หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ร่วมเจรจากับ A*STAR ผนึกกำลังการผลักดันวิทยาศาสตร์สู่การใช้ประโยชน์จริง
(เมื่อวันที่  7 มกราคม 2567) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ เข้าพบกับ คณะผู้บริหาร Agency for Science, Technology and Research (A*STAR) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.แอนดี้ ฮอร์ รองประธานกรรมการบริหาร และ ดร.ฮาเซล ชู  ผู้อำนวยการระดับสูงด้านนวัตกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ และคณะผู้บริหารเนื่องในโอกาสเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์   ศาสตราจารย์ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวถึงความร่วมมือที่เข้มแข็งกับ A*STAR  หน่วยงานวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติของประเทศสิงคโปร์ว่า ตามที่ น.ส. ศุภมาส อิศรภักดี รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้นำทีมผู้บริหารและนักวิจัยของกระทรวง อว. เข้าร่วมการประชุมผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับโลก (Science and Technology in Society: STS forum) ภายใต้กรอบแนวคิด “Lights and Shadows of Science and Technology” ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2566 และได้ร่วมประชุมหารือทวิภาคีกับผู้บริหารของ Agency for Science, Technology and Research (A*STAR) ประเทศสิงคโปร์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาและการพัฒนากำลังคน ซึ่งจะเสริมความเข้มแข็งซึ่งกันและกัน สวทช. และ A*STAR มีเป้าหมายเดียวกันคือ การนำวิทยาศาสตร์สู่สังคมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเข้าสู่การประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรมและนำไปใช้จริงในวงกว้าง ประชาชนได้รับประโยชน์  จนมาสู่การที่ทั้งสององค์กรได้หารือความเป็นไปได้ในความร่วมมือในอนาคต จะมีความร่วมมือด้านการทำโครงการวิจัยร่วมกัน โครงการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างพนักงานและผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ การจัดประชุมวิชาการและอบรมเชิงปฏิบัติการต่างๆ  การถ่ายทอดเทคโนโลยี การสนับสนุนทุนวิจัยและทุนพัฒนาบุคลากร และการพัฒนาเยาวชนวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการทำงานที่ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบหมายไว้ คือ “เรียนดี มีความสุข มีรายได้ พร้อม “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” หนุน SMEs สตาร์ทอัพ นวัตกรรมแก้จน นำชุมชนแก้แล้ง   ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า งานด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยได้รับประโยชน์อย่างมากจากความร่วมมือครั้งนี้ เพราะบุคลากรด้านวิจัยที่ต้องการศึกษาต่อและนักศึกษาไทยจะได้เสนอเข้ารับทุนและทำงานวิจัยในสถาบันวิจัยของ 4 มหาวิทยาลัยชั้นนำของสิงคโปร์ ได้แก่1.Nanyang Technological University (NTU) 2.National University of Singapore (NUS) Singapore 3.Management University (SMU) และ 4.Singapore University of Technology and Design (SUTD) เป็นระยะเวลา 4 ปี โดยหลังจากที่สำเร็จการศึกษาเรียบร้อยแล้ว นักศึกษาจะได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยพันธมิตรที่ไปทำวิจัยด้วย นอกจากนี้จะมีโปรแกรมทำวิจัยระยะสั้นที่หลากหลายร่วมกับมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ โดย A*STAR จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนากำลังคน   นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวว่า บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ภายใต้การดูแลของ สวทช. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ฝึกทักษะและพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเด็กและเยาวชนผู้มีความสนใจและมีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เป็นแหล่งเรียนรู้และสนับสนุนพัฒนาเด็กและเยาวชนและอบรมครูในรูปแบบที่หลากหลาย จึงนับว่าเป็นประโยชน์มากที่ได้แลกเปลี่ยนโครงการอบรมครูวิทยาศาสตร์ของสิงคโปร์และแนวทางการจัดระบบการศึกษาได้อย่างน่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือสร้างเครือข่ายในการทำงานร่วมกับครูผู้สอนด้านสะเต็มศึกษา (STEM Education) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ การแนะแนวเส้นทางอาชีพที่หลากหลายและชี้ให้เห็นโอกาสความก้าวหน้าของอาชีพต่าง ๆ ให้นักเรียนได้ตัดสินใจและเลือกสาขาที่ตนถนัดและชอบ   “ความคาดหวังจากความร่วมมือดังกล่าว จะมีสนับสนุนการวิจัยที่มีคุณภาพและพัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีคุณค่าสำหรับเศรษฐกิจและสังคม มีการทำงานร่วมกับบริษัทเอกชน สถาบันการศึกษาและหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสร้างความร่วมมือในการนำความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเข้าสู่การประยุกต์ใช้ในสาขาอุตสาหกรรม ส่งเสริมและมุ่งเน้นการวิจัยในด้านต่าง ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ชีวภาพ  เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ วัสดุ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการผลิต, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างความตระหนักทางวิทยาศาสตร์และพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดรับสมัคร ผู้สนใจรับทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและระดับปริญญาเอก ประจำปีการศึกษา 2567
เปิดรับสมัคร ผู้สนใจรับทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและระดับปริญญาเอก ประจำปีการศึกษา 2567 (ค.ศ. 2024) *** โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน *** มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ เปิดรับสมัครผู้สนใจรับทุนการศึกษา ไปศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งในต่างประเทศได้ทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานแก่บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามข้อกำหนดของมหาวิทยาลัย โดยไม่มีข้อผูกพันการชดใช้ทุน จำนวน 5 มหาวิทยาลัย ดูข้อมูลได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/ ดังนี้   1. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technological University: NTU) สาธารณรัฐสิงคโปร์  ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก จำนวน 2 ทุน ในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ จำนวน 7 สาขา ดังนี้ (1) Mechanical & Aerospace Engineering (2) Materials Science & Engineering (3) Biomechanics (4) Human Factors (5) Rehabilitation Engineering (6) Artificial Intelligence & Machine Learning (7) Robotics เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 19 มกราคม 2567 สนใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัย ดูได้ที่ https://www.ntu.edu.sg/mae/research/research-focus สนใจประกาศรับสมัคร ดูและสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/ntu/   2. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Technology and Design: SUTD) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก จำนวน 3 ทุน ในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 4 สาขา ดังนี้ Engineering Product Development (EPD) ดูที่ https://epd.sutd.edu.sg/people/faculty/ Engineering Systems and Design (ESD) ดูที่ https://esd.sutd.edu.sg/people/faculty/ Information Systems Technology and Design (ISTD) ดูที่ https://istd.sutd.edu.sg/people/faculty/ Science, Mathematics and Technology (SMT) ดูที่ https://smt.sutd.edu.sg/people/faculty/ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 สนใจประกาศรับสมัคร ดูและสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/sutd/                                             3. มหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง (Xi'an Jiaotong University: XJTU) สาธารณรัฐประชาชนจีน ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาระดับปริญญาโท จำนวน 3 ทุน ในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือการจัดการด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ จำนวน 9 สาขา ดังนี้ (1) Mechanical Engineering (2) Power Engineering and Engineering Thermophysics (3) Electronic Science and Technology (4) Information and Communication Engineering (5) Control Science and Engineering (6) Computer Science and Technology (7) Materials Science and Engineering (8) Electrical Engineering (9) Management Science and Engineering เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 26 มกราคม 2567 สนใจศึกษาข้อมูลของหลักสูตร ดูได้ที่ https://sie.xjtu.edu.cn/en/2024pdf สนใจประกาศรับสมัคร ดูและสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/xjtu/   4. มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin : UCD) สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาระดับปริญญาโท จำนวน 2 ทุน ในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์การเกษตร และวิทยาศาสตร์การอาหาร จำนวน 3 สาขา ได้แก่ College of Engineering and Architecture College of Science School of Agriculture & Food Science ภายใต้ College of Health and Agricultural Sciences เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 12 เมษายน 2567 สนใจประกาศรับสมัคร ดูและสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/ucd/ สนใจศึกษาข้อมูลของหลักสูตร ดูได้ที่ เว็บไซต์ The HRH Scholarship Programme with the 2024/25 intake timeline and information https://bit.ly/3H5vdwx เว็บไซต์ Scholarships for Thai Students https://bit.ly/3RXekdI เว็บไซต์ https://www.ucd.ie/global/scholarships/ เลือก Thailand หัวข้อ HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn of Thailand Scholarship   5. สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสโกลโกโว (Skolkovo Institute of Science and Technology: Skoltech) สหพันธรัฐรัสเซีย ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาระดับปริญญาโท จำนวน 3 ทุน ในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 3 สาขาดังนี้ Master of Science in Electricity and Electrical Engineering (Energy Systems) Master of Science in Materials Science and Technology of Materials (Materials Science) Master of Science in Mathematics and Computer Science (Data Science) เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 5 เมษายน 2567 สนใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับทุนและหลักสูตร ดูได้ที่ https://student.skoltech.ru/sirindhorn-scholarship สนใจประกาศรับสมัคร ดูและสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/skoltech สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : info@princess-it.org สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/
ปฏิทินกิจกรรม
 
ผลการดำเนินงาน สวทช. ปีงบประมาณ 2566
สวทช. สรุปผลการดำเนินงานประจำปี 2566 นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในทุกมิติ พร้อมขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ NSTDA Core Business สามารถผลิตผลงานวิจัยนำไปสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้าง สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม คิดเป็นมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท และเกิดการลงทุนด้าน วทน. มากถึง 15,000 ล้านบาท
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ต้อนรับศักราชใหม่ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 32 ปี และวันขึ้นปีใหม่ 2567
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : (4 มกราคม 2567) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมคณะผู้บริหาร พนักงาน สวทช. และประชาคม อวท. ร่วมกิจกรรมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 32 ปี วันก่อตั้ง ในวันที่ 29 ธันวาคม 2566 และวันขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2567 โดยมี พระเทพวชิรมุนี (ม.ล.คิวปิด ปิยโรจโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เนคเทค สวทช. ร่วม EECi พัฒนา ‘I2-Starter Kit’ ชุดอุปกรณ์เรียนรู้ระบบ IIoT มุ่งสนับสนุนเยาวชนไทยเข้าถึงอุปกรณ์พัฒนาทักษะอุตสาหกรรม 4.0 อย่างทั่วถึง
  แม้อุตสาหกรรมทั่วโลกจะตื่นตัวกับการก้าวกระโดดสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 หรือยุคที่มนุษย์สื่อสารกับเครื่องจักรภายในโรงงานที่เป็นอุปกรณ์ Industrial Internet of Things (IIoT) ได้จากทุกที่ทุกเวลา ทั้งเพื่อติดตามการทำงานของสายการผลิต สั่งการทำงาน หรือดึงฐานข้อมูลต่าง ๆ จาก PLC (Programable Logic Control) มาใช้ปรับแผนการทำงานแบบเรียลไทม์ อาทิ การประเมินศักยภาพสายการผลิต การวางแผนการผลิต การวางแผนซ่อมแซมอุปกรณ์ แต่จนถึงปัจจุบันโรงงานในประเทศไทยส่วนใหญ่กลับยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตเพื่อก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ได้ สาเหตุสำคัญมาจากการขาดแคลนแรงงานทักษะสูงที่มีความรู้ความเข้าใจด้าน ‘การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IIoT อย่างลึกซึ้ง’ ส่งผลให้ภาพรวมการลงทุนด้านอุปกรณ์และซอฟต์แวร์เพื่อการใช้งานเทคโนโลยีประเภทนี้ยังมีค่าใช้จ่ายมาก ผู้ประกอบการในระดับ SMEs ส่วนใหญ่ลงทุนไม่ไหวแม้จะมีความต้องการใช้งานสูงก็ตาม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘I2-Starter Kit (ไอสแควร์ - สตาร์ตเตอร์ คิต)’ หรือ ‘ชุดอุปกรณ์การเรียนการสอน IIoT แบบพกพา’ ที่รวม PLC ของเครื่องจักรหลายแบรนด์ไว้ในชุดอุปกรณ์ขนาดประมาณกระดาษ A4 แผ่นเดียว สามารถลดค่าอุปกรณ์เรียนรู้จากหลักแสนเหลือเพียงหลักหมื่นบาท ช่วยให้สถาบันการศึกษามีกำลังจัดซื้ออุปกรณ์ให้ผู้เรียนใช้งานได้อย่างทั่วถึง   [caption id="attachment_50940" align="aligncenter" width="700"] ปิยวัฒน์ จอมสถาน ผู้ช่วยวิจัย เนคเทค สวทช.[/caption]   ปิยวัฒน์ จอมสถาน ผู้ช่วยวิจัย กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม (IIARG) เนคเทค สวทช. ผู้พัฒนาชุดอบรม I2-Starter Kit อธิบายว่า จากประสบการณ์การเป็น System Engineer/IoT Engineer ให้บริษัทชั้นนำ และเป็นวิทยากรด้านการพัฒนาทักษะ IIoT แบบเข้มข้นให้แก่บริษัทเอกชน ครู นักเรียน และนักศึกษา ทำให้เห็นช่องโหว่ที่สำคัญว่าประเทศไทยยังขาดแคลนผู้บูรณาการระบบ หรือ System Integrator (SI) และผู้ดำเนินงานด้านวิศวกรรมระบบ (System Engineering) ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบ IIoT อย่างลึกซึ้ง จึงไม่สามารถประยุกต์ใช้อุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่จะช่วยลดการลงทุนด้านการปรับปรุงระบบโรงงานให้แก่ผู้ประกอบการได้ “สาเหตุสำคัญมาจากค่าอุปกรณ์การเรียนรู้ด้านการพัฒนาระบบ IIoT มีราคาค่อนข้างสูง และต้องอาศัยประสบการณ์การเรียนรู้มาก ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกันพัฒนา I2-Starter Kit ขึ้น สำหรับใช้เป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนด้านระบบ IIoT ในราคาย่อมเยา เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมถึงผู้ดำเนินงานด้าน SI และโรงงานอุตสาหกรรม ได้ใช้เรียนรู้ถึงกลไกการทำงานและการประยุกต์ใช้อุปกรณ์และซอฟต์แวร์อย่างลึกซึ้ง นำไปสู่การปรับใช้ในโรงงานต่าง ๆ ได้จริง โดยได้รับทุนสนับสนุนด้านการพัฒนาชุดอุปกรณ์และการจัดการเรียนการสอนจากเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)”   [caption id="attachment_50939" align="aligncenter" width="706"] : I2-Starter Kit[/caption]   I2-Starter Kit เรียนรู้ IIoT แบบครบจบในบอร์ดเดียว I2-Starter Kit เป็นชุดอุปกรณ์การเรียนการสอน IIoT แบบพกพา ที่ประกอบด้วยหัวใจหลักของเครื่องจักร 2 ส่วน คือ PLC หรือระบบประมวลผลที่เปรียบเสมือนสมองของเครื่องจักร และ HMI (Human Machine Interface) หน้าจอสำหรับแสดงผลและกดสั่งการทำงานเครื่องจักร นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้ประกอบการเรียนรู้ คือ Switch และ Volume สำหรับนำเข้าข้อมูล, LED และ Buzzer สำหรับแสดงผลการทำงานต่าง ๆ และส่วนสุดท้ายคือพอร์ตสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมภายนอก เช่น มอเตอร์ ชุดอุปกรณ์นี้ใช้งานได้กับ IoT Gateway ทุกแบรนด์ (เลือกใช้ได้ตามความสะดวกในการจัดหา หรือจะพัฒนาอุปกรณ์เพื่อใช้งานเองก็ได้เช่นกัน) I2-Starter Kit เหมาะสำหรับใช้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบ IIoT เชิงลึก เน้นทำความเข้าใจการทำงานของทั้งระบบ เพื่อให้ผู้เรียนนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำกัดแบรนด์ของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานจริง     ปิยวัฒน์ อธิบายว่า ทีมวิจัยได้ออกแบบหลักสูตรสำหรับใช้งานร่วมกับชุดอุปกรณ์นี้ไว้ 6 โมดูลหลัก ครอบคลุมการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบ IIoT อย่างลึกซึ้ง โมดูลแรกคือการเรียนรู้ภาพรวมของระบบ IIoT โมดูลที่สองคือการเรียนรู้วิธีการดึงข้อมูลจาก PLC ผ่าน IoT