ผลการค้นหา :
ไทยสุข : ThaiSook แอปฯ เพื่อสุขภาพคนไทย
ไทยสุข (ThaiSook) แอปพลิเคชันเพื่อสุขภาพสำหรับคนไทย สร้างแรงบันดาลใจในการดูแลตัวเอง เชื่อมต่อสมาร์ตวอทช์ พร้อม AI ตรวจสอบ แม่นยำ โหลดเลย! ทั้ง Android และ iOS
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
เยาวชนไทยคว้าแชมป์นานาชาติ การแข่งขันเขียนโปรแกรม ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ผู้ช่วยนักบินอวกาศ ของ NASA
เยาวชนตัวแทนประเทศไทย ‘ทีมแอสโทรนัต" จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คว้ารางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศแอสโตรบี (Astrobee) ของ NASA ที่ปฏิบัติงานอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ในโครงการคิโบะ โรบอต โปรแกรมมิง ชาเลนจ์ ครั้งที่ 5 (The 5th Kibo Robot Programming Challenge) ซึ่งมีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันจาก 12 ชาติ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ดำเนินการจัดแข่งขันโครงการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์ประเทศไทย โดยทีมแอสโทรนัต (Astronut) เป็นทีมชนะเลิศ และเป็นทีมตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันในรอบชิงแชมป์นานาชาติ ณ ศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการเดินทางจากบริษัท เดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และ บริษัท 168 ลัคกี้เทรด จำกัด
[caption id="attachment_62911" align="aligncenter" width="750"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ทีมแอสโทรนัต ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ได้แก่ นายธรรญธร ไชยกายุต ชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นายชิษณุพงศ์ ประทีปพงศ์ ชั้นปีที่ 1 สาขากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล นายชยพล เดชศร ชั้นปีที่ 1 สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนายสิรวิชญ์ แพร่วิศวกิจ ชั้นปีที่ 1 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้เข้าร่วมการแข่งขัน The 5th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์นานาชาติ เมื่อวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดยองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือแจ็กซา (JAXA) และถ่ายทอดสดทาง YouTube ช่อง JAXA จากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนักบินอวกาศนาซา เจเน็ต เอปส์ (Janet Epps) ทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขันอยู่บนห้องทดลองคิโบะโมดูล สถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อค้นหาสุดยอดทีมเยาวชนจากทั่วโลก ที่สามารถทำคะแนนได้สูงสุดในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ให้ปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมสถานีอวกาศ ซึ่งมีตัวแทนเยาวชนจาก 12 ชาติ เข้าร่วมการแข่งขัน เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
“ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมแอสโทรนัต จากประเทศไทย คว้ารางวัลชนะเลิศมาครองได้สำเร็จ ถือเป็นการแสดงความสามารถในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษา JAVA ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ที่อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติให้เคลื่อนที่ไปอ่าน QR Code และยิงแสงเลเซอร์เข้าเป้าหมายทำคะแนนได้สูงเป็นอันดับที่ 1 ของการแข่งขัน สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในเวทีระดับนานาชาติ จากความสำเร็จของเยาวชนไทยในครั้งนี้ สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยาวชนทั้งสี่คนจะได้เรียนรู้ และได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่า สามารถนำมาแบ่งปัน ต่อยอด รวมทั้งถ่ายทอดให้แก่เพื่อน ๆ เยาวชนไทยรุ่นต่อไป”
