ผลการค้นหา :

สวทช. ส่ง 3 ชุดตรวจคัดกรอง ด้านเกษตรและสาธารณสุข นำ วทน. ช่วยแก้ไขปัญหาในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ก่อนประชุม ครม.สัญจรชัยภูมิ-นครราชสีมา
(30 มิถุนายน 2567) ณ วัดบางอำพันธ์ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ - นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.อว. น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัด อว.และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วมตรวจเยี่ยมการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ-นครราชสีมา ภายใต้การประชุม ครม.สัญจร กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์)
โดยมีนายอนันต์ นาคนิยม ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ชัยภูมิ เขต 3 น.ส.สุรีวรรณ นาคาศัย คณะที่ปรึกษานายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ผู้นำชุมชน ผู้นำเกษตรกรและประชาชนให้การต้อนรับและเข้าร่วมรับฟังนโยบายการนำงานวิจัย วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมมาแก้จน โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีหน่วยงานในกระทรวง อว. นำงานวิจัยและนวัตกรรมพร้อมใช้มาจัดแสดง ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก
โอกาสนี้ ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. ผศ.ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค ทีมนักวิจัยจาก สวทช. และเกษตรกรผู้ใช้งานจริงกับชุดตรวจโรคใบด่างฯ นายถาวร คัดวงษ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดชัยภูมิ และชุดตรวจโรคปลานิล นายนัยสิทธิ์ สังทองหลาง เกษตรกรผู้ใช้งานจาก จ.นครราชสีมา ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมนำเสนอผลงานวิจัยพัฒนาของ สวทช.ที่มีการนำมาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิและจังหวัดใกล้เคียง ประกอบด้วย ด้านเกษตร 2 ผลงาน คือ ชุดตรวจโรคปลานิล ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง และด้านสาธารณสุข คือ ชุดตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคไต
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. เผยว่าในวันนี้ สวทช. โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้นำชุดตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคไต จำนวน 500 ชุดมอบให้กับ รศ.ดร.พญ.ศิริรัตน์ อนุตระกูลชัย หัวหน้าโครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีท่านรัฐมนตรีกระทรวง อว.ได้ให้เกียรติเป็นประธานในการส่งมอบชุดตรวจฯให้กับหน่วยแพทย์ อว. เคลื่อนที่จากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ที่มาให้บริการตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่ ซึ่งโรคไตนับเป็นหนึ่งในโรคที่มีความเสี่ยงที่พบบ่อยในภาคอีสาน โดยมุ่งหวังให้ประชาชนในพื้นที่มีโอกาสได้เข้าถึงบริการสุขภาพ และมีสุขภาพที่ดีด้วย ขณะที่ ผศ.ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค เผยว่า สวทช. โดยไบโอเทค มีการนำ 2 ชุดตรวจด้านการเกษตร มานำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี อว. และเผยแพร่แก่เกษตรกรในพื้นที่ คือ ชุดตรวจอย่างง่ายในรูปแบบ Immunochromatographic strip test (ICG strip test) สำหรับตรวจวินิจฉัยเชื้อ Streptococcus agalactiae ในปลานิล และชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง คัดกรองโรคใบด่างฯ และท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นักวิจัยไบโอเทคโดยทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ พัฒนาขึ้นทั้ง 2 เทคโนโลยี เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของเกษตรกร และมีการขยายผลใช้งานแล้วทั่วประเทศ
ชุดตรวจอย่างง่ายในรูปแบบ Immunochromatographic strip test (ICG strip test) สำหรับตรวจวินิจฉัยเชื้อ Streptococcus agalactiae ในปลานิล เป็นชุดตรวจอย่างง่าย เกษตรกรสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง และสามารถนำไปตรวจในฟาร์มได้ มีความแม่นยำสูง มีความไวสูง สามารถตรวจเชื้อ S. agalactiae serotype Ia และ S. agalactiae serotype III ได้พร้อมกันในชุดตรวจเดียวแล้ว รวมถึงยังสามารถใช้ในการตรวจตัวอย่างที่หลากหลายในฟาร์มเพาะเลี้ยง สำหรับการเฝ้าระวังและจัดการควบคุมโรคสเตรปโตคอคโคซิส ในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลานิลและปลาทับทิม
ชุดตรวจโรคปลานิลมีการนำไปใช้จริงแล้วกว่า 2,500 ชุดตรวจในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยชุดตรวจมีราคาชุดละ 200 บาท ซึ่งถ่ายทอดเชิงพาณิชย์ให้กับผู้ผลิตแล้ว 1 ราย โดยวิธีการตรวจนี้ทดแทนการตรวจรูปแบบเดิมที่มีราคาชุดละ 800 บาท เรียกได้ว่าเป็นการช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร ทั้งนี้ จากที่มีการอบรมใช้ชุดตรวจใน 16 จังหวัดทั่วประเทศและในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พบว่า ชุดตรวจนี้สามารถเข้าถึงเกษตรกรได้เกือบ 500 รายแล้ว
ด้าน ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง คัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลัง และท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค เป็นชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test ที่มีหลักการทำงานคล้ายชุดตรวจโควิด-19 ใช้งานง่าย รู้ผลภายใน 15 นาที ซึ่งโรคใบด่างมันสำปะหลัง เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) เป็นโรคอุบัติใหม่ที่พบการแพร่ระบาดในพื้นที่เพาะปลูกในหลายจังหวัดของประเทศไทย สาเหตุสำคัญเกิดจากการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคใบด่างฯ มาปลูก ในกรณีที่ระบาดรุนแรงสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้ถึง 30 - 80 % ชุดตรวจนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคใบด่างฯ ในประเทศไทย รวมถึงการตรวจหาเชื้อในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดเชื้อ
สำหรับชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง มีการส่งมอบชุดตรวจให้กับทางภาครัฐและภาคเอกชนแล้วมากกว่า 5,000 ชุด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 500,000 บาท ซึ่งสามารถเข้าถึงเกษตรกรได้มากถึง 1,000 รายใน 21 พื้นที่ทั้งในและต่างประเทศ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)
และอีก 1 ชุดตรวจคือ ชุดตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคไต พัฒนาโดยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. ซึ่งได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาวัสดุระดับนาโนและการประยุกต์ใช้เป็นเซนเซอร์ทางด้านการแพทย์ มาพัฒนาเป็นชุดตรวจโรคไต สำเร็จแล้ว 2 เทคโนโลยี คือ AL-Strip และ GO-Sensor Albumin Test โดย ‘AL-Strip’ เป็นชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพที่ประชาชนทั่วไปใช้ตรวจคัดกรองโรคได้ด้วยตัวเอง ทราบผลตรวจได้ภายใน 5 นาที ที่สำคัญมีราคาจับต้องได้
ขณะที่ GO-Sensor Albumin Test เป็นชุดตรวจโรคไตเชิงปริมาณ เพื่อวิเคราะห์ผลทางการแพทย์ โดยมี 2 ส่วนหลักคือ เครื่องตรวจปริมาณอัลบูมินที่เจือปนอยู่ในปัสสาวะ ใช้เวลาประมวลผลเพียง 10-30 นาที ภายหลังเครื่องประมวลผลเสร็จ ระบบจะส่งข้อมูลเข้าแดชบอร์ดที่แพทย์นำผลตรวจไปใช้งานต่อได้สะดวก ส่วนที่สองคือ น้ำยาตรวจที่มีความจำเพาะกับอัลบูมินของมนุษย์ มีความไว (sensitive) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจทั่วไปประมาณ 100 เท่า ช่วยลดปริมาณน้ำยาที่ใช้ตรวจได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญมีราคาที่สถานพยาบาลขนาดเล็กสั่งซื้อเพื่อใช้งานได้ และเหมาะใช้ตรวจในสถานพยาบาลและออกตรวจนอกสถานที่เพื่อความคล่องตัว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

อว. เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับภูมิภาค เน้นพัฒนาและจัดการทักษะการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม พร้อมหนุนธุรกิจ Startups
(วันที่ 27 มิถุนายน 2567) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานปลัดกระทรวง อว. และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ STS forum และ The Japan External Trade Organization (JETRO) ประเทศญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน The 8th STS forum ASEAN-JAPAN WORKSHOP: for the next 50 years of ASEAN-JAPAN Science and Technology Cooperation โดยได้รับเกียรติจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม(นางสาวศุภมาส อิศรภักดี) ร่วมกล่าวเปิดการประชุม ณ โรงแรมโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