Gateway และการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบพร้อมใช้งาน โมดูลที่สามคือวิธีการพัฒนาระบบสั่งการทำงาน PLC จากทางไกล โมดูลที่สี่คือการเรียนรู้วิธีการนำข้อมูลที่ได้จาก PLC มาใช้วางแผนการทำงานของสายการผลิต (Production Planning) โมดูลที่ห้าคือการนำข้อมูลที่ได้จาก PLC มาใช้ประเมินประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิต (Overall Equipment Effectiveness: OEE) และโมดูลสุดท้ายคือการนำข้อมูลที่ได้จาก PLC มาใช้วางแผนการซ่อมบำรุงเพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องจักร (Preventive Maintenance) และใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับให้ AI หรือ ML (Machine Learning) เรียนรู้ เพื่อทำนายความเสียหายที่จะเกิดขึ้นของเครื่องจักรนั้น ๆ (Predictive Maintenance) แบบจำเพาะ สำหรับวางแผนการซ่อมบำรุงรักษาล่วงหน้า “หนึ่งในจุดเด่นของชุดอุปกรณ์ I2-Starter Kit ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาระบบ IIoT คือ ซอฟต์แวร์ของ PLC ที่ติดตั้งอยู่บนชุดอุปกรณ์นี้ไม่ได้เป็นซอฟต์แวร์สำหรับประมวลผลเครื่องจักรแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเท่านั้น แต่ภายใน PLC มีข้อมูลจำลอง (Simulation Model) ของเครื่องจักรจากทุกแบรนด์ที่มีการใช้งานมากในประเทศไทยบรรจุไว้ เพื่อช่วยทลายกรอบการเรียนรู้ด้านระบบ IIoT เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้เรียนมักได้ศึกษาผ่านชุดอุปกรณ์ของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งที่สถาบันจัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น ซึ่งอุปกรณ์และซอฟต์แวร์เหล่านี้มักเป็นชุดสำเร็จรูปที่พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้เมื่อผู้เรียนต้องทำงานกับอุปกรณ์แบรนด์อื่น ๆ อาจไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ รวมถึงไม่สามารถเลือกนำอุปกรณ์จากต่างแบรนด์มาปรับใช้งานร่วมกันเพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการพัฒนาระบบ IIoT ให้แก่โรงงานด้วย”   เตรียมใช้ I2-Starter Kit ยกระดับการเรียนรู้เยาวชนไทยทั่วประเทศ นับตั้งแต่ปี 2564 สวทช. ได้ใช้ชุด I2-Starter Kit ทดลองจัดการเรียนการสอนด้านระบบ IIoT ให้แก่อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษารวมแล้วมากกว่า 700 คน โดยมีนักศึกษามากกว่าร้อยละ 70 ได้ทำงานต่อในสายงานนี้ภายหลังจบการศึกษา และมีบางส่วนเลือกศึกษาต่อเฉพาะทางด้านนี้ด้วย ปิยวัฒน์ อธิบายว่า สวทช. และ EECi ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนากำลังคน จึงได้จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบ IIoT ให้แก่อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษา โดยบรรจุไว้เป็นหลักสูตรนำร่องของสถาบันการศึกษาระดับอาชีวศึกษาในภาคตะวันออก และทดลองใช้สอนในหลายมหาวิทยาลัย อาทิ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เป็นเวลาต่อเนื่องมากว่า 3 ปีแล้ว และเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงไปสู่การใช้งานจริง ทีมงานผู้จัดอบรมจึงได้สร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยรับนักศึกษาที่ผ่านการอบรมเข้าฝึกงานในโรงงาน เพื่อประโยชน์ 2 ด้านหลัก ด้านแรกคือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียน นักศึกษาที่ไปฝึกงานตามโรงงานต่าง ๆ จะได้ฝึกประยุกต์ใช้งานระบบ IIoT จากโจทย์จริง เพื่อสั่งสมประสบการณ์และเพิ่มพูนทักษะ ส่วนด้านที่สองคือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการไทย ผู้ประกอบการจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี IIoT มากยิ่งขึ้น และเห็นถึงลู่ทางในการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมโดยไม่ต้องลงทุนสูง รวมทั้งยังเห็นถึงประโยชน์ของการก้าวกระโดดสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านตามลำดับจาก 2.0 (ใช้คนทำงานร่วมกับเครื่องจักร) ไป 3.0 (ใช้ระบบออโตเมติกในการทำงาน) แต่ก้าวกระโดดจาก 2.0 ไป 4.0 ได้เลย ซึ่งข้อดีสำคัญที่จะเกิดขึ้นทันทีหลังจากติดตั้งและมีการใช้งานระบบ IIoT อย่างเต็มระบบ คือ ‘การมีสายการผลิตที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการลดทอนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง’   [caption id="attachment_50944" align="aligncenter" width="700"] นำ I2-Starter Kit ไปใช้จัดการเรียนการสอนให้อาจารย์และนักศึกษา[/caption]   [caption id="attachment_50945" align="aligncenter" width="700"] นำ I2-Starter Kit ไปใช้จัดการเรียนการสอนให้อาจารย์และนักศึกษา[/caption]   “ล่าสุดช่วงปลายปี 2566 สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจลในการดำเนินโครงการต่อกล้าอาชีวะ เพื่อพัฒนาทักษะด้าน IIoT ให้แก่นักเรียนและนักศึกษาจากทั่วประเทศไทยเป็นเวลา 3 ปี โดยจะเริ่มดำเนินงานในปี 2567 นี้ นอกจากนี้ สวทช. ยังมีแผนประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาในการนำหลักสูตรการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอน และผลักดันให้มีการออกใบรับรองความรู้ความสามารถเพื่อใช้เป็นใบเบิกทางในการสมัครงานและการเพิ่มฐานเงินเดือนด้วย” ปิยวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย ปัจจุบันชุดอุปกรณ์ I2-Starter Kit ผ่านการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 1619 อีเมล tlo-ipb@nstda.or.th หรือทางเว็บไซต์  www.nstda.or.th/r/FTCFI อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษา ที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับระบบ IIoT แบบเชิงลึกติดตามการจัดฝึกอบรมได้ฟรีผ่าน YouTube channel ช่อง ‘Taekoyzkingz' ส่วนด้าน SI รวมถึง System Engineering ติดตามหลักสูตรเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 โดย SMC academy ได้ทาง www.nectec.or.th/smc/services-training/ ตัวอย่างหลักสูตรเด่น เช่น Automation & Robotics, IoT & Edge Computing, AI & Data Technology, Lean Management & Smart Manufacturing, OT/IT Security   [caption id="attachment_50942" align="aligncenter" width="703"] ภาพบรรยากาศการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่ SI และ System Engineer โดย SMC Academy[/caption]   [caption id="attachment_50946" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่ SI และ System Engineer โดย SMC Academy[/caption]   [caption id="attachment_50943" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่ SI และ System Engineer โดย SMC Academy)[/caption]   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช. ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“ศุภมาส” ห่วงใยเร่งช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้
ศุภมาส ห่วงใยพี่น้องชาวใต้ : (วันที่ 3 มกราคม 2567) ณ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับมอบ Magic Pants กางเกงแก้ว ช่วยกันน้ำและโรคที่มากับน้ำ จำนวน 2,500 ตัว จากศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทั้งนี้ผลงานดังกล่าวเป็นนวัตกรรมที่ผ่านการวิจัยจาก สวทช. ภายใต้กระทรวง อว. เพื่อนำมอบให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะ 3 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบอุทกภัยหนักที่สุดในรอบ 50 ปี ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ก็ยังอยู่ในช่วงฤดูมรสุม
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. รวมพลัง! ขับเคลื่อนงานวิจัย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สู่ความยั่งยืน
สวทช. แถลงผลงานประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สู่ความยั่งยืน” เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศตามนโยบาย “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นางสาวศุภมาส อิศรภักดี พร้อมเปิดแผน 11 BCG Implementation ในปี 2567 ที่มุ่งมั่นนำ “งานวิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” ไปเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืน
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
อว. โดย สวทช. ร่วมพันธมิตรจัดการประชุม China-ASEAN High Speed Railway Technical Development Forum