ด้าน นายธรรญธร ไชยกายุต นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า หัวหน้าทีมแอสโทรนัต กล่าวถึงความรู้สึกหลังทราบผลการแข่งขันว่า พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่คว้าชัยชนะครั้งนี้มาได้ ต้องขอบคุณความตั้งใจและความพยายามของทุกคนในทีม แม้จะเจออุปสรรคจากสภาพแวดล้อมจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ แต่เราก็เตรียมตัวรับมือไว้ล่วงหน้า ทำให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แถมยังทำเวลาได้ยอดเยี่ยมอีกด้วย การได้นำโค้ดที่เราพัฒนาไปใช้จริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่จะนำไปปรับใช้และต่อยอดต่อไปในอนาคตได้อย่างแน่นอน
“นอกจากการแข่งขัน พวกเรายังได้เยี่ยมชมองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นที่เมืองสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น รู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นการทำงานของห้องควบคุมปฏิบัติการ (Mission Control Room) ที่คอยติดต่อสื่อสารกับสถานีอวกาศนานาชาติ ได้เห็นศูนย์ฝึกนักบินอวกาศ (Astronaut Training Center) และได้รับประโยชน์มากมายในด้านองค์ความรู้ที่ใช้ในการปฏิบัติการในอวกาศ ที่สำคัญตลอดการทำกิจกรรมยังได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ต่างชาติมากมาย ทั้งญี่ปุ่น เนปาล ทำให้ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานซึ่งกันและกัน สุดท้ายต้องขอขอบคุณ สวทช. และ JAXA ที่จัดการแข่งขันนี้ขึ้นมา รวมทั้งขอขอบคุณบริษัทเอกชนและผู้มีส่วนร่วมอื่น ๆ ที่สนับสนุนการเดินทางเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้พวกเราได้สัมผัสใกล้ชิดกับการเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ในอวกาศ และมีโอกาสพูดคุยกับนักบินอวกาศ คุณโนริชิเงะ คะไน (Norishige Kanai) ที่มีประสบการณ์ภารกิจที่สถานีอวกาศนานาชาติมาแล้ว”
ทั้งนี้ ทีมแอสโทรนัต สามารถคว้ารางวัลอันดับ 1 มาครอง ด้วยคะแนน 253.09 คะแนน ส่วนรางวัลอื่น ๆ ได้แก่ รางวัลอันดับ 2 ฟิลิปปินส์ 250.88 คะแนน และรางวัลอันดับ 3 บังคลาเทศ 153.92 คะแนน สามารถรับชมการแข่งขันย้อนหลังได้ทาง YouTube ของ JAXA ที่ลิงก์ https://www.youtube.com/live/v-ZtCfUONVU
ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวโครงการกิจกรรมวิทยาศาสตร์อวกาศสำหรับเยาวชนได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation และแฟนเพจ NSTDA SPACE Education
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
“ศุภมาส” นำทีมผู้บริหารและบุคลากร อว. ถวายผ้าพระกฐินพระราชทานประจำปี 2567 วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ยอดเงินทำบุญ 3 ล้านบาท โดยมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทำบุญ
(วันที่ 9 พฤศจิกายน 2567) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน กระทรวง อว. ประจำปี 2567 ณ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดเสนาสน์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว., นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว., นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชน เข้าร่วมพิธี
โดยในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ และ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้เข้าร่วมพิธีด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผู้บริหาร สวทช. ร่วมแสดงความยินดี ผอ. สกสว. คนใหม่
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมคณะผู้บริหาร สวทช. เข้าร่วมแสดงความยินดีแก่ ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) มีมติเห็นชอบแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เยาวชนไทยเดินทางเข้าร่วมแข่งขันชิงแชมป์เขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศที่ญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เวลา 23.45 น. ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัท เดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และ บริษัท 168 ลัคกี้เทรด จำกัด ส่ง 4 เยาวชนไทยทีมแอสโทรนัต (Astronut) บินลัดฟ้าเข้าร่วมแข่งขัน “โครงการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge” รอบชิงแชมป์นานาชาติ ซึ่งเป็นการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศแอสโตรบี (Astrobee) โดยมีนักบินอวกาศนาซา เจเน็ต เอปส์ (Janet Epps) ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการแข่งขันอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ
เยาวชนไทยทั้ง 4 คน ประกอบด้วย นายธรรญธร ไชยกายุต ชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นายชิษณุพงศ์ ประทีปพงศ์ ชั้นปีที่ 1 สาขากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล นายชยพล เดชศร ชั้นปีที่ 1 สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนายสิรวิชญ์ แพร่วิศวกิจ ชั้นปีที่ 1 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยจะเข้าร่วมกิจกรรมที่องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับเยาวชนจาก 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา โดยจะเริ่มกิจกรรมการแข่งขันในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2567 เวลา 08.00-17.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) รับชมการถ่ายทอดสดทางช่อง YouTube ของ JAXA ได้ที่ https://www.youtube.com/live/v-ZtCfUONVU
สำหรับผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามได้จากทางเพจ สวทช. เร็วๆ นี้
ข่าว
สผ. – สวทช. ร่วมลงนาม MOU พัฒนาฐานข้อมูลกลางด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567: สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยกองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจการจัดทำระบบคลังข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย โดยมีนายประเสริฐ ศิรินภาพร เลขาธิการ สผ. และศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานการลงนามความร่วมมือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ของ สผ. และ สวทช. เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม จำนวน 70 คน ณ ห้องประชุม 1001 ชั้น 10 อาคารทิปโก้ 2 ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ
นายประเสริฐ ศิรินภาพร เลขาธิการ สผ. ได้แสดงความมุ่งมั่นในการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานผ่านความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ เพื่อขับเคลื่อนให้ระบบคลังข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยทำหน้าที่ “ศูนย์ข้อมูลกลางด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย” ร่วมกันกับหน่วยงานเครือข่าย และยกระดับการให้บริการข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีการให้บริการข้อมูลสถานภาพสิ่งมีชีวิตที่ถูกคุกคาม ข้อมูลทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน และข้อมูลภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ และข้อมูลที่สำคัญอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายภาคส่วนช่วยประกอบการตัดสินใจ วางแผนการดำเนินงานเพื่ออนุรักษ์คุ้มครองชนิดพันธุ์และพื้นที่แหล่งที่อยู่อาศัย
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า สวทช. มีเป้าหมายยกระดับศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ให้สามารถสนับสนุนการเติบโตของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) มีฐานข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญของประเทศ อาทิ ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย Thailand Bioresource Research Center หรือ TBRC เป็นศูนย์จุลินทรีย์และชีววัสดุชั้นนำในระดับนานาชาติ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน มุ่งเน้นการรับฝากและให้บริการจุลินทรีย์และชีววัสดุ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand หรือ NBT) เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สนับสนุนการอนุรักษ์และจัดเก็บตัวอย่างชีวภาพระยะยาว ช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญเสียทรัพยากร และทำหน้าที่เป็นแหล่งอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ
การลงนามในครั้งนี้ เป็นก้าวแรกที่ทั้งสองหน่วยงานได้ผนึกกำลังต่อยอดฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเป็นศูนย์กลางที่หน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีการดำเนินงานเกี่ยวกับ ความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้หน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เช็กสถิติ “ที่สุดของ กทม.” บนแพลตฟอร์ม Traffy Fondue
วัน ๆ พันกว่าเรื่อง ! แล้วเรื่องไหนที่ชาว กทม. ให้ความสนใจมากที่สุด ปัญหาอะไรที่ประชาชนเห็นว่าสำคัญที่สุด และปัญหาใดได้รับการแก้ไขมากที่สุด Traffy Fondue รวบรวมสถิติให้ดูกันจะจะ พร้อมเปิดให้โหวตเรื่องที่คิดว่าสำคัญและอยากให้เจ้าหน้าที่เร่งแก้ไข
เว็บไซต์ https://bangkok.traffy.in.th เพิ่มฟีเจอร์ "สถิติ" ฟีเจอร์ที่แสดงเรื่องที่มีสถานะ "ที่สุด" ในด้านต่าง ๆ จากการแก้ปัญหาของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในแพลตฟอร์ม Traffy Fondue โดยล่าสุดเปิดให้บริการดูข้อมูลสถิติได้ 7 ด้าน ประกอบด้วย
เขตที่ประชาชนพอใจในการแก้ปัญหามากที่สุด
เขตที่แก้ปัญหามากที่สุด (%)
เรื่องยอดนิยมที่มียอดเข้าชมสูงสุด
เรื่องประชาชนถูกใจสูงสุด
เรื่องที่ประชาชนให้ความสำคัญสูงสุด
เปิดเรื่องใหม่มากสุด (เรื่องแจ้งเดิมที่ปิดงานแล้วแต่ต้องการแจ้งใหม่อีกครั้ง)
ปัญหาที่ได้รับการแก้ไขมากสุด
ประชาชนสามารถดูสถิติย้อนหลังในแต่ละเดือนโดยเข้าไปที่เว็บไซต์ https://bangkok.traffy.in.th และกดเลือกไอคอน "สถิติ" จากนั้นกดเลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการดูสถิติ ระบบจะแสดงผลสถิติของเรื่องที่เลือกดู อยากรู้สถิติของเดือนไหนก็เลือกเดือนที่ต้องการได้ เขตไหนทำงานเร็ว แก้ปัญหาไว ถูกใจประชาชน หรือเรื่องไหนฮอตฮิตเป็นที่สนใจของประชาชน ไม่ต้องเดาอีกต่อไป เข้าไปดูที่ฟีเจอร์ "สถิติ" ได้เลย
นอกจากนี้ หัวข้อ “เรื่องสำคัญสุด” ยังเปิดให้ประชาชนกด “โหวต” เพื่อให้ความสำคัญกับปัญหานั้น ปัญหาไหนได้รับคะแนนโหวตสูง กทม. ก็จะยิ่งให้ความสำคัญและเร่งแก้ไขให้โดยเร็ว
ทั้งนี้ ข้อดีของฟีเจอร์ "สถิติ" คือ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของคนกรุงเทพฯ และเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนพัฒนาเมืองให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจจากประชาชน
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. นำเด็กไทยเปิดประสบการณ์ต่างแดน ณ ประเทศญี่ปุ่น เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมและวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมบูรณาการความรู้ด้าน STEAM Education
เมื่อวันที่ 14 -18 ตุลาคม 2567 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ นำคณะนักเรียนไทยในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 21 คน เข้าร่วมกิจกรรมค่าย The 6th International STEAM Camp Inspired by Fun hand-on Activities in Science, Technology, engineering, Arts and Mathematics in Japan ณ สถาบันวิจัยชั้นนำ พิพิธภัณฑ์ และแหล่งเรียนรู้ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดโดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช.
ในกิจกรรมแรก ทางโครงการได้นำนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรม ณ Japan Aerospace Exploration Agency (JAXA) องค์กรชั้นนำด้านการวิจัยและสำรวจอวกาศในญี่ปุ่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านการวิจัยและพัฒนาดาวเทียม การปล่อยจรวด รวมถึงการสำรวจดวงดาวต่าง ๆ ในระบบสุริยะ รวมถึงการติดตามและควบคุมยานอวกาศ ตลอดจนถึงการฝึกนักบินอวกาศเพื่อปฏิบัติภารกิจในอวกาศ นอกจากการสร้างแรงบันดาลใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับนักเรียนผู้เข้าร่วมกิจกรรมแล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับอวกาศและเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิดผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติการที่สนุกสนานและท้าทายโดยวิทยากรจาก JAXA ในกิจกรรม การสร้าง Magnus Glider แบบง่าย เพื่อเรียนรู้ปรากฏการณ์แมกนัส (Magnus Effect) จากการสร้างโมเดล Glider อย่างง่ายด้วยวัสดุใกล้ตัว ทำการทดลองและสังเกตแรงยกจากการหมุนด้วยหลักการทางฟิสิกส์และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในรูปแบบที่สนุกและสร้างสรรค์
