ผลการค้นหา :
กระทรวง อว. รวมพลังปลูกต้นไม้ถวายในหลวง 72,000 ต้นไม้แห่งความจงรักภักดี
วันที่ 4 ธันวาคม 2567 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการปลูกต้นไม้ 72,000 ต้น เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี กระทรวง อว. (ส่วนกลาง) ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง (อว.) นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง (อว.) รักษาการในตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (อว.) นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (อว.) ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวง (อว.) พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สายงานกลยุทธ์องค์กร (สวทช.) เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมทั้งข้าราชการ พนักงานเจ้าหน้าที่ นิสิตนักศึกษา ประชาชนทั่วไป ณ เทคโนธานี ต.ตลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
นางสาวศุภมาส กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2567 นับเป็นปีมหามงคล ที่ปวงชนชาวไทยทุกคน จะได้พร้อมใจกันแสดงความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงเป็นดั่งแสงนำใจของคนไทยทั้งชาติ พระองค์ทรงสืบสานแนวพระราชดำริ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานไว้ เพื่อให้ราษฎรอยู่ดีกินดี แก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมทั้งด้านดิน น้ำ ป่า ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ เป็นการรวมหน่วยงานในสังกัดและกำกับของกระทรวง อว. รวมถึงสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ พร้อมใจกันปลูกต้นไม้ในปีมหามงคลดังกล่าว เพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อม รักการปลูกต้นไม้และรักธรรมชาติ อีกทั้งเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ดีอี ผนึก ‘อว.- ศธ.’ ร่วมมือ UNESCO เตรียมเป็นเจ้าภาพ งาน “UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก พร้อมประเมิน “Thailand AI Readiness Assessment” ย้ำบทบาทร่วมเป็นผู้นำด้านจริยธรรม AI ในเวทีโลก
วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ - กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) จัดแถลงข่าวประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการ เตรียมเป็นเจ้าภาพ จัดงานระดับโลก “The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ชูแนวคิด “Ethical Governance of AI in Motion” โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพฯ คาดมีผู้นำและผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสมาชิกยูเนสโก กว่า 194 ประเทศ รวมกว่า 800 คน เข้าร่วมงาน นับเป็นการจัดการประชุมนานาชาติครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก ตอกย้ำความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นผู้นำร่วมขับเคลื่อนจริยธรรม รวมถึงยกระดับการกำกับดูแลการประยุกต์ใช้ AI ของโลก สู่การปฏิบัติจริงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ ในงานแถลงข่าวยังเป็นก้าวสำคัญในการแสดงจุดยืนต่อผู้นำโลก ถึงความพร้อมของการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาลของประเทศไทย ตามกรอบ UNESCO AI Readiness Assessment (UNESCO RAM) ซึ่งเป็นกรอบการประเมินความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ สะท้อนศักยภาพของการพัฒนาและใช้งาน AI อย่างรับผิดชอบ โปร่งใส เป็นธรรม ตามมาตรฐานสากล รวมถึงสนับสนุนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศ ด้านยุทธศาสตร์ การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในด้านสังคม จริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ AI และการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและระบบปัญญาประดิษฐ์
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ผ่านปาฐกถาพิเศษ ถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ที่ควรต้องเป็นไปตามหลักการสำคัญ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยมีแผนและการเตรียมการในการนำ AI มาใช้ในองค์กรเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2567 สูงถึง 73.3% ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 20% (ข้อมูลจากรายงาน
AI Readiness Measurement 2024) ที่จัดทำโดย ETDA และ สวทช. นอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการประกาศ แนวทางการกำกับดูแลโดยมี “แนวทางการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับผู้บริหาร” และ “คู่มือแนวทางการประยุกต์ใช้ Generative AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับองค์กร” เพื่อประโยชน์ในการนำแนวทางและคู่มือไปประกอบการพิจารณาการนำ AI มาใช้ในระดับองค์กรเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น จากศักยภาพของประเทศในมิติต่างๆ จึงได้นำไปสู่ความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพร่วมเพื่อจัดงาน “UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ในปีหน้านี้ จะมีทั้งเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ การส่งเสริมความร่วมมือในระดับพหุภาคี รวมไปถึงการเสริมสร้างความสามารถในการกำกับดูแล AI ในประเทศที่กำลังพัฒนา ที่ถือได้ว่าจะเป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลก ที่ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก และแสดงให้เห็นว่าไทยเองมีความสามารถในการเป็น “แหล่งเรียนรู้” ในด้าน AI Governance ที่พร้อมร่วมมือกับ UNESCO อีกด้วย
ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึง ความพร้อมของประเทศไทยจากบทบาทของ กระทรวง อว. ในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยี AI ไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยไม่เพียงเน้นสร้างนวัตกรรมเท่านั้น ยังให้ความสำคัญกับจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีหน่วยงาน ภายใต้กระทรวง อว. คือ สวทช. ที่ร่วมผลักดันการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม AI ที่จะช่วยตอบโจทย์ระดับประเทศ รวมถึงการมีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนากรอบจริยธรรม AI ที่มุ่งเน้นความสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล ประกอบกับ ประเทศไทยได้มีการส่งเสริมและพัฒนาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ผ่านการเตรียมทำการประเมินความพร้อมด้าน AI ตามกรอบแนวทางของ UNESCO RAM ที่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ไทยได้เข้าใจสถานการณ์ความพร้อม ซึ่งครอบคลุมในมิติต่างๆ อีกทั้งข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ จะพัฒนาไปเป็นข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปสนับสนุนการวางแผนสำหรับประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนการปรับปรุงในมิติที่จำเป็น ภายใต้บริบทของไทยให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การร่วมจัดงาน Global Forum on the Ethics of AI 2025 ในปีหน้านี้ จะช่วยสะท้อนถึงการผนึกกำลังที่เข้มแข็งระหว่างกระทรวง อว. พร้อมด้วยกระทรวงดีอี และกระทรวง ศธ. จากประเทศไทย ในการทำงานร่วมกับ UNESCO เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนสำหรับทุกคน
ขณะที่ นายซิง ฉวี่ รองผู้อำนวยการใหญ่ UNESCO ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยในความเป็นผู้นำด้านการส่งเสริมธรรมาภิบาลจริยธรรม AI และการผลักดันความร่วมมือระดับนานาชาติ พร้อมเน้นย้ำว่าภารกิจของยูเนสโก ในการสร้างสันติภาพผ่านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ และชีวิตของผู้คน พร้อมยังกล่าวถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มาพร้อมกับความก้าวหน้าในโครงสร้างพื้นฐาน AI ของภูมิภาค จนอาจนำมาสู่ความท้าทายที่เกิดขึ้น เช่น ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และผลกระทบต่อการจ้างงานจากระบบอัตโนมัติอย่าง AI เป็นต้น ซึ่งการที่ประเทศไทยได้มีการนำกรอบแนวทางการประเมินความพร้อมด้าน AI ของยูเนสโก (UNESCO RAM) มาใช้นั้น ถือเป็นก้าวสำคัญของกรอบการทำงานในการประเมินความพร้อมด้านการประยุกต์ใช้ AI ของไทย ที่มีความแข็งแกร่งและพร้อมส่งเสริมการใช้ AI ด้วยโปร่งใส ตามกรอบธรรมาภิบาลและจริยธรรมตามมาตรฐานสากล โดย Global Forum on the Ethics of AI 2025 จะเป็นเวทีสำคัญสำหรับการเจรจาระดับโลกในการร่วมพัฒนาจริยธรรมการประยุกต์ใช้ AI ที่เคารพสิทธิมนุษยชน โปร่งใส เป็นธรรม พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาคด้านธรรมาภิบาลจริยธรรม AI อย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ ในการแถลงข่าวความร่วมมือครั้งนี้ ประเทศไทย ยังได้ประกาศจุดยืนต่อผู้นำโลก ถึงความพร้อมของการประยุกต์ใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล ตามกรอบ UNESCO’s AI Readiness Assessment หรือ UNESCO RAM พร้อมเปิดเวทีเสวนาเชิงลึกโดยผู้นำและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง กับการเสวนาใน 2 ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่
"Thailand's Journey in Driving AI Ethics & Governance: Insights from Hosting the Global Forum on the Ethics of AI" เส้นทางของไทยในการขับเคลื่อนจริยธรรมและการกำกับดูแล AI: มุมมองจากการเป็นเจ้าภาพ Global Forum on the Ethics of AI โดย ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผอ. NECTEC,
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส ETDA และ ดร.วีระ วีระกุล รองประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ที่จะมาร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์การใช้การประชุมระดับโลกครั้งนี้เป็นแพลตฟอร์มในการยกระดับบทบาทของไทยสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับสากล
“Policy and Strategic Frameworks”, in the Region Readiness Assessment Methodology (RAM)” นโยบายและกรอบยุทธศาสตร์” ในกรอบแนวทางการประเมินความพร้อมระดับภูมิภาค โดยนายอิราคลี โคเดลี หัวหน้าหน่วยจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ UNESCO ร่วมกับ ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผอ. ETDA, ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผอ. NECTEC ที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็นการวางกรอบการประเมินความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ (UNESCO RAM) ที่จะเป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับประเทศในภูมิภาค พร้อมแนวทางการจัดตั้งหอสังเกตการณ์จริยธรรมและการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ระดับโลก ที่จะช่วยสร้างระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ที่ยั่งยืน
จากสถานการณ์การเตรียมความพร้อมของประเทศ และกระแสการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาลในเวทีระดับโลก ที่สะท้อนจากมุมมองในระดับนโยบายของประเทศ สู่ความร่วมมือจากหน่วยงานสำคัญของไทยและ UNESCO จึงได้นำสู่การร่วมดำเนินงานโครงการสำรวจความพร้อมด้านจริยธรรม AI ของประเทศไทยตามแนวทางแนะนำของ UNESCO (โดยติดตามความคืบหน้าในการจัดงานอย่างต่อเนื่อง ได้ผ่านเพจ https://www.ai.in.th/) รวมถึงการเตรียมจัดการประชุมระดับนานาชาติครั้งแรกในเอเซียแปซิฟิก “The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ในแนวคิด “Ethical Governance of AI in Motion” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพฯ โดยติดตามความคืบหน้าในการจัดงานอย่างต่อเนื่อง ได้ผ่านเพจ ETDA Thailand
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
อวท. เปิดบ้านต้อนรับคณะพาณิชย์จังหวัดปทุมธานี ผนึกกำลังความร่วมมือ ช่วยส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ กระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น
27 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา : น.สพ.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)ให้การต้อนรับ นายนิมิตร ฆังคะจิตร พาณิชย์จังหวัดปทุมธานี พร้อมคณะ ร่วมหารือกับ นางสาวกัลยารัตน์ รัตนะจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี นางศศิธร เทศน์อรรถภาคย์ ผู้จัดการงานสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และนางสาวจิดาภา ยมมะนา ผู้จัดการศูนย์บริการลูกค้า เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การบูรณาการความร่วมมือและผนึกกำลังของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีให้มีความเข้มแข็ง เจริญเติบโต และสร้างศักยภาพให้กับเศรษฐกิจของจังหวัดได้อย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งกิจกรรมการส่งเสริมจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
