ผลการค้นหา :

ผู้อำนวยการ สวทช. นำทัพผู้บริหารเข้าร่วมงานและเยี่ยมชมงาน “SCG The Possibilities for Inclusive Green Growth”
(วันที่ 7 พฤษภาคม 2567) ณ เอสซีจี อาคารสำนักงานใหญ่ 1-2 บางซื่อ กรุงเทพฯ: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สวทช. เข้าร่วมงานและเยี่ยมชมงาน “SCG The Possibilities for Inclusive Green Growth” โดยมีนายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ให้การต้อนรับ โดยที่ผ่านมา เอสซีจี มีการพัฒนานวัตกรรมกรีน ภายใต้แนวคิด “Inclusive Green Growth” เพื่อให้สอดรับกับวิกฤตการณ์โลกเดือดที่ส่งผลกระทบรุนแรง อีกทั้งยังตอบโจทย์ในการช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และยกระดับคุณภาพชีวิต ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
สำหรับเยี่ยมชมครั้งนี้ คณะผู้บริหาร สวทช. ได้เยี่ยมชมผลงานเกี่ยวกับ “นวัตกรรมกรีน” เพื่อจำลองสังคมคาร์บอนต่ำ อาทิ การก่อสร้างสีเขียว การอยู่อาศัยอัจฉริยะ พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์คาร์บอนต่ำ พลังงานสะอาดครบวงจร กรีนโลจิสติกส์ พร้อมด้วยนวัตกรรมจากความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ชั้นนำรวมกว่า 100 นวัตกรรม
อย่างไรก็ตาม การเข้าเยี่ยมชม “SCG The Possibilities for Inclusive Green Growth” ของคณะผู้บริหาร สวทช. ครั้งนี้ เพื่อเป็นการศึกษาและต่อยอดการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยี เกี่ยวกับนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อให้เกิด Net Zero ร่วมกัน ตามแนวทางนโยบาย “เอกชนนำรัฐหนุน” ของ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ทำความรู้จัก สวทช. เพิ่มเติมได้ที่
Website: https://www.nstda.or.th
YouTube: https://www.youtube.com/@nstda
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/nstda/
Instagram: https://www.instagram.com/nstdathailand/
Twitter: https://twitter.com/nstdathailand
LINE OA: https://lin.ee/5LjT9Ny
Tik Tok: https://www.tiktok.com/@nstdathailand
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

กรมการแพทย์ ผนึก สวทช. พัฒนานวัตกรรมสุขภาพและการแพทย์ ดันงานวิจัยสู่การใช้จริง พึ่งพาตนเอง-ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุข
( 7 พฤษภาคม 2567) ที่ห้องประชุม SD202 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.วงศกร พูนพิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม สวทช. ให้การต้อนรับ นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ นำคณะผู้บริหารและนวัตกรของหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมการแพทย์ ประกอบด้วย สถาบันโรคผิวหนัง รพ.เลิดสิน รพ.ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี รพ.เมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ที่พัฒนาโดยนักวิจัย สวทช. พร้อมทั้งหารือความร่วมมือการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมการแพทย์ และ สวทช.
[caption id="attachment_56340" align="aligncenter" width="2560"] ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สืบเนื่องจากบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมการแพทย์ และ สวทช. ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการดำเนินงานโครงการวิจัย พัฒนา และขยายผลนวัตกรรมทางด้านสุขภาพและการแพทย์ ให้เกิดการพึ่งพาตนเอง ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุข และสร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม นั้น กรมการแพทย์ และ สวทช. จึงได้จัดกิจกรรมเยี่ยมชมและศึกษาดูงานนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ของแต่ละศูนย์วิจัยแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นวัตกรของหน่วยงานภายใต้กรมการแพทย์ได้เพิ่มโอกาสการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ ร่วมกับนักวิจัย สวทช. ตั้งแต่ระดับความพร้อมของเทคโนโลยีในระยะเริ่มต้นจนถึงการนำไปใช้งาน เพื่อเสริมสร้างแนวคิดนำไปสู่การต่อยอดการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม
“หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจากกิจกรรมครั้งนี้จะสามารถสร้างความร่วมมือในการดำเนินการวิจัย พัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ที่จำเป็น และเป็นที่ต้องการสำหรับระบบสาธารณสุขของประเทศรวมถึงการขยายความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในอนาคต” ดร.สมบุญกล่าว
[caption id="attachment_56341" align="aligncenter" width="2560"] นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์[/caption]
นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันกรมการแพทย์มีการดำเนินงานการพัฒนางานนวัตกรรมทางการแพทย์ ในรูปแบบของคณะกรรมการ คณะทำงาน และหน่วยงานสนับสนุนกลาง มีโครงสร้างบูรณาการหน่วยงาน ประกอบด้วย กองวิชาการแพทย์ สำนักดิจิทัลการแพทย์ สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ กองบริหารการคลัง และกองกฎหมายและคุ้มครองจริยธรรม
ที่ผ่านมา กรมการแพทย์ มีความร่วมมือกับ สวทช. และ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ในการสนับสนุนการดำเนินงานโครงการวิจัยพัฒนาและขยายผลนวัตกรรมทางด้านสุขภาพและการแพทย์ จนนำไปสู่การคุ้มครองและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา ยกระดับศักยภาพในการวิจัยและนวัตกรรมด้านสาธารณสุขของประเทศ มีแผนการดำเนินการร่วมกันในด้านต่าง ๆ เช่น การประเมินความพร้อมใช้ของเทคโนโลยี (TRL) การต่อยอดเชิงพานิชย์ผลงานนวัตกรรม การพัฒนาผลงานนวัตกรรมสู่การขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย อีกทั้งร่วมกันต่อยอดนวัตกรรมเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติความละเอียดสูง รุ่นที่ 2 (MiniiScan2.0) เพื่อขยายผลการใช้งานสำหรับห้องศัลยกรรมเพื่อประเมินขอบเขตก้อนเนื้องอกในเต้านม
ทั้งนี้ในการประชุมหารือความร่วมมือ ทีมนักวิจัย สวทช. ได้บรรยายสรุปผลงานการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพและการแพทย์ ซึ่ง นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ ให้ความสนใจนวัตกรรม อาทิ เครื่องซีทีสแกนคัดกรองมะเร็งแบบเคลื่อนย้ายได้ , โมชั่นเซนเซอร์เกมสำหรับฝึกและฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วย, เทคโนโลยีสารสกัดสมุนไพร ตลอดจน AI ที่เกี่ยวกับฐานข้อมูลทางการแพทย์ต่าง ๆ โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประสานความร่วมมือกับนักวิจัย สวทช. เพื่อร่วมกันพัฒนาต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมัครเข้าร่วมโครงการ “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า ปีที่ 2 – Carbon Neutral Society”
ขอเชิญชวน นักเรียน/นักศึกษา สมัครเข้าร่วมโครงการ “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า ปีที่ 2 - Carbon Neutral Society” โดยความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นการประกวดนวัตกรรมเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยลดคาร์บอน (Carbon neutrality 2050) โดยสามารถต่อยอดเป็นผลงานต้นแบบสู่การใช้ประโยชน์ และต่อยอดเป็นศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2567
ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประกวดสามารถลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการตามภูมิภาคของตนเอง
ได้ที่ https://www.lodplienlokproject.com หรือสแกน QR Code ในโปสเตอร์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : งานพัฒนาธุรกิจเชิงสังคม
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.
