิปต์, COMSATS (องค์กรนานาชาติ), Serbian Academy of Sciences and Arts เซอร์เบีย, Mongolian Academy of Sciences มองโกเลีย, และ National Academy of Science and Techniques of Senegal เซเนกัล เพื่อเป็นการเริ่มงานได้ในทันทีหลังจากได้รับการแต่งตั้ง คณะกรรมการบริหาร ANSO ชุดใหม่ ได้จัดการประชุม The 7th ANSO Governing Board (GB) เพื่อวางแผนการดำเนินงานและยุทธศาสตร์ของ ANSO ในอนาคต เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
การดำรงตำแหน่ง ANSO President ของ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นการดำรงตำแหน่งประธานสมาพันธ์ฯ คนที่ 2 ต่อจาก ผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (The Chinese Academy of Sciences: CAS) โดย ANSO เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร มีเป้าหมายที่จะปรับปรุงขีดความสามารถในระดับภูมิภาคและระดับโลกในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การดำรงชีวิตของมนุษย์ และความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในวงกว้าง ตั้งแต่ก่อตั้งสมาพันธ์ฯ เมื่อปี ค.ศ. 2018 จนถึงปัจจุบัน ANSO ได้มีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การให้ทุนสนับสนุนโครงการวิจัย การจัดกิจกรรมพัฒนาเครือข่าย การสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาและนักวิจัยที่โดดเด่นจากประเทศกำลังพัฒนาในการประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นงบประมาณดำเนินงานรวมแล้วประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน ANSO มีสมาชิกทั้งหมด 78 หน่วยงาน จาก 55 ประเทศ ประกอบด้วยหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้ง academy of sciences, research councils, มหาวิทยาลัย, องค์กรวิทยาศาสตร์ (S&T organizations), และองค์กรนานาชาติ สำหรับประเทศไทย มีองค์กรสมาชิกทั้งหมด 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ นอกจาก สวทช. แล้ว สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดย รองศาสตราจารย์ ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ รองผู้อำนวยการ สกสว. ได้เข้าร่วมการประชุม GA ในฐานะหน่วยงานสมาชิกของ ANSO ด้วย
การดำรงตำแหน่ง ANSO President ของผู้อำนวยการ สวทช. ในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสดีของประเทศไทย โดยกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้ง สวทช. และ สกสว. ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิก ANSO จะได้ร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในระดับสากล ซึ่งในการประชุม The 3rd ANSO General Assembly (GA) ทั้ง สวทช. และ สกสว. ได้ร่วมกันกล่าวถ้อยแถลงการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทยเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมกันนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้มีการหารือถึงแนวทางการพัฒนา ANSO ทั้งทางด้านกลยุทธ์และการจัดลำดับความสำคัญในการแก้ปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญจากความก้าวหน้าเทคโนโลยี เช่น climate change, natural resource management, environmental protection, natural disasters, water security, agriculture and food security, ecosystem and biodiversity conservation, bio-safety, energy security และ big data รวมถึงการบริหารจัดการสมาพันธ์ฯ
ข่าวประชาสัมพันธ์

ส.อ.ท. ยกทีมสื่อ เยี่ยมชม สวทช. ภายใต้คอนเซปต์ “New S-Curve” เทคโนโลยี-นวัตกรรมอุตฯ แห่งอนาคต ผลักดัน ศก. ไทย
วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2566) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมคณะผู้บริหาร ส.อ.ท. นำคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หน่วยงานภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อศึกษาและเรียนรู้เทคโนโลยี นวัตกรรมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สำหรับเป็นกลไกผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
[caption id="attachment_48559" align="aligncenter" width="2560"] นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)[/caption]
ในช่วงแรก นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ได้ให้เกียรติกล่าวบรรยายภายใต้หัวข้อ “การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยไปสู่ New S-Curve” โดยกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับพายุลูกใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 1) GDP ไตรมาส 2/2566
ที่ขยายตัวเพียง 1.8% 2) มูลค่าการส่งออก 8 เดือนแรกปี 2566 หดตัว 4.5% 3) หนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/2566 เพิ่มขึ้นเป็น 90.6% (ไม่รวมหนี้นอกระบบอีก 19.8%) หนี้เสียหรือ NPL (Non-performing Loan) ไตรมาส 2 ทะลุ 1 ล้านล้านบาท 4) ผลกระทบจาก “เอลนีโญ” และปัญหาอุทกภัย 30 จังหวัด และปริมาณฝนสะสมบางพื้นที่ต่ำกว่าระดับปกติ ทำให้มีความเสี่ยงภัยแล้งในปี 2567 และ 5) อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับเป็น 2.50% สูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นต้น ซึ่งความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เตรียมพร้อมรับมือผ่านแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง
“ท่ามกลางความท้าทาย ส.อ.ท. ยังคงเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) 45 กลุ่มอุตสาหกรรม (11 คลัสเตอร์) 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด (5 ภาค/คลัสเตอร์จังหวัด) ผ่านแนวทางการเปลี่ยนแปลง 4 ด้าน ได้แก่ 1) เปลี่ยนจากผู้รับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทที่จะไปขายในแบรนด์ของตัวเอง (OEM) เป็นผู้รับจ้างที่ออกแบบและผลิตสินค้าให้กับบริษัทที่จะไปขายในแบรนด์ของตัวเอง (ODM) / ผู้ขายสินค้าที่ผลิตโดยผู้อื่นภายใต้แบรนด์ของตัวเอง (OBM) 2) เปลี่ยนจากการใช้แรงงานเป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเครื่องจักรและระบบ Automation 3) เปลี่ยนการผลิตเพื่อกำไรเป็นการผลิตที่ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม และ 4) เปลี่ยนจากแรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled labor) เป็นแรงงานที่มีทักษะสูง (High-skilled labor) พร้อมกันนี้ ส.อ.ท. ยังพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ที่ประกอบด้วย 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curves) การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย BCG (Bio-Circular-Green Economy) และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”
เพื่อตอบโจทย์การดำเนินงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curves) ทาง ส.อ.ท. มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล ผ่านการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation 4.0) การขับเคลื่อนการสร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม (IDE) รายอุตสาหกรรม/ภูมิภาค รวมทั้งการออกมาตรการส่งเสริมภาคเอกชนให้เกิดการซื้อสินค้าในบัญชีนวัตกรรม
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการส่งออก การค้า และสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curves โดยเร่งสร้างกลไกและแผนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-Curves เร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับสินค้า Made in Thailand (MiT) และปกป้องสินค้าไทยโดยการควบคุมสินค้านำเข้าที่ไม่ได้คุณภาพ
[caption id="attachment_48560" align="aligncenter" width="2560"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
จากนั้น ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้เกียรติกล่าวต้อนรับคณะฯพร้อมบรรยายแนะนำ สวทช. เกี่ยวกับบทบาทและการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุน BCG Economy Model ว่า “สำหรับ BCG สวทช. เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ BCG ของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับ ESG และ SDGs แนวทางการขับเคลื่อนให้การให้เติบโตของโลกอย่างสมดุล ทั้งนี้การจะเข้าสู่ SDGs หรือ ESG แต่ละประเทศบริบทไม่เหมือนกัน ประเทศไทยถือว่ามีจุดเด่นด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และผลผลิตทางการเกษตรอยู่แล้ว ดังนั้นการเติบโตด้าน Bioeconomy มีได้สูง ขณะเดียวกันเรื่อง Circular economy และ Green economy เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อลดการใช้ทรัพยากร และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดจะเป็นไปได้ด้วยฐานของเทคโนโลยี เพราะจะเปลี่ยนแปลงจากอุตสาหกรรมปัจจุบัน ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ต้องใช้เทคโนโลยีเสมอ ซึ่ง BCG ก็คือกลไกการขับ New S-Curves ของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
“อย่างไรก็ตาม BCG หรือ Bio-Circular-Green เป็นคำใหญ่ แต่คีย์เวิร์ดคือ Economy ดังนั้น BCG economy เรากำลังจะบอกว่าอนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ทั้งประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจประเทศไทยจะโตขึ้น วิสัยทัศน์ 4 ด้านที่ต้องเดินหน้า คือ 1.ต้องสร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ 2.การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากต้องโตอย่างเข้มแข็ง 3.เทคโนโลยีใหม่ต้องถูกนำมาใช้ เพื่อสร้างความสามารถในการสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และ 4.ต้องยกระดับอุตสาหกรรม BCG ให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน สร้างนวัตกรรมพรีเมียม และให้ของเสียเป็นศูนย์
ทั้งนี้ด้วยตัวอุตสาหกรรม BCG นั้น จะทำให้มีอุตสาหกรรมใหม่เกิดขึ้น คือ Circular-Green economy ซึ่งหลายอุตสาหกรรมกำลังปรับแปลงอุตสาหกรรมของตนเองให้รักษ์โลกมากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง และจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ดีขึ้นช่วยสร้างเศรษฐกิจด้วยตัวเอง”
ภายหลังจากการบรรยายคณะทำงาน สวทช. นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้นำคณะผู้บริหาร ส.อ.ท. พร้อมสื่อมวลชน เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมและโรงงานต้นแบบ ซึ่งประกอบด้วยโรงงานผลิตพืช (Plant factory) โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (Food & Feed Innovation Center) และโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (BIOTEC Pilot Plant)
สำหรับโรงงานผลิตพืช (Plant factory) ถือเป็นต้นแบบการผลิตพืช นำประเทศไทยเข้าสู่ฐานการผลิตสาระสำคัญของสมุนไพรแบบพรีเมียมเกรดที่มีมูลค่าสูง ยกระดับการเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่การเกษตรแบบแม่นยำ
สวทช. ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยชิบะ ประเทศญี่ปุ่น โดยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. มุ่งเป้าใช้ Plant factory เทคโนโลยีที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ที่ผลิตสารสำคัญต่าง ๆ เพิ่มมูลค่าการส่งออกและนำไปสู่การพัฒนายา เวชสำอาง และอาหารเสริมสุขภาพ เทคโนโลยีโรงงานผลิตพืช เป็นการปลูกพืชในระบบปิด ควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช เช่น แสง อุณหภูมิความชื้น แร่งธาตุ ต่างๆ รวมถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีการใช้แสงจากหลอดแอลอีดี ซึ่งสามารถออกแบบเลือกสี และความยาวคลื่นแสง ที่เหมาะกับพืชแต่ละชนิดช่วยให้พืชสร้างสารสำคัญเชิงหน้าที่ หรือสมบัติพิเศษตามความต้องการ พืชที่ปลูกใน Plant factory โตเร็ว ระยะเวลาเก็บเกี่ยวสั้นลง สามารถเพิ่มผลิตได้มากถึง 10 เท่า และที่สำคัญคือปราศจากเชื้อโรคและแมลงโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี ช่วยสร้างจุดแข็งให้กับประเทศในการขับเคลื่อน