อว. ปล่อยคาราวานขนสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ สวทช. ร่วมส่งเครื่องกรองน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยี บรรเทาขาดแคลนน้ำสะอาด
วันที่ 3 ธันวาคม 2567 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว. เพื่อประชาชน” นำโดย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. และ ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมปล่อยรถคาราวานลำเลียงสิ่งของที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. เพื่อส่งมอบแก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า จากสถานการณ์วิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศไทย กระทรวง อว. ได้สั่งการไปยัง อว.ส่วนหน้า ได้แก่ สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่เร่งช่วยเหลือนิสิต นักศึกษา และบุคลากรที่ได้รับผลกระทบ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่และวิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นต้น จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาและประชาชนในพื้นที่ เปิดศูนย์ช่วยเหลือนักศึกษา เปิดครัวกลาง เปิดรับบริจาคเงินและสิ่งของใช้จำเป็น รวมทั้งจัดหน่วยจิตอาสานักศึกษาและบุคลากรลงพื้นที่แจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของอุปโภค บริโภค ยารักษาโรค เครื่องมือ อุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เป็นต้น
“กระทรวง อว. เร่งระดมความช่วยเหลือจากทุกสรรพกำลังเพื่อส่งตรงถึงมือพี่น้องในพื้นที่ และขอยืนยันว่า กระทรวง อว. พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบให้แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด” นางสาวศุภมาส กล่าว
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้อย่างใกล้ชิด และมีความห่วงใยผู้ประสบภัยที่มีความต้องการใช้น้ำที่สะอาด จึงได้ส่งนวัตกรรมที่พัฒนาโดยนักวิจัย สวทช. ไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย ได้แก่
เครื่องกรองน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยีร่วมกับระบบรีเวิร์สออสโมซิส 1 ชุด ประกอบด้วย 4 ไส้กรอง (เครื่องกรองน้ำด้วยนาโน ไส้กรองเกล็ดคาร์บอนที่ดัดแปรพื้นผิว ไส้กรองเรซิน และไส้กรอง Sediment) พร้อมระบบรีเวิร์สออสโมซิส ที่สามารถกรองน้ำได้สะอาด ฆ่าเชื้อโรคที่มาจากน้ำได้อย่างปลอดภัย
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 สวทช. ได้สนับสนุนปัจจัยให้ชมรมนราสันติ จ.นราธิวาส จัดทำอาหารกล่องและน้ำท่วม นำไปมอบให้กับผู้อุทกภัยที่ติดอยู่ภายในบ้านไม่สามารถจัดหาน้ำท่วมและอาหารได้
ทั้งนี้ หากผู้ใดประสงค์จะร่วมสนับสนุนปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ สามารถติดต่อนำสิ่งของมาร่วมบริจาคได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว.เพื่อประชาชน ” อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. โทรศัพท์ Call center 1313
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
“ศุภมาส” แถลงผลงาน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ “เรียนดี มีความสุข มีรายได้” พร้อมชู “วิจัย นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ”
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (รมว.อว.) ได้แถลงผลงานที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค โดยนำเสนอผลงานในรูปแบบที่แปลกใหม่และน่าสนใจ เรียกได้ว่าเป็น "นวัตกรรมแห่งการนำเสนอ" โดยถ่ายทอดผลงานผ่านละครเวทีสร้างสรรค์ ภายใต้ชื่อ "เชื่อมต่ออนาคตไทย สู่ปีแห่งความสำเร็จกับกระทรวง อว." แสดงให้เห็นผลงานของกระทรวง อว. ที่สามารถเข้าถึงประชาชน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาวศุภมาสฯ รมว.อว. กล่าวว่า เมื่อครั้งที่ตนได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ในรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ตนได้วางนโยบายหลักด้านการอุดมศึกษา “เรียนดี มีความสุข มีรายได้” มุ่งเป้าหมายการลดภาระของนักศึกษา ผู้ปกครอง และอาจารย์ผู้สอน สำหรับด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ได้เน้นนโยบาย “วิจัย นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” โดยให้ภาคเอกชนมีบทบาทนำ และภาครัฐทำหน้าที่สนับสนุน
ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวง อว. มุ่งมั่นขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดยเชื่อว่าการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม คือรากฐานสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการทำให้ “อว. เป็นกระทรวงเศรษฐกิจ” ที่ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศผ่านการวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ สร้างความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
กระทรวง อว. ได้ผลักดันโครงการสำคัญหลายโครงการที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น โครงการ “อว. for EV” ที่มุ่งพัฒนางานวิจัยด้านยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่การออกแบบและพัฒนาประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ไปจนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้แข็งแกร่ง พร้อมขอความร่วมมือจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศให้เปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้มากที่สุด
ในส่วนของโครงการ “อว. for AI” กระทรวง อว. ได้ผลักดันการพัฒนาการศึกษาและบุคลากรด้าน AI อย่างเข้มข้น โดยตั้งเป้าหมายให้นิสิต นักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศมีความรู้พื้นฐานด้าน AI ภายในชั้นปีที่ 2 พร้อมมุ่งเพิ่มทักษะด้าน AI ให้นักศึกษาสามารถสร้าง AI ได้ ใช้ AI เป็น โดยนำ AI มาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในอาเซียน
นอกจากนี้ยังมีนโยบาย “อว. for Ignite Thailand” ที่ตั้งเป้าผลิตบุคลากรในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และ AI โดยจัดตั้ง 5 หลักสูตรแซนด์บ็อกซ์เพื่อสร้าง "New Growth Engine" ในประเทศ ได้แก่ หลักสูตรวิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ วิศวกรรมไซเบอร์ วิทยาการ
ชีวการแพทย์ขั้นสูง และวิศวกรรมระบบราง เป็นต้น
