ผลการค้นหา :
แกะกล่องงานวิจัย : เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลนเพื่อการอนุรักษ์ระยะยาว
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
วันที่ 26 กรกฎาคมของทุกปี คือ วันสากลของการอนุรักษ์ระบบนิเวศป่าชายเลนโลก (International day for the conservation of the mangrove ecosystem) หรือที่นิยมเรียกว่าวันป่าชายเลนโลก เป็นวันที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน ระบบนิเวศแนวเชื่อมต่อระหว่างทะเลกับแผ่นดินที่เป็นทั้งแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากิน แหล่งกักเก็บคาร์บอน และยังเป็นแนวกำแพงช่วยลดความรุนแรงภัยพิบัติทางธรรมชาติ
เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของพืชป่าชายเลน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) พัฒนากระบวนการเก็บอนุรักษ์พันธุกรรมพืชป่าชายเลนไทยในสภาพปลอดเชื้อด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยเฟสแรกได้คัดเลือกพันธุ์พืชป่าชายเลนมาศึกษากระบวนการเพาะเลี้ยงแล้ว 16 ชนิด ประกอบด้วยหงอนไก่ใบเล็ก พังกา-ถั่วขาว พังกาหัวสุมดอกแดง ใบพาย โปรงขาว โปรงแดง ลำแพน หลุมพอทะเล โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ตะบูนขาว ตะบูนดำ ถั่วขาว ถั่วดำ ฝาดดอกแดง และลำแพนหิน ซึ่งพืชเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ตามประกาศของ IUCN Red List ตั้งแต่ระดับต่ำจนถึงใกล้สูญพันธุ์
📌 2) ดีอย่างไร ?
พืชพรรณที่เติบโตในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนโดยเฉพาะพืชป่าชายเลนบางชนิดอนุรักษ์ในรูปแบบเมล็ดพันธุ์ไม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถมีชีวิตเมื่อผ่านกระบวนการลดความชื้นและจัดเก็บในสภาวะเยือกแข็ง (อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส)
การเก็บรักษาพันธุ์พืชป่าชายเลนด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่อการอนุรักษ์พันธุ์พืชกลุ่มนี้ในระยะยาว ซึ่งการขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีนี้จะทำให้ได้ต้นพันธุ์ที่มีลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ ปลอดโรค และยังเพิ่มปริมาณได้รวดเร็วในพื้นที่จำกัดอีกด้วย
📌 3) ตอบโจทย์อะไร ?
หากการวิจัยประสบความสำเร็จด้วยดี จะใช้กรรมวิธีนี้ฟื้นคืนจำนวนต้นไม้ในพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงสูญพันธุ์ และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพได้
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ?
กำลังพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยง
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย >> ไทยเดินหน้า “เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลน” มุ่งสนับสนุนการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ภัยเงียบ ! “เดคาบีดีอี” ใช้ประโยชน์เป็นสารหน่วงไฟ แต่พิษภัยอันตรายกว่าที่คิด
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มักจะมีการเติมสารหน่วงไฟ เช่น เดคาบีดีอี เพื่อชะลอการติดไฟของวัสดุ แต่เมื่อผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสื่อมสภาพ หมดอายุการใช้งาน และกลายเป็นขยะ สารมลพิษบางชนิดรวมถึงเดคาบีดีอีที่แฝงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ก็มีโอกาสเล็ดลอดสู่สิ่งแวดล้อมและเข้าสู่ร่างกายของเราโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผลกระทบจากสารเคมีแม้จะไม่ได้แสดงผลทันทีแต่เมื่อได้รับสะสมเป็นเวลานานและในปริมาณมากขึ้น อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพเกินกว่าที่เราจะคาดคิด
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ดำเนินโครงการ “decaBDE สารมลพิษตกค้างยาวนานและการจัดการอย่างยั่งยืน” เพื่อสร้างความตระหนักรวมถึงแนวทางป้องกันและหลีกเลี่ยงภัยอันตรายของสาร decaBDE ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)
[caption id="attachment_59169" align="aligncenter" width="469"] ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. และผู้ดำเนินโครงการ “decaBDE สารมลพิษตกค้างยาวนานและการจัดการอย่างยั่งยืน” กล่าวว่า เดคาโบรโมไดฟีนิลอีเทอร์หรือเดคาบีดีอี (decabromodiphenyl ether: decaBDE) เป็นสารหน่วงไฟชนิดหนึ่งที่ถูกใช้มานานอย่างกว้างขวางในหลายผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะพลาสติก เช่น จอโทรทัศน์แบบเก่า เคสเครื่องใช้ไฟฟ้า ปลอกสายไฟ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เช่น ผ้าม่าน โซฟา เบาะรถยนต์ และอาจปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล เช่น ของเล่นเด็ก และวัสดุสัมผัสอาหาร
“หลายปีที่ผ่านมามีการตรวจพบ decaBDE ในร่างกายมนุษย์ ทั้งในเลือด น้ำนมแม่ น้ำอสุจิ และในสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิด นอกจากนี้ยังพบในอากาศและฝุ่นทั้งภายในและภายนอกอาคารบ้านเรือน โดยเฉพาะในบริเวณรอบ ๆ พื้นที่สำหรับจัดเก็บหรือถอดแยกชิ้นส่วนซากอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้เพราะ decaBDE สามารถเล็ดลอดสู่สิ่งแวดล้อมได้ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิต การใช้ การกำจัดทิ้ง ไปจนถึงการรีไซเคิล ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ decaBDE สามารถกระจายตัวไปตามแหล่งน้ำ สะสมในดิน หรือแม้กระทั่งจับตัวกับอนุภาคในอากาศ ซึ่งทำให้เคลื่อนย้ายไปได้ไกลในสิ่งแวดล้อม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมมีการตรวจพบ decaBDE ในพื้นที่ห่างไกลอย่างขั้วโลก ไม่เพียงเท่านี้ decaBDE ยังจับตัวกับไขมันได้ดีจึงสะสมและเพิ่มปริมาณในสิ่งมีชีวิตผ่านการกินกันเป็นทอด ๆ ในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งพบว่ามี decaBDE ปนเปื้อนอยู่ในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม และปลา”
[caption id="attachment_59175" align="aligncenter" width="750"] decaBDE สามารถกระจายตัวไปตามแหล่งน้ำ สะสมในดิน จับตัวกับอนุภาคในอากาศ ซึ่งทำให้เคลื่อนย้ายไปได้ไกลในสิ่งแวดล้อม[/caption]
เนื่องจากผลกระทบที่รุนแรงดังที่กล่าวมา decaBDE จึงถูกบรรจุเป็นหนึ่งในสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน หรือ สาร POPs (persistent organic pollutants) ในภาคผนวก A (สารที่ต้องเลิกใช้) ภายใต้อนุสัญญาสตอกโฮล์ม เมื่อปี พ.ศ. 2560 และอยู่ในทำเนียบสาร POPs ของประเทศไทยฉบับที่ 2 ร่วมกับสารมลพิษตกที่ค้างยาวนานอื่น ๆ รวม 15 ชนิด นอกจากนี้ decaBDE (ทั้งในรูปแบบสารเคมีเดี่ยวและสารผสม) ยังถูกควบคุมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ในความรับผิดชอบของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งหากมีการนำเข้า ผลิต ส่งออก นำผ่าน และมีไว้ในครอบครองต้องขออนุญาตกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย
decaBDE อันตรายแค่ไหน ใครเสี่ยงบ้าง ?
