ผลการค้นหา :

“เทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่าง” นวัตกรรมกู้วิกฤตอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย
For English-version news, please visit : Diagnostic technology offers solutions for combating cassava mosaic disease
“มันสำปะหลัง” เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเพราะเป็นทั้งอาหารคน อาหารสัตว์ และเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในหลายอุตสาหกรรม อีกทั้งประเทศไทยยังครองอันดับหนึ่งผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมากที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องเผชิญวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลังที่เกิดการระบาดอย่างหนัก ส่งผลให้ผลผลิตลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดเพื่อนำมาปลูกต่อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมมันสำปะหลังของประเทศในไม่ช้าหากไม่เร่งป้องกันและแก้ไข
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการระบาดของโรคใบด่าง และช่วยลดความเสี่ยงของการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ
‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ วิกฤตใหญ่ของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย
[caption id="attachment_48448" align="aligncenter" width="700"] นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สท. สวทช. ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล นักวิจัยไบโอเทค ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยไบโอเทค และ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ นักวิจัยไบโอเทค[/caption]
ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่าโรคใบด่างมันสำปะหลังเป็นโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) ซึ่งมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะนำโรค โดยเริ่มพบการระบาดบริเวณชายแดนของประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2561 แต่ปัจจุบันพบว่ามีการระบาดไปทั่วทุกภูมิภาคที่มีการเพาะปลูกมันสำปะหลัง สาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นวงกว้างเกิดจากการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ หากระบาดรุนแรงอาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้มากถึง 30-80 เปอร์เซ็นต์
[caption id="attachment_48454" align="aligncenter" width="600"] ต้นมันสำปะหลังที่ติดโรค[/caption]
[caption id="attachment_48453" align="aligncenter" width="600"] ต้นมันสำปะหลังที่ติดโรค[/caption]
“มันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างจะมีลักษณะใบด่างเหลือง ใบหงิก ลดรูป ลำต้นแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต จำนวนหัวและขนาดของผลผลิตลดลง คุณภาพของแป้งลดลง ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เกษตรกรสูญเสียผลผลิตและรายได้ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมันสำปะหลังขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับป้อนเข้าโรงงาน นอกจากนี้เกษตรกรยังขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดสำหรับปลูกในฤดูกาลถัดไป ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจตามมาอีกมาก ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. จึงได้พัฒนาชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังเพื่อช่วยเกษตรกรเฝ้าระวังโรคใบด่างในแปลงปลูกและใช้คัดกรองท่อนพันธุ์ก่อนนำไปปลูกเพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายไปกับท่อนพันธุ์”
ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง อาวุธสกัดโรคระบาดในไร่มัน
ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล นักวิจัย ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาเทคนิคการตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง 2 รูปแบบ แบบแรกใช้เทคนิคอิไลซา (ELISA) ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความถูกต้อง ราคาไม่แพง มีความไว (sensitivity) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจที่มีการขายในเชิงการค้า และมีราคาถูกกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ สามารถตรวจได้ 96 ตัวอย่างในคราวเดียว โดยเทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ประกอบการโรงแป้งมันสำปะหลัง หน่วยงานราชการ และมหาวิทยาลัย โดยจัดตั้งเป็นศูนย์ตรวจที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรในการเฝ้าระวังโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่เพาะปลูกและการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค
[caption id="attachment_48449" align="aligncenter" width="650"] ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง[/caption]
ส่วนรูปแบบที่ 2 คือ ชุดตรวจแบบรวดเร็วหรือสตริปเทสต์ (Strip test) ที่ใช้งานง่าย มีความไวสูง ความแม่นยำสูง และรู้ผลเร็ว เกษตรกรนำไปใช้ตรวจได้เองในแปลงปลูก โดยนำใบพืชมาบดในสารละลายที่เตรียมไว้ในชุดตรวจ จากนั้นจุ่มตัว Strip test ลงไปในน้ำคั้นใบพืช และรออ่านผล 15 นาที หากขึ้น 1 ขีด ณ ตำแหน่ง C เพียงที่เดียว แสดงว่าตัวอย่างไม่ติดโรค หากขึ้น 2 ขีด ณ ตำแหน่ง T และ C แสดงว่าตัวอย่างติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง หากเกษตรกรตรวจพบว่ามีโรคใบด่างในแปลงได้เร็วก็สามารถทำลายต้นที่เป็นโรคได้ทันทีเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดหรือแพร่กระจายเชื้อไปในวงกว้าง
[caption id="attachment_48455" align="aligncenter" width="800"] วิธีใช้ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test[/caption]
สวทช. ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน ช่วยเกษตรกรสู้โรคใบด่างมันสำปะหลัง
นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันโรคใบด่างมันสำปะหลังถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศไทย โดยในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาโรคนี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก เทคโนโลยีป้องกันและควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังจึงเป็นเทคโนโลยีที่มีความต้องการมากที่สุดในขณะนี้
“ชุดตรวจโรคใบด่างที่ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช.พัฒนาขึ้นจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรมั่นใจได้ว่าแปลงมันสำปะหลังของตนเองนั้นติดโรคใบด่างหรือไม่ หากพบว่าติดโรคใบด่างก็สามารถถอนทำลายต้นพันธุ์ทิ้งได้ทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่แปลงปลูกข้างเคียงและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยปัจจุบัน สท. ได้นำเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ รวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้ในการจัดการแปลงมันสำปะหลังอย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ในพื้นที่ดังกล่าว”
[caption id="attachment_48452" align="aligncenter" width="650"] เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลัง ทดลองการใช้ชุดตรวจไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ที่ทีมนักวิชาการ สวทช. ลงไปอบรมในพื้นที่[/caption]
นอกจากนี้ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ นักวิจัย ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาดำเนินการจัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วยเทคนิค ELISA แล้ว 6 แห่ง คือ บริษัทสงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด จังหวัดนครราชสีมา บริษัทเอฟ ดี กรีน ในเครือบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด จังหวัดกำแพงเพชร บริษัทเอเซียโมดิไฟด์สตาร์ช จำกัด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานสภาเกษตรกร จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา และมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี โดยทีมวิจัยไบโอเทคทำหน้าที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำเชิงเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่รับถ่ายทอดนำเทคโนโลยีชุดตรวจไปใช้ในการตรวจสอบโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[caption id="attachment_48458" align="aligncenter" width="1000"] การตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังในแปลงผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังสะอาดจะช่วยลดความเสี่ยงของการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ[/caption]
การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงทีอย่างเช่นเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง ช่วยลดผลกระทบรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมของไทย และทำให้ประเทศพึ่งพาตนเองได้ในยามวิกฤต สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