21 ธันวาคม 2566 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ : รศ.ดร.เติมศักดิ์  ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะผู้แทนผู้อำนวยการ สวทช.  เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม China-ASEAN High Speed Railway Technical Development Forum “Green, Intelligent and Win-Win-Jointly for ASEAN Railway Technology Development  จัดโดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) CRRC Qingdao Sifang และ สวทช. รศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีความร่วมมือด้านงานวิจัย และการทดสอบระบบรางผ่านโครงการจัดตั้ง China-Thailand Belt and Road Joint Laboratory on Rail Transit ร่วมกับ CRRC Qingdao Sifang และ วว. มาตั้งแต่ปี 2006  ภายใต้บันทึกความเข้าใจด้านระบบรางระหว่างกระทรวง อว. และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประเทศจีน  นอกเหนือจากกิจกรรมประชุมวิชาการแล้ว ในงานนี้ สวทช. ในฐานะคณะกรรมการมาตรฐานระบบรางนานาชาติ ISO/TC269 Railway Applications ได้จัดการประชุมหารือร่วมกันระหว่าง CRRC Qingdao Sifang  และ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านมาตรฐานระบบรางของไทย ภายในงาน ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. ได้บรรยายเรื่อง Lightweight Materials Research Trends for more Green Rail Transportation  โดยนำเสนอแนวทางงานวิจัยการพัฒนาวัสดุเบาของ สวทช. สำหรับการผลิตตู้โดยสารรถไฟ (Passenger car) และแคร่ล้อรถไฟ (Bogie) ส่งเสริมนโยบายการประกอบและการผลิตชิ้นส่วนรถไฟในไทย  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นาโนเทค สวทช. พัฒนา ‘ชุดตรวจโรคไตรู้ผลได้ใน 5 นาที’ มุ่งเพิ่มโอกาสคนไทยรอดพ้นจากโรคไตเรื้อรัง
เวอร์ชันภาษาไทย อัปเดตข้อมูล ณ​ วันที่ 12 มีนาคม 2568 For English-version news, please visit : NANOTEC-NSTDA introduces affordable kidney disease screening tests   องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เผย 1 ใน 10 ของประชากรทั่วโลกมีอาการไตทำงานผิดปกติ และมีผู้ป่วยประมาณ 1 ล้านคนที่เสียชีวิตจากอาการไตวายเรื้อรังเนื่องจากไม่ได้เข้ารับการรักษา ขณะที่ในประเทศไทยโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนประชากรเป็นโรคไตเรื้อรังสูงถึงร้อยละ 17-22 ในปี 2552 (ข้อมูลจาก Thai SEEK) และเพิ่มสูงถึงร้อยละ 26 ในบางพื้นที่ (ข้อมูลจาก CKDNET ในปี 2565) ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักทราบว่าตนเป็นโรคไตเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3-4 หรือระยะที่มีอาการป่วยปรากฏให้เห็นแล้ว ทำให้ไม่สามารถบำบัดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยการฟอกไตที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงปีละ 200,000 บาทต่อคนต่อปี     ด้วยอัตราการป่วยที่มีแนวโน้มสูงอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานทั้งด้านการวิจัย การแพทย์ และสาธารณสุขไทย จึงได้ร่วมกันหาแนวทางพัฒนาวิธีการตรวจคัดกรองโรคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองอย่างทั่วถึง ซึ่งจะช่วยป้องกันการลุกลามของโรคได้อย่างทันท่วงที ล่าสุด สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรพัฒนานวัตกรรมคัดกรองโรคไต ได้แก่ AL-Strip (อัล-สตริป) ชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพ สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถตรวจได้ง่ายด้วยตนเอง ทราบผลความเสี่ยงได้ภายใน 5 นาที และ GO-Sensor Albumin Test (โก-เซนเซอร์ อัลบูมิน เทสต์) ชุดตรวจโรคไตเชิงปริมาณ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ทราบผลตรวจได้ภายใน 10-30 นาที   2 เทคโนโลยีเพิ่มโอกาสคัดกรองโรค สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคไตได้ตั้งแต่ระยะต้นเกิดจาก ‘ค่าใช้จ่ายในการตรวจที่ค่อนข้างสูง’ ซึ่งมีตั้งแต่หลักร้อยถึงพันบาท ขึ้นอยู่กับความละเอียดในการตรวจ นอกจากนี้หน่วยงานด้านสาธารณสุขที่ให้บริการตรวจยังมีไม่เพียงพอ เพราะต้องเป็นสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือสถานพยาบาลที่พร้อมส่งต่อให้บริษัทเอกชนด้านเทคนิคการแพทย์ดำเนินการตรวจในห้องปฏิบัติการให้เท่านั้น ดังนั้นการมี ‘ชุดตรวจที่เข้าถึงง่าย’ จึงเป็นหนทางที่จะช่วยลดช่องโหว่ดังกล่าว และนั่นเป็นที่มาให้ทีมวิจัยจากนาโนเทค สวทช. เข้าร่วมภารกิจอันท้าทายนี้   [caption id="attachment_49395" align="aligncenter" width="450"] ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานนวัตกรรมชุดตรวจรวดเร็ว และ Strategic Focus ชุดตรวจสุขภาวะ นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานนวัตกรรมชุดตรวจรวดเร็ว และ Strategic Focus ชุดตรวจสุขภาวะ นาโนเทค สวทช. เล่าว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาวัสดุระดับนาโนและการประยุกต์ใช้เป็นเซนเซอร์ทางด้านการแพทย์ มาพัฒนาชุดตรวจโรคไตสำเร็จแล้ว 2 เทคโนโลยี ประกอบด้วย ‘AL-Strip’ และ ‘GO-Sensor Albumin Test’ โดยเทคโนโลยีแรก ‘AL-Strip’ ซึ่งผู้พัฒนาหลักคือ ดร.สาธิตา ตปนียกร เป็นชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพที่ประชาชนทั่วไปใช้ตรวจคัดกรองโรคได้ด้วยตัวเอง ทราบผลการตรวจได้ภายใน 5 นาที ที่สำคัญชุดตรวจมีราคาจับต้องได้   [caption id="attachment_66675" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบชุดตรวจ AL-Strip[/caption] [caption id="attachment_66677" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบชุดตรวจ AL-Strip[/caption]   “AL-Strip ใช้งานง่าย เพียงผู้ตรวจหยดปัสสาวะที่เก็บใหม่ลงบนแถบตรวจ แล้วอ่านผลจากแถบสีที่ปรากฏ (คล้ายกับการใช้ชุดตรวจ ATK ในการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19) ก็จะทราบผลการคัดกรองได้ทันที โดยหากผู้ตรวจมีปริมาณอัลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นสารประกอบหลักของเลือดเจือปนอยู่ในปัสสาวะเกิน 20 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ชุดตรวจจะขึ้นแถบสี 1 ขีด หมายถึง ‘มีความเสี่ยงเป็นโรคไตสูง’ ผู้ตรวจควรเข้ารับการตรวจโดยละเอียดที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยความผิดปกติของร่างกาย และเข้ารับการรักษาตามระยะของความผิดปกติ หากผู้ป่วยตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มต้น ก็จะมีโอกาสหันกลับมาดูแลตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อชะลอความเสื่อมของไต ซึ่งอาจทำให้ไตกลับมาทำงานเป็นปกติได้”     AL-Strip ไม่เพียง ‘ตรวจง่าย’ แต่ยังมีจุดแข็งเรื่อง ‘ราคาที่จับต้องได้’ ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. จึงมุ่งเป้าให้ชุดตรวจนี้เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญด้านการคัดกรองโรคไตแบบเชิงรุกเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย ดร.เดือนเพ็ญ เล่าต่อถึงเทคโนโลยีที่สอง GO-Sensor Albumin Test ว่า เป็น ‘ชุดตรวจโรคไตเชิงปริมาณ เพื่อการวิเคราะห์ผลทางการแพทย์’ โดยทีมวิจัยได้พัฒนาใน 2 ส่วนหลัก คือ เครื่องตรวจปริมาณอัลบูมินที่เจือปนอยู่ในปัสสาวะ ที่ใช้เวลาในการประมวลผลเพียง 10-30 นาที ขึ้นอยู่กับความละเอียดของข้อมูลที่ต้องการ (ตรวจได้ครั้งละ 1 ตัวอย่าง) ภายหลังจากเครื่องประมวลผลเสร็จ ระบบจะส่งข้อมูลเข้าสู่แดชบอร์ด (dashboard) ที่ดูได้ผ่านทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน เพื่อให้แพทย์นำผลการตรวจไปใช้งานต่อได้สะดวก ส่วนที่สองคือน้ำยาตรวจที่มีความจำเพาะกับอัลบูมินของมนุษย์ มีความไว (sensitive) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจทั่วไปประมาณ 100 เท่า ช่วยลดปริมาณน้ำยาที่ใช้ในการตรวจได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญทั้งเครื่องอ่านผลและน้ำยาตรวจผ่านการพัฒนาให้มีราคาที่สถานพยาบาลขนาดเล็กสามารถสั่งซื้อเพื่อใช้งานได้ นอกจากนี้อุปกรณ์ยังผ่านการออกแบบให้เหมาะแก่การใช้ตรวจทั้งในสถานพยาบาลและการออกตรวจนอกสถานที่ เพื่อช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานด้วย   [caption id="attachment_66678" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบชุดตรวจ GO-Sensor Albumin Test[/caption]   “GO-Sensor Albumin Test จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ทุกสถานพยาบาลเข้าถึงอุปกรณ์การตรวจเชิงปริมาณเพื่อการดูแลรักษาคนไข้ในพื้นที่ โดยไม่ต้องส่งตัวคนไข้หรือส่งปัสสาวะ (ภายใต้การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมและนำเข้ากระบวนการตรวจภายใน 24 ชั่วโมง) ไปตรวจยังสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมสูง”       เตรียมผลักดันสู่ภาครัฐ มุ่งประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง ทั้ง AL-Strip และ GO-Sensor Albumin Test มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีในระดับ TRL7-9 หรือพร้อมแก่การผลิตเพื่อการใช้งานจริงแล้ว โดยตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน นาโนเทค สวทช. ได้ผลิตอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ ‘โครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (CKDNET)’ มาโดยตลอด โดยโครงการนี้มีผู้ดำเนินงานหลัก คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 7 ทั้งนี้นาโนเทค สวทช.