หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนเมษายน 2567
ข่าว ประกาศแล้ว รางวัลโครงงานนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 26 สวทช. จัดประชุมวิชาการประจำปี ‘NAC2024’ ชูงานวิจัย BCG Implementation พลิกโฉมประเทศ เอกชน ร่วมกับ สวทช. จัดสัมมนาการบริหารจัดการภาษีคาร์บอนให้เป็นผลกำไร เอ็มเทค สวทช. และ สวรส. ร่วมมือกับไทยวาโก้ เปิดตัวนวัตกรรมชุดบอดีสูท “เรเชล (Rachel)” นวัตกรรมสำหรับสังคมอายุยืน ช่วยในการเคลื่อนไหวและป้องกันการบาดเจ็บ สวทช.-โอสถสภา-หน่วยงานพันธมิตร ชู ‘สมุนไพร-ถั่วเขียว’ ยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่   ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม  สวทช.จัดโครงการรับนักเรียน ม.ปลาย-ครูวิทยาศาสตร์ ฝึกทักษะวิจัยภาคฤดูร้อนปี 2567 ‘รู้ให้ไว ไตไม่วาย’ ด้วยนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคไต อว. โดย สวทช. จับมือพันธมิตรนำร่องขยายผลใช้จริงในภาคอีสาน “รมว.ศุภมาส” หารือผู้บริหารเอกชนด้านเทคโนโลยีแนวหน้าของเกาหลีใต้ ดึงร่วมพัฒนา AI เพื่อการศึกษาไทย หนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต “รมว.ศุภมาส” ชื่นชม “DentiiScan” เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 3 มิติกะโหลกศีรษะและช่องปาก ผลงานวิจัยแนวหน้าของไทย “อว. For EV” เดินหน้า 23 หน่วยงาน MOU “ศุภมาส” ประกาศขับเคลื่อนประเทศสู่ Go Green นำร่อง ม.พะเยา เปลี่ยนใช้รถ EV ทั้งหมด ก่อนเปลี่ยนสู่ Green Campus ทุกมหาวิทยาลัย ภายใน 5 ปี ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ปีละ 5 แสนตัน สวทช. ขยายความร่วมมือ คอสเม่ เกาหลีใต้ ส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีและ สตาร์ตอัป สวทช. ผนึก สพฐ. เปิดกิจกรรมพิเศษ… ปั้นโครงงานมืออาชีพสำหรับห้องเรียนพิเศษ SMTE บริษัท รอยัล ชาร์ปเพนนิ่ง จํากัด มอบเงิน 33.4 ล้านบาท สนับสนุนกองทุนวิจัย สวทช. สวทช. ผนึก ล้ง หนุนเกษตรกรใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ลดสารเคมี สร้างมาตรฐานการส่งออก ตอบโจทย์ BCG ม.เกษตรฯ ไบโอเทค สวทช. และ วช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร จัดประชุมนานาชาติเรื่องโลกร้อนกับการปรับตัวของข้าว “รมว.ศุภมาส” หนุนภาคอุตสาหกรรมไทย รับมือมาตรการ CBAM (ปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน) ของ EU ทัพนักวิจัย สวทช. พร้อมแสดงนวัตกรรม BCG พลิกโฉมเศรษฐกิจและสังคมไทย ในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 “NAC2024” สวทช. จัดงานประชุมวิชาการประจำปี ‘NAC2024’ ชูงานวิจัย BCG Implementation พลิกโฉมประเทศ สวทช. จับมือ กสทช. – สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม – สมาคมคนตาบอด – มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ส่งเสริมการเข้าถึงบริการดิจิทัลโดยสะดวกถ้วนหน้า   Download เอกสารฉบับเต็ม (8.3 MB)
จดหมายข่าว สวทช.
 
เปิด 3 โครงการวิจัย สวทช. ได้รับทุน “ล้านช้าง-แม่โขง”
สวทช. เปิดตัว 3 โครงการวิจัยที่ได้รับทุนจากกองทุนพิเศษความร่วมมือ "ล้านช้าง-แม่โขง" (LMCSF Funded Project) ประจำปี 2566 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่มีสมาชิก 6 ประเทศลุ่มน้ำโขง ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ ไทย เวียดนาม และจีน มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมที่สำคัญ ให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์พัฒนาพื้นที่และขยายผลระดับภูมิภาค   สำหรับโครงการวิจัยของ สวทช. ที่ได้รับทุน "ล้านช้าง-แม่โขง" ประกอบด้วย 3 โครงการ ดังนี้   1.โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเห็ดบริโภคได้ เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่ยั่งยืนระหว่างประเทศในภูมิภาคแม่น้ำโขง จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)   2.โครงการส่งเสริมการผลิตมันสำปะหลังที่ยั่งยืน โดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภูมิภาคแม่น้ำโขง จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)   3.โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมในประเทศ และการจัดเตรียมร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ตามข้อกำหนดของโครงการรถไฟความเร็วสูง จากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค)
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
“ต่อกล้าอาชีวะ” ปี 67 ปั้นนวัตกรสายอาชีวะ สู่ Young Smart IoT Technician ด้วย IIoT เสริมแกร่งแรงงานในหลากอุตสาหกรรม S-Curve มุ่งสู่ Industry 4.0
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมศักยภาพในการพัฒนาผลงาน โครงการ "ต่อกล้าอาชีวะ" ปี 2567 : พัฒนา Young Smart IoT Technician ในระหว่างวันที่ 24-28 เมษายน 2567 มุ่งเสริมทักษะและความเข้าใจเทคโนโลยีด้าน IoT ให้กับผู้สอนและนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา 19 ทีม จาก 12 สถาบัน โดยนักศึกษาจะได้พัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สำคัญ อาทิ ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการคิดเชิงสร้างสรรค์  ทักษะการสื่อสาร และทักษะการทำงานเป็นทีม ด้านอาจารย์มีทักษะการเป็นโค้ชสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนการสอน เสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาให้พร้อมไปสู่การทำงานจริงในภาคอุตสาหกรรม หวังบ่มเพาะเยาวชนเป็นแรงงานนำองค์ความรู้เสริมกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการสู่ Industry 4.0 ในหลายอุตสาหกรรม S-Curve โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในอนาคต ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. กล่าวถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้งการพัฒนาบุคลากรวิจัย การสร้างแรงบันดาลใจ และการอัพสกิล-รีสกิลให้บุคลากรทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมถึงการร่วมพัฒนากำลังคนเพื่อเพิ่มทักษะแรงงานในภาคอุตสาหกรรม (Careers for the Future) และส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้าน วทน. ไปสู่การใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ ในส่วนของ เนคเทค ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาการขาดแคลนนักศึกษาระดับอาชีวะศึกษาที่มีทักษะด้านดิจิทัล และเชื่อว่าเทคโนโลยี Industrial Internet of Things (IoT) เป็นหนึ่งทักษะพื้นฐานสำคัญเพื่อที่จะช่วยยกระดับกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ Industry 4.0 อีกทั้งยังสอดคล้องกับผลสำรวจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเรื่องทักษะแรงงานในกระบวนการผลิตที่ผู้ประกอบการต้องการในปัจจุบันที่ต้องมีทักษะทางด้าน IIoT เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยตามแผนอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศ เนคเทคได้เริ่มนำร่องด้วยการพัฒนาหลักสูตร IoT และ IIoT ช่วยในพัฒนาทักษะนักศึกษาระดับอาชีวะศึกษา ทางด้านเทคโนโลยี IoT ตามโจทย์ที่ผู้ประกอบการต้องการ ได้แก่ Productivity, OEE, Production line monitoring, Warehouse management เป็นต้น ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้สัมผัสกับเครื่องมืออุปกรณ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังจะได้รับการพัฒนาทักษะอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะด้าน Soft Skills ตลอดจนแนวคิดแบบ Enterpreneur โครงการต่อกล้าอาชีวะมีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องและนับเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาทักษะให้กับกลุ่มอาชีวะที่ดีที่สุดหลักสูตรหนึ่งในประเทศ ดร. สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ โฆษกประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการในฐานะผู้กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การอาชีวศึกษา โดยคำนึงถึงบริบทของประเทศ ความต้องการของตลาดแรงงาน และทิศทางการพัฒนาของประเทศ มีความยินดีที่ทุกภาคส่วนทั้งภาคศึกษา ภาครัฐ และเอกชน ต่างร่วมมือกันดำเนินงานส่งเสริมทักษะของเยาชนสายอาชีพ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของ กระทรวงศึกษาธิการ  1) ผลิตและพัฒนากำลังคนสายอาชีพ ให้เป็นกำลังคนที่มีคุณภาพและสมรรถนะสูง ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ 2) เพิ่มโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบการเรียนรู้วิชาชีพ ด้วยรูปแบบวิธีการที่ยืดหยุ่น หลากหลาย ตอบสนองต่อความต้องการในการเรียนรู้และพัฒนาอาชีพของคนทุกช่วงวัย 3) เสริมสร้างและขยายภาคีเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการระดมทรัพยากร และยกระดับคุณภาพ การอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ 4) การยกระดับคุณภาพหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ ให้มีความทันสมัย ตอบโจทย์การศึกษาแห่งอนาคต และเชื่อมโยงกับมาตรฐานอาชีพหรือมาตรฐานการปฏิบัติงานทั้งในระดับชาติและระดับสากล 5) การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะสูงขึ้น 6) พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้และการบริหารจัดการด้วยระบบเทคโนโลยีดิจิทัล ดร.สุรพงษ์  เอิมอุทัย ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กล่าวว่าโครงการต่อกล้าอาชีวะมีเป้าหมายสอดคล้องกับแผนพัฒนาการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2560 – 2579 มีภารกิจในการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิชาชีพในระดับฝีมือ (ปวช.) ระดับเทคนิค (ปวส.) และระดับเทคโนโลยี (ปริญญาตรี สายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ) รวมทั้งการฝึกอบรมวิชาชีพจะช่วยเพิ่มพูนความรู้และการฝึกทักษะอาชีพให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรม คุณภาพ มุ่งหวังให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล โดยความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาทักษะแรงงานไทย ตอบโจทย์ความต้องการของสถานประกอบการ รวมถึงการประกอบอาชีพอิสระให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานในระดับสากล ขยายโอกาสทางการศึกษาทางวิชาชีพให้กับประชาชนทุกช่วงวัย คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพเยาวชนไทย  โดยให้การสนับสนุนโครงการพัฒนาเยาวชนมาอย่างต่อเนื่องจึงได้ร่วมมือกับ เนคเทค สวทช. ดำเนินกิจกรรม โครงการ "ต่อกล้าอาชีวะ" ซึ่งมีแผนการดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อการพัฒนาทักษะกำลังคนด้านดิจิทัลในระดับอาชีวศึกษา สร้างกลุ่ม Young Smart Technician สำหรับนักเรียน นักศึกษา และพัฒนาครูให้เป็น Technician Coaching Teacher ให้มีคุณภาพรองรับความต้องการของผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นสิ่งสำคัญที่ควรเร่งดำเนินการ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับรองรับภาคอุตสาหกรรมในอนาคต ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการ "ต่อกล้าอาชีวะ" ปี 2567 ภายใต้หัวข้อ “พัฒนา Young Smart IoT Technician”  มุ่งเน้นในการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี Industrial Internet of Things (IIoT) อันเป็นทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ให้กับน้อง ๆ เยาวชนอาชีวะศึกษา ผ่านการทำโครงงานที่มีโจทย์มาจากสถานประกอบการเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการ เป็นการบูรณาการความรู้จากห้องเรียนไปสู่การประยุกต์ใช้งานจริง นักศึกษาสามารถเลือก IoT Platform ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และการแก้ไขปัญหา รวมไปถึงการพัฒนาทักษะทางด้าน soft skill ต่าง ๆ เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการคิดเชิงสร้างสรรค์ ทักษะการสื่อสาร และทักษะการทำงานเป็นทีม อาจารย์มีทักษะการเป็นโค้ช สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาให้พร้อมไปสู่การทำงานจริง โดยในปีแรก ปี 2567 เน้นการพัฒนา Yong Smart IoT Technician ปี 2567 โครงการฯ จะนำร่องการสร้างกลุ่ม Young Smart Technician ด้วย เทคโนโลยี IIoT ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการยกระดับกระบวนการผลิตสู่ Industry 4.0 และสามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม S-Curve นอกจากนี้ยังวางแผนพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ที่เหมาะสม ทั้งกับครูผู้สอนและนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา เพื่อตอบเป้าประสงค์หลัก 3 ข้อ ได้แก่ อาจารย์และนักศึกษามีทักษะและความเข้าใจ เทคโนโลยีด้าน IoT ทั้งทักษะการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การเชื่อมต่ออุปกรณ์กับระบบอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการเลือก IoT Platform ได้เหมาะสมกับปัญหาและสถานการณ์ นักศึกษาพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่จำเป็น นักนักศึกษามีทักษะการคิดวิเคราะห์, ทักษะการคิดเชิงสร้างสรรค์, ทักษะการสื่อสาร และทักษะการทำงานเป็นทีม และอาจารย์มีทักษะการเป็นโค้ช เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาให้พร้อมไปสู่การทำงานจริง อาจารย์และนักศึกษาเข้าใจและสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อการจัดการเรียนการสอนและพร้อมสำหรับการฝึกประสบการณ์ในภาคอุตสาหกรรมภาคเอกชนเห็นความสามารถของนักศึกษา ก่อนรับเข้าฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการ โดยโครงการฯ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 มีอาจารย์และน้อง ๆ สมัครเข้าร่วมโครงการ 36 ทีม จากสถาบันอาชีวศึกษา 25 สถาบัน ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศ เป้าหมายคัดเลือกเพียง 20 ทีมเท่านั้นที่ผ่านเข้ามาร่วมค่ายการอบรมซึ่งในวันนี้ได้น้อง ๆ ทั้งหมด 19 ทีม จาก 12 สถาบัน ใน 10 จังหวัด ที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับทุนสนับสนุนการพัฒนาผลงาน จำนวน 30,000 บาท และชุดอุปกรณ์สื่อการสอน Rasbery Pie จำนวน 2 ชุด ให้กับอาจารย์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดในการเรียนการสอนวิทยาลัย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สุดคูล ! รีไซเคิลกระเบื้องตกเกรดเป็น ‘อิฐบล็อกช่องลม’ เพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานเซรามิก
  ‘สินค้ามีตำหนิ สินค้าตกเกรด’ เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่อุตสาหกรรมกระเบื้องและเซรามิกต้องเผชิญ เพราะนอกจากไม่สามารถจำหน่ายได้แล้ว การนำกลับไปบดเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ยังสามารถนำไปใช้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการสะสมจนกลายเป็นขยะอุตสาหกรรมปริมาณมหาศาลที่ยากต่อการจัดเก็บและต้องส่งกำจัด ซึ่งการส่งกำจัดนั้นนอกจากจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากในการจัดการแล้วยังส่งผลให้ไม่สามารถหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ประโยชน์ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุดอีกด้วย เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัด หากใช้โดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า ก็จะทำให้ทรัพยากรเหล่านี้หมดไปในอนาคตอันใกล้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด ยกระดับการผลิต นำเศษกระเบื้องเหลือทิ้งมาพัฒนาเป็น ‘ต้นแบบอิฐบล็อกช่องลม’ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดปริมาณขยะจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน   [caption id="attachment_55033" align="aligncenter" width="750"] ดร.อนุชา วรรณก้อน ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเซรามิกส์และวัสดุก่อสร้าง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.อนุชา วรรณก้อน ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเซรามิกส์และวัสดุก่อสร้าง เอ็มเทค กล่าวว่า ในการผลิตกระเบื้องปูพื้นและบุผนังแบบไม่เคลือบของบริษัทเคนไซฯ พบว่า แต่ละรอบการผลิตมีกระเบื้องมีตำหนิที่ไม่สามารถจำหน่ายได้ประมาณร้อยละ 5-10 และมีปริมาณสะสมเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา แม้ว่าที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ร่วมกับบริษัทเคนไซฯ พัฒนาต้นแบบ ‘คอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว’ จากการใช้เศษกระเบื้องและเซรามิกบดจนประสบความสำเร็จแล้ว แต่ก็ยังมีเศษกระเบื้องเหลืออยู่จำนวนมาก รวมถึงเศษผงเซรามิกขนาดเล็กที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ อีกทั้งเศษเซรามิกแบบมีเคลือบยังไม่เหมาะต่อการนำมาผลิตคอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว   [caption id="attachment_55039" align="aligncenter" width="750"] เศษกระเบื้องและเซรามิกเหลือทิ้งจากโรงงานที่ไม่สามารถจำหน่ายได้[/caption]   [caption id="attachment_55034" align="aligncenter" width="750"] เศษกระเบื้องและเซรามิกบด[/caption]   “ทีมวิจัยได้ประเมินเพื่อหาแนวทางที่สามารถใช้ประโยชน์จากผงเซรามิกและเศษเซรามิกแบบมีเคลือบได้ 100% รวมทั้งศึกษาเก็บข้อมูลการใช้และการหมุนเวียนทรัพยากรในระบบเพื่อออกแบบกระบวนการใหม่ที่ใช้ทรัพยากรและพลังงานให้น้อยที่สุด จนนำมาสู่การออกแบบและพัฒนากระบวนการผลิตอิฐบล็อกช่องลมที่ลดการพึ่งพาวัตถุดิบปฐมภูมิหรือทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้เศษเซรามิกเป็นวัตถุดิบตั้งต้นทดแทนวัตถุดิบปฐมภูมิจากแหล่งแร่ธรรมชาติ และใช้กระบวนการผลิตที่ไม่ต้องเผา” ผลการพัฒนา ‘ต้นแบบอิฐบล็อกช่องลม’ จาก ‘เศษเซรามิกบด’ พบว่า คุณสมบัติในด้านต่าง ๆ  เช่น กำลังรับแรงอัด การดูดซึมน้ำ และความหนาแน่น ใกล้เคียงกับอิฐบล็อกช่องลมทั่วไปที่วางขายตามท้องตลาด และสามารถนำมาใช้ทดแทนได้เป็นอย่างดี “ทีมวิจัยยังได้ประเมินการใช้ทรัพยากร ความเป็นไปได้ทางเทคนิคและทางเศรษฐศาสตร์พบว่า การนำเศษเซรามิกบดมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตอิฐบล็อกช่องลม สามารถใช้เซรามิกบดทดแทนวัตถุดิบปฐมภูมิที่เป็นมวลรวมต่างๆ ได้ 100% และเป็นกระบวนการผลิตที่ไม่ต้องเผา จึงช่วยลดต้นทุนการผลิตได้มาก และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่น้อยกว่า 20-30%” ดร.อนุชา กล่าว ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอิฐบล็อกช่องลมแก่โรงงาน เพื่อดำเนินการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ สำหรับใช้ต่อยอดเพื่อจำหน่ายต่อไปอนาคต   [caption id="attachment_55038" align="aligncenter" width="750"] นักวิจัยทดสอบสมบัติของต้นแบบอิฐบล็อกช่องลมที่ผลิตจากเศษเซรามิกบด[/caption]   [caption id="attachment_55037" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบอิฐบล็อกช่องลมที่ผลิตจากเศษเซรามิกบด[/caption]   [caption id="attachment_55035" align="aligncenter" width="750"] คุณชนัตถ์ ตันติวัฒน์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด[/caption]   ชนัตถ์ ตันติวัฒน์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด กล่าวว่า จากการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ทำให้บริษัทได้กระบวนการคิดและเทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยสามารถนำเศษเซรามิกบดมาใช้ประโยชน์ได้ 100% ช่วยให้เราเห็นหนทางที่จะมุ่งสู่ zero waste ได้ตามเป้าหมายของโรงงาน “ที่สำคัญเรายังได้มุมมองในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ คือไม่ได้มองเฉพาะแค่ภายในโรงงานหรือการนำของเสียมารีไซเคิลเท่านั้น แต่มองเห็นถึงผลกระทบและมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในภาพรวมของอุตสาหกรรมเซรามิกในประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในทุกภาคส่วน” การส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการให้สามารถออกแบบพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงคุณค่าของทรัพยากรและหมุนเวียนใช้ให้นานที่สุด รวมทั้งลดการปล่อยของเสียให้น้อยที่สุด จึงถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตได้บนฐานทรัพยากรที่ยั่งยืน     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนา “BCG Model เพื่อทางรอดอุตสาหกรรมไทยจากมาตการภาษีคาร์บอน” ฟรี (จำนวนจำกัด)
📢 พลาดไม่ได้!!! อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนา 🆓👉🏻"BCG Model เพื่อทางรอดอุตสาหกรรมไทยจากมาตการภาษีคาร์บอน" 🗓️วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.00 – 16.00 น. 📍 ห้อง MR223 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ในงาน INTERMACH2024 . 👉🏻สัมมนานี้เหมาะกับเจ้าของกิจการ ทายาทธุรกิจ ผู้บริหาร บุคลากรที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิต เครื่องจักร และอุตสาหกรรมอื่นๆ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม . 🔑ไฮไลท์ของงานสัมมนา ✅นโยบาย CBAM กับอุตสาหกรรมไทย ✅ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไรกับ CBAM ✅โอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการที่สนใจเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว ✅ เสวนาพิเศษ ”ทางรอดจากมาตรการ CBAM ด้วย BCG Implementation" . 📝ลงทะเบียน https://tsp.hubmember.com/event/bcg-model-cbam ฟรี รับจำนวนจำกัด !!! . ℹ️ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. 📧 bcd@nstda.or.th, connex@nstda.or.th 📲โทร.081 639 7284 (คุณจิรพร) Website: http://www.sciencepark.or.th/ facebook.com/THAILANDSCIENCEPARK
ปฏิทินกิจกรรม
 
วิกฤต ! ทั่วโลกกำลังเผชิญปรากฏการณ์ ‘ปะการังฟอกขาว’ ครั้งรุนแรงในรอบ 10 ปี
  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่ทวีความรุนแรง อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นทุกขณะกลายเป็นปัจจัยคุกคามที่นำมาสู่การเกิด ‘ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว’ (Coral Bleaching) ซึ่งทำลายพื้นที่แนวปะการังไปแล้วในหลายพื้นที่ทั่วโลก ล่าสุดเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายน 2567 องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ โนอา (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) โดยหน่วยเฝ้าระวังแนวปะการัง (Coral Reef Watch: CRW) ได้เปิดเผยผลการสำรวจติดตามการเปลี่ยนแปลงของมหาสมุทรและแนวปะการังทั่วโลกช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2567 พบว่าเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวแผ่ขยายเป็นวงกว้างในทะเลและมหาสมุทรทั่วทั้งเขตร้อน ทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย รวมไปถึงทะเลแคริบเบียน ทะแลแดง อ่าวเปอร์เซีย อ่าวเอเดน ไม่เว้นแม้แต่แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Great Barrier Reef ของออสเตรเลีย โดยครั้งนี้นับเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 4 นับตั้งแต่ที่หน่วยเฝ้าระวังแนวปะการังของโนอาได้สำรวจและบันทึกไว้ และเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา   [caption id="attachment_55551" align="aligncenter" width="1000"] แผนที่แสดงผลการสำรวจติดตามการเกิดปะการังฟอกขาวระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 - 10 เมษายน 2567 ของหน่วยเฝ้าระวังแนวปะการัง โนอา แสดงให้เห็นภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเครียดจากความร้อนในทะเลในระดับสูง (การแจ้งเตือนการฟอกขาวระดับ 2 -5) ที่สามารถทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการังทั่วทั้งแนวปะการังและอาจทำให้ปะการังตายได้ (เครดิตภาพ : NOAA)[/caption]   [caption id="attachment_55548" align="aligncenter" width="1000"] ภาพเปรียบเทียบปะการังปกติที่มีสีสันสวยงาม (ซ้าย) กับปะการังที่อยู่ในภาวะฟอกขาว (ขวา)[/caption]   ขณะเดียวกันในประเทศไทยก็เริ่มพบการเกิดปะการังฟอกขาวแล้วเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รายงานผลการติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวและติดตามอุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณเกาะยา จังหวัดตรัง พบปะการังเริ่มมีสีซีดจางและพบปะการังฟอกขาวประมาณ 1% ของปะการังมีชีวิตในพื้นที่สำรวจ โดยพบที่ระดับความลึกน้ำ 2–5 เมตร อุณหภูมิของน้ำทะเลมีค่าเฉลี่ย 31.80±0.37 องศาเซลเซียส (ระหว่างวันที่ 2–19 เมษายน 2567)   [caption id="attachment_55550" align="aligncenter" width="750"] เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง ติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวบริเวณเกาะยา จังหวัดตรัง (เครดิตภาพ : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง)[/caption]   สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดปะการังฟอกขาวมาจากการที่น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งน้ำทะเลบนโลกนี้มีปริมาณมหาศาล การที่อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มขึ้นแสดงว่าโลกของเราอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นมาก อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับคนเราอาจไม่รู้สึกถึงผลกระทบมากนัก แต่สำหรับปะการังแล้ว อุณหภูมิน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นเพียงองศาเดียวหมายถึงความเป็นความตายของปะการัง   [caption id="attachment_55549" align="aligncenter" width="750"] การเกิดปะการังฟอกขาว[/caption]   ทั้งนี้ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว  คือ ภาวะที่ปะการังมีสีซีดจางจนมองเห็นเป็นสีขาว ซึ่งเป็นผลมาจากการสูญเสียสาหร่าย Symbiodinium สาหร่ายขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง โดยปกติสาหร่ายกับปะการังจะอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพากัน ปะการังให้ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย ขณะที่สาหร่ายสังเคราะห์ด้วยแสงช่วยสร้างอาหารและคาร์บอนให้แก่ปะการังเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและสร้างโครงสร้างหินปูน และยังมีส่วนช่วยสร้างสีสันสวยงามให้แก่ปะการังที่ปกติจะมีเพียงเนื้อเยื่อใส ๆ เท่านั้น แต่เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น สาหร่ายจะผลิตออกซิเจนปริมาณมากซึ่งเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อของปะการัง ปะการังจึงขับสาหร่ายออกจากเนื้อเยื่อเพื่อลดปริมาณออกซิเจน เมื่อไม่มีสาหร่ายอาศัยอยู่แล้ว ปะการังเหลือเพียงเนื้อเยื่อใสที่เผยให้เห็นโครงสร้างหินปูนสีขาวที่อยู่ภายใน จึงเป็นที่มาของคำว่า “ปะการังฟอกขาว”   [caption id="attachment_55546" align="aligncenter" width="750"] การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันทำให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดปะการังฟอกขาว[/caption]   อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ของหน่วยเฝ้าระวังแนวปะการัง โนอา ได้เปิดเผยอีกว่าหากน้ำในมหาสมุทรยังคงอุ่นขึ้น ภาวะปะการังฟอกขาวก็จะยิ่งถี่และรุนแรงมากขึ้น และหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นรุนแรงและยืดเยื้อยาวนานเกินไป อาจส่งผลทำให้ปะการังตาย สร้างความเสียหายอย่างมากต่อระบบนิเวศในทะเลและส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อผู้คนที่ต้องพึ่งพาแนวปะการังในการดำรงชีวิต แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความสำคัญอย่างมากในท้องทะเล แม้ว่าแนวปะการังจะครอบคลุมพื้นที่ใต้ทะเลแค่ประมาณ 1% ของพื้นที่ใต้ทะเลทั้งหมด แต่ว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลประมาณ 25% ใช้ประโยชน์จากปะการัง ทั้งเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร อนุบาล และที่หลบภัย อีกทั้งยังมีประชากรกว่า 500 ล้านคนบนโลกที่ต้องอาศัยพึ่งพาประโยชน์จากแนวปะการัง มีประมาณการว่ามูลค่าที่ได้จากแนวปะการังทั่วโลกนั้นสูงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมาจากอุตสาหกรรมด้านการประมงและการท่องเที่ยว   [caption id="attachment_55554" align="aligncenter" width="750"] การเกิดปะการังฟอกขาวเป็นระยะเวลานานเกินไปอาจทำให้ปะการังตาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในทะเลและกระทบต่อเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรทางทะเล[/caption]   การฟอกขาวของปะการังที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่หากความเครียดที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดการฟอกขาวลดลงในช่วงเวลาที่ยังไม่สายเกินไป ปะการังก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ใหม่และเป็นที่พึ่งพิงให้แก่สรรพชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไป   ที่มา : NOAA confirms 4th global coral bleaching event SCI UPDATE : ‘ปะการังทนร้อน’ ทางรอดโลกวิกฤติ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
