หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ผนึก ล้ง หนุนเกษตรกรใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ลดสารเคมี สร้างมาตรฐานการส่งออก ตอบโจทย์ BCG
(22-23 มีนาคม 2567) ที่สวนทุเรียนคุณต่าย อ.บ่อไร่ จ.ตราด และล้งส่งออกทุเรียน จันทบุรี (ล้งเอ-ต่าย) อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ชมการสาธิตการใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth เพื่อลดสารเคมีและเพิ่มคุณภาพทุเรียนให้กับสวนทุเรียนใน อ.บ่อไร่ จ.ตราด ซึ่งเป็นสวนต้นทางที่ล้งส่งออกทุเรียนจันทบุรี (ล้งเอ-ต่าย) รับซื้อผลผลิตปีละหลายตัน เพื่อส่งทุเรียนไปยังเกาหลี โดยมี คุณชาญชัย ศรีสุด เจ้าของสวนทุเรียนคุณต่าย และคุณวราภรณ์ ศรีสุด บริษัท ออล ฟรุ๊ท แอนด์ ฟู้ด ร่วมให้ข้อมูลการควบคุมกระบวนการผลิตทุเรียนให้มีคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐานส่งออก พร้อมรับฟังการถ่ายทอดความรู้และศึกษาการใช้นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. โดยมีเกษตรกรร่วมใช้ถุงห่อทุเรียนกว่า 2,000 ใบ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสารเคมี ก่อนจะทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดเกาหลีต่อไป ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัย เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีถุงห่อทุเรียน Magik Growth ในการยกระดับมาตรฐานการผลิตทุเรียนคุณภาพเกรดพรีเมียมเพื่อการส่งออกนั้น ปัญหาของชาวสวนทุเรียนยังประสบปัญหาทั้งเรื่องโรคแมลงศัตรูพืชและสัตว์กัดแทะที่ทำลายทุเรียนในระยะพัฒนาผลจนเกิดความเสียหาย ถึงแม้จะใช้ถุงตาข่ายทางการเกษตรห่อทุเรียนเพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชซึ่งป้องกันหนอนรังได้ แต่ก็ยังประสบปัญหาว่าไม่สามารถป้องกันเพลี้ยแป้งกับราดำได้ ทำให้ผิวทุเรียนไม่สวย และเกิดความเสียหาย เกษตรกรส่วนใหญ่จึงแก้ปัญหาโดยใช้ยาฆ่าแมลงในการฉีดพ่น ซึ่งนอกจากจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ยังเกิดปัญหาสุขภาพตามมา สวทช. ได้พัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีต่าง ๆ นำมาขยายผลพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีเพื่อการทดสอบประสิทธิภาพและเพิ่มมูลค่าทุเรียน โดยมอบหมายทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมมือกับคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง นำองค์ความรู้เรื่องวัสดุศาสตร์พัฒนาสูตรผสมเม็ดพลาสติก (polymer compound) ร่วมกับเทคโนโลยีการขึ้นรูปนอนวูฟเวน เพื่อให้วัสดุนอนวูฟเวนมีคุณสมบัติให้น้ำและอากาศผ่านเข้าออกได้โดยง่าย รวมถึงมีคุณสมบัติการคัดเลือกช่วงแสงที่เหมาะสมกับเซลล์รับแสงที่ผิวผลไม้ จนได้เป็นนวัตกรรมวิจัยต้นแบบที่มีชื่อทางการค้าว่า Magik Growth หรือ นวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวน ช่วยให้ทุเรียนที่ห่อด้วยถุงห่อ Magik Growth สามารถสร้างสารสำคัญในผลไม้ทั้งแป้ง น้ำตาล สารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ โดยได้ทดลองทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและระดับภาคสนามในพื้นที่สวนทุเรียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน มีการจัดเก็บข้อมูลผลวิจัยอย่างเป็นระบบ พบว่าถุงห่อทุเรียน Magik Growth ช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดใช้ยาฆ่าแมลงศัตรูพืช สามารถเพิ่มน้ำหนักและคุณภาพผิวผลทุเรียนให้กลายเป็นทุเรียนเกรดพรีเมี่ยมได้ และยังสามารถใช้ถุงห่อทุเรียนใช้ซ้ำได้ถึง 2 ฤดูกาลผลิตทั้งประหยัดต้นทุนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุณชาญชัย ศรีสุด เจ้าของสวนทุเรียนคุณต่าย อ.บ่อไร่ จ.ตราด กล่าวถึง การควบคุมกระบวนการผลิตทุเรียนให้มีคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐานส่งออก ว่า ปัญหาสำคัญของการส่งออกทุเรียน คือ ตลาดสาธารณรัฐเกาหลี โดยเฉพาะย้อนหลังไป 2 ฤดูการผลิต (ปี2564-2565) เกษตรกรชาวสวนทุเรียนได้รับผลกระทบจากปัญหาฝนตกมากในประเทศไทย ทำให้เกิดการระบาดของโรคแมลงและเชื้อรากระทบต่อผลผลิตทุเรียน เกษตรกรจึงฉีดยาป้องกันราและแมลงทั้งที่ลำต้นและใบทุเรียนเพื่อป้องกันผลผลิต ส่งผลให้ลูกทุเรียนได้รับผลกระทบจากการฉีดสารเคมีและอาจมีการสะสมที่เปลือกทุเรียน ซึ่งเกษตรกรต้องป้องกันผลผลิตแต่ละฤดูกาลเนื่องจากผลผลิตมีต้นทุนในการดูแลสูง ดังนั้นสิ่งที่ เอ็มเทค สวทช. คิดค้นและทำนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth จึงเป็นสิ่งที่เกษตรกรและล้งส่งออกทุเรียนเห็นด้วยในการป้องกันและบรรเทาสารเคมีได้ อีกทั้งสีของถุงห่อทุเรียนที่มีสีแดงยิ่งทำให้มีความเหมาะสมกับผลผลิตทุเรียน ทั้งการเจริญเติบโตได้ดีและสีแดงยังเป็นสีที่แมลงศัตรูพืชในสวนทุเรียนไม่ชอบเข้าใกล้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การลงทุนใช้ถุงห่อทุเรียนครั้งแรกในฤดูการผลิตนี้คาดหวังว่านวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth จะช่วยป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการดูแลทุเรียนของเกษตรกรชาวสวนในระยะ 2 เดือนก่อนเก็บเกี่ยวได้ ทั้งเปลือกทุเรียนสะอาดจากการไม่มีเชื้อราดำจากโรคแมลง และเปลือกของผลของทุเรียนแต่ละลูกจะสวยสะอาด ที่สำคัญจะช่วยลดสารเคมีจากการที่เกษตรกรห่อลูกทุเรียนด้วยนวัตกรรมถุงห่อทุเรียนของ เอ็มเทค สวทช. “การห่อทุเรียนด้วยถุงห่อทุเรียนครั้งนี้เกิดจากการลงทุนของล้ง ซึ่งแม้จะเป็นการเพิ่มต้นทุนในการผลิต แต่จะเป็นความคุ้มค่าในการช่วยลดผลกระทบจากใช้สารเคมีในการผลิตทุเรียนส่งออก และเพื่อให้ยังคงรักษาตลาดสร้างความเชื่อมั่นของผลไม้ไทยที่ส่งออกไปยังเกาหลี ถึงแม้เกษตรกรจะเสียเวลาเพิ่มในการใช้ถุงห่อทุเรียน แต่ได้ราคาที่ดีขึ้นจากการรับซื้อของล้ง และล้งส่งออกทุเรียนยังได้เริ่มการสร้างมาตรฐานให้ธุรกิจทุเรียนส่งออกให้ทุเรียนมีความยั่งยืน” คุณชาญชัย กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ม.เกษตรฯ ไบโอเทค สวทช. และ วช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร จัดประชุมนานาชาติเรื่องโลกร้อนกับการปรับตัวของข้าว หวังเป็นเวทีส่งเสริมความยั่งยืนการผลิตข้าวไทย