ได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนในการผลิตอุปกรณ์จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)  ปัจจุบัน AL-Strip ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทยแล้ว 3 เจ้า คือ บริษัทอินโนซุส จำกัด, บริษัทเมดไบโอซิน จำกัด และบริษัทไฮไลฟ์ เฮลท์ จำกัด     ดร.เดือนเพ็ญ เล่าว่า 2 ปีที่ผ่านมา นาโนเทค สวทช. ได้สนับสนุนอุปกรณ์ ‘AL-Strip’ และ ‘GO-Sensor Albumin Test’ สำหรับให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ตรวจคัดกรองโรคไตแก่ประชาชนในจังหวัดขอนแก่นมาโดยตลอด มีผู้เข้ารับการตรวจแล้วมากกว่า 1,000 คน ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีอัตราการเป็นโรคไตสูงได้ทราบถึงความเสี่ยงในการเป็นโรคหรือความผิดปกติของร่างกายตนเองตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที สร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมรวม 7.87 ล้านบาท “ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในระดับประเทศ ปัจจุบันนาโนเทค สวทช. กำลังสรรหาบริษัทเอกชนที่สนใจเข้ารับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ รวมถึงมีนโยบายที่จะผลักดันให้เกิดการนำผลงานทั้ง 2 เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมไทย โดยปัจจุบัน ทีมวิจัยได้ช่วยผลักดันให้ 1 ใน 2 ผลงานนี้เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมไทยสำเร็จแล้ว ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกส่งเสริมให้สถานพยาบาลจัดซื้อนวัตกรรมทางการแพทย์ที่คนไทยผลิตไปใช้ประโยชน์ อีกทั้งอาจเป็นช่องทางให้ภาครัฐสนับสนุนให้คนไทยทั้งประเทศเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคด้วยตัวเองอย่างเท่าเทียม ผ่านการติดต่อรับชุดอุปกรณ์ที่ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ ดังที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำลังขับเคลื่อนงานด้วย” อย่างไรก็ดีหากพิจารณาถึงความพร้อมทางด้านการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ในประเทศไทย จะเห็นว่าปัจจุบันนอกจากนาโนเทค สวทช. ที่มีห้องปฏิบัติการที่สามารถผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์มาตรฐาน ISO13485 เป็นของตนเองแล้ว ยังมีโรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ได้มาตรฐาน ISO13485 ที่พร้อมรับจ้างผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ประเภทนี้เช่นกัน ดังนั้นหากผู้ประกอบการพร้อม ภาครัฐพร้อม การเดินหน้าผลิตอุปกรณ์เพื่อให้คนไทยทั่วประเทศเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคไตเป็นเรื่องที่ทำได้ทันที ดร.เดือนเพ็ญ กล่าวเสริมทิ้งท้ายว่า ในการพัฒนาชุดตรวจทางการแพทย์ ทีมวิจัยไม่ได้ให้ความสำคัญแต่เฉพาะเพียงเรื่องโรคไตเท่านั้น แต่ยังมองถึงภาพรวมของการสร้างระบบนิเวศในการวิจัยและพัฒนาชุดตรวจโรคที่คนไทยรวมถึงคนทั่วโลกมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะโรคในกลุ่ม NCDs ด้วย ตัวอย่างโรคที่มีการพัฒนาชุดตรวจแล้ว เช่น โรคเบาหวาน ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นการสร้างความมั่นคงด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของการขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ (medical hub) ของเอเชียได้อย่างมั่นคง สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัย ติดต่อสอบถามได้ที่ นาโนเทค สวทช. ทางอีเมล pr@nanotec.or.th   ผู้สนับสนุนหลักในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงขับเคลื่อนสู่การใช้ประโยชน์จริง   - คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้การสนับสนุนด้านการทดสอบทางคลินิก - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้คำปรึกษาด้านการขอมาตรฐานในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ - สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 7 ให้การสนับสนุนผ่านการร่วมลงนาม MOU กับ สวทช. และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการผลักดันให้เกิดการใช้ชุดตรวจในพื้นที่ต้นแบบ - โครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้การสนับสนุนด้านการทดสอบภาคสนามและการนำไปใช้ประโยชน์ - สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและนำชุดตรวจไปใช้ประโยชน์ - สถาบันพระบรมราชชนก โดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี ให้การสนับสนุนด้านการผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์ผ่านโครงการปิงปองจราจร 7 สี ซึ่งดำเนินงานด้านการคัดกรองและติดตามผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรค NCDs   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
อว. โดย สวทช. เผยปี 66 ‘งานวิจัย รับใช้สังคม’ ถึงมือผู้ใช้หลักล้านคน ปักธง ปี 67 ขับเคลื่อนงานวิจัย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สู่ความยั่งยืน
(วันที่ 25 ธันวาคม 2566) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและนักวิจัย แถลงข่าวสรุปผลงาน สวทช. ประจำปี 2566 “สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สู่ความยั่งยืน” พร้อมเปิดนโยบาย 11 BCG Implementation ปี 2567 เพื่อแสดงความมุ่งมั่นขององค์กรวิจัยระดับชาติในการพัฒนาประเทศตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนภาคส่วนต่าง ๆ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน   ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. แถลงว่า สวทช. ในยุค 6.0 ได้ประกาศวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการพัฒนาระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้เข้มแข็ง ตามนโยบายที่ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบไว้คือ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน”  ทั้งนี้ สวทช. ได้ระดมบุคลากรจากหลายส่วนงานมาร่วมขับเคลื่อนและผลักดันยุทธศาสตร์ NSTDA Core Business สร้างพลังวิจัยรับใช้สังคม โดยเพิ่มบทบาทการทำงานเชิงรุกผลักดันงานวิจัยให้เข้าถึงประชาชนและใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ช่วยลดช่องว่างปัญหาคอขวดของงานวิจัย ให้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ชัดในสังคมมากขึ้นและยังได้รับการตอบรับจากประชาชนผู้ใช้งานจริงหลักล้านคนในหลายภาคส่วน @พลังวิจัยรับใช้สังคม ลดช่องว่าง ประชาชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จริง “ตัวอย่างผลงานในปี 2566 ที่ประชาชนและผู้ให้บริการจากหน่วยงานภาครัฐ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากพัฒนาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย สวทช. และถูกนำไปใช้จริงในหน่วยบริการขนาดใหญ่ของภาครัฐเพื่อให้บริการภาคประชาชน 2 ด้าน สำคัญ ได้แก่ 1.Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมและผู้ให้บริการมีระบบการติดตามแก้ปัญหาที่รวดเร็วขึ้น ผ่านช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ (LINE @TraffyFondue) จากการใช้บริการแพลตฟอร์ม Traffy Fondue มีผู้ร้องเรียนผ่าน Traffy Fondue กว่า 5 แสนครั้ง สถิติการใช้งานทั่วประเทศพบว่าประชาชนใช้บริการร้องเรียนทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง แบ่งเป็นในเวลาราชการ ร้อยละ45 และนอกเวลาราชการ ร้อยละ 55 เจ้าหน้าที่รับเรื่องเร็วขึ้น 1.8 เท่า (จาก 1.1 วัน เหลือ 0.6 วัน) เวลาแก้ไขเร็วขึ้น 4 เท่า (จาก16วัน เหลือ 4 วัน) โดยปัจจุบันขยายผลไปยังหน่วยงานต่าง ๆ มากถึง 11,808 หน่วยงาน เจ้าหน้าที่ใช้งาน 54,768 คน ขยายผลการใช้งานไปใน 53 จังหวัดทั่วประเทศ โดยในจำนวนนี้มี 17 จังหวัดที่ใช้งานทุกส่วนราชการ และ 2. A-MED Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มที่ถูกพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาการบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุข A-MED Care Pharma เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขขั้นปฐมภูมิผ่านร้านยา โดยเป็นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สภาเภสัชกรรม และร้านยาคุณภาพ ได้ใช้ประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีของทีมวิจัย สวทช. ไปช่วยทำให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common Illness) ใน 16 อาการ สามารถรับยาฟรีผ่านการดูแลโดยเภสัชกรที่ร้านยาคุณภาพใกล้บ้านได้ทันที ช่วยประหยัดเวลาการเดินทางของผู้ใช้บริการ ที่สำคัญสามารถลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดภาระงานของแพทย์ในการตรวจคนไข้ในแต่ละวันได้ ทั้งนี้ผลจากการที่ร้านยาคุณภาพใช้ระบบ A-MED Care Pharma ของ สวทช. ไปสนับสนุนการบริการประชาชนในโครงการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการ ณ ร้านยาคุณภาพที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 1,600 แห่ง รวมบริการมากถึง 1.1 ล้านครั้งแล้ว นอกจากนี้ สวทช. ยังมีอีก 2 ด้านที่เกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ FoodSERP แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน ในรูปแบบ One stop service ที่ครอบคลุมด้านพัฒนากระบวนการผลิตและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารฟังก์ชัน เวชสำอาง และสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredients) วิเคราะห์ทดสอบด้านประสิทธิภาพ คุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ซึ่งให้บริการแก่ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ รวม 106 ราย สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรมได้มากถึง 18 ผลงาน และ Industry 4.0 Platform แพลตฟอร์มให้บริการ Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร ที่รวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับภาคอุตสาหกรรม ช่วยให้ผู้ประกอบการไทย สามารถดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนและของเสีย ลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถให้บริการแก่โรงงานกว่า 100 โรงงาน ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ออกมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยใช้ผลการประเมิน Thailand i4.0 Index เป็นเกณฑ์การพิจารณา ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถนำเงินลงทุน 100% ไปหักจากภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นเวลา 3 ปีได้อีกด้วย ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ตลอดปี 2566 สวทช. สามารถผลิตผลงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ภาครัฐ เอกชน และประชาชน นำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม มูลค่า 46,000 ล้านบาท เกิดการลงทุนทางด้าน วทน. มูลค่า 15,000 ล้านบาท ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยให้บริการวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ และให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยีมากกว่า 83,000 รายการ ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม สวทช. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาคเอกชนและอุตสาหกรรมนำไปสู่การใช้งานจริงเชิงพาณิชย์ ด้านการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและชุมชนให้เข้มแข็ง สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกรทั่วประเทศ 14,200 คน  สำหรับการพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัยให้แก่ประเทศ โดยสนับสนุนบัณฑิตและนักวิจัยอาชีพ ผ่านการให้ทุน รวม 713 คน และส่งเสริมการเรียนรู้ด้าน วทน. ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ และค่ายวิทยาศาสตร์ โดยมีเยาวชนและครูเข้าร่วม 10,264 คน @ชูวิจัยเด่นปี 66 ด้านเกษตรแม่นยำ-ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ นอกจากนี้ สวทช. ได้นำตัวอย่างผลงานวิจัยเด่นจาก 5 ศูนย์เทคโนโลยีแห่งชาติ มาร่วมจัดแสดง อาทิ  ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร (ผลงานโดยไบโอเทค) ประกอบด้วย ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช และชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืช ชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช นอกจากนี้ทีมยังได้พัฒนา SOP คู่มือการจัดการศัตรูพืชด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจรสำหรับทุเรียนและถั่วฝักยาว เพื่อเป็นตัวช่วยให้เกษตรกรดูแลรักษาจัดการแปลงเกษตรกรรมของตน รวมถึงส่งเสริมให้ใช้ชีวภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และได้ดำเนินการเผยแพร่ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของทีมวิจัยและพันธมิตร รวมไปถึงได้นำไปใช้เป็นสื่อเรียนรู้ในการจัดอบรมให้แก่เกษตรกรกว่า 150 ราย  ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ HandySense (ผลงานโดยเนคเทค) เทคโนโลยีเซนเซอร์และระบบควบคุมอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแปลงเพาะปลูก ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างน้อย 20% ปัจจุบันมีศูนย์ต้นแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์มมากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ และประกาศเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์ ชุดตรวจวัดโลหะหนักในพืชสมุนไพรและน้ำ หรือ M Sense (ผลงานโดยนาโนเทค) สำหรับวิเคราะห์สารปนเปื้อนในรูปแบบต่างๆ นำร่องตรวจวัดไอออนแมงกานีส (Mn Sense) ฟลูออไรด์ (F Sense) และทองแดง (Cu Sense)  มุ่งเน้นการใช้งานภาคสนาม มีความไวและความจำเพาะสูง ใช้งานง่าย ต้นทุนต่ำ สามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม บอกผลการวิเคราะห์ได้ทั้งเชิงคุณภาพด้วยการเปรียบเทียบแถบสี และบอกผลเชิงปริมาณโดยใช้ร่วมกับเครื่องอ่านสีแบบพกพา DuoEye Reader มีความถูกต้องแม่นยำสอดคล้องกับวิธีมาตรฐานในห้องปฏิบัติการ ราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับชุดตรวจที่นำเข้าจากต่างประเทศ “EnPAT” น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากปาล์มน้ำมันไทย  (ผลงานโดยเอ็นเทค) ช่วยป้องกันไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ยกระดับความปลอดภัยของประชาชน  พร้อมเปิดโอกาสสู่เศรษฐกิจโอเลโอเคมีมูลค่าสูง และ “Rachel” ชุดบอดี้สูทช่วยในการเคลื่อนไหวสำหรับผู้สูงอายุ (ผลงานโดยเอ็มเทค) ใช้สวมใส่ตลอดวัน ช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากกิจวัตรประจำวัน ที่เป็นการพัฒนาที่ผสมผสานองค์ความรู้สหวิทยาการ ได้แก่ ด้านวัสดุศาสตร์ (กล้ามเนื้อจำลอง) ชีวกลศาสตร์-กายวิภาคศาสตร์ (การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อและกระดูก) และแฟชั่นดีไซน์ (สวมและใส่สบาย) ที่เตรียมขยายผลการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยผู้ผลิตเสื้อผ้าชั้นนำภายในประเทศ นอกจากนี้ สวทช. ยังมีส่วนร่วมขับเคลื่อนแผนปัญญาประดิษฐ์ระดับประเทศ โดยทันทีที่มีแผนปฏิบัติการ AI ประเทศไทยขยับอันดับขึ้นจาก 59 เป็น 31 จากการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล  อีกทั้งร่วมขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ระดับประเทศและจังหวัดนำร่อง มีจำนวนผู้ที่ได้รับการพัฒนาทักษะ BCG สะสม ปี 2564 - 2565 รวมกันกว่า 6 แสนคน และมีสัดส่วนของเศรษฐกิจ BCG สูงขึ้นในจังหวัดนำร่อง เช่น จันทบุรีและราชบุรี @ปักธง ปี 67 รวมพลังวิจัย สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สู่ความยั่งยืน ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2567 สวทช. ยังคงมุ่งมั่นนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ขยายผลงานวิจัยไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ตามนโยบายที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศุภมาส อิศรภักดี ได้เน้นย้ำให้เร่งผลักดันงานวิจัยเข้าถึงประชาชนและสนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชนอย่างเต็มกำลัง โดยปักธง รวมพลัง สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย 11 BCG Implementation ด้วยกลยุทธ์ “1 ลด - 2 เพิ่ม - 1 สร้าง” ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างยั่งยืน  “1 ลด” คือ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ประกอบด้วย 3 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.ทุ่งกุลาร้องไห้ เกษตรกร/ผู้มีรายได้น้อยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี สินค้าเกษตรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ได้รับการยกระดับด้วย วทน. 2.Traffy Fondue บริหารจัดการปัญหาเมือง เชื่อมโยงประชาชนเข้ากับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ และ 3.Platform การสื่อสารของผู้พิการ & ผู้สูงอายุ เป็นแพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่ออ่านง่ายสำหรับบุคคลที่บกพร่องทางการรับรู้ “2 เพิ่ม” คือ เพิ่มอัตราการเติบโตทางศรษฐกิจ ประกอบด้วย 2 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.