ผลการค้นหา :
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ! นักวิจัยพัฒนา “Eco-Pest” สารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมกำจัดแมลงจากปาล์มน้ำมัน ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นักวิจัย สวทช. มุ่งแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด พัฒนา “Eco-Pest” สารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชจากกรดไขมันปาล์ม ออกฤทธิ์ได้ผลดีกับแมลงปากดูดจำพวกเพลี้ย ปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดสารเคมีตกค้าง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมประเทศไทยยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันมุ่งสู่อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูง
จากปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันและความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของนานาประเทศ โดยส่งเสริมให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ความต้องการใช้ปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตไบโอดีเซลลดลง และส่งผลให้เกิดปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงมุ่งวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากปาล์มน้ำมันในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูง หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาสารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_61803" align="aligncenter" width="750"] ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. กล่าวว่าจากปัญหาภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการแพร่พันธุ์และระบาดของแมลงศัตรูพืชเป็นอย่างมาก เห็นได้จากตัวเลขการแพร่พันธุ์ของเพลี้ยกระโดดปัจจุบัน ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศเพิ่มขึ้นส่งผลให้ระยะเวลานับตั้งแต่ระยะไข่-โตเต็มวัย ลดลงเหลือเพียง 12 วัน แพร่พันธุ์ได้สูงถึง 5 รุ่น (ประมาณ 1,640 ล้านตัวต่อการทำนาหนึ่งรอบ ที่อุณหภูมิ 38 oC) เมื่อเทียบกับที่อุณหภูมิ 28 oC (ใช้ระยะเวลา 16 วัน แพร่พันธุ์ได้เพียง 3 รุ่น คิดเป็น 8.8 ล้านตัวต่อการทำนาหนึ่งรอบ) เกษตรกรจึงจำเป็นต้องพึ่งการใช้/นำเข้าสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชเพิ่มมากขึ้นทุกปี จาก 39,634 ตันของสารออกฤทธิ์ ในปี พ.ศ. 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 140 ล้านตันของสารออกฤทธิ์ (คิดเป็นมูลค่ารวม 23,906 ล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2566 ในส่วนนี้คิดเป็นมูลค่านำเข้าสารกำจัดแมลง 22,559 ตัน มูลค่า 5,740 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามการฉีดพ่นกลุ่มสารเคมีสังเคราะห์แบบดั้งเดิมสำหรับกำจัดแมลงและศัตรูพืชมีเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นที่จะถึงศัตรูเป้าหมาย เนื่องจากปัญหาการยึดเกาะจึงถูกชะล้างจากฝนได้ง่าย เกิดการสะสมสารพิษตกค้างในห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาให้เกษตรกรและอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน โดยทีมวิจัยได้พัฒนา “อีโค-เพสต์” (Eco-Pest) ซึ่งเป็นสารควบคุมและกำจัดแมลงที่ผลิตจากกรดไขมันของปาล์มน้ำมัน
[caption id="attachment_61805" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยเอ็นเทค สวทช. พัฒนา “อีโค-เพสต์” (Eco-Pest) สารควบคุมและกำจัดแมลงที่ผลิตจากกรดไขมันของปาล์มน้ำมัน[/caption]
“เรานำน้ำมันปาล์มที่บริสุทธิ์มาผลิตสารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ปลอดภัย โดยสารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรที่พัฒนาขึ้นสามารถควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืช โดยการเคลือบอุดกั้นทางเดินหายใจ และดูดน้ำออกจากตัวแมลง ซึ่งเป็นวิธีไม่เฉพาะเจาะจงกับกระบวนการทางชีวเคมีใด ๆ ในตัวแมลง ทำให้ Eco-Pest มีข้อดี คือ ปลอดภัยสำหรับสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เป้าหมาย และสามารถใช้ในการจัดการแมลงที่ดื้อต่อสารเคมีแบบดั้งเดิมได้ โดย Eco-Pest สามารถควบคุมและกำจัดแมลงปากดูดได้เทียบเท่ากับสารเคมีประเภทปิโตรเลียมออยล์หรือไวต์ออยล์ (White oil) ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ภายใต้สภาวะโรงเรือนแปลงทดลอง โดยที่ Eco-pest ออกฤทธิ์กำจัดแมลงประเภทปากดูดได้มากกว่า 97% ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง อีกทั้งมีจุดเด่นเหนือกว่าปิโตรเลียมออยล์คือไม่ต้องผสมสารเคมีอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่เติมน้ำแล้วก็ฉีดพ่นได้เลย แต่หากเป็นปิโตรเลียมออยล์ จะต้องเติมอิมัลซิไฟเออร์ลงไปด้วย”
[caption id="attachment_61806" align="aligncenter" width="750"] รูปเปรียบเทียบการเปียกตัว (a) น้ำบนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู (b) Eco-Pest บนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู (c) Eco-Pest บนเพลี้ยอ่อนถั่วดำ[/caption]
จุดเด่นของ Eco-Pest คือใช้กำจัดแมลงและควบคุมการระบาดของแมลงศัตรูพืชประเภทปากดูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยกระโดด เพลี้ยไฟ เพลี้ยจักจั่น และแมลงหวี่ขาว (ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชที่พบมากบนพืชผลเศรษฐกิจ เช่น ทุเรียน มะม่วง รวมถึงกล้วยไม้) ออกฤทธิ์กำจัดเพลี้ยแป้งมันได้สูงถึง 92% ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 24 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าสารเคมีกลุ่มไวต์ออยล์ที่กำจัดได้เพียง 35% โดย Eco-Pest ไม่มีความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity) ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารพิษตกค้าง ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ทั้งยังช่วยลดการนำเข้าสารเคมีและปิโตรเลียมออยล์ เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นเนื่องจากใช้วัตถุดิบจากพืชที่ปลูกในประเทศ และช่วยยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศ
[caption id="attachment_61807" align="aligncenter" width="750"] การวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันเป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและยังส่งผลดีต่อภาคการเกษตรของประเทศ[/caption]
ดร.ชัยยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าตอนนี้ผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับห้องปฏิบัติการ แต่การขยายขนาดการผลิตไปสู่ระดับเชิงพาณิชย์คาดว่าจะทำให้ต้นทุนลดลงอย่างมากและแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดได้ ซึ่งทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Eco-Pest ให้แก่ภาคเอกชน รวมถึงกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ร่วมวิจัยเพื่อพัฒนาสูตรใหม่ ๆ โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมี อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน และผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Eco-Pest เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยเกษตรลดการพึ่งพาสารเคมีที่เป็นพิษ และลดการนำเข้าปิโตรเลียมออยล์ มีความปลอดภัยสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากผลิตจากสารธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอน Eco-Pest จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการควบคุมแมลงในระบบการเกษตรที่มุ่งเน้นความปลอดภัยและยั่งยืน ที่สำคัญคือช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตทางการเกษตรของประเทศและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทยในตลาดโลกได้อย่างสอดคล้องกับการพัฒนาตามแนวทางของโดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG economy model)
[caption id="attachment_61804" align="aligncenter" width="750"] ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง และ ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล พร้อมด้วยทีมวิจัยผู้พัฒนานวัตกรรม Eco-Pest ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.[/caption]
นวัตกรรม Eco-Pest เป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดย ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง และทีมวิจัย (ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล ดร.สุภาพร วันสม กนกวรรณ ใหม่แก้ว กิติยาลักษณ์ ป้องโรคา พัลลภา บ่อกลม) ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ร่วมกับ ผศ.ดร. ประกาย ราชณุวงษ์ (ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
ผู้สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อได้ที่ ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง เอ็นเทค สวทช. โทร. 0 2564 6500 ต่อ 4714 หรืออีเมล chaiyuth.sae@entec.or.th
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย สมชัย เมาไพร และเอ็นเทค สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : ‘TTRS’ ระบบบริการล่ามภาษามือไทยทางไกล
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
เนื่องในวันที่ 23 กันยายน เป็นวันภาษามือสากลหรือ International day of sign languages คอลัมน์แกะกล่องงานวิจัยจึงขอนำเสนอระบบบริการถ่ายทอดการสื่อสารสำหรับคนพิการทางการได้ยิน (Thai telecommunication relay service system) หรือระบบบริการ call center ที่มีล่ามภาษามือไทยเป็นผู้ช่วยแปลงสาร หนึ่งในเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารให้แก่คนพิการทางการได้ยินหรือคนหูหนวกเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารกับคนหูดี
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเปิดเผยข้อมูลว่า ในประเทศไทยมีคนพิการทางการได้ยินมากถึง 416,488 คน ซึ่งมีทั้งคนหูหนวกที่ใช้ภาษามือในการสื่อสาร คนหูตึงที่ต้องใส่เครื่องช่วยฟัง และผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยิน โดยคนหูหนวกคือกลุ่มคนที่ประสบปัญหาด้านการสื่อสารมากที่สุดเพราะเป็นกลุ่มที่ต้องใช้ภาษามือในการสื่อสาร และต้องอาศัยล่ามภาษามือเพื่อช่วยสื่อสารกับคนหูดี โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารทางไกลที่การใช้ภาษามือเพื่อการสื่อสารเป็นเรื่องยากลำบาก
อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังคงขาดแคลนล่ามภาษามืออย่างหนัก มีล่ามภาษามือที่จดแจ้งอยู่เพียง 178 คนเท่านั้น โดยแบ่งเป็นล่ามหูดี 170 คน และล่ามหูหนวก 8 คน นอกจากนี้ยังมีล่ามภาษามือกระจายอยู่ในเพียง 41 จังหวัด ส่วนใหญ่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ พัฒนาระบบบริการล่ามภาษามือไทยทางไกล และให้บริการผ่าน ศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือ Thai Telecommunication Relay Service (TTRS) เพื่อช่วยให้การสื่อสารระหว่างคนหูหนวกกับคนหูดีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยได้เปิดให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมงใน 2 รูปแบบ คือ สนทนาข้อความ โดยใช้แอปพลิเคชัน TTRS Live Chat และสนทนาวิดีโอ โดยใช้แอปพลิเคชัน TTRS Video, TTRS VRI และตู้ TTRS ที่ปัจจุบันมีให้บริการ 180 จุด ในสถานที่ที่มีผู้ใช้บริการมาก เช่น โรงเรียน รถไฟฟ้า โรงพยาบาล
ทั้งนี้ศูนย์ TTRS เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2555 หรือเป็นเวลา 12 ปีแล้ว โดยมีการพัฒนาให้ทันสมัยมาโดยตลอด ปัจจุบันให้บริการไปแล้วมากกว่า 2.7 ล้านครั้ง มีสมาชิกที่ใช้บริการมากกว่า 51,000 คน
📌 2) ดีอย่างไร ?