(25 มี.ค. 67) ณ ห้องรวงข้าว อาคารวชิรานุสรณ์ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ - ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมด้วยหน่วยงานพันธมิตร จัดงาน “การประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง International Conference/Workshop on Rice Climate Mitigation and Adaptation” หรือการบรรเทาและปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศของข้าว ภายใต้โครงการพัฒนาศูนย์กลางความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยข้าวของประเทศไทย (Thailand Rice Science Research Hub of Knowledge) ซึ่งได้รับทุนจากสำนักงานคณะกรรมวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปีงบประมาณ 2567 เพื่อเป็นเวทีให้นักวิจัยด้านข้าวจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน หน่วยงานให้ทุน สถานทูต สถาบันการศึกษา เกษตรกรรุ่นใหม่ และผู้ส่งออกข้าวไทย ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ มุ่งส่งเสริมความยั่งยืนของการผลิตข้าวไทย โดยมีการบรรยายของนักวิจัยระดับโลก ที่ทำงานวิจัยด้านข้าวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการอภิปรายกลุ่มเพื่อระดมสมองแก้ปัญหาด้านข้าวในหลากหลายมุมมอง โดยเฉพาะเรื่องข้าวที่ลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทน ลดการใช้น้ำ พร้อมเทคนิคที่สามารถทำได้ในเวลาอันใกล้และแนวทางในอนาคต โดยมี ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ร่วมเปิดงานกับ รศ.น.สพ.ดร.อนุชัย ภิญโญภูมิมินทร์ รองอธิการบดีวิทยาเขตกำแพงแสน และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค รศ.น.สพ.ดร.อนุชัย ภิญโญภูมิมินทร์ รองอธิการบดีวิทยาเขตกำแพงแสน ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ม.เกษตรศาสตร์ ได้รับทุนจาก วช. ประจำปีงบประมาณ 2567 เรื่อง การพัฒนาศูนย์กลางความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยข้าวของประเทศไทย (Thailand Rice Science Research Hub of Knowledge) เพื่อมุ่งเน้นการสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในและต่างประเทศ พร้อมนำงานวิจัยและนวัตกรรมด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวสู่การใช้ประโยชน์ รวมถึงเชื่อมโยงกลุ่มนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ จากภายในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวด้วยกัน ซึ่งการจัดงานประชุม International Conference/Workshop on Rice Climate Mitigation and Adaptation ครั้งนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ม.เกษตรศาสตร์ ไบโอเทค สวทช. และ วช. พร้อมหน่วยงานพันธมิตร ร่วมจัดขึ้น เพื่อเป็นเวทีรวบรวมความคิดเห็นนักวิชาการ นักวิจัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สู่แนวคิดและแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ในการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อข้าวในมุมมองที่กว้างขึ้น ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. เป็นผู้ให้ทุนและจัดตั้ง “การพัฒนาศูนย์กลางความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยข้าวของประเทศไทย” ซึ่งโครงการได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้าน โดยมีศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ม.เกษตรศาสตร์ เป็นผู้นำโครงการ พร้อมด้วยมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยด้านข้าว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหาของข้าวไทย พร้อมการระดมสมองเพื่อเสนอวิธีการแก้ไขและพัฒนางานวิจัยของไทยให้เกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวิจัย ฝ่ายการผลิต และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านข้าวครั้งนี้ ทางโครงการได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายประเทศมาร่วมบรรยาย มีเนื้อหาหลักในการนำเสนอเรื่องข้าวในด้านสรีรวิทยา สิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงพันธุ์ เพื่อตอบโต้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ หรือสภาวะโลกรวน ซึ่งเป็นหัวข้อที่สำคัญมากในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ในระดับประเทศ แต่ในระดับนานาชาติด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค ตระหนักถึงปัญหาด้านสภาวะแวดล้อมมาโดยตลอด รวมถึงการพัฒนาพันธุ์ข้าวด้วยเช่นกัน ซึ่งทางไบโอเทคได้มีการนำเอาแนวคิดเศรษฐกิจ BCG เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อแก้ปัญหาโลกรวน โดยการวิจัยข้าวในไบโอเทคจะเกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลจีโนมเพื่อศึกษาลักษณะสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทำนาข้าวลักษณะที่สำคัญต่อการทำนาข้าว ได้แก่ ความต้านทานต่อโรค แมลงศัตรูพืช เป็นต้น ซึ่งการจัดประชุมครั้งนี้เนื้อหาการจัดงานจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการนำไปปรับใช้กับงานวิจัยต่อไป ทั้งนี้ ภายในงานมีการบรรยายโดยนักวิจัยระดับโลก ที่ทำงานวิจัยด้านข้าวเพื่อรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วย หัวข้อการจัดการปากใบเพื่อเพิ่มความทนทานต่อความเครียดของข้าว (Manipulating stomata to enhance rice stress tolerance) โดย Prof. Dr. Julie Gray มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ อังกฤษ / หัวข้อการจำแนกยีนและศึกษากลไกของยีนทนเค็มในข้าว (Identification of Salt Tolerant Genes in Rice and Their Mechanisms) โดย ศ.ดร.ศุภจิตรา ชัชวาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย / หัวข้อการจัดการน้ำและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวเขตอบอุ่น (Water management and greenhouse gas emissions in temperate rice paddies) โดย Prof. Dr. Kosuke Noborio มหาวิทยาลัยเมจิ ญี่ปุ่น / หัวข้อการลดก๊าซเรือนกระจกในข้าว: ชิ้นส่วนของการแก้ปัญหาแบบครบวงจร (GHG mitigation in rice: Pieces of a comprehensive solution) โดย Dr. Bjoern Ole Sander สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ (IRRI) / หัวข้อ เมื่อน้อยคือมาก: เส้นทางสู่ข้าวที่มีประสิทธิผลดีแม้น้ำมีจำกัด (Where Less is More: A Path Towards More Water Productive Rice) โดย ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหัวข้อพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมสำหรับการทำนาหว่าน (Breeding rice varieties suitable for direct seeding) โดย Dr. Shalabh Dixit สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ (IRRI) ตลอดจนมีการอภิปรายกลุ่มเพื่อระดมสมองในการแก้ไขปัญหาทางด้านข้าวในหลากหลายมุมมอง ได้แก่ ด้าน สรีรวิทยา (Physiology) สิ่งแวดล้อม (Environment) และการปรับปรุงพันธุ์ (Breeding)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไม่หยุดพัฒนา! ระบบการจัดการอาหารในโรงเรียน Thai School Lunch
นักวิจัย NECTEC สวทช. เดินหน้าพัฒนาระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียน Thai School Lunch ที่ให้บริการโรงเรียนทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี 2555 ปัจจุบันพัฒนาต่อยอดเป็น Thai School Lunch for BMA ระบบแนะนำสำรับอาหารเช้าและกลางวันสำหรับโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยจัดสำรับอาหารเช้า-กลางวัน ให้มีคุณค่าสารอาหารตามเกณฑ์สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร โดยออกแบบระบบให้สามารถวิเคราะห์ปริมาณวัตถุดิบที่ต้องใช้ , การประมาณการค่าใช้จ่าย , การตรวจรับวัตถุดิบที่จัดส่งโดยผู้ประกอบการอาหาร และข้อมูลรูปภาพอาหารในแต่ละวันเพื่อให้ผู้ปกครอง ครู และสังกัดการศึกษามีส่วนร่วมในการตรวจสอบอาหารร่วมกันได้   พบกับทีมนักวิจัยผู้พัฒนาและผลงานดังกล่าวได้ที่งาน การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 หรือ NAC2024 วันที่ 28-30 มีนาคม 2567 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