ดร.ศิริกาญจน์ ให้ข้อมูลว่า จากผลการสำรวจในปี พ.ศ. 2562 พบว่าประเทศไทยมีการตกค้างของสาร decaBDE ในสิ่งทอที่ใช้งานอยู่ประมาณ 3 ล้านตัน และในเคสโทรทัศน์แบบหลอดรังสีแคโทดที่ผลิตก่อน พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) ทั้งที่ยังใช้อยู่และรอทิ้งประมาณ 500–820 ตัน
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับ decaBDE เข้าสู่ร่างกายคือผู้ที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนที่มี decaBDE โดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในโรงงานคัดแยกซากชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำไปหมุนเวียนหรือรีไซเคิล รวมถึงคนทั่วไปก็เสี่ยงได้รับ decaBDE ที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม
“decaBDE เข้าสู่ร่างกายได้ทั้งจากการหายใจ การสัมผัส การที่ฝุ่นเข้าปาก และการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน และยังส่งต่อจากแม่สู่ลูกผ่านทางสายสะดือและการให้นมบุตร ซึ่งในทารกและเด็กเล็กพบปริมาณ decaBDE ต่อน้ำหนักตัวสูงกว่าผู้ใหญ่ จึงมีโอกาสได้รับผลกระทบมากกว่าด้วย เมื่อ decaBDE เข้าสู่ร่างกายจะเป็นพิษต่อระบบประสาท ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อและระดับสมดุลของฮอร์โมน ทำให้เด็กมีพัฒนาการช้าลง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ decaBDE ในร่างกายสามารถสลายตัวเป็นสารมลพิษอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น เช่น สารก่อมะเร็ง เป็นพิษต่อตับ ระบบสืบพันธุ์ และไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่ decaBDE ยังเป็นพิษต่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดในระบบนิเวศด้วย”
[caption id="attachment_59178" align="aligncenter" width="750"] decaBDE ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม สะสมและเพิ่มปริมาณในสิ่งมีชีวิตผ่านการกินกันเป็นทอด ๆ ในห่วงโซ่อาหาร[/caption]
เราจะลดความเสี่ยงจาก decaBDE ได้อย่างไร ?
ดร.ศิริกาญจน์ ให้คำแนะนำว่า ผู้ประกอบการและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องสามารถลดความเสี่ยงจาก decaBDE และหมุนเวียนวัสดุได้อย่างปลอดภัยโดยการบ่งชี้และแยกแยะวัสดุและผลิตภัณฑ์ว่ามี decaBDE ผสมอยู่หรือไม่ สวมใส่ถุงมือและหน้ากากกันฝุ่นในระหว่างทำงาน รวมทั้งเรียนรู้และปฏิบัติตามแนวทางการจัดการที่เหมาะสมด้วยเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด หรือ BAT/BEP
สำหรับบุคคลทั่วไปควรหมั่นทำความสะอาดที่อยู่อาศัย และจัดการขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี โดยแยกจากขยะชนิดอื่นและนำไปทิ้งในจุดทิ้งขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ทิ้งรวมกับขยะทั่วไป
[caption id="attachment_59179" align="aligncenter" width="750"] ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับ decaBDE เข้าสู่ร่างกายคือผู้ที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนที่มี decaBDE โดยตรง[/caption]
แม้ว่าสารมลพิษตกค้างยาวนานอย่าง decaBDE จะถูกใช้งานมาหลายปี และยังมีบางส่วนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่หากผู้ประกอบการและผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนสามารถปฏิบัติตามมาตรการและแนวทาง BAT/BEP ในการจัดการสารเคมีในผลิตภัณฑ์และสารมลพิษตกค้างยาวนานได้อย่างเหมาะสม นอกจากจะช่วยส่งเสริมการหมุนเวียนวัสดุอย่างปลอดภัยแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน เพื่อโลกที่ดีกว่าและอนาคตที่สดใสสำหรับเราทุกคน
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘MicroWash-V’ ผลิตภัณฑ์ล้างผักและผลไม้ บริโภคปลอดภัยใน 5 นาที
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการผลิตพืชผลทางการเกษตรในระดับอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในพื้นที่เขตร้อนชื้นอย่างประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงศัตรูพืชและเชื้อก่อโรค จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการควบคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน ซึ่งหากผู้ประกอบการหรือเกษตรกรวางแผนการใช้สารเคมีอย่างเหมาะสม สารเคมีเหล่านั้นจะสลายไปตามธรรมชาติจนหลงเหลือในระดับต่ำหรือไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อย่างไรก็ตามผลการทดสอบคุณภาพโดยหน่วยวิจัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทยได้สะท้อนความจริงออกมาแล้วว่า ผักและผลไม้ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายตามท้องตลาดไทยมีค่าสารเคมีตกค้างเกินกว่าปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (Maximum Residue Levels: MRL)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัท อากรีว่า จำกัด พัฒนา ‘MicroWash-V (ไมโครวอช-วี)’ ผลิตภัณฑ์ล้างผักและผลไม้ กำจัดสารเคมีและสิ่งสกปรกตกค้างได้ใน 5 นาที
ภัยสารเคมีตกค้าง ยากจะหลีกเลี่ยง
การผลิตพืชผลทางการเกษตรเชิงพาณิชย์มักใช้สารเคมีหลายชนิดเพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืชและป้องกันโรคพืช โดยสารเคมี 4 กลุ่มที่ใช้งานมากและพบตกค้างได้บ่อยครั้ง คือ สารกลุ่มออร์แกโนคลอรีน ออร์แกโนฟอสเฟต คาร์บาเมต และไพรีทรอยด์ ซึ่งหากผู้บริโภคได้รับสารเหล่านี้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจนถึงแก่ชีวิตได้
[caption id="attachment_58871" align="aligncenter" width="750"] คุณบุญเลี้ยง เศรษฐกสิวิทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อากรีว่า จำกัด[/caption]
คุณบุญเลี้ยง เศรษฐกสิวิทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อากรีว่า จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสารเคมีทางการเกษตรและเมล็ดพันธุ์พืชสะท้อนว่า สารเคมีทางการเกษตรที่ใช้อยู่ทั่วไปในปัจจุบันผ่านการพัฒนาสูตรให้มีโครงสร้างซับซ้อนมากขึ้นโดยตลอด เพื่อรับมือกับปัญหาแมลงศัตรูพืชดื้อยาและสภาพอากาศที่แปรปรวนเป็นอย่างมาก ผลที่ตามมาคือหากขาดการใช้สารเคมีอย่างเหมาะสม สารเคมีเหล่านี้จะตกค้างอยู่ในผลผลิตทางการเกษตร ไม่สามารถกำจัดออกโดยการใช้น้ำสะอาดเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องนำผักและผลไม้ไปแช่ในสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่างเพื่อสลายโครงสร้างของสารเคมี เช่น การแช่ในน้ำผสมน้ำส้มสายชู ด่างทับทิม ผงฟู เป็นเวลาอย่างน้อย 10-15 นาที ก่อนนำผักและผลไม้เหล่านั้นไปล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ซึ่งการชำระล้างด้วยวิธีนี้จะช่วยลดสารตกค้างได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้สารบางชนิดมีฤทธิ์การกัดกร่อนที่ค่อนข้างรุนแรง ผู้ใช้สารประเภทนี้จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และการแช่ผักและผลไม้ในสารละลายประเภทดังกล่าวเป็นเวลานานอาจส่งผลให้สีและรสชาติเปลี่ยนแปลงไปได้
“เพื่อให้การล้างผักทำได้ง่าย ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้น บริษัท อากรีว่า จำกัด ได้ร่วมกับนาโนเทค สวทช. พัฒนาผลิตภัณฑ์ล้างผักและผลไม้ภายใต้ชื่อแบรนด์ MicroWash-V ขึ้น การใช้งานผลิตภัณฑ์ทำได้ง่ายเพียงผสมผลิตภัณฑ์ในอัตรา 5 ซีซี (กด 1-2 ปั๊ม หรือปริมาณ 1 ช้อนชา) ต่อน้ำ 1 ลิตร นำผักผลไม้ไปแช่ไว้ 3-5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผลิตภัณฑ์จะช่วยชำระล้างสารเคมีตกค้างออกได้ถึงร้อยละ 95 โดยไม่ทำให้ผักมีสีและรสชาติเปลี่ยนแปลงไป การใช้งานที่ง่ายและใช้เวลาสั้นจะช่วยให้ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องการชำระล้างสารเคมีก่อนการบริโภคผลิตผลทางการเกษตรมากยิ่งขึ้น ทำให้ผักและผลไม้เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ 1 ขวด มีปริมาตร 400 มิลลิลิตร มีอายุการใช้งานยาว 2 ปี”
MicroWash-V นวัตกรรมเพื่อสุขภาพคนไทย
ทำอย่างไรจึงจะทำความสะอาดผักและผลไม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาสั้น ใช้งานง่าย และสะดวก คือ โจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการมอบให้กับนักวิจัยนาโนเทค สวทช.