นางสาวศุภมาส ได้ย้ำถึงความสำคัญของการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมนำทาง โดยจัดการประชุมผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับภูมิภาคThe 8th STS forum: ASEAN-Japan Workshop ในปีนี้ จัดในรูปแบบการเสวนา โดยผู้แทน ผู้เชี่ยวชาญ จากหน่วยงานไทย ญี่ปุ่น และอาเซียนเข้าร่วม ใน 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ “Strategy on AI Application” เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) รวมถึงการพัฒนาและการจัดการทักษะการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและยั่งยืน หัวข้อ “HRD on Green Talent for Industry and Research” ที่มุ่งให้ความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่เพื่อเตรียมพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ หัวข้อ “How to Naturing Start-ups” การส่งเสริมและการพัฒนาธุรกิจ Startups โดยการเรียนรู้จุดแข็งของญี่ปุ่นด้านการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมธุรกิจ start-ups ในอาเซียน การประชุมในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาภูมิภาคและความร่วมมือระหว่างประเทศของทั้งญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศอาเซียน
สำหรับ Science and Technology in Society forum (STS forum) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2004 และมีการประชุมใหญ่ประจำปี ณ กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายเดือนกันยายนเป็นประจำทุกปี เนื่องจาก “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีบทบาทสำคัญยิ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษย์” ดังนั้น STS forum จึงได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็น ‘เครือข่ายที่มีผู้นำจากหน่วยงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากทั่วโลกเข้าร่วม เพื่อเป็นกลไกริเริ่มการหารือและสร้างเครือข่ายแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ อันเป็นผลพวงจากการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน’
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอ็มเทค สวทช. ต่อยอด ‘Ve-Chick’ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช สู่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยพร้อมรับประทาน แค่ฉีกซอง ก็อิ่มอร่อยได้ทันที
‘อาหารดี’ ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อสิ่งแวดล้อม คือ เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาวะที่ดี (well-being) 3 ด้าน ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะบทบาทของอาหารแห่งอนาคตไม่ควรตอบโจทย์ได้เพียงความอิ่มอร่อย แต่ควรดีต่อร่างกาย และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเกินความจำเป็น นอกจากนี้หากมองในมุมเศรษฐกิจ อาหารไทยยังมีศักยภาพที่จะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ก่อให้เกิดเงินตราสะพัดในระบบ หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และการท่องเที่ยวของประเทศตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำได้อีกด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยความสำเร็จในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ Ve-Chick เนื้อไก่จากโปรตีนพืช สู่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยพร้อมรับประทานในรูปแบบซอง ที่แค่ฉีกเปิดซองก็อิ่มอร่อยได้ทันที ที่สำคัญผลิตภัณฑ์นี้พกพาสะดวก ไม่ต้องแช่แข็ง เก็บได้นานถึง 1 ปี
[caption id="attachment_57961" align="aligncenter" width="750"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า Ve-Chick เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลือง ที่ทีมวิจัยเปิดตัวผลงานและเปิดรับถ่ายทอดเทคโนโลยีครั้งแรกตั้งแต่ปี 2564 โดยผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบแรกที่เปิดตัว คือ รูปแบบ premix ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แบบผงสำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่รูปแบบต่าง ๆ ก่อนนำไปปรุงเป็นอาหาร และรูปแบบ precook ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่มีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อไก่พร้อมนำไปปรุงเป็นอาหารต่อทันที (ready-to-cook : RTC) และยังผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานในรูปแบบแช่แข็ง (frozen food) ที่เพียงแค่นำไปอุ่นร้อนก็อิ่มอร่อยได้ง่าย ๆ ไม่ต้องลงมือปรุงได้อีกด้วย
“ผลิตภัณฑ์ Ve-Chick ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีจุดเด่นด้านการมีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อไก่จริง แต่ปราศจากคอเลสเตอรอล และปลอดภัยจากสารเร่งการเจริญเติบโตที่อาจพบได้ในเนื้อไก่ ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์มาได้ประมาณ 3 ปี ทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการไปแล้ว 3 แห่ง คือบริษัทปรายา จำกัด, บริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด (จำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วในชื่อแบรนด์ Green Spoons) และบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด (จำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วในชื่อแบรนด์ Gin Zhai และ FoodFill)”
ทั้งนี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ve-Chick ทีมวิจัยไม่ได้มุ่งเป้าตอบโจทย์เพียงเทรนด์ ‘อาหารดี’ 3 ด้าน ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับ ‘ดีที่ 4 หรือดีต่อเวลา’ เพิ่มเติมด้วย โดยทีมวิจัยได้พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ Ve-Chick สู่ผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่เป็น ‘อาหารประเภทพร้อมรับประทาน (ready-to-eat : RTE)’ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบและมองหาความสะดวกสบายที่มากยิ่งขึ้น โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ประมาณการไว้ว่าในช่วงปี 2567-2569 ประเทศไทยจะมีปริมาณการจำหน่ายอาหารประเภทนี้เพิ่มขึ้นปีละ 3-4% และมีปริมาณการส่งออกอาหารประเภทนี้เพิ่มขึ้นปีละ 5-6%
ดร.กมลวรรณ เล่าว่า ขณะนี้ทีมวิจัยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชรูปแบบ RTE จนประสบความสำเร็จในระดับ TRL6-7 หรือพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการเรียบร้อยแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ Ve-Chick รูปแบบ RTE ที่พัฒนาขึ้นนี้ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารประเภทที่ฆ่าเชื้อด้วยเครื่องรีทอร์ต (retort) ซึ่งใช้แรงดันและอุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียสฆ่าเชื้อโรค โดยไม่ทำให้อาหารมีลักษณะเนื้อสัมผัสและกลิ่นรสที่เปลี่ยนแปลงไป และเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการรังสรรค์อาหารเมนูต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ รวมถึงเลือกใช้กรรมวิธีในการปรุงอาหารได้หลากรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เมนูผัด หรือแกงกะทิ ดังตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ทีมวิจัยพัฒนาไว้แล้วอย่าง ‘กะเพราไก่สับจากโปรตีนพืช’ และ ‘แกงเขียวหวานไก่จากโปรตีนพืช’
“Ve-Chick รูปแบบ RTE เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อใจ เพราะมีรสชาติที่อร่อยและเนื้อสัมผัสสมจริง เป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการลดหรือเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเนื้อไก่จากโปรตีนพืชสำหรับผลิตภัณฑ์ RTE มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 20 หรือเทียบเท่าเนื้อไก่ แต่มีปริมาณใยอาหารสูงกว่า และปราศจากคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องใช้ชีวิตแข่งขันกับเวลาอีกด้วย เพราะแค่ฉีกซองก็รับประทานได้ทันที หรือจะอุ่นร้อนเพื่อเสริมความอร่อยก็ได้เช่นกัน ผู้บริโภคสามารถซื้อผลิตภัณฑ์มาติดบ้านเตรียมไว้ล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องกลัวเสีย เพราะเก็บได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น ที่สำคัญกระบวนการผลิตและเก็บรักษาอาหารประเภทนี้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าอาหารจากเนื้อไก่จริง”