ในส่วนของโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ได้มีการพัฒนานวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย โดยพัฒนาสารสกัดสมุนไพรสู่การผลิตสูตรตำรับเครื่องสำอาง และมีการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การสกัดสารสำคัญด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาสูตรตำรับเครื่องสำอาง การให้บริการขยายขนาดการผลิตและทดลองผลิตด้วยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอางที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน GMP ตลอดจนการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดและความปลอดภัยของสูตรตำรับเครื่องสำอาง
ต่อมา คณะฯ ได้เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (Food & Feed Innovation Center) ห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ครบวงจร ตั้งแต่การคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การพัฒนาต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ที่ได้พัฒนาขึ้นแล้วไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ การทดสอบและพัฒนาระบบการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม และการประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ผลงานวิจัยสามารถถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ปิดท้ายด้วยการเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตอาหารในระดับกึ่งอุตสาหกรรม ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร และสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ เปิดให้บริการการวิจัยด้านการพัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตในระดับโรงงานต้นแบบ ทั้งการผลิตวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจรตามมาตรฐานสากล Codex GHPs และ HACCP ตามแนวทางปฏิบัติที่ดีในการใช้จุลินทรีย์ในระดับอุตสาหกรรมหรือ GILSP ที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการหมักจุลินทรีย์และกระบวนการปลายน้ำ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบสำหรับทดลองตลาด การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์การให้คำปรึกษาและฝึกอบรมโดยทีมสหสาขาที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่จะช่วยเพิ่มความพร้อมของเทคโนโลยี ช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการในการลงทุนเครื่องมือมูลค่าสูง เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ไปพร้อมๆ กับการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์
----------------------------------------------------------------------------------------------
เผยแพร่โดยฝ่ายสื่อสารองค์กร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โทร. 02-345-1051
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

BCG เครื่องมือแพทย์ มอบเครื่อง DentiiScan Duo ให้ รพ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เพื่อบริการประชาชน
For English-version news, please visit : NSTDA presents DentiiScan Duo to Laemsing Hospital
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จ.จันทบุรี: ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะนักวิจัย จากทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์ (MIS), A-MED ได้ร่วมกันมอบเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับงาน ทันตกรรม หรือ DentiiScan Duo (เดนตีสแกน รุ่นดูโอ)
ภายใต้ โครงการสร้างความเชื่อมั่นเครื่องมือแพทย์ไทยให้ โรงพยาบาลแหลมสิงห์ เพื่อบริการประชาชน โดยมี นายแพทย์ณัฐกาญจน์ วิเศษฤทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแหลมสิงห์ และทันตแพทย์วันชนะ สว่างหล้า เป็นผู้รับมอบ ซึ่งคณะกรรมการผู้พิจารณาได้เล็งเห็นว่า แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลแหลมสิงห์ มีความตั้งใจและมีความพร้อมที่จะใช้เครื่อง DentiiScan Duo ให้บริการประชาชนอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งมีการให้บริการทันตกรรมรากฟันเทียมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 คณะนักวิจัยได้ติดตั้งและอบรมการใช้งานเเครื่อง DentiiScan Duo ที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ถึง 2 พฤศจิกายน 2566
เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับงานทันตกรรม DentiiScan Duo วิจัยพัฒนาขึ้นมา โดยทีมวิจัย MIS, ศูนย์เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. เพื่อรองรับการติดตั้งใช้งานในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีขนาดพื้นที่จำกัด ตอบสนองความต้องการฟังก์ชันการถ่ายภาพรังสีบริเวณช่องปากทั้งสองมิติและสามมิติ สามารถถ่ายภาพเอกซเรย์สองมิติแบบพาโนรามิก หรือ ถ่ายภาพรังสีปริทัศน์ (Panoramic Radiography) และถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบลำรังสีทรงกรวย (CBCT หรือ Cone-Beam CT) เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการผ่าตัดบริเวณช่องปากและใบหน้า อาทิเช่น ทันตกรรมรากฟันเทียม (Dental Implant), การผ่าตัดฟันคุดและฟันฝัง, ทันตกรรมรักษารากฟัน (Endodontics) และการรักษาทางทันตกรรมทั่วไป
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์

นาโนเทค สวทช. คว้ารางวัลชนะเลิศ TechBiz Starter 2023 สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม
(2 พฤศจิกายน 2566) ณ UOB Plaza Bangkok ห้อง Auditorium ชั้น 5 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี Business Innovation Center (BIC) จัดกิจกรรม “Pitching & Meet Investors” ภายใต้โครงการ “สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter)” ประจำปี 2566 พร้อมประกาศรางวัล TechBiz Starter Funds ซึ่งปีนี้ได้รับการสนับสนุนทุนรางวัลจากบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เจเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อสนับสนุนและต่อยอดกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นดำเนินธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้สามารถสร้างรากฐาน ดำเนินธุรกิจอย่างมีทิศทางและสร้างโอกาสขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า สวทช. เล็งเห็นความสำคัญในการต่อยอดธุรกิจ จึงจัดให้มีกิจกรรม Pitching Business Model ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญ ที่จะสร้างโอกาสและประสบการณ์ทางธุรกิจ ได้นำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการที่เป็นนักลงทุน นักธุรกิจผู้มีประสบการณ์ในการเริ่มต้นและพัฒนาธุรกิจ อาทิ บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีนเนอร์ยี่ เทคโนโลยี จำกัด, บริษัท กรีนร็อกเกต วีซี จำกัด, บริษัท มีเดีย รีพับบลิค จำกัด, บริษัท จันวาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท แมกซ์ เวนเจอร์ส จำกัด และองค์กร นิวเอนเนอร์จี้ เน็กซัส (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น
ทั้งนี้ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ/นักวิจัยที่สนใจจะสร้างหรือขยายธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรม ตลอดจนผู้สนใจที่มีผลิตภัณฑ์ต้นแบบและต้องการจัดตั้งธุรกิจ ให้มีการวางแผนดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบและเติบโตได้อย่างยั่งยืนจึงร่วมกับองค์กรพันธมิตรข้างต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการนำเสนอโมเดลธุรกิจที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ต่อไป
“สำหรับปีนี้ทาง สวทช. ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในการสนับสนุน Startup อีกหนึ่งกำลังสำคัญได้แก่ New Energy Nexus ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่ช่วยบ่มเพาะและสนับสนุนการสร้าง ผู้ประกอบการ Startup ด้านเทรนด์เทคโนโลยีกับสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) ในทุกระดับ ให้สามารถเข้าถึงความรู้เชิงลึกจากวงการ Startup ทั่วโลก ให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเงินทุน เข้าถึงเทคโนโลยี ผ่านโครงการต่าง ๆ ขององค์กรได้รวมไปถึงจัดให้มีกิจกรรมพบที่ปรึกษาแนะนำแนวทางในการประกอบธุรกิจ จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรงเฉพาะด้าน กิจกรรมพบผู้เชี่ยวชาญราย Sectors ศึกษาดูงานแยกตามกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย BCG 5 กลุ่ม ดังนี้ ธุรกิจดิจิตอลซอฟต์แวร์ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจสื่อสาร ธุรกิจด้านอาหาร โดยนำแนวคิดการประกอบธุรกิจมาปรับใช้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเพิ่มโอกาสการประสบความสำเร็จทางธุรกิจในอนาคต การถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนแนวความคิดระหว่างผู้เข้าร่วมอบรม ซึ่งกลยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถเป็นพื้นฐานในการจัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิดที่เป็นระบบ”
นางศันสนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางในการดำเนินการโครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter 2566) ทาง BCI ได้เน้นกระบวนการฝึกอบรมด้านการบริหารจัดการ และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ด้วยหลักสูตรดังกล่าวข้างต้นกว่า 66 ชั่วโมง เพื่อให้ได้แผนธุรกิจรายบุคคลที่พร้อมใช้งานได้จริง และสามารถเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจในขั้นต่อไปและการพัฒนาธุรกิจให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ โดยผ่านช่องทางเครือข่ายหน่วยงานของ สวทช. และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ โอกาสในการออกงานนิทรรศการแสดงสินค้าต่าง ๆ โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโอกาสในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมกับความต้องการในการเริ่มดำเนินธุรกิจหรือขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับกิจกรรม “Pitching & Meet Investors” มีผู้ประกอบการ 22 รายที่ผ่านการคัดเลือก และคณะกรรมการได้คัดเลือกผลงานที่ได้รับคะแนนสูงสุด เพื่อรับรางวัล TechBiz Starter Funds
โดย รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. จากผลงานชุดทดสอบการฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันไอน้ำ รับเงินรางวัลจำนวน 30,000 บาท และรับรางวัล Investor Awards 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นายณัฐพงศ์ ซื่อวิริยพันธุ์ บริษัท แพค เทคโนเวชั่น จำกัด จากผลงานระบบบริหารจัดการระบบผลิตน้ำร้อนและการใช้พลังงานแบบดิจิทัล รับเงินรางวัล จำนวน 20,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 นายฐานันต์ แก้วดิษฐ์ บริษัท ไวท์ ไท เกอร์ คิง จำกัด จากผลงาน นมถั่วลายเสือ รสโยเกิร์ตชนิดผง รับเงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท
ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. เปิดเผยภายหลังได้รับรางวัลชนะเลิศ ว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่คณะกรรมการเห็นคุณค่าในผลงานที่ตนตั้งใจพัฒนาและมุ่งมั่นทำมาอย่างยาวนาน การได้รับรางวัลในครั้งนี้ถือเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งตนจะพยายามพัฒนาผลงานชิ้นนี้ต่อไป และจะผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จริงในอนาคต