กิจกรรมที่สอง นำนักเรียนไปยัง โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) หอคอยที่สูงที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่วิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองโตเกียวที่จะได้เห็นจากหอคอยแห่งนี้แล้ว หอคอยแห่งนี้ยังมีจุดเด่นในการออกแบบทางวิศวกรรมโดยมีการสร้างจากเหล็กขนาดใหญ่ มีการออกแบบให้ฐานของหอคอยเป็นรูปสามเหลี่ยมซึ่งช่วยให้ลมพัดผ่านไปได้ง่ายและมีแกนกลางแข็งแรงที่ช่วยรองรับน้ำหนัก มีระบบการป้องกันภัยและระบบการควบคุมการสั่นสะเทือนที่ทันสมัย เพื่อป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ มีการติดตั้งระบบระบายอากาศและควบคุมอุณหภูมิที่ช่วยลดการใช้เครื่องปรับอากาศ โดยใช้ฉนวนกันความร้อนและกระจกสะท้อนความร้อนที่ช่วยป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ตัวอาคาร ทำให้ไม่ต้องใช้พลังงานมากในการทำความเย็น นอกจากนี้ หอคอยแห่งนี้ยังใช้แสงสว่างอย่างชาญฉลาดโดยใช้หลอดไฟ LED ซึ่งเป็นหลอดไฟที่ประหยัดพลังงานกว่าแบบเดิมถึง 90% และยังมีระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ ตามเวลาและความสว่างของแสงธรรมชาติ ทำให้ไม่เปลืองพลังงานไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังเป็นสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์และวิทยุดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
กิจกรรมที่สาม นำนักเรียนไปเรียนรู้วัฒนธรรมและสัมผัสประสบการณ์การทำข้าวเกรียบเซมเบ้ (Sokasenbei) ณ Sokasenbei Marusoichifuku Honten ซึ่งเป็นขนมเก่าแก่ของญี่ปุ่น Sokasenbei ไม่ได้เป็นแค่ขนมธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นสืบทอดกันมาหลายร้อยปี การทำ Sokasenbei แบบดั้งเดิมที่ใช้เตาถ่าน และการปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง เป็นการแสดงถึงวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติและความเรียบง่าย สำหรับในเชิงวิทยาศาสตร์ ในการทำ Sokasenbei นั้น เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของแป้ง เมื่อเรานวดและย่าง ซึ่งเป็นผลมาจากความร้อนและการระเหยของน้ำและการควบคุมความร้อนในการย่างขนม การปรับอุณหภูมิให้พอดีจะทำให้ Sokasenbei กรอบหอม อุณหภูมิที่แตกต่างกันส่งผลต่อความกรอบของขนมด้วยเช่นกัน
กิจกรรมที่สี่ นำนักเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงสังคมและวัฒนธรรมกับเพื่อนนักเรียนญี่ปุ่น ณ Tokyo Gakugei University International Secondary School ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์และความคิดวิเคราะห์ไปพร้อมกัน นักเรียนจะได้ทำกิจกรรมปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนนักเรียนญี่ปุ่น มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระดมสมอง และการทำงานเป็นทีมร่วมกัน ในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความรู้และประสบการณ์ให้กับเด็กไทย แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับเยาวชนที่อาจส่งผลในอนาคต
กิจกรรมที่ห้า นำนักเรียนไปยัง The National Museum of Emerging Science and Innovation (Miraikan) พิพิธภัณฑ์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ของประเทศญี่ปุ่น เข้าชมปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์บนท้องฟ้าและอวกาศผ่าน The dome theater และเดินชมนิทรรศการต่าง ๆสัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ และเล่นเกมผ่านระบบ Interactive ที่จัดแสดง เช่น การเดินโดยการจำลองเป็นผู้สูงอายุ การสัมผัสหุ่นยนต์และสังเกตปฏิกิริยาโต้ตอบของหุ่นยนต์ เทคโนโลยีด้านการประมวลผลภาพถ่าย
