ผลการค้นหา :

ShrimpGuard สารชีวภาพต้านโรคกุ้ง
กระทรวง อว. โดย สวทช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร แถลงเปิดโครงการ ShrimpGuard เป็นโครงการความร่วมมือการพัฒนาสูตรผสมของแบคทีริโอฟาจ (bacteriophage) หรือฟาจ (phage) และสารเสริมชีวนะเพื่อต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย Vibrio spp. ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะในกุ้งเลี้ยง โดยจะเป็นสารชีวภาพที่นำมาใช้ป้องกันและควบคุมเชื้อแบคทีเรียก่อโรคระหว่างการเพาะเลี้ยงกุ้ง มีเป้าหมายเพื่อให้เป็นสารชีวภาพทางเลือกที่จะนำไปใช้ในการควบคุมเชื้อก่อโรคในการเพาะเลี้ยงกุ้ง จะเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนากุ้งพรีเมียมปลอดโรค และปลอดภัยต่อผู้บริโภค เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งของไทยและอาเซียนครั้งสำคัญ สู่การเป็นผู้นำการส่งออกของตลาดโลก
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

“ศุภมาส” นำทีมคณะผู้บริหาร อว. ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พิธีทำบุญตักบาตร และลงนามถวายพระพร เฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
“ศุภมาส” นำทีมคณะผู้บริหาร อว. ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พิธีทำบุญตักบาตร และลงนามถวายพระพร เฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ และกิจกรรมวันแม่แห่งชาติในทุกจังหวัด
(วันที่ 12 สิงหาคม 2567) ณ บริเวณท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. และคณะผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้งแด่พระสงฆ์และสามเณร 193 รูป ถวายพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ทั้งนี้ ดร. กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย
จากนั้น ณ ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง
นางสาวศุภมาส นำคณะผู้บริหารกระทรวง อว. และหน่วยงานในสังกัด ทูลเกล้าฯถวายแจกันดอกไม้สดและลงนามถวายพระพรชัยมงคลเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ อาทิ ด้านการศึกษา การประกอบอาชีพ สุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง พระองค์ทรงอุทิศกำลังพระวรกาย และกำลังพระสติปัญญา เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์และเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยตลอดมา
“กระทรวง อว. ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยจากทั่วทุกมุมโลก ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2567 และเข้าร่วมกิจกรรมวันแม่แห่งชาติ ซึ่งมีกำหนดจัดในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหาคร และต่างจังหวัด หรือร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ www.royaloffice.th ระหว่างวันที่ 11 – 13 สิงหาคม 2567 " นางสาวศุภมาส กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

แกะกล่องงานวิจัย : ‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตให้บริการวินิจฉัยโรคด้วย AI ยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที ให้บริการฟรีผ่านแอปพลิเคชันไลน์
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
วันที่ 12 สิงหาคม นอกจากจะเป็นวันแม่แห่งชาติแล้ว ยังเป็นวันเริ่มต้นทำนาแบบนาปีของคนไทย ดังคำที่ว่า 'ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ' (12 สิงหาคม - 5 ธันวาคม ระยะเวลาประมาณ 120 วัน สอดคล้องกับระยะเวลาการโตของต้นข้าว) เพราะช่วงเดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่มีน้ำฝนตามธรรมชาติมาให้ชาวนาได้ใช้ในการเพาะปลูกข้าวเพื่อลดการพึ่งพิงระบบชลประทาน
โดยหากขณะทำนา เกษตรกรบังเอิญพบเจอความผิดปกติของต้นข้าว สวทช. ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนา 'บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)' แชตบอตบริการวินิจฉัยโรคข้าวด้วย AI ไว้แล้ว เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้าน #การตรวจสอบโรคข้าว #พร้อมให้คำแนะนำวิธีรับมือที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที แก่เกษตรกร การใช้งานบอทโรคข้าวทำได้ง่ายเหมือนแชตไลน์คุยกับเพื่อน ที่สำคัญใช้งานฟรี 24 ชั่วโมง
📌 2) ดีอย่างไร ?
‘บอทโรคข้าว’ ผ่านการออกแบบให้ใช้งานง่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งเกษตรส่วนใหญ่ต่างใช้งานจนคุ้นเคยเป็นทุนเดิม วิธีใช้งานคือ เมื่อเกษตรกรพบเห็นความผิดปกติของต้นข้าวในแปลงนา ให้ถ่ายรูปรอยโรคแล้วส่งรูปเข้าหน้าแชต จากนั้นระบบจะวินิจฉัยโรคด้วย AI แล้วตอบผลการวิเคราะห์พร้อมให้คำแนะนำในการควบคุมโรคภายใน 3-5 วินาที ช่วยให้เกษตรกรประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรค นอกจากนี้ระบบยังใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยให้เกษตรกรมีความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น
📌 3) ตอบโจทย์อะไร ?