02 564 7100 ต่อ 6610 (นริศา), 6680 (ดร.ปิยะวรรณ)
Email : bitt-sbd@nanotec.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

DGT 2024 (Digital Govemance Thailand 2024)
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ สพธอ. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กำหนดจัดงาน "DGT 2024 (Digital Governance Thailand 2024)" (ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2) โดยแนวคิดในการจัดปีนี้คือ "Digital Momentum for the Future" โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2567 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน โดยภายในงานจะนำเสนอไอเดียพร้อมโซลูชั่นที่น่าสนใจที่ จะเป็น Momentum สำคัญทั้งในมิติของเทคโนโลยี Ai , Digital Platform , Digital Health Tech , Digital Workforce รวมไปถึง Digital Lifestyle โดยภายในงานจะมีทั้งในส่วนของ Stage Forum กับ Speaker ทั้งจากในและต่างประเทศ , Exhibition and Tech Market Booth และ Business Matching and Consulting Zone ซึ่งจะเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นสายบริหารวางยุทธศาสตร์ นักคิดสายเทคโนโลยี ผู้ประกอบการ คนทำงาน ผู้ให้บริการดิจิทัล (Sevice Provider) ตลอดจนบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจเทคโนโลยีดิจิทัล
(more…)
ข่าวหน่วยงานภายนอก

กระทรวง อว. จัดงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 5 ปี
(2 พฤษภาคม 2567) ณ อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหาร อว. โดยมี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.กระทรวง อว. น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.กระทรวง อว. พร้อมด้วย ผู้บริหารหน่วยงานภายใต้กำกับ กระทรวง อว. ซึ่งในโอกาสนี้ ศ.ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร. จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ได้เข้าร่วมในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และถวายพวงมาลัยสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระสยามเทวมหามงกุฎวิทยามหาราช รัชกาลที่ 4 เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับการก้าวสู่ปีที่ 5 ภายใต้ชื่อกระทรวงใหม่ คือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) (จากเดิม ใช้ชื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2545-วันที่ 2 พฤษภาคม 2562)
[caption id="attachment_56111" align="aligncenter" width="800"] นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)[/caption]
จากนั้น น.ส.ศุภมาส เปิดเผยว่า 5 ปีของการก่อตั้งกระทรวง อว. นับเป็น 5 ปีของ “ปัญญา โอกาส อนาคต” ของประเทศไทย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวง อว. ได้ขับเคลื่อนการปฏิรูปทั้งด้านการอุดมศึกษาและด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยตนได้วางนโยบาย 2 ด้าน คือ “เรียนดี มีความสุข มีรายได้” และ “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” พร้อมเดินหน้าปฏิรูปอุดมศึกษา โดยกำหนดเป้าหมายเน้นการสร้างคนสู่ศตวรรษที่ 21 ด้วยการสร้างคนที่มีความรู้ที่ดี มีทักษะและสมรรถนะ รวมถึงมีคุณลักษณะที่ดี รวมทั้งสร้างกลไกและเครื่องมือในการปฏิรูปให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน เพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น การจัดทำระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติหรือธนาคารเครดิต การจัดทำแผนที่ทักษะเพื่อระบุทักษะที่สำคัญในการทำงานในสาขาอาชีพสมัยใหม่และเป็นไปตามความต้องการของประเทศ หรือ Skill Mapping พร้อมทั้งจัดทำใบรับรองผลการเรียนที่ระบุทักษะของนักศึกษาว่ามีทักษะที่สอดคล้องกับการทำงานระดับใดบ้าง หรือ Skill Transcript เพื่อให้นักศึกษาและบัณฑิตสามารถนำไปใช้ในการทำงานหรือพัฒนาทักษะเพิ่มเติมตลอดจนการนำทักษะด้าน AI ที่เป็นทักษะที่สำคัญของโลกยุคปัจจุบันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา
รมว.กระทรวง อว.กล่าวต่อว่า ที่สำคัญคือการลดความเหลื่อมล้ำและกระจายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาผ่านระบบ TCAS ปี 2567 หรือการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยผ่านระบบการรับสมัครสอบกลาง ประจำปี 2567 ซึ่งถือเป็นประตูบานแรกในการก้าวสู่ระบบอุดมศึกษาของเยาวชนไทย ด้วยการสนับสนุนค่าสมัครสอบให้กับผู้เข้าสอบทุกคนฟรีในรอบแอดมิชชั่น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เป็นครั้งแรก และจะพยายามปลดล็อคทุกอุปสรรคในการเข้าถึงอุดมศึกษา เพื่อเด็กไทยทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ขณะที่ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ขับเคลื่อนนโยบาย “อว. For EV” ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ให้เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นความหวังของประเทศไทย ด้วยองค์ความรู้และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่กระทรวง อว. มี นอกจากนี้ยังมีนโยบาย “อว.For PM 2.5” และ “อว. For AI” รวมถึงนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านอวกาศของประเทศ เป็นต้น
“กระทรวง อว.ยังคงเดินหน้าปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง และจะทลายทุกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคของการปฏิรูปดังกล่าว ที่สำคัญในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ กระทรวง อว.จะจัดเสวนาพิเศษเนื่องในโอกาสการก่อตั้งกระทรวง อว. ครบรอบ 5 ปี เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากหลากหลายภาคส่วนว่ากว่าครึ่งทศวรรษที่ผ่านมาสังคมได้อะไรจากกระทรวง อว. และในอนาคตต้องการให้กระทรวง อว. ปรับตัวอย่างไรเพื่อนำประเทศไทยให้แข่งขันได้ จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจและอยากร่วมให้ความคิดเห็นมารับฟังกันได้” น.ส.ศุภมาส กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย เพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้จากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด
“ไฟไหม้สำเพ็งเร่งควบคุมเพลิง เหตุจากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด แล้วลามไปติดรถกับบ้าน” พาดหัวข่าวใหญ่เมื่อช่วงกลางปี 2565 เป็นเพียงหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้จากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทีมนักวิจัยไทยจึงพัฒนา “น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ภายใต้ชื่อ EnPAT” ที่ไม่เพียงช่วยป้องกันปัญหาไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดและบรรเทาความสูญเสียของประชาชน แต่ยังช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศ
[caption id="attachment_56046" align="aligncenter" width="700"] ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักของการเกิดไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด มาจากการที่น้ำมันซึ่งอยู่ในหม้อแปลงไฟฟ้าเกิดการลุกติดไฟ และเมื่อหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ทำให้น้ำมันที่ลุกติดไฟนี้กระจายไปสู่อาคารบ้านเรือนที่อยู่โดยรอบหม้อแปลงไฟฟ้า ส่งผลทำให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลาม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนซึ่งประเมินมูลค่ามิได้ อีกทั้งยังส่งผลถึงความไม่ไว้ใจของประชาชนต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบระบบไฟฟ้าอีกด้วย โดยน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ทั่วไปเป็นน้ำมันแร่ซึ่งผลิตมาจากปิโตรเลียม ทำหน้าที่เป็นฉนวนไฟฟ้าและช่วยระบายความร้อนในหม้อแปลงไฟฟ้า แต่ปัญหาสำคัญของน้ำมันแร่คือ อุณหภูมิจุดติดไฟต่ำ ทำให้ลุกติดไฟง่ายเมื่อเกิดเหตุหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัย ที่เรียกว่า “EnPAT” โดยการนำน้ำมันปาล์มมาปรับปรุงคุณภาพให้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการใช้งานในหม้อแปลงไฟฟ้า จนได้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีของคนไทย
[caption id="attachment_56048" align="aligncenter" width="700"] EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ผลิตด้วยเทคโนโลยีคนไทย[/caption]
“น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วไปจะมีจุดติดไฟไม่เกิน 170 องศาเซลเซียส แต่ “EnPAT” มีคุณสมบัติเด่นคือมีจุดติดไฟสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วไปถึง 2 เท่า จึงสามารถป้องกันไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดได้ ช่วยสร้างความปลอดภัยและเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ “EnPAT” สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เมื่อมีการรั่วไหลจะจัดการได้ง่ายและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต อีกทั้งเมื่อหมดอายุการใช้งานในหม้อแปลงไฟฟ้า ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดในลักษณะของสารพิษ เรียกได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์น้ำมันปาล์มถึงสองต่อ”
[caption id="attachment_56051" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบอุณหภูมิลุกติดไฟของน้ำมันแร่กับ EnPAT[/caption]
ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาต้นแบบระบบผลิตน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัย “EnPAT” ที่กำลังการผลิต 400 ลิตรต่อครั้ง และผ่านการทดสอบในสภาวะเร่งที่ห้องปฏิบัติการ ก่อนนำไปบรรจุในหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อนำร่องการใช้งานจริงต่อไป
[caption id="attachment_56047" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศุภฤกษ์ เห็นประเสริฐแท้ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศุภฤกษ์ เห็นประเสริฐแท้ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หม้อแปลงไฟฟ้าโดยปกติจะมีอายุใช้งานมากกว่า 20 ปี การพิสูจน์ประสิทธิภาพของ “EnPAT” จำเป็นต้องใช้เวลาทดสอบที่ยาวนาน ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยจึงออกแบบการทดสอบในสภาวะเร่ง โดยจำลองสภาวะการใช้งานที่หม้อแปลงไฟฟ้าต้องเผชิญกับอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เพื่อศึกษาการเสื่อมสภาพของน้ำมันและวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในหม้อแปลงไฟฟ้า ผลการทดสอบพบว่ากระดาษฉนวนภายในหม้อแปลงไฟฟ้าที่บรรจุ EnPAT เมื่อผ่านการทดสอบในสภาวะเร่งแล้วกระดาษฉนวนยังคงอยู่ในสภาพที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับกระดาษฉนวนในหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุน้ำมันแร่ที่แสดงการเสื่อมสภาพค่อนข้างมาก ทั้งนี้การเสื่อมสภาพของกระดาษฉนวนสามารถสื่อถึงอายุการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้า โดยผลการศึกษาบ่งชี้ว่า “EnPAT” สามารถใช้ทดแทนน้ำมันแร่ในหม้อแปลงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวโน้มที่จะช่วยยืดอายุหม้อแปลงไฟฟ้าให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
[caption id="attachment_56052" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบการลุกติดไฟของน้ำมันแร่กับ EnPAT เมื่อเกิดเหตุหม้อแปลงระเบิด[/caption]
โครงการนำร่องการใช้งานจริงของ “EnPAT” เริ่มดำเนินการในปี 2567 โดยได้ทำการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ “EnPAT” ในพื้นที่ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2567 ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และมีกำหนดการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ “EnPAT” ในพื้นที่ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ปลายปี 2567 โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตร 8 องค์กร ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัทเจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยผลการนำร่องการใช้งานนี้จะใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพฉบับแรกของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ต่อไป
“ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูง แต่หากเราผลิตได้เองภายในประเทศ จะทำให้มีต้นทุนต่ำลง ที่สำคัญ “EnPAT” ผลิตจากน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของไทย ซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล การนำน้ำมันปาล์มมาผลิตเป็นน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า จะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และยกระดับผลผลิตทางการเกษตรไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงในอุตสาหกรรมด้านโอลิโอเคมี ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่น้ำมันปาล์มได้หลายเท่า ส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและภาพรวมของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศ” ดร.ศุภฤกษ์ กล่าว
[caption id="attachment_56053" align="aligncenter" width="700"] นวัตกรรม EnPAT ช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และยกระดับปาล์มน้ำมันไทยไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง[/caption]
EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ผลงานวิจัยที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศให้มีศักยภาพในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG และสอดรับกับนโยบายของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ต้อนรับคณะมูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง เยี่ยมชมงานวิจัย BCG ในมิติความมั่นคง การแก้ไขปัญหาโลกเดือด
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ต้อนรับนักศึกษาหลักสูตรบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง มูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง นำโดย ดร.ก้องเกียรติ สุริเย ประธานหลักสูตรฯ พร้อมคณะ จำนวน 21 คน ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมศึกษาดูงานวิจัย BCG เกี่ยวกับความมั่นคง การแก้ไขปัญหาโลกเดือด และร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ให้การต้อนรับและนำเสนอภาพรวมการดำเนินงานและภารกิจของสวทช. พร้อมด้วยนักวิจัยร่วมต้อนรับและนำเสนอผลงานในหัวข้อ ดังนี้
[caption id="attachment_56367" align="aligncenter" width="2560"] ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ ด้วยยุทธศาสตร์ BCG โดย ดร.วงศกร พูนพิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม (RNM) สวทช.
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมรวมถึงการประยุกต์ใช้ และมาตรการการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีในมิติสิ่งแวดล้อม โดย คุณวันวิศา ฐานังขะโน ผู้ช่วยวิจัยอาวุโ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)
นอกจากนี้คณะฯ เข้าเยี่ยมชม ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) โดยมีทีมนักวิจัย นำโดย คุณอนุตตรา ณ ถลาง ดร.นิชชา จำเริญศักดิ์ศรี และ ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ ได้นำคณะเข้าเยี่ยมชมส่วนวิจัยและกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาวและการใช้ประโยชน์ข้อมูลชีวภาพ ประกอบด้วย งานวิจัยความสำคัญของชีวนิเวศจุลชีพ (microbiome) ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ กิจกรรมการอนุรักษ์พืชในรูปแบบเนื้อเยื่อปลอดเชื้อและเมล็ดพันธุ์ (plant tissue culture & seed bank) พร้อมทั้งชมการทำงานของเครื่องจัดเก็บชีววัตถุอัตโนมัติที่อุณหภูมิ -20 และ -80 °C (Automated Sample Storage System) และพิพิธภัณฑ์พืชและเห็ดรา BIOTEC Bangkok Herbarium (BBH)
ก่อนเดินทางกลับคณะฯ ได้เยี่ยมชม ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ณ อาคารแชมเบอร์ 10 เมตร โดยมี ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ฯ PTEC ให้การต้อนรับและนำเสนอภาพรวมการดำเนินงาน PTEC เป็นศูนยฯ เปิดให้บริการทดสอบ สอบเทียบ วิจัย พัฒนา ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในระบบยานยนต์ และการทดสอบ EMC สำหรับรถทั้งคัน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงช่วยผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมพลังงานรูปแบบใหม่ๆ ยกระดับเศรษฐกิจของประเทศและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ – สวรส. และพันธมิตร จัดประชุมวิชาการประจำปี การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทย
(วันที่ 1 พฤษภาคม 2567) : นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมงานประชุมวิชาการประจำปี สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ครั้งที่ 3 “Harnessing Genomics Thailand to Better Public Health: THE TIME IS NOW”
โดยมี ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา นายกสมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ และผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และผู้แทนองค์กร ผู้เกี่ยวข้องร่วมในพิธีเปิดงานประชุมฯ จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 1-3 พฤษภาคม 2567 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมวิชาการประจำปี สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ครั้งที่ 3 “Harnessing Genomics Thailand to Better Public Health: THE TIME IS NOW” ซึ่งโครงการ Genomics Thailand นี้เป็นความก้าวหน้าทางด้านพันธุศาสตร์มนุษย์ และได้ใช้เทคโนโลยีการถอดรหัสพันธุกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาการแพทย์อย่างก้าวกระโดด โดยเมื่อนำข้อมูลพันธุกรรมหรือข้อมูลดีเอ็นเอของผู้ป่วยมาใช้ในการวินิจฉัยป้องกันรักษาทำให้การแพทย์มีความแม่นยำและจำเพาะต่อบุคคล นำมาสู่การปรับเปลี่ยนกระบวนการให้บริการทางการแพทย์ในหลายโรค เช่น การป้องกันการแพ้ยาด้วยการตรวจยีน การป้องกันโรคมะเร็ง การคัดกรองทารกแรกเกิด เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยที่ดีขึ้นควรมีการนำนวัตกรรมด้านการแพทย์จีโนมิกส์มาใช้ระดับประเทศและจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมโดยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจรตามแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย พ.