บริษัท รอยัล ชาร์ปเพนนิ่ง จํากัด มอบเงิน 33.4 ล้านบาท สนับสนุนกองทุนวิจัย สวทช.
(วันที่ 22 มีนาคม 2567) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายภาณุทัต ธรรมบุศย์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม สวทช. คุณวทันยา สุทธิเลิศ  ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจสัมพันธ์ สวทช. ให้การต้อนรับ MR. SHI WEIGUO ประธานบริษัท รอยัล ชาร์ปเพนนิ่ง จำกัด และคณะ  ในโอกาสเดินทางมามอบเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. จำนวน 33,400,000 บาท เพื่อสนับสนุนงานทางด้านการวิจัย พัฒนาของประเทศไทย และรับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเพิ่มเติมตามมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI ) โอกาสนี้ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้กล่าวขอบคุณ บริษัทฯ ที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดย สวทช. จะนำเงินสนับสนุนไปใช้ในพันธกิจหลักเกี่ยวกับกิจกรรมการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรทางเทคนิค สนับสนุนและส่งเสริม SMEs ในประเทศ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมต่อไป ทั้งนี้ คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากบริษัท รอยัล ชาร์ปเพนนิ่ง จำกัด ได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสนใจและเห็นประโยชน์ของกองทุนวิจัยฯ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนระบบนิเวศนวัตกรรมด้านการวิจัยของประเทศพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในการนี้ สวทช. ขอเชิญชวนท่านร่วมมีส่วนในการสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยร่วมบริจาคเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของ สวทช. และผู้บริจาคจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันจาก BOI ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจะเป็นไปตามการสนับสนุนเงินซึ่งคำนวณจากรายได้ 3 ปีแรก (1-5%) โดยได้ยกเว้นวงเงินภาษีเงินได้เพิ่มเติม 200%ของเงินสนับสนุน และได้รับระยะเวลายกเว้นเงินภาษีเพิ่มเติม 1-5 ปี (รวมสิทธิเดิมแล้วสูงสุดไม่เกิน 13 ปี) หากสนใจสามารถสอบถามหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : งานสนับสนุนการวิจัยพัฒนาภาคเอกชน (PSR) ฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม (IPD) เบอร์โทร. 02-5647000 ต่อ 1335 หรือ 1308 
https://www.nstda.or.th/psr/tei/contact.html
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ปลอดภัย ติดไฟยาก” EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ จากปาล์มน้ำมันไทย
นักวิจัย ENTEC สวทช. พัฒนา EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยาก ผลิตจากปาล์มน้ำมันไทย เพื่อลดโอกาสการเกิดเหตุไฟไหม้ลุกลามในกรณีหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน   พบกับทีมนักวิจัยผู้พัฒนาและผลงานดังกล่าวได้ที่งาน การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 หรือ NAC2024 วันที่ 28-30 มีนาคม 2567 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ติวเข้มยกระดับ-เพิ่มศักยภาพหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ The Right Way to Mature Incubator
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ The Right Way to Mature Incubator ภายใต้โครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ประจำปี 2566 (Maturity Model for Business Incubator) เพื่อสร้างและพัฒนากระบวนการบ่มเพาะธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายการส่งเสริมผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจโดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผลักดันธุรกิจเทคโนโลยีให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์  รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ คุณภูสิษฐ์  จาตุรงคกุล ที่ปรึกษาด้านนวัตกรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การตลาดและการสร้างแบรนด์  และ คุณสุลีพร ราชพลสิทธิ์ Certified Marketing Consultant & Business Incubator คุณพรเทพ สัมมากสิพงศ์ ผู้จัดการหน่วยงานสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ Ajinomoto Co., (Thailand) Ltd. คุณธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (J Ventures) และ น.สพ.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (สวทช.) ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์  รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า หน่วยบ่มเพาะธุรกิจ (Business Incubator) มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดผู้ประกอบการใหม่และพัฒนาผู้ประกอบการเดิม ช่วยสร้างธุรกิจนวัตกรรม ส่งเสริมการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยีใหม่ พัฒนาเข้าสู่ระบบการคุ้มครองและการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ บริการผู้ประกอบการใหม่อย่างเป็นระบบและครบวงจร พัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการใหม่ที่ผ่านกระบวนการบ่มเพาะวิสาหกิจนั้น จะสามารถลดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในระยะแรก เช่น ค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน ค่าใช้จ่ายในการเสริมศักยภาพทางธุรกิจและเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้มีโอกาสรอดสูงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ มีศักยภาพในการแข่งขัน ตลอดจนมีการสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้งานวิจัยและนวัตกรรม ดังนั้นในหลายประเทศจึงเลือกใช้หน่วยบ่มเพาะธุรกิจเพื่อสนับสนุน สร้างและพัฒนาผู้ประกอบการ  ซึ่งสามารถช่วยลดอัตราความล้มเหลวในช่วงแรกของการจัดตั้งธุรกิจ ทำให้เติบโตอย่างมั่นคง รวมถึงบริษัทที่อยู่ระหว่างการดำเนินธุรกิจที่ต้องการให้ธุรกิจขยายตัวอย่างมีทิศทาง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจโดยมีวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นฐาน คุณศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า โครงการจะนำโมเดลการพัฒนาหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ (Maturity Model) ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลจากความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ มาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างกระบวนการบ่มเพาะธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายการส่งเสริมผู้ประกอบการที่ดำเนินการธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม หน่วยบ่มเพาะธุรกิจที่เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ ได้แก่ สถาบันนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยพะเยา อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักอุทยานวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยบูรพา และ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ รวมถึงบุคลากรจากสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวม 25 คน  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘Lean Manufacturing’ ลดความสูญเปล่า เพิ่มความยั่งยืน