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่ต้องกังวลเรื่องการลงทุนเครื่องจักรราคาสูง เพราะกระบวนการผลิตทั้งหมดผ่านการวิจัยและพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘ผู้ประกอบการไทยในระดับ SME ต้องเข้าถึงได้’
ดร.กมลวรรณ อธิบายว่า วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต Ve-Chick รูปแบบ RTE เป็นวัตถุดิบที่หาซื้อได้ทั่วไปในประเทศ ส่วนเครื่องจักรที่ใช้ผลิตก็เป็นเครื่องจักรราคาจับต้องได้ที่ใช้งานอยู่ทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหารไทย ดังนั้นหากผู้ประกอบการยังไม่มีเครื่องจักรเป็นของตนเองและไม่พร้อมจะลงทุน ก็สามารถจ้างโรงงานผลิตอาหารทั่วไปในการผลิตได้
“ทั้งนี้เทรนด์อาหารดีที่ดีต่อทั้งใจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเวลา ไม่ได้เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น Ve-Chick รูปแบบ RTE อาจเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยนำเมนูอาหารไทยไปสร้างซอฟต์พาวเวอร์ในระดับนานาชาติได้ เพราะปัจจุบันแม้จะเริ่มมีผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบ RTE จำหน่ายแพร่หลายแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์ RTE ที่เป็นอาหารโปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงยังคงมีน้อย ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังมีความต้องการสูง” ดร.กมลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Chick ทั้งแบบ premix, RTC, frozen food และ RTE ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณชนิต วานิกานุกูล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ประกอบการที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารติดต่อได้ผ่านแพลตฟอร์ม FoodSERP สวทช. อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

UNESCO เข้าพบ “ศุภมาส“ รมว.การอุดมศึกษาฯ หารือประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล จริยธรรมของ AI การศึกษาในระดับอุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.67 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. และ ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ให้การต้อนรับและร่วมหารือกับนางซูฮยอน คิม (Soohyun Kim) ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพมหานคร และผู้แทนยูเนสโกประจำประเทศไทย เมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสิงคโปร์ ณ ห้องประชุม 3B อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัด อว.
นางสาวศุภมาส กล่าวถึงความพยายามของกระทรวง อว. ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษาโดยเฉพาะเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) และการใช้ AI เพื่อการพัฒนาประเทศ และได้กล่าวขอบคุณยูเนสโกและยูเนสโกประเทศไทย ที่ให้ความร่วมมือและการสนับสนุนกระทรวง อว. เป็นอย่างดีเสมอมา พร้อมให้คำมั่นที่จะสานต่อและขยายความร่วมมือกับยูเนสโกและยูเนสโกประเทศไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น และยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาการศึกษาในระดับอุดมศึกษา การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และประเด็นจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ด้าน นางซูฮยอน ได้กล่าวชื่นชมความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการส่งเสริมความเป็นเลิศทางการศึกษาและวิทยาศาสตร์รวมถึงความร่วมมือกับยูเนสโก ยูเนสโกมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางด้านการศึกษา พร้อมทั้งแสดงความสนับสนุนสำหรับโครงการความร่วมมือในอนาคต นอกจากนี้ การหารือยังครอบคลุมถึงความร่วมมือในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การเสริมสร้างศักยภาพ และการส่งเสริมการศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) อีกด้วยการหารือสิ้นสุดลงด้วยการตกลงร่วมกันในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างยูเนสโกและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าและนวัตกรรมในภูมิภาคต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดเวทีรับฟังความเห็น ต่อการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน ปักหมุดไทยจัดตั้ง Food Bank ระดับประเทศ เกิดขึ้นจริง ยั่งยืน และเหมาะสมกับบริบทไทย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. จัดเวทีประชุมรับฟังความเห็น (Public Hearing) ต่อแนวทางการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน หรือ Food surplus ของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งธนาคารอาหารแห่งชาติของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) เมื่อ 26 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพฯ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ ทั้งในส่วนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนผู้บริจาคอาหาร ภาคการศึกษา และชุมชนหรือผู้แทนชุมชนผู้รับบริจาคอาหาร ซึ่งเข้าร่วมมากถึง 12 ชุมชนจากทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์จิตอาสาเพื่อมวลชน จ.นครสวรรค์ เครือข่ายผู้นำชุมชนเขตลาดพร้าว เป็นต้น โดยในงานมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 60 คน เพื่อร่วมระดมความคิดเห็น ให้ข้อเสนอแนะ จัดทำเป็นนโยบายภาพรวม พร้อมชูมาตรการส่งเสริมทางภาษี และการส่งเสริมเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน Carbon Footprint / Carbon Credit จากขยะอาหาร เพื่อหมุดหมายโครงการสู่การจัดตั้ง Thailand’s Food Bank ให้เกิดขึ้นได้จริง ยั่งยืน และเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
ดร.นวลวรรณ สงวนศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์องค์กร สวทช. กล่าวว่า จากที่ได้มีการเปิดตัว “โครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank): การบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน คำตอบในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ณ โรงเรียนคลองทรงกระเทียม เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ ที่ สวทช. ร่วมกับมูลนิธิ SOS ได้รับการสนับสนุนจาก สวก. และหน่วยงานพันธมิตรจัดขึ้น นำมาสู่เวทีเปิดรับฟังความเห็น (Public Hearing) ต่อแนวทางการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน หรือ Food surplus ของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งธนาคารอาหารแห่งชาติของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) ในวันนี้ ซึ่งเป็นการดำเนินงานภายใต้โครงการ “การศึกษาแนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกินหรือ Food surplus (กรณีศึกษาพื้นที่นำร่อง กทม. และ ต่างจังหวัด)” เพื่อช่วยแก้ไขในเรื่องปัญหาการสูญเสียอาหารหรือขยะอาหาร ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารของประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเหมาะสม โดยการรับฟังความเห็นครั้งนี้มีผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมกับ SOS เข้าระดมความคิดเห็นกว่า 60 คน เพื่อนำไปจัดทำเป็นแนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกินของประเทศไทย สู่การจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศต่อไป
ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบาย สวทช. หัวหน้าโครงการการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย กล่าวว่า โครงการการศึกษาแนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน หรือ Food surplus ได้ทำการศึกษาและทบทวนกฎระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือกลไกสนับสนุน รวมถึงข้อเสนอแนะเพื่อการขยายผล ซึ่งส่วนหลังเป็นหนึ่งในที่มาของการประชุมรับฟังความเห็นวันนี้ โดยจุดสำคัญของอาหารส่วนเกิน พบว่า 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตขึ้นมา จะถูกทิ้ง ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรที่ใช้ในการผลิต รวมถึงยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศด้วย ที่ผ่านมาโครงการฯ ได้มีการพยายามพัฒนาแนวทางการบริจาคอาหารส่วนเกินออกมาให้เหมือนกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี มาตรการด้านคาร์บอน เพื่อส่งเสริมการบริจาคอาหารส่วนเกินให้กับ Food Bank เหมือนเช่นในหลาย ๆ ประเทศ ทั้งในเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์และคาร์บอนเครดิต ซึ่งการมีคาร์บอนเครดิตกับการบริจาคอาหารส่วนเกิน อยากเห็นภาพของ Food Bank ในประเทศไทยที่ขายคาร์บอนเครดิตจากการลดปริมาณขยะอาหาร ดังที่เกิดขึ้นจริงแล้วในประเทศเม็กซิโก ซี่งจะช่วยพลิกโฉมการดำเนินงาน Food Bank จากเดิมในรูปแบบการกุศล เป็นการขายคาร์บอนเครดิตที่ทำให้มีโอกาสเลี้ยงดูตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานในส่วนนี้ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ (audit) ที่จะเกิดขึ้นด้วย โดยข้อเสนอแนะมาตรการ 2 ด้านที่จะสนับสนุนคือ มาตรการภาษี และคาร์บอนเครดิต นับเป็นแนวทางเพื่อให้การจัดตั้ง Food Bank เกิดขึ้นได้จริงและไปต่อได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น
“สวทช. มีเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินในหลายส่วน อย่างแพลตฟอร์มดิจิทัลแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ ของเนคเทค ที่นำไปเชื่อมต่อกับระบบ Cloud Food Bank ของมูลนิธิ SOS เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการรับบริจาคให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น กรมอนามัยฝากเรื่องโภชนาการกับการบริจาคอาหารให้เด็ก ต่อไปทุกอย่างจะบรรจุในแพลตฟอร์มนี้ เป็นต้น ขณะที่ในเรื่องมาตรการด้านคาร์บอน สวทช. มีเอ็มเทค ดูแลเรื่องฐานข้อมูลการปล่อยคาร์บอน เรากำลังจะทำโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์อาหารส่วนเกินที่ได้กอบกู้มา ซึ่งจะมีประโยชน์และแรงจูงใจต่อผู้บริจาคในการไปบอกกับสังคมได้ว่า การบริจาคครั้งนี้ลดการปล่อยคาร์บอนไปเท่าไร และในอนาคตอาจจะใช้จุดนี้ทำเงินบางส่วนได้ด้วย”
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ที่ปรึกษาโครงการวิจัย และนักวิชาการอิสระ กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการบริจาคอาหารส่วนเกินคือ การสร้างเครือข่าย โดยเป็นเครือข่ายความร่วมมือกับผู้บริจาคกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนพันธมิตรผู้บริจาคมากกว่า 1,200 แบรนด์ (ปี 2567) ซึ่งเป็นเรื่องลำดับแรก ๆ ที่ต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดการบริจาคอย่างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงยังควรให้ความสำคัญกับอาหารที่ไปถึงมือผู้รับ นอกเหนือจากปริมาณที่เพียงพอแล้ว ยังต้องมีโภชนาการอาหารที่ครบ 5 หมู่ด้วย จุดนี้ต้องหาแนวทางร่วมกันต่อไป นอกจากนี้ ยังมองว่าด้วยพื้นฐานคนไทยมีจิตใจชอบบริจาคและให้ทานกันเป็นทุนเดิม แต่อาจจะยังขาดในเรื่องช่องทางที่ให้บริจาค จึงควรมีการสื่อสารและแรงจูงใจต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้ที่อยากบริจาคมากยิ่งขึ้น
จากนั้นที่ประชุมได้เปิดเวทีให้มีการระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อแนวทางในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินในบริบทของประเทศไทย โดยมีผู้แทนจากหลายภาคส่วนได้ให้ข้อคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ทั้งในเรื่องของการสร้างความตระหนักรู้ถึงคำว่าอาหารส่วนเกิน ที่ไม่ใช่อาหารเหลือ แต่เป็นเพียงอาหารที่จำหน่ายไม่หมด ซึ่งยังมีคุณภาพที่ทานได้ หรือในเรื่องของโลจิสติกส์ที่เป็นระบบการจัดการการส่งอาหาร อยากให้มีจุดพักอาหารหรือมีห้องเย็นที่เก็บอาหารไว้ได้ ขณะที่ตัวแทนมูลนิธิ SOS ได้เสนอว่า อยากให้หน่วยงานของภาครัฐร่วมแชร์ข้อมูลพื้นที่ตั้งของกลุ่มเปราะบางว่าอยู่ที่ใดบ้าง เพราะการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเครือข่ายต่าง ๆ ร่วมกันจะทำให้ SOS สามารถนำอาหารไปส่งได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และลดค่าใช้จ่ายในด้านค่าน้ำมันขนส่งได้ด้วย
นอกจากนี้ มีการเสนอว่าอาจจะหาแนวทางหรือมาตรการจูงใจให้บริษัทหรือหน่วยงานด้านโลจิสติกส์ เช่น ไปรษณีย์ บริษัทขนส่ง อย่างการลดหย่อนภาษี เพื่อให้ผู้รับอาหารสามารถรับได้ใกล้และสะดวกที่สุดได้ รวมถึงยังมีผู้แทนจากหน่วยงานให้บริจาคเสนอว่า มาตรการภาษีจะเป็นแรงจูงใจสำหรับเอกชน เพราะ BOI มีกลไกการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชน ถ้า Food surplus เข้าไปเชื่อมต่อมาตรการตรงนี้ได้จะเป็นการดีอย่างมาก เช่น การบริจาครถสำหรับขนส่ง และให้เอกชนที่บริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น เหล่านี้นับเป็นเพียงบางส่วนของการสะท้อนมุมมองข้อคิดเห็นต่อการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทยให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งหัวหน้าโครงการฯ กล่าวปิดท้ายอย่างมุ่งมั่นว่า โครงการฯ จะเดินหน้าต่อไปอย่างแน่วแน่ โดยเร็ว ๆ นี้จะขยายไปในพื้นที่เขตภาคอีสาน และจะมีการขยายผลต่อไปในทุกภาคส่วนกิจกรรม รวมถึงขยายเครือข่ายความร่วมมือมากยิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยมีธนาคารอาหารแห่งชาติและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

กระทรวง อว. – กระทรวงอุตฯ จับมือพัฒนายกระดับมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ดึงความเชี่ยวชาญ สวทช.- สมอ. วิเคราะห์ทดสอบยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง หนุนนโยบายรัฐบาล ดันไทยเป็น EV Hub ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.67 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) และ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม (อก.) และ น.ส.หวัง ซือ ซือ เลขานุการ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานและกล่าวแสดงความยินดี ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการพัฒนายกระดับมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้า ระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ด้านการวิเคราะห์ทดสอบยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ของศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (Thailand EV Center of Excellence: TECE) ระหว่าง สวทช. กับ China Automotive Engineering Research Institute (CAERI) โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผอ.สวทช. และนายวีรพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย รองเลขาธิการ สมอ. ลงนามในบันทึกความร่วมมือชุดแรก และ ผอ.สวทช. ร่วมกับ นายโจหยูหลิน (Mr. Zhou Yu Lin) Chairman and Party Secretary of China Automotive Engineering Research Institute (CAERI) ร่วมลงนามในบันทึกชุดที่สอง พร้อมกันนี้ มีนายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. ผู้แทนหน่วยงานรัฐ และเอกชน เข้าร่วม ที่ห้องแถลงข่าวชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ
น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของกระทรวง อว. โดย สวทช. และกระทรวง อก. โดย สมอ. เป็นการทำงานร่วมกันในการพัฒนายกระดับมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล และสอดรับกับเป้าหมายการพาประเทศไทยไปสู่ Carbon Neutrality โดยกระทรวง อว. มีนโยบาย “อว. for EV” ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ 1.การพัฒนาบุคลากรด้านอีวี (EV-HRD) 2.การเปลี่ยนผ่านจากการใช้รถยนต์ไอซีอีมาเป็นอีวีในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานในกระทรวง (EV-Transformation) และ 3.การวิจัยพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในอีวี(EV-Innovation)
“สวทช. ในฐานะหน่วยงานในกระทรวง อว. มีบทบาทสำคัญในการทำงานสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์มากว่า 20 ปี ได้ขานรับนโยบายของ อว. for EV โดยบูรณาการการทำงานของ สวทช. ทั้งการวิจัย พัฒนากำลังคน ให้คำปรึกษา และบริการวิเคราะห์ทดสอบ โดยจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย Thailand EV Center of Excellence หรือ TECE เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโนบายของกระทรวง อว. เพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมอีวี โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น EV Hub ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” น.ส.ศุภมาส กล่าว