หน่วยงานภาครัฐหรือบริษัทเอกชนที่สนใจเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหัง สามารถติดต่อทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โทรศัพท์ 025646700 ต่อ 3342
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

เยาวชนไทยเจ๋ง ! คว้าอันดับ 3 ศึกชิงแชมป์นานาชาติเขียนโปรแกรม ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ผู้ช่วยนักบินอวกาศ ของ NASA
For English-version news, please visit : Thai youth team takes third place in the Kibo Robot Programming Challenge
เยาวชนตัวแทนประเทศไทย ‘ทีมกาแล็กติก 4’ จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คว้ารางวัลอันดับ 3 จากการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์แอสโตรบี (Astrobee) ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ที่ปฏิบัติงานอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ในโครงการคิโบะ โรบอต โปรแกรมมิง ชาเลนจ์ ครั้งที่ 4 (The 4th Kibo Robot Programming Challenge) ซึ่งมีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันจาก 10 ประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ดำเนินการจัดแข่งขันโครงการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์ประเทศไทย โดยทีมกาแล็กติก 4 (Galactic 4) เป็นทีมชนะเลิศ และเป็นทีมตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันในรอบชิงแชมป์นานาชาติ ณ ศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการเดินทางจากบริษัท 168 ลักกี้ เทรด จำกัด, บริษัทสตาร์ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทสเปซ อินเวนเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทแมพพอยท์เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด
[caption id="attachment_48443" align="aligncenter" width="765"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ทีมกาแล็กติก 4 ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ได้แก่ นายณัฐวินทร์ แย้มประเสริฐ (หัวหน้าทีม) นายเดชาธร ดาศรี นายกษิดิศ ศานต์รักษ์ และนายชีวานนท์ ชุลีคร นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เข้าร่วมการแข่งขัน The 4th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์นานาชาติ เมื่อวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดยองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือแจ็กซา (JAXA) และถ่ายทอดสดทาง YouTube ช่อง JAXA จากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนักบินอวกาศ ดร.ซาโตชิ ฟุรุกะวะ (Satoshi Furukawa) ทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขันอยู่บนห้องทดลองคิโบะโมดูล สถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อค้นหาสุดยอดทีมเยาวชนจากทั่วโลก ที่สามารถทำคะแนนได้สูงสุดในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ให้ปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมสถานีอวกาศ ซึ่งมีตัวแทนเยาวชนจาก 10 ชาติ เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แก่ ออสเตรเลีย, บังคลาเทศ, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไต้หวัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหรัฐอเมริกา และไทย
“ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมกาแล็กติก 4 จากประเทศไทย คว้ารางวัลอันดับสามมาครองได้สำเร็จ ถือเป็นการแสดงความสามารถในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษา JAVA ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ที่อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติให้เคลื่อนที่ไปอ่าน QR Code และยิงแสงเลเซอร์เข้าเป้าหมายทำคะแนนได้สูงเป็นอันดับที่สามของการแข่งขัน รองจากไต้หวันและสิงคโปร์ ช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในเวทีระดับนานาชาติ จากความสำเร็จของเยาวชนไทยในครั้งนี้ สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยาวชนทั้งสี่คนจะได้เรียนรู้ และได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่า สามารถนำมาแบ่งปัน ต่อยอด รวมทั้งถ่ายทอดให้แก่เพื่อน ๆ เยาวชนไทยรุ่นต่อไป”
ด้าน นายณัฐวินทร์ แย้มประเสริฐ นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวหน้าทีมกาแล็กติก 4 กล่าวถึงความรู้สึกหลังทราบผลการแข่งขันว่า รู้สึกภาคภูมิใจกับสมาชิกในทีมทุกคนที่ได้ร่วมพัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้นมา จนได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศ และได้นำไปประมวลผลโปรแกรมบนสถานีอวกาศนานาชาติจริง อีกทั้งยังสามารถคว้ารางวัลอันดับที่สามกลับมาได้ ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก เนื่องจากแต่ละทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการเก็บคะแนน และแต่ละกลยุทธ์ทำคะแนนได้ไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่เห็นได้จากทุกทีม คือ ความตั้งใจทำผลงานให้ออกมามีประสิทธิภาพที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่ ไม่ว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร เราเชื่อว่าแต่ละทีมไม่ได้รู้สึกเสียดายผลคะแนนจากการแข่งขันที่ได้รับ
“นอกจากการแข่งขัน พวกเรายังได้เยี่ยมชมองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นที่เมืองสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น รู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นการทำงานของแผนกภาคพื้นดินที่คอยติดต่อสื่อสารกับสถานีอวกาศนานาชาติ ได้เห็นกระบวนการคัดเลือกนักบินอวกาศ และได้รับประโยชน์มากมายในด้านองค์ความรู้ที่ใช้ในการปฏิบัติการในอวกาศ ที่สำคัญตลอดการทำกิจกรรมยังได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ต่างชาติมากมาย ทั้งญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน และประเทศอื่น ๆ ทำให้ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานซึ่งกันและกัน สุดท้ายต้องขอขอบคุณ สวทช. และ JAXA ที่จัดการแข่งขันนี้ขึ้นมา รวมทั้งขอขอบคุณบริษัทเอกชนและผู้มีส่วนร่วมอื่น ๆ ที่สนับสนุนการเดินทางเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้พวกเราได้สัมผัสใกล้ชิดกับการเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ในอวกาศ และมีโอกาสพูดคุยกับนักบินอวกาศ ดร.โคอิจิ วากาตะ (Koichi Wakata) ที่มีประสบการณ์ภารกิจที่สถานีอวกาศนานาชาติมาแล้วหลายครั้ง”
ทั้งนี้ ทีมกาแล็กติก 4 สามารถคว้ารางวัลอันดับสามมาครอง ด้วยคะแนน 94.79 คะแนน ส่วนทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีมฟลายอิง ยูนิคอร์นส์ (Flying Unicorns) จากไต้หวัน คะแนน 110.77 คะแนน และทีมอันดับที่สอง ได้แก่ ทีมเอสเอสทีวัน (SST1) จากสิงคโปร์ 98.54 คะแนน รับชมการแข่งขันย้อนหลังได้ทาง YouTube ของ JAXA ที่ลิงก์ https://youtube.com/live/DBKVAojl0GQ
ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวโครงการกิจกรรมวิทยาศาสตร์อวกาศสำหรับเยาวชนได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation และแฟนเพจ NSTDA SPACE Education
เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
บทความ

สวทช. วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันปิยมหาราช
(๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๖) ดร.สุธี ผู้เจริญชนะชัย รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และ (รักษาการ) ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้แทนผู้บริหารและพนักงาน สวทช. วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันปิยมหาราช ๒๕๖๖ ณ พระลานพระราชวังดุสิต
"วันปิยมหาราช" (๒๓ ตุลาคม ของทุกปี) เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) พระมหากษัตริย์ผู้ทรงสร้างคุณูปการต่อประเทศไทยและเป็นที่รักยิ่งของเหล่าพสกนิกร ปวงชนชาวไทยพร้อมใจถวายพระราชสมัญญาว่า "พระปิยมหาราช" อันมีความหมายว่า "พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน"
ข่าวประชาสัมพันธ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ไทย-ฝรั่งเศส ร่วมหารือทวิภาคีด้านวิจัย-นวัตกรรม ด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ยกระดับความสัมพันธ์ เน้นความเสมอภาคและประโยชน์ร่วมกัน พร้อมเข้าเยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
For English-version news, please visit : Thailand and France bolster collaboration in higher education and research
วันที่ 20 ตุลาคม 2566 - นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้การต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.ชีลวี เรอไตโย (Prof. Dr. Sylvie Retailleau) รัฐมนตรีว่าการอุดมศึกษาและการวิจัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส พร้อมหารือความร่วมมือทวิภาคีด้านการอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม และร่วมลงนาม “แถลงการณ์แสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการอุดมศึกษาและการวิจัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานวิจัยของทั้งสองประเทศ บนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน
ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2566 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้กระทรวง อว. ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ชีลวี รัฐมนตรีว่าการอุดมศึกษาและการวิจัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฯพณฯ ฌ็อง - โกลด ปวงเบิฟ ( H.E. Mr. Jean-Claude Poimboeuf) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ดร.ซาวิเยร์ โกรแมทร์ (Dr. Xavier Grosmaitre) ผู้ช่วยทูตฝ่ายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ และอุดมศึกษา พร้อมคณะที่ปรึกษาและเจ้าหน้าที่ เยือน สวทช. ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อหารือความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) สร้างโอกาสในการต่อยอดความร่วมมือกับ สวทช. และชมนิทรรศการนำเสนอผลงานวิจัยของธนาคารทรัพยากรชีวพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) และโครงการห้องปฏิบัติการร่วมระหว่าง สวทช. และ Institut de recherche pour le développement (IRD)
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สวทช. ได้ร่วมต้อนรับคณะของ ศาสตราจารย์ ดร.ชีลวีฯ โดยมี ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้นำเสนอภาพรวมกิจกรรมวิจัยและความร่วมมือระหว่าง สวทช. และหน่วยงานจากสาธารณรัฐฝรั่งเศส เช่น ภารกิจการดำเนินกิจกรรมด้าน วทน. ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์ของกระทรวง อว. ได้แก่ เทคโนโลยีพลังงานสะอาด เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และ BCG Economy Model โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชีลวี แสดงความสนใจการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนนักวิจัยร่วมกันซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของ สวทช. ว่าด้วยการสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนการร่วมมือกันในการพัฒนาเครื่องมือวิจัยของประเทศในเขตพื้นที่ EECi เช่น Plant Factory และเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน 3 GeV
หลังการหารือ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ได้นำคณะรัฐมนตรีว่าการอุดมศึกษาและการวิจัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวิจัยของ NBT ด้านเทคโนโลยีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อรับมือกับการสูญเสียความมั่นคงทางด้านอาหารซึ่งเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพระยะยาว (Long-term Conservation) รวมทั้งเป็นคลังทรัพยากรชีวภาพสำรองของประเทศ (Long-term Biobanking Facility) โดยมี ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการ NBT เป็นผู้ให้ข้อมูล และได้ชมนิทรรศการภายใต้โครงการห้องปฏิบัติการร่วมระหว่าง สวทช. และ IRD ในโครงการ SIMPLE Project ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้าใจและการเรียนรู้เกี่ยวกับการตระหนักรู้ในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยังยืน โดยใช้เทคโนโลยี VR เพื่อจำลองโครงการพื้นฐานที่อ้างอิงจากสภาพแวดล้อมจริง และโครงการ GAMA Platform ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจำลองสภาพแวดล้อมแสดงผลแบบสามมิติผ่านทางแอพลิเคชันเพื่อใช้ศึกษาและออกแบบการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติ การวางผังเมือง
ข่าวประชาสัมพันธ์

กมธ.การอุดมศึกษาฯ วุฒิสภา ดึง 6 องค์กร ผนึก สวทช. ถ่ายทอดเทคโนโลยี-นวัตกรรม ‘เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า’ สู่ ‘สถาบันนวัตกรรมด้านป่าไม้’
(วันที่ 20 ตุลาคม 2566) ณ สัปปายะสภาสถาน อาคารรัฐสภา(ฝั่งวุฒิสภา) : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนการดำเนินการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมด้านป่าไม้ จังหวัดแพร่ ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า (Economy Under the Forest)”
โดยมี นายชุติเดช มีจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ รองศาสตราจารย์ ดร.สุภาวิณี สัตยาภรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ นายอนุวัธ วงศ์วรรณ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ นายประทีป บินชัย ผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชนแพร่ นายโชคชัย พนมขวัญ นายกเทศมนตรีเมืองแพร่ ร่วมลงนามความร่วมมือโดยมีพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ประธานคณะกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา และนายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ กมธ.การอุดมศึกษาฯ วุฒิสภา เป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือครั้งนี้
นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ กมธ.การอุดมศึกษาฯ วุฒิสภา กล่าวว่า ตามที่จังหวัดแพร่ กรมป่าไม้ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ วิทยาลัยชุมชนแพร่ และเทศบาลเมืองแพร่ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมด้านป่าไม้ จังหวัดแพร่ ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า (Economy Under the Forest)” (เมื่อวันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2566) ณ หอประชุมใหญ่โรงเรียนป่าไม้ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ซึ่งริเริ่มแนวคิดโดยคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม วุฒิสภา ในการที่จะฟื้นฟูและพัฒนาป่าไม้ในจังหวัดแพร่และสร้างเครือข่ายโดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมนั้น เพื่อให้การดำเนินงานการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมด้านป่าไม้ จังหวัดแพร่บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา ได้เล็งเห็นว่าควรเชิญให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หน่วยงานวิจัยภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มาร่วมดำเนินการ ซึ่ง สวทช. มีภารกิจอย่างหนึ่งในการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมการเกษตรให้เกิดการขยายผลอย่างทั่วถึง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ตลอดจนเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานและสร้างความร่วมมือระหว่างเกษตรกรและชุมชน กับภาครัฐและภาคเอกชน ผ่านการพัฒนาเชิงพื้นที่ด้วยกลไกการดำเนินงานต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริม พัฒนาและสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการดังกล่าวด้วย จึงเป็นที่มาของการจัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนการดำเนินการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมด้านป่าไม้จังหวัดแพร่ ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า (Economy Under the Forest)” เพิ่มอีกหนึ่งฉบับ โดยเป็นการลงนาม 7 ฝ่าย คือ กรมป่าไม้ จังหวัดแพร่ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ วิทยาลัยชุมชนแพร่ เทศบาลเมืองแพร่ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม วุฒิสภา
“บันทึกความร่วมมือดังกล่าวมีขอบเขตการดำเนินงานของ สวทช. ได้แก่ 1.พัฒนาและยกระดับทักษะ (re-skill/up-skill) ในการบริหารจัดการป่าชุมชนให้กับกรรมการป่าชุมชนและผู้เกี่ยวข้อง 2.ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้ชุมชน 3. ถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประยุกต์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่เพื่อสร้างคุณค่าเชิงเศรษฐกิจ เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ และ 4. สนับสนุนการศึกษาความเป็นไปได้และให้คำปรึกษาในการสร้างมูลค่าจากการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากสิ่งแวดล้อม (คาร์บอนเครดิต) รวมถึงการลดการสร้างมลพิษจากการเผาป่าและวัสดุเหลือใช้ภาคเกษตร ภายใต้การร่วมกันจัดหาทรัพยากรในการดำเนินงาน และการสนับสนุนจากจังหวัดแพร่ กรมป่าไม้ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ วิทยาลัยชุมชนแพร่ และเทศบาลเมืองแพร่” กมธ.การอุดมศึกษาฯ วุฒิสภา กล่าว