นานาสาระน่ารู้
 
บทความ
 
โครงการประกวดภาพถ่ายวิทยาศาสตร์ “วิทย์ติดเลนส์” ประจำปี 2567
การประกวดภาพถ่าย SCIENCE IS OUT THERE "วิทย์ติดเลนส์" ประจำปี 2567 อพวช. ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมถ่ายทอดมุมมอง เรื่องราว ประสบการณ์หรือความประทับใจ ผ่านภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายถึงความงามและความหมายของภาพ ที่สะท้อนความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์รอบตัวที่ประสบพบเจอในชีวิตประจำวัน โครงการวิทย์ติดเลนส์ ประจำปี 2567 ขอเชิญมาร่วมสังเกต ค้นหา ค้นพบ และแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์รอบตัวในชีวิตประจำวัน ผ่านภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายด้วยกัน เปิดรับผลงานแล้ว!!🥳 🎉ชิงรางวัลและลุ้นรับของที่ระลึก รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท🎉 ⏰ส่งผลงานวันนี้ - 30 เมษายน 2567⏰ 📍ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และส่งผลงานได้ที่ https://contest.nsm.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=115&Itemid=750 หรือ https://www.facebook.com/NSMThailand/posts/pfbid0wEnA7LiyA6todqVsAbc5T3Aa1hhdzJLoYmzo66Y7eMVvSa4AU1iymLYtj1xc9JXml ✅รับภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลทุกประเภท มือถือ แท็บเล็ต หรือโดรนก็ส่งได้ ✅ประเภทการประกวด : ผลงานยอดเยี่ยม และผลงานยอดนิยม ✅รุ่นการประกวด : ประชาชนทั่วไป และเยาวชน (อายุไม่เกิน 18 ปี) 💟มีใบประกาศนียบัตรให้กับเยาวชนที่มีผลงานผ่านเกณฑ์การประกวด
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
สวทช. จัดกิจกรรม “The Beauty of Solar Power” ปลูกฝังเยาวชนรักษ์โลก ผ่านเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกจากแสงอาทิตย์
       ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงถือเป็นปัญหาสำคัญระดับโลกในปัจจุบัน โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ร่วมกับอาจารย์และนักวิจัยในโครงการพัฒนานักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จัดกิจกรรม “The Beauty of Solar Power” ให้กับเด็กและเยาวชนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (EECi) จำนวน 40 คน เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ลงมือทำกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่สนุกและท้าทายเกี่ยวกับเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ แหล่งพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวว่า กิจกรรม “The Beauty of Solar Power” ที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมเด็กและเยาวชนได้พัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ พัฒนาทักษะการสังเกต รู้จักตั้งคำถามและค้นหาคำตอบด้วยตนเองผ่านกิจกรรมการทดลองสนุก ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็เป็นการปลูกฝังให้เยาวชนเข้าใจการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียนเพื่อช่วยลดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดด้วย กิจกรรม “The Beauty of Solar Power” เริ่มต้นด้วยการบรรยายเรื่องพลังงานจากแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่มีมากที่สุดในโลกและเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ดีต่อโลก โดย รองศาสตราจารย์ ดร.พงศกร กาญจนบุษย์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวัสดุศาสตร์และนวัตกรรมวัสดุ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโครงการการคัดเลือกผู้แทนเข้าร่วมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา ประจำปี 2559 ทำให้รู้ว่าการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และ “โซลาร์เซลล์” พลังงานจากแสงอาทิตย์ จะเป็นต้นแบบการรักษ์โลกอย่างยั่งยืนในอนาคต จากนั้นเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้กิจกรรมการทดลองโดยแบ่งเด็ก ๆ ออกเป็น 4 กลุ่มสลับกันเรียนรู้ใน 4 ฐานกิจกรรม ได้แก่ ฐานกิจกรรมที่ 1 “การปรับปรุงภาวะการเปียกของพื้นผิว (surface wettability) ด้วยเครื่อง UV ozone และการทดสอบ contact angle” ฐานกิจกรรมนี้ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการชอบน้ำและการไม่ชอบน้ำของวัสดุต่าง ๆ เช่น กระจก แผ่นเหล็ก จอกแหน เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักการผลิตสารเคลือบพื้นผิวโซลาร์เซลล์ ที่จะปรับค่ามุมสัมผัสของน้ำบนวัสดุ (water contact angle) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติการลดการเกาะของฝุ่นให้แก่พื้นผิว และให้ทำให้มีคุณสมบัติสะท้อนน้ำ โดยของเหลวที่ตกกระทบพื้นผิววัสดุที่ผ่านการเคลือบ จะมีลักษณะเป็นก้อนกลมกลิ้งไหล พอน้ำไม่มาติดจับวัสดุ สิ่งสกปรกรวมทั้งแบคทีเรียที่มากับน้ำก็จะไม่มาติดจับวัสดุด้วยเช่นกัน ฐานกิจกรรมที่ 2 “การผลิตฟิล์มบางเพอรอฟสไกต์” เด็ก ๆ จะได้ทดลองทำแผ่นโซลาร์เซลล์เอง ด้วยวิธีการทำฟิล์มบางเพอรอฟสไกต์สีต่าง ๆ จากกระบวนการเคลือบสารละลายเพอรอฟสไกต์ด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง ฐานกิจกรรมที่ 3 “การทดสอบการดูดกลืนแสงของโซลาร์เซลล์สีต่าง ๆ” ฐานกิจกรรมนี้ จะให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้คุณสมบัติของโซลาร์เซลล์และการดูดกลืนแสงสีต่าง ๆ ในช่วงคลื่นแสงที่ตามองเห็น และรู้จักวิธีนำไปประยุกต์ใช้งานในด้านต่าง ๆ ด้วย ฐานกิจกรรมที่ 4 “เรียนรู้สิ่งสำคัญของการทดสอบความสัมพันธ์กระแส-แรงดัน (I-V Curve) สำหรับระบบโซลาร์เซลล์” ฐานกิจกรรมนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับการตรวจวัดและทดสอบแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง โดยเด็ก ๆ จะได้ทดลองตรวจวัดประสิทธิภาพของซิลิกอนโซลาร์เซลล์ด้วย การจัดกิจกรรมในครั้งนี้น้อง ๆเยาวชน ได้เรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ศึกษาหาความรู้ สังเกต ตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตัวเอง ผ่านกิจกิจกรรมฐานความรู้ต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญกับการพัฒนาศัพยภาพและทักษะของเยาวชนในยุคปัจจุบัน   นางสาวกัลยากร มีใจดี นักเรียนชั้น ม. 5 โรงเรียนเมืองพัทยา 11 (มัธยมสาธิตพัทยา) กล่าวว่า ได้ความรู้เกี่ยวกับโซลาร์เซลล์มากขึ้น เช่น โซลาร์เซลล์สร้างขึ้นอย่างไร ประทับใจอาจารย์และนักวิจัยผู้ให้ความรู้ทุกท่าน มีประสบการณ์อย่างชำนาญและตอบทุกข้อสงสัยที่นักเรียนถาม มีความตั้งใจในการให้ความรู้ มีกิจกรรมการทดลองที่หลากหลาย และเข้าถึงได้ง่ายและเป็นกันเอง เด็กหญิงธมลวรรณ พสุพงศธร นักเรียนชั้น ม. 2 โรงเรียนบ้านฉางกาญจนกุลวิทยา กล่าวว่า ชอบกิจกรรมที่ได้ทำไปในวันนี้ ได้รับความรู้เกี่ยวกับโซลาร์เซลล์มากขึ้นและสามารถนำไปศึกษาเพิ่มเติมได้ และจะนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาและทำกิจกรรมวันนี้ไปเผยแพร่ให้กับคนอื่นด้วย นอกจากนี้ยังได้รู้แนวทางในการศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยต่อไปด้วย ทั้งนี้หน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในรูปแบบดังกล่าว และหัวข้ออื่น ๆ ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ติดต่อได้ที่โทรศัพท์ 02 564 7000 ต่อ  77215 , 77207 , 77288 หรือทางแฟนเพจ https://www.facebook.com/sciencecamp.fanpage  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ยกระดับ “ทุ่งกุลาร้องไห้” แหล่งปลูก “พืช-สมุนไพร” คุณภาพ
ยกระดับ 'ทุ่งกุลาร้องไห้' ส่งเสริม ปลูกพืช-สมุนไพรคุณภาพ ด้วยกลไก 'ตลาดนำการผลิต' เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยี-มีรายได้เพิ่ม ตามนโยบาย "เอกชนนำ-รัฐหนุน" ของกระทรวง อว.   สวทช. ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร และ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ติดตามความคืบหน้าโครงการ “การยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (ด้านพืช สมุนไพร)” เป็นความร่วมมือในการวิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกพืชสมุนไพร เพื่อเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ประกอบด้วย ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม   โดยโครงการดังกล่าว สวทช. นำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านต่างๆ ไปถ่ายทอดสู่เกษตรกร ตั้งแต่การส่งเสริมให้เกษตรกรทดลองปลูกฟ้าทะลายโจรสายพันธุ์ราชบุรี BT-1 ที่พัฒนาโดยนักวิจัย สวทช. , การใช้เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อขยายพันธุ์สมุนไพรปลอดโรค ตลอดจนเทคโนโลยีชุดตรวจวัดโลหะหนักในพืชสมุนไพร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพมาตรฐาน มีเป้าหมายส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ให้มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน  
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุระดับความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดขยะอาหาร
  หนึ่งในผลไม้จากประเทศไทยที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติสูงจนขึ้นแท่นเป็นพืชเศรษฐกิจ คือ ‘มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง’ ที่มีจุดเด่น คือ ผลใหญ่ เปลือกสีเหลืองทอง เนื้อละเอียด รสชาติหวาน แต่ด้วยมะม่วงสายพันธุ์นี้มีเปลือกสีเหลืองครีมตั้งแต่เริ่มสุกบนต้นหรือระยะที่ยังไม่พร้อมรับประทาน ทำให้แยกระดับความสุกจากการสังเกตสีเปลือกมะม่วงได้ยาก ทำให้ผู้บริโภคอาจพลาดโอกาสในการลิ้มรสมะม่วงในช่วงอร่อยที่สุดไป นักวิจัยไทยจึงนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์พัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มมูลค่าการส่งออก     กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง   [caption id="attachment_55181" align="aligncenter" width="750"] ดร.กมลวรรณ ธรรมเจริญ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.กมลวรรณ ธรรมเจริญ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า การพัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุก ทีมวิจัยได้นำลักษณะตามธรรมชาติของผลไม้ที่จะปล่อยก๊าซเอทิลีนและคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นตามระยะความสุกมาใช้ในการออกแบบเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณก๊าซ โดยทีมวิจัยเลือกตรวจจับก๊าซเอทิลีนเพราะให้ผลตรวจที่แม่นยำกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซที่มีอยู่ทั่วไปในสภาพแวดล้อม จึงอาจทำให้เกิดการแปลผลคลาดเคลื่อนได้ เซนเซอร์ที่ทีมพัฒนาขึ้นมีรูปแบบเป็นสติกเกอร์สำหรับแปะผลไม้ มีลวดลายเป็นวงกลม 2 ชั้น วงในเป็นตำแหน่งของเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณก๊าซเอทิลีนซึ่งจะมีสีเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความเข้มข้นของก๊าซหรือระดับความสุกของผลไม้ ส่วนวงนอกเป็นแถบสีสำหรับดูเปรียบเทียบระดับความสุก   [caption id="attachment_55182" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]   [caption id="attachment_55183" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]   “ทั้งนี้ทีมวิจัยได้เลือกพัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเป็นลำดับแรก เพราะเป็นผลไม้ที่สังเกตระดับความสุกได้ยาก เป็นผลไม้พรีเมียมที่เน้นคุณภาพ และมีตลาดระดับไฮเอนด์รองรับทั้งในไทยและต่างประเทศ ฉลากอัจฉริยะที่ทีมพัฒนาขึ้นระบุความสุกของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองได้ 3 ระดับ คือ ‘สีเขียวอ่อนอมเทา’ หมายถึงสุกน้อย มีรสชาติเปรี้ยว ‘สีเขียวอ่อน’ หมายถึงระดับสุกปานกลาง มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน และ ‘สีเขียวเข้ม’ หมายถึงผลไม้สุกพร้อมรับประทาน มีรสชาติหวาน (มีข้อความระบุบนฉลาก) ปัจจุบันฉลากอัจฉริยะที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วจะมีลักษณะการใช้งานแบบ 1 แผ่น ต่อ 1 ผล คาดว่าเมื่อผลิตในระดับอุตสาหกรรมแล้วจะมีราคา 1-2 บาทต่อแผ่น หรือหากผู้ประกอบการสนใจพัฒนาฉลากรูปแบบอื่น ๆ เช่น การติดภายในกล่องบรรจุภัณฑ์ก็สามารถวิจัยต่อยอดร่วมกันได้เช่นกัน”     ฉลากอัจฉริยะระบุความสุกไม่เพียงเหมาะกับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเท่านั้น แต่ยังพัฒนาเชิงประยุกต์เพื่อต่อยอดให้ใช้งานกับผลไม้อีกหลายชนิดที่อยู่ในกลุ่มบ่มให้สุกภายหลังการเก็บเกี่ยว และมีลักษณะผลที่สังเกตการสุกด้วยตาเปล่ายากได้ อาทิ ทุเรียน ขนุน อะโวคาโด กีวี่ ดร.กมลวรรณ อธิบายว่า ปัจจุบันต่างประเทศมีความต้องการฉลากอัจฉริยะสูงขึ้น ทั้งเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้และลดการเกิดขยะอาหารจากการบริหารจัดการสินค้าที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ IMARC Group บริษัทด้านการวิจัยตลาดต่างประเทศประมาณการไว้ว่า ‘ความต้องการฉลากอัจฉริยะจะสูงขึ้นในปี 2567-2575’ ด้วยค่า CAGR (compound annual growth rate) ที่ร้อยละ 11.4 หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.96 แสนล้านบาท) ในปี 2567 เป็น 2.97 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ล้านล้านบาท) ในปี 2575 จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะเริ่มลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้ไทย ซึ่งทีมวิจัยพร้อมเปิดรับโจทย์การวิจัยฉลากอัจฉริยะระบุความสุกของผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการต้องการ ฉลากอัจฉริยะระบุความสุกเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่นักวิจัย สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตผลทางการเกษตรของประเทศไทย และสนับสนุนการลดขยะอาหาร หนึ่งในตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งยกระดับเศรฐกิจฐานชีวภาพและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทย สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยะรัตน์ เซ้าซี้ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริการโครงสร้างพื้นฐาน นาโนเทค สวทช.อีเมล piyarath.sao@nanotec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
TAIST-Tokyo Tech – Announcement on List of eligible candidates who are called for Interview 2024 #2 round
Announcement on List of eligible candidates who are called for Interview in AIoT Program 2024 #2 round  Announcement on List of eligible candidates who are called for Interview in A2TE Program 2024 #2 round  Announcement on List of eligible candidates who are called for Interview in SERE Program 2024 #2 round 
ปฏิทินกิจกรรม
 
สรุปผลโครงการนำร่อง “วินมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” ในพื้นที่ “บางกรวย-บางพลัด”
ENTEC สวทช. ร่วมกับ กฟผ. และหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชน มอบใบคู่มือจดทะเบียนประจำรถ พร้อมสรุปผล "โครงการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับให้บริการสาธารณะในประเทศไทย" หลังจากนำร่องให้บริการสาธารณะเป็นระยะเวลา 1 ปี ในพื้นที่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี และ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร รวมจำนวน 50 คัน โดยการนำร่องโครงการตลอด 1 ปีที่ผ่านมา รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในโครงการมีอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน 32.41 Wh/km ส่วนระยะทางการขับขี่ในโครงการรวมทั้งสิ้น 759,354 กิโลเมตร คิดเป็นผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 38.8 ตัน โดยข้อมูลผลการศึกษาดังกล่าว จะนำไปสู่การวางแผนขยายผลการให้บริการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างทั่วประเทศ สำหรับโครงการดังกล่าว เพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศรองรับการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์นโยบาย อว. For EV ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มีเป้าหมายส่งเสริมการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อลดการปล่อยมลพิษ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต
คลิปสั้นทันเหตุการณ์