น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า กระทรวง อก. มีความยินดีในความร่วมมือกับกระทรวง อว. ในทุกด้านเพื่อร่วมผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของไทย ก้าวสู่ความเป็นศูนย์กลางของอาเซียนตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งดิฉันเชื่อว่าด้วยศักยภาพของ สมอ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินงานด้านมาตรฐานของประเทศ ได้บูรณาการความร่วมมือกับ สวทช. ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ประกอบกับศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ที่กระทรวง อก. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ จะร่วมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้เกิดผลสำเร็จได้ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ สร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ และทำให้ไทยสามารถรักษาความเป็นผู้นำด้านยานยนต์อันดับ 1 ในอาเซียน และ 1 ใน 10 ของโลก รวมทั้งสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการลดก๊าซเรือนกระจก และก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 ด้วย
ศ.ดร.ชูกิจ กล่าวว่า นี่คือโอกาสอันสำคัญในการเดินหน้าความร่วมมือกันระหว่าง สวทช.และ สมอ. ในการพัฒนายกระดับมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ การส่งเสริมให้เกิดการสนับสนุนการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้า และสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าระหว่างกัน และอีกโอกาสสำคัญหนึ่งของสวทช. คือการเปิดตัวศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย หรือ TECE โดยศูนย์นี้ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้กระทรวง อว. ดำเนินการโดย สวทช. ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้าของไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้วยกลไกของ สวทช. และเครือข่ายพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในประเทศและสร้างความสามารถทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ศูนย์ TECE มีพันธกิจ 4 ข้อ ได้แก่ 1.ดำเนินการพัฒนางานวิจัยด้านชิ้นส่วนยานพาหนะไฟฟ้า และอุปกรณ์ความปลอดภัยในการใช้รถและถนนที่ร่วมกับผู้ประกอบการไทยเพื่อให้เกิดการผลิตในประเทศ 2.พัฒนากำลังคนเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้าในประเทศ 3.เชื่อมโยงเครือข่ายการให้บริการวิเคราะห์และทดสอบยานพาหนะไฟฟ้าและชิ้นส่วนร่วมกับพันธมิตรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ และ 4.บริการให้คำปรึกษาและจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเพื่อการออกแบบ และพัฒนาชิ้นส่วนยานพาหนะไฟฟ้าให้แก่ผู้ประกอบการไทย
นอกจากนี้ TECE ยังได้รับความร่วมมือจาก Chairman and Party Secretary of China Automotive Engineering Research Institute (CAERI) ซึ่งเป็นหน่วยงานชั้นนำด้านการวิเคราะห์ทดสอบยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีน อันเป็นอีกที่มาของพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ CAERI ในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนศูนย์ TECE ในเรื่องเทคโนโลยีการวิเคราะห์ทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาในอนาคต
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. กล่าวว่า สมอ. ยินดีที่ได้มีส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยตามนโยบายของรัฐบาล สมอ. ในฐานะสถาบันการมาตรฐานแห่งชาติ ได้กำหนดมาตรฐานเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว จำนวน 159 มาตรฐาน รวมทั้งดำเนินการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบมาตรฐานโลกแห่งแรกในอาเซียน รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก ซึ่งพร้อมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในปี 2569
นายโจหยูหลิน ประธานกรรมการ สถาบันวิจัยวิศวกรรมยานยนต์แห่งประเทศจีน - China Automotive Engineering Research Institute (CAERI) กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมการเจรจาและแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การมองหาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างต่างประเทศ และแสวงหาการวิจัยร่วมกัน โดยเฉพาะประเทศจีนได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากจีนมีเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าหลังจากการวิจัยและพัฒนายานยนต์มายาวนาน ในปี 2023 ที่ผ่านมา การผลิตและยอดขายรถยนต์ประจำปีของจีนพุ่งสูงขึ้นมาที่สุดในประวัติการณ์ ในปี 2023 จีนได้ผลิตรถออกมา 30 ล้านคัน และเป็นอันดับ 1 ของโลกในการส่งออกรถยนต์ โดยรถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วน 30% ของตลาด โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนนั้น ได้ผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกให้มีความร่วมมือกันระหว่างประเทศ เมื่อมองไปทั่วโลกนั้น การส่งเสริมนวัตกรรมด้วยความร่วมมือกันนั้นเป็นสิ่งสำคัญในยุคปัจจุบัน
“สถาบันฯ เป็นหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับนวัตกรรมยานยนต์ของจีน และ platform การบริการสาธารณะ โดยสถาบันฯ มีความสามารถ และมีการวิจัย พัฒนา สนับสนุนยานยนต์ในระดับสูง ซึ่งสถาบันฯ มีระบบทดสอบที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์มาอย่างดี มีการออกมาตรฐานและการทดสอบระดับอุตสาหกรรม ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันมีการออกเกณฑ์ประเมินแล้วทั้งหมด 523 เกณฑ์ นอกจากนี้สถาบันฯ ยังเป็นหน่วยงานที่ทดสอบ และมีการทำสัญญากับหน่วยงานระหว่างประเทศ TUV alliance, TUV-SUD, SGS และ การทดสอบของสถาบันฯ ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานมที่กำกับดูแลยานยนต์ประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ออสเตรเลีย อิหร่าน ไทย อินเดีย อุรุกวัย และอื่น ๆ ด้วย
“เราทราบเป็นอย่างดีว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย เป็นเสาหลักสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วน 1 ใน 10 ส่วนของ GDP และไทยมีความสามารถในการผลิตยานยนต์เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน และมีการผลิตมุ่งเน้นการส่งออกมากขึ้น เพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีความสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ”
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชาร์จแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนอย่างไรให้ใช้ได้ยืนยาว ?
หากต้องการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสามารถปฏิบัติดังนี้
• ไม่ควรใช้แบตเตอรี่จนหมด และต้องชาร์จจาก 0% บ่อยๆ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว
• การชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ข้ามคืนจะมีผลต่ออายุการใช้งานบ้างเล็กน้อยถึงน้อยมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์และระบบในการชาร์จ
• การชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มแล้วทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ใช้งานจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลานานควรชาร์จแบตเตอรี่ไว้เพียงครึ่งเดียว แต่ถ้าใช้งานเป็นประจำสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ แต่ควรใช้และชาร์จแบตเตอรี่สลับไปมาอย่างเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องให้แบตเตอรี่อยู่ในสถานะที่เต็มอยู่ตลอดเวลา
• ไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่และใช้งานพร้อมกัน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่คือ อุณหภูมิ กระแส และแรงดันในการชาร์จ ดังนั้นการชาร์จแบตเตอรี่ให้ปลอดภัย และถนอมแบตเตอรี่มีข้อแนะนำดังนี้
• เลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่ โดยเลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จที่ได้รับการรับรองว่าใช้กับอุปกรณ์นั้นๆ โดยเฉพาะ
• ไม่ควรใช้อุปกรณ์ที่ห่อหุ้ม (เช่น เคสมือถือ) ที่ไม่สามารถระบายความร้อนได้ หรือหากใช้ ควรเลือกใช้อุปกรณ์ห่อหุ้มที่สามารถระบายความร้อนได้บ้าง และไม่ควรวางอุปกรณ์พร้อมแบตเตอรี่ที่กำลังชาร์จในพื้นที่ปิดหรือไม่มีการระบายความร้อน เช่น ใต้หมอน ใต้ผ้าห่ม
• ไม่ชาร์จแบตเตอรี่ในสถานที่ที่มีความร้อนสูง เช่น ชาร์จทิ้งไว้กลางแดด
ข้อมูลจาก : ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.