กิจกรรมสุดท้าย นำนักเรียนไปยัง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Maxell Aqua Park Shinagawa เรียนรู้ธรรมชาติและชีวิตของสัตว์น้ำ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในเมืองที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น การฉายภาพเพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของโลกใต้ทะเลและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มีการจัดแสดงสิ่งมีชีวิตประมาณ 20,000 ตัวจาก 350 สายพันธุ์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงการแสดงออกของแต่ละฤดูกาลและเปลี่ยนแปลงไปในเวลากลางวันและกลางคืน และชมการแสดงของปลาโลมาที่ชาญฉลาด
กิจกรรมค่ายครั้งนี้ นักเรียนได้รับทั้งความสนุกสนานและความรู้ รวมถึงได้แลกเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรมกับเพื่อนวัยเดียวกัน และยังได้สัมผัสวิถีชีวิตและสังคมความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่น ซึ่ง สวทช. ได้เล็งเห็นว่า การจัดค่ายเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และวัฒนธรรมให้กับเยาวชนนั้น เป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมให้เด็กไทยได้รับประสบการณ์ที่ดีในต่างประเทศ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมสมัยใหม่ มีความรู้รอบตัว และสามารถปรับตัวได้ดีในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เสริมศักยภาพนักเรียนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม พาเยี่ยมชมการทำงานของ Google Thailand
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้นำคณะนักเรียนและครู ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี(Gifted) โรงเรียนหอวัง จำนวน 38 คน และเจ้าหน้าที่ สวทช. เยี่ยมชมและฟังบรรยาย ณ บริษัท Google Thailand สำนักงานประจำประเทศไทย ชั้น 14 อาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโค่เพล็กซ์ ถ.วิทยุ เพลินจิต กรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้กิจกรรม The 7th International STEAM Camp Singapore เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ เน้นทักษะการคิด กระบวนการแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
โดย คุณจิระวัฒน์ ภูมิศรีแก้ว ตำแหน่ง Business Development Google for Education ได้ให้การบรรยายพิเศษ ผ่านระบบ Google Meet เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ก่อนที่คณะนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่ สวทช. จะเข้าไปเยี่ยมชม โดยได้กล่าวถึงธุรกิจของบริษัท ที่ อยู่ภายใต้ Alphabet Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google โดยสายธุรกิจของ Google สามารถแบ่งออกเป็น 2 Segment ใหญ่ ๆ ได้แก่
Google Services เช่น โฆษณา, ระบบปฏิบัติการ Android, เว็บเบราว์เซอร์ Chrome, Hardware, Gmail, Google Drive, Google Maps, Google Photos, Google Play, Google Search และ YouTube
Google Cloud เช่น Google Cloud Platform และ Google Workspace
จากนั้น คุณจิระวัฒน์ ได้บรรยายถึง Culture ของ Google ได้แก่ 1. Shared vision 2.Ownership 3.Curiosity 4.Risk-taking 5. Collaboration ซึ่งเป็น วิธีการทำงานของคนในองค์กรGoogleที่เน้นทำสิ่งที่ถูกต้อง (do the right thing) ทำอย่างมั่นใจ (being proactive) มองเป้าหมายเป็นหลัก (being focused) ทำให้เกินเป้าหมายอยู่เสมอ (go for the extra mile) คิดนอกกรอบ ให้รางวัลกับตัวเอง ให้ความสำคัญกับทีม ทำงานอย่างโปร่งใส และแลกเปลี่ยนข้อมูลความผิดพลาด ทดลองทำสิ่งใหม่ให้เร็วที่สุดเมื่อเจอกับความผิดพลาด
สุดท้ายได้กล่าวสรุปลักษณะของพนักงานที่ Google ต้องการมาร่วมงาน
มีความใฝ่รู้ หาความรู้ใหม่เสมอ
สามารถตัดสินใจภายใต้ข้อมูลที่จำกัด หรือข้อมูลที่ยังมีไม่ครบถ้วนได้
มีความเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา
เป็นคนมีเป้าหมายที่มองการณ์ไกล ทะเยอทะยาน
ทำงานกับเพื่อนร่วมงานได้ พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ให้กัน