ศ. 2563-2567 โดยภายใต้แผนฯ นี้ ได้สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้เกิดฐานข้อมูลพันธุกรรมไทย 50,000 คน ศูนย์สกัดสารพันธุรรม และยังมีแผนการพัฒนาบุคลากร จำนวน 750 คน รวมถึงการจัดตั้งเครือข่ายวิจัยการแพทย์จีโนมิกส์ในประเทศไทย ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานสำคัญให้เกิดบริการการตรวจ และการวินิจฉัยที่ใช้ข้อมูลพันธุกรรม อย่างไรก็ตามหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนาบริการที่ประชาชนเข้าถึง ด้วยการบรรจุการบริการใหม่ด้านการตรวจพันธุกรรมเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพ เช่น การตรวจยีนเสี่ยงมะเร็งเต้านม และ การตรวจยีนเพื่อป้องกันผื่นแพ้ยารุนแรง ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการเทคโนโลยีใหม่ เพื่อให้คุณภาพชีวิตของคนไทยทัดเทียมกับประเทศอื่น
“การประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ครั้งที่ 3 เป็นเวทีด้านวิชาการที่ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง นักศึกษา นักวิจัย และบุคลากรที่ต้องการใช้เทคโนโลยีจีโนมในการตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันคือให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการแพทย์จีโนมิกส์ และเพื่อยกระดับคุณภาพการรักษาในประเทศไทย ส่งเสริมให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนลดภาระด้านงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศไทย”
ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา นายกสมาคมมนุษยพันธศาสตร์ และผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2562 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริม การศึกษา งานวิจัย และนวัตกรรม ที่เกี่ยวข้องกับพันธุศาสตร์มนุษย์ รวมถึงกิจกรรมสนับสนุนเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างเหมาะสมในด้านการศึกษาและวิจัยทางพันธุศาสตร์มนุษย์ เช่น แนวทางการพัฒนานโยบาย และแนวปฏิบัติที่คำนึงถึง ผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม
โดยเนื้อหาของการประชุมจะสร้างบรรยากาศเพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือและเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง นักศึกษา นักวิจัย และแพทย์ผู้สนใจในการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีจีโนมเพื่อยกระดับคุณภาพสาธารณสุขไทย งานประชุมจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2567 โดยได้รับเกียรติ จากวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมบรรยายจำนวน 56 ท่าน และมีวิทยากรจากหน่วยงานต่างประเทศคือ Harvard Medical School, Kunming Institute of Zoology, Chinese Academy of Sciences และ Zhejiang University, School of Medicine ร่วมบรรยาย ในการประชุมครั้งนี้ด้วย
“ตลอดการจัดงานมีผู้สนใจเข้าร่วมประชุมที่สถานที่จัดงานและเข้าร่วมประชุมทางระบบออนไลน์ กว่า 300 ท่าน จากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ภายในงานจะมีการนำเสนอผลงานวิจัยชั้นแนวหน้าทางด้านพันธุศาสตร์การแพทย์ของประเทศ ประสบการณ์ ผลการดำเนินงานของโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทยที่ผ่านมา และการเสวนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ของจีโนมิกส์ประเทศไทยทั้ง 5 กลุ่มโรค และ ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมระดับประชากรเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชากรกลุ่มเปราะบาง รวมถึงเวทีที่แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านชีวสารสนเทศที่จะเข้ามาช่วยให้เกิดการแพทย์จีโนมิกส์ในประเทศไทย โดยมีผู้สนับสนุนหลักในการจัดงานประชุมครั้งนี้คือ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาคเอกชนอีกหลายบริษัท”
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นเวทีสำคัญที่จะช่วยทำให้สังคมวงกว้างได้รับรู้ความก้าวหน้าของการของการดำเนินงานของโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย (Genomics Thailand) ซึ่ง สวรส. เป็นหน่วยประสานงานกลางในการขับเคลื่อนโครงการฯ โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก เพื่อสนับสนุนให้เกิดการนำข้อมูลพันธุกรรมของประชากรไทยมาประยุกต์ใช้ทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนระบบบริการการแพทย์ของประเทศ ให้เกิดมาตรฐานใหม่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และประชาชนสามารถเข้าถึงบริการการแพทย์แม่นยำได้อย่างมีคุณภาพ
นอกจากนี้ ในเวทียังได้มีการนำเสนอความก้าวหน้าทั้งในด้านการวิจัย การให้บริการ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจีโนมเพื่อประโยชน์ทางคลินิก การพัฒนาด้านกฎระเบียบ กฎหมาย จริยธรรมและผลกระทบเชิงสังคม การประเมินเทคโนโลยีเพื่อความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข การพัฒนาเชิงนโยบายด้านการแพทย์การสาธารณสุข ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศในอนาคต รวมทั้ง สวรส. ยังได้สนับสนุนการมอบรางวัลหน่วยงานดีเด่นด้านการพัฒนาระบบสาธารณสุขด้วยการแพทย์จีโนมิกส์ให้แก่ โรงพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี ต้นแบบที่น่าสนใจในการทำงานด้านจีโนมิกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายสถาบันวิจัยทางคลินิก/การบริการ และจากงานวิจัย ภายใต้การสนับสนุนในโครงการจีโนมิกส์ฯ นอกจากนี้ ในงานยังได้มีการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแด่ผู้ปฏิบัติงานทางด้าน Genomics Thailand เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ ได้แก่ ผศ.พิเศษ พญ.วิชญาภรณ์ เอมราช แซ่โง้ว และ นพ.ภาสกร วันชัยจิระบุญ อีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. โชว์ขุมพลังนวัตกรรมด้านการเกษตร ต้อนรับคณะผู้เยี่ยมชมจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
29 เมษายน 2567 – โครงการนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 109 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าเยี่ยมชมผลงานวิจัยด้านการเกษตร ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