ในด้านการปฏิรูปอุดมศึกษา กระทรวง อว. มุ่งเน้นแนวคิด “2 ลด 2 เพิ่ม” คือ ลดภาระ-ลดเหลื่อมล้ำ-เพิ่มทักษะ-เพิ่มโอกาส เพื่อให้การศึกษาเข้าถึงได้และมีคุณภาพ ผ่านมาตรการ Free TCAS และ Free TGAT ที่สำคัญ อว. ได้พัฒนาสถาบันอุดมศึกษาให้ตอบโจทย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ผ่านระบบสะสมหน่วยกิต (Credit Bank) ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิตจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ และนำมาเทียบโอนเพื่อสำเร็จการศึกษา รวมไปถึง Skill Mapping (แผนที่ทักษะ) Skill Transcript (บันทึกทักษะ) และ Coop+ (สหกิจศึกษาพลัส) ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาและประชาชนสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิตและพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคต
นอกจากนี้ กระทรวง อว. ยังให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และสร้างความตระหนักด้านการวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีในสังคมวงกว้าง ผ่านการจัดกิจกรรม "อว.แฟร์ Sci Power for Future Thailand" ทั้งในกรุงเทพฯ และ 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้สัมผัสและเรียนรู้กับนวัตกรรมแห่งอนาคต และงาน “One Stop Open House 2024” ที่รวมสถาบันอุดมศึกษาจากทั่วประเทศไว้ในที่เดียว เพื่อให้ข้อมูลการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาแก่เยาวชนและผู้ปกครอง ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังสถาบันอุดมศึกษาหลายๆแห่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลการเข้าศึกษาต่อ ทั้งสองงานนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนิสิต นักศึกษา ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปอย่างมาก
สำหรับปีต่อไป กระทรวง อว. จะสานต่อนโยบายเดิมให้ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
โดยมี 12 เรื่องที่จะทำทั้งในด้านการอุดมศึกษา และด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ ววน. ได้แก่
1) การปฏิรูปอุดมศึกษาด้วยเทคโนโลยี AI ผลักดันให้สถาบันอุดมศึกษาก้าวสู่การเป็น AI University รองรับยุค Education 6.0 ด้วยการนำ AI และ Metaverse มาช่วยในการเรียนการสอนแบบ Immersive Education
2) การเพิ่มโอกาสในการเข้าทำงานของบัณฑิตจบใหม่ จัดให้มีการรวมผู้ประกอบการมาพบกับบัณฑิตในงาน Job Fair ภายในต้นปีหน้า
3) การเพิ่มประสิทธิภาพของกำลังคนตามความต้องการของอุตสาหกรรม ให้มหาวิทยาลัยร่วมกับภาคอุตสาหกรรมพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน
4) การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการพิจารณาการขอตำแหน่งทางวิชาการ จัดให้มีระบบการตรวจสอบสถานะผ่านออนไลน์ และปรับปรุงกระบวนการพิจารณาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
5) โรงเรียนสาธิตอินเตอร์ สนับสนุนให้มีโรงเรียนสาธิตอินเตอร์ในสาธิตที่มีความพร้อม
6) กองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา ผลักดันกฎหมายจัดตั้งกองทุนเพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม
7) อุตสาหกรรมการศึกษาของประเทศไทย ผลักดันไทยให้เป็น Education Hub โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำจากต่างประเทศ
8) อว. เป็นกระทรวงเศรษฐกิจ ใช้ ววน. เพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ สนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ และผลักดันวาระสำคัญเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศ โดยมีผลตอบแทนในทางเศรษฐกิจและสังคม (SROI) ไม่น้อยกว่า 5 เท่า และสามารถเพิ่ม GDP ของประเทศได้ไม่น้อยกว่า 1.5% จากการลงทุนด้าน ววน.
9) การนำ ววน. ไปแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ นำ ววน. ไปช่วยตอบโจทย์สำคัญของประเทศ อาทิ น้ำแล้ง ภัยพิบัติ PM2.5 ความมั่นคงด้านพลังงาน เป็นต้น
10) การนำ Science Park ไปสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและผู้ประกอบการ SMEs Startup ในท้องถิ่น
11) การสนับสนุนเทคโนโลยีขั้นแนวหน้าของประเทศ (Frontier Technology)
12) การปฏิรูประบบ ววน. อย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดสรรงบประมาณจากกองทุน ววน. การปรับระบบหน่วยบริหารจัดการทุน (PMU) การเพิ่มประสิทธิภาพระบบติดตามและประเมินผล การจัดทำแผนด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นต้น
นางสาวศุภมาสฯ รมว.อว. ได้เน้นย้ำว่า กระทรวง อว. จะยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยการใช้วิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญ พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและการศึกษาในระดับภูมิภาคและระดับโลก
"ดิฉันเชื่อว่า ความโปร่งใสในการทำงาน และการให้ข้อมูลที่ครบถ้วน จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และสร้างพลังในการพัฒนาประเทศร่วมกัน" นางสาวศุภมาสฯ รมว.อว. กล่าวทิ้งท้าย
สวทช.วิจัยตอบโจทย์ประเทศ 5 ด้านสำคัญ
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำคณะผู้บริหารสวทช.และผู้บริหารศูนย์วิจัยแห่งชาติ เข้าร่วมแถลงข่าว ประกอบด้วย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค ผศ.ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการ ไบโอเทค รศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการ เอ็มเทค ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ เอ็นเทค นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการ นาโนเทค ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมงานแถลงข่าว
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กำกับของกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม (อว.) มุ่งมั่นนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่การใช้งานจริง เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ด้วยแผนกลยุทธ์การวิจัย: S&T Implementation for Sustainable Thailand หรือ กลยุทธ์ STIST โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการวิจัยของทีมนักวิจัยทั้ง 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติ ตอบโจทย์สังคมและประเทศชาติ 5 ด้านสำคัญ ได้แก่