วันที่ 9 ตุลาคม 2567 กิจกรรมการเยี่ยมชม ณ บริษัท Google Thailand สำนักงานประจำประเทศไทย ชั้น 14 อาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโค่เพล็กซ์ ถ.วิทยุ เพลินจิต กรุงเทพ ฯ เพื่อรับฟังความรู้ด้านนวัตกรรมการทำงาน Google Culture & Innovation ในการเปิดโลกทัศน์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากสถานที่จริง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้และวางแผนเส้นทางอาชีพต่อไปในอนาคต โดยได้รับการต้อนรับจากคุณคณิศร เปรมประเสริฐStrategic Public and Education Client Executive ผู้แทนดูแลลูกค้ากลุ่มภาครัฐและการศึกษา Google Cloud Thailand คุณคณิศร ได้พูดถึงคำศัพท์ “Googley” (กู-กลี้) หรือ Googleyness ว่าเป็นลักษณะนิสัยของ Googler ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ขององค์กรจนกลายเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกลักษณะการทำงานของคนกูเกิลว่าคือการทำงานแบบ Googley ซึ่งเป็นนิยามรวมๆ ที่สื่อถึงวิธีการคิด วิธีการทำงานของคนในองค์กร
ในส่วนของการเยี่ยมชมสำนักงานประจำประเทศไทย การออกแบบเป็น Design by Google โดยกูเกิลเปิดพื้นที่ให้ พนักงาน Googler ของไทยเป็นผู้ออกแบบ เพราะกูเกิลเชื่อว่าทุกคนจะทำงานอย่างมีศักยภาพในพื้นที่ที่พึงพอใจ
โดยนำความเป็นไทยมาสร้างเอกลักษณ์ ขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นกูเกิล ห้องประชุมต่างๆ ถูกออกแบบเป็นสถานี BTS หรือ ตั้งเป็นชื่อประเพณีไทย เป็นต้น
การออกแบบตามเทศกาล(ฮาโลวีน)
ห้องประชุมที่ออกแบบเป็นสถานีBTS
ฉากหลัง Google ที่อยู่ท่ามกลางสายน้ำ ของแม่น้ำเจ้าพระยา เอกลักษณ์ของไทย
ป้ายชื่อสองด้าน GOOGLE , สวัสดี ออกแบบโดยพนักงาน สาขาประเทศไทย
จากนั้นคุณคณิศร และพนักงานกูเกิลอีกสามท่าน ได้พาเยี่ยมชมสำนักงานของ กูเกิล ซึ่งอยู่ชั้นที่ 10 ,14 และ 16 และบรรยายถึงสวัสดิการต่างๆของพนักงาน เช่น สวัสดิการด้านอาหารจะมีทั้งหมดสองส่วน คือส่วนที่เป็นครัวเล็กๆ หรือที่กูเกิลเรียกว่า Micro Kitchen โซนนี้จะเหมือนกับเป็นบาร์ ที่มีขนม เครื่องดื่ม ให้พนักงานเดินมาหยิบได้ และมี ห้องอาหารบริการที่มีอาหารเช้า กลางวัน เย็น บริการแบบฟรีทั้งหมด
คุณคณิศร อธิบายจอมอนิเตอร์ที่แสดงคำค้นในไทยแบบปัจจุบัน ว่าตอนนี้คนไทยกำลังค้นหาคำว่าอะไรกันอยู่บ้าง เครื่องมือนี้มีชื่อว่า Google Trends
กูเกิล เป็นบริษัทที่มีการพัฒนานวัตกรรมอยู่ตลอดเวลา มีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน และมีศักยภาพที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมต่างๆออกมาช่วยให้การดำเนินชีวิตของเราง่าย และสะดวกสบายมากขึ้น เห็นได้อย่างชัดเจน ในสถานการณ์ โควิดที่นักเรียน ต้องเรียนจากที่บ้านเครื่องมือหลายตัวของ Google ช่วยเปลี่ยนโลกการเรียนรู้ และนำพาโลกผ่านทุกวิกฤตการณ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
“ผู้แทนนักเรียนโรงเรียนหอวัง ระดับชั้น ม.4 กล่าวว่า รู้สึกประทับใจและดีใจที่ได้มาเข้าร่วมกิจกรรม สนุกและได้รับความรู้มากมาย จากGoogle Thailand ได้นำประสบการณ์ไปใช้ในการวางแผนในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ต่อไป รวมถึงขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่สวทช.ทุกท่านที่ช่วยประสานงานให้เกิดโครงการดีๆในวันนี้”
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
อบรมฟรี! ก้าวสู่ยุคใหม่ของการตรวจสอบสื่อ กับโปรแกรม MEMO ที่ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวิเคราะห์เนื้อหา จับประเด็นสำคัญ และตรวจสอบความถูกต้อง
� อบรมฟรี! ก้าวสู่ยุคใหม่ของการตรวจสอบสื่อ กับโปรแกรม MEMO ที่ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวิเคราะห์เนื้อหา จับประเด็นสำคัญ และตรวจสอบความถูกต้อง
.
NECTEC x กสทช. ขอเชิญเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ และผู้ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ร่วมอบรม "การใช้งานโปรแกรมการตรวจสอบไฟล์วิดีโอรายการออกอากาศโทรทัศน์ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Media Monitoring System)"
.
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567
เวลา 09:00-16:00 น.
อาคารสราญวิทย์ (SD-601) สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ลงทะเบียนฟรี! >> https://www.nstda.or.th/r/training-aimemo�
ปฏิทินกิจกรรม
ประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) ครั้งที่ 3 โครงการการพัฒนารูปแบบการประเมินเทคโนโลยีและการลงทุนที่เหมาะสม
ประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) ครั้งที่ 3
โครงการการพัฒนารูปแบบการประเมินเทคโนโลยีและการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับภาคอุตสาหกรรม ใช้ประโยชน์จากการผลิตเชื้อเพลิงจากเทคโนโลยีพลังงานชีวมวลด้วยการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Bio-energy with Carbon Capture and Storage: BECCS) ในประเทศไทย
วัน เวลา สถานที่
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2567 เวลา 8.30-16.30 น.
โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ
กำหนดการ
8.30-9.00 น. ลงทะเบียน
9.00-9.15 น. กล่าวเปิดงานและกล่าวต้อนรับ โดย ดร.อาภาวรรณ ด่านศิริชัยกุล (ผู้อำนวยการศูนย์การวิเคราะห์ทดสอบและประเมินค่าพลังงาน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย - วว.)
9.15-9.50 น. เสวนา "Carbon Capture: เรียนรู้จากต่างประเทศ" โดย ดร.วันชัย ธารามาศ (Technology Advancement & Commercialization Technology Sciences, RTI International, USA)
9.50-10.20 น. การบรรยาย "ผลการวิเคราะห์การใช้ต้นทุนเทคโนโลยี BECCS จากแหล่งข้อมูลที่เหมาะสม เพื่อการลงทุนในประเทศไทย" โดย ผศ.ดร.ธเนศ ศรีวิราช (อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
10.30-11.30 น. เสวนา "การวิเคราะห์การเงินโครงการ BECCS ในประเทศไทย การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและกลไกการค้า" โดย ดร.สุรเดช เจียรนันทะ (นักวิจัยพลังงานชีวมวล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
11.30-12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน (ตามอัธยาศัย)
13.00-13.30 น. อัพเดตโครงการที่บรรจุ CCS : การพัฒนาโครงสร้างความพร้อมของพื้นที่ ในภาคอุตสาหกรรมการใช้พลังงาน
13.30-14.00 น. ทำกระทบโดยตรงให้ Net Zero ภาคพลังงาน: ปลดล็อกตลาดพลังงานการเงินอย่างไร? ใครมีหน้าที่อำนวยความสะดวก หรือกองทุนเสียหาย?
14.00-14.30 น. Carbon Credit กำหนดเป้าหมายสู่ Net Zero (อนุรักษ์สถานการณ์ในเรื่อง)
14.45-15.45 น. ปิดการพูดคุย
ปฏิทินกิจกรรม
สำนักงาน ป.ป.ส. เยือน สวทช. ร่วมหารือพัฒนาความร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนา
(1 พ.ย. 67) ณ ห้องประชุมอาคาร INC2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) นำโดย นายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ เข้าหารือพัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา พร้อมศึกษาดูงานในส่วนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ ร่วมให้การต้อนรับและหารือร่วมกัน
การประชุมหารือครั้งนี้ เป็นการหารือร่วมกันระหว่าง สำนักงาน ป.ป.ส. และ สวทช. เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาพืชเสพติดในการใช้ประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ภายใต้มาตรการควบคุม
และโอกาสนี้ คณะสำนักงาน ป.ป.ส. ได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตพืชระบบปิด (Plant Factory) เพื่อชมเทคโนโลยีการปลูกพืชในระบบปิดหรือกึ่งปิด ที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมและปัจจัยต่าง ๆ ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างสมบูรณ์
ต่อด้วยการเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์เห็ด ของธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ร่วมชมตู้เก็บรักษาอุณหภูมิ -20 และ -80 ในการเก็บรักษาเชื้อจุลินทรีย์ในระยะยาว และปิดท้ายด้วยการเข้าชมเทคโนโลยี Plant Phenomics ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการประเมินสรีระวิทยาและรูปลักษณ์ขั้นสูงของพืชอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาการเพาะปลูกพืชที่ให้สารสำคัญสูง และการคัดเลือกพันธุ์พืชที่ทนต่อภัยธรรมชาติต่าง ๆ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