คณะผู้เยี่ยมชมได้รับฟังบรรยายงานวิจัย และภาระกิจของ สวทช.ที่เกี่ยวข้องด้านการเกษตร อาทิ
กลไกการถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรสู่ชุมชน
การวิจัยพัฒนาวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร (African Swine Fever : ASF)
รักษ์น้ำ เทคโนโลยีการให้น้ำอัจฉริยะสำหรับควบคุมการให้น้ำในแปลงเกษตร
Magik Growth เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร
รวมถึงได้เยี่ยมชมผลงานวิจัยทางด้านการเกษตรจากศูนย์แห่งชาติ ที่น่าสนใจ อาทิ
ระบบฟาร์มรักษ์น้ำ: เทคโนโลยีการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เกษตรกรประหยัดน้ำ ทรัพยากร และลดต้นทุนการผลิต
Magik Growth: นวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวน
ปุ๋ยคีเลต: ปุ๋ยสูตรพิเศษที่ช่วยให้พืชดูดซึมธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืชผลทางการเกษตร
Agri-Map : เครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลด้านการเกษตรได้สะดวก รวดเร็ว และตรงความต้องการ
Linebot ข้าว และ สตรอว์เบอร์รี : แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคสตรอว์เบอร์รีผ่านภาพถ่าย เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมและทันท่วงที
วัคซีน ASF: วัคซีนป้องกันโรค ASF ในสุกร ช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากโรคระบาด
ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช: ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ใช้แทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
DAPBot (แดปบอท): แพลตฟอร์มสนับสนุนการจำแนกศัตรูพืชและการเข้าถึงชีวภัณฑ์เกษตร ในรูปแบบ Line Official
การเยี่ยมชมครั้งนี้ มุ่งหวังส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง สวทช. และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตรในอนาคตต่อไป
สำหรับผู้ที่สนใจผลงานวิจัยของ สวทช. สามารถเข้าดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/workings/outstanding-research/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นาโนเทคและไบโอเทค สวทช. วิจัยยกระดับสมุนไพรไทยจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ โชว์เคสแปรรูป ‘กระชายดำ’ สู่ ‘สารสกัดมูลค่าทองคำ’
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีพืชสมุนไพรหลายชนิดที่เจริญงอกงามได้ดีและมีสารสำคัญที่นำไปใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพและการแพทย์ได้มาก ถึงกระนั้นพืชสมุนไพรที่คนไทยผลิตและส่งออกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์สด อบแห้ง หรือบดอัดแคปซูล ซึ่งมีมูลค่าไม่สูงนัก สาเหตุสำคัญมาจากไทยยังขาดการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพที่อยู่ในพืชสมุนไพรอย่างลึกซึ้ง การพัฒนากระบวนการสกัดและนำส่งสารสำคัญเพื่อให้สารออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของพืชสมุนไพรไทยในสื่อระดับนานาชาติ เพื่อให้สินค้าจากประเทศไทยได้รับความสนใจและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยการดำเนินงานวิจัยยกระดับสมุนไพรไทยจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ มุ่งสร้างการเติบโตเศรษฐกิจฐานชีวภาพตั้งแต่ฐานรากอย่างยั่งยืน
ยกระดับสมุนไพรไทย จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ
ด้วยนาโนเทค สวทช. ตระหนักว่า การจะยกระดับสมุนไพรไทยไปสู่พืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงจำเป็นต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาตลอดทั้งสายการผลิต เพราะหากห่วงโซ่ใดไม่พร้อมก็ไม่อาจขับเคลื่อนการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนได้ การดำเนินงานวิจัยจึงเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ ‘คัดเลือกสายพันธุ์เด่น’ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพันธุ์ที่ให้สารสำคัญปริมาณสูง
[caption id="attachment_55814" align="aligncenter" width="750"] ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. และหัวหน้าทีมวิจัยสารสกัดมูลค่าสูงหรือ Herbal Xtract[/caption]
ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. และหัวหน้าทีมวิจัยสารสกัดมูลค่าสูงหรือ Herbal Xtract เล่าว่า ทีมวิจัยเริ่มต้นดำเนินงานจากการคัดเลือกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพสูง โดยสำรวจแหล่งเพาะปลูกพืชสมุนไพรหลายพื้นที่ในประเทศว่าที่ใดมีพื้นที่การเพาะปลูกสมุนไพรเป็นจำนวนมากบ้าง เพื่อเก็บตัวอย่างมาวิจัยว่า ‘มีสารสำคัญชนิดใดบ้างที่โดดเด่น’ และ ‘มีสารสำคัญปริมาณเท่าไหร่’ เพื่อให้ทราบถึงสายพันธุ์และแหล่งพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะแก่การวิจัยสร้างมูลค่าเพิ่ม ในขณะเดียวกันก็ได้ผสานความร่วมมือกับนักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ในการพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงต้นพันธุ์ปลอดโรคและกระบวนการปลูกที่จะทำให้พืชชนิดนั้นผลิตสารสำคัญได้มากยิ่งขึ้น ก่อนนำองค์ความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกร เพื่อผลิตวัตถุดิบคุณภาพดีและได้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการของตลาด พร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งด้านสุขภาพ ความงาม และการแพทย์
“ในส่วนของการพัฒนาสารสกัดมูลค่าสูง ทีมวิจัยนาโนเทคได้ดำเนินงานต่อโดยนำพืชสมุนไพรสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมาออกแบบกรรมวิธีการสกัดที่จะทำให้ได้สารสำคัญปริมาณมากและมีความบริสุทธิ์สูง ก่อนนำมาลดข้อด้อยและเพิ่มจุดแข็งทั้งด้านประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ การนำส่งสารออกฤทธิ์ และความคงตัวของสารด้วยกระบวนการที่เหมาะสม เช่น กระบวนการห่อหุ้มในระดับอนุภาคนาโน (nanoencapsulation) ก่อนนำสารที่ผ่านการปรับปรุงคุณสมบัติแล้วไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวต่อไป หลังจากนั้นหนึ่งในขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ตาม OECD guidelines ซึ่งเป็นการทดสอบในระดับมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่นาโนเทควิจัยมีประสิทธิภาพสูงทั้งด้านการบำรุงรักษาและความปลอดภัยในการบริโภค