ด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ พัฒนาแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยศูนย์เนคเทค สวทช. พัฒนาแอป Traffy Fondue แก้ปัญหาชีวิตในเมืองอย่างต่อเนื่อง, Thai School Lunch เพื่อให้เด็กไทยได้รับโภชนาการที่ดี แอปฯ ‘รู้ทัน’ ที่ช่วยติดตามการระบาดของไข้เลือดออก รวมถึงแพลตฟอร์ม AI for Thai ที่คนใช้มากกว่าล้านครั้งต่อเดือน
ด้านสุขภาพและการแพทย์ ด้วยชุดตรวจโรคที่แม่นยำ รวดเร็ว เข้าถึงง่าย เพื่อการรักษาโรคแบบตรงจุด โดยศูนย์นาโนเทค สวทช. มีชุดตรวจโรคไต, ชุดตรวจโลหะปนเปื้อนในน้ำ และยังมีชุดตรวจโรคพืชและสัตว์หลากหลายชนิดที่พร้อมใช้งาน เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน มุ่งสู่พลังงานสะอาด ลดการปล่อยมลพิษ ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง และพลังงานทดแทน โดยศูนย์เอ็นเทค สวทช. ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญออกแบบแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบสับเปลี่ยนได้, พัฒนาขั้วแบตเตอรี่ ผลิตไฮโดรเจนและ Supercapacitor จากขยะการเกษตร นอกจากนี้ยังมีรถมินิบัสไฟฟ้าขับขี่อัตโนมัติ และน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ
ด้านอาหารและการเกษตร เพิ่มผลผลิต ยกระดับคุณภาพ ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ และนวัตกรรมการเกษตรอัจฉริยะ โดยศูนย์ไบโอเทค สวทช. ใช้องค์ความรู้ทำงานด้านจีโนม ถอดรหัสพันธุกรรมในมนุษย์เพื่อการแพทย์แม่นยำ พัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์และพันธุ์พืช เช่น ข้าว เพื่อความมั่นคง ยั่งยืน ด้วย Molecular Breeding, Gene Editing สนับสนุนอุตสาหกรรมด้วย FoodSERP นี่คือเทคโนโลยีชีวภาพเพื่ออนาคต
ด้านอุตสาหกรรม สร้างความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การก้าวเข้าสู่วงการ Semiconductor และระบบราง โดยศูนย์เอ็มเทค สวทช. ใช้องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมและวัสดุ เพื่อส่งเสริมงานด้านคมนาคมระบบราง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศไทย
ทั้งนี้ สวทช. ภายใต้กระทรวง อว. พร้อมเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ STIST นำพาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สู่การใช้ประโยชน์จริง เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย
นอกจากนี้กระทรวง อว. จัดทำ Factsheet ที่รวบรวมวิสัยทัศน์และผลงานสำคัญของหน่วยงานในสังกัด เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็ว โดยสามารถสแกน QR code เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. รับรางวัลเกียรติยศประเภทหน่วยงาน จากสัตวแพทยสมาคมฯ ในงานประชุม ICVS2024
(28 พฤศจิกายน 2567): ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาและเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้แทนองค์กร เข้ารับรางวัลเกียรติยศประเภทหน่วยงาน ประจำปี 2567 ในพิธีประกาศเกียรติคุณ " สัตวแพทย์ตัวอย่าง ประจำปี 2567 และมอบรางวัลเกียรติยศ ประจำปี 2567 " ในการจัดการประชุม วิชาการนานาชาติ ทางสัตวแพทย์และการเลี้ยงสัตว์ ครั้งที่ 46 "The 46" Intemational Conference on Veterinary Science" (ICVS 2024) ซึ่งจัดโดยสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปถัมภ์ ระหว่างวันที่ 28- 29 พฤศจิกายน 2567 ณ ห้อง Balroom 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
“การสร้างสื่อวิดีโอ Infographic เพื่อการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพด้วย Application Canva” (Create efficient video presentations with Canva) รุ่นที่ 3
ลงทะเบียนก่อนเต็ม รับจำนวนจำกัด!!!
สวทช. ขอเรียนเชิญเข้าร่วมฝึกอบรมหลักสูตร
“การสร้างสื่อวิดีโอ Infographic เพื่อการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพด้วย Application Canva” (Create efficient video presentations with Canva) รุ่นที่ 3
.
Key Highlights
หลักสูตรนี้จะให้ทฤษฎีและการปฏิบัติที่จำเป็นในการสร้างสื่อวิดีโอ Infographic โดยใช้ Canva เพื่อนำเสนอข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจ
ผู้เรียนจะได้เรียนรู้การใช้งานเครื่องมือต่างๆ ใน Canva เพื่อสร้างสื่อวิดีโอ Infographic ที่มีคุณภาพสูง
ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เทคนิคและกลยุทธ์ในการนำเสนอและการสื่อสารข้อมูลในรูปแบบของสื่อวิดีโอ Infographic ที่น่าสนใจและมีความน่าเชื่อถือ
.
วันที่ 22 - 23 มกราคม 256ค เวลา 09.00 - 16.00 น.
ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ ถนนศรีอยุธยา แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
.
ค่าลงทะเบียน ท่านละ 9,900 บาท (หน่วยงานภาครัฐ 9,252.34 บาท)
ลงทะเบียนได้ที่ลิงก์ https://www.career4future.com/vinfo
ลงทะเบียน https://www.career4future.com/cfa/index.php?crsgen=9895
.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 08 5289 2669 (คุณยุภา)
E-Mail : E-mail : bas@nstda.or.th
...
ทำความรู้จัก สวทช. เพิ่มเติมได้ที่
Website: https://www.nstda.or.th
YouTube: https://www.youtube.com/@nstda
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/nstda/
Instagram: https://www.instagram.com/nstdathailand/
Twitter: https://twitter.com/nstdathailand
LINE OA: https://lin.ee/5LjT9Ny
TikTok: https://www.tiktok.com/@nstdathailand
ปฏิทินกิจกรรม
เปิดโลก AI การแพทย์! สวทช.จัดงานบรรยายพิเศษ ร่วมมือสิงคโปร์ พัฒนาเทคโนโลยีสุขภาพล้ำยุค
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ฝ่ายพัฒนาบุคลากรวิจัย สำนักงานกลาง โดยโครงการทุนการศึกษา NSTDA-SINGA ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สวทช.และเครือข่ายหน่วยงานวิจัยและมหาวิทยาลัยพันธมิตร ในประเทศสิงคโปร์ ได้จัดงานบรรยายหัวข้อ "Transforming Healthcare with Computer Vision & AI: A Deep Dive into MVAIT, LKCMedicine & NTU" ณ ห้องปทุมมา อาคารเนคเทค สวทช. โดยได้รับเกียรติจาก Asst. Prof. Yeo Si Yong จาก Lee Kong Chian School of Medicine (LKCMedicine), Nanyang Technological University (NTU) ประเทศสิงคโปร์ เป็นวิทยากรบรรยาย โดยมีนางจันทร์ธิรา มงคลวัย ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาบุคลากรวิจัย ผู้แทน รองผู้อำนวยการสายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา สวทช. ได้กล่าวต้อนรับและเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Computer Vision ในการพัฒนาการดูแลสุขภาพให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น