ระบบ Call center ของ TTRS ช่วยอำนวยความสะดวกให้คนหูหนวกกับคนหูดีสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยหลักการ total conversation หรือรองรับการสนทนาทั้งรูปแบบภาพ เสียง วิดีโอ และข้อความ สามารถใช้บริการได้จากทุกที่ทั่วประเทศตลอด 24 ชั่วโมง เป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางการเรียนรู้ การทำงาน และการใช้ชีวิต ช่วยให้พวกเขาสื่อสารความรู้สึก ความต้องการ และสิ่งที่นึกคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียม
📌 3) ตอบโจทย์อะไร ?
ศูนย์ TTRS ช่วยเพิ่มความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบบริการดิจิทัล (digital inclusion) และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนหูหนวกในประเทศไทย
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ?
‘ระบบบริการล่ามภาษามือไทยทางไกล’ ให้บริการแล้วตั้งแต่ปี 2555 โดย ‘ศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย’ โดยได้รับทุนสนับสนุนการให้บริการจาก กสทช.
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : สวทช. ร่วมพันธมิตร พัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุน ‘คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงบริการดิจิทัลอย่างเท่าเทียม (Digital inclusion)’
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ล้ำไปอีกขั้น ! Traffy Fondue ดึง AI เพิ่มประสิทธิภาพการรับแจ้งและจัดการปัญหา
ความล้ำสมัยของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กำลังสร้างความพลิกผันและแรงสั่นสะเทือนในแทบทุกอุตสาหกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ไม่พลาด เร่งดำเนินการนำ AI มาต่อยอดพัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ให้สามารถรับเรื่องแจ้งและบริหารจัดการปัญหาได้อย่างอัจฉริยะมากขึ้น
ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงาน สวทช. สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ขณะนี้ทีมวิจัยหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมืองได้นำเทคโนโลยี AI ขยายผลเพิ่มประสิทธิภาพ Traffy Fondue ใน 4 เรื่อง ได้แก่
1) AI Summarize ให้ AI ปรับข้อความยาว ๆ ให้สั้นและเข้าใจง่ายได้อัตโนมัติ ยกตัวอย่าง มีประชาชนแจ้งเข้ามาว่า “มีซากรถมอเตอร์ไซค์มาจอดริมถนนจำนวนมาก เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นร้านมอเตอร์ไซค์ ทำให้รถสัญจรลำบากมากเพราะถนนแคบลงมาก” ระบบ AI จะวิเคราะห์สรุปความเหลือเพียงว่า “รถจอดถนนแคบ” ซึ่งช่วยจับใจความถึงปัญหาที่แจ้งได้อย่างรวดเร็ว
2) AI วิเคราะห์ประเภทปัญหาจากข้อความและรูปภาพ จากเดิมที่ผู้แจ้งต้องเลือกประเภทปัญหาของเรื่องแจ้ง เช่น ทางเท้า ประปา ถนน ขยะ สัตว์ ต้นไม้ ต่อไป AI จะวิเคราะห์คัดแยกประเภทของปัญหาให้อัตโนมัติ ยกตัวอย่าง ประชาชนพิมพ์แจ้งว่า “ที่สวนสาธารณะริมถนนเลียบคลองบางเขน มีต้นไม้ที่ กทม. ปลูกไว้หลายต้นโค่นล้มเนื่องจากฝนตกหนัก” พร้อมทั้งแนบไฟล์ภาพภาพต้นไม้โค่นล้ม ระบบ AI จะวิเคราะห์และสรุปประเภทปัญหาว่าเป็น “ต้นไม้” ได้ทันที
3) AI ตรวจสอบคำหยาบ เสนอปรับใช้ข้อความสุภาพ บางครั้งประชาชนผู้แจ้งอาจจะมีความหงุดหงิดใจจากสภาพปัญหาที่เจอ ทำให้พิมพ์แจ้งด้วยข้อความที่ไม่สุภาพ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจหรือบั่นทอนให้เจ้าหน้าที่หมดกำลังใจในการปฏิบัติงาน Traffy Fondue มุ่งสร้างการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ นำ AI มาช่วยตรวจสอบคำหยาบ พร้อมทั้งปรับข้อความให้สุภาพมากขึ้น โดยที่ไม่เปลี่ยนใจความสำคัญของเนื้อหา แต่ทั้งนี้การปรับข้อความจะไม่เป็นการบังคับ แต่จะมีปุ่มตัวเลือกให้ว่าจะส่ง ‘ข้อความตามเดิม’ หรือเลือก ‘ข้อความที่ AI ปรับให้’ เพื่อให้เกิดระบบนิเวศของการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้แจ้งและเจ้าหน้าที่
4) AI ตรวจสอบข้อมูลส่วนตัว หากในการแจ้งเรื่องมีข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวหรือละเมิด พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act: PDPA) เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ AI จะช่วยคัดกรองและปรับข้อความให้เข้าใจง่ายโดยละเว้นข้อมูลส่วนตัวโดยอัตโนมัติ
ดร.วสันต์ กล่าวว่า การนำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของประชาชนและช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องฉับไว เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
“เราอยากให้ Traffy Fondue เป็นสื่อกลางที่ช่วยให้ประชาชนแจ้งปัญหาไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ได้ง่ายไม่ต่างจากการใช้แอปพลิเคชันในการเรียกรถหรือสั่งอาหาร เพราะที่ผ่านมาเราเจอปัญหาเมือง เช่น รถขยะไม่มาเก็บ ทางเท้าพัง ฟุตบาทไม่ดี ก็ไม่รู้จะไปแจ้งปัญหากับใคร ดังนั้นอยากเชิญชวนประชาชนให้มาใช้ Traffy Fondue เป็นเสมือนเลขาคู่ใจในการแจ้งปัญหา เพื่อช่วยกันยกระดับการมีส่วนร่วมและสร้างสังคมเมืองให้น่าอยู่ ขณะเดียวกันเรามุ่งหวังอยากขยายผล Traffy Fondue ไปยังจังหวัดและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ทุกส่วนราชการแก้ปัญหาและดูแลประชาชนได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น”
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : นวัตกรรมสารตัวเติม (filler) สารเคลือบกันน้ำบรรจุภัณฑ์กระดาษ ผลิตจากเปลือกหอยแมลงภู่
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
'หอยแมลงภู่’ เป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งด้านการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกสูง ถึงกระนั้น ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ ปริมาณมหาศาลที่เหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ กลับกำลังเป็นปัญหาขยะที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะยังขาดแนวทางการจัดการที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าแก่การลงทุน
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัทรี-บอนดิ้ง จำกัด ดำเนินโครงการ ‘ต้นแบบผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงแปรรูปจากเปลือกหอยแมลงภู่เหลือทิ้ง’ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ต้นแบบ คือ สารตัวเติม (filler) สำหรับเคลือบเพื่อเพิ่มคุณสมบัติกันน้ำให้แก่บรรจุภัณฑ์กระดาษชนิดผลิตจากวัสดุธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น สารจากเซลลูโลส (cellulose-based) ที่ปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศไทยยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยสารตัวเติมนี้ผลิตขึ้นจาก ‘สารแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3)’ ซึ่งเป็นสารประกอบของเปลือกหอยถึงร้อยละ 95
📌 2) ดีอย่างไร ?
สารตัวเติมที่นักวิจัยพัฒนาขึ้นเป็นสารจากธรรมชาติ มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) มีความปลอดภัยในการใช้งาน และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูง ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษกันน้ำสามารถใช้สารชนิดนี้เป็นสารตัวเติมสำหรับเคลือบกระดาษที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศได้มากกว่าร้อยละ ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี
📌 3) ตอบโจทย์อะไร ?
การที่ผู้ประกอบการลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงโดยยังคงคุณภาพของสินค้าได้ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกลุ่ม EU ที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด
นอกจากนี้การอัปไซคลิง (upcycling) เปลือกหอยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง ยังช่วยลดปัญหาขยะและเพิ่มศักยภาพการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรประเภทนี้ให้คุ้มค่าอย่างยั่งยืน
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ?
พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : เปลี่ยน ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ เป็น ‘สารเคลือบกระดาษ’ และ ‘สารดูดซับคราบน้ำมัน’ สร้างมูลค่าเพิ่ม เสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Traffy Fondue อัปเดต ‘ฟีเจอร์ใหม่’ ช่วยประชาชนแจ้งเรื่องและติดตามปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
สวทช. ไม่หยุดพัฒนา Traffy Fondue นำเสียงสะท้อนถึงปัญหาการใช้งาน เดินหน้าปรับปรุงพัฒนาเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแพลตฟอร์ม Line Official เพื่อให้ประชาชนแจ้งปัญหาได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ทีมวิจัยหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมืองได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ในแพลตฟอร์มของไลน์ Traffy Fondue ทั้งหมด 6 เรื่องด้วยกัน
1) ลดขั้นตอนการแจ้งเรื่องจาก 5 ขั้นตอน เหลือ 3 ขั้นตอน ตอนนี้ไม่ต้องเลือกหน่วยงานที่ต้องการแจ้ง ไม่ต้องแจ้งประเภทของปัญหา ใช้เวลาทำเพียง 3 ขั้นตอน คือ 1) กดแจ้งเรื่องใหม่แล้วแชร์พิกัดตำแหน่ง 2) พิมพ์รายละเอียดของปัญหา และ 3) ส่งภาพประกอบของปัญหาและรอรับการ์ดยืนยันการแจ้งได้ทันที เพียงเท่านี้การแจ้งปัญหาจะเป็นเรื่องง่าย แจ้งครบจบได้ใน 1 นาที
2) รับแจ้งเตือนข่าวสาร เช่น เหตุฉุกเฉิน ไฟไหม้ ภัยธรรมชาติ ระบบเพิ่มเมนูใหม่ “บริการอื่น ๆ และข่าวสาร” โดยประชาชนกดเลือกได้ว่าสนใจหัวข้อเรื่องใดและระบุพิกัดพื้นที่รับแจ้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นในบริเวณดังกล่าว ระบบจะแจ้งเตือนข่าวสารให้รับทราบแบบฉับไว ปัจจุบันนำร่องใช้ในกรุงเทพมหานคร และเตรียมเร่งขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ในเร็ววันนี้
3) จัดทำอินโฟกราฟิกสรุปภาพรวมการแก้ปัญหา (Before/After) ทุกครั้งที่มีการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้น ระบบจะจัดทำข้อมูลและภาพอินโฟกราฟิกสรุปภาพรวมการแก้ปัญหาทั้งก่อนและหลัง เช่น ปัญหาไฟทางเสีย ระบบจะสรุปไทม์ไลน์ตั้งแต่การแจ้ง การรับเรื่อง และการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้น พร้อมทั้งมีภาพให้เห็นเปรียบเทียบทั้งก่อนและหลังการแก้ปัญหา ทั้งนี้ในอนาคตจะเพิ่มในส่วนของการประเมินผลการแก้ปัญหาด้วย โดยให้ผู้แจ้งสามารถให้ดาวหรือคะแนน รวมถึงเพิ่มปุ่มแชร์ให้สังคมได้เห็นถึงความสำเร็จในการแก้ปัญหาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน
4) ดูเรื่องแจ้งของคนอื่น ถึงตนเองไม่มีเรื่องแจ้ง แต่ก็สามารถติดตามเรื่องราวการแจ้งปัญหาในพื้นที่ที่สนใจได้ เพียงกดเมนู “เรื่องแจ้งจากผู้อื่น” จากนั้นกดระบุพื้นที่ ระบบจะแสดงผลเรื่องแจ้งที่ได้รับการแก้ปัญหาเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นกดเข้าไปดูรายละเอียดได้ทันที
5) เรื่องถึงไหนแล้ว อยากรู้ว่าแจ้งปัญหาเรื่องใดไปบ้างและเรื่องแจ้งดำเนินการถึงไหนแล้ว เพียงแค่กดเมนู “เรื่องแจ้งของฉัน” ระบบจะแสดงเรื่องแจ้งทั้งหมด พร้อมทั้งระบุว่าเรื่องใดที่เสร็จสิ้นแล้วบ้าง เรื่องใดที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และที่พิเศษคือตอนนี้มีเมนูให้กด “ติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงาน” หรือกดสอบถามรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ได้เลย
6) หน่วยงานแจ้งล่าสุด ปัจจุบันระบบเพิ่มเมนูแสดงรายชื่อ “หน่วยงานแจ้งล่าสุด” เพื่อให้ประชาชนเลือกหน่วยงานที่ต้องการแจ้งเรื่องได้อย่างรวดเร็ว
ดร.วสันต์ กล่าวว่า ทีม Traffy Fondue ตั้งใจพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ประชาชนแจ้งเรื่องและติดตามการแก้ปัญหาได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ได้รับทราบข้อมูลการแก้ไขปัญหาที่ครบถ้วน ถูกต้องและชัดเจน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เจ้าหน้าที่บริหารจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีโอกาสได้รับฟังเสียงสะท้อนถึงความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปใช้ปรับปรุงพัฒนาการทำงานได้ตรงจุด เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ทั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Traffy Fondue จะเป็นแพลตฟอร์มรับแจ้งปัญหาที่มีส่วนช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา ยืดหยุ่นสูง เย็นสบาย
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
การพัฒนากระบวนการขึ้นรูปแผ่นเจลยางพารารูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติกระจายแรงได้ดี และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง โดยการผลิตแผ่นเจลรูปแบบนี้จะใช้ลำอิเล็กตรอนซึ่งเป็นเทคโนโลยีสะอาดในการวัลคาไนเซชัน (vulcanization) หรือทำให้เกิดปฏิกิริยาเชื่อมขวางระหว่างสายโซ่ยาง เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแรงและทนทานโดยไม่ต้องใช้สารเคมีในการวัลคาไนเซชันเหมือนกระบวนการผลิตทั่วไป
การผลิตด้วยวิธีใหม่นี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องสารเคมีตกค้าง (สารบางชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง) กลิ่นไม่พึงประสงค์ และการก่อให้เกิดการระคายเคืองจากการสัมผัสผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์จากยางพาราเป็นที่ยอมรับในตลาดสุขภาพและการแพทย์มากยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ยางพาราไทย
📌 2) ดีอย่างไร ?
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งที่นักวิจัยไทยออกแบบและพัฒนากระบวนการผลิต คือ มีความสามารถในการกระจายแรงสูง ลดแรงกดทับได้มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้ช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณก้นกบและหลังส่วนล่างจากการนั่งเป็นเวลานานได้ดี มีคุณลักษณะเด่นที่ทำให้ผู้นั่งรู้สึกเย็นสบายแม้จะผ่านการนั่งทับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังไร้กลิ่นสารเคมีและไร้สารก่อมะเร็ง
📌 3) ตอบโจทย์อะไร ?
ช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพาราของประเทศไทย รวมถึงช่วยเปิดตลาดและฐานลูกค้าใหม่โดยเฉพาะสุขภาพและการแพทย์
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ?
พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ยืดหยุ่นสูง เย็นสบาย ไร้กลิ่นสารเคมี ไร้สารก่อมะเร็ง
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ไม่หยุดแค่ปัญหาเมือง ! Traffy Fondue ขยายผลเพิ่ม ‘ประเภทเรื่องแจ้ง’ ปัญหาอาคาร/ไฟฟ้า/จราจร
น่าทึ่งมาก ! ที่ตอนนี้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue (ทราฟฟี ฟองดูว์) มีสถิติเรื่องแจ้งทั่วประเทศใกล้ครบ 1 ล้านเรื่องแล้ว โดยข้อมูลในเดือนกรกฎาคม 2567 รับเรื่องแจ้งแล้ว 947,769 เรื่อง แถมเรื่องแจ้งได้รับการแก้ไขถึง 733,372 หรือคิดเป็น 77% และใช้เวลาแก้ปัญหาเร็วขึ้นเฉลี่ยถึง 4 เท่า นับเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีเข้ามาปฏิรูปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบราชการให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ส่งผลให้หน่วยงานต่าง ๆ ให้ความสนใจนำแพลตฟอร์มไปประยุกต์ใช้เพิ่มช่องทางรับแจ้งปัญหา ช่วยให้ประชาชนแจ้งปัญหาได้สะดวกและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า Traffy Fondue คือแพลตฟอร์มรับเรื่องและบริหารจัดการปัญหาผ่าน LINE Chatbot แบบอัตโนมัติ ซึ่งที่ผ่านมากรุงเทพมหานครนำไปใช้เป็นเครื่องมือรับแจ้งปัญหาเมือง สร้างกระแสความสนใจเป็นอย่างมาก จนเกิดการขยายผลการใช้งานไปยังจังหวัดต่าง ๆ รวมถึงองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ล่าสุดได้ขยายความร่วมมือกับ 3 หน่วยงาน ช่วยเพิ่ม 3 ประเภทเรื่องแจ้งตามภารกิจของหน่วยงานให้แก่ประชาชน
“เรื่องแรกคือการรับแจ้งปัญหาภายในอาคาร โดยขณะนี้นำร่องใช้งานในอาคารสำนักงานรัฐสภา หากผู้ใช้งานในอาคารพบปัญหา เช่น น้ำไม่ไหล ไฟดับ ห้องน้ำไม่สะอาด แอร์ไม่เย็น หรืออุปกรณ์ในห้องประชุม ไม่ว่าจะไมโครโฟน คอมพิวเตอร์มีปัญหา สามารถแจ้งปัญหาผ่าน LINE Official : @Traffyfondue ได้ทันที ในอนาคตตั้งเป้าขยายผลการใช้งานไปยังอาคารสำนักงานของทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล คอนโด และสถานที่ราชการ เพื่อให้ประชาชนที่ใช้บริการแจ้งปัญหาที่พบได้ทันที และช่วยเพิ่มโอกาสในการดูแลผู้ใช้บริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
สำหรับเรื่องแจ้งประเภทที่สอง คือ ปัญหาไฟฟ้าและพลังงาน ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้นำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไปพัฒนาช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนปัญหาการให้บริการไฟฟ้าสำหรับประชาชน ผ่าน Line Official “กกพ. รับแจ้งปัญหา” หรือ ไอดีไลน์ @ERCvoice
ดร.วสันต์ เล่าว่า สำนักงานคณะกรรมกำกับกิจการพลังงานมีบทบาทหน้าที่กำกับการให้บริการไฟฟ้าทั้งประเทศ ซึ่งมีความมุ่งหวังอยากยกระดับการบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนด้วยระบบดิจิทัล จึงใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เปิดช่องทางการแจ้งปัญหาในรูปแบบ Line Official ช่วยให้ประชาชนที่พบปัญหา เช่น ไฟตก ไฟดับ มิเตอร์ไฟมีปัญหา หม้อแปลงระเบิด รวมถึงเหตุฉุกเฉินสามารถแจ้งผ่านไลน์ได้ทันที ทำให้ประชาชนติดต่อสื่อสารได้สะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
“สำหรับเรื่องแจ้งประเภทที่สาม คือ จราจร อุบัติเหตุ และสินบน ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้สถานีตำรวจทั้ง 1,484 โรงพักทั่วประเทศ นำ Traffy Fondue มาใช้งานรับแจ้งเหตุความเดือดร้อนของประชาชนผ่าน LINE Official : @Traffyfondue เช่นเดียวกัน โดยสถานีตำรวจในแต่ละพื้นที่เริ่มนำคิวอาร์โค้ดไปประชาสัมพันธ์ให้แก่ประชาชนเพื่อเพิ่มช่องทางในการแจ้งเหตุ นอกเหนือจากการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทางโทรศัพท์ ทั้งนี้จากข้อมูลสถิติเรื่องแจ้งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเดือนกรกฎาคม 2567 พบว่ามีประชาชนแจ้งเรื่องเข้ามาแล้วมากกว่า 113,000 เรื่อง และดำเนินการแก้ไขเสร็จสิ้นมากกว่า 92,000 เรื่อง หรือคิดเป็น 80% สำหรับตัวอย่างของการแจ้งปัญหา เช่น มีรถสองแถวจอดกีดขวางทางจราจรสาธารณะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ได้รับเรื่องแจ้งและดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้รถสองแถวเคลื่อนย้ายรถไม่ให้กีดขวางได้อย่างรวดเร็ว”
Traffy Fondue นับเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้การแจ้งปัญหาของประชาชนเป็นเรื่องง่าย แจ้งจบได้ภายในนาทีเดียว ช่วยประหยัดเวลา และติดตามการแก้ปัญหาได้สะดวก อีกทั้งยังช่วยให้เจ้าหน้าที่แก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สำหรับหน่วยงานที่สนใจสามารถนำ Traffy Fondue ไปประยุกต์ใช้งานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : ศูนย์ข้อมูล Traffy Fondue หรือ https://info.traffy.in.th
มาร่วมพลิกโฉมสังคมไทยสู่สังคม ‘เมืองอัจฉริยะ’ ด้วย ‘แพลตฟอร์ม Traffy Fondue’
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘NomadML’ แพลตฟอร์มเทรน AI เทรนง่าย ไม่ต้องเขียนโคด
เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะด้าน computer vision หรือการประมวลผลภาพเพื่อแยกประเภทวัตถุ ตรวจจับตำแหน่ง หรือระบุพื้นที่ภายในภาพ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตาว่าจะมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในอนาคต เพราะเทคโนโลยีนี้นอกจากจะช่วยลดเวลาการตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้แล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา NomadML (โนแมดเอ็มแอล) แพลตฟอร์มผลิตโมเดล AI ฟังก์ชัน computer vision ในรูปแบบใช้งานง่าย วิธีเทรนไม่ซับซ้อน ที่สำคัญไม่ต้องเขียนโคด เหมาะทั้งการใช้ทดสอบระบบหรือ Proof of Concept (PoC) และการผลิตโมเดล AI เพื่อใช้งานจริง โดยแพลตฟอร์มนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก AI for Thai Platform และโครงการยกระดับแพลตฟอร์มการบริหารจัดการข้อมูลทางการแพทย์ภายใต้ Medical AI Consortium
[caption id="attachment_60791" align="aligncenter" width="750"] ดร.ธีศิษฏ์ ลีลาสวัสดิ์สุข นักวิจัยทีมวิจัยสมองกลอัจฉริยะและความจริงเสมือน เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.ธีศิษฏ์ ลีลาสวัสดิ์สุข นักวิจัยทีมวิจัยสมองกลอัจฉริยะและความจริงเสมือน เนคเทค สวทช. อธิบายว่า NomadML เป็นแพลตฟอร์มสำหรับผลิตโมเดล AI ด้าน computer vision ที่ใช้งานได้ง่ายแค่เพียงทำ 3 ขั้นตอน ขั้นแรกคือการนำชุดข้อมูลภาพที่ผ่านการคัดประเภทแล้วเข้าสู่ระบบ ขั้นที่สองปรับแต่งฟังก์ชันหรือพารามิเตอร์ (parameter) สำหรับประมวลผล หรือเลือกใช้ NomadML-Auto ฟังก์ชันปรับแต่งอัตโนมัติที่ออกแบบให้มีความแม่นยำสูงในการปรับแต่งพารามิเตอร์เสมือนผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ปรับแต่งให้ โดยหลังจากเลือกปรับแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คลิกปุ่มเริ่มเทรนโมเดล เมื่อระบบประมวลผลสร้างโมเดล AI เสร็จแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายให้ผู้ใช้งานตรวจสอบความแม่นยำของโมเดลว่าวิเคราะห์ได้มีประสิทธิภาพเพียงไร หากผลเป็นที่พึงพอใจ ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดโมเดลไปใช้งานจริงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยสามารถเขียนซอฟต์แวร์เรียกใช้งานโมเดลตามตัวอย่างที่ทีมวิจัยเตรียมไว้ให้และต่อยอดนำโมเดลไปใช้งานบนอุปกรณ์อื่น ๆ ได้
“NomadML ผ่านการออกแบบเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมถึงลดการใช้เวลาและงบประมาณในการพัฒนาระบบ ซึ่งเดิมต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นผู้ที่สนใจใช้งานแพลตฟอร์มนี้แต่ไม่มีพื้นฐานด้านการเทรนโมเดล AI มาก่อนก็สามารถเรียนรู้วิธีการใช้งานด้วยตัวเองจากคู่มือที่ทีมวิจัยจัดเตรียมไว้ให้ได้ ส่วนทางด้านโปรแกรมเมอร์ วิศวกรซอฟต์แวร์ หรือ SI (system integrator) NomadML จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการลดเวลาการทำงาน ทำให้มีเวลาทำ PoC หลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น และได้โมเดล AI ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเวลาอันรวดเร็ว
“ทั้งนี้ผู้ใช้งาน NomadML ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล เพราะระบบผ่านการออกแบบด้านการรักษาความปลอดภัยในรูปแบบ SSO (Single-Sign-On) หรือการต้อง log in เข้าสู่ระบบก่อนใช้งานเสมอ โดยผู้ใช้งานและผู้ดูแลระบบจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นได้ การดึงข้อมูลของผู้ใช้งานจากเครื่องแม่ข่ายมาแสดงผลจะเป็นรูปแบบ API (Application Programming Interfaces) ที่ต้องยืนยันตัวตนผ่านระบบ SSO ทุกครั้งที่ขออนุญาตเข้าถึงข้อมูล ดังนั้นระบบจึงมีความปลอดภัยสูง”
ปัจจุบัน NomadML เริ่มมีการทดลองใช้งานแล้วในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนเหล็ก เป็นการใช้โมเดล AI เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่ามีตำหนิประเภทต่าง ๆ หรือไม่ อาทิ รอยขีดข่วน การพ่นสีที่ไม่สม่ำเสมอ อุตสาหกรรมอาหารแช่แข็ง คือโมเดล AI เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่าขนาดและรูปทรงตรงตามที่กำหนดหรือไม่ ส่วนทางด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ ทีมวิจัยเคยทดสอบกับฐานข้อมูลแบบเปิด (open source dataset) เช่น การวิเคราะห์ฟิล์มรังสีเอกซ์ เพื่อจำแนกโรคโควิด-19 วัณโรค และปอดอักเสบ หรือประมวลผลภาพถ่ายรูม่านตาเพื่อวิเคราะห์การเป็นโรคต้อชนิดต่าง ๆ เช่น ต้อหิน ต้อลม