  การผลิตแบบลีน (lean manufacturing) มีจุดเริ่มต้นมาจากผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์โตโยต้า ประเทศญี่ปุ่น ต้องพาโรงงานฝ่าฟันวิกฤตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงขาดแคลนทั้งคน เงิน และพื้นที่ รวมถึงต้องเผชิญกับปัญหากลุ่มเป้าหมายมีความต้องการรถยนต์ลดลงแต่มีความต้องการรูปแบบของยานยนต์ที่มากยิ่งขึ้น ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดความสูญเปล่าให้ได้มากที่สุด จนเกิดเป็นแนวทาง ‘Toyota Production System (TPS)’ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก หลังจากนั้นคณะอาจารย์และนักศึกษาจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) สหรัฐอเมริกา จึงได้ช่วยกันถอดแนวทางความสำเร็จของ TPS โดยขยายแนวคิดและเพิ่มเติมเครื่องมือสำหรับลดความสูญเปล่า ก่อนให้ชื่อแนวทางที่พัฒนาต่อยอดว่า ‘lean manufacturing’ ดังที่มีการใช้งานแพร่หลายในปัจจุบัน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) พัฒนา ‘Digital lean manufacturing coaching program’ สำหรับช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในการนำหลักคิด lean manufacturing ไปใช้ปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างยั่งยืน     ความสูญเปล่า 7 ประการ ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งลดความเสียหาย โดยทั่วไปความสูญเปล่าของโรงงานมักเกิดขึ้นจากการขาดการบริหารจัดการที่เป็นระบบและละเอียด ถี่ถ้วน การขาดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการดำเนินงาน การขาดความเชี่ยวชาญ และการขาดวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งให้ทุกคนมีส่วนในการลดความสูญเปล่า   [caption id="attachment_53855" align="aligncenter" width="650"] ดร.ธนกร ตันธนวัฒน์ ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.ธนกร ตันธนวัฒน์ ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า ความสูญเปล่า 7 ด้านที่เป็นปัญหาร่วมของโรงงานส่วนใหญ่ คือ 1) การผลิตมากเกิน 2) การมีสินค้าคงคลัง 3) การขนย้ายวัสดุ 4) การเคลื่อนไหวของคนหรือเครื่องจักร  5) การทำงานซ้ำซ้อน 6) การรอคอย 7) การมีของเสีย (ดูรายละเอียดเกี่ยวกับความสูญเปล่าทั้ง 7 ด้านได้จากภาพประกอบ) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้เกิดการสิ้นเปลืองทั้งเวลา ค่าแรง ค่าเครื่องจักร ค่าซ่อมบำรุง และค่าพลังงานที่เกินความจำเป็น นอกจากนี้ยังทำให้เสียโอกาสในการรับงานเพิ่ม และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียความน่าเชื่อถือทางธุรกิจได้ด้วย     ทั้งนี้แม้หลักการและแนวคิดการลดความสูญเปล่าจะดูเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แต่ก็มักถูกมองข้ามหรือมองไม่เห็น เป็นผลมาจากผู้บริหารและพนักงานต่างคุ้นชินกับสภาพการทำงานที่เป็นอยู่ นอกจากนี้หลายครั้งเมื่อมีกระแสของเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลง (disrupt) ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็อาจทำให้หลายองค์กรรีบขวนขวายนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้งานจนไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนว่าเหมาะกับบริบทขององค์กรอย่างแท้จริงหรือไม่ ทำให้เกิดความสูญเปล่าโดยไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ดังนั้นแล้วแต่ละองค์กรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบความสูญเปล่าภายในโรงงานอยู่เสมอ เพื่อให้เท่าทันต่อสถานการณ์ และลดความสูญเปล่าให้ได้มากที่สุด ดร.ธนกร อธิบายว่า จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปถึงขนาดใหญ่ ทำให้ทราบว่าขั้นตอนสำคัญที่สุดของการปรับปรุงกระบวนการผลิตตามหลักการ Lean manufacturing คือ การระบุต้นตอและจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) เนคเทค สวทช. จึงร่วมกับคณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) จัดทำ ‘Digital lean manufacturing coaching program’ ขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการปรับปรุงกระบวนการผลิตควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรอย่างยั่งยืน กระบวนการนี้ประกอบด้วย 7 ขั้นตอนหลัก ซึ่งขั้นตอนที่ 1 และ 2 ตัวแทนผู้เข้าร่วมกระบวนการจะต้องมีทั้งบุคลากรระดับปฏิบัติการภายในโรงงาน วิศวกรโรงงาน หัวหน้าฝ่ายผลิตและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับบริหารที่มีข้อมูลภาพรวมของธุรกิจ เพื่อให้ทุกคนสามารถแบ่งปันข้อมูลและปัญหาจากประสบการณ์การทำงานจริงร่วมกันได้ และร่วมเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนาองค์กร “ขั้นตอนแรกของการโคชชิง (coaching) คือ ‘การสำรวจปัญหา’ ขั้นตอนนี้จะให้ทุกคนร่วมกันเขียนปัญหาที่พบจากการทำงานของตัวเองหรือจากข้อมูลเชิงลึกที่ตัวเองทราบ ขั้นตอนที่สอง คือ ‘การจัดลำดับความสำคัญของปัญหา’ โดยนำข้อมูลปัญหาที่สำรวจพบมาจัดกลุ่ม พิจารณาความเชื่อมโยง และจัดลำดับความสำคัญของปัญหา เพราะในความเป็นจริงแล้วแต่ละองค์กรอาจแก้ปัญหาทั้งหมดพร้อมกันไม่ได้ ทั้งด้วยข้อติดขัดด้านงบประมาณและบุคลากร ขั้นตอนที่สาม คือ ‘การฝึกอบรมบุคลากร’ ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่กำลังแก้ไข ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจใช้การจำลองทางคอมพิวเตอร์ (computer simulation) และเทสต์เบด (testbed) ที่ SMC มีให้บริการร่วมด้วย เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้มากที่สุด “หลังจากบุคลากรมีความรู้และทักษะพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหานั้น ๆ แล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่สี่ คือ ‘การวิเคราะห์และพัฒนาแนวทางการแก้ปัญหา’ ซึ่งในที่นี้จะเป็นการร่วมกันวิเคราะห์กระบวนการทำงานที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันเพื่อระดมความคิดเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาและร่วมออกแบบกระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ รวมถึงพิจารณาเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อการลดความสูญเปล่าให้ได้มากที่สุด ขั้นตอนที่ห้า คือ ‘การวางแผนดำเนินงานแก้ปัญหา’ เพื่อกำหนดขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และงบประมาณให้ชัดเจน ขั้นตอนที่หก คือ ‘การดำเนินงานตามแผนในลักษณะ on the job training (OJT)’ เพื่อเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด และขั้นตอนสุดท้าย คือ ‘การให้คำปรึกษาด้านการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง’ เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนการพัฒนาโรงงานได้อย่างเหมาะสม เท่าทันต่อสถานการณ์ และบุคลากรภายในองค์กรมีความรู้ ความเข้าใจ และความพร้อม สอดรับกับรูปแบบการทำงานอยู่เสมอ”     Low-cost Solution เทคโนโลยีราคาจับต้องได้โดยนักวิจัยไทย เมื่อพูดถึงการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีภายในโรงงาน ผู้ประกอบการหลายคนอาจปฏิเสธทันที เพราะมีภาพจำว่าการลงทุนต้องเป็นหลักแสน หลักล้าน หรือหลักสิบล้านบาท เพราะบุคลากรภายในโรงงานไม่สามารถปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีหรือฟังก์ชันของเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้สอดรับกับสถานการณ์การผลิตที่เปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ต้องว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาปรับฟังก์ชัน หรืออาจถึงขั้นต้องลงทุนซื้อเทคโนโลยีใหม่มาใช้แทน ด้วยความตระหนักถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ นักวิจัยจากเนคเทค สวทช. จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีทางเลือกเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการแก้ปัญหาความสูญเปล่าด้วยหลักคิด ‘ลงทุนต่ำ ใช้งานได้จริง’ ดร.ธนกร ยกตัวอย่างถึง 2 เทคโนโลยีที่นักวิจัยเนคเทค สวทช. กำลังพัฒนาและอยู่ระหว่างการทดสอบใช้งานจริง เทคโนโลยีแรก คือ ‘Lean Flow’ ซอฟต์แวร์สำหรับออกแบบและปรับปรุงแผนผังการจัดวางเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในโรงงาน โดยนำโปรแกรม Microsoft Visio มาพัฒนาต่อยอด ซอฟต์แวร์ Lean Flow มีจุดเด่น คือ ใช้สร้างแผนภาพและคำนวณระยะการเดินทางของวัสดุ คน หรืออุปกรณ์ขนย้ายวัสดุได้สะดวก วิเคราะห์ผลกระทบด้านระยะทางอันเกิดจากการปรับเปลี่ยนแผนผังได้อย่างรวดเร็ว ใช้สร้างแผนผังภายในโรงงานได้ครอบคลุมทั้งสายการผลิต ตั้งแต่ตำแหน่งที่นำวัตถุดิบเข้าโรงงาน ตำแหน่งของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตและตรวจสอบคุณภาพสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วไปยังโกดัง ทำให้วิศวกรโรงงานทดลองสร้างแผนผังในรูปแบบต่าง ๆ และเลือกรูปแบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้สะดวกและรวดเร็ว   [caption id="attachment_53826" align="aligncenter" width="650"] Lean Flow[/caption] [caption id="attachment_53827" align="aligncenter" width="650"] Lean Flow[/caption] [caption id="attachment_53828" align="aligncenter" width="650"] Lean Flow[/caption]   “เทคโนโลยีที่สอง คือ ‘Smart OEE’ หรือชุดเครื่องมือสำหรับติดตามประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักร (overall equipment effectiveness: OEE) ที่ใช้ในการผลิตแบบเรียลไทม์ พร้อมจัดแสดงผลข้อมูลในรูปแบบชุดข้อมูลที่ทำความเข้าใจได้ง่าย โดยเครื่องมือประกอบด้วย ‘IoT (Internet of Things) gateway’ หรืออุปกรณ์สำหรับรับข้อมูลจากเครื่องจักรหรือเซนเซอร์ต่าง ๆ ภายในโรงงาน และ ‘ซอฟต์แวร์ Smart OEE’ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์สำหรับประมวลผลที่นำ Node-RED มาพัฒนาต่อยอด โดยวิศวกรโรงงานสามารถนำระบบ Smart OEE ไปใช้คำนวณค่า OEE ของเครื่องจักรต่าง ๆ ภายในโรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการ และผู้วางแผนการผลิตเห็นถึงตัวเลขประสิทธิผลที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบัน ทำให้วางแผนการทำงานหรือปรับปรุงกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”   [caption id="attachment_53840" align="aligncenter" width="650"] Smart OEE[/caption] [caption id="attachment_53839" align="aligncenter" width="650"] Smart OEE[/caption]   จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการปรับปรุงโรงงานด้วยหลักคิด lean manufacturing ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงเสมอไป สิ่งสำคัญสุดคือการพิจารณาปัญหาและวางแผนการทำงานที่มุ่งเป้าและแม่นยำ เพื่อให้ทุกการลงทุนปรับเปลี่ยนเกิดประโยชน์สูงสุด ดร.ธนกร อธิบายเพื่อสร้างความตระหนักทิ้งท้ายว่า แม้ lean manufacturing จะมีหลักการที่ตรงไปตรงมา รวมถึงที่ผ่านมานักวิจัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างช่วยกันพัฒนากระบวนการดำเนินงาน (protocol) และเทคโนโลยีสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อให้การปฏิบัติตามหลัก lean manufacturing ทำได้ง่ายขึ้นมาก จนหลายคนอาจหลงคิดว่าการจะปรับเปลี่ยนโรงงานไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมาก ทำไม่นานก็จะเห็นผล แต่ในความเป็นจริงแล้วจนถึงปัจจุบันหากสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตจะพบว่า ‘ในภาพรวมมีตัวเลขที่รายงานถึงความสำเร็จในการปรับปรุงโรงงานอย่างยั่งยืนตามหลัก lean manufacturing น้อยกว่าร้อยละ 50’ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้บริหารขาดความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จึงไม่สามารถผลักดันพนักงานภายในองค์กรให้มีส่วนร่วมดำเนินงานจนประสบความสำเร็จได้ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ‘ขาดการทำอย่างต่อเนื่อง’ เพราะในระยะแรกของการนำระบบ lean manufacturing เข้าไปใช้ แต่ละองค์กรอาจปรับเปลี่ยนไม่สำเร็จในทันที หรือทำแล้วยังไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเวลาอันสั้น ทำให้ล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อน “สิ่งที่หนึ่งที่ผู้ประกอบการ รวมถึงบุคลากรภายในองค์กรควรต้องตระหนักเป็นอย่างยิ่ง คือ lean manufacturing เป็นหลักการที่จะเห็นผลได้อย่างชัดเจนและยั่งยืนก็ต่อเมื่อคนภายในองค์กรช่วยกันปรับเปลี่ยนจนมีวัฒนธรรม Lean เป็นหลักคิดพื้นฐาน เปรียบเสมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ต้องคอยดูแลเป็นพิเศษในช่วงเริ่มแรก จนต้นไม้แข็งแรงออกดอกออกผลอย่างยั่งยืนในระยะยาว” สำหรับผู้ที่สนใจกระบวนการ lean manufacturing และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) สวทช. เว็บไซต์ www.nectec.or.th/smc/ เฟซบุ๊ก SMC อีเมล smc-business@nectec.or.th และ LINE @smceeci       เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, เนคเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
นวัตกรรมชุดตรวจ “โรคไต-เบาหวาน” ตรวจง่าย-ได้ผลไว!