“ในฐานะเป็นนักวิจัย Techbiz Starter เป็นโครงการที่ช่วยให้มีมุมมองว่าจะทำงานวิจัยอย่างไรให้ตอบโจทย์ภาคเอกชนมากขึ้น การเข้าร่วมโครงการนี้เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้การทำ Market Research ทำให้เราสามารถออกแบบผลงานตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ตรงจุดอย่างแท้จริง รวมทั้งได้ศึกษาเรียนรู้การทำงบการเงิน เพื่อดูว่าผลงานที่เราพัฒนาขึ้นมีความเป็นไปได้ในทางธุรกิจหรือไม่ และยังได้เรียนรู้เรื่องการขยายตลาดด้วย ถือเป็นการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ในอนาคต และการมา Pitching บนเวทีครั้งนี้ยังถือเป็นตัวเชื่อมให้ได้พบกับภาคเอกชนที่มีความสนใจในเทคโนโลยีของเรา อีกทั้งยังได้รับคำแนะนำเชิงธุรกิจจากคณะกรรมการสามารถนำไปต่อยอดผลงานได้อีกด้วย” ดร.จีราพร กล่าว
“สำหรับชุดตรวจใช้แล้วทิ้งสำหรับทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันไอน้ำ ASSURE เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและพัฒนาขึ้นภายในประเทศ มีต้นทุนการผลิตต่ำ ได้มาตรฐาน ISO 13485 ใช้งานง่าย ตรวจวัดผลได้แม่นยำ มีประสิทธิภาพเทียบเท่าผลิตภัณฑ์นำเข้าที่มีราคาแพง สามารถนำไปใช้ในโรงพยาบาล คลินิก ห้องปฏิบัติการ และภาคอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ เพื่อช่วยให้ทราบผลและมีหลักฐานแสดงการตรวจสอบหม้อนึ่งฆ่าเชื้อความดันไอน้ำ โดยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสะดวกสบาย ในการอ่าน เก็บรักษา และนำส่งผล ไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องผ่าน Application บนโทรศัพท์มือถือ โดยการสแกน QR Code บนชุดตรวจแต่ละชิ้น ซึ่งไม่เหมือนกับชุดตรวจนำเข้าอื่นๆ ที่ต้องอ่านและบันทึกผลด้วยเครื่องอ่านเฉพาะที่มีราคาแพง” ดร.จีราพร กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร’ เตรียมจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ASEAN-ASSET 2023 ผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยหนุนครัวไทยสู่ครัวโลก
For English-version news, please visit : NSTDA’s joint research center on a mission to enhance food security
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มจำนวนของประชากรโลก รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก ไม่ว่าจะเป็นมิติด้านภาวะขาดแคลนอาหารกระจายตัวอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลก หรือการผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้เพียงพอต่อความต้องการและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซึ่งล้วนเป็นความท้าทายของนานาประเทศที่ต้องการแก้ปัญหาร่วมกัน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Queen’s University Belfast (QUB) สหราชอาณาจักร จัดตั้งศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security หรือ IJC-FOODSEC) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตงานวิจัยระดับโลกที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคอาเซียน ล่าสุดเตรียมจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ASEAN-ASSET 2023: Global Summit on the Future of Future Food ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปเอเชีย เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความตระหนักในเรื่องความมั่นคงของอาหารเพื่ออนาคต
[caption id="attachment_48543" align="aligncenter" width="700"] ศ.ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิจัยอาวุโส ไบโอเทค สวทช. ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร และศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัย Queen’s University Belfast[/caption]
ศ.ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร และศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัย Queen’s University Belfast กล่าวว่า ความมั่นคงทางอาหารเป็นประเด็นใหญ่ระดับโลกที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ แม้ว่าประเทศไทยจะมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตทางการเกษตรมากมาย แต่ที่จริงแล้วไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความไม่มั่นคงทางอาหาร เพราะความมั่นคงทางอาหารไม่ใช่แค่มีอาหารเพียงพอ แต่ต้องเป็นอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการด้วย อีกทั้งประเทศไทยยังตั้งเป้าที่จะเป็นครัวของโลก ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญกับสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เพื่อให้ผลิตได้เพียงพอ ด้วยวิธีที่ปลอดภัยและยั่งยืน
“ต่างชาติชื่นชมและชื่นชอบอาหารไทยมาก เราใช้อาหารไทยเป็นทูต เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ชวนให้เขาอยากมาเที่ยวเมืองไทย ทำไมเขาถึงเลือกรับประทานอาหารไทย เพราะนอกจากอาหารไทยอร่อยแล้ว เขายังมั่นใจในคุณภาพด้วย หรือเมื่อไปซูเปอร์มาร์เก็ตเขาก็จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มาจากประเทศไทยเพราะเขามั่นใจในคุณภาพแม้ว่าจะราคาสูงกว่าที่มาจากประเทศอื่น อย่างเช่น กุ้ง กุ้งไทยเป็นกุ้งที่อร่อยและมีคุณภาพดีกว่ากุ้งของที่อื่น เพราะเราเลี้ยงด้วยอาหารที่มีคุณภาพแตกต่างจากคนอื่น เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ทั่วโลกมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกว่าตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร ตั้งแต่เป็นผลิตภัณฑ์การเกษตรจนไปถึงเป็นอาหาร มีความปลอดภัย มีคุณภาพ และมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างที่ทุกคนต้องการ โดยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปช่วย”