ดร.ธีศิษฏ์ เล่าต่อว่า ปัจจุบันแพลตฟอร์ม NomadML เปิดให้ทดสอบใช้งานระบบแล้ว ผู้ที่สนใจใช้บริการได้ที่ www.nomadml.in.th โดยหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบระบบ ทีมวิจัยจะเปิดให้ใช้งาน 2 รูปแบบ คือ แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับบุคคลทั่วไป และแบบสมาชิกที่จะมีการเรียกเก็บค่าบริการรายปี โดยสิ่งที่สมาชิกจะได้รับคือพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูล ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลในระบบ และระยะเวลาในการทำงานสูงสุดต่องานมากกว่าบุคคลทั่วไป รวมถึงไม่ต้องรอคิวในการใช้งานระบบร่วมกับผู้ใช้งานทั่วไปด้วย
“ส่วนทางด้านการพัฒนา NomadML ต่อไปในอนาคต ทีมวิจัยมีแผนที่จะอัปเดตประสิทธิภาพระบบ parameter setting อย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบผู้ใช้งานเป็นผู้ปรับแต่งเอง และแบบฟังก์ชัน NomadML-Auto นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเชื่อมต่อแพลตฟอร์มกับเทคโนโลยี High-Performance Computing (HPC) หรือ Cloud GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาในการประมวลผล”
NomadML เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญภายใต้โพรเจกต์ AI Thailand หรือโพรเจกต์ที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี AI ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการเรียนรู้ การทำงาน การสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือการยกระดับคุณภาพของคนไทย ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ได้ที่ www.nomadml.in.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สานพลังพิชิต ฝ่าวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลัง
ประเทศไทยผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังแปรรูปมากเป็นอันดับต้นของโลก โดยในปี 2564 กรมการค้าต่างประเทศรายงานว่าประเทศไทยส่งออกมันสำปะหลังแปรรูปเป็นมูลค่ารวมสูงกว่า 1.23 แสนล้านบาท แต่ทว่าหลังจากช่วงปี 2562 ที่ไทยเริ่มพบรอยโรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava Mosaic Disease: CMD) และประกาศการระบาดอย่างเป็นทางการในปี 2565 อุตสาหกรรมมันสำปะหลังกลับต้องเผชิญกับความสั่นคลอนจากการขาดแคลนวัตถุดิบเรื่อยมา เพราะโรค CMD นอกจากจะทำให้หัวมันแคระแกร็นและคุณภาพผลผลิตตกต่ำแล้ว ยังเป็นโรคที่แพร่ระบาดได้ง่าย รวดเร็ว แต่ยับยั้งการแพร่ระบาดยากเพราะมีแมลงหวี่ขาวเป็นตัวกระจายโรค พื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่ของไทยจึงกลายไปเป็นพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ที่ต้องเผชิญปัญหาโรค CMD ระบาดภายในระยะเวลาเพียง 2-3 ปี
อย่างไรก็ตามท่ามกลางวิกฤตใหญ่ที่ทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ยังมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสำปะหลังที่เลือกยืนหยัดหาแนวทางฝ่าฟันวิกฤตนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า ‘การสู้ไปด้วยกันจะนำไปสู่การผ่านพ้นวิกฤตได้’
[caption id="attachment_60352" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะต้นมันสำปะหลังติดโรค CMD[/caption]
[caption id="attachment_60353" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะต้นมันสำปะหลังติดโรค CMD[/caption]
ปัญหาเกิด ‘ตัวกลางเร่งขยับ’
[caption id="attachment_60344" align="aligncenter" width="650"] ชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช.[/caption]
ชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า นับตั้งแต่เริ่มพบโรค CMD ในประเทศไทยเมื่อปี 2562 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.มรกต ตันติเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโสของ สท. ณ ขณะนั้น ได้มอบแนวทางให้บุคลากร สท. สร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ และผสานการนำเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคที่นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. พัฒนาไว้มาช่วยรับมือกับปัญหานี้ทันที ในปีนั้น สท. จึงได้ร่วมกับไบโอเทคจัดการประชุมเพื่อสร้างความตระหนักถึงโรคนี้ให้ภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดย สท. ได้เชิญนักวิชาการด้านการเกษตรจากหน่วยงานต่าง ๆ มาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง ส่วนนักวิจัยไบโอเทคได้นำเสนอเทคโนโลยีรับมือกับการระบาดของโรคทั้งในส่วนเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคและอุปกรณ์ตรวจโรค
“ผลจากการประชุมครั้งนั้นก่อให้เกิดความร่วมมือครั้งใหญ่กับภาคเอกชน คือ กลุ่มพูลผล โดยบริษัทพูลอุดม จำกัด กลุ่มธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังหลายรูปแบบ ในการนำร่องสร้างกระบวนการรับมือโรค CMD อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยผู้บริหารของบริษัทมีวิสัยทัศน์ว่าโรค CMD ไม่น่าใช่ปัญหาเล็ก และมีแนวโน้มจะลุกลามไปเป็นวิกฤตการณ์โรคระบาดใหญ่ได้ในไม่ช้า ซึ่งผลจากการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ ของบริษัท ทำให้ขณะนี้บริษัทมีเทคโนโลยี ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และความเข้มแข็งด้านองค์ความรู้ สำหรับสร้างระบบการผลิตขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น และใช้ประคับประคองเกษตรกรพันธมิตรของบริษัทกว่า 2,000 ครัวเรือน ไม่ให้ล้มพับในวันที่พื้นที่เพาะปลูกหลายแสนไร่ทั่วประเทศกลายเป็นพื้นที่สีแดงอย่างทุกวันนี้ได้”
หลังจากบริษัทพูลอุดมฯ รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากไบโอเทคในปี 2563 บทบาทของนักวิชาการจาก สท. ได้ขยับปรับเปลี่ยนจากการเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงเพื่อสร้างความตระหนัก มาเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งที่จะช่วยยับยั้งการระบาดของโรค CMD เพื่อรักษาพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ปลอดโรคเอาไว้ให้ได้นานที่สุด จนกว่าจะมีเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญมาช่วยพลิกสถานการณ์นี้
ชวินทร์ เล่าว่า ตั้งแต่วันแรกที่บริษัทพูลอุดมฯ และนักวิจัยจากไบโอเทค สวทช. ตัดสินใจดำเนินงานร่วมกัน นักวิชาการจาก สท. ยังคงทำหน้าที่ช่วยประสานการดำเนินงานเสมอมา นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ที่ช่วยเชื่อมโยงการดำเนินงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิจัย และเกษตรกรด้วย เพราะตระหนักดีว่าโรค CMD ไม่ใช่ปัญหาเล็กที่จะแก้ไขได้ด้วยใครเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นปัญหาระดับประเทศที่ต้องการกำลังจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ดังนั้น สท. จะไม่หยุดหมุนเฟืองจนกว่าประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้
เทคโนโลยีรักษาพื้นที่สีเขียว ‘เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย’
[caption id="attachment_60341" align="aligncenter" width="650"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. เล่าต่อในมุมไบโอเทคว่า เดิมทีก่อนจะพบการระบาดโรค CMD ในประเทศไทย นักวิจัยไบโอเทคนำโดย ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ได้พัฒนาเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสำปะหลังพันธุ์เศรษฐกิจของไทยไว้ก่อนแล้วด้วย 2 เหตุผลหลัก คือ การอนุรักษ์ต้นพันธุ์แท้ปลอดโรค และการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์วิกฤตที่อาจทำให้ขาดแคลนต้นพันธุ์ เช่น เกิดเหตุโรคระบาด เกิดภัยธรรมชาติ
[caption id="attachment_60342" align="aligncenter" width="650"] ต้นอ่อนมันสำปะหลัง[/caption]
“ในตอนนั้นช่วงปี 2563 หลังจากตัวแทนจากบริษัทพูลอุดมฯ แสดงความสนใจที่จะรับถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรค ดร.ธราธร และทีมได้ดำเนินการถ่ายทอดวิธีการผลิตต้นพันธุ์ด้วยกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทันที พร้อมช่วยดูแลการพัฒนาห้องปฏิบัติการภายในโรงงานของบริษัท และช่วยเป็นพี่เลี้ยงด้านการปรับปรุงกระบวนการอนุบาลและเพาะปลูก จนบริษัทสามารถผลิตและส่งต่อท่อนพันธุ์ให้เกษตรกรใช้ปลูกจริงได้แล้ว ซึ่งในตอนนั้นทีมวิจัยได้ช่วยผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคเพื่อเป็นต้นแม่พันธุ์ให้บริษัทนำไปใช้ขยายพันธุ์ต่อ รวมแล้วมากกว่า 20,000 ต้น
[caption id="attachment_60351" align="aligncenter" width="650"] ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
“นอกจากเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์แล้ว อีกหนึ่งตัวอย่างเทคโนโลยีสำคัญที่ไบโอเทคนำไปช่วยเหลือ คือ ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test เทคโนโลยีตรวจโรค CMD ที่ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. และทีมพัฒนาขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรเข้าถึงอุปกรณ์การตรวจที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาจับต้องได้ ที่สำคัญวิธีการตรวจง่าย เกษตรกรตรวจได้ด้วยตัวเองภายในพื้นที่เพาะปลูก ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกษตรกรตรวจโรคได้บ่อยครั้งขึ้นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่พบในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที”