การที่เกษตรกรเข้าถึงเครื่องมือวินิจฉัยโรคข้าวที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยยับยั้งการลุกลามของโรคระบาดในพื้นที่และในภาพรวมของประเทศได้อย่างทันการณ์ ช่วยพลิกสถานการณ์จาก 'ทำมากแต่ได้น้อย' สู่ 'ทำน้อยแต่ได้มาก'
นอกจากนี้การที่ผู้พัฒนาเทคโนโลยีออกแบบแชตบอตโดยคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นเกษตรกรตั้งแต่ต้น ทำให้เทคโนโลยีนี้มีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการทำการเกษตรแบบสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี และยังเป็นสัญญาณดีของการที่ประเทศไทยเริ่มให้ความสำคัญในประเด็น digital inclusion หรือการที่คนไทยทุกคนควรเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้นด้วย
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ?
ให้บริการเทคโนโลยีแล้ว เข้าร่วมกลุ่มแชตบอตได้ผ่านการสแกนเพื่อแอดไลน์
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคเพื่อยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

10 Technologies to Watch 2024: แฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Healthcare)
จะดีกว่าหรือไม่หากในอนาคตเมื่อเราเจ็บป่วย จะรู้ผลการรักษาก่อนเข้ารับการรักษาจริงได้ เลือกรับวิธีการรักษาที่เหมาะกับเราที่สุดได้ หรือกระทั่งทราบถึงความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือเตรียมพร้อมเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ภาพฝันเหล่านั้นเป็นจริงได้ด้วยแฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Healthcare)
เทคโนโลยีแฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ คือ ระบบที่ทำหน้าที่ดึงฐานข้อมูลดิจิทัลของผู้ป่วย เช่น ข้อมูลประวัติการตรวจสุขภาพและเข้ารับการรักษากับสถานพยานพยาบาล ข้อมูลดิจิทัลที่ผู้ป่วยบันทึกพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลต่อสุขภาพ ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยที่ได้จากการตรวจวัดและบันทึกข้อมูลอัตโนมัติผ่านอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ เช่น สมาร์ตวอตช์ มาประมวลผลร่วมกับฐานข้อมูลทางการแพทย์ เพื่อให้การตรวจ รักษา และพยากรณ์โรคมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การมีฐานข้อมูลของผู้ป่วยที่มีความจำเพาะมาประมวลผลร่วมกับฐานข้อมูลทางการแพทย์จะก่อให้เกิดประโยชน์ถึง 4 ด้านใหญ่ ด้านแรกคือการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค ด้านที่สองคือการจำลองผลการรักษาโรคก่อนลงมือดำเนินการรักษาจริงได้ ด้านที่สามคือการช่วยให้การพยากรณ์โรคแม่นยำยิ่งขึ้น ส่วนด้านสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือการช่วยลดค่าใช้จ่ายระบบสาธารณสุขในระยะยาว ช่วยเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการรักษามากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการใช้งานเทคโนโลยี Digital Twin in Healthcare อย่างเป็นรูปธรรมตัวอย่างแรก คือ บริษัททวินเฮลท์ (Twin Health) จากสหรัฐอเมริกาที่ได้พัฒนาระบบแฝดดิจิทัลสำหรับดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานขึ้น โดยใช้ AI จำลองระบบเผาผลาญพลังงานของผู้ป่วยขึ้นจากข้อมูลต่าง ๆ อาทิ ผลตรวจทางการแพทย์ ข้อมูลสุขภาพจากอุปกรณ์ IoT ที่ผู้ป่วยสวมใส่ รวมถึงข้อมูลพฤติกรรมที่ได้จากแบบสอบถาม โดยเมื่อผู้ดูแลระบบได้แบบจำลองระบบเผาผลาญพลังงานของผู้ป่วยมาแล้ว จะสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ออกแบบแผนการดูแลสุขภาพที่มีความเหมาะสมกับผู้ป่วยได้ เช่น แผนการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การนอน
ตัวอย่างที่สอง บริษัทคิวไบโอ (Q Bio) จากสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาเครื่อง MRI ชนิดสแกนร่างกายของผู้เข้ารับการประเมินทั้งตัวด้วยเวลาเพียง 15 นาทีขึ้น เพื่อนำข้อมูลร่างกายของผู้เข้ารับการประเมินมาให้ AI ประมวลผลร่วมกับข้อมูลด้านสุขภาพด้านอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลสุขภาพ รวมถึงข้อมูลได้จากอุปกรณ์ IoT ประเภทสวมใส่ติดตัว เพื่อสร้างชุดข้อมูลสุขภาพของผู้เข้ารับการประเมิน พร้อมทั้งช่วยพยากรณ์ความเสี่ยงด้านสุขภาพให้ด้วย
ตัวอย่างสุดท้าย บริษัทเมชไบโอ (Mesh Bio) จากประเทศสิงคโปร์ ผู้พัฒนาระบบ HealthVector® Diabetes หรือแบบจำลอง AI เพื่อวิเคราะห์ประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย เพื่อทำนายความเสี่ยงการเป็นโรคไตเรื้อรังของผู้ป่วยโรคเบาหวาน และปรับแผนการรักษาเพื่อชะลอการเสื่อมของไต ระบบนี้ผ่านการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ที่สิงคโปร์เรียบร้อยแล้ว ทำให้ถือได้ว่าเป็นระบบ Digital Twin แรกของโลกที่ใช้งานทางคลินิกได้จริง โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายการใช้งานในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
นานาสาระน่ารู้
บทความ

บสย. ผนึก สวทช. ยกระดับ SMEs สู่อุตสาหกรรม 4.0 ชูแพลตฟอร์ม เช็กลิสต์สุขภาพการเงิน-ความพร้อมด้านนวัตกรรม
(วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2567) ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อาคารวิจัยโยธี ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การยกระดับผู้ประกอบการ SMEs เข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านแพลตฟอร์มประเมินความพร้อมด้านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ แพลตฟอร์ม บสย. SMEs Gateway ตรวจสุขภาพทางการเงิน และประเมินโอกาสธุรกิจ การเข้าถึงสินเชื่อ ผ่าน LINE OA @tcgfirst ช่วยให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมีความรู้ความเข้าใจ และมีแนวทางในการลงทุนยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด
[caption id="attachment_59830" align="aligncenter" width="2048"] นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร[/caption]
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ระหว่าง บสย. และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยใช้จุดแข็งและความพร้อมด้านแพลตฟอร์มการวิเคราะห์และประเมินผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังจะก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้ประเมินความพร้อมตัวเอง โดย บสย. มีเครื่องมือการตรวจเช็คสุขภาพทางการเงิน ธุรกิจ พร้อมผู้เชี่ยวชาญประเมินความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมการขอสินเชื่อ ภายใต้กลยุทธ์องค์กร สู่การเป็น Digital SMEs Gateway บสย. จะเชื่อมโยง มิติการประเมินความสามารถทางการเงิน ร่วมกันสนับสนุน การแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อใช้ร่วมกับการวิเคราะห์การค้ำประกันสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม พร้อมผลักดันให้เกิดกลไกการพัฒนาต่อยอด Thaland i4.0 Index ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในยุคดิจิทัล มาตรการทางการค้า ข้อกฎหมายใหม่ ๆ และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ บสย. พร้อมให้การค้ำประกันสินเชื่อ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง ในโครงการ "บสย. SMEs ยั่งยืน" หรือ PGS 11 วงเงิน 50,000 ล้านบาท ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ร่วมกับ 18 สถาบันการเงิน ซึ่ง บสย. ให้การค้ำประกันสินเชื่อธุรกิจกลุ่ม Green ด้วยวงเงินค้ำประกันสูงสุด 40 ล้านบาทต่อราย และ ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ 2-4 ปีแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมของทั้ง 2 หน่วยงานที่จะเข้าไปช่วยยกระดับ SMEs สู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างยั่งยืน คาดว่าจะมีผู้ประกอบการกว่า 600 โรงงาน ที่เตรียมตัวยกระดับเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 จะมีความต้องการสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อ คิดเป็นเม็ดเงินค้ำประกันสินเชื่อกว่า 3,000 ล้านบาท (เฉลี่ย 5.0 ล้านบาทต่อราย) ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบกว่า 3,600 ล้านบาทต่อปี สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ได้มากกว่า 14,000 ล้านบาท
[caption id="attachment_59832" align="aligncenter" width="2028"] ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์[/caption]
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. มีความมุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์การสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ จึงได้จัดตั้งกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 (NSTDA Core Business - Industry 4.0) ขึ้นในปี 2566 เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้ามาใช้บริการสนับสนุนการพัฒนายกระดับสถานประกอบการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 การดำเนินงานที่ผ่านมามีการประเมินระดับอุตสาหกรรมที่สายการผลิต โดยผู้ประเมิน Thailand i4.0 Index ไปแล้วกว่า 200 โรงงาน ล่าสุดในปี 2567 กลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ได้พัฒนาเว็บไซต์ i4Platform ที่มีระบบการประเมินแบบออนไลน์ซึ่งผู้ประกอบการสามารถทำได้ด้วยตนเอง (Online Interactive Self-assessment) ที่มีชื่อว่า “Thailand i4.0 Checkup” การประเมินรูปแบบนี้เข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และสามารถรู้ผลได้ทันที โดยทราบแนวทางเบื้องต้นในการปรับปรุงยกระดับองค์กรสู่อุตสาหกรรม 4.0 ก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการสนับสนุนต่าง ๆ อาทิ บริการประเมินระดับอุตสาหกรรมที่สายการผลิตโดยผู้ประเมิน Thailand i4.0 Index บริการทำแผนลงทุนสำหรับยื่นขอสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน บริการที่ปรึกษาทางด้านเทคนิค บริการรับจ้างวิจัย บริการถ่ายทอดเทคโนโลยีพร้อมใช้ ตลอดจนบริการอื่น ๆ ผ่านแคมเปญที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดการลงมือปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
[caption id="attachment_59833" align="aligncenter" width="2028"] ดร. รวีภัทร์ ผุดผ่อง[/caption]
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่มีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับปรุงองค์กรสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างรวดเร็วนั้น คือ เงินทุน ซึ่งทาง สวทช. มีความยินดีที่ทางบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เล็งเห็นถึงความสำคัญของการประเมิน Thailand i4.0 Index โดยนำผลการประเมินดังกล่าว มาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินศักยภาพทางการเงินของผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการค้ำประกันสินเชื่อ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อใช้ในการดำเนินการได้ รวมถึงยังมีความร่วมมือในการพัฒนาแพลตฟอร์ม โดยการเพิ่มทักษะ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและด้านการเงินที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ที่จะเข้ามาใช้บริการในอนาคต และเป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาองค์กรสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อใช้ผลการประเมินเพื่อประกอบการขอรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากภาครัฐ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

รมว.อว.นำคณะผู้บริหาร อว. ร่วมถวายพระพรชัยมงคล เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2567