ที่ผ่านมา ไบโอเทค สวทช. มีความร่วมมือกับ Queen’s University Belfast ซึ่งมีความเป็นเลิศด้านการเกษตรและอาหารในระดับโลก ในการวิจัยและพัฒนาบุคลากรด้านความปลอดภัยทางอาหารมายาวนานกว่า 10 ปี และในปี 2565 ได้ขยายความร่วมมือสู่การจัดตั้ง ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยมีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นอีกหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ สร้างความเข้มแข็งด้านการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะ มีความรู้ความสามารถพร้อมสำหรับทำงานในภาคอุตสาหกรรม
[caption id="attachment_48544" align="aligncenter" width="700"] ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร หรือ IJC-FOODSEC ความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค สวทช. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Queen’s University Belfast[/caption]
“ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารทำให้เรามีเครือข่ายทั้งในเอเชียและยุโรป สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ความเชี่ยวชาญ อย่างเราเชี่ยวชาญเทคโนโลยีการเลี้ยงกุ้ง เขาก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงสัตว์น้ำอื่นได้ หรือเราอาจจะนำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของอาหารในแป้งสาลีของเขามาประยุกต์ใช้กับข้าวหรือผลิตภัณฑ์อื่นของเราได้ นอกจากนี้ศูนย์วิจัยฯ ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงงานวิจัยไปสู่ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ต้องการได้ง่ายขึ้น รวมถึงสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญในการเป็นที่ปรึกษาให้แก่ภาคอุตสาหกรรม” ศ.ดร.นิศรา กล่าว
[caption id="attachment_48546" align="aligncenter" width="700"] ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (IJC-FOODSEC) มีเครือข่ายความร่วมมือทั้งในเอเชียและยุโรป[/caption]
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารมุ่งวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิต เพื่อลดการสูญเสียระหว่างกระบวนการและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลกำไร รวมทั้งมุ่งวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตรและทรัพยากรชีวภาพในประเทศและศึกษาด้านความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะในเรื่องสารพิษจากรา เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการในประเทศไทยและอาเซียนให้มีศักยภาพในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการผลิตและการส่งออกอาหารในระดับโลก
[caption id="attachment_48545" align="aligncenter" width="700"] ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (IJC-FOODSEC) มีความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องมือวิจัยที่ทันสมัย[/caption]
ศ.ดร.นิศรา กล่าวว่า ตัวอย่างเทคโนโลยีและงานวิจัยที่พัฒนาโดยนักวิจัยภายใต้ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารหลายเทคโนโลยีที่พร้อมถ่ายทอดสู่ภาคอุตสาหกรรม อาทิ เทคโนโลยีชีวภัณฑ์ (biocontrol technology) ชีวภัณฑ์สำหรับควบคุมโรคพืชรวมทั้งย่อยสลายสารเคมีตกค้างในดินทางการเกษตร เทคโนโลยี MycoSMART ชุดตรวจสารพิษจากเชื้อราในอาหารหรือวัตถุดิบการเกษตรด้วยเทคนิคไมโครอะเรย์ที่ตรวจสารพิษจากราได้หลายชนิดพร้อมกัน และเทคโนโลยี Agri-Mycotoxin binder วัสดุลดสารพิษจากราในอาหารสัตว์ เช่น อะฟลาท็อกซิน บี1 (Aflatoxin B1) ซีราลีโนน (Zearalenone) โอคราท๊อกซิน เอ (Ochratoxin A) ฟูโมนิซิน บี1 (Fumonisin B1) และดีอ็อกซีนิวาลีนอล (Deoxynivalenol)
[caption id="attachment_48547" align="aligncenter" width="500"] ‘MycoSMART ชุดตรวจสารพิษจากเชื้อราในอาหารหรือวัตถุดิบการเกษตร’ ตัวอย่างผลงานวิจัยเด่นของ IJC-FOODSEC[/caption]
“นอกจากนี้ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารกำลังจะจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ASEAN-ASSET 2023 : Global Summit on the Future of Future Food ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปเอเชีย เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความตระหนักในเรื่องความมั่นคงของอาหารเพื่ออนาคต โดยมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ อาทิ วิธีการจัดหาอาหารกลุ่มโปรตีนทางเลือกผ่านการคิดเชิงนวัตกรรม การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสนับสนุนการผลิตอาหารเพื่ออนาคต และความปลอดภัยของอาหารเพื่ออนาคตจากแหล่งต่างๆ หวังว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นเวทีสำคัญในระดับนานาชาติที่จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการผลิตอาหารของโลกที่มีความเพียงพอ ปลอดภัยและยั่งยืน”
ผู้สนใจร่วมงานสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.biotec.or.th/asean-asset2023/ หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 08 2198 9699 หรือ info.asean.asset2023@gmail.com, asean-asset2023@biotec.or.th
[caption id="attachment_48548" align="aligncenter" width="1000"] งานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ASEAN-ASSET 2023: Global Summit on the Future of Future Food จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ[/caption]
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

ขอเชิญผู้ประกอบการ Startups และ SMEs เข้าร่วมงาน Entrepreneur Day (E-Day) 2023 (หมดเขต 8 พฤศจิกายน 2566)
สวทช. ขอเชิญผู้ประกอบการ Startups และ SMEs เข้าร่วมงาน Entrepreneur Day (E-Day) 2023 ในวันที่ 7-8 ธันวาคม 2566 ที่ Hong Kong Convention & Exhibition (HKCEC) ภายในงานประกอบด้วยการจัดแสดงเทคโนโลยีและสินค้าเชิงนวัตกรรมจากทาง Start-ups และ SMEs จากกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น
Healthcare Biotech Fintech Green-Tech Emerging Technology Proptech และ อื่นๆ รวมถึงบริการต่างๆ ครบวงจรสําหรับ Start-ups พร้อมรับ Hotel Sponsorship ตามเงื่อนไขกำหนด
.