นักวิจัย NANOTEC สวทช. พัฒนานวัตกรรม ชุดตรวจคัดกรองติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวานเชิงคุณภาพ มีจุดเด่นคือ ตรวจง่าย สะดวก และรู้ผลเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะชุดตรวจโรคไต ปัจจุบันทีมนักวิจัยร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุข และภาคส่วนต่างๆ นำไปใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจคัดกรองโรคไตเบื้องต้นให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ   พบกับตัวอย่างผลงานชุดตรวจและนักวิจัยผู้พัฒนาได้ที่งาน การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 หรือ NAC2024 วันที่ 28-30 มีนาคม 2567 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมหรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
วัคซีน ASF สายพันธุ์ไทย สู้โรคระบาดในสุกร
นักวิจัย BIOTEC สวทช. โชว์ความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีนสัตว์ โดยเฉพาะวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร (African swine fever : ASF) ที่เคยระบาดสร้างความสูญเสียให้กับอุตสาหกรรมสุกรของไทย ซึ่งปัจจุบันนักวิจัยพัฒนาวัคซีนจนได้ต้นแบบวัคซีนนำไปทดสอบในสุกรแล้วพบว่า มีประสิทธิภาพ พร้อมต่อยอดขยายผลเพื่อเร่งนำไปใช้แก้ปัญหาโรคระบาดในสุกร เป็นความหวังของอุตสาหกรรมสุกรไทย   พบกับนักวิจัยผู้พัฒนาและผลงานต้นแบบวัคซีนได้ที่งาน การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 หรือ NAC2024 วันที่ 28-30 มีนาคม 2567 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมหรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ขยายความร่วมมือ คอสเม่ เกาหลีใต้ ส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีและ สตาร์ตอัป
(19 มีนาคม 2567) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ให้การต้อนรับนาย คัง ซอ จิน (Kang Seog Jin) ประธานบริหาร คอสเม่ (KOSME : Korea SMEs & Startups Agency) พร้อมร่วมลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีและสตาร์ตอัป” โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยาน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่าความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการต่อยอดและขยายผลจากบันทึกข้อตกลงฉบับแรก ระหว่างปี ค.ศ. 2022-2024 ซึ่งมีผลการดำเนินงานเป็นที่ประจักษ์ว่า ทั้งสองฝ่ายได้สร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีในเครือข่าย สวทช. และประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกิจกรรมภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค (APEC) ที่ KOSME มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดผลกระทบในระดับภูมิภาค รัฐบาลไทยสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่ง สวทช. ได้มุ่งเน้นสนับสนุน นักวิจัย ผู้ประกอบการและสตาร์ตอัปให้สามารถดำเนินธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต การลงนามในบันทึกข้อตกลงฉบับใหม่ไปอีก 3 ปี (ค.ศ. 2024 – 2027) ครั้งนี้ นอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่าง KOSME และ สวทช. ในระยะยาวแล้ว ยังเกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในการเข้าถึงแหล่งทุนต่าง ๆ ที่สาธารณรัฐเกาหลีมีส่วนสำคัญในการผลักดัน อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัย และกลุ่มอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาค อาทิ Asia – Pacific Economic Cooperation (APEC) และ Mekong - Korea Cooperation Fund (MKCF) ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการขยายผลการใช้ประโยชน์งานวิจัย BCG Implementation ของ สวทช. และการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันอีกด้วย นอกจากนั้น KOSME และ สวทช. ได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปใช้ประโยชน์กับสตาร์ตอัปและ SME ของทั้งสองประเทศ ส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีซึ่งเป็นนวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของสองประเทศได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเน้นในด้านอุตสาหกรรมสีเขียว พลังงาน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้าน AI ด้วย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี ที่จะนำ AI เข้ามาใช้งานในด้านการศึกษา การแพทย์ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เชิญผู้ประกอบการประเมินความพร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบออนไลน์ ‘บริการ i4.0 CheckUp’ ประเมินง่าย รู้ผลเร็ว ปรับใช้ได้ทันที
  ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 (industry 4.0) หรือการปรับเปลี่ยนให้เครื่องจักรภายในโรงงานสื่อสารถึงกันและกัน และสื่อสารกับมนุษย์ได้อย่างเรียลไทม์ เพราะจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบและสั่งการเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากเครื่องจักรและเซนเซอร์ต่าง ๆ ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิตรวมถึงการบริหารธุรกิจด้วย อย่างไรก็ตามการจะยกระดับภาพรวมของอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะต้องอาศัยความพร้อมหลายด้าน ทั้งจากผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงเปิดให้บริการ ‘Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (one-stop service) โดยเปิดให้บริการ 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย   maturity ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทย โดยมี Thailand i4.0 Index เป็นเครื่องมือวัดระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการดำเนินการยกระดับได้อย่างเป็นระบบ consulting บริการให้คำปรึกษาด้านการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ training บริการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบระบบเทคโนโลยีสำหรับใช้งานภายในโรงงาน (system integrator: SI) แรงงานทักษะสูง และผู้ให้บริการประเมินความพร้อมของโรงงาน   ทั้งนี้ในส่วนของ i4.0 maturity ปัจจุบัน Industry 4.0 Platform เปิดให้บริการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมผ่าน ‘Thailand i4.0 Index’ 2 รูปแบบ แบบแรกคือ การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งจะเข้าไปสัมภาษณ์และประเมินแบบลงลึกภายในสถานประกอบการ เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีความแม่นยำสูง และให้คำแนะนำเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการได้ โดยผู้ประกอบสามารถนำผลการประเมินไปใช้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ด้วย ส่วนรูปแบบที่สองคือ การประเมินด้วยตัวเองผ่านระบบ i4.0 CheckUp ซึ่งเป็นระบบออนไลน์ การประเมินในรูปแบบนี้ผู้ประกอบการจะเป็นผู้ตอบคำถามลงในแบบสำรวจด้วยตัวเอง โดยผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงสถานะของโรงงานในปัจจุบัน และใช้เป็นแนวทางในการวางแผนยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยในปี 2567 นี้ สวทช. ได้ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมผลักดันให้ผู้ประกอบการเข้ารับการประเมินเพิ่มเติม ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมการประเมินระดับอุตสาหกรรมผ่านระบบ i4.0 CheckUp ภายในปีนี้ไม่น้อยกว่า 500 โรงงาน ซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นคือ นอกจากผู้ประกอบการจะได้ทราบถึงสถานะของโรงงานอย่างละเอียดและใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนยกระดับโรงงานได้อย่างเหมาะสมแล้ว ภาครัฐยังสามารถใช้ข้อมูลพิจารณาแผนยกระดับอุตสาหกรรมไทยทั้งด้านการกำกับนโยบายและวางแผนสนับสนุนได้ด้วย     ในการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 มีบันได 4 ขั้นที่ผู้ประกอบการใช้เป็นแนวทางในการวางแผนได้ ขั้นแรก ‘online & interactive self-assessment’ คือ การประเมินความพร้อมของโรงงานด้วยตัวเองผ่านระบบ i4.0 CheckUp เพื่อให้ทราบถึงสถานะของโรงงานในปัจจุบัน และใช้เป็นแนวทางในการวางแผนยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ขั้นที่สอง ‘initiation’ คือ การประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีความแม่นยำสูง พร้อมได้รับคำแนะนำในการยกระดับโรงงานแบบเชิงลึก โดยผู้ประกอบสามารถนำผลการประเมินไปใช้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ ขั้นที่สาม ‘solutioning’ คือ เมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจที่จะเริ่มยกระดับโรงงานแล้ว สามารถเข้ารับคำแนะนำด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ รวมถึงเข้าทดสอบระบบจำลองสถานการณ์ด้วย testbed ต่าง ๆ ที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) สวทช. มีให้บริการได้ เช่น เครื่องจักร สายการผลิต และเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการได้วางแผนการปรับเปลี่ยนโรงงานจนมั่นใจ ก่อนการลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตภายในโรงงานจริง เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และขั้นสุดท้าย ‘implement & operation’ คือ การลดทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่การเพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถรับบริการทั้งหมดนี้ได้จาก สวทช. แบบ one-stop service     'Thailand i4.0 Index' ดัชนีความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 Thailand i4.0 Index เป็นดัชนีความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 ที่ สวทช. โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี (ITAP) ร่วมกับสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการช่วยผู้ประกอบการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรม ทั้งนี้การพัฒนาได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม Thailand i4.0 Index แบ่งการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมออกเป็น 6 ด้านหลัก 17 ด้านย่อย โดย 6 ด้านหลักประกอบด้วย 1) technology 2) smart operation 3) IT system & data transaction 4) human capital 5) market & customers (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนีได้ที่ www.thindex.or.th)     ทั้งนี้ในการประเมินความพร้อม คณะกรรมการจะประเมินโดยแบ่งระดับความพร้อมออกเป็น 6  ระดับ (band) ซึ่งในช่วงอุตสาหกรรม 3.0 และ 4.0 ที่มีการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีและการลงทุนที่ค่อนข้างสูง จะมีการแบ่งออกเป็นระดับย่อย เพื่อให้ผู้ประกอบการก้าวขึ้นแต่ละระดับได้ง่ายขึ้น     เมื่อผู้ประกอบการเข้ารับการประเมินอุตสาหกรรมแล้ว จะได้รับสรุปผลการประเมินโดยแบ่งออกเป็น 2 ตารางหลักดังภาพประกอบ ตารางแรก (ซ้าย) จะแสดงให้เห็นถึงระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบกับโรงงานชั้นนำของประเทศที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน (best in class: BIC) ส่วนตารางที่สอง (ขวา) จะแนะนำ 4 มิติที่ผู้ประกอบการควรปรับปรุงก่อน โดยพิจารณาจากระดับปัจจุบัน, โครงสร้างต้นทุน, KPI ของบริษัท และความห่างจาก BIC     ประโยชน์ 4 ต่อที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการประเมินระดับอุตสาหกรรม คือ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรม 4.0 และการประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร รายงานสรุปผลการประเมินระดับความพร้อม (assessment report) สำหรับใช้เป็นแนวทางกำหนดกลยุทธ์องค์กรตาม impact value chain ข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการจัดหา SI ที่เหมาะสมมาร่วมพัฒนา เอกสารรับรองการประเมินเพื่อใช้ในการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน     บันไดขั้นแรกสุดของการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่ผู้ประกอบการทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเองทันที คือ การประเมินความพร้อมของโรงงานผ่านระบบ i4.0 CheckUp ขั้นตอนการประเมินทำได้ง่ายเพียงเข้าไปที่ www.nstda.or.th/i4platform/services/i4-online-self-assessment/ แล้วกดเริ่มการประเมิน ระบบจะให้ลงทะเบียนก่อนเข้าสู่หน้าแบบประเมิน โดยแบบประเมินจะแบ่งออกเป็น 6 ส่วน (section) แต่ละส่วนผ่านการออกแบบชุดคำถามให้ผู้ประกอบการทำความเข้าใจได้ง่ายและมีคำอธิบายศัพท์เฉพาะ แบบประเมิน 6 ส่วน ประกอบด้วย คุณลักษณะและเทคโนโลยีที่ใช้ในสายการผลิต ระบบสาธารณูปโภคที่ใช้ในการผลิต ระบบบริหารจัดการทรัพยากรภายในบริษัท การวิเคราะห์ตลาดและการบริหารวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ การจัดการองค์กร กลยุทธ์องค์กร และการบริหารทรัพยากรบุคคล อุตสาหกรรมสีเขียว ผลลัพธ์การประเมินที่ผู้ประกอบการจะได้ทราบ คือ ระดับอุตสาหกรรมในภาพรวม ระดับอุตสาหกรรมในแต่ละมิติ (17 มิติย่อย) ระดับอุตสาหกรรมสีเขียว และตัวอย่างเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพในราคาประหยัด     4 ตัวอย่างเทคโนโลยีราคาประหยัดที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อผู้ประกอบการไทย คือ URCONNECT อุปกรณ์รับส่งสัญญาณแบบ universal เพื่อเปลี่ยนเครื่องจักรเก่าให้เป็น IoT สามารถสั่งการอุปกรณ์ได้จากทางไกล และรับสัญญาณจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งไว้ตรวจจับการทำงาน รวมถึงการประเมินสุขภาพของอุปกรณ์ มาประมวลผลและจัดเก็บที่ระบบคลาวด์ ช่วยให้ผู้ดูแลตรวจสอบข้อมูลและควบคุมการทำงานได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา UNAI (อยู่ไหน) ระบบระบุตำแหน่งและเส้นทางการเคลื่อนที่ของอุปกรณ์และสินค้าภายในโรงงาน