[caption id="attachment_60343" align="aligncenter" width="650"] ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_60354" align="aligncenter" width="650"] ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test[/caption]
นอกจากการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการพัฒนาต้นพันธุ์ปลอดโรคเพื่อรักษาพื้นที่สีเขียวเอาไว้ให้ได้นานที่สุด นักวิจัยไบโอเทคยังมองไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีฐานเพื่อรองรับการล้างพื้นที่สีแดงแบบเอาน้ำดีไล่น้ำเสียในอนาคตด้วย
ดร.ยี่โถ เล่าว่า จนถึงปัจจุบันทีมวิจัยยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการแก้ปัญหาโรค CMD และการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยมาอยู่ตลอด โดยทีมได้พัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสำปะหลังด้วยเทคนิคไบโอรีแอกเตอร์ (bioreactor) แบบกึ่งจมจนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะเทคโนโลยีนี้แม้จะต้องลงทุนสูงในช่วงเริ่มต้น แต่ด้วยความรวดเร็วในการขยายต้นพันธุ์ปลอดโรคจะทำให้ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานพันธมิตรที่มีห้องปฏิบัติการสามารถขยายต้นพันธุ์กลุ่มทนทานโรค CMD และต้านทานโรค CMD พันธุ์ต่าง ๆ (ข้อมูล ณ มิถุนายน 2567 มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทยสามารถพัฒนาพันธุ์ต้านทานโรค CMD ได้แล้ว 3 พันธุ์ อยู่ในช่วงวางแผนเตรียมการขยายพันธุ์) ในระดับหลักแสนหรือกระทั่งหลักล้านต้นได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนที่เราสามารถช่วยกันเอาน้ำดีไล่น้ำเสีย คืนพื้นที่ทั่วประเทศให้กลับมาเป็นพื้นที่สีเขียวอีกครั้ง และทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลตอบแทนคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว
[caption id="attachment_60340" align="aligncenter" width="650"] กระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยเทคนิคไบโอรีแอกเตอร์ (bioreactor) แบบกึ่งจม[/caption]
“อีกหนึ่งเทคโนโลยีการผลิตพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและไบโอเทคกำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย คือ การพัฒนาระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในระบบ somatic embryogenesis หรือการโคลนนิง (cloning) พืชผ่านเซลล์แคลลัส ควบคู่กับการพัฒนากระบวนการ genetic transformation หรือการส่งถ่ายยีนเข้าสู่เซลล์เพื่อปรับแต่งรหัสพันธุกรรมของพืช โดยในกรณีมันสำปะหลัง สามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อพัฒนาพันธุ์ให้มีลักษณะตามวัตถุประสงค์การใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เช่น ต้านทานโรค ต้นพันธุ์ให้แป้งสูง ต้นพันธุ์ที่เหมาะแก่การผลิตเอทานอล หรืออื่น ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้นในอนาคตได้”
‘ความยั่งยืน’ โจทย์ที่เอกชนใส่ใจ
[caption id="attachment_60339" align="aligncenter" width="650"] เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด[/caption]
เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด เล่าต่อในมุมภาคเอกชนว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมานโยบายของบริษัทที่ผู้บริหารวางเป็นแนวทางในการทำงานให้แก่พนักงานมาตลอดคือความยั่งยืน ซึ่งความยั่งยืนนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนในห่วงโซ่ผลลัพธ์ (impact value chain) เติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง จากนโยบายนั้นทำให้ทันทีที่ผู้บริหารทราบข่าวการเข้ามาของโรค CMD ก็ตัดสินใจลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับช่วยประคับประคองทุกภาคส่วนในสายการผลิตของบริษัทให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันทันที
“นับตั้งแต่ปี 2563 ที่ทีมวิจัยไบโอเทคได้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงบริษัทในด้านการพัฒนากระบวนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ในโครงการกระจายพันธุ์ต้านทานโรคให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในจังหวัดชัยภูมิ ปัจจุบันบริษัทสามารถผลิตต้นพันธุ์สะอาดเฉลี่ย 15,000-20,000 ต้น/เดือน เพื่อจัดส่งให้เกษตรกรพาร์ตเนอร์ใช้ปลูกได้แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังกำลังร่วมดำเนินการผลิตต้นพันธุ์ต้านทานโรคภายใต้โครงการกระจายพันธุ์ต้านทานโรคของบริษัทสยามควอลิตี้สตาร์ช จำกัด เพื่อส่งมอบให้เกษตรกรในจังหวัดชัยภูมิใช้ปลูกเพื่อผลิตมันสำปะหลังคุณภาพหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมด้วย โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตให้ได้มากกว่า 400,000 ต้น ทั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณผู้ให้การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทีมวิจัยไบโอเทคและนักวิชาการจาก สท. สวทช. ที่สนับสนุนองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตของบริษัทเสมอมา
“ภายหลังจากการช่วยเหลือเกษตรกรในบริเวณพื้นที่ตั้งของโรงงานประสบความสำเร็จแล้ว บริษัทยังมีแผนจะพัฒนากระบวนการผลิตต่อเพื่อผลิตท่อนพันธุ์ปลอดโรคได้มากขึ้น และกระจายไปยังเกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ เพราะนอกจากบริษัทจะต้องพึ่งพิงผลผลิตจากพวกเขาแล้ว การที่เกษตรกรเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันกับบริษัทได้ ก็เป็นสัญญาณอันดีว่าอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยจะกลับมามั่นคงได้อีกครั้ง”
[caption id="attachment_60329" align="aligncenter" width="650"] เกรียงศักดิ์ แจ้งเสถียรสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด (คนที่ 6 จากซ้ายมือ) และทีมงานผู้ผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค[/caption]
เกรียงศักดิ์ แจ้งเสถียรสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด เสริมว่า ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรในบริเวณพื้นที่ตั้งของโรงงานทั้งในจังหวัดชัยภูมิและบุรีรัมย์ในรูปแบบพาร์ตเนอร์ที่ดูแลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด โดยได้สนับสนุนต้นพันธุ์สะอาดทั้งพันธุ์ทนทานและพันธุ์ต้านทานให้แก่เกษตรกร มีทีมงานให้ความรู้ในการเรื่องการคัดเลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดีเหมาะกับสภาพดินและน้ำ รวมถึงช่วยแนะนำวิธีการปลูกและดูแลอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังได้นำเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองโรค CMD ในรูปแบบ strip test ที่ไบโอเทค สวทช. พัฒนาไปให้ความรู้ เพื่อช่วยเสริมความเข้มแข็งให้เกษตรกรเครือข่ายด้วย ทุกคนต่างดำเนินงานตามค่านิยมของกลุ่มบริษัทฯ ที่ว่า ‘ซื่อสัตย์ โปร่งใส ใส่ใจในทุกปัญหา สร้างความเชื่อมั่นและรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย’ ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในที่นี้ครอบคลุมทั้งเกษตรกร สังคม และสิ่งแวดล้อม
คำบอกเล่าของทั้ง 4 คน อาจไม่ใช่เสียงที่สะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ของวิกฤตโรค CMD ระบาดหนักในประเทศไทยได้ แต่คำบอกเล่าเหล่านี้จะช่วยฉายภาพให้เห็นว่าการที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตัดสินใจร่วมมือฝ่าฟันปัญหาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คือหนทางที่นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทยอย่างยั่งยืนได้
ด้วยความระลึกถึง ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ และ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ผู้อุทิศทั้งกำลังกายและใจช่วยเหลือประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตโรค CMD จนวาระสุดท้ายของชีวิต
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย สวทช. และบริษัทพูลอุดม จำกัด
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ล้ำไปอีก ! “SEESOLAR” โซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตร ลดรังสียูวี-กระจายแสงดี-สะท้อนความร้อน พืชไม่ถูกแดดเผา เราได้ไฟฟ้าใช้
โซลาร์เซลล์เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหารอย่างเช่นทุกวันนี้ จากเดิมมีการใช้โซลาร์เซลล์ใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่ปัจจุบันล้ำไปอีกขั้นเมื่อนักวิจัยพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์ที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชด้วยนวัตกรรมลดรังสียูวี กระจายแสงดี และสะท้อนรังสีความร้อน เหมาะสำหรับติดตั้งเป็นหลังคาโรงเรือนหรือแปลงเกษตร ช่วยปกป้องพืชผักไม่ให้ถูกแดดเผาและยังให้ผลผลิตคุณภาพดี ส่วนเกษตรกรได้ผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงเรือน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาแผงโซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตร หรือ AgriPV (Agricultural photovoltaics) ที่มีสมบัติกึ่งส่องผ่านแสง สามารถคัดกรองรังสีอัลตราไวโอเลตหรือยูวี (UV) สะท้อนรังสีอินฟราเรด และมีการกระจายแสงที่ดี เหมาะสำหรับติดตั้งเป็นหลังคาโรงเรือน หรือประยุกต์ใช้ในพื้นที่ทำการเกษตร ได้ทั้งผลิตกระแสไฟฟ้าและช่วยเพิ่มผลผลิตจากการเพาะปลูก สร้างความยั่งยืนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_60027" align="aligncenter" width="750"] ดร.ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. กล่าวว่า จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ หลายพื้นที่เกิดความแห้งแล้ง โดยเฉพาะพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร เกิดโรคระบาดและศัตรูพืชเพิ่มขึ้น ผลผลิตต่อพื้นที่ลดลงและคุณภาพของอาหารแย่ลง ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน โดยที่ผ่านมาพบว่าในสภาวะที่อากาศร้อนจัด พืชผักจะเจริญเติบโตได้ไม่ดี ผลผลิตต่ำ และมีราคาสูงขึ้นถึง 40% ทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้คือการปลูกพืชในโรงเรือนที่ควบคุมสภาพอากาศให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิดได้ และยังเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องกังวลถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศภายนอกโรงเรือน
[caption id="attachment_60028" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบปลูกผักสลัดภายใต้แผง SEESOLAR ที่พัฒนาโดยนักวิจัย ENTEC สวทช.[/caption]
ปัจจุบันการประยุกต์ใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์ร่วมกับภาคการเกษตรไว้ในพื้นที่เดียวกันหรือ Agrivoltaics มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถลดผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยที่ยังคงประสิทธิภาพผลผลิตและลดต้นทุนในกิจการด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนและมีแสงแดดจัดตลอดเกือบทั้งปี การปลูกพืชใต้แผงโซลาร์เซลล์แบบมาตรฐานทั่วไปที่ทึบแสงจะทำให้เกิดเงามืดบนบริเวณเพาะปลูก ส่วนการใช้แผงโซลาร์เซลล์แบบกึ่งส่องผ่านแสงที่มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์จะทำให้แสงและความร้อนผ่านแผงได้มาก
[caption id="attachment_60031" align="aligncenter" width="750"] SEESOLAR โซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตรที่มีจุดเด่นช่วยลดรังสียูวี กระจายแสงดี สะท้อนความร้อน และยอมให้แสงช่วง PAR ส่องผ่านได้สูง[/caption]
“รังสียูวีทำให้พืชออกดอกออกผลได้ไม่ดี ส่วนรังสีความร้อนก็ทำให้พืชเหี่ยวเฉา เป็นผลให้พืชชะงักการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ไม่ดี ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาแผงโซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตรแบบใหม่ เรียกว่า SEESOLAR (ซีโซลาร์) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นตรงที่ให้แสงส่องผ่านแผงโซลาร์เซลล์ได้ ทำให้พืชได้รับแสงในปริมาณที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต และจุดเด่นที่สำคัญของ SEESOLAR คือมีชั้นฟิล์มคัดกรองรังสียูวี ทำให้รังสียูวีส่องผ่านได้เพียง 17.5% เมื่อเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์กึ่งส่องผ่านแสงทั่วไปที่มีค่าการผ่านแสงรังสียูวีถึง 45.5% นอกจากนี้ฟิล์มยังมีสมบัติการกระจายแสงที่ดี ทำให้พืชเจริญเติบโตได้สม่ำเสมอ และสะท้อนรังสีความร้อนได้ 12% เปรียบเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์กึ่งส่องผ่านแสงทั่วไปที่สะท้อนได้เพียง 6% จึงช่วยลดอุณหภูมิภายใต้โรงเรือนเกษตรหรืออาคาร อีกทั้งยังยอมให้แสงช่วง Photosynthetically Active Radiation (PAR) ส่องผ่านได้สูง ซึ่งมีเป็นช่วงแสงที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช ทำให้เราเพาะปลูกพืชควบคู่ไปกับการผลิตไฟฟ้าได้” ดร.ทวีวัฒน์ อธิบาย
[caption id="attachment_60032" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบปลูกผักสลัดภายใต้แผง SEESOLAR ที่พัฒนาโดยนักวิจัย ENTEC สวทช.[/caption]
ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ทดลองปลูกผักสลัดภายใต้แผง SEESOLAR เปรียบเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ชนิดอื่นและฟิล์มโรงเรือน พบว่าผักสลัดที่ปลูกใต้แผง SEESOLAR มีรสชาติหวาน กรอบ และมีความชุ่มน้ำ มีรสขมน้อยกว่า ผักสลัดที่ปลูกใต้แผงโซลาร์เซลล์ชนิดอื่นและฟิล์มโรงเรือน
นวัตกรรม SEESOLAR ใช้ได้กับทั้งแปลงปลูกพืชขนาดเล็กหรือโรงเรือนเพาะปลูกขนาดใหญ่โดยติดตั้งเป็นหลังคาโรงเรือน ส่วนไฟฟ้าที่ผลิตได้นำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือน เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้น นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้ได้กับฟาร์มปศุสัตว์ ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมถึงอาคารบ้านเรือน เช่น ติดตั้งเป็นหลังคาโรงรถ กันสาด ป้องกันรังสียูวีและรังสีความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน
[caption id="attachment_60030" align="aligncenter" width="750"] ผลการทดลองปลูกผักสลัดภายใต้แผง SEESOLAR เปรียบเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ชนิดอื่นและฟิล์มโรงเรือน[/caption]
“เมื่อเปรียบเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์อื่น ๆ SEESOLAR ของเรามีจุดเด่นคือสามารถคัดกรองรังสียูวีกระจายแสงดี และสะท้อนรังสีความร้อนได้ ให้แสงที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช เหมาะสำหรับใช้ในการเกษตร มีความแข็งแรงและน้ำหนักเท่ากับแผงมาตรฐานทั่วไป แล้วก็ผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอต่อการเพาะปลูก โดยปัจจุบันตลาดโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยมีมูลค่าของแผงโซลาร์เซลล์ประมาณ 3.9 พันล้านบาท ซึ่งเราคาดว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 5% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 245 ล้านบาทภายในปี 2028” ดร.ทวีวัฒน์ กล่าว
[caption id="attachment_60029" align="aligncenter" width="750"] SEESOLAR เหมาะสำหรับติดตั้งเป็นหลังคาโรงเรือนเพาะปลูก ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช และผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงเรือน[/caption]
ทั้งนี้ นักวิจัยได้ยื่นจดสิทธิบัตรแผงเซลล์แสงอาทิตย์กรองรังสีอัลตราไวโอเลตและสะท้อนรังสีอินฟราเรดแบบใกล้เพื่อติดตั้งบนหลังคาโรงเรือนแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบมาตรฐานแผงโซลาร์เซลล์และทดสอบการประยุกต์ใช้งานกับโรงเรือนปลูกพืช
ผู้สนใจร่วมวิจัยพัฒนาหรือรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ติดต่อได้ที่ ดร.ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2717 หรืออีเมล taweewat.kra@entec.or.th
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ENTEC สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : ‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตให้บริการวินิจฉัยโรคด้วย AI ยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที ให้บริการฟรีผ่านแอปพลิเคชันไลน์
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
วันที่ 12 สิงหาคม นอกจากจะเป็นวันแม่แห่งชาติแล้ว ยังเป็นวันเริ่มต้นทำนาแบบนาปีของคนไทย ดังคำที่ว่า 'ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ' (12 สิงหาคม - 5 ธันวาคม ระยะเวลาประมาณ 120 วัน สอดคล้องกับระยะเวลาการโตของต้นข้าว) เพราะช่วงเดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่มีน้ำฝนตามธรรมชาติมาให้ชาวนาได้ใช้ในการเพาะปลูกข้าวเพื่อลดการพึ่งพิงระบบชลประทาน
โดยหากขณะทำนา เกษตรกรบังเอิญพบเจอความผิดปกติของต้นข้าว สวทช. ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนา 'บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)' แชตบอตบริการวินิจฉัยโรคข้าวด้วย AI ไว้แล้ว เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้าน #การตรวจสอบโรคข้าว #พร้อมให้คำแนะนำวิธีรับมือที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที แก่เกษตรกร การใช้งานบอทโรคข้าวทำได้ง่ายเหมือนแชตไลน์คุยกับเพื่อน ที่สำคัญใช้งานฟรี 24 ชั่วโมง
📌 2) ดีอย่างไร ?
‘บอทโรคข้าว’ ผ่านการออกแบบให้ใช้งานง่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งเกษตรส่วนใหญ่ต่างใช้งานจนคุ้นเคยเป็นทุนเดิม วิธีใช้งานคือ เมื่อเกษตรกรพบเห็นความผิดปกติของต้นข้าวในแปลงนา ให้ถ่ายรูปรอยโรคแล้วส่งรูปเข้าหน้าแชต จากนั้นระบบจะวินิจฉัยโรคด้วย AI แล้วตอบผลการวิเคราะห์พร้อมให้คำแนะนำในการควบคุมโรคภายใน 3-5 วินาที ช่วยให้เกษตรกรประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรค นอกจากนี้ระบบยังใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยให้เกษตรกรมีความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น
📌 3) ตอบโจทย์อะไร ?
การที่เกษตรกรเข้าถึงเครื่องมือวินิจฉัยโรคข้าวที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยยับยั้งการลุกลามของโรคระบาดในพื้นที่และในภาพรวมของประเทศได้อย่างทันการณ์ ช่วยพลิกสถานการณ์จาก 'ทำมากแต่ได้น้อย' สู่ 'ทำน้อยแต่ได้มาก'
นอกจากนี้การที่ผู้พัฒนาเทคโนโลยีออกแบบแชตบอตโดยคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นเกษตรกรตั้งแต่ต้น ทำให้เทคโนโลยีนี้มีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการทำการเกษตรแบบสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี และยังเป็นสัญญาณดีของการที่ประเทศไทยเริ่มให้ความสำคัญในประเด็น digital inclusion หรือการที่คนไทยทุกคนควรเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้นด้วย
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ?