Asst. Prof. Yeo Si Yong ได้นำเสนองานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยี AI ในห้องปฏิบัติการ LKCMedicine เช่น Deformable models, computational modelling, Large Foundation Models (LFMs), Large Language Models (LLMs) และ Vision-Language Models (VLMs) ซึ่งมีเป้าหมายในการเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค ปรับปรุงผลการรักษา และพัฒนาการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยงานวิจัยเหล่านี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Lee Kong Chian School of Medicine, Nanyang Technological University (NTU), National University of Singapore (NUS) และ Agency for Science, Technology and Research (A*STAR) โดยใช้เทคโนโลยี Computer Vision, Generative Adversarial Networks (GANs) และ Neural Radiance Fields (NeRFs) ในการสร้างภาพและวิเคราะห์โครงสร้างทางการแพทย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและการรักษา
นอกจากนี้นักศึกษาในห้องปฏิบัติการ LKCMedicine ได้นำเสนอผลงานวิจัยของตนเอง ได้แก่ Miss Chen Yucheng นักศึกษาปริญญาเอกได้นำเสนอหัวข้อ "Medical Report Generation" โดยเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในการสร้างรายงานทางการแพทย์แบบมืออาชีพโดยอัตโนมัติจากข้อมูลภาพที่ป้อนเข้าสู่ระบบอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ, Mr. Shi Yufei นักศึกษาปริญญาเอก ได้นำเสนอหัวข้อ "ColonNeRF: High-Fidelity Neural Reconstruction of Long Colonoscopy" ซึ่งเน้นการสร้างภาพ 3 มิติของลำไส้ใหญ่ด้วย Neural Reconstruction ที่มีความละเอียดสูง และ Mr. Kritsanavis Chongsrid นักศึกษาปริญญาเอก ได้นำเสนอหัวข้อ "Deep-Learning-Based System for Medical Imaging Data Analysis in Surgical Planning and Guidance" ซึ่งเป็นการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์แบบลึกในการวิเคราะห์ข้อมูลภาพทางการแพทย์เพื่อการวางแผนและการนำทางในหัตถการ
Mr. Kritsanavis ยังได้กล่าวถึงโอกาสในการศึกษาต่อและทำวิจัยในสาขาที่เกี่ยวข้องกับ AI และ Computer Vision ที่ Lee Kong Chian School of Medicine (LKCMedicine) ของ Nanyang Technological University (NTU) ประเทศสิงคโปร์ โดยมีทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก SINGA (Singapore International Graduate Award) สำหรับนักศึกษานานาชาติที่สนใจศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ซึ่งเป็นทุนเต็มจำนวนและไม่มีภาระผูกพัน นอกจากนี้ นักศึกษาชาวไทยยังสามารถสมัครทุนปริญญาเอก NSTDA-SINGA ซึ่งเป็นทุนเต็มจำนวนและไม่มีภาระผูกพันเช่นเดียวกัน โดยเป็นช่องทางพิเศษสำหรับนักศึกษาชาวไทย อีกทั้งยังมีทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกอื่น ๆ ได้แก่ NTU Research Scholarship, Nanyang President’s Graduate Scholarship (NPGS) และ HRH-NTU Scholarship ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการร่วมงานกับทีมวิจัยและศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่สิงคโปร์
Asst. Prof. Yeo Si Yong ยังกล่าวว่านอกจากการเดินทางมาบรรยายพิเศษแล้วนั้น ยังได้รับโอกาสที่ดีจาก สวทช.ในการเข้าร่วมหารือกับกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ได้แก่ ทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์ (MIS) และเข้าเยี่ยมชมศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช.เพื่อสร้างความร่วมมือในส่วนงานวิจัยต่อไป
ในช่วงท้ายของงานได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสอบถามในช่วง Q&A เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI และ Computer Vision ในการแพทย์ รวมถึงการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมวิจัยที่ Lee Kong Chian School of Medicine (LKCMedicine), Nanyang Technological University (NTU) โดยบรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความสนใจจากผู้เข้าร่วม
ทั้งนี้โครงการทุน NSTDA-SINGA กำลังเปิดรับสมัครทุนศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ประจำปี 2568 เพื่อศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสิงคโปร์ ได้แก่ NTU, NUS, SUTD, SMU, SIT หรือทำวิจัยร่วมกับ A*STAR โดยเปิดรับสมัครถึงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการและใบสมัครได้ที่https://shorturl.at/5zrVc หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณวารี อัชชะกุลวิสุทธิ์ และคุณสุรางค์ศรี ศรีวงศา อีเมล: NSTDA_SINGA@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย คว้ารางวัล ASOCIO Awards 2024 สะท้อนบทบาทผู้นำภาครัฐในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล
(เมื่อเร็ว ๆ นี้) ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย เปิดเผยว่า เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับรางวัล ASOCIO Awards 2024 สาขา Emerging Digital Solutions & Ecosystem Award in Public Sector ในงานประชุม The Asian-Oceanian Computing Industry Organization (ASOCIO) Digital Summit 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรม ANA Intercontinental กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีสมาชิกองค์กรชั้นนำภาครัฐและเอกชนจาก 24 ประเทศเข้าร่วม
รางวัลนี้ยืนยันถึงความสำเร็จของเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทยในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) และสนับสนุนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และดิจิทัลของประเทศให้ก้าวสู่เวทีระดับสากล โดยมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
“รางวัลนี้เป็นผลสำเร็จที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราตลอด 27 ปีที่ผ่านมา ในฐานะหน่วยงานรัฐที่สนับสนุนระบบนิเวศดิจิทัล ผ่านการพัฒนาบุคลากร และสนับสนุนผู้ประกอบการซอฟต์แวร์และดิจิทัล ร่วมขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ เราพร้อมเป็นส่วนสำคัญ เพื่อร่วมสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม” ดร.ภัทราวดี กล่าว