[caption id="attachment_58872" align="aligncenter" width="750"] ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า จากโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการกักเก็บสารออกฤทธิ์ในอนุภาคระดับนาโนมาพัฒนาสารไมโครอิมัลชัน (microemulsion) ขนาด 10-100 นาโนเมตร ที่มีสารประกอบกรดอินทรีย์และสารลดแรงตึงผิวหลายชนิดเป็นส่วนประกอบขึ้น เพื่อให้สารชนิดนี้สามารถชำระล้างสารเคมีที่มักพบตกค้างในผลิตผลทางการเกษตร จุลินทรีย์ก่อโรคประเภทเชื้อราและแบคทีเรีย รวมถึงสารเคลือบผิวผลไม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยสารประกอบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ เป็นสารอินทรีย์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารได้จึงมีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูง
โดยคุณบุญเลี้ยงได้กล่าวเสริมว่า ภายหลังจากทีมวิจัยนาโนเทคพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต MicroWash-V จนประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ทีมวิจัยยังคงอยู่เคียงข้างกับผู้ประกอบการในทุกขั้นตอนสำคัญ ทั้งการขยายกำลังการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม การจัดเตรียมข้อมูลสำหรับใช้ในการขออนุญาตสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการช่วยกำหนดแนวทางในการทดสอบความพึงพอใจของผู้บริโภค เพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น จนปัจจุบันบริษัทสามารถนำผลิตภัณฑ์ MicroWash-V ไปจำหน่ายในตลาดผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสุขภาพได้เรียบร้อยแล้ว
“แม้ขั้นตอนการดำเนินงานหลักทั้งหมดจะเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดหนักในประเทศไทย ทำให้การดำเนินงานหลายด้านเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ทีมวิจัยก็ยังคงตั้งใจดำเนินงานจนประสบความสำเร็จ และช่วยดูแลจนผลงานวิจัยขยายผลไปสู่การผลิตและจำหน่ายได้จริง บริษัทจึงรู้สึกประทับใจในการดำเนินงานร่วมกับทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. เป็นอย่างมาก และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมทำวิจัยกับ สวทช. ในโอกาสต่อ ๆ ไป” คุณบุญเลี้ยงกล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ MicroWash-V ติดต่อสอบถามได้ที่บริษัท อากรีว่า จำกัด เบอร์โทรศัพท์ 02 510 4430 หรือ 095 802 2728
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เอ็มเทค สวทช. เปิดตัว Ve-Sea ‘หมึกจากโปรตีนพืช’ อร่อยง่าย ดีต่อสุขภาพ
ต่อเนื่องจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ‘Ve-Sea’ ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปจากโปรตีนพืชในรูปแบบลูกชิ้นปลา เส้นปลา ฮือก้วย และกุ้ง เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ล่าสุดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ‘หมึกจากโปรตีนพืช’ ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ve-Sea ที่สายรักสุขภาพต้องว้าวอีกหนึ่งเทคโนโลยีแล้ว เพราะผลิตภัณฑ์นี้นอกจากจะมีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงหมึกจริง ยังมีโปรตีนและไฟเบอร์ ปราศจากคอเลสเตอรอลและกลูเตน ที่สำคัญปลอดภัยจากสารเคมีที่อาจตกค้างในผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการเพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าจับตา เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดและยังมีตัวเลือกไม่มากนัก
[caption id="attachment_58345" align="aligncenter" width="750"] ดร.นิสภา ศีตะปันย์ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.นิสภา ศีตะปันย์ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า ปัจจุบันหากสำรวจห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ผู้บริโภคจะเริ่มพบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืชเพิ่มขึ้นกว่าช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือได้ว่ามีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชชนิดอื่น ๆ เช่น หมู ไก่ ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะผลิตภัณฑ์ ‘หมึกจากพืช’ จะพบได้ว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีเพียงผงบุกเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมีแป้งสาลีที่มีโปรตีนกลูเตนเป็นส่วนประกอบเสริม ทำให้ผู้บริโภคที่มีอาการแพ้กลูเตนไม่สามารถบริโภคได้
[caption id="attachment_58342" align="aligncenter" width="750"] Ve-Sea หมึกจากโปรตีนพืชในรูปแบบพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC)[/caption]
“ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบโครงสร้างอาหารมาคิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีการผลิต ‘หมึกจากโปรตีนพืช’ ในรูปแบบพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC) ขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์นี้มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับหมึกจริง มีโปรตีนพืชเป็นส่วนประกอบที่ร้อยละ 4-6 มีไฟเบอร์สูง ปราศจากคอเลสเตอรอลและกลูเตน นอกจากนี้ยังมีปริมาณโซเดียมต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในท้องตลาด ใช้เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการลดหรือเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ แพ้อาหารทะเล และแพ้กลูเตน รวมถึงต้องการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้ โดยผลิตภัณฑ์ Ve-Sea หมึกจากโปรตีนพืชนำไปใช้ปรุงอาหารได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นลวก ยำ ผัด แกง ทอด ปิ้ง ย่าง”
[caption id="attachment_58343" align="aligncenter" width="600"] ผัดกะเพราหมึกจากโปรตีนพืช[/caption]
[caption id="attachment_58428" align="aligncenter" width="600"] ต้มยำรวมมิตร หมึก กุ้ง และลูกชิ้นปลาจากโปรตีนพืช[/caption]
[caption id="attachment_58427" align="aligncenter" width="600"] คาลามารี (calamari) หมึกจากโปรตีนพืชคลุกแป้งทอดกรอบ ปรุงรสชาติสไตล์อิตาลี[/caption]
[caption id="attachment_58426" align="aligncenter" width="600"] หมึกจากโปรตีนพืชลวกจิ้ม[/caption]
ดร.นิสภา เสริมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ว่า ทีมวิจัยให้ความสำคัญอย่างยิ่งเรื่องการเลือกใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายภายในประเทศ และการเลือกใช้เครื่องจักรที่มีการใช้งานทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อให้ผู้ประกอบการระดับ SME เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้ได้ ซึ่งจากการประเมินต้นทุนการผลิตพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีราคาที่แข่งขันกับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชชนิดอื่น ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจริงได้ ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีโอกาสทางการตลาดสูงทั้งในตลาดไทยและต่างประเทศ
นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารประเภทโปรตีนทางเลือกจากพืชแล้ว ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. ยังมีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย ในฐานะหน่วยให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหาร (novel food) และการบริการทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ในนาม FoodSERP (ฟูดเซิร์ป) สวทช.