สนใจกรอกใบสมัครได้ที่ https://shorturl.at/aovy6
หมดเขต 8 พฤศจิกายน 2566 **รับจำนวนจำกัด**
สอบถามเพิ่มเติมโทร. 081-814-0886
โปรแกรมฝึกอบรม

รับสมัคร ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นองค์กรชั้นนำของประเทศในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ต้องการรับสมัคร ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เพื่อเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ มีภารกิจในการดำเนินการวิจัย การสนับสนุนการวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญอย่างสูงต่อความสามารถในการผลิตและความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมหลักของประเทศ
ในการนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จึงใคร่เชิญชวนผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการ
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566
โดยมีรายละเอียดตามเอกสารดาวน์โหลด
ประกาศ สวทช. เรื่องการรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็น ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ
ใบสมัคร ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ [PDF] | [DOCX]
(เปิดรับสมัคร จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566)
แบบเสนอชื่อผู้ที่สมควรได้รับพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ
(เปิดรับเสนอชื่อ จนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2566)
ติดต่อขอรายละเอียดประกาศรับสมัครและเอกสารเพิ่มเติมได้ที่
นางสาวโสภิดา เนตรวิจิตร
e-mail: sopidan@nstda.or.th
โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 71144
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ผนึก สมาคมทีคอส (TCOS) ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ด้วยแพลตฟอร์ม FoodSERP บริการแบบครบวงจร
For English-version news, please visit : NSTDA teams up with Thai Cosmetic Cluster, introducing FoodSERP to service Thai cosmetic industry
(วันที่ 31 ตุลาคม 2566) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวง อว :: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เรื่อง การพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เวชสำอาง โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ นางลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย หรือ TCOS (Thai Cosmetic Cluster)
ร่วมลงนาม และดร.กัลยา อุดมวิทิต รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. พร้อมด้วย ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย เป็นพยานในความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อร่วมกันสร้างความเข้มแข็งและเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ด้วยการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยพัฒนาชั้นนำของประเทศและบริการโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีตามหลักมาตรฐานสากล สู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า FoodSERP แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน เป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของ สวทช. ในการผลักดันการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของทรัพยากรชีวภาพในประเทศ ผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรหลายภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารฟังก์ชันและเวชสำอาง ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อร่วมสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นและมีมาตรฐานการผลิต
สวทช. มีโครงสร้างพื้นฐานโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค สำหรับผลิต functional ingredients หรือ active ingredients และโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง สำหรับผลิตเวชสำอางที่ได้มาตรฐานสากล รวมถึงแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์นอกจากนี้ สวทช. ยังมีความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ องค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญของทีมวิจัย สวทช. ที่จะช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการในการพัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีกระบวนการทางชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี ในรูปแบบ One-stop service ตั้งแต่การผลิต วิเคราะห์ทดสอบ สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์สำหรับทดสอบตลาด บริการขยายขนาดการผลิต และขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG และ Speedy Economy ให้มีศักยภาพการผลิตที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในมิติต่างๆ ตลอดห่วงโซ่การผลิต “เจตนารมณ์ของความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อผลักดันผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ให้เป็นรูปธรรม ยกระดับมาตรฐานของผลิตภัณฑ์เวชสำอางของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก ผนึกกำลังร่วมกันผ่านเครือข่ายพันธมิตรในการขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย ที่จะช่วยสร้างผลกระทบทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม สู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ดร.กัลยา อุดมวิทิต รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามมีการพัฒนา และตลาดมีความต้องการที่หลากหลายยิ่งขึ้น ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อม และตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทันท่วงที ความร่วมมือครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างความร่วมมือและผลักดันองค์ความรู้เทคโนโลยีนำผลงานวิจัยไปสู่การนำไปใช้ประโยชน์แก่ผู้ประกอบการหรือภาคเอกชนกลุ่มแพลตฟอร์ม FoodSERP นำโดย ดร. กอบกุล เหล่าเท้ง และทีมวิจัยจากศูนย์แห่งชาติของ สวทช. มีความพร้อมทั้งด้านความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม ที่จะช่วยเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะในด้านประสิทธิภาพ หรือที่เรียกว่า “สารสำคัญเชิงหน้าที่ (Functional ingredient)”
เพื่อช่วยพัฒนาและยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์เวชสำอางออกสู่ตลาด รวมทั้งให้บริการพัฒนากระบวนการผลิต สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ การขยายขนาดการผลิตในระดับโรงงานต้นแบบที่มีมาตรฐานสากลสำหรับทดลองตลาด ทดสอบทางคลินิกหรือทดสอบภาคสนาม และขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ รวมถึงให้บริการวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์กลุ่มส่วนผสมฟังก์ชัน และสารสกัด (functional extracts) เพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน สร้างรายได้เพิ่มแก่ผู้ประกอบการ และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมเวชสำอางของไทย
ด้าน นางลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย หรือ TCOS (Thai Cosmetic Cluster) กล่าวว่า ความร่วมมือกับองค์กรวิจัยระดับชาติ อย่าง สวทช. เป็นอีกมิติที่สำคัญของสมาคมฯ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ การแบ่งปันข้อมูล การเข้าถึงแหล่งทุนวิจัยและทรัพยากร การร่วมแรงร่วมใจกันผลักดันการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมการผลิต รวมทั้งช่องทางการจัดจำหน่ายตลอดทั้งห่วงโซ่อุปสงค์อุปทาน ซึ่งการที่สมาคมฯ และ สวทช. ได้ร่วมลงนามมือกันในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมเครื่องสำอางให้สามารถแข่งขันและพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบเครื่องสำอางไทยไปสู่ระดับโลกได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน ด้วยความร่วมมือและให้บริการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ รวมไปถึงเป้าหมายในการสร้างความเป็นเลิศในด้านนวัตกรรม คุณภาพ และความปลอดภัยของเครื่องสำอางไทย
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยยังเป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงการใช้วัตถุดิบจากทรัพยากรชีวภาพของไทย อาทิเช่น สมุนไพร วัตถุดิบทางการเกษตรและจุลินทรีย์ ผนวกกับการใช้องค์ความรู้จากภูมิปัญญาไทยที่เป็น soft power อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครในเวทีโลก และยังเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างความยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ตลอดจนผลกระทบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม
“อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย แม้เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตและมีอนาคตที่สดใสในตลาดโลก แต่ในเวลาเดียวกันต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข 3 ด้านหลัก ๆ คือ 1.การแข่งขันกับผู้ผลิตเครื่องสำอางต่างประเทศที่มีเทคโนโลยีและการตลาดที่ดีกว่า 2.การปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดของตลาดเป้าหมายที่แตกต่างกัน และ 3.การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการและความชอบของผู้บริโภคและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งสมาคมฯ เชื่อว่าในอนาคตอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ เช่น การใช้ประโยชน์จาก Big Data และ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค การประยุกต์ใช้ไบโอเทคโนโลยี เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย และการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยี เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ” นายกสมาคม TCOS กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ภายหลังพิธีลงนามความร่วมมือฯ ได้เปิดเวทีเสวนา เรื่อง “ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามด้วย FoodSERP for sustainable health and beauty” โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากทั้ง 2 หน่วยงาน นำโดย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดร. กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน สวทช. และ ดร. อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) คุณลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ดร.ธนธรรศ สนธีระ และคุณกฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย เพื่อแสดงถึงความเชื่อมั่นในการผลักดันอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามของไทยตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศนวัตกรรมแก่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผู้ประกอบการไทยบนเวทีนานาชาติ
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FoodSERP
สำหรับ FoodSERP จัดตั้งขึ้นในปลายปี 2565 โดยเป็นหนึ่งใน core business ของ สวทช. มีพันธกิจหลักในการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงความพร้อมด้านต่างๆ ไปสู่การใช้ประโยชน์จริงและส่งผลกระทบต่อประชาชนหมู่มากของประเทศ ผ่านการให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหาร เวชสำอาง และส่วนผสมฟังก์ชัน ตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะ (Tailor made) ของลูกค้า ในรูปแบบ One-stop service โดยทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหลากสาขา มีวิทยาการความรู้ (know-how) และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่พร้อมให้บริการ รวมถึงเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและมีมาตรฐานการผลิต ที่จะช่วยผู้ประกอบการในการพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม แก้ปัญหาต่าง ๆ ในห่วงโซ่การผลิต เพิ่มความพร้อมของเทคโนโลยี การวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งด้านประสิทธิภาพ คุณภาพและความปลอดภัย ตลอดจนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ รวมถึงสร้างความเชื่อมโยงในการดำเนินงานกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชัน และสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredients ) สมุนไพร และเวชสำอาง จากฐานทรัพยากรชีวภาพด้านการเกษตรและจุลินทรีย์ของประเทศ ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ อันจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์

เทคโนโลยีเวชสำอางไทยผงาดสู่เวทีโลก! ในงาน COSMETIC360 ที่ฝรั่งเศส
สวทช. ร่วมกับ TCELS และ วว. นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน COSMETIC360 จัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เวชสำอางและสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพมาตรฐานจัดแสดงสู่เวทีตลาดโลก
โดยภายในงานมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์ จำกัด (Spike Architectonics) กับ DR. MICHÈLE AOUIZERATE PELLETIER นวัตกรและแพทย์ชาวฝรั่งเศส ซึ่ง บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์ จำกัด เป็น Deep-tech สตาร์ตอัปไทย โดยใช้ผลงานวิจัยของ สวทช. ที่พัฒนาเทคโนโลยีสร้างช่องทางสู่ผิวหนังขนาดไมโครด้วยแสงบนวัสดุผืนผ้า ในรูปแบบมาสก์หรือแผ่นแปะ ที่มีลักษณะพิเศษสามารถดีไซน์ได้ตามความต้องการของลูกค้า นับเป็นความสำเร็จของการพัฒนาความร่วมมือทางด้านธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรมระหว่างประเทศไทยและฝรั่งเศส
คลิปสั้นทันเหตุการณ์