สนับสนุนธุรกิจดิจิทัลด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน
เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทยมีความพร้อมในการสนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยบริการที่ครอบคลุมทุกด้าน ได้แก่:
• พื้นที่สำนักงานพร้อมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทันสมัย: รองรับการทำงานขององค์กรทุกขนาดในบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม
• การเชื่อมโยงกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ: เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจและเข้าถึงตลาดใหม่
• โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการสนับสนุนด้านนวัตกรรม: เช่น การฝึกอบรมเชิงลึก กิจกรรมสัมมนาเพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้ และกิจกรรมสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ
ติดต่อเรา
เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทยเปิดรับ ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ/เช่าพื้นที่สำนักงาน/หรือ ใช้บริการสนับสนุนต่างๆ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตดิจิทัลของประเทศไทย
งานบริหารพื้นที่และสนับสนุนธุรกิจ
โทร: 02-583-9992
อีเมล: fms@swpark.or.th
LINE Official: @softwarepark
เว็บไซต์: https://swpark.or.th/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
อว. จัดงานมหกรรมการศึกษาครั้งใหญ่ One Stop Open House 2024 สวทช. ขน 3 โครงการทุนการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเปิดรับสมัครในงาน
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน “One Stop Open House 2024” งานมหกรรมการศึกษาที่รวมมหาวิทยาลัยจากทั่วประเทศไว้ในที่เดียว ภายใต้แนวคิด “อนาคตของคุณเริ่มต้นที่นี่: การศึกษายุคใหม่เพื่ออาชีพในฝัน” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (Hall 1-2) โดยมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมในพิธีเปิดงาน
นางสาวศุภมาส กล่าวว่า โลกในยุคดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การศึกษาไม่ใช่แค่การเรียนรู้ในห้องเรียนอีกต่อไป แต่เป็นการเตรียมเยาวชนให้พร้อมรับมือกับอาชีพใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคต งาน One Stop Open House 2024 นี้ไม่ได้เป็นเพียงนิทรรศการการศึกษา แต่เป็นพื้นที่ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และมอบโอกาสให้เยาวชนไทยได้ค้นพบตัวเอง เข้าใจเส้นทางการศึกษา และเตรียมตัวเข้าสู่โลกการทำงานได้อย่างมั่นใจ
“งาน One Stop Open House 2024 จัดขึ้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของอนาคตที่ทุกคนออกแบบได้ด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสและเชื่อมโยงทุกความฝันเข้ากับความเป็นจริง” นางสาวศุภมาส กล่าว
สำหรับไฮไลต์สำคัญของงาน One Stop Open House 2024 ประกอบด้วย 1. โซนคำปรึกษาและแนะแนวอาชีพ พบกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ ให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคลแบบครบวงจร พร้อมสัมผัสชีวิตมหาวิทยาลัยเสมือนจริงผ่านเทคโนโลยี Virtual Reality 2. โซนทุนการศึกษา ข้อมูลทุนการศึกษาจากหลากหลายแหล่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ครอบคลุมทุนจากภาครัฐและเอกชน 3. AI Faculty Matching & Career Path Guidance ระบบ AI อัจฉริยะ ช่วยวิเคราะห์ความสนใจและทักษะของผู้เข้าร่วม เพื่อแนะนำมหาวิทยาลัย คณะ และอาชีพที่เหมาะสม 4. กิจกรรมสัมมนาและเวิร์กช็อปพิเศษ หัวข้อครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนเส้นทางอาชีพ การ Upskill และ Reskill ทักษะในยุคดิจิทัล และการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้นำในอนาคต 5. 9D Cinema และห้อง Interactive ประสบการณ์โลกเสมือนจริงที่พาคุณสำรวจตั้งแต่อวกาศจนถึงใต้ทะเล 6. มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินดัง การแสดงสดจากศิลปินยอดนิยม เช่น ATLAS, PAPERPLANE, Diamond Laz1 และ PROXIE ที่มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจ
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ได้มีส่วนร่วมในงาน One Stop Open House 2024 โดยนำ 3 โครงการทุนการศึกษาไปจัดแสดงในโซนทุนการศึกษา เพื่อให้คำแนะนำแก่นักเรียนนักศึกษาหรือผู้ที่สนใจ ดังนี้
1.โครงการ Thailand Advanced Institute of Science and Technology - Institute of science Tokyo (TAIST- Science Tokyo) ซึ่ง สวทช. ร่วมกับ Institute of Science Tokyo ประเทศญี่ปุ่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ขั้นสูง ระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ รวมถึงหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งทางราง ซึ่งร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล โดยโครงการ TAIST-Science Tokyo (เดิมชื่อ TAIST-Tokyo Tech) เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน และในปี 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ให้การสนับสนุนทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงตามความต้องการของประเทศ
2.โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project - JSTP) ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาได้เปิดโลกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ กิจกรรมฝึกทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการทดลองด้านวิทยาศาสตร์ การบรรยายพิเศษ และกิจกรรมทัศนศึกษานอกสถานที่ พร้อมสร้างสรรค์ผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ รับทุนทำโครงงานวิทยาศาสตร์จำนวน 10,000 บาท/โครงงาน โดยมีนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด และมีโอกาสได้รับคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษา และทุนวิจัยจนจบปริญญาเอก โดยไม่ผูกพันการรับทุน ซึ่งปัจจุบัน JSTP อยู่ระหว่างเปิดรับสมัครรุ่นที่ 28 ประจำปี 2568 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 – 20 มกราคม 2568
3.โครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มบุคลากรวิจัยที่มีศักยภาพสูงให้แก่หน่วยงานวิจัย มหาวิทยาลัย และหน่วยงานอื่นๆ ของภาครัฐ ที่ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตลอดจนผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมมเป้าหมายหลัก (S-Curve) เพื่อรองรับโครงการขนาดใหญ่ เช่น BCG EECi เป็นต้น และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมในเวทีโลก
ประเภททุนที่จัดสรร
1. ทุนมัธยมศึกษาตอนปลาย (ต่างประเทศ)
เป็นทุนที่สอบแข่งขันบุคคลเพื่อไปศึกษาในระดับปริญญาตรี-โท-เอก ซึ่งในปีนี้ เปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อรับทุนจำนวน 29 ทุน
2. ทุนบุคคลทั่วไประดับปริญญา(ต่างประเทศ) เป็นทุนที่สอบแข่งขันบุคคลเพื่อไปศึกษาในระดับปริญญาโท ,ปริญญาโท-เอก และปริญญาเอก ซึ่งกำลังจะเปิดรับสมัคร ในเดือนธันวาคม 2567 นี้ จำนวน 95 ทุน
3. ทุนพัฒนาบุคลากรภาครัฐ (ต่างประเทศและในประเทศ)
เป็นทุนที่จัดสรรให้แก่หน่วยงานของรัฐเพื่อคัดเลือกบุคลากรในสังกัดให้รับทุนเพื่อไปศึกษาในระดับปริญญาโท ,ปริญญาโท-เอก หรือปริญญาเอก ในปีนี้มีจำนวนทุนที่จัดสรร จำนวน 89 ทุน เป็นทุนต่างประเทศ 68 ทุน และทุนในประเทศ 21 ทุน
นอกจากนี้ ภายในงาน One Stop Open House 2024 ยังเพิ่มมิติที่ตอบโจทย์ผู้เข้าร่วมมากขึ้น ด้วยข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่เน้นด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ความยั่งยืน และการเตรียมพร้อมสำหรับตลาดแรงงานในอนาคต รวมถึงเครื่องจำลองอาชีพที่จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถทดลองใช้ชีวิตในบทบาทต่าง ๆ ได้อย่างสมจริง และเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับนักเรียนและผู้ปกครองทั่วประเทศ สำหรับน้อง ๆ และผู้ปกครองที่อยู่ต่างจังหวัดหรือไม่สะดวกเดินทางมายังสถานที่จัดงาน สามารถรับคำปรึกษาแบบตัวต่อตัวได้ผ่าน Line Official: @OpenhousebyMHESI โดยทีมงานมืออาชีพ พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางการศึกษา การเลือกคณะ และการวางแผนอาชีพในอนาคตได้อย่างละเอียด
ขอเชิญชวนนักเรียน ผู้ปกครอง และผู้สนใจเข้าร่วมงาน “One Stop Open House 2024” ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Hall 1-2 ตั้งแต่เวลา 9.00-19.00 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.mhesi.go.th และเฟซบุ๊ก www.facebook.com/MHESIThailand หรือ Line Official @OpenHousebyMhesi
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
รถจักรยานยนต์รับจ้างพลังงานไฟฟ้า … สู่สังคมที่ยั่งยืน
เนื่องในโอกาสที่องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้วันที่ 26 พฤศจิกายน เป็น "วันขนส่งยั่งยืนโลก" World Sustainable Transport Day กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ผนึกหน่วยงานพันธมิตรจัดงาน “รถจักรยานยนต์รับจ้างพลังงานไฟฟ้าสู่สังคมที่ยั่งยืน” เพื่อร่วมกันแถลงความมุ่งมั่นในการผลักดันโครงการรถจักรยานยนต์รับจ้างพลังงานไฟฟ้า มีเป้าหมายให้เกิดการต่อยอดพัฒนาในด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับการขยายผลการใช้งานรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในวงกว้างต่อไป
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
เปิดประตูสู่อวกาศ ! JAXA ชวนเด็กไทยเสนอการทดลองในอวกาศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) จัดทำโครงการ “Asian Try Zero-G 2025” ชวนเยาวชนไทยส่ง “แนวคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเพื่อทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ” ร่วมแข่งขันกับเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 12 มกราคม 2568
[caption id="attachment_63463" align="aligncenter" width="1200"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สวทช. ร่วมกับ JAXA ดำเนินโครงการ Asian Try Zero-G 2025 เปิดรับไอเดียการทดลองวิทยาศาสตร์จากเยาวชนไทย เพื่อทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำบนสถานีอวกาศนานาชาติ ทั้งนี้คณะกรรมการของ สวทช. จะคัดเลือกไอเดียการทดลองที่น่าสนใจจำนวน 3 การทดลอง ในฐานะตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย, บังคลาเทศ, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไต้หวัน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากนั้น JAXA จะคัดเลือกไอเดียการทดลองรอบสุดท้ายไม่เกิน 6 การทดลอง เพื่อให้นักบินอวกาศอวกาศญี่ปุ่นทดลองจริงในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ บนโมดูลห้องปฏิบัติการคิโบ (Kibo Module) สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station)
[caption id="attachment_63464" align="aligncenter" width="1920"] ภาพการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติโดย นายซาโตชิ ฟุรุคาวะ นักบินอวกาศญี่ปุ่นของ JAXAเครดิตภาพ : JAXA/NASA[/caption]
“โครงการ Asian Try Zero-G 2025 เปิดรับสมัครเยาวชนทั้งรูปแบบรายบุคคลหรือกลุ่มไม่เกิน 3 คน โดยปีนี้เปิดให้เสนอ “ไอเดียการทดลองทางฟิสิกส์ (Physics Experiments)” ผู้สมัครต้องส่งไอเดียการทดลองทางฟิสิกส์อย่างง่ายที่ทำได้ด้วยอุปกรณ์ที่มีอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งข้อเสนอการทดลองต้องมีสมมติฐาน หลักการ และคาดการณ์ผลการทดลอง ที่สำคัญขั้นตอนการทดลองต้องมีความเรียบง่ายและทำให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 10 นาที นับเป็นโอกาสที่ดีของเยาวชนไทยที่จะได้ลองคิดไอเดียการทดลองที่แปลกใหม่ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีอวกาศในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น เยาวชนผู้ได้รับการคัดเลือกยังมีโอกาสเดินทางไปศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อชมการทดลองทางวิทยาศาสตร์จากไอเดียของตนเองแบบเรียลไทม์ และสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ คือพูดคุยกับนักบินอวกาศญี่ปุ่นตัวจริงเสียงจริงที่ถ่ายทอดสดมาจากสถานีอวกาศนานาชาติ รวมทั้งยังได้ร่วมกิจกรรมด้านอวกาศกับเยาวชนจากทั่วโลก”
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถส่งใบสมัครเป็นภาษาอังกฤษมาภายในวันที่ 12 มกราคม 2568 โดยติดตามรายละเอียดข้อมูลและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการ Asian Try Zero-G 2025 ได้ที่ Website: โครงการ Asian Try Zero-G 2025 และ Facebook: NSTDA Space Education
ข่าวประชาสัมพันธ์