“ทั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งภารกิจที่นักวิจัยนาโนเทคให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและทำคู่ขนานกันไปตลอด คือ การเรียบเรียงข้อมูลผลงานวิจัยเพื่อนำเสนอผ่านวารสารวิชาการในระดับนานาชาติ เพราะยิ่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากประเทศไทยได้มาก จะยิ่งเป็นผลดีต่อการจำหน่ายสินค้าในตลาดโลก”
[caption id="attachment_55812" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
Black to Gold กระชายดำสู่สารสกัดมูลค่าทองคำ
หนึ่งในพืชสมุนไพรที่ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. กำลังพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์แนวหน้าในกลุ่มเวชสำอางของประเทศไทย คือ ‘กระชายดำ (black ginger)’ หรือที่มีการขนานนามว่า ‘โสมไทย’ เพราะพืชชนิดนี้มีสรรพคุณขึ้นชื่อด้านการบำรุงและรักษาร่างกาย ทำให้มีการนำมาใช้ผลิตยาตามตำรับแพทย์แผนไทยมายาวยาน นอกจากนี้กระชายดำที่ปลูกในประเทศไทยยังมีปริมาณสารสำคัญสูงกว่าประเทศอื่นด้วย
[caption id="attachment_55816" align="aligncenter" width="750"] ดร.มัตถกา คงขาว นักวิจัย กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.มัตถกา คงขาว นักวิจัย กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีแม้ทางการแพทย์แผนไทยจะรู้ว่ากระชายดำเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก มีการนำมาใช้ผลิตยาตำรับต่าง ๆ อย่างหลากหลาย แต่ด้วยสีของสารสกัดกระชายดำที่เป็นสีเข้มเฉดม่วงถึงดำ จึงไม่นิยมนำมาใช้ผลิตเวชสำอางสำหรับผิวหน้าและผิวกาย จากข้อจำกัดดังกล่าวทีมวิจัยจึงพัฒนากระบวนการแยกสารสีเข้มออกจากสารสกัดจนได้เป็นสารสกัดสีเหลืองทอง ซึ่งเมื่อนำมาทดสอบประสิทธิภาพด้านการออกฤทธิ์แล้วพบว่า สารสกัดออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านการลดจำนวนเซลล์ชรา (เป็นเซลล์ที่ทำลายเซลล์ดีอื่น ๆ) ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ เสริมสร้างคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างอีลาสตินและไฮยาลูรอนิก เพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ และสามารถเพิ่มความยาวของปลายโครโมโซม ซึ่งเหมาะแก่การใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอางเป็นอย่างยิ่ง โดยทีมวิจัยได้ตั้งชื่อสารสกัดนี้ว่า ‘BlackGold’
[caption id="attachment_55808" align="aligncenter" width="500"] กระชายดำ[/caption]
“ภายหลังจากการนำสารสกัดที่ได้ไปผ่านกระบวนการลดข้อด้อยด้านความสามารถในการละลายต่ำและเพิ่มจุดแข็งด้านการออกฤทธิ์ การนำส่ง และความคงตัวของสาร ทีมวิจัยได้นำสารที่พัฒนามาใช้เป็นสารสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอางตำรับต่าง ๆ ต่อ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยจนพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบำรุงผิวเพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยทั้งในรูปแบบซีรัมและครีม นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการทดสอบโดยอาสามาสมัครหรือทดสอบในระดับคลินิก (clinical test) จำนวน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมเพื่อลดการหลุดร่วง และกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมบรรเทาอาการปวดเมื่อยร่างกาย
“สำหรับการพัฒนาต่อยอดในรูปแบบผลิตภัณฑ์ ทีมวิจัยอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากผลจากการวิจัยพบว่านอกเหนือจากประสิทธิภาพด้านชะลอวัย (anti-aging) แล้ว สารสกัดกระชายดำ (BlackGold) ยังมีฤทธิ์ด้านการลดการสะสมของไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ และระดับน้ำตาลในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคในกลุ่ม NCDs ทั้งนี้คาดการณ์ว่าการนำกระชายดำสดมาแปรรูปเป็นสารสกัดเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและการแพทย์ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมาก โดยกระชายดำสดมีราคาขายในช่วง 80-130 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนสารสกัดกระชายดำ (BlackGold) ที่ได้มาตรฐานคาดว่าจะมีราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 100,000 บาทต่อกิโลกรัม”
[caption id="attachment_55813" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
นอกจากการวิจัยพัฒนาสมุนไพรไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นาโนเทค สวทช. ยังพร้อมให้บริการด้านการวิจัยแก่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยแบบครบวงจร (one-stop service) ทั้งการวิจัยประสิทธิภาพของสารสำคัญ การวิจัยกระบวนการสกัด การวิจัยกระบวนการลดข้อด้อยและเพิ่มจุดแข็งให้แก่สารสกัดสมุนไพร ไปจนถึงการพัฒนาตำรับเวชสำอาง การผลิตผลิตภัณฑ์ด้วยโรงงานต้นแบบ และการทดสอบความปลอดภัย
ดร.มัตถกา อธิบายว่า นาโนเทค สวทช. มี ‘โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง (nanoparticle & cosmetic production plant)’ สำหรับให้บริการการผลิตด้วยมาตรฐาน ASEAN cosmetic GMP ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยรับผลิตผลิตภัณฑ์ที่พร้อมต่อยอดสู่ระดับอุตสาหกรรมทั้งที่วิจัยและพัฒนาโดยนาโนเทค สวทช. และจากสถาบันวิจัยอื่น ๆ ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการให้บริการเครื่องจักรที่โรงงานในประเทศไทยยังไม่มีในครอบครอง และผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อให้ภาคเอกชนใช้ทดลองตลาดก่อนขยายสู่การลงทุนด้านเครื่องจักรในระดับอุตสาหกรรม หรือก่อนทำสัญญาการผลิตปริมาณมากกับบริษัทที่ให้บริการด้าน OEM โดยตรงเท่านั้น