ดร.นิสภา อธิบายถึงการให้บริการผ่าน ‘แพลตฟอร์ม FoodSERP’ หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ one-stop service’ ว่า สวทช. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์มนี้ขึ้นเพื่อให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร 4 กลุ่ม คือ ส่วนผสมฟังก์ชัน โปรตีนทางเลือก อาหารเฉพาะกลุ่ม และสารสกัดฟังก์ชัน ซึ่งการให้บริการจะครอบคลุมทั้งการวิจัยและพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การวิจัยและพัฒนาเพื่อขยายกำลังการผลิต การบริการวิเคราะห์ทดสอบ และการจัดเตรียมเอกสารรับรองเพื่อใช้ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมถึงการให้บริการอบรมและให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ
“ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค เปิดให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อจากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการจากผู้ประกอบการ ส่วนทางด้านบริการทดสอบ เอ็มเทคพร้อมให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้านเนื้อสัมผัสของอาหาร และได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ให้บริการทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหารด้วยเครื่องจำลองสภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (ระบบ tiny-TIMsg) และสภาวะการทำงานของลำไส้ใหญ่ (ระบบ TIM-2) รวมถึงวิเคราะห์ทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้นวัตกรรมอาหารที่นักวิจัย สวทช. ร่วมกับผู้ประกอบการวิจัยและพัฒนาขึ้น ไม่เพียงมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่สมจริง แต่ยังเป็นอาหารที่มีคุณภาพสูง” ดร.นิสภา กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Sea ทั้งผลิตภัณฑ์หมึก กุ้ง ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วยจากโปรตีนพืช ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณชนิต วานิกานุกูล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ประกอบการที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารติดต่อได้ผ่านแพลตฟอร์ม FoodSERP สวทช. อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีอัปไซเคิลน้ำต้มลูกชิ้นเป็น ‘หัวน้ำซุปปลา’ หอมกรุ่น กลมกล่อมสไตล์เอเชีย
โดยทั่วไปในกระบวนการผลิตลูกชิ้นจากเนื้อปลาจะมีน้ำที่ได้จากการต้มลูกชิ้นมากกว่า 3-6 ตันต่อวัน ซึ่งโรงงานจะเก็บน้ำส่วนหนึ่งไว้ในห้องเย็นเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการประเภทจัดเลี้ยงหรือร้านอาหารที่ต้องการใช้น้ำชนิดนี้ทำอาหาร อย่างไรก็ตามความต้องการเหล่านั้นยังคงไม่มากพอ ส่งผลให้โรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการบำบัดน้ำทิ้งโดยเปล่าประโยชน์เป็นประจำทุกวัน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการแปรรูปน้ำต้มลูกชิ้นเป็น ‘หัวน้ำซุปปลา’ ประเภทพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC) กลิ่นหอมกรุ่น รสกลมกล่อมสไตล์เอเชีย เหมาะแก่การผลิตเป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ
[caption id="attachment_58247" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลารูปแบบต่าง ๆ[/caption]
[caption id="attachment_58245" align="aligncenter" width="750"] ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์, ดร.ยุวเรศ มลิลา และคุณญาณี ศรีมารุต (ซ้าย-ขวา)[/caption]
คุณญาณี ศรีมารุต ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยด้านการลดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม ทีมวิจัยได้ดำเนินการพัฒนากระบวนการผลิตหัวน้ำซุปปลาจากน้ำต้มลูกชิ้นขึ้นด้วยกระบวนการทำเข้มข้นที่อุณหภูมิต่ำเพื่อรักษากลิ่นรสของวัตถุดิบให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องใส่สารปรุงแต่งประเภทที่ต้องระบุบนฉลากอาหาร นอกจากนี้ยังนำน้ำซุปไปเข้ากระบวนการสเตอริไลซ์เพื่อยืดอายุได้โดยไม่เสียรสชาติ ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นเก็บรักษาในบรรจุภัณฑ์โดยไม่ต้องแช่เย็นและใส่สารกันบูดได้นานกว่า 1 ปี เหมาะแก่การผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันทีมวิจัยได้จดความลับทางการค้าเรียบร้อยแล้ว และพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ ทั้งนี้ในขั้นตอนของการทดลองขยายขนาดการผลิตทีมวิจัยได้รับทุนจากโครงการสนับสนุนเร่งการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (Research gap fund) ประจำปีงบประมาณ 2563
ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้ออกแบบขนาดของบรรจุภัณฑ์ไว้ที่ปริมาตร 150 กรัมต่อซอง ใช้เป็นหัวน้ำซุปสำหรับทำน้ำแกงได้ประมาณ 5 ถ้วย หรือใช้ทำชาบูได้ 1 มื้อ (2-3 คน) ทั้งนี้การออกแบบขนาดของบรรจุภัณฑ์สามารถปรับได้หลากหลาย ทั้งในรูปแบบการผลิตเป็นซองขนาดเล็กสำหรับบริโภค 1 คนต่อ 1 มื้อ หรือเป็นบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่สำหรับจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารหรือร้านจัดเลี้ยง ซึ่งหัวน้ำซุปแบบ RTC จะช่วยให้ผู้ประกอบการรักษาความคงที่ของรสชาติอาหาร ลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดเก็บวัตถุดิบสด และระยะเวลาการต้มน้ำซุป รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิต อาทิ แรงงาน เชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี
ผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ กำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นในประเทศไทยรวมถึงอีกหลายประเทศทั่วโลก และจะยิ่งเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้นหากผลิตภัณฑ์อาหารเหล่านั้น ‘ช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบาย’
ดร.ยุวเรศ มลิลา ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยอธิบายว่า ในปี 2566 ผลิตภัณฑ์น้ำซุปใสมีมูลค่าในตลาดโลกสูงถึงราว 1.8 แสนล้านบาท (4.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยในช่วงปี 2567-2576 มีแนวโน้มอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ปีละ 5.1% โดยหน่วยงานด้านการวิเคราะห์มูลค่าทางเศรษฐกิจได้ประมาณการไว้ว่าในปี 2576 ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 2.3 แสนล้านบาท (6.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหากผลิตภัณฑ์เป็น clean label หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งประเภทที่ต้องระบุบนฉลากอาหาร (เช่น ผงชูรส สารแต่งกลิ่นรส สารแต่งสี สารกันบูด) และเป็นผลิตภัณฑ์ประเภท RTC จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับตนเอง เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ รวมไปถึงผู้ที่มองหาผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารที่ใช้งานได้สะดวก สามารถจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหมดอายุ ที่สำคัญผลิตภัณฑ์อาหารที่ให้กลิ่นรสแบบเอเชียยังเป็นที่นิยมในหลายประเทศซึ่งมีกำลังซื้อสูง อาทิ ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์นี้มีแนวโน้มที่จะมีศักยภาพในการทำการตลาดทั้งในไทย (ตลาดพรีเมียม) และต่างประเทศ
“นอกจากการพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์หัวน้ำซุปปลาเข้มข้นที่ปัจจุบันพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว ขณะนี้ทีมวิจัยยังพร้อมเปิดรับโจทย์วิจัยการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารประเภทน้ำซุปและน้ำแกงในระดับอุตสาหกรรม โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อร่วมวิเคราะห์ความเหมาะสมทั้งด้านความคุ้มค่าในการผลิตและโอกาสทางการตลาดก่อนลงทุนทำวิจัยได้” ดร.ยุวเรศกล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อีเมล bbd@biotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เอ็มเทค สวทช. ต่อยอด ‘Ve-Chick’ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช สู่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยพร้อมรับประทาน แค่ฉีกซอง ก็อิ่มอร่อยได้ทันที
‘อาหารดี’ ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อสิ่งแวดล้อม คือ เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาวะที่ดี (well-being) 3 ด้าน ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะบทบาทของอาหารแห่งอนาคตไม่ควรตอบโจทย์ได้เพียงความอิ่มอร่อย แต่ควรดีต่อร่างกาย และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเกินความจำเป็น นอกจากนี้หากมองในมุมเศรษฐกิจ อาหารไทยยังมีศักยภาพที่จะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ก่อให้เกิดเงินตราสะพัดในระบบ หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และการท่องเที่ยวของประเทศตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำได้อีกด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยความสำเร็จในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ Ve-Chick เนื้อไก่จากโปรตีนพืช สู่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยพร้อมรับประทานในรูปแบบซอง ที่แค่ฉีกเปิดซองก็อิ่มอร่อยได้ทันที ที่สำคัญผลิตภัณฑ์นี้พกพาสะดวก ไม่ต้องแช่แข็ง เก็บได้นานถึง 1 ปี