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการยกระดับขีดความสามารถ ส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนการดำเนินการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมด้านป่าไม้จังหวัดแพร่ ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า (Economy Under the Forest)” ซึ่งสอดคล้องกับการทำงานของ สวทช. โดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาชุมชนภาคการเกษตรสู่ความยั่งยืนลดความเหลื่อมล้ำด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม(วทน.) และมีภารกิจหลักในการทำงานเพื่อสนับสนุนความร่วมมือครั้งนี้ ทั้งการเร่งรัดการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้าน วทน. การทดสอบ การสังเคราะห์เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับพื้นที่ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภาคการเกษตร ตลอดจนสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆ ทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่มีความยั่งยืนในพื้นที่ประกอบด้วย ด้านเศรษฐกิจ คือ ช่วยชุมชนลดต้นทุน สร้างรายได้ สร้างงาน สร้างอาชีพ ด้านสังคม ช่วยลดการอพยพย้ายถิ่น เกิดสุขภาวะที่ดีขึ้นในชุมชน และด้านสิ่งแวดล้อม เกิดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) ซึ่งเป็นโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวไปพร้อมกันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตควบคู่กับการพัฒนาและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ที่สำคัญยังเป็นแนวทางที่สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ขององค์การสหประชาชาติอีกด้วย
ด้านนางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานตามความร่วมมือฯ นี้ สวทช. โดย สท.จะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากความเชี่ยวชาญของนักวิจัย สวทช. ในด้านต่าง ๆ เพื่ออบรมให้กับชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปประยุกต์และต่อยอดกับพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมต่อไป โดยมีจำนวน 4 หลักสูตร ประกอบด้วย 1.การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ อาทิ หลักสูตรสำรวจและการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืช พืชป่า พืชหายาก พืชสมุนไพร สำหรับคลังทรัพยากร หลักสูตรสำรวจความหลากหลายของเห็ดกินได้ในป่าชุมชน 2.การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท้องถิ่น เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน อาทิ หลักสูตรการขยายพันธุ์ไผ่พันธุ์ดีด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ หลักสูตรการผลิตไม้ดอก ไม้ประดับสำหรับแหล่งท่องเที่ยวในป่าชุมชน หลักสูตรถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเห็ดป่ากินได้ หลักสูตรการเลี้ยงชันโรง หลักสูตรการเพาะเลี้ยงครามและฮ่อมสำหรับผลิตสีย้อมธรรมชาติ 3.การประยุกต์ใช้เกษตรสมัยใหม่ อาทิ หลักสูตรการใช้เทคโนโลยี Smart IoT และระบบการให้น้ำในแปลงเพาะชำกล้าไม้ หลักสูตรสำหรับการติดตาม PM2.5 และเฝ้าระวังไฟป่าในป่าชุมชน (เครื่องเก็บตัวอย่างฝุ่น-Nano Sampler) หลักสูตรการใช้เทคโนโลยีโรงเรือนอัจฉริยะเพื่อการผลิตพืช (เมล็ดพันธุ์ สมุนไพร พืชผักมูลค่าสูง) และ 4.การท่องเที่ยว อาทิ หลักสูตรการประยุกต์ใช้นวนุรักษ์แพลตฟอร์มเพื่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รวมถึงหลักสูตรการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ผนึก TCELS-วว. ดันผู้ประกอบการกลุ่มเวชสำอาง-สมุนไพรไทย ร่วมเวที COSMETIC360 ณ ประเทศฝรั่งเศส อวดศักยภาพผลิตภัณฑ์-นวัตกรรมไทย สู่ตลาดโลก
For English-version news, please visit : NSTDA partners with TCELS and TISTR, bringing Thai companies to showcase their cosmetic and herbal products at COSMETIC 360
เมื่อวันที่ 18-19 ตุลาคม 2566 ณ Carrousel du Louvre กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (TCELS) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน COSMETIC360 : The international innovation fair for cosmetic and perfume industry เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เวชสำอางและสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพมาตรฐาน มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยจัดแสดงสู่เวทีตลาดโลก
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. และคณะผู้บริหารและนักวิจัยจากหน่วยงานใน อว. ได้แก่ ศ. ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านชีววิทยาศาสตร์ TCELS และ ทีมนักวิจัยศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร วว. พร้อมคณะผู้ประกอบการให้การต้อนรับและเข้าร่วมในพิธีเปิดบูธนิทรรศการ โดยได้รับเกียรติจาก นายบุญญฤทธิ์ วิเชียรพันธุ์ อัครราชทูต รักษาการแทนเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นประธานในพิธีเปิดงานนิทรรศการพร้อมเยี่ยมชมผลงาน
“กิจกรรมในครั้งนี้เป็นการดำเนินการภายใต้โครงการเชื่อมโยงธุรกิจนวัตกรรมเครื่องสำอางสู่ตลาดต่างประเทศ (Cosmetic Innovation and Business Link) ปี 2566 ซึ่งเป็นความร่วมมือของหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สวทช. TCELS และ วว. โดยคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพจำนวน 6 ราย เพื่อเข้าร่วมการบ่มเพาะ เรียนรู้และฝึกฝนทักษะในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน คุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ให้มีความพร้อมมากที่สุดสำหรับการต่อยอดในเชิงธุรกิจสู่ตลาดสากล ก่อนจะคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเพียง 1 ราย เพื่อเข้าร่วมงาน COSMETIC 360 โดยในปีนี้ บริษัท ทรอปิคานา ออยล์ จำกัด เป็นบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมงาน” ดร.อุรชา กล่าว
สำหรับปี 2566 นี้ นับเป็นโอกาสพิเศษที่ สวทช. และเครือข่ายพันธมิตรได้มีความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยในโครงการ “ปีแห่งนวัตกรรมฝรั่งเศส-ไทย 2023” หรือ 2023 Thailand –France Year of Innovation ซึ่งเป็นโครงการยกระดับความร่วมมือของทั้งสองประเทศ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการร่วมกัน ซึ่งในปีนี้จะมุ่งเน้นกิจกรรมด้านส่งเสริมการใช้นวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในภาคส่วนต่างๆ ของสังคม ภายใต้แนวคิด "Innovation" goes far beyond any scientific or technological revolution”
รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ในส่วนของการเข้าร่วมงาน COSMETIC360 จัดเป็นโครงการความร่วมมือสำคัญที่ฝรั่งเศสและไทยได้มีความร่วมมือกัน โดยนอกจากการออกบูทสินค้านวัตกรรมของไทยแล้ว ยังมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์ จำกัด (Spike Architectonics) และ DR. MICHÈLE AOUIZERATE PELLETIER ทั้งนี้บริษัท Spike Architectonics เป็นบริษัท Deep-tech สตาร์ตอัปไทย โดยใช้ผลงานวิจัยของ สวทช. ที่มีการใช้เทคโนโลยีสร้างช่องทางสู่ผิวหนังขนาดไมโครด้วยแสงบนวัสดุผืนผ้า ในรูปแบบมาสก์หรือแผ่นแปะ ที่มีลักษณะพิเศษสามารถดีไซน์ได้ตามความต้องการของลูกค้า ขณะที่ DR. PELLETIER เป็นนวัตกรชาวฝรั่งเศสที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Photobiomodulation รวมถึงเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Morphological และ anti-aging medicine โดยการลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของการพัฒนาความร่วมมือทางด้านธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรมของทั้ง 2 ประเทศอีกด้วย
การเข้าร่วมงาน COSMETIC360 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในครั้งนี้ ทีมประเทศไทยมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการส่งเสริมธุรกิจให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เช่น การเจรจาธุรกิจร่วมกับบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำระดับโลก, การสัมมนาวิชาการ, การเยี่ยมชมธุรกิจ ณ บริษัทชั้นนำ รวมทั้งรับทราบแนวโน้ม/ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมและตลาดโลก เป็นต้น เพื่อเป็นการเสริมศักยภาพและขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการสามารถใช้องค์ความรู้ นวัตกรรม และประสบการณ์ที่ได้รับ นำมาปรับใช้เป็นแนวทางในการต่อยอดและพัฒนาศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยสามารถแข่งขันในตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

รัฐมนตรี อว. เป็นประธานในพิธีวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” ประจำปี 2566
19 ตุลาคม 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” ประจำปี 2566 โดยมีนายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. คณะผู้บริหารในสังกัด อว. ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมพิธี
เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ที่ทรงเป็น "พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย" หลังทรงพระกรุณาบัญชาการปฏิบัติการสาธิตทำฝนหลวงด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 ณ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. รศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และ ดร.สุธี ผู้เจริญชนะชัย รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ ลดภาระงานดูแลบ่อเลี้ยงกุ้ง ติดตามผลได้ทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์