(วันที่ 7 สิงหาคม 2567) เวลา 09.00 น. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2567 นำโดย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมด้วย นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. ดร.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ รองปลัดกระทรวง อว. น.ส.สุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ ที่ปรึกษาด้านระบบบริหารการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานและข้าราชการ โอกาสนี้ ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ และ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.เข้าร่วมพิธี ณ ห้องแถลงข่าวชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. มอบใบรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้กับ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ใช้สิทธิยกเว้นภาษีได้ด้วยตนเอง
(วันที่ 6 สิงหาคม 2567) ณ อาคารวิจัยโยธี สวทช. กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มอบใบรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เพื่อรับรองว่าเป็นองค์กรที่มีศักยภาพและมาตรฐานในการบริหารจัดการองค์กรเกี่ยวกับการดำเนินงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม พร้อมสามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ 200% สำหรับรายจ่ายในการวิจัยได้ด้วยตนเอง
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา กล่าวว่า ตามที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้กำหนดวิสัยทัศน์ ในการเป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด และ สวทช. ได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร 3 หน่วยงาน ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ (สรอ.) และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (สพช.) เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ ได้มีการประยุกต์ใช้ระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือเรียกอย่างย่อว่า ระบบ RDIMS โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการที่ผ่านการรับรองระบบ RDIMS และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับ สวทช. สามารถรับรองตนเองโดยไม่ต้องขอการรับรองเป็นรายโครงการ แล้วยื่นใช้สิทธิยกเว้นภาษี 200% ในรูปแบบ Self-Declaration ได้อีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะสร้างความสะดวกและความมั่นใจให้ผู้ประกอบการในการใช้สิทธิยกเว้นภาษีแล้ว การนำระบบดังกล่าวไปใช้ในกิจการ จะทำให้ผู้ประกอบการมีการบริหารงานวิจัยที่เป็นระบบและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในการสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อพัฒนาเป็นสินค้า หรือบริการนวัตกรรม โดยเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนของระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตได้
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) โดยศูนย์วิจัยสุขภาพบีดีเอ็เอส ได้ผ่านการตรวจประเมินและรับรองระบบ RDIMS ครั้งแรก (Initial Assessment) ตั้งแต่ปี 2564 และผ่านการตรวจประเมินเพื่อการรับรองใหม่ (Recertification) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหารและความร่วมมือร่วมใจของพนักงานในระดับต่าง ๆ ในการสร้างองค์ความรู้ของการดำเนินการวิจัย ซึ่งนำไปสู่การคิดค้น พัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ อย่างต่อเนื่อง ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจให้กับองค์กรได้
การมอบใบรับรองฯ ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงศักยภาพของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังถือเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า สวทช. มุ่งสร้างเสริมการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ให้ผู้ประกอบการเอกชนเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดย สวทช. ขอแสดงความยินดีและภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมกับความสำเร็จของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ และคาดหวังว่าบริษัทฯ จะเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในการลงทุนการวิจัยและพัฒนาด้าน วทน. ต่อไป
นายแพทย์พงศ์ธร เกียรติดำรงวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสุขภาพบีดีเอ็มเอส บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บีดีเอ็มเอส ขอขอบคุณ สวทช. ที่เล็งเห็นถึงความตั้งใจในการทำงานด้านการวิจัยและพัฒนาของบริษัท และให้การรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ RDIMS แก่บริษัท ในขอบข่ายงานวิจัยคือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ (Medical Technology and Innovation) ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากผู้บริหารระดับสูงมีการกำหนดทิศทางกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการทำงานวิจัยและพัฒนาฯ พร้อมทั้งมีทีมวิจัยที่เข้มแข็ง รวมถึงบุคลากรฝ่ายสนับสนุนซึ่งประกอบด้วย ฝ่ายบัญชีและการเงิน คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน ฝ่ายศูนย์คุณภาพ และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่ผลักดันให้การตรวจประเมินในครั้งนี้ประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี รวมถึงความร่วมมือกันในการพัฒนา Web application “BHRC Research Registry” ซึ่งช่วยให้องค์กรบริหารจัดการโครงการวิจัยฯ จัดเก็บข้อมูลและผลลัพธ์งานวิจัยฯ ได้ดีขึ้น