อ้างอิงข้อมูลจาก MTEC
นานาสาระน่ารู้
บทความ

คณะกมธ. ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณสภาผู้แทนราษฎร พร้อม สส. ติดตามกระบวนการทำงบภาครัฐ พร้อมเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และงานวิจัยด้านเอไอ สวทช.
(วันที่ 25 มิถุนายน 2567) ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี : คณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณสภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) คณะที่ปรึกษาข้าราชการกลุ่มงานคณะกรรมาธิการฯ เข้าเยี่ยมชมและติดตามการบริหารงบประมาณของ สวทช. โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและนักวิจัย สวทช. ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปกระบวนการทำงบประมาณ ผลงานวิจัยพัฒนาที่ตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ พร้อมนำคณะฯ เยี่ยมชมหน่วยงาน
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ประธานคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า วัตถุประสงค์การนำคณะกรรมาธิการฯมาเยี่ยมชมในครั้งนี้ เพื่อทำความเข้าใจในกระบวนการทำงานและการจัดทำงบประมาณของ สวทช. เพื่อต้องการศึกษาและรวบรวมข้อมูลของหน่วยงานต่างๆในประเทศไทย นำมาปรับปรุงกระบวนการงบประมาณเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โอกาสนี้คณะกมธ. ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ได้เข้าเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของ สวทช. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเอไอ อาทิ ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC) ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงาน National Science and Technology Infrastructure (NSTI) ของ สวทช. เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยให้บริการระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (High Performance Computing: HPC) แก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ที่ต้องใช้เครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์เพื่อการคำนวณ (Computational Science) และเยี่ยมชมงานวิจัยด้านเทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) เช่น แพลตฟอร์มบริหารจัดการข้อมูลเปิดด้านการแพทย์ (Medical AI Data Platform) แพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทย (AI for Thai) และ Thai LLM ที่เกี่ยวข้องกับ Application chatbot เป็นต้น ทั้งนี้คณะกรรมาธิการฯ ยังมีความสนใจและสอบถามงานวิจัย สวทช. ด้านจีโนม ของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. การให้บริการที่ตอบรับอุตสาหกรรมด้านEV ของศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สวทช. (PTEC) และให้สนใจกับการวิจัยของ สวทช. ในรูปแบบ BCG Implementation อีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เนคเทค และเอ็มเทค ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร จัดสัมมนา NSTDA Green Economy ในหัวข้อ “แนวทางและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับโรงงานสู่การผลิตที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจสีเขียว
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยฝ่ายธุรกิจสัมพันธ์ ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และเครือข่ายพันธมิตร จัดสัมมนา NSTDA Green Economy ในหัวข้อ "แนวทางและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับโรงงานสู่การผลิตที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจสีเขียว" เพื่อเป็นเวทีถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ให้กับ ผู้ประกอบการหรือองค์กรที่กำลังวางแผนเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ กำลังยกระดับองค์กรสู่ "Carbon Neutrality" และ "Net Zero Emissions" ตลอดจนองค์กรที่มองหาโซลูชั่นที่ช่วยลดพลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจัดขึ้นภายในงาน NEPCON Thailand 2024 งานมหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีการประกอบและการวัดอันดับ 1 ในอาเซียน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยมีวิทยากรจาก สวทช. และเครือข่ายพันธมิตรร่วมนำเสนอในหัวข้อที่น่าสนใจ ดังนี้
การบรรยายหัวข้อ “เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) : ความท้าทายของอุตสาหกรรมการผลิตไทย” โดย นางสาวสมานลักษณ์ ตัณฑิกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
บรรยายหัวข้อ “แนวทางการปรับเปลี่ยนและยกระดับองค์กรสู่เศรษฐกิจสีเขียว” โดย ดร.วีรณัฐ โรจนประภา ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้าน ESG/SDGs Strategy สำหรับองค์กร บริษัท เดอะ ลาสต์ แมน สแตนดิง จำกัด
การบรรยายหัวข้อ “ประสบการณ์การปรับองค์กรสู่อุตสาหกรรมสีเขียว บริษัท ลูเมนตั้ม อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด” โดย ดร. ปรอง กองทรัพย์โต ผู้อำนวยการอาวุโส (Senior Director - Chief of Staff) บริษัท ลูเมนตั้ม อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
การบรรยายหัวข้อ “เทคโนโลยีสีเขียวเพื่อกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และโซลูชั่นพร้อมใช้” และ “ระบบฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกสำหรับธุรกิจ” โดย ดร.จิตติ มังคละศิริ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.
การบรรยายและแนะนำ เทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่อติดตามคาร์บอนและลดการใช้พลังงานสำหรับโรงงาน อาทิ แพลตฟอร์มไอโอทีและระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม (IDA) ระบบรวบรวม วิเคราะห์ และคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร (Dcarb) และ ระบบบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนสำหรับโรงงาน (EffRenew) โดย ดร.อัมพร โพธิ์ใย หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลดคาร์บอน ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช.
นอกจากนี้ นักวิจัย สวทช. ยังได้แนะนำการวิจัยพัฒนาโซลูชั่นสีเขียว พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร CFO และบริการของ สวทช. Services ในการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายในงานอีกด้วย
สำหรับงาน Nepcon Thailand 2024 มหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อันดับ 1 ของอาเซียน พบปะกับนักอุตสาหกรรมกว่า 10,000 รายจากทั่วภูมิภาค ซึ่งจะนำโซลูชั่นเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในสายการผลิตอย่างเต็มพิกัด ทำความรู้จักลูกค้าเป้าหมาย และนำธุรกิจของคุณให้ก้าวล้ำ และสัมมนา แบ่งปันองค์ความรู้และโอกาสในการเชื่อมสัมพันธ์ทางธุรกิจ โดยวิทยากรเป็นผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรที่ได้รับการยอมรับ บรรยายในหัวข้อที่ครอบคลุมหลากหลาย เพื่อกระตุ้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและอำนวยประโยชน์เพื่อต่อยอดในอนาคตให้แก่ผู้ผลิตในวงการอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 19 - 22 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 - 18.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

แกะกล่องงานวิจัย : ชีวภัณฑ์ NPV ปราบหนอนศัตรูพืชดื้อยา #หนอนเริ่มบุกอีกแล้วนะ เตรียมรับมือกันหรือยัง
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
มันสำปะหลัง เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยที่มีมูลค่าการส่งออกในปี 2565 มากกว่า 1.5 แสนล้านบาท แต่กระนั้นในปี 2567 นี้ เกษตรกรกลับต้องเผชิญกับอีกหนึ่งความท้าทายในการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เพราะศัตรูพืชตัวร้ายอย่าง ‘หนอนกระทู้หอม’ และ ‘หนอนกระทู้ผัก’ ได้บุกเข้ากัดกินจนต้นมันสำปะหลังได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกษตรกรตั้งรับได้ไม่ทัน ‘สารเคมี’ จึงกลายมาเป็นตัวเลือกแรกในการแก้ปัญหา
อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีไม่ได้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เพราะหนอนศัตรูพืชกลุ่มนี้มีการพัฒนาจนมีอัตราการดื้อยาค่อนข้างสูง ทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีในปริมาณที่มากขึ้น หรือต้องเปลี่ยนไปใช้สารชนิดใหม่ที่มีความรุนแรงกว่าเดิม ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านต้นทุนการผลิต และการเป็นอันตรายต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ในการนี้ สวทช. จึงขอเสนอชีวภัณฑ์ ‘ไวรัสเอ็นพีวี (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV)’ ไวรัสก่อโรคในหนอนแมลงให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการในการปราบหนอนศัตรูพืชดื้อยา โดยไวรัสชนิดนี้จะทำให้หนอนที่กินไวรัสเข้าไปป่วย กินอาหารได้น้อยลง และตายใน 5-7 วัน โดยไม่ทำให้เกิดการดื้อยา อีกทั้งยังไม่มีสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม
📌 2) ดีอย่างไร ?