[caption id="attachment_57961" align="aligncenter" width="750"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า Ve-Chick เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลือง ที่ทีมวิจัยเปิดตัวผลงานและเปิดรับถ่ายทอดเทคโนโลยีครั้งแรกตั้งแต่ปี 2564 โดยผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบแรกที่เปิดตัว คือ รูปแบบ premix ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แบบผงสำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่รูปแบบต่าง ๆ ก่อนนำไปปรุงเป็นอาหาร และรูปแบบ precook ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่มีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อไก่พร้อมนำไปปรุงเป็นอาหารต่อทันที (ready-to-cook : RTC) และยังผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานในรูปแบบแช่แข็ง (frozen food) ที่เพียงแค่นำไปอุ่นร้อนก็อิ่มอร่อยได้ง่าย ๆ ไม่ต้องลงมือปรุงได้อีกด้วย
“ผลิตภัณฑ์ Ve-Chick ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีจุดเด่นด้านการมีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อไก่จริง แต่ปราศจากคอเลสเตอรอล และปลอดภัยจากสารเร่งการเจริญเติบโตที่อาจพบได้ในเนื้อไก่ ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์มาได้ประมาณ 3 ปี ทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการไปแล้ว 3 แห่ง คือบริษัทปรายา จำกัด, บริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด (จำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วในชื่อแบรนด์ Green Spoons) และบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด (จำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วในชื่อแบรนด์ Gin Zhai และ FoodFill)”
ทั้งนี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ve-Chick ทีมวิจัยไม่ได้มุ่งเป้าตอบโจทย์เพียงเทรนด์ ‘อาหารดี’ 3 ด้าน ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับ ‘ดีที่ 4 หรือดีต่อเวลา’ เพิ่มเติมด้วย โดยทีมวิจัยได้พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ Ve-Chick สู่ผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่เป็น ‘อาหารประเภทพร้อมรับประทาน (ready-to-eat : RTE)’ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบและมองหาความสะดวกสบายที่มากยิ่งขึ้น โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ประมาณการไว้ว่าในช่วงปี 2567-2569 ประเทศไทยจะมีปริมาณการจำหน่ายอาหารประเภทนี้เพิ่มขึ้นปีละ 3-4% และมีปริมาณการส่งออกอาหารประเภทนี้เพิ่มขึ้นปีละ 5-6%
ดร.กมลวรรณ เล่าว่า ขณะนี้ทีมวิจัยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชรูปแบบ RTE จนประสบความสำเร็จในระดับ TRL6-7 หรือพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการเรียบร้อยแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ Ve-Chick รูปแบบ RTE ที่พัฒนาขึ้นนี้ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารประเภทที่ฆ่าเชื้อด้วยเครื่องรีทอร์ต (retort) ซึ่งใช้แรงดันและอุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียสฆ่าเชื้อโรค โดยไม่ทำให้อาหารมีลักษณะเนื้อสัมผัสและกลิ่นรสที่เปลี่ยนแปลงไป และเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการรังสรรค์อาหารเมนูต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ รวมถึงเลือกใช้กรรมวิธีในการปรุงอาหารได้หลากรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เมนูผัด หรือแกงกะทิ ดังตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ทีมวิจัยพัฒนาไว้แล้วอย่าง ‘กะเพราไก่สับจากโปรตีนพืช’ และ ‘แกงเขียวหวานไก่จากโปรตีนพืช’
“Ve-Chick รูปแบบ RTE เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อใจ เพราะมีรสชาติที่อร่อยและเนื้อสัมผัสสมจริง เป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการลดหรือเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเนื้อไก่จากโปรตีนพืชสำหรับผลิตภัณฑ์ RTE มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 20 หรือเทียบเท่าเนื้อไก่ แต่มีปริมาณใยอาหารสูงกว่า และปราศจากคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องใช้ชีวิตแข่งขันกับเวลาอีกด้วย เพราะแค่ฉีกซองก็รับประทานได้ทันที หรือจะอุ่นร้อนเพื่อเสริมความอร่อยก็ได้เช่นกัน ผู้บริโภคสามารถซื้อผลิตภัณฑ์มาติดบ้านเตรียมไว้ล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องกลัวเสีย เพราะเก็บได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น ที่สำคัญกระบวนการผลิตและเก็บรักษาอาหารประเภทนี้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าอาหารจากเนื้อไก่จริง”
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่ต้องกังวลเรื่องการลงทุนเครื่องจักรราคาสูง เพราะกระบวนการผลิตทั้งหมดผ่านการวิจัยและพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘ผู้ประกอบการไทยในระดับ SME ต้องเข้าถึงได้’
ดร.กมลวรรณ อธิบายว่า วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต Ve-Chick รูปแบบ RTE เป็นวัตถุดิบที่หาซื้อได้ทั่วไปในประเทศ ส่วนเครื่องจักรที่ใช้ผลิตก็เป็นเครื่องจักรราคาจับต้องได้ที่ใช้งานอยู่ทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหารไทย ดังนั้นหากผู้ประกอบการยังไม่มีเครื่องจักรเป็นของตนเองและไม่พร้อมจะลงทุน ก็สามารถจ้างโรงงานผลิตอาหารทั่วไปในการผลิตได้
“ทั้งนี้เทรนด์อาหารดีที่ดีต่อทั้งใจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเวลา ไม่ได้เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น Ve-Chick รูปแบบ RTE อาจเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยนำเมนูอาหารไทยไปสร้างซอฟต์พาวเวอร์ในระดับนานาชาติได้ เพราะปัจจุบันแม้จะเริ่มมีผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบ RTE จำหน่ายแพร่หลายแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์ RTE ที่เป็นอาหารโปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงยังคงมีน้อย ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังมีความต้องการสูง” ดร.กมลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Chick ทั้งแบบ premix, RTC, frozen food และ RTE ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณชนิต วานิกานุกูล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ประกอบการที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารติดต่อได้ผ่านแพลตฟอร์ม FoodSERP สวทช. อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : ชีวภัณฑ์ NPV ปราบหนอนศัตรูพืชดื้อยา #หนอนเริ่มบุกอีกแล้วนะ เตรียมรับมือกันหรือยัง
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
มันสำปะหลัง เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยที่มีมูลค่าการส่งออกในปี 2565 มากกว่า 1.5 แสนล้านบาท แต่กระนั้นในปี 2567 นี้ เกษตรกรกลับต้องเผชิญกับอีกหนึ่งความท้าทายในการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เพราะศัตรูพืชตัวร้ายอย่าง ‘หนอนกระทู้หอม’ และ ‘หนอนกระทู้ผัก’ ได้บุกเข้ากัดกินจนต้นมันสำปะหลังได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกษตรกรตั้งรับได้ไม่ทัน ‘สารเคมี’ จึงกลายมาเป็นตัวเลือกแรกในการแก้ปัญหา
อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีไม่ได้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เพราะหนอนศัตรูพืชกลุ่มนี้มีการพัฒนาจนมีอัตราการดื้อยาค่อนข้างสูง ทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีในปริมาณที่มากขึ้น หรือต้องเปลี่ยนไปใช้สารชนิดใหม่ที่มีความรุนแรงกว่าเดิม ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านต้นทุนการผลิต และการเป็นอันตรายต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ในการนี้ สวทช. จึงขอเสนอชีวภัณฑ์ ‘ไวรัสเอ็นพีวี (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV)’ ไวรัสก่อโรคในหนอนแมลงให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการในการปราบหนอนศัตรูพืชดื้อยา โดยไวรัสชนิดนี้จะทำให้หนอนที่กินไวรัสเข้าไปป่วย กินอาหารได้น้อยลง และตายใน 5-7 วัน โดยไม่ทำให้เกิดการดื้อยา อีกทั้งยังไม่มีสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม
📌 2) ดีอย่างไร ?
ไวรัสเอ็นพีวีเป็นไวรัสที่มีความจำเพาะกับสายพันธุ์ของหนอน จึงไม่ก่อให้เกิดการทำลายระบบนิเวศเกินความจำเป็น ลดการสร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
การใช้งานทำได้ง่าย เพียงผสมไวรัสเอ็นพีวีกับน้ำสะอาดตามสัดส่วนที่กำหนดแล้วฉีดพ่นให้ทั่วใบตามความถี่ที่เหมาะสม ปัญหาหนอนบุกที่ต้องเผชิญอยู่จะค่อย ๆ ลดลงจนหายไปในที่สุด อย่างไรก็ตามยังคงต้องดูแลฉีดพ่นอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันหนอนที่ติดมาจากต้นพันธุ์ใหม่หรือแมลงจากที่อื่นบินมาวางไข่
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