เช่น การทำ smart warehouse NETPIE ระบบ cloud computing สัญชาติไทย ที่เปิดให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรม Industrial IoT and Data Analytics Platform (IDA Platform) แพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรและการใช้พลังงานภายในโรงงานผ่านระบบคลาวด์     เมื่อนำชุดอุปกรณ์เหล่านี้มาติดตั้งภายในโรงงาน จะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตแบบเรียลไทม์ โดยดูได้ทั้งประสิทธิภาพโดยรวมการผลิตของเครื่องจักร (overall equipment effectiveness: OEE) ประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน (energy monitoring) และแจ้งเตือนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ล่วงหน้า (predictive maintenance: PdM) ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตและการบริหารพลังงานสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อปรับแผนงาน ก่อนส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุปกรณ์ปรับเปลี่ยนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้     ทั้งนี้หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจที่จะก้าวสู่ขั้นที่ 2, 3 และ 4 ของการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรือตั้งแต่ขั้น initiation ถึง implement & operation สามารถเข้ารับคำปรึกษาและบริการด้านต่าง ๆ แบบครบวงจรได้ที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) โดยศูนย์ตั้งอยู่ภายใน EECi จังหวัดระยอง ตัวอย่างบริการของศูนย์ เช่น Industry assessment training consultant low-cost platform solutions custom solution testbeds     โดย SMC มีระบบ membership สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการที่ศูนย์เป็นประจำ สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบจะได้รับจากการสมัคร คือ รับส่วนลดในการใช้บริการ รับคำปรึกษาเชิงลึกด้านเทคนิค และสิทธิประโยชน์ ใช้พื้นที่ห้องทำงาน ห้องประชุม และห้องอบรม รับข้อมูลข่าวสารและกิจกรรม business matching จัดแสดงและสาธิตผลิตภัณฑ์ภายในศูนย์     รายละเอียดเพิ่มเติม Website: www.nstda.or.th/i4Platform Facebook: Thailand i4.0 Platform   ติดต่อสอบถามหรือขอรับบริการ E-mail: i4Platform@nstda.or.th Line: @i4Platform   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“อว. For EV” เดินหน้า 23 หน่วยงาน MOU “ศุภมาส” ประกาศขับเคลื่อนประเทศสู่ Go Green นำร่อง ม.พะเยา เปลี่ยนใช้รถ EV ทั้งหมด ก่อนเปลี่ยนสู่ Green Campus ทุกมหาวิทยาลัย ภายใน 5 ปี ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ปีละ 5 แสนตัน
เมื่อวันที่ 18 มี.ค. น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนนโยบาย อว. For EV ของ 23 หน่วยงานสังกัดกระทรวง อว. เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปเป็น EV HUB ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค โดยมี น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัด อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัด อว. พร้อมผู้บริหาร อว. เข้าร่วม ที่มหาวิทยาลัยพะเยา จ.พะเยา ระหว่างการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของกระทรวง อว. ภายใต้การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายจะเป็น Hub ของยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยบอร์ดอีวีแห่งชาติได้ตั้งเป้าหมายจะผลิตรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษอย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดของประเทศไทยภายในปี พ.ศ.2573 หรือเรียกว่านโยบาย 30@30 ดังนั้น เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล อว. จึงได้มีนโยบาย “อว.For EV” ใน 3 เสาหลัก ได้แก่ EV HRD หรือการผลิตกำลังคนให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เป้าหมาย 150,000 คนใน 5 ปี EV Transformation หรือการเปลี่ยนรถ ICE เป็นรถ EV ในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานของ อว. เป้าหมาย 30% ภายในปี 2030 และ EV Innovation เพื่อยกระดับผู้ประกอบการด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ผ่านความร่วมมือจากทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ และ ภาคเอกชน จำนวน 100 ราย โดยการจัดสรรทุนวิจัยจากกองทุน ววน. ประมาณ 3,000 ล้านบาทใน 5 ปี “ดังนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจและแสดงความพร้อมของหน่วยงานต่างๆ ในการขับเคลื่อนนโยบาย “อว. For EV” จึงได้มีพิธีลงนาม MOU ขึ้นโดยทุกหน่วยงาน ทุกองคาพยพของ อว.จะร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย อว. For EV โดยมหาวิทยาลัยพะเยาจะเป็นหน่วยงานแรกที่เปลี่ยนมาใช้รถบัส EV จำนวน 30 คัน คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกปีละ 3,000 ตัน และทุกมหาวิทยาลัยจะร่วมกันเพื่อนำไปสู่การเป็น Green Campus ทั้งประเทศหากมาตรการ EV Transformation บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย 5,000 คัน ภายในปี 2573 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงปีละ 500,000 ตัน” รมว.อว.กล่าว จากนั้น น.ส.ศุภมาส ได้ตรวจเยี่ยมการดำเนินการ อว.For EV ของมหาวิทยาลัยพะเยาที่เปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด พร้อมกับนำผู้บริหาร อว. และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดนั่งยานยนต์ไฟฟ้า โดย น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า ขอบคุณทุกหน่วยงานของ อว.ที่ช่วยกันดูแลโลก ดูแลประเทศของเรา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Go Green ของ อว. เพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ สิ่งที่ อว.จะเร่งดำเนินการคือการพัฒนาทักษะกำลังคน เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับการ Upskill กำลังคนในอุตสาหกรรมรถยนต์ควบคู่ไปด้วยกำลังคนที่ต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย กำลังคนด้านการออกแบบ การผลิต การพัฒนาซอฟท์แวร์ และการซ่อมบำรุง สถานีบรรจุและโครงสร้างพื้นฐาน คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามีความต้องการกำลังคนอย่างน้อยปีละ 5,000 คน ซึ่ง อว. ได้วางแผนการผลิตกำลังคนเหล่านี้ให้เพียงพอแล้ว “ที่สำคัญ หลังจากนี้ตนจะให้มีการดำเนินงานโครงการ อว. For AI ด้านการศึกษาและ อว.For PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญและให้สอดคล้องกับ อว. For EV เพราะเรามีนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์จากหลายหน่วยงานที่จะมาร่วมกันแก้ปัญหาให้กับประเทศ โดยขณะนี้จิสด้าได้ร่วมกับนาซ่าทำการศึกษาคุณภาพอากาศในประเทศไทย เพื่อนำมาช่วยในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศแล้ว“ น.ส.ศุภมาส ระบุ
ข่าวประชาสัมพันธ์