ไวรัสเอ็นพีวีเป็นไวรัสที่มีความจำเพาะกับสายพันธุ์ของหนอน จึงไม่ก่อให้เกิดการทำลายระบบนิเวศเกินความจำเป็น ลดการสร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
การใช้งานทำได้ง่าย เพียงผสมไวรัสเอ็นพีวีกับน้ำสะอาดตามสัดส่วนที่กำหนดแล้วฉีดพ่นให้ทั่วใบตามความถี่ที่เหมาะสม ปัญหาหนอนบุกที่ต้องเผชิญอยู่จะค่อย ๆ ลดลงจนหายไปในที่สุด อย่างไรก็ตามยังคงต้องดูแลฉีดพ่นอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันหนอนที่ติดมาจากต้นพันธุ์ใหม่หรือแมลงจากที่อื่นบินมาวางไข่
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
ลดละเลิกการใช้สารเคมีอันตราย เพื่อสุขภาวะที่ดีของแรงงาน ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้อาศัยโดยรอบพื้นที่เพาะปลูก ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว จากการลดปริมาณสารกำจัดศัตรูพืช รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีทั้งทางตรงและทางอ้อม
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
ปัจจุบัน สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ NPV ให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด (06 4536 3549) และบริษัทบีไบโอ จำกัด (08 1806 1268) ผู้สนใจสามารถติดต่อบริษัทได้โดยตรง
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : รู้จัก-รู้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกา เวิร์กชอปพัฒนากิจกรรมและอุปกรณ์เรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบประหยัด ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ Frugal Science Academy, Georgia Institute of Technology สหรัฐอเมริกา จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง Engaging Students in Low-cost Experiments: Which Banana is this? (ในวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี โดยมีครูวิทยาศาสตร์เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด 27 คน
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวว่า แนวทางวิทยาศาสตร์แบบประหยัด (Frugal Science) ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างดียิ่ง โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลหรือโรงเรียนที่มีทรัพยากรจำกัด จะสามารถเรียนรู้และทดลองวิทยาศาสตร์ได้โดยไม่มีอุปสรรคด้านต้นทุน เพราะครูและนักการศึกษาได้พัฒนาและใช้เครื่องมือและวัสดุที่มีต้นทุนต่ำสำหรับการทดลองทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่สำคัญและให้นักเรียนเรียนรู้ได้อย่างสนุก นอกจากนี้ยังช่วยปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม กระตุ้นให้นักเรียนและครูคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาและทำการทดลอง ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในโลกปัจจุบันที่ต้องการส่งเสริมเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์และการแก้ไขปัญหาอย่างมีนวัตกรรม
Janet Standeven เป็นครูมัธยมศึกษา มากว่า 28 ปี ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการของ Frugal Science Academy, Gorgia Institute of Technology สหรัฐอเมริกา ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำให้วิทยาศาสตร์เข้าถึงได้ง่ายว่า เป้าหมายของสถาบันคือทำให้วิทยาศาสตร์เข้าใจง่ายสำหรับนักเรียนและแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ที่สำคัญสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยวัสดุและอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย โดยการพัฒนาชุดอุปกรณ์ที่ใช้วัสดุที่มีราคาไม่แพง แต่อาศัยหลักการทำงานตามหลักการทางวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ทำให้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้งานได้เทียบเท่าเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีขายทางการค้าทั่วไป ทำให้นักเรียนมีโอกาสทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้มากขึ้น มีประสบการณ์สำคัญได้เรียนรู้และเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ผ่านการลงมือทำด้วยตนเอง ซึ่งช่วยให้เข้าใจและจดจำได้ดีกว่าการเรียนแบบทฤษฎีเพียงอย่างเดียว
กิจกรรมที่ครูที่เข้าอบรมได้ลงมือทำ ได้แก่ การสกัดดีเอ็นเอจากกล้วย 4 ชนิด ได้แก่ กล้วยหอมทองปทุม กล้วยหอมคาเวนดิช กล้วยไข่ และกล้วยน้ำว้า เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบลายพิมพ์ดีเอ็นเอว่ากล้วยแต่ละชนิดจะมีลายพิมพ์ดีเอ็นเอเหมือนหรือต่างกันอย่างไร เริ่มจากการสกัดดีเอ็นเอจากกล้วยด้วยวิธีที่ต่างกัน 2 วิธี คือ สกัดด้วยวิธีแบบง่ายด้วยการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ทั่วไป และการสกัดโดยใช้อุปกรณ์ที่ชื่อว่า OpenCell ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบและประดิษฐ์ขึ้นจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) เพื่อช่วยทำให้เซลล์แตก และสามารถปรับเปลี่ยนหัวเหวี่ยงเพื่อใช้งานเป็นเครื่องปั่นเหวี่ยงตกตะกอน (Centrifuge) ได้ จากนั้นนำตัวอย่างดีเอ็นเอไปทำปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส (polymerase chain reaction; PCR) เพื่อสังเคราะห์ชิ้นส่วนดีเอ็นเอในหลอดทดลอง และนำมาวิเคราะห์ลายพิมพ์ดีเอ็นเอ ด้วยเทคนิค Gel electrophoresis โดยอาศัยหลักการเคลื่อนที่ของสารบนเจลภายใต้สนามไฟฟ้า เพื่อวิเคราะห์ลายพิมพ์ดีเอ็นเอของกล้วยแต่ละชนิดต่อไป
นอกจากนี้ นางสาวสุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล นักวิชาการอาวุโส และทีมนักวิชาการ จากฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ได้นำชุดอุปกรณ์จำลองหลักการแยกของสารบนเจลภายใต้สนามไฟฟ้า (Gel electrophoresis) ซึ่งเป็นชุดอุปกรณ์ที่คิดค้นขึ้นโดยคนไทย ประยุกต์มาจากกล่องพลาสติก ลวดอะลูมิเนียม และใช้วุ้นทำอาหารทดแทนวุ้นอะกาโรสที่มีราคาแพง มาร่วมสาธิตและให้ครูผู้เข้ารับการอบรมได้ทดลองวิเคราะห์แยกตัวอย่างสีผสมอาหารด้วยตนเอง เพื่อให้เข้าใจเทคนิคและหลักการของการแยกสารบนเจลภายใต้สนามไฟฟ้าซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่ใช้แยกดีเอ็นเอด้วยวิธี Gel electrophoresis ในห้องปฏิบัติการจริง โดยทีมนักวิชาการได้เคยนำชุดอุปกรณ์นี้มาใช้จัดกิจกรรมค่ายนิติวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนมาก่อนด้วย
นางสาวอำพร สิรวิกัย ครูผู้สอนวิชาชีววิทยา โรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่ากิจกรรมที่ได้ทำในครั้งนี้มีประโยชน์มาก และชอบแนวแนวคิดที่นำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาสร้างเป็นสื่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในรูปเครื่องมืออย่างง่ายซึ่งเหมาะสมกับประเทศไทยมาก เพราะเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นจะช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่มีเนื้อหาที่มีความซับซ้อนและเข้าใจยากเห็นเป็นภาพที่ชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังกระตุ้นให้เด็กอยากเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้อีกด้วย สำหรับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้ชอบอุปกรณ์เครื่องปั่นเหวี่ยงแบบมือดึง (3D-printed hand-powered centrifuge) ที่ได้แนวความคิดมาจากของเล่นเด็ก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ได้จริงทดแทนเครื่องปั่นเหวี่ยงที่มีราคาแพง สะดวกต่อการนำไปใช้เวลาออกภาคสนามได้ด้วย เพราะมีขนาดเล็กและไม่ต้องใช้แบตเตอรี่