ลดละเลิกการใช้สารเคมีอันตราย เพื่อสุขภาวะที่ดีของแรงงาน ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้อาศัยโดยรอบพื้นที่เพาะปลูก ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว จากการลดปริมาณสารกำจัดศัตรูพืช รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีทั้งทางตรงและทางอ้อม
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
ปัจจุบัน สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ NPV ให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด (06 4536 3549) และบริษัทบีไบโอ จำกัด (08 1806 1268) ผู้สนใจสามารถติดต่อบริษัทได้โดยตรง
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : รู้จัก-รู้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Mesh PV แผงโซลาร์เซลล์เสริมความแข็งแรงด้วยชั้นรองรับน้ำหนักแบบใหม่ ประยุกต์ใช้งานได้สะดวกทั้งกับอาคารและยานพาหนะ
ปัจจุบันโซลาร์เซลล์ได้รับความนิยมในการใช้งานตามบ้านเรือนอย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟได้แล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสาเหตุสำคัญของปัญหาโลกร้อนได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามโซลาร์เซลล์มาตรฐานที่ผลิตและจำหน่ายทั่วไปยังมีจุดอ่อนสำคัญด้านรูปลักษณ์ที่มีลักษณะเป็น ‘แผงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ทึบแสง ต้องใช้โครงเหล็กขนาดใหญ่แข็งแรงสูงในการรับน้ำหนัก’ ส่งผลให้การออกแบบติดตั้งแผงทำได้ไม่หลากหลาย การจัดวางให้สวยงามกลมกลืนกับอาคาร บ้านเรือน หรือสภาพแวดล้อมทำได้ลำบาก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘Mesh PV (เมช พีวี)’ แผงโซลาร์เซลล์เสริมความแข็งแรงด้วยชั้นรองรับน้ำหนักแบบใหม่ เพื่อประยุกต์ใช้กับงานอาคารและยานพาหนะ
[caption id="attachment_57729" align="aligncenter" width="750"] ว่าที่ร้อยตรี นพดล สิทธิพล ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ว่าที่ร้อยตรี นพดล สิทธิพล ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. อธิบายว่า แท้จริงแล้วอุปสรรคด้านรูปลักษณ์ของแผงโซลาร์เซลล์ไม่ได้มาจากเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่มาจากกรอบโลหะที่ใช้ยึดติดองค์ประกอบของแผงเข้าด้วยกัน เพราะกรอบซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักของแผงจะต้องรับน้ำหนักได้มาก แข็งแรง และทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง
“ทีมวิจัยจึงได้ออกแบบโครงสร้างสำหรับยึดองค์ประกอบแผงโซลาร์เซลล์ขึ้นใหม่ ให้มีลักษณะเป็นตาข่าย (mesh) ชนิดพิเศษที่รับน้ำหนักได้มาก มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อมในระดับทัดเทียมกับโครงสร้างที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป ใช้เสริมความแข็งแรงให้แผงโซลาร์เซลล์ได้หลายประเภท ทั้งแบบโปร่งแสงและทึบแสง แบบโค้งงอได้และแบบโค้งงอไม่ได้ และสามารถผลิตสีของตาข่ายให้กลมกลืนกับพื้นที่ที่จะติดตั้งได้อีกด้วย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Mesh PV อยู่ระหว่างขอความคุ้มครองสิทธิกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา”
[caption id="attachment_57730" align="aligncenter" width="450"] Mesh PV[/caption]
Mesh PV เหมาะกับการใช้งานทั้งกับบ้านเรือนและอาคารสูงที่ต้องรองรับแรงกระแทกจากกระแสลมรุนแรง โดยติดตั้งได้ทั้งบนดาดฟ้า ลานกลางแจ้ง หรือจะประยุกต์ใช้เป็นหลังคาทรงโค้งบริเวณแนวทางเดิน กันสาด หรือหน้าต่างบานกระทุ้งก็ได้เช่นกัน โดยหากมองไปถึงการเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าให้แก่ยานยนต์ Mesh PV ก็เหมาะอย่างยิ่งกับ camper van หรือรถบ้านสำหรับทำกิจกรรมตั้งแคมป์ และ
ฟูดทรัก (food truck) ที่ผู้ใช้งานต้องใช้ไฟฟ้าในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
ว่าที่ร้อยตรี นพดล อธิบายต่อว่า ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ Mesh PV ประสบความสำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว อยู่ในขั้นตอนทดสอบประสิทธิภาพความแข็งแรงคงทนของผลิตภัณฑ์ในภาคสนามและการทดสอบตามมาตรฐาน IEC61215 ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะทดสอบแล้วเสร็จภายในปี 2567 โดยหากการทดสอบประสบความสำเร็จก็พร้อมเปิดถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ต่อทันที แต่หากมีผู้ประกอบการท่านใดสนใจผลิตภัณฑ์ Mesh PV สามารถติดต่อเพื่อร่วมวางแผนการวิจัยผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ก่อนได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินงานวิจัย และเพิ่มโอกาสผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดที่กำลังมีความต้องการสูง
“ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ผลิตแผงโซลาร์เซลล์จำหน่ายอยู่เดิมและสนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Mesh PV ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือก ไม่ต้องเป็นกังวลเลยว่าจะต้องปรับเปลี่ยนสายการผลิตใหม่ หรือไม่สามารถสั่งผลิตภายในประเทศได้ เพราะเทคโนโลยีการผลิต Mesh PV ผ่านการออกแบบให้มีขั้นตอนการผลิตที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และวัสดุที่ใช้ในการผลิตทั้งหมดหาได้สะดวกภายในประเทศไทย” ว่าที่ร้อยตรี นพดล กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) เบอร์โทรศัพท์: 0 2564 6500 หรืออีเมล info@entec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็นเทค สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : แบตเตอรี่อุปกรณ์พกพา ปลอดภัย ยืดหยุ่นสูง
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
หนึ่งในสินค้าที่คอ IT ทั่วโลกจับตาการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ คือ wearable devices หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดสวมใส่ไว้กับร่างกาย อาทิ smart watch, หูฟังไร้สาย
แต่รู้หรือไม่ว่า จนถึงปัจจุบันผู้พัฒนายังคงต้องเผชิญข้อจำกัดในการออกแบบผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมาก เพราะแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ยังมีข้อจำกัดเรื่องไม่สามารถบิดงอ ฉีกขาด หรือสัมผัสกับความร้อนสูงได้ เพราะอาจทำให้เกิดเหตุระเบิดดังที่ปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ
ในการนี้ สวทช. จึงร่วมกับ North Calorina State University พัฒนากระบวนการผลิต 'แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล (cable-shaped zinc-ion battery)’ ขึ้น เพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดในการออกแบบอุปกรณ์ โดยแบตเตอรี่ชนิดนี้ใช้งานได้กับทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดสวมใส่ไว้กับร่างกาย และอุปกรณ์ IoT ขนาดเล็ก (ใช้กำลังไฟต่ำ) ชนิดต่าง ๆ ที่ต้องการความคงทนต่อสภาพแวดล้อมสูง เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
📌 2) ดีอย่างไร ?
ปลอดภัยสูงไม่ระเบิด วัสดุทั้งหมดที่ทีมวิจัยเลือกใช้มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม ทำให้เมื่อเกิดเหตุชำรุดจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ในการผลิตยังมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าด้วย นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่ที่นักวิจัยพัฒนาขึ้นยังมี 3 จุดเด่นที่สำคัญ คือ เล็ก บิดงอได้ และน้ำหนักเบา เอื้อให้นักออกแบบผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ผลงานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
การที่ประเทศไทยพัฒนาอุปกรณ์ประเภทแบตเตอรี่ได้เอง จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับสากล ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็น 2 อุตสาหกรรมที่ในระดับตลาดโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเสมอมา
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
ปัจจุบันทีมวิจัยประสบความสำเร็จในระดับห้องทดลองแล้ว (TRL4) อยู่ในขั้นตอนการทำวิจัยเพื่อผลักดันผลงานวิจัยสู่ระดับอุตสาหกรรม
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ชวนติดตามนวัตกรรมไทย ‘แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล’ แบตเตอรี่ชนิดปลอดภัยสูง ตอบโจทย์การแข่งขันในตลาด wearable devices
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
นาโนเทค สวทช. พัฒนาสเปรย์และแชมพูสมุนไพรช่วยต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ผิวหนังสุนัขและแมว
หนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มสัตว์เลี้ยงขนยาวอย่างสุนัขและแมว คือ ‘โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา’ โดยเมื่อสุนัขและแมวติดโรคจะแสดงอาการได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ เช่น ขนร่วงเป็นวง มีผื่นแดง มีสะเก็ดหนอง ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถติดต่อไปยังเจ้าของที่มีพฤติกรรมการเลี้ยงแบบใกล้ชิดได้อีกด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการผลิตต้นแบบสเปรย์และแชมพูจากสมุนไพรไทยช่วยต้านการเจริญเติบของเชื้อราที่ผิวหนังสุนัขและแมว โดยผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบแล้วว่า ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราก่อโรคกลุ่มสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง
[caption id="attachment_56631" align="aligncenter" width="750"] คุณวลัยลักษณ์ ชนนิยม, คุณณัฎฐิกา แสงกฤช และคุณธนัชชา ปานมา (ซ้าย-ขวา) ทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.ณัฎฐิกา แสงกฤช หัวหน้าทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยได้เลือกสมุนไพรไทย 2 ชนิดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคมาใช้ประโยชน์ สมุนไพรชนิดแรก คือ ‘กากเมล็ดชาน้ำมัน’ ผลพลอยได้จากการผลิตน้ำมันเพื่อใช้ประกอบอาหาร ซึ่งทีมได้รับการอนุเคราะห์วัตถุดิบสำหรับทำวิจัยจากมูลนิธิชัยพัฒนา โดยในกากเมล็ดชาน้ำมันมีสารสำคัญ คือ ‘ซาโปนิน (saponin)’ ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อราก่อโรคผิวหนังชนิด Trichophyton rubrum และ Trichophyton mentagrophytes อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ส่วนสมุนไพรชนิดที่สองที่นำมาใช้ คือ ‘ทองพันชั่ง’ มีสารสำคัญเด่นคือ ‘ไรนาแคนทิน (rhinacanthin)’ หรือสารออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราก่อโรคผิวหนังทั้งในคนและสัตว์ อาทิ Trichophyton rubrum, Trichophyton mentagrophytes และ Microsporum gypseum
[caption id="attachment_56626" align="aligncenter" width="750"] ชาน้ำมัน[/caption]
[caption id="attachment_56625" align="aligncenter" width="750"] ทองพันชั่ง[/caption]
“ทั้งนี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยได้ร่วมกับ ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. คัดเลือกชนิดของสมุนไพร การทดสอบประสิทธิภาพของสารสำคัญ และการพัฒนากระบวนการสกัดให้ได้สารประสิทธิภาพสูงในปริมาณมาก ก่อนนำสารสำคัญที่ได้มาพัฒนากระบวนการปรับสภาพให้อยู่ในรูปนาโนอิมัลชัน (nanoemulsion) ซึ่งจากกระบวนการทั้งหมดนี้จะทำให้ได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติซึมผ่านผิวหนังที่มักมีการสะสมของเชื้อราก่อโรคได้ดี รวมถึงช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และสีของสมุนไพรที่อาจติดบนเส้นขนของสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย”
ต้นแบบนาโนอิมัลชันที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นผ่านการทดสอบแล้วว่า ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง ปัจจุบันทีมวิจัยนำสารที่พัฒนาขึ้นมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบแล้วสองชนิด ประกอบด้วย ‘สเปรย์’ สำหรับฉีดพ่น และ ‘แชมพู’ สำหรับอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยง
ดร.ณัฎฐิกา อธิบายถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์ทั้งสองว่า การใช้งานผลิตภัณฑ์สเปรย์ เจ้าของควรทำความสะอาดบริเวณรอยโรคด้วยน้ำเกลือ ซับให้แห้ง จากนั้นจึงพ่นสเปรย์ลงบริเวณรอยโรค 1-2 ครั้งต่อวัน ร่วมกับการรักษาทางยาและควรใช้ต่อเนื่องตามสัตวแพทย์แนะนำ ส่วนผลิตภัณฑ์แชมพูอาบน้ำสัตว์เลี้ยงหากใช้เพื่อทำความสะอาด ควรใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่หากใช้เพื่อบรรเทาอาการโรคผิวหนัง ควรใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ร่วมกับการรักษาทางยา ทั้งนี้กระบวนการประเมินอาการและรักษาสัตว์เลี้ยงทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์
“ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งหมดสำเร็จและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ต้นแบบทั้งสองนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อสัตว์เลี้ยงด้านยับยั้งการติดโรคและลดการใช้ยาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในระยะยาวเท่านั้น เพราะยังมีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสัตว์เลี้ยงให้แก่เจ้าของได้อีกด้วย เนื่องจากผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้มีราคาค่อนข้างสูง แต่ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นใช้สารสำคัญจากสมุนไพรไทยเป็นหลัก และผ่านการพัฒนากระบวนการผลิตให้ผลิตได้ภายในประเทศ ทำให้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบทั้งสองผ่านการประเมินแล้วว่ามีราคาที่จับต้องได้” ดร.ณัฎฐิกา กล่าวทิ้งท้าย
ผลิตภัณฑ์ต้นแบบสเปรย์และแชมพูสมุนไพรช่วยเสริมการยับยั้งโรคเชื้อราที่ผิวหนังสุนัขและแมวเป็นตัวอย่างสองผลงานวิจัยเด่นที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดรับกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยง โดยคำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ผู้ดูแล และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัตถุดิบทางการเกษตรไทย เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนตามหลักคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7100
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : แอปพลิเคชัน ‘รู้ทัน’ แจ้งเตือนความเสี่ยงด้านสุขภาพ
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
เข้าหน้าฝนแล้ว ยุงลายเริ่มออกวางไข่ แพร่พันธุ์ และกลายเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาด #โรคไข้เลือดออกอย่างรวดเร็ว สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรขอแนะนำแอปพลิเคชัน ‘รู้ทัน’ แอปฯ สำหรับติดตามสถานการณ์ความเสี่ยงโรคไข้เลือดออก เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
แอปฯ รู้ทันไม่เพียงช่วยเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกที่มาในช่วงฤดูฝน แต่ยังมีข้อมูลสุขภาพด้านอื่น ๆ ทั้งการพยากรณ์อากาศ, ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5, ค่าดัชนีความร้อน (เฝ้าระวังและป้องกันการเป็นลมแดดหรือ heat stoke) และข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่คนไทยควรเฝ้าติดตามเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพตลอดทั้งปี เรียกว่าแจ้งเตือนทุกความเสี่ยง ทั้งโรคระบาด อากาศ ฝุ่น #ครบจบในแอปพลิเคชันเดียว
📌 2) ดีอย่างไร ?
แอปพลิเคชัน ‘รู้ทัน’ ไม่ได้ช่วย #ลดเสี่ยงเลี่ยงโรค ให้ได้เฉพาะผู้ที่ติดตั้งแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนเท่านั้น เพราะภายในแอปฯ ผู้ใช้งานยังสามารถเลือกดูความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทยได้ด้วย ดังนั้นแม้ญาติ พี่น้อง หรือคนที่ห่วงใยจะอยู่ห่างไกลออกไป ก็ช่วยเฝ้าระวังและส่งข้อมูลให้พวกเขารู้ทัน เตรียมป้องกัน และรับมืออย่างเหมาะสมได้ ทั้งนี้ข้อมูลที่นำเสนอภายในแอปพลิเคชันมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อาทิ กรมควบคุมโรค กรมควบคุมมลพิษ กรมอุตุนิยมวิทยา รวมทั้งมีการอัพเดคข้อมูลให้มีความทันสมัยจากแหล่งข้อมูลโดยตรงอยู่เสมอด้วย
นอกจากนี้ในด้านการใช้งาน แอปพลิเคชันยังออกแบบให้มีอินเตอร์เฟซ (interface) หรือหน้าตาของแอปพลิเคชันที่ใช้งาน #ง่าย และ #สะดวก เพื่อให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าถึงการใช้บริการ
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
การที่คนไทยป้องกันและเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านสุขภาพได้ดี จะนำไปสู่การ #ลดการระบาดของโรค #ลดอาการป่วย และความสูญเสียด้านต่าง ๆ ที่อาจตามมา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศไทยในระยะยาว
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรพร้อมให้บริการเทคโนโลยีแล้ว ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ผ่านทั้ง App Store และ Play Store ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : แอปฯ “รู้ทัน” ชวนคนไทยรู้เท่าทัน “โรคไข้เลือดออก”
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘Thai School Lunch’ แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันให้นักเรียนไทย ถูกหลักโภชนาการ รายงานโปร่งใส ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
หนึ่งในมาตรการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้เด็กไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2530 คือ การจัดเตรียมอาหารกลางวันให้นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษารับประทานทุกวันที่มาโรงเรียน เพื่อให้พวกเขาได้รับสารอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตและการเรียนรู้ ซึ่งหากพิจารณาเพียงเฉพาะด้านพลังงาน การจัดเตรียมอาหารทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วการจัดสำรับอาหารให้เด็กมีปัจจัยที่จะต้องพิจารณาหลายส่วน ทั้งคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมตามวัย สำรับอาหารที่ไม่จำเจ และการควบคุมรายจ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่ได้รับ โดยภารกิจเหล่านี้มักตกเป็นภาระหน้าที่เสริมของครูกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้พวกเขาอาจไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี้มาก่อนเลยก็ตาม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนา ‘Thai School Lunch’ แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันให้นักเรียนไทย โดยเปิดให้บริการแก่สถานศึกษาทั่วประเทศแล้วตั้งแต่ปี 2555 และพัฒนายกระดับแพลตฟอร์มต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
Thai School Lunch ระบบจัดสำรับอาหารคุณภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระครู
จุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบ Thai School Lunch มาจากนักวิจัย เนคเทค สวทช. และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เล็งเห็นว่าการจัดสำรับอาหารที่เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละช่วงวัย รวมทั้งการจัดทำอาหารให้นักเรียนจำนวนมากตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันคนเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก อีกทั้งยังเป็นภาระงานที่ค่อนข้างหนักสำหรับครู จึงได้บูรณาการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางออกแบบและพัฒนาระบบ Thai School Lunch แพลตฟอร์มออนไลน์ที่จะช่วยให้ครูจากทุกสถาบันการศึกษาภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดสำรับอาหารคุณภาพได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้แพลตฟอร์มได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2555 และให้บริการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้สังกัด ศธ. แต่มีความประสงค์ที่จะร่วมใช้งาน สามารถแจ้งความจำนงเพื่อลงทะเบียนเข้าใช้ระบบได้
[caption id="attachment_57155" align="aligncenter" width="750"] ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า Thai School Lunch เป็นระบบสำหรับช่วยคำนวณการจัดสำรับอาหาร ทั้งด้านคุณค่าโภชนาการที่เหมาะสม ปริมาณวัตถุดิบที่ต้องจัดซื้อ และค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ซึ่งเลือกคำนวณตามจำนวนนักเรียนที่ต้องดูแลและงบประมาณที่โรงเรียนได้รับได้ โดยครูเลือกจัดสำรับได้ 2 รูปแบบ รูปแบบแรกคือเลือกจากเมนูอาหารที่ระบบคำนวณข้อมูลด้านต่าง ๆ ไว้ให้แล้ว ส่วนรูปแบบที่สองคือครูเป็นผู้นำเข้าเมนูอาหารใหม่ด้วยตัวเอง จากนั้นระบบจะคำนวณข้อมูลต่าง ๆ ให้อัตโนมัติ ยกเว้นกรณีเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบ อาทิ วัตถุดิบท้องถิ่นที่ไม่ได้รับประทานอย่างแพร่หลาย ซึ่งหากเกิดกรณีนี้ขึ้นครูสามารถแจ้งความจำนงขอให้เก็บตัวอย่างวัตถุดิบไปวิเคราะห์ข้อมูลทางโภชนาการเพื่อนำข้อมูลเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมได้
“ทั้งนี้ข้อมูลสำรับอาหารที่ครูจัดให้เด็กรับประทานในแต่ละวันจะบันทึกไว้ทั้งหมดเพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดรวมถึงประชาชนทั่วไปตรวจสอบข้อมูลได้ผ่านแดชบอร์ด (dashboard) ของแพลตฟอร์ม โดยตั้งแต่ปีการศึกษา 2567 เป็นต้นไป ระบบจะไม่อนุญาตให้ครูบันทึกข้อมูลย้อนหลัง ดังนั้นข้อมูลของทุกโรงเรียนจะเป็นข้อมูลที่ตรงกับสำรับอาหารวันนั้นจริง ๆ”
นอกจากฟังก์ชันหลักที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ผลจากการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการให้บริการระบบต่อเนื่องมากว่า 11 ปี ทำให้ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Thai School Lunch มีฐานข้อมูลรูปแบบสำรับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมและมีความเข้ากันได้ของรสชาติมากกว่า 1,000 สำรับ เพียงพอแก่การนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาระบบ AI จัดสำรับอาหารอัตโนมัติ เพื่อให้ครูทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น
ดร.สุปิยา อธิบายว่า ปัจจัยที่อยู่ภายใต้การคำนวณของ AI ประกอบด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ความหลากหลายของสำรับอาหาร และค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับงบประมาณ ดังนั้นต่อไปนี้ครูจะวางแผนจัดสำรับอาหารให้เด็กรับประทานล่วงหน้าได้ทั้งแบบรายวัน รายเดือน รายภาคการศึกษา หรือกระทั่งรายปีการศึกษา ที่สำคัญระบบผ่านการออกแบบให้ครูปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงเพื่อรองรับปัญหาวัตถุดิบมีราคาผันผวนได้ด้วย ดังนั้นการจัดสำรับอาหารให้เด็กนักเรียนรับประทานจึงไม่ใช่เรื่องยากและต้องใช้เวลามากอีกต่อไป
Thai School Lunch for BMA รายงานโปร่งใส ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
นอกจากการให้บริการระบบ Thai School Lunch แล้ว ในปี 2563 หรือประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา ทีมวิจัยยังได้เปิดให้บริการระบบ Thai School Lunch for BMA เพิ่มเติม เพื่อให้บริการแก่โรงเรียน 437 แห่งภายใต้สังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เนื่องจาก กทม. ต้องการใช้งานฟังก์ชันเสริมเพิ่มเติมจากแพลตฟอร์มหลัก โดย 2 ฟังก์ชันนั้นประกอบด้วย การจัดสำรับอาหารเช้าให้แก่นักเรียนและการออกแบบให้การจัดทำรายงานและการตรวจสอบเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง
ดร.สุปิยา อธิบายว่า ด้วยโรงเรียนในสังกัด กทม. มีมาตรการจัดเตรียมอาหารเช้าให้นักเรียนซึ่งเป็นมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากมาตรการของโรงเรียนสังกัดอื่น ๆ ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับ กทม. พัฒนาระบบเฉพาะ Thai School Lunch for BMA ขึ้น เพื่อให้ครูใช้แพลตฟอร์มนี้วางแผนจัดสำรับอาหารได้ทั้งมื้อเช้าและกลางวันครบจบในแพลตฟอร์มเดียว ส่วนอีกฟังก์ชันที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ การทำให้การรายงานผลและการตรวจสอบการดำเนินงานเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยในปีการศึกษา 2567 หรือที่กำลังเริ่มเปิดภาคเรียน ณ ขณะนี้ กทม. ได้กำหนดมาตรการให้บริษัทที่ทำสัญญาจัดส่งวัตถุดิบให้แก่โรงเรียนภายใต้สังกัด กทม. ต้องใช้งานแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for Catering ซึ่งเชื่อมโยงกับ Thai School Lunch for BMA ในการทำงาน
“กลไกการทำงานของระบบ คือ เมื่อครูกำหนดสำรับอาหารของแต่ละวันผ่านแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for BMA เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการจะสามารถคำนวณปริมาณวัตถุดิบที่ต้องจัดส่งในแต่ละวันและสร้างใบส่งของผ่านแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for Catering ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งการจัดส่งวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารเช้าและกลางวันให้โรงเรียน ผู้ส่งมอบจะต้องรายงานปริมาณและวัตถุดิบอาหารสดที่จัดส่งพร้อมอัปโหลดภาพถ่ายเข้าสู่ระบบจัดเก็บข้อมูลของแพลตฟอร์ม เพื่อให้โรงเรียนกดตรวจรับทุกวัน และหน่วยงานที่กำกับดูแลเข้าติดตามข้อมูลการดำเนินงานของแต่ละโรงเรียน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสั่งจ่ายเงินให้ผู้ประกอบการได้โดยสะดวก (สามารถสร้างใบส่งของและเอกสารตรวจรับจากระบบเพื่อใช้แนบฎีกาเบิกจ่ายได้) ทำให้ช่วยลดจำนวนเอกสารและเพิ่มความถูกต้องของกระบวนการตรวจรับอาหารปรุงสำเร็จของโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานที่ดูแลด้านการปราบปรามทุจริตก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของแต่ละโรงเรียนได้เช่นกัน”
ปัจจุบัน ณ ปีการศึกษา 2567 มีโรงเรียนจากทั่วประเทศที่ลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบ Thai School Lunch และ Thai School Lunch for BMA รวมแล้วมากกว่า 37,600 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนที่อยู่ในการดูแลมากกว่า 5 ล้านคน
“คณะผู้พัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแพลตฟอร์ม Thai School Lunch จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการขับเคลื่อนระบบต่อไปอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์ทั้งด้านการลดภาระงานของครูและบุคลากรจากสังกัดต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินงานร่วมกัน และที่สำคัญคือการมั่นใจได้ว่าเด็กไทยที่กำลังเติบโตไปเป็นอนาคตของชาติจะได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพจากโรงเรียนอยู่เสมอ ทั้งนี้หากในอนาคตแต่ละโรงเรียนมีการกำหนดสำรับอาหารล่วงหน้าเป็นรายภาคเรียนหรือปีการศึกษา ก็อาจนำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดการทำสัญญารับซื้อสินค้าคุณภาพ อาทิ ผักปลอดสาร เนื้อสัตว์ไร้สารเร่งการเจริญเติบโตจากเกษตรกรไทยล่วงหน้าได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเด็กแล้ว ยังทำให้เกษตรกรรู้โจทย์และวางแผนการผลิตสินค้าได้อย่างชัดเจน ช่วยลดปัญหาการผลิตสินค้าที่ไม่เป็นที่ต้องการหรือมีผลผลิตมากล้นตลาด จนทำให้สินค้าราคาตกต่ำได้” ดร.สุปิยา กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าใช้งานระบบ Thai School Lunch ลงทะเบียนเข้าใช้งานได้ที่ www.thaischoollunch.in.th (ไม่มีค่าใช้จ่าย) และสำหรับผู้ที่สนใจติดตามสำรับอาหารของเด็กนักเรียนไทยในแต่ละวันเข้าดูแดชบอร์ดได้ที่เว็บไซต์เดียวกัน
หน่วยงานร่วมวิจัยหรือสนับสนุนการใช้งานแพลตฟอร์ม
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)
กรุงเทพมหานคร
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