การเพาะเลี้ยงกุ้งให้ประสบความสำเร็จมีอัตราการอยู่รอดสูง สิ่งสำคัญคือเกษตรกรจะต้องคอยติดตามการเจริญเติบโตและปริมาณการกินอาหารของกุ้งในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด โดยยกยอขึ้นจากบ่อเพาะเลี้ยงทุกบ่อวันละหลายครั้งเพื่อตรวจสอบการกินอาหารของกุ้ง เพราะปริมาณการกินอาหารของกุ้งในแต่ละวันจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัย อุณหภูมิของน้ำ รวมถึงสุขภาพของกุ้ง ณ ขณะนั้น ซึ่งหากให้อาหารในปริมาณที่น้อยเกินไปจะส่งผลให้กุ้งเติบโตช้า และหากให้มากเกินไปจะส่งผลให้น้ำในบ่อเลี้ยงเน่าเสียซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพกุ้ง และยังสิ้นเปลืองค่าอาหารที่เป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของการเพาะเลี้ยงโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พัฒนา ‘ระบบยกยออัตโนมัติ (Automatic Feeding-tray Lifting System)’ อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) สำหรับยกยอขึ้นถ่ายภาพและส่งภาพถ่ายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังแอปพลิเคชัน LINE เพื่อช่วยลดภาระงานดูแลบ่อเลี้ยงกุ้ง และช่วยให้ผู้ประกอบการติดตามผลการเพาะเลี้ยงได้จากทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์
[caption id="attachment_48235" align="aligncenter" width="650"] เจริญมิตร วรเดช[/caption]
เจริญมิตร วรเดช นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า ตัวเครื่องของ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ มีลักษณะเป็นชุดอุปกรณ์น้ำหนักเบาติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ ติดตั้งได้ง่าย ไม่ต้องก่อสร้างโครงสร้างเพิ่มเติมเพื่อรองรับการติดตั้งอุปกรณ์ อุปกรณ์หลักประกอบด้วยกล่องควบคุมที่มีระบบสมองกลฝังตัวอยู่ภายในสำหรับสั่งการทำงาน กล้องสำหรับถ่ายภาพ เซนเซอร์สำหรับกำหนดระยะการยกยอจากผิวน้ำ และตัวยอที่ใช้ในการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไป
“กลไกการทำงานของระบบ คือ กล่องควบคุมจะสั่งการให้ระบบยกยอขึ้นมาจนถึงตำแหน่งที่มีเซนเซอร์ตรวจจับซึ่งเป็นตำแหน่งที่พอดีกับระยะโฟกัสของกล้อง จากนั้นกล้องจะถ่ายภาพแล้วส่งเข้าระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อจัดส่งข้อมูลไปให้เจ้าของฟาร์มหรือผู้ดูแลระบบผ่านทางแอปพลิเคชัน LINE ซึ่งการยกยอขึ้นมาถ่ายภาพแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 15 วินาทีเท่านั้น ผู้ดูแลฟาร์มสามารถกำหนดความถี่ในการถ่ายภาพแบบอัตโนมัติได้สูงสุดทุก 30 นาที หรือหากต้องการตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ ก็สั่งการทำงานจากระบบควบคุมที่ตัวเครื่อง หรือสั่งผ่านแชตบอตในแอปพลิเคชัน LINE ให้ถ่ายภาพ ณ ขณะนั้นได้ทันที”
[caption id="attachment_48233" align="aligncenter" width="650"] รูปภาพยอที่ถ่ายโดยระบบยกยออัตโนมัติ[/caption]
อุปกรณ์ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ ผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งาน ทีมวิจัยเลือกใช้อุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพงในการผลิต เพื่อให้เกษตรกรเปลี่ยนหรือซ่อมแซมอุปกรณ์เมื่อชำรุดได้ด้วยตัวเอง โดยอุปกรณ์ IoT รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทั้งระบบ WIFI สาย LAN และการใส่ SIM Card ส่วนด้านระบบพลังงาน ชุดอุปกรณ์รองรับทั้งกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าและจากโซลาร์เซลล์ โดยปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ แล้ว
[caption id="attachment_48236" align="aligncenter" width="650"] วรากร คำแก้ว[/caption]
วรากร คำแก้ว นักวิจัยทีม DAT เนคเทค สวทช. อธิบายเพิ่มเติมว่า เพื่อยกระดับการทำงานของอุปกรณ์ IoT ไปอีกขั้น สิ่งที่ทีมวิจัยกำลังพัฒนาต่อคือ ทำให้ระบบวิเคราะห์ขนาดและน้ำหนักของกุ้งตัวอย่างในยอได้อัตโนมัติ ผ่านการใช้ AI ตรวจจับตำแหน่งและนับปริมาณกุ้ง และใช้ระบบ image processing วิเคราะห์ขนาดความยาวของกุ้งแต่ละตัว โดยใช้ข้อมูลจากกรมประมงมาแปลงความยาวของตัวกุ้งเป็นน้ำหนักของกุ้งแต่ละตัวโดยประมาณ ซึ่งข้อมูลด้านน้ำหนักจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการติดตามอัตราการเจริญเติบโต อย่างไรก็ตามการวิจัยในส่วนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดสอบภาคสนามเพื่อพัฒนาความแม่นยำในการวิเคราะห์ผล ซึ่งหลังจากการวิจัยและพัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว สามารถติดตั้งฟังก์ชันนี้เข้าไปเพิ่มเติมในระบบประมวลผลเดิมได้
[caption id="attachment_48240" align="aligncenter" width="650"] ระบบวิเคราะห์ขนาดของกุ้ง[/caption]
‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เพื่อการใช้งานด้านการถ่ายภาพและจัดส่งภาพให้ผู้ดูแลระบบการเพาะเลี้ยงแบบอัตโนมัติ ผ่านการทดสอบการใช้งานจริงที่ฟาร์มทดสอบและสาธิตมีนเกษตร “สองน้ำ” มูลนิธิชัยพัฒนาเรียบร้อยแล้วจำนวน 9 รอบการเลี้ยง จนปัจจุบันระบบมีความเสถียร ได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมากจากผู้ใช้งานจริง
[caption id="attachment_48242" align="aligncenter" width="500"] อลิสา มากศรี[/caption]
อลิสา มากศรี นักวิชาการและเจ้าหน้าที่โครงการ ฟาร์มทดสอบและสาธิตมีนเกษตร “สองน้ำ” มูลนิธิชัยพัฒนา เล่าในมุมมองของผู้ประกอบการที่ได้ทดลองใช้งานอุปกรณ์ตั้งแต่ช่วงปี 2564 จนถึงปัจจุบัน หรือใช้มาแล้วรวม 9 รอบการเลี้ยงว่า ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เป็นอุปกรณ์ที่ค่อย ๆ ผ่านการพัฒนาจากความต้องการของผู้ใช้งานจริง จนปัจจุบันอุปกรณ์มีความเสถียรและช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานได้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้ตนเองสามารถเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดเป็นระยะยาวได้โดยไม่ต้องกังวลใจ เพราะตรวจสอบคุณภาพการเพาะเลี้ยงได้ผ่านมือถือจากทุกที่ทุกเวลา
“ข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายไม่เพียงบอกได้ว่ามีการให้อาหารมากเกินจนตกค้างหรือไม่ ปริมาณของขี้กุ้งที่ผ่านการตักขึ้นมาบนยอยังใช้บ่งชี้ถึงการได้รับอาหารในปริมาณที่พอดี น้อยไป หรือมากไป สีของตัวกุ้งที่เปลี่ยนแปลงไปบอกได้ถึงอุณหภูมิของน้ำที่ไม่เหมาะสม และหากกุ้งมีลักษณะตัวหดเกร็งหรือมีอาการเป็นตะคริวก็สันนิษฐานถึงการขาดสารอาหารบางประเภทได้อีกด้วย”
แม้ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ อาจยังไม่ใช่อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีแรงงานจำนวนมากเพียงพอต่อการดูแลกุ้งทุกบ่อได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง แต่อุปกรณ์ชนิดนี้จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนผู้ประกอบการก้าวสู่การทำเกษตรแม่นยำ (smart agriculture) ช่วยให้ผู้ดูแลระบบปรับเปลี่ยนกระบวนการเพาะเลี้ยงได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ช่วยลดภาระงานซ้ำซาก ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสในการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรสมัยใหม่อีกด้วย
วรากร กล่าวทิ้งท้ายว่า ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยเพื่อสนับสนุนการทำเกษตรของคนในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน นำไปสู่การทำน้อยแต่ได้มากตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นนโยบายขับเคลื่อนประเทศในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการวิจัยจำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณในการวิจัยและการพัฒนาอุปกรณ์ การทดสอบใช้งานภาคสนาม และการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังเสาะหาช่องทางการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐและเอกชนในการขยายผลสู่การเปิดให้ใช้งานเทคโนโลยีในรูปแบบสาธารณประโยชน์ (open source) เพื่อให้เกษตรกรไทยมีโอกาสเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับการทำการเกษตรอย่างทั่วถึง
สำหรับผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนการดำเนินงานพัฒนาเทคโนโลยี รับถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ คุณเจริญมิตร วรเดช เนคเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 หรืออีเมล info@nectec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ กรมส่งเสริมการเกษตร เปิดตัว SOP ทุเรียน แนวทางแก้ไขโรคและแมลงด้วยชีวภัณฑ์ รองรับนโยบาย Thai go Green ภาคการเกษตรของรัฐบาล
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA introduces Standard Operating Procedure for biocontrol application in durian orchards
(18 ต.ค. 66) อ.บ้านค่าย จ.ระยอง - ตามที่รัฐบาลสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยไม่สร้างผลเสียต่อเศรษฐกิจ "การฟื้นฟูสีเขียว หรือ Green Recovery" ซึ่งเป็นแนวทางและมาตรการในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความเจริญเติบโตแบบยั่งยืน รวมทั้งสอดคล้องตามนโยบาย “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” และ “เน้นประเด็นสำคัญของประเทศ” ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายใต้การนำของ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานเกษตรจังหวัดระยอง
ได้ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลทางด้านการเกษตร จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “เรียนรู้การจัดการโรคและแมลงในทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG แบบบูรณาการเชิงพื้นที่ (Area based): การจัดการทำแบบมาตรฐานจัดการศัตรูพืช (Standard Operating Procedure: SOP)
โดยใช้ชีวภัณฑ์แบบผสมผสานในพืชเศรษฐกิจ ทุเรียน” ซึ่งได้รวบรวมองค์ความรู้เป็น SOP คู่มือการจัดการศัตรูทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อช่วยให้เกษตรกร ดูแลรักษาทุเรียน จากโรคและแมลงศัตรู โดยเฉพาะโรครากเน่าโคนเน่าที่เป็นปัญหาร้ายแรง รวมถึงส่งเสริมให้ใช้ชีวภัณฑ์อย่างเหมาะสม ถูกวิธี และถูกเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ตามการระบาดของศัตรูพืช ช่วยลดปริมาณการใช้สารเคมีและลดปัญหาการตรวจพบสารเคมีตกค้าง ไม่สร้างผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับทุเรียนสู่ตามมาตรฐานส่งออก โดยมีนางอุบล มากอง ผอ.สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผอ.ไบโอเทค และ น.ส.วรนุช สีแดง เกษตร จ.ระยอง ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วย นายกฤษฎา ฉิมอินทร์ ผอ.ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จ.ชลบุรี ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รอง ผอ.ไบโอเทค และนักวิจัยไบโอเทค นำโดย ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน และทีมวิจัย ตลอดจนผู้นำชุมชมและเกษตรกรจำนวนมากเข้าร่วมในงาน
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเติบโตแบบยั่งยืน เป็นเป้าหมายสำคัญในการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ในการขับเคลื่อนภาคการเกษตร ซึ่งประเทศไทยมีความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพสูงมาก ทั้งจุลินทรีย์ พืช และ สัตว์ โดยทางทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. ได้ทำการศึกษาความหลากหลายของสายพันธุ์จุลินทรีย์ มุ่งเน้นค้นหาและศึกษาความเป็นประโยชน์ของจุลินทรีย์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการเกษตร มุ่งเน้นจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติเป็นชีวภัณฑ์ การย่อยสลายวัสดุเหลือทิ้งจากไร่นา และจุลินทรีย์การกระตุ้นการเจริญเติบโตและการดูดซับธาตุอาหารที่มีประสิทธิภาพ
ในปัจจุบันไบโอเทค สวทช. มีคลังจุลินทรีย์ของประเทศ (TBRC) ที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้น ๆ ของเอเชีย จากการวิจัยยาวนานกว่า 20 ปี ทำให้สามารถคัดกรองและคัดเลือกสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมศัตรูพืช โรคและแมลงสำคัญในพืชเศรษฐกิจของประเทศ และผลักดันการใช้ประโยชน์ ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช เช่น ราบิวเวอเรีย (Beauveria bassiana) สำหรับควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไก่แจ้ แมลงหวี่ขาว ฯลฯ และราเมตาไรเซียม (Metarhizium) สำหรับควบคุมไรแดงชนิดต่าง ๆ ชีวภัณฑ์จากแบคทีเรียและราเพื่อควบคุมโรคพืช ได้แก่ ราไดรโคเดอร์มา (Trichoderma) ควบคุมราก่อโรคพืชต่าง ๆ เช่น โรครากเน่า-โคนเน่าจากเชื้อราไฟทอปธอร่า เป็นต้น ซึ่งชีวภัณฑ์เหล่านี้หากได้รับการส่งเสริมการใช้อย่างเหมาะสมไปสู่เกษตรกร จะเป็นการลดการใช้สารเคมีในอุตสาหกรรมการเกษตรอย่างมีนัยสำคัญ สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ด้านนักวิจัย ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ทำการสำรวจโรคและแมลงศัตรูที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่จังหวัดระยอง และทดสอบประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์ในการจัดการสวนทุเรียน ทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการระบาดของโรคและแมลงสำคัญ เพื่อสร้างองค์ความรู้และกระบวนการจัดการปัญหาโรคและแมลงในสวนทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์ทดแทนการใช้สารเคมีที่มีอันตราย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนอินทรีย์หรือทุเรียนปลอดภัย และส่งผลดีต่อสุขภาพของเกษตรกร แรงงานไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้บริโภค และลดการปนเปื้อนของสารเคมีเกษตรสู่แหล่งน้ำหรือสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลเสียทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมสัตว์น้ำและการท่องเที่ยวด้วย
พื้นที่สวนคุณสันติ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นพื้นที่ทดสอบการใช้ชีวภัณฑ์ระดับแปลงและจัดทำเป็นแปลงสาธิตแสดงประสิทธิภาพของสารชีวภัณฑ์แก่ผู้ปลูกทุเรียน โดยมีเป้าหมายในการแก้ปัญหา ยุติความสูญเสียจากการยืนต้นตายของต้นทุเรียน โดยทีมวิจัยได้ทำการสำรวจโรคและแมลงที่เป็นปัญหาในแปลง พูดคุยสร้างความเข้าใจและถ่ายทอดความรู้เรื่องชีวภัณฑ์กับคุณสันติและคุณพ่อ รวมไปถึงคนงานที่อยู่ในสวนอย่างใกล้ชิด การทดสอบประสิทธิภาพของการใช้ชีวภัณฑ์แบ่งเป็นสามกรรมวิธี กรรมวิธีละ 1 ไร่ ประกอบด้วย กรรมวิธีใช้สารชีวภัณฑ์อย่างเดียวตามการระบาด กรรมวิธีผสมผสานชีวภัณฑ์และสารเคมี และกรรมวิธีดั้งเดิมตามแนวทางของเกษตรกรที่ใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียว โดยเริ่มการทดสอบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-ปัจจุบัน พบว่า ชีวภัณฑ์มีประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงศัตรูได้ดีหรือเทียบเท่าสารเคมี และยังพบการเพิ่มขึ้นของแมลงศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชน์ (แมลงดี) ในแปลงที่ใช้ชีวภัณฑ์และผสมผสานมากกว่าแปลงสารเคมี แสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวภัณฑ์สามารถฟื้นคืนสมดุลธรรมชาติระบบนิเวศในสวนทุเรียนได้ดี ในด้านของโรคทุเรียน พบว่า ชีวภัณฑ์สามารถหยุดการตายของต้นทุเรียนได้ ต้นทุเรียนค่อย ๆ ฟื้นตัว ดังนั้น ทีมวิจัยจึงได้สนับสนุนให้คุณสันติฉีดพ่นไตรโคเดอร์มาแบบปูพรมทั้งสวน เพื่อลดความรุนแรงของเชื้อราไฟทอปธอร่า และไตรโคเดอร์มา ทั้งยังสามารถส่งเสริมความแข็งแรงของพืชได้อีกด้วย เมื่อพิจารณาด้านคุณภาพและปริมาณผลผลิต พบว่า การใช้ชีวภัณฑ์หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมี ไม่ส่งผลเสียต่อรสชาติและคุณลักษณะภายนอกของผลทุเรียน และทุเรียนยังให้ผลผลิตใกล้เคียงกับการใช้สารเคมีคือ เฉลี่ย 43-57 ผล/ต้น”
ขณะที่เจ้าของสวนทุเรียน คุณสันติ จิรเสาวภาคย์ เกษตรกรผู้ปลุกทุเรียน เผยว่า สวนทุเรียนของตน เกิดประสบปัญหาต้นทุเรียนติดเชื้อรากเน่าโคนเน่าจากราไฟทอปธอร่าและพิเทียมที่รุนแรง ทำให้มีการยืนต้นตายของทุเรียนหลายสิบต้น เสียหายอย่างมากมาย ตนจึงได้ปรึกษาทางทีมวิจัยของไบโอเทค ซึ่งมีความรู้เรื่องชีวภัณฑ์ ได้ทำการทดสอบในสวนทุเรียนของตน โดยถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องโรคและแมลง และการจัดการสวนทุเรียน ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทำให้มีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพชีวภัณฑ์ในการป้องกันกำจัดโรคแมลงในสวนทุเรียนมากขึ้น ปัจจุบันทางทีมวิจัยยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บข้อมูลผลผลิตในอีกหนึ่งรอบการผลิต
“นอกจากทุเรียนแล้วทีมวิจัยฯ ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพในระดับแปลงในหลากพืชพันธุ์และหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย อาทิ โหระพาเพื่อการส่งออก จ.นครปฐม, กล้วยไม้เพื่อการส่งออกในกลุ่มผู้ผลิตกล้วยไม้ภาคกลาง-ตะวันตก, ถั่วฝักยาวและพริก จ.ราชบุรี, เมล่อน จ.พระนครศรีอยุธยา และมังคุด จ.จันทบุรี เป็นต้น โดยชีวภัณฑ์ที่ใช้อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างไปจากสารเคมี นอกจากนั้น ทีมวิจัยได้ริเริ่มจัดทำระบบสนับสนุนการใช้ชีวภัณฑ์แบบ one stop service ที่เชื่อมต่อเกษตรกร นักวิชาการ และผู้ผลิตชีวภัณฑ์ รวมถึงเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลผู้ให้บริการตรวจสอบสภาพอากาศ เพื่อสร้างผู้ช่วยส่วนตัวของเกษตรกรในการวินิจฉัยโรคและแมลง แนะนำ SOP หรือมาตรฐานการปฏิบัติงาน ในแต่ละพืชและชีวภัณฑ์ที่เหมาะสม และเป็นที่รวบรวมผู้ผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานมาให้บริการเกษตรกร คาดการณ์ว่าจะสามารถเริ่มเปิดใช้งานได้ในปี 2567 โดยคาดหวังว่าระบบนี้จะสนับสนุนให้เกิดการใช้ชีวภัณฑ์เป็นวงกว้างและยั่งยืนได้ต่อไป” ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยไบโอเทค กล่าวปิดท้าย
สำหรับเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องที่สนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช. โทร. 0 2564 6700 ต่อ 3378, 3364 อีเมล ibct.biotec@gmail.com เพจ Facebook: ชีวภัณฑ์ไบโอเทค เพื่อผักผลไม้ปลอดภัย และทาง X (Twitter): Green Crop Defender @GCD_Squad
ข่าวประชาสัมพันธ์

6 องค์กร ผนึก ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เชื่อมระบบการบริการด้านสาธารณสุข ยกระดับงานสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
For English-version news, please visit : Six organizations form a partnership to leverage technology to enhance public health services, supporting health promotion and disease prevention