สารสกัดมูลค่าสูง กะเพรา กระชายดำ ใบบัวบก โดยพัฒนากระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐาน ระดับอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์อาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ 2. แพลตฟอร์มการผลิตอาหารฟังก์ชัน และ Functional Ingredients เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน อาหารเฉพาะทาง และอาหารอนาคต รวมถึงร่วมสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรม Functional ingredients ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอางของประเทศ และ เพิ่มการพึ่งพาตนเอง ประกอบด้วย 4 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.Digital healthcare ขยายผลแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิและระบบเบิกจ่าย / การเบิกจ่าย / การบริการการแพทย์ฉุกเฉิน / บริการ ข้อมูลและเฝ้าระวังโรค / ล่ามภาษามือทางไกลสำหรับการแพทย์ 2.วัคซีนสัตว์ ทดสอบประสิทธิภาพต้นแบบวัคซีนออโตจีนัส ASFV เชื้อตายพัฒนากระบวนการผลิตวัคซีนASFV สู่การผลิตในประเทศ 3.ชุดตรวจโรคไตและเบาหวาน พัฒนาชุดตรวจติดตามโรคไตและเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. และเข้าระบบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และ 4.National AI Ecosystem พัฒนาระบบนิเวศส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม และ “1 สร้าง” คือ สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 2 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.ตัวชี้วัดและฐานข้อมูล CO2 , CE, SDGs พัฒนาตัวชี้วัดสำคัญเพื่อสนับสนุนแนวทาง SDGs ปรับปรุงฐานข้อมูลวัฎจักรชีวิตระดับประเทศ รวมถึงตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน และ 2. Industry 4.0 Platform สนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน โดยมุ่งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร ลดการปลดปล่อยของเสีย และการปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียว
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอ็นเทค สวทช. ร่วมมือ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ สตาเลี่ยน และสวอพ แอนด์ โก Kick-off โครงการ Replication Battery-Swapping Electric Motorcycle Taxis in Samyan District of Bangkok รถจักรยานยนต์รับจ้างพลังงานไฟฟ้าสู่สังคมที่ยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ณ ลานกิจกรรม อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริษัท เอสทีแอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จํากัด (สตาเลียน) และ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จํากัด (Swap & Go) ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุน SOLUTIONSPlus (https://solutionsplus.eu/) ผ่านหน่วยงาน Urban Electric Mobility Initiative (UEMI) จัดกิจกรรม Kick-off โครงการ Replication Battery-Swapping Electric Motorcycle Taxis in Samyan District of Bangkok รถจักรยานยนต์รับจ้างพลังงานไฟฟ้าสู่สังคมที่ยั่งยืน (Electric Mobility Two-Wheelers Toward Sustainable Society) สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยียานยนต์ไ์ฟฟ้า ส่งเสริมการใช้งานรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ลดมลภาวะทางเสียง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) กล่าวว่า ในสถานการณ์วิกฤตมลภาวะทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และวิกฤตความแปรปรวนของภูมิอากาศจากปัญหาโลกร้อน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุน SOLUTIONSPlus (https://solutionsplus.eu/) ผ่านหน่วยงาน Urban Electric Mobility Initiative (UEMI) ในความร่วมมือกับ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริษัท เอสทีแอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (สตาเลียน) และบริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด (Swap & Go) ได้ส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสู่กลุ่มผู้ขับขี่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะในเขตพื้นที่สามย่าน หนึ่งในพื้นที่การจราจรคับคั่งของกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการปรับเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลสู่การใช้ระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า รศ.ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นอกจากปัจจัยทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม การจะผลักดันให้ผู้ขับขี่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างหันมาใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงสถานะทางการเงินของผู้ขับขี่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างด้วย โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีค่าครองชีพสูงจำเป็นที่จะต้องผลักดันให้เข้ากับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันรวมทั้งตัวรถจักรยานยนต์ที่เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพที่อาจกระทบกับเสถียรภาพทางการเงิน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่โครงการนี้จะได้ทำการศึกษาทางออกในการลดมูลค่าการถือครองรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้เทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายทางด้านเชื้อเพลิง ที่จะสามารถทำลายอุปสรรคทางการเงินและอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนไปใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น เป็นการผลักดันเพื่อหวังผลการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับความเป็นจริงทางเศรษฐศาสตร์ของผู้ขับขี่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ คุณอรรคณัฐ วันทนะสมบัติ นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียศึกษา กล่าวว่า ปัจจัยที่จะผลักดันให้พี่วิน หันมาใช้รถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้าแทนรถจักรยานยนต์น้ำมันทั่วไป มีมากกว่าการสนับสนุนด้านราคาและไฟแนนซ์ พบว่าพี่วินยังมีความกังวลด้านค่าใช้จ่าย  สมรรถนะของตัวรถ และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนมาใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จึงมีจำเป็นที่จะต้องพัฒนาทั้งระบบนิเวศให้เหมาะสมและสอดคล้องกัน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิ เรื่องมาตรฐานแบตเตอรี่ที่ควรมีมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ ความแพร่หลายและจำนวนสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ บริษัทไฟแนนซ์ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มาตรฐานของรถที่จะนำมาใช้รับส่งผู้โดยสาร ทั้งนี้สำหรับพี่วินปัญหาสภาพเศรษฐกิจในเขตเมืองเป็นประเด็นสำคัญเฉพาะหน้า พี่วินส่วนใหญ่จึงคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพเป็นประเด็นสำคัญมากกว่ากว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งในโครงการนี้เราจะได้ศึกษาแง่มุมเชิงสังคมควบคู่ไปกับเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เพื่อหาข้อเสนอที่เหมาะสมที่สุดในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ให้พี่วินที่มีอยู่ใน กทม. และ ปริมณฑล กว่า 80,000 คัน พิจารณาเปลี่ยนมาใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า คุณอารีรัตน์ ศรีประทาย ประธานกรรมการผู้บริหาร บริษัท เดอะ สตาเลียน จำกัด (ผู้แทนในนาม บริษัท เอสทีแอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด) กล่าวเสริมว่า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยียานยนต์สะอาดที่ปล่อยมลพิษที่ปลายท่อเป็นศูนย์ สามารถแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศและวิกฤตภาวะโลกร้อนได้ แต่ด้วยมูลค่าชิ้นส่วนสำคัญโดยเฉพาะชิ้นส่วนแบตเตอรี่ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ทำให้มูลค่าการถือครองอยู่ในระดับที่สูงกว่ารถจักรยานยนต์น้ำมันทั่วไป ในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่โครงการได้มีการสนับสนุนเพิ่มเติมการสนับสนุนของรัฐบาล บริษัทจึงขอมีส่วนร่วมด้วยการนำเสนอรุ่นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้ผ่านการทดสอบในโครงการก่อนหน้าร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ TAILG ซึ่งเป็นแบรนด์อันดับ 3 ของประเทศจีนรวมถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมทั้งโปรแกรมการให้บริการชิ้นส่วนและการบำรุงรักษาหลังการขายเพื่อให้แน่ใจว่าการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะประสบความสำเร็จได้ตลอดโครงการ คุณอาวีมาศ สิริแสงทักษิณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด กล่าวเสริมว่า Swap & Go เป็นแพลตฟอร์มผู้ให้บริการสลับแบตเตอรี่สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เน้นการสร้างเครือข่ายเพื่อเติมเต็ม EV Ecosystem หรือเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดการใช้งานรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้สะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ได้พัฒนาแบตเตอรี่ให้สามารถใช้ได้กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายแบรนด์ หรือ Universal Swapping ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตไทย โดยในโครงการนี้ Swap & Go นำเสนอแพคเกจการสลับเปลี่ยนแบตเตอรี่ในราคาพิเศษ โดยพี่วินผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะสามารถสลับแบตเตอรี่ได้ที่สถานีสลับแบตเตอรี่ที่กระจายครอบคลุมในพื้นที่เป้าหมายของโครงการในปัจจุบัน และอยู่ระหว่างการขยายสถานีให้บริการเพิ่มเติมเพื่อให้พี่วินเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สามารถให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสารได้ไกลออกไปมากขึ้นอย่างไร้รอยต่อในอนาคต Ms. Yeonju Jeong ผู้แทนกองทุน SOLUTIONSPlus กล่าวว่า โครงการนี้ได้ตั้งเป้าสนับสนุนราคารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจากการสนับสนุนของภาครัฐ มีเป้าหมายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างจำนวน 30 คัน จะเป็นการนำร่องใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในใจกลางย่านเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ซึ่งตรงกับเป้าหมายของหน่วยงาน Urban Electric Mobility Initiative (UEMI) ที่ต้องการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีมลพิษทางอากาศหนาแน่น รวมทั้งมลภาวะทางเสียงจากเครื่องยนต์ ส่งเสริมให้คนเมืองหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพดีกว่า ด้วยตัวเลือกการเดินทาง First mile และ Last mile เพื่อให้พลเมืองมีระดับคุณภาพชีวิตดีขึ้น พร้อมทั้งลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ และมลภาวะทางเสียง
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’ แชตบอตวินิจฉัยโรค ใช้งานง่าย รู้ผลทันที
For English-version news, please visit : Strawberry Disease Bot: Chatbot for strawberry disease identification   ‘สตรอว์เบอร์รี’ เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจของไทยที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรภาคเหนือมหาศาล ทั้งด้านการจำหน่ายผลสดและสินค้าแปรรูป รวมไปถึงการสร้างรายได้ผ่านการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมพื้นที่สวนและเลือกเก็บผลสตรอว์เบอร์รีสดกลับไปรับประทาน อย่างไรก็ตามหนึ่งในความเสี่ยงสูงที่เกษตรกรต้องเผชิญในการทำธุรกิจเป็นประจำทุกปี คือ การที่ต้นสตรอว์เบอร์รีติดโรค ซึ่งบางโรคมีความร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียผลผลิตยกแปลง หากไม่ได้รับการดูแลตั้งแต่เริ่มต้น     กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวง พัฒนา ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี (strawberry disease bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคสตรอว์เบอร์รีผ่านภาพถ่าย เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมและทันท่วงที   [caption id="attachment_50501" align="aligncenter" width="700"] นายวศิน สินธุภิญโญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) เนคเทค สวทช.[/caption]   นายวศิน สินธุภิญโญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) เนคเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการพัฒนาบอทโรคสตรอว์เบอร์รี มาจากการร่วมกับทีมวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พัฒนา ‘บอทโรคข้าว (rice disease bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคข้าวผ่านภาพถ่ายจนประสบความสำเร็จ ซึ่งภายหลังจากทางมูลนิธิโครงการหลวงที่ทำหน้าที่ดูแลให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในภาคเหนือด้านการเพาะปลูกพืชเมืองหนาวได้ทราบถึงข่าวผลงานวิจัยนี้ จึงติดต่อมาที่เนคเทค สวทช. เพื่อดำเนินงานความร่วมมือวิจัยและพัฒนาแชตบอตวินิจฉัยโรคพืชเมืองหนาว เพื่อให้เกษตรในภาคเหนือได้เข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำการเกษตร “ภายหลังจากร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมทั้งด้านการเป็นพืชเศรษฐกิจ และการมีฐานข้อมูลเพียงพอต่อการเริ่มต้นพัฒนาระบบวินิจฉัยโรคด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ทีมวิจัยและมูลนิธิโครงการหลวงจึงตัดสินใจเลือกสตรอว์เบอร์รีซึ่งเป็นพืชที่ค่อนข้างมีความพร้อมสูงมาพัฒนาระบบวินิจฉัยโรคแบบอัตโนมัติเป็นชนิดแรก โดยปัจจุบันได้มีการพัฒนาจนพร้อมให้เกษตรกรเข้าร่วมทดลองใช้ เพื่อช่วยกันยกระดับประสิทธิภาพในการวิเคราะห์โรคแล้ว”   [caption id="attachment_50494" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยจากเนคเทค สวทช. นายสัณหรัฐฐ์ สวัสดิยากร (ซ้าย) นางสาวกรรณทิพย์ กิรติรัตนพฤกษ์ (ขวา)[/caption] บอทโรคสตรอว์เบอร์รีผ่านการออกแบบให้เกษตรกรใช้งานง่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ (LINE) เพียงถ่ายภาพรอยโรคที่เกิดขึ้นบนต้นสตรอว์เบอร์รีแล้วส่งภาพเข้าสู่หน้าแชต ระบบจะดึงภาพไปยังคลาวด์ และส่งให้ AI วิเคราะห์โรคด้วยเทคนิคเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) เมื่อได้ผลแล้วระบบจะส่งผลการวิเคราะห์พร้อมคำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมกลับมาให้เกษตรกรทราบภายใน 3-5 วินาที   [caption id="attachment_50502" align="aligncenter" width="450"] ภาพตัวอย่างการใช้งานแชตบอต[/caption]   นายวศินเล่าถึงเทคโนโลยีว่า แชตบอตสามารถวินิจฉัยโรคเด่นที่พบในการเพาะปลูกสตรอว์เบอร์รีในประเทศไทยได้แล้ว 5 โรค ประกอบด้วย โรคแอนแทร็กซ์โนส (วินิจฉัยรอยโรคได้ทั้งที่เกิดบนไหล ใบ และผล) โรคใบไหม้ โรคราสีเทา โรคราแป้ง และโรคใบจุดสีน้ำตาล โดยปัจจุบันระบบมีความแม่นยำในการวิเคราะห์ผลอยู่ที่ร้อยละ 60-70 ทั้งนี้จะมีความแม่นยำเพิ่มขึ้นตามปริมาณฐานข้อมูลที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม ซึ่งจะมาจากการที่เกษตรกรช่วยกันทดสอบใช้งานระบบ “อย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้ความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคจะยังไม่สูงมากนัก แต่เกษตรกรสามารถใช้งานแชตบอตได้แล้ว เพราะภายในกลุ่มจะมีเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิโครงการหลวงช่วยตรวจสอบความถูกต้องให้อีกครั้งหนึ่งด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิโครงการหลวงได้ให้คำแนะนำการใช้งานไว้ว่า ‘หากเริ่มพบความผิดปกติของโรคภายในพื้นที่เพาะปลูกควรรีบถ่ายภาพและส่งข้อมูลให้ระบบช่วยวินิจฉัยโรคทันที เพื่อรับมือกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดการใช้สารเคมีควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพด้วย’ สำหรับในมุมของการพัฒนาระบบ ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือจากเกษตรกรจัดส่งภาพรอยโรคเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ทีมงานได้นำไปใช้พัฒนาระบบให้ทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจน ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’ เหมาะที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือเกษตรกรด้านการเพาะปลูกต่อไปในระยะยาว” นายวศินกล่าวทิ้งท้าย   [caption id="attachment_50603" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศการสำรวจรอยโรคที่ปรากฏบนต้นสตรอว์เบอร์รีเพื่อใช้ทำฐานข้อมูลให้ AI เรียนรู้[/caption]   [caption id="attachment_50604" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศการถ่ายทอดองค์ความรู้ ชวนเกษตรกรมาใช้งาน ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’[/caption]   [caption id="attachment_50605" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศการถ่ายทอดองค์ความรู้ ชวนเกษตรกรมาใช้งาน ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’[/caption]   บอทโรคสตรอว์เบอร์รีเป็นหนึ่งในตัวอย่างการยกระดับการทำการเกษตรของประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สนับสนุนให้เกิดการทำเกษตรแบบสมัยใหม่เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำงาน สอดคล้องกับการเติบโตตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งให้คนไทย ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ ปัจจุบันบอทโรคสตรอว์เบอร์รีเปิดให้ใช้งานแล้ว ผู้ที่สนใจใช้บริการเข้าร่วมกลุ่มแชตบอตได้ผ่านการสแกน QR Code นี้   [caption id="attachment_50497" align="aligncenter" width="230"] สแกนเพื่อเข้าร่วมกลุ่มแชตบอต[/caption]     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น