[caption id="attachment_55815" align="aligncenter" width="750"] ดร.รัตน์จิกา วงศ์วนากุล นักวิจัยทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ (NSB) กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.รัตน์จิกา วงศ์วนากุล นักวิจัยทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ (NSB) กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย นาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลเสริมเรื่องการทดสอบความปลอดภัยว่า ทีมวิจัยซึ่งมี ดร.ศศิธร เอื้อวิริยะวิทย์ เป็นหัวหน้าทีม มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา ‘แบบจำลองเซลล์จากอวัยวะต่าง ๆ ทั้งรูปแบบ 2 มิติ, 3 มิติ, ex vivo และแบบจำลองปลาม้าลายเพื่อทดแทนการใช้สัตว์ทดลอง’ โดยเชี่ยวชาญทั้งการทดสอบด้วยวิธีมาตรฐาน (standard methods) และวิธีที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ (in house developed methods) โดยพร้อมให้บริการทั้งการทดสอบความปลอดภัยและฤทธิ์ทางชีวภาพของตัวอย่างที่ส่งตรวจ อาทิ สารสกัดสมุนไพร สารเคมี ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และยังพร้อมให้บริการทดสอบรวมถึงให้คำปรึกษาและวางแผนการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เวชสำอางด้วย ‘แบบจำลองเซลล์และเนื้อเยื่อผิวหนังและช่องปาก’ อาทิ เซลล์ผิวหนังและช่องปากมนุษย์แบบ 2 มิติ เนื้อเยื่อผิวหนังและช่องปากมนุษย์แบบ 3 มิติ ชิ้นส่วนผิวหนังมนุษย์ (human ex vivo skin model)
“สำหรับการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่เปิดให้บริการสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ๆ ทีมวิจัยได้พัฒนา ‘แบบจำลองเซลล์และเนื้อเยื่อจากอวัยวะอื่น ๆ’ อาทิ แบบจำลองเนื้อเยื่อลำไส้แบบ 3 มิติ แบบจำลองเนื้อเยื่อปอด แบบจำลองเซลล์ตับอ่อน แบบจำลองเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน แบบจำลองปลาม้าลาย เพื่อใช้ในการทดสอบเพื่อสนับสนุนข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ สำหรับนำไปใช้ต่อยอดด้านการวิจัยและพัฒนา สร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นข้อมูลประกอบในการขึ้นทะเบียนและส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย”
[caption id="attachment_55817" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
การวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่ากระชายดำเป็นเพียงหนึ่งในผลงานเด่นด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สมุนไพรไทย ตัวอย่างพืชสมุนไพรแนวหน้าอื่น ๆ ที่ทีมวิจัยกำลังวิจัยและพัฒนาหรือมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เช่น บัวบก กะเพรา ขมิ้นชัน กระท่อม ว่านหางจระเข้ ทั้งนี้การวิจัยและพัฒนาทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยให้เติบโตตั้งแต่ระดับฐานรากจนถึงภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือใช้บริการด้านการวิจัยและพัฒนา ติดต่อสอบถามได้ที่ งานนพัฒนาธุรกิจ นาโนเทค สวทช. อีเมล์ bitt-bdv@nonotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ชุมพล พินิจธนสาร ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

3 สาเหตุ! เสี่ยงโดน ‘ไฟฟ้าดูด’ หากใช้มือถือขณะชาร์จแบตฯ
ปรากฏข่าวอยู่บ่อยครั้งสำหรับอุบัติเหตุผู้ถูกไฟฟ้าช็อตระหว่างการใช้มือถือในขณะชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งหลายกรณีมีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้มือถือขณะชาร์จถูกไฟฟ้าดูด ซึ่งอาจเกิดได้จาก
หัวชาร์จชำรุดหรือไม่ได้คุณภาพหัวชาร์จ (adapter) มีหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสสลับ 220 โวลต์ให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงระดับแรงดันไม่เกิน 5 โวลต์ อีกทั้งยังกันไฟฟ้า 220 โวลต์ไม่ให้ส่งถึงผู้ใช้งานได้ แต่ถ้าหัวชาร์จชำรุดหรือไม่ได้คุณภาพทำให้ไฟฟ้ารั่ว และเมื่อผู้ใช้ไปสัมผัสอาจเกิดอันตรายได้
สายชาร์จไม่ได้คุณภาพเมื่อใช้งานไประยะหนึ่งและเกิดการชำรุดฉีกขาดอาจเสี่ยงต่อการลุกไหม้ หรือเมื่อผู้ใช้มือถือสัมผัสสายชาร์จขณะใช้งานก็อาจเกิดอันตรายจากไฟรั่วได้
อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านเกิดไฟรั่ว เนื่องจากใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ถูกต้อง หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเสื่อมสภาพเนื่องจากใช้งานมาเป็นเวลานาน
ดังนั้นการใช้มือถือขณะชาร์จแบตเตอรี่อาจไม่ปลอดภัย จึงควรหลีกเลี่ยง หรือพิจารณาใช้แบตเตอรี่สำรอง (power bank) ชาร์จแบตเตอรี่มือถือแทน
ข้อมูลจาก : ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.
อ้างอิงข้อมูลจาก : www.mtec.or.th/post-knowledges/47282/
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
นานาสาระน่ารู้
บทความ

ขอเชิญน้อง ๆ ที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป หรือบุคลากรทางการศึกษา/ผู้ปกครองโฮมสคูล ร่วมฝึกทักษะวิทยาการคำนวณ ด้วยการสมัครเข้าร่วมค่ายหุ่นยนต์ KidBright JR-BOT
โค้งสุดท้ายก่อนเปิดเทอม
.
ขอเชิญน้อง ๆ ที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป หรือบุคลากรทางการศึกษา/ผู้ปกครองโฮมสคูล ร่วมฝึกทักษะวิทยาการคำนวณ ด้วยการสมัครเข้าร่วม
#ค่ายหุ่นยนต์ KidBright JR-BOT
วันที่ 1-2 พฤษภาคม 2567 (รวม 2 วัน) ณ อาคารสราญวิทย์
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : Thailand Science Park -TSP อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี
.
ค่าสมัครเข้าร่วมกิจกรรม : 3,200 บาท/คน
.
สมัครเข้าร่วมกิจกรรม https://forms.gle/6cPBMmo6YHCxXJoT7
.
สิ่งที่จะได้รับ :
1. KidBright32iA JR-BOT ชุดหุ่นยนต์อัตโนมัติขนาดเล็ก
มูลค่า 2,996 บาท 1 ชุด
2. ประกาศนียบัตรรับรองการเข้าร่วมกิจกรรมจาก สวทช.
*สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมครบถ้วนเท่านั้น*
3. อาหารว่างและอาหารกลางวันตลอดวันจัดกิจกรรมทั้ง 2 วัน
.
กิจกรรมนี้เหมาะกับ :
น้อง ๆ ที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป ที่ต้องการฝึกทักษะวิทยาการคำนวณ
ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา หรือผู้ปกครองโฮมสคูล ที่ต้องใช้ทักษะด้านนี้สำหรับเด็กในความดูแล
.
ดำเนินงานโดย : NSTDA Shop ร่วมกับ INEX
.
ปฏิทินกิจกรรม