(วันที่ 17 ตุลาคม 2566) ที่ห้องประชุมวชิรเวช อาคารมหิตลาธิเบศร แพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข สภาเภสัชกรรม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง การพัฒนาระบบบริการด้านเภสัชกรรมโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการบริการด้านสาธารณสุข ระหว่าง 6 องค์กร
ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สภาเภสัชกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิเภสัชกรรมชุมชน โดยมี ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รศ. พิเศษ ภก.กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นายแพทย์สุนทร สุนทรชาติ รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย กทม. ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ ภก.ธีรวุฒิ พงศ์เศรษฐไพศาล ประธานมูลนิธิเภสัชกรรมชุมชน ร่วมลงนาม
โดย รศ.พิเศษ ภก.กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม กล่วว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง 6 องค์กรในครั้งนี้ เพื่อดำเนินงานความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี และระบบบริการต่าง ๆ ในการสนับสนุนงานสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค การลดความแออัด การเชื่อมต่อและส่งต่อผู้ป่วย เพื่อให้เกิดระบบเครือข่ายของการดูแลประชาชนตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ (ร้านยา) จนถึงระดับตติยภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้จะมีการดำเนินงานความร่วมมือในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงระหว่างบริการ เภสัชกรรมกับทุกฝ่าย ตลอดจนร่วมมือกันเพื่อให้เกิดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของระบบบริการสาธารณสุขที่ทันสมัยอันเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม โดยเฉพาะการสร้างบทบาทด้านนวัตกรรมบริการสาธารณสุขเพื่อประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) มีภารกิจและเป้าหมายหลักมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญดำเนินงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างฐานรากสำคัญด้านเทคโนโลยีของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ สวทช. ได้ตระหนักอย่างยิ่งถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีระบบบริการด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุข ที่มาประยุกต์ใช้ในการดูแลประชาชนและผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพ
จึงสนับสนุนเทคโนโลยีในการพัฒนาระบบการให้บริการด้านเภสัชกรรมและนวัตกรรมบริการด้านสาธารณสุข รวมทั้งการให้ข้อมูลความต้องการระหว่างกันเพื่อพัฒนาระบบบริการดังกล่าว เพื่อให้หน่วยบริการสามารถนำเทคโนโลยีพัฒนาระบบการให้บริการทั้งด้านเภสัชกรรมและนวัตกรรมบริการด้านการสาธารณสุขไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง
“สวทช. พร้อมที่ให้การสนับสนุนบุคลากร ทรัพยากร ภายใต้กรอบพันธกิจของหน่วยงานเพื่อให้เกิดการพัฒนาและใช้เทคโนโลยี ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและการใช้งานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ในการขับเคลื่อน การให้บริการด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุขของประเทศไทย ให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัย ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เกิดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของระบบบริการสาธารณสุขที่ทันสมัย เพื่อการให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยขยายผลการใช้งานในวงกว้างเพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ทั่วถึงและเท่าเทียมต่อไป” ดร.อดิสร กล่าว
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง 6 หน่วยงาน เพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพ การป้องกันและรักษาโรค โดยใช้ระบบเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดระบบเครือข่ายการเชื่อมต่อและส่งต่อผู้ป่วยในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิคือร้านยา ไปจนถึงระดับตติยภูมิคือโรงพยาบาล ที่มุ่งเน้นการป้องกันและรักษาโรคที่เกิดจากยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากคนสูบบุหรี่ แม้สูบไม่ทุกวัน จะมีความเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 แต่ละปีคนไทยเสียชีวิตจากบุหรี่กว่า 80,000 คน หรือร้อยละ 18ของการเสียชีวิตทั้งหมด ในจำนวนนี้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองกว่า 6,000 คน คิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 352,000ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ สสส. มีเครือข่ายร้านยาพาเลิกบุหรี่ 386 ร้านทั่วประเทศ และพัฒนาระบบบริการเภสัชกรรมทางไกลที่ประชาชนเข้าถึงบริการทั่วประเทศ
ที่พร้อมจะสนับสนุนความร่วมมือการสร้างเสริมสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลิกบุหรี่ สุรา และการจัดการปัญหาการใช้ยา เพื่อให้คนไทยมีสุขภาวะดี ปลอดภัยจากควันบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อย่างไรก็ตามทั้ง 6 ฝ่ายพร้อมร่วมมือกันพัฒนาแนวทางและการดำเนินงานในทุก ๆ ด้าน ของการให้บริการเภสัชกรรม การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การลดความแออัดในหน่วยบริการ การเชื่อมต่อส่งต่อผู้ป่วยรวมถึงนวัตกรรมบริการใหม่ ๆ รวมทั้งการพัฒนาระบบข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งเป็นความยั่งยืนของระบบการให้บริการด้านเภสัชกรรม
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘Plant-based Chicken Mix’ เนื้อไก่ผงจากพืช DIY อร่อยตอบโจทย์เทรนด์รักษ์สุขภาพ-รักษ์โลก
For English-version news, please visit : NSTDA’s plant-based chicken mix hits the market
เทรนด์การบริโภคอาหารจากพืชหรือ ‘Plant-based food’ กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในปัจจุบันและมีแนวโน้มขยายวงกว้างมากขึ้น อีกทั้งยังได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในอาหารแห่งอนาคต เพราะไม่เพียงเป็นอาหารที่รักษ์สุขภาพเท่านั้น แต่กระบวนการผลิตยังรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย ล่าสุดนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้พัฒนา ‘ผงไก่จากพืช’ ที่ให้ความอร่อยทดแทนเนื้อไก่ในเมนูอาหารได้สำเร็จ ปัจจุบันถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนผลิตจำหน่ายแล้ว
สวทช. วิจัยปั้นโปรตีนถั่วเหลืองเป็นเนื้อไก่ Ve-Chick
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันกระแสการบริโภคอาหารรักษ์สุขภาพได้รับความนิยมมากขึ้น โดยผู้บริโภคหันมาสนใจผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนพืช และลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนพืชมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น อย่างไรก็ดี การบริโภคโปรตีนพืชอาจมีเนื้อสัมผัส รสชาติ และกลิ่นที่ไม่ถูกปากในผู้บริโภคบางกลุ่ม ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายที่ทีมวิจัยด้านวัสดุศาสตร์จะใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การอาหารและวัสดุศาสตร์พัฒนาอาหารจากโปรตีนพืชเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคให้กว้างขึ้น
“เราเลือกใช้โปรตีนถั่วเหลืองในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช Ve-Chick โดยอาศัยเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหารผสานเข้ากับความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อออกแบบจัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้มีลักษณะเป็นเส้นใยเหมือนกับเนื้อไก่ ควบคู่กับการปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติให้เหมือนจริง จนได้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบคือ ‘เนื้อไก่กึ่งสำเร็จรูป (Pre-cooked)’ เป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นเนื้ออกไก่ชุบแป้งทอดและชิ้นเนื้ออกไก่สำหรับปรุงอาหารทดแทนเนื้อไก่ได้หลากหลาย ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ ‘เนื้อไก่แบบผง (Premix)’ ปราศจากกลูเตน สำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นเนื้อไก่ด้วยตนเอง ซึ่งมีเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเนื้อไก่แบบผง นำไปผลิตจำหน่ายแล้วภายใต้แบรนด์ต่างๆ อาทิ ‘กรีน สพูนส์’ (Green Spoons)” นักวิจัยกล่าว
[caption id="attachment_48152" align="aligncenter" width="650"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
เอกชนรับไม้ต่อ เจาะตลาดอาหารสุขภาพ
คุณอารดา วินัยแพทย์ สตาร์ตอัปด้านอาหารสุขภาพเจ้าของแบรนด์ ‘กรีน สพูนส์’ (Green Spoons) เล่าว่า หลังจากเรียนจบปริญญาเอกด้านภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease) ที่สิงคโปร์เป็นเวลา 3 ปี ทำให้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของหนูทดลองซึ่งเป็นผลกระทบจากอาหารที่กินเข้าไป ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้คนหันมาสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น กระแสการบริโภค plant-based food มีมากขึ้น จึงเริ่มสนใจอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะเราอยากให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และสุขภาพที่ดีต้องเชื่อมกับสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย ซึ่งการรับประทาน plant-based food มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับ plant-based food เพราะตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพในปัจจุบันและตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนในอนาคต
[caption id="attachment_48149" align="aligncenter" width="650"] คุณอารดา วินัยแพทย์[/caption]
“หลังจากได้มีโอกาสคุยกับ ดร.กมลวรรณ และทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหารของเอ็มเทค สวทช. แล้วเห็นว่าผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลืองน่าสนใจและน่าจะไปได้ไกล จึงรับถ่ายทอดเทคโนโลยีมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยเราได้วิจัยพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อปรับสูตรให้เข้ากับการผลิตล็อตใหญ่และเหมาะกับผู้บริโภคมากขึ้น แต่สูตรหลักยังเป็นของ สวทช. โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ได้คือ เนื้อไก่ปรุงรสชนิดผงแห้งแบบพรีมิกซ์ สามารถนำมาผสมกับน้ำและน้ำมันตามสัดส่วนที่ระบุไว้ และปั้นเป็นชิ้นเนื้อไก่ตามใจชอบได้เลย”
[caption id="attachment_48150" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ปรุงรสชนิดผงแห้งจากพืชแบบพรีมิกซ์[/caption]
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ผงไก่ปรุงรสจากพืช ‘กรีน สพูนส์’ ผลิตจากโปรตีนถั่วเหลืองและใยอาหารจากข้าว ไม่ใส่สารกันบูด ปราศจากกลูเทน ไขมันทรานส์ และคอเลสเตอรอล เป็นผงไก่แบบ DIY ที่ให้ผู้บริโภคขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่ได้ตามต้องการ ด้วยวิธีการปรุงไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ผสมผงไก่กับน้ำและน้ำมันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ แล้วปั้นขึ้นรูป ก็จะได้เนื้อไก่จากพืชที่นำไปประกอบอาหารแทนเนื้อไก่ได้ทุกรูปแบบ โดยมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่อร่อยคล้ายกับเนื้อไก่จริง
[caption id="attachment_48148" align="aligncenter" width="500"] เนื้อไก่ปรุงรสชนิดผงแห้งจากพืชแบบพรีมิกซ์สามารถนำมาปั้นขึ้นรูปได้อย่างง่ายดาย และปรุงอาหารได้หลากหลายตามต้องการ (เครดิตภาพ www.facebook.com/greenspoonsonly)[/caption]
“ผลตอบรับจากลูกค้าที่ได้ลองชิมผลิตภัณฑ์ของเราส่วนใหญ่จะชอบมาก บอกว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนกับไก่มาก และคิดว่าน่าจะต่อยอดได้ แต่ด้วยเราเพิ่งจะมาจับธุรกิจทางด้านนี้ อาจจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งที่จะหาคู่ค้าหรือธุรกิจต่อยอดในอนาคต ซึ่งเราวางแผนการตลาดไว้ทั้งการขายในประเทศและการส่งออก ตอนนี้ก็ได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างชาติมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ ส่วนในประเทศมีจำหน่ายแล้วที่ร้านอิ่มใจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ห้างไอซีเอส (ICS) ตรงข้ามไอคอนสยาม และร้าน healthy store หลายแห่ง หรือติดต่อสั่งซื้อผ่านไลน์ได้ที่ Line: @greenspoonsonly หรือติดตามได้ที่เฟซบุ๊กและอินสตาแกรม greenspoonsonly” คุณอารดากล่าว
[caption id="attachment_48147" align="aligncenter" width="650"] นักเก็ตไก่ทำจากผลิตภัณฑ์ผงไก่ปรุงรสจากพืช ‘กรีน สพูนส์’ ให้รสชาติและเนื้อสัมผัสคล้ายเนื้อไก่ (เครดิตภาพ www.facebook.com/greenspoonsonly)[/caption]
‘FoodSERP’ พร้อมเสิร์ฟนวัตกรรมสู่ภาคธุรกิจ
ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ผงจากพืชแบบพรีมิกซ์เป็นหนึ่งในผลผลิตจาก ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน’ หรือ ‘FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)’ ที่ สวทช. จัดตั้งขึ้นเพื่อมุ่งเน้นให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายกำลังการผลิต รวมถึงการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน แบบ One-stop Service โดยผสานความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ ภายใต้ สวทช. เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางของประเทศให้แข่งขันได้และสอดรับกับทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคต
สำหรับบริการด้านอาหาร FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ พร้อมบริการวิเคราะห์ทดสอบเนื้อสัมผัสของอาหาร ทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร และทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานระดับสากล
ผู้ประกอบการที่สนใจพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบใหม่ สามารถติดต่อรับบริการจากแพลตฟอร์ม FoodSERP โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th หรือเฟซบุ๊ก facebook.com/FoodSERP
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

UNIDO เยือน สวทช. ตอกย้ำความร่วมมือ ด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดต่อการขนส่งที่ยั่งยืนของไทย
For English-version news, please visit : Visit of UNIDO Director General strengthens UNIDO-NSTDA collaboration on clean energy
(วันที่ 15 ตุลาคม 2566) ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี Dr.Gerd Müller ผู้อำนวยการองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ United Nations Industrial Development Organization (UNIDO) ได้เข้าเยี่ยมชมและหารือร่วมกับ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ทั้งสองหน่วยงานมีความร่วมมือในการพัฒนาและวิจัยเพื่อผลักดันด้านอุตสาหกรรมในประเทศไทยกันมาอย่างต่อเนื่องและเป็นระยะเวลายาวนาน ผ่านการสนับสนุนจาก the Global Environment Facility (GEF) โดยในการประชุมครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวถึงโครงการความร่วมมือที่ผ่านมา และได้มีการหารือแนวความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตประกอบด้วยด้าน battery swapping และ Bio Technology และ South-South Cooperation
Dr.Gerd Müller กล่าวว่า มีความภูมิใจสำหรับความร่วมมือซึ่งที่ผ่านมา UNIDO ได้ร่วมงานกับ สวทช. มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2008 ซึ่ง สวทช. เป็นหน่วยงานที่สำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมในประเทศไทย ทั้งโครงการการพัฒนาต้นแบบรถไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดระยอง โครงการการบูรณาการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการถ่ายทอดเทคโนโลยีในรูปแบบ South-South Cooperation ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดสำหรับ SMEs และ start up และโครงการจัดทำแผนปฏิบัติการรายชื่อสารเคมีที่เป็นพิษแห่งชาติ ที่ได้ระบุไว้ในอนุสัญญาสต็อกโฮม และมีความยินดีที่จะทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ให้การต้อนรับคณะ UNIDO การเยือนครั้งนี้เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของโครงการที่มีอยู่และแสวงหาความร่วมมือในอนาคตเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของประเทศไทย ทั้งนี้ขอขอบคุณ Dr. Müller และ UNIDO สำหรับการมาเยือนและโอกาสในการร่วมงานกัน ซึ่งโดยภาพรวมแล้วการเยือนครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของไทยต่อการขนส่งที่ยั่งยืนและความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านนี้
ทั้งนี้ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้นำเสนอภาพรวมโครงสร้าง สวทช. และได้มีการนำเสนอโครงการที่ผ่านมาที่ได้รับการสนับสนุนจาก UNIDO นอกจากนี้ ดร.เกื้อกูล ปิยะจอมขวัญ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ได้นำเสนอในที่ประชุมในหัวข้อ The Pilot Case of Ethanol Production from Cassava, และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) นำเสนอหัวข้อ Accelerating the adoption and life-cycle solutions to electric mobility in Thailand
อย่างไรก็ตามในการประชุมได้นำเสนอถึงความเป็นไปได้ในร่วมมือกันในอนาคต ในโครงการ Swapping Battery Motorcycle Project นำเสนอโดย ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์ ENTEC และโครงการ Sustainable Manufacturing Center: SMC นำเสนอโดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) โอกาสนี้ภายหลังการหารือเสร็จสิ้น Dr.Gerd Müller ได้ทดลองขับขี่รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า ผลงานวิจัยภายใต้โครงการ Swapping Battery Motorcycle ที่พัฒนาโดย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร
ข่าวประชาสัมพันธ์