ให้บริการเทคโนโลยีแล้ว เข้าร่วมกลุ่มแชตบอตได้ผ่านการสแกนเพื่อแอดไลน์
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคเพื่อยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เกษตรกรกดไลก์ ! นักวิจัยส่ง “DAPBot” แพลตฟอร์มช่วยปราบศัตรูพืชผ่านไลน์ คู่คิดติดปลายนิ้วคนเกษตร
นักวิจัย สวทช. พัฒนา “DAPBot” แพลตฟอร์มสุดปัง ช่วยจำแนกศัตรูพืช วินิจฉัยโรคพืช พร้อมแนะนำการใช้ชีวภัณฑ์ที่ถูกต้องและถูกเวลา รวมทั้งยังชี้เป้าแหล่งจำหน่ายชีวภัณฑ์คุณภาพดีจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือได้ ทำให้ปราบศัตรูพืชได้อยู่หมัด ส่วนวิธีใช้งานก็ง่ายมากเพียงแอดไลน์ @dapbot เสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวคอยตอบทุกปัญหาการเพาะปลูกภายใน 24 ชั่วโมง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาแพลตฟอร์มสนับสนุนการจำแนกศัตรูพืชและการเข้าถึงชีวภัณฑ์เกษตรในรูปแบบ Line Official หรือ DAPBot (แดปบอท) ให้เป็นผู้ช่วยเกษตรกรจำแนกแมลงศัตรูพืช วินิจฉัยโรคพืช และเข้าถึงแหล่งชีวภัณฑ์เกษตรที่น่าเชื่อถือได้ง่าย พร้อมทั้งแนะนำวิธีใช้ชีวภัณฑ์อย่างถูกต้องให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ทางการเกษตรทดแทนการใช้สารเคมี ยกระดับการผลิตสู่เกษตรปลอดภัยอย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_59454" align="aligncenter" width="750"] น.ส.เชษฐ์ธิดา ศรีสุขสาม ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
น.ส.เชษฐ์ธิดา ศรีสุขสาม ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่าจากประสบการณ์การวิจัยและทดสอบใช้ชีวภัณฑ์ในแปลงเกษตรร่วมกับเกษตรกรหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทยมากว่า 10 ปี พบว่าอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลต่อการยอมรับและการใช้ชีวภัณฑ์ของเกษตรกรคือการเข้าถึงชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เนื่องจากแหล่งจำหน่ายมีอยู่จำกัด เกษตรกรไม่ทราบแหล่งซื้อที่น่าเชื่อถือ ไม่มั่นใจในการสั่งซื้อออนไลน์ หรือซื้อมาแล้วใช้ไม่ได้ผล ทั้งที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานหรือใช้งานไม่ถูกวิธี อีกปัญหาหนึ่งคือเกษตรกรมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคและแมลงศัตรูพืช เช่น เข้าใจผิดว่าปัญหาในแปลงเกิดจากแมลงศัตรูพืช แต่จริง ๆ แล้วเกิดจากโรคพืช เชื้อรา หรือสาเหตุอื่น รวมถึงไม่รู้จักแมลงศัตรูพืชบางชนิด ทำให้แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ใช้ชีวภัณฑ์ไม่ถูกศัตรูพืช ใช้แล้วไม่ได้ผลตามที่ต้องการ จึงขาดความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และไม่กล้าใช้ต่อไป
“ทีมวิจัยพัฒนา DAPBot ขึ้นเพื่อเชื่อมต่อ 3 หัวใจหลักให้ถึงกัน คือ เกษตรกร นักวิชาการ และผู้ผลิตชีวภัณฑ์ ซึ่งจะต้องเป็นระบบที่เกษตรกรใช้งานได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ราคาแพงหรือต้องเรียนรู้ระบบแอปพลิเคชันใหม่ ๆ จึงออกมาเป็นรูปแบบไลน์ ซึ่งเป็นระบบที่เกษตรกรส่วนใหญ่คุ้นเคยอยู่แล้ว เกษตรกรที่เพิ่ม DAPBot เป็นเพื่อนในไลน์ก็จะเหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวในการวินิจฉัยโรคและแมลง พร้อมแนะนำวิธีแก้ปัญหาหรือวิธีใช้ชีวภัณฑ์ที่ถูกต้อง เช่น ใช้ชีวภัณฑ์ชนิดใด ปริมาณเท่าไหร่ ในช่วงเวลาใด โดยเราได้รวบรวมผู้ผลิตชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานมาไว้ในระบบให้เกษตรกร คือ ผู้ผลิตที่เป็นมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก สวทช. และผู้ประกอบการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร นอกจากนี้เกษตรกรยังตรวจสภาพอากาศได้ผ่านระบบ “DragonFly” จาก GISTDA เพื่อเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใช้ชีวภัณฑ์ให้ได้ผลมากที่สุด”
เกษตรกรใช้งาน DAPBot ง่าย ๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแค่แอดไลน์ @dapbot และลงทะเบียนสมาชิก จากนั้นก็เริ่มต้นวินิจฉัยโรคและแมลงศัตรูพืชได้ทันที โดยถ่ายภาพหรือส่งภาพโรคหรือแมลงที่สงสัยเข้าไปในระบบและรอแอดมินตอบภายใน 5 นาที หรือไม่เกิน 24 ชั่วโมง โดยทีมแอดมินที่ดูแลระบบเป็นทีมวิจัยซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านโรคและแมลง และยังมีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือนักวิชาการเกษตรช่วยตอบปัญหาของเกษตรกร ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืชเท่านั้น แต่ทุกปัญหาในแปลงเกษตรที่เกษตรกรมีข้อสงสัยก็สามารถถาม DAPBot ได้หมด เช่น ปัญหาเรื่องดิน น้ำ ปุ๋ย หรือสภาพอากาศ และในกรณีที่เกิดโรคแมลงศัตรูพืชระบาดหรือเกิดโรคอุบัติใหม่ในพื้นที่ใด จะมีการแจ้งเตือนไปยังเกษตรกรในพื้นที่นั้นทันที
นอกจากใช้งานง่ายและพร้อมตอบทุกข้อสงสัยของเกษตรกรแล้ว DAPBot ยังเป็นระบบสื่อสารแบบ 1 : 1 คือระหว่างแอดมินกับเกษตรเท่านั้น ช่วยให้เกษตรกรค้นหาข้อมูลย้อนหลังได้ง่าย มีความเป็นส่วนตัวและไม่ถูกรบกวนจากข้อความอื่นเหมือนกรณีกลุ่มไลน์ ปัจจุบันทีมวิจัยได้เปิดให้ใช้บริการ DAPBot มาแล้วเป็นเวลา 6 เดือน (มกราคม-กรกฎาคม 2567) มีเกษตรกรลงทะเบียนใช้งานแล้วมากกว่า 1,000 คน เช่น กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในภาคตะวันออก กลุ่มเกษตรกร 5 จังหวัดในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ และกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชผักปลอดภัยจังหวัดราชบุรี
อย่างไรก็ตาม DAPBot ยังเป็นระบบที่ดูแลการตอบคำถามโดยทีมแอดมิน จึงอาจต้องใช้เวลาตอบหลายนาทีหรืออาจหลายชั่วโมง แต่ในอนาคตจะทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งทีมวิจัยกำลังพัฒนาโดยใช้ AI เข้ามาช่วยประมวลผลภาพถ่ายเพื่อวินิจฉัยโรคและแมลง และตอบกลับเกษตรกรได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที รวมทั้งจะพัฒนาให้เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มการเกษตรอื่นของ สวทช. เช่น ไลน์บอทโรคข้าวและบอทโรคสตรอว์เบอร์รี
[caption id="attachment_59459" align="aligncenter" width="666"] ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
“ทีมวิจัยมุ่งหวังให้ DAPBot เป็นคู่คิดติดปลายนิ้วของเกษตรกร ช่วยให้เกษตรกรได้เรียนรู้พัฒนาทักษะการสังเกตและจำแนกชนิดของศัตรูพืชทั้งโรคและแมลง ใช้ชีวภัณฑ์ได้ถูกศัตรูพืชและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เข้าถึงชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้ง่าย สามารถเลือกใช้ชีวภัณฑ์แทนสารเคมีได้สะดวก ขณะเดียวกันผู้ประกอบการด้านชีวภัณฑ์เกษตรไทยได้ขยายตลาดให้กว้างยิ่งขึ้น และท้ายที่สุดทีมวิจัยอยากเห็นชีวภัณฑ์เกษตรค่อย ๆ เข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดสารเคมีมากขึ้น เกษตรกรใช้ชีวภัณฑ์อย่างแพร่หลาย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พึ่งพาสารเคมีน้อยลง เสริมสร้างความเข้มแข็งการใช้ชีวภัณฑ์ในประเทศอย่างยั่งยืน และยกระดับเกษตรกรรมไทยเป็นเกษตรปลอดภัยตามนโยบาย BCG” เชษฐ์ธิดากล่าว
DAPBot พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ เกษตรกรและประชาชนทุกคนที่ปลูกพืชทุกชนิดสนใจใช้งานสามารถแอดไลน์ @dapbot และสำหรับผู้ประกอบการชีวภัณฑ์เกษตรที่สนใจอยากเข้าร่วมเป็นเครือข่ายสามารถติดต่อทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช. โทร. 0 2564 6700 ต่อ 3378, 3364 อีเมล ibct.biotec@gmail.com และเพจเฟซบุ๊ก : ชีวภัณฑ์ไบโอเทค เพื่อผักผลไม้ปลอดภัย
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