การรับมอบใบรับรองในครั้งนี้ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) นับเป็นองค์กรด้านสุขภาพรายแรกที่ได้รับการรับรองระบบ RDIMS ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับบริษัท ในการพัฒนาและลงทุนกับงานวิจัยให้มีคุณภาพมากขึ้น อันจะทำให้เกิดงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ ภายในองค์กรได้อย่างยั่งยืนต่อไป
หากผู้ประกอบการรายใด สนใจพัฒนาระบบ RDIMS ให้กับกิจการ โปรดติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สวทช. (ในวันเวลาทำการ) โทรศัพท์ 02564 7000 ต่อ 1328 - 1332 และ 1631 – 1634
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. และพันธมิตรแถลงเปิดโครงการ ‘ชริมป์การ์ด’ มุ่งพัฒนากุ้งปลอดโรค ปลอดภัย และปราศจากยาปฏิชีวนะ ยกระดับอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งในไทยและอาเซียน
6 สิงหาคม 2567 กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับทีมวิจัยจาก กรมประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก และ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แถลงข่าวเปิดโครงการความร่วมมือ ‘ชริมป์การ์ด’ (ShrimpGuard): การพัฒนาสูตรผสมของแบคทีริโอฟาจ (bacteriophage) หรือฟาจ (phage) และสารเสริมชีวนะเพื่อต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย Vibrio spp. ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะในกุ้งเลี้ยง’ หรือ ‘ชริมป์การ์ด’ โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจำนวน 41,605,962 บาท จากศูนย์วิจัยการพัฒนาระหว่างประเทศ (International Development Research Centre: IDRC) ประเทศแคนาดา และกระทรวงสาธารณสุขและสังคม (Department of Health and Social Care) แห่งสหราชอาณาจักร ระยะเวลาดำเนินการ 32 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ถึงเดือนธันวาคม 2569
นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า การเพาะเลี้ยงกุ้งเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทย โดยมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร ประเทศไทยเคยเป็นผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่อันดับสองของโลก โดยมาจากการเพาะเลี้ยงกุ้งในประเทศมากกว่า 90% แต่ในช่วงหลังนี้ประเทศไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ประเทศคู่แข่งเช่นเวียดนามและจีน เนื่องจากโรคระบาดในกุ้ง และนโยบายการค้าที่ไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกยังทำให้การแพร่ระบาดของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระหว่างการเพาะเลี้ยงมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอัตราการรอดของกุ้ง และนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบันโรค Vibriosis ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Vibrio spp. นับเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ทำให้กุ้งตายในฟาร์มเลี้ยงและโรงเพาะฟัก เกษตรกรจึงอาจใช้ยาปฏิชีวนะหรือสารเคมีเพื่อควบคุมเชื้อและป้องกันโรค แต่การใช้ยาที่ไม่เหมาะสม หรือเกินขนาดอาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยา การแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาและยีนดื้อยาในสภาพแวดล้อม รวมถึงการตกค้างของยาปฏิชีวนะในเนื้อกุ้ง
ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การพัฒนาทางเลือกเพื่อลดปัญหาดังกล่าวในการเพาะเลี้ยงกุ้งถือเป็นเรื่องเร่งด่วน สวทช. นำโดย ดร. กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติหรือไบโอเทค สวทช. และหัวหน้าโครงการ ‘ชริมป์การ์ด’ จึงได้ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรมประมง ดำเนินโครงการ ‘ชริมป์การ์ด’ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะมีส่วนช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งให้มีความยั่งยืน ด้วยการลดการพึ่งพายาปฏิชีวนะแบบดั้งเดิม
ดร. กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ นักวิจัยอาวุโส ไบโอเทค และหัวหน้าโครงการ ‘ชริมป์การ์ด’ กล่าวว่า ทีมวิจัยได้ร่วมกันดำเนินโครงการที่มุ่งพัฒนาสารชีวภาพที่เราเรียกว่า ‘ชริมป์การ์ด’ ซึ่งเป็นแบคทีริโอฟาจ (bacteriophage) หรือไวรัสที่มีประสิทธิภาพในการเข้าทำลายเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในกุ้งได้อย่างจำเพาะเจาะจง
โดยไม่ส่งผลกระทบต่อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในระบบการเลี้ยงกุ้งและในลำไส้กุ้ง ภายใต้โครงการนี้ ‘ชริมป์การ์ด’
จะถูกพัฒนาให้ใช้ได้ทั้งในน้ำเลี้ยงกุ้งและในสูตรอาหารกุ้ง โดยใช้นาโนเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความคงตัวของ ‘ชริมป์การ์ด’
รศ.ดร.กิติญา วงษ์คำจันทร์ โอราน ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการร่วมในโครงการวิจัยนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่า สำหรับการพัฒนาสูตรอาหารกุ้งจะพัฒนา ‘ชริมป์การ์ด’ ร่วมไปกับการพัฒนาสารชีวภาพอื่นอีก 3 ชนิดที่มีรายงานการวิจัยว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของกุ้งในการต้านการก่อโรคของเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย สูตรอาหารดังกล่าวจะนำไปใช้ระหว่างการเลี้ยงลูกกุ้งเพื่อป้องกันและควบคุมเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการเลี้ยง
ดังนั้น ‘ชริมป์การ์ด’ จะเป็นสารชีวภาพที่นำมาใช้ในการป้องกันและควบคุมเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในระหว่างการเพาะเลี้ยงกุ้งที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งจะเป็นการช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะที่เป็นต้นเหตุของการเกิดเชื้อดื้อยาในการเลี้ยงกุ้ง สามารถพัฒนากุ้งพรีเมียมปลอดโรค ปลอดภัยและปราศจากยาปฏิชีวนะเพื่อยกระดับสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค
นอกจากนี้โครงการยังให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายการสนับสนุนแนวทางการใช้สารชีวภาพทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะหรือสารเคมีในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลร่วมกับกลุ่มประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล โดย ดร. กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ หัวหน้าโครงการ‘ชริมป์การ์ด’ กล่าวว่าโครงการวิจัยนี้จะพัฒนาเครือข่ายการทำงานร่วมกับศูนย์เครือข่ายสุขภาพสัตว์น้ำแห่งอาเซียน (ASEAN Network on Aquatic Animal Health Centres: ANAAHC) ที่มีประเทศไทยโดยกองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง เป็นผู้นำศูนย์เครือข่าย และโครงการวิจัยนี้ยังมีคณะที่ปรึกษาประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและระบบเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาในสัตว์น้ำจากองค์กรทั้งในประเทศ และระดับนานาชาติ ได้แก่ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) องค์การข่ายงานศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแห่งเอเชียและแปซิฟิก (NACA) และศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) อีกด้วย
ผลสำเร็จจากโครงการวิจัยนี้จะได้รับการเผยแพร่ผ่านเครือข่ายความร่วมมือภาครัฐ เช่น กรมประมง และภาคเอกชน เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีและข้อมูลแก่เกษตรกรในประเทศ โดยเน้นไปที่การใช้เป็นแนวทางที่สามารถทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะในการเพาะเลี้ยงกุ้ง เพื่อนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตและการสร้างกระบวนการเพาะเลี้ยงที่ยั่งยืนและปลอดภัยในระยะยาว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

Traffy Fondue รุกบริการถึงประชาชน เข้าร่วมงาน ‘มหกรรมงานบริการภาครัฐ ครั้งที่ 8’
(วันที่ 3-4 สิงหาคม 2567) ณ บริเวณลานน้ำพุชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เวสต์เกต จ.นนทบุรี: ดร.วสันต์ ภัรทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. พร้อมทีมวิจัยได้เข้าร่วมออกบูธนิทรรศการแสดงผลงานใน งานมหกรรมงานบริการภาครัฐ ครั้งที่ 8 ภายใต้แนวคิด "Digital Gov for Better Life ภาครัฐดิจิทัล ชีวิตดีดี ทุกที่ทุกเวลา" จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อการส่งเสริมและยกระดับให้หน่วยงานภาครัฐพัฒนาประสิทธิภาพ การทำงานและการให้บริการแก่ประชาชนให้มีความสะดวก รวดเร็ว โดย Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการเมือง ถือเป็น 1 ใน 10 หน่วยงานที่มีผลงานโดดเด่น ที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับบริการ รวมทั้งมีการส่งเสริมการพัฒนาการบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน เพื่อแนะนำข้อมูลบริการภาครัฐ
โอกาสนี้ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. ได้ร่วมเสวนากับผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กรมการจัดหางาน กรมสุขภาพจิต ในหัวข้อ "Digital For Better Life" เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนางานบริการภาครัฐ และการให้ความรู้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมงาน นอกจากนี้ตัวแทนทีมวิจัยได้ขึ้นรับโล่เกียรติคุณจากนางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. เพื่อเป็นการขอบคุณที่ร่วมจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ผลงานหรือให้บริการประชาชนด้วย
สำหรับ Traffy Fondue ทราฟฟี่ ฟองดูว์ แพลตฟอร์มบริหารจัดการเมือง เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นช่องทางรับแจ้งและจัดการปัญหาเมืองที่พบผ่าน LINE Chatbot แบบอัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยยกระดับให้หน่วยงานภาครัฐพัฒนาประสิทธิภาพบริการเพื่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยตลอด 2 ปี ของการให้บริการมีเรื่องแจ้งให้แก้ปัญหาแล้วกว่า 9 แสนเรื่อง และถูกแก้ไขปัญหาแล้วเสร็จแล้วกว่า 7 แสนเรื่อง ซึ่งเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมให้กับประชาชนในการแก้ปัญหาเมืองอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ประชาชนและหน่วยงานที่ต้องการใช้ Traffy Fondue สามารถใช้ LINE สแกนคิวอาร์โค้ด หรือเพิ่มเพื่อน @TraffyFondue (หรือคลิก link https://lin.ee/nwxfnHw) เพื่อแชทแจ้งปัญหา และติดตามรายงานอัพเดทการแก้ไขปัญหาได้ ผ่านการแจ้งเตือนในของ LINE Chatbot และข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.traffy.in.th/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือ สำนักงานเลขาธิการสภาฯ นำ AI ต่อยอดข้อมูลรัฐสภาไทย หนุนภารกิจภาครัฐ พัฒนาบริการประชาชน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(5 สิงหาคม 2567) ณ อาคารรัฐสภา : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการด้านการพัฒนาต่อยอดและถ่ายทอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัลข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ และสนับสนุนการทำงานของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
โอกาสนี้ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการด้านการพัฒนาต่อยอดและถ่ายทอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ระหว่างสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดย ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศาสตรจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ในการนี้ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และนายศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เนคเทค สวทช. ร่วมลงนามเพื่อเป็นสักขีพยาน โดยภายในงานยังมีคณะผู้บริหารจากทั้งสองหน่วยงาน ร่วมพิธี
โอกาสนี้ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และกล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือจาก สวทช. ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและเป็นตัวจริงในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทย ขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรมีการตั้งคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางในการควบคุมและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะตระหนักดีว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ สภาฯ นอกจากจะเป็นสถานที่ในการออกกฎหมายแล้ว ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสภาฯ เพื่อประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ ในส่วนของสภาฯ เอง มีคลังข้อมูลขนาดใหญ่คือ คลังข้อมูลนิติบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็น ร่างรัฐธรรมนูญ รายงานของคณะ กมธ. รายงานการประชุม ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีค่าเป็นอย่างมาก ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และการต่อยอดในอนาคต แต่ศักยภาพของมนุษย์เองยังใช้ข้อมูลเหล่านี้ในจำนวนที่จำกัด หากมีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยก็จะสามารถอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้เป็นอย่างมาก และในแง่ของบุคลากรเองจะได้นำศักยภาพไปทำงานด้านที่จำเป็นในการใช้ทักษะของมนุษย์ วันนี้เป็นโอกาสอันดีสำหรับความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น รายละเอียดในบันทึกความตกลงร่วมกันฯ มีความละเอียดรอบคอบและมีความเป็นรูปธรรมในการเปิดเผยข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูล มีการกำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ของแต่ละฝ่ายรับผิดชอบประสานงานในฐานข้อมูลร่วมกัน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ในฐานะเลขานุการร่วมในการดำเนินงานและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และสังคมของประเทศ ผ่าน 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ด้านจริยธรรมและกฎระเบียบ AI โดยมีเป้าหมายสร้างความเข้าใจและความตระหนักด้านจริยธรรมในการใช้ AI อย่างน้อย 6 แสนคน มีกฎหมาย/ข้อบังคับด้าน AI ที่จำเป็น (2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI เพื่อให้เกิดการลงทุนด้าน AI เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี (3) ด้านกำลังคน AI มีเป้าหมายผลิตกำลังคน AI 3 หมื่นคน (4) ด้านวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม AI ตั้งเป้าสร้าง 100 นวัตกรรม AI ที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ 4.8 หมื่นล้านบาท และ(5) ด้านการส่งเสริมธุรกิจและการใช้ AI โดยมีการใช้นวัตกรรม AI ใน 600 หน่วยงานทั่วประเทศ จากเป้าหมายดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นางสาวศุภมาส อิศรภักดี ได้ประกาศนโยบาย “อว. For AI” ที่พร้อมเดินหน้าทำงานทันทีใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. AI workforce development: การพัฒนาบุคลากรด้าน Al และการสร้างพื้นฐานด้าน Al ให้คนไทย ในระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน 2. AI for lifelong learning: AI เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนา AI Coach and Kru ให้มีแพลตฟอร์มสนับสนุนการเรียนรู้ทุกช่วงชีวิต 3. AI innovation: การสนับสนุนนวัตกรรม Al สู่ตลาด การพัฒนามาตรฐานและทดสอบ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดความแพร่หลาย เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทย
ความร่วมมือกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนให้เห็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาต่อยอดข้อมูลภาครัฐและพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร ประเทศชาติ และประชาชน โอกาสนี้ สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ที่มีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศขั้นสูงให้กับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สั่งสมประสบการณ์วิจัยและพัฒนามากว่า 20 ปี ในเบื้องต้นเตรียมนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาสนับสนุนภารกิจของสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ‘OpenThaiLLM’ แบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ที่ตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลภาษาไทย และ ‘DocChat’ เครื่องมือ AI ที่สามารถสรุปสาระสำคัญของเอกสาร ตั้งประเด็นคำถามที่น่าสนใจโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถพูดคุยตอบโต้หรือตั้งคำถามกับเอกสารที่กำหนดได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยอาศัยความสามารถด้านการประมวลภาษาไทยจาก ‘OpenThaiLLM’ ทั้งนี้ข้อมูลของรัฐสภาจะเป็นทรัพยากรสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้ตอบโจทย์ภารกิจของสภาผู้แทนราษฎรอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมให้นำข้อมูลภาครัฐไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง สนับสนุนการทำงานของภาครัฐ การบริการประชาชน และการพัฒนาทุกภาคส่วนของสังคม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สำนักงาน กสทช. เปิดตัว ‘ทราฟฟี่ฟองดูว์’ (Traffy Fondue) รับแจ้งปัญหาค่าโทรศัพท์ SMS บิลไม่ตรงตามจริง และปัญหาสายสื่อสาร พร้อมใช้งาน 12 ส.ค.นี้