ส่วนนายพิษณุ ศรีกระกูล รองผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ได้เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้เข้าร่วมอบรม เพราะได้ทราบแนวความคิดในการพัฒนาเครื่องมือวิทยาศาสตร์อย่างง่ายด้วยหลักการ Frugal Science ซึ่งจะต่างจากหลักการ DIY ที่เน้นการทำด้วยตนเอง แต่ Frugal Science ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ทำสิ่งที่ยากและมีราคาแพงให้ใช้งานได้ง่ายและมีราคาถูก สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา anytime anywhere ส่วนอุปกรณ์ที่ชอบคือเครื่อง OpenCell ที่เป็นเครื่องปั่นเหวี่ยงตกตะกอน (Centrifuge) ซึ่งความสามารถของเครื่องนี้ใกล้เคียงกับเครื่องปั่นเหวี่ยงตกตะกอนที่มีราคาแพงได้เลย และสามารถปรับเปลี่ยนหัวปั่นเหวี่ยงได้หลายแบบอีกด้วย หลังจากอบรมมีแผนจะนำไปต่อยอดให้นักเรียนได้ลองใช้เครื่อง 3D Printing ที่โรงเรียนที่มีอยู่แล้วสร้างเป็นเครื่องปั่นเหวี่ยง OpenCell และนำไปใช้ในการทดลองจริงด้วย นอกจากนี้ยังชอบแนวความคิดของวิทยากรที่ให้นักเรียนจาก Frugal Science Academy ได้ลองผิดลองถูก ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การประกวดหรือการแข่งขัน แต่เป็นสิ่งที่นักเรียนอยากเรียนรู้อยากทำด้วยตนเองซึ่งจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ได้ นักเรียนจะได้ใช้หลักการที่ได้เรียนรู้ไปพัฒนาต่อยอดเป็นสิ่งประดิษฐ์หรือเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อไป ซึ่งการลองผิดลองถูกก็ทำให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงและได้ทักษะกระบวนการแก้ปัญหาทุกขั้นตอนที่นักเรียนได้ลงมือทำด้วยตนเอง และหลักการของ Frugal Science ยังเป็นการบูรณาการศาสตร์หลายวิชาเข้าด้วยกัน เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์
และ ดร.จิโรจน์ แสงรัตนประเสริฐ ครูชำนาญการ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จังหวัดนครปฐม กล่าวว่าประทับใจการอบรมครั้งนี้มาก ทุกกิจกรรมน่าสนใจ แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือเครื่องปั่นเหวี่ยงแบบมือดึง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการที่เราคุ้นเคยจากของเล่นเด็กพัฒนาเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้งานได้จริง มีราคาถูก และสามารถใช้ทดแทนเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีราคาแพงได้ ถือว่าเป็นการนำหลักการ back to the basic ที่น่าสนใจมาก ซึ่งวางแผนหลังการอบรมไว้ว่าอยากจะตั้งชุมนุมหรือวิชานวัตกรรมเพื่อให้นักเรียนได้ลองมาออกแบบสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ถ้านักเรียนได้มารวมกันและช่วยกันคิดก็น่าจะพัฒนาต่อยอดเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีประโยชน์ได้มาก นอกจากนี้ทางโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ก็เป็นโรงเรียนแม่ข่ายที่จัดอบรมให้แก่โรงเรียนลูกข่าย ก็จะนำความรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้หลักการ Frugal Science ไปถ่ายทอดต่อให้ครูโรงเรียนเครือข่ายและครูโรงเรียนทั่วไปได้นำเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนก็จะช่วยให้การเรียนวิทยาศาสตร์สัมฤทธิ์ผลมากยิ่งขึ้น
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 10 ฉบับที่ 3 ประจำเดือนมิถุนายน 2567
ข่าว
สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ – สวรส. และพันธมิตร จัดประชุมวิชาการประจำปี การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทย
สวทช. ต้อนรับคณะมูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง เยี่ยมชมงานวิจัย BCG ในมิติความมั่นคง การแก้ไขปัญหาโลกเดือด
กระทรวง อว. จัดงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 5 ปี
กรมการแพทย์ ผนึก สวทช. พัฒนานวัตกรรมสุขภาพและการแพทย์ ดันงานวิจัยสู่การใช้จริง พึ่งพาตนเอง-ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุข
ผู้อำนวยการ สวทช. นำทัพผู้บริหารเข้าร่วมงานและเยี่ยมชมงาน “SCG The Possibilities for Inclusive Green Growth”
สวทช. มอบเกียรติบัตร นักเรียน ม.ปลาย – ครูวิทยาศาสตร์ ฝึกทักษะวิจัย สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2567
ไบโอเทค สวทช. จับมือ ไบโอเมด และสมาคมจุลินทรีย์ลำไส้ฮ่องกง ร่วมวิจัยและวิชาการ เสริมอุตสาหกรรมด้านจุลินทรีย์และโพรไบโอติกในประเทศไทย
สวทช. – ผนึกทุกภาคส่วน หาแนวทางแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ติดตามการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี
สวทช. สวก. มูลนิธิ SOS และพันธมิตร เปิดตัวธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank)
สวทช. ต้อนรับคณะผู้บริหารจาก TCELS และ P&G Singapore หารือความร่วมมือในอนาคต
3 องค์กร ร่วมผลักดันสร้างมาตรฐานคาร์บอนกลาง อาเซียน
สวทช. นำเสนอรายงานความก้าวหน้างานวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ โครงการทุน TGIST เพื่อร่วมขับเคลื่อนงานวิจัย BCG สวทช.
“ศุภมาส” ปาฐกถาพิเศษ ในเวทีประชุมวิชาการสมรรถนะด้านพลังงานระหว่างประเทศ ปี 67 (ERC Forum 2024) ชูนโยบาย “อว. For EV”
สวทช. ผนึกความร่วมมือ สภากายภาพบำบัด ดูแลคุณภาพชีวิตคนไทยทุกกลุ่มในสังคม ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม
7 หน่วยงาน ลงนาม MOU ร่วมพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบิน ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการบินของภูมิภาค
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ร่วมกับ ไบโอเทค สวทช. จัดการประชุมระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน
เนคเทค สวทช. จัดรวมพลคน KidBright ครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด Edge AI หนุน ‘นักนวัตกร’ เรียนรู้ตลอดชีวิต ขับเคลื่อนประเทศสู่ความยั่งยืน
“ศุภมาส” ประกาศนโยบาย “อว. for AI” ติดอาวุธคนไทยใช้ AI พัฒนาประเทศ
ไบโอเทค สวทช. แถลงปิดโครงการพัฒนาศักยภาพผู้เชี่ยวชาญภายใต้ห่วงโซ่มันสำปะหลังลุ่มน้ำโขง
อาหารทะเลจากพืช “วี-ซี (Ve-Sea)” นวัตกรรมเอ็มเทค สวทช. ถึงมือผู้บริโภคปราศจากคอเลสเตอรอล ตอบเทรนด์สุขภาพ-อาหารเพื่อความยั่งยืน
สวทช. ต้อนรับคณะนักบริหารจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมผลงานวิจัยนวัตกรรมด้านการเกษตร
Download เอกสารฉบับเต็ม (12.2 MB)
จดหมายข่าว สวทช.