วันนี้ (วันที่ 5 ส.ค. 2567) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้จัดงานเปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘ทราฟฟี่ฟองดูว์’ (Traffy Fondue) หรือชื่อภาษาไทยว่า ‘ท่านพี่ฟ้องดู’ เพื่อใช้แจ้งปัญหาในด้านกิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม และปัญหาสายสื่อสารให้แก่ประชาชน โดยมีศาสตราจารย์ คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ประธาน กสทช.) เป็นประธานในงาน พร้อมทั้งนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ กล่าวว่า แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายในสำนักงาน กสทช. โดยปัจจุบัน สวทช. ได้พัฒนาเรื่องรับแจ้งให้ครอบคลุมการให้บริการประชาชนที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม และปัญหาสายสื่อสาร โดยปีนี้ได้มอบหมายนโยบายให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถแจ้งปัญหาผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ไอดี @traffyfondue เพื่อรับเรื่องแจ้งและบริหารจัดการปัญหาต่าง ๆ ให้มีความรวดเร็ว ช่วยลดขั้นตอน และลดค่าใช้จ่าย ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้หน่วยงานที่รับแจ้งปัญหาได้บริหารจัดการปัญหาอย่างทันท่วงที
สำหรับการให้บริการประชาชนที่สามารถแจ้งปัญหาผ่านแพลตฟอร์ม Traffy Fondue หากพบปัญหาในด้านกิจการโทรทัศน์ ได้แก่ การแจ้งตรวจสอบเหตุขัดข้องที่เกิดจากบริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก และการแจ้งให้ช่วยตรวจสอบการเรียกเก็บค่าบริการที่เกิดข้อสงสัย
ปัญหาในด้านกิจการโทรคมนาคม ได้แก่ การได้รับความข้อความรบกวนจาก SMS และต้องการให้ปิดกั้นการได้รับข้อความ SMS จากบริการที่ผู้ใช้ไม่ได้สมัครรับบริการ การคิดค่าบริการผิดพลาด การถูกเรียกเก็บค่าบริการที่ชำระแล้ว หรือถูกเรียกเก็บชำระค่าบริการหลังจากที่ได้ทำการยกเลิกบริการนั้น ๆ การแจ้งถึงความประสงค์ในการคงสิทธิเลขหมาย ‘MNP’ (Mobile Number Portability) หรือ ‘ย้ายค่ายเบอร์เดิม’ และปัญหาสายสื่อสาร
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ กล่าวว่า การใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue จะช่วยให้สำนักงาน กสทช. สามารถติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และนำมาถอดบทเรียน วิเคราะห์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่องในปี 2568 และสามารถตอบสนองการแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับการแก้ไขปัญหาจากผู้ให้บริการ และสามารถประเมินผลการดำเนินงานของผู้ให้บริการ
เพื่อกำกับดูแล ซึ่งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยจะเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 สิงหาคม 2567
“บริการทางด้านกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือการโทรศัพท์ ดูทีวี และสายสื่อสาร เป็นบริการที่ประชาชนส่วนใหญ่ใช้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งสำนักงาน กสทช. เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลผู้ให้บริการเหล่านี้อยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถเก็บรวบรวมปัญหา และส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและยังเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ให้บริการ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้บริการได้อย่างคุ้มค่า ถูกต้อง และเหมาะสม” ประธาน กสทช. กล่าว
Traffy Fondue เป็นแพลตฟอร์มที่วิจัยพัฒนาขึ้นโดย สวทช. สำหรับสื่อสารปัญหาของเมืองหรือชุมชน ระหว่างประชาชนและหน่วยงานที่รับผิดชอบ ประชาชนสามารถแจ้งปัญหาที่พบไปให้ผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อให้แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ ไอดี บนมือถือ และไม่มีข้อมูลของผู้แจ้ง โดยเป็นการแจ้งปัญหาในรูปแบบที่มีข้อมูลเพียงพอให้หน่วยงานสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น มีภาพถ่าย และตำแหน่งบนแผนที่ ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น มีการขยายผลการใช้งาน 77 จังหวัด มีหน่วยงานใช้งานแล้วมากกว่า 15,000 แห่ง (ข้อมูล ณ เดือน มิ.ย. 2567) ช่วยลดภาระการทำงานของเจ้าหน้าที่ และให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและยกระดับการมีส่วนร่วมของพลเมือง ทั้งนี้มีสถิติรับเรื่องร้องทุกข์ (มิ.ย. 2565 – ก.ค. 2567) มากกว่า 940,000 เรื่อง ดำเนินการเสร็จสิ้นมากกว่า 733,000 เรื่อง คิดเป็น 77%
อย่างไรก็ตาม สำนักงาน กสทช. มีแผนที่จะดำเนินการพัฒนา Traffy Fondue อย่างต่อเนื่อง ให้สามารถรองรับต่อการแจ้งปัญหาจากการใช้บริการด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ให้ครอบคลุมในทุกมิติมากยิ่งขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาจากการใช้บริการต่าง ๆ ให้ได้รับการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ทั้งนี้ หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการใช้บริการ และไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาหลังจากที่แจ้งผ่าน Traffy Fondue ประชาชนยังสามารถร้องเรียนตามกระบวนการปกติได้ที่ผู้ให้บริการโดยตรง หรือร้องเรียนมาที่ สำนักงาน กสทช. หมายเลข 1200
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ศุภมาส” นำข้าราชการ เจ้าหน้าที่ บุคลากรกระทรวง อว.พร้อมนักศึกษา-ประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมเดิน วิ่ง ปั่น เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อถวายความจงรักภักดี
วันที่ 4 ส.ค. นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดกิจกรรม เดิน วิ่ง ปั่น เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมีนายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. คณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไป เข้าร่วม ณ สนามกีฬาอินทรีจันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย
นางสาวศุภมาส กล่าวว่า ในปี 2567 นับเป็นปีมหามงคลที่ปวงชนชาวไทยทุกคนจะได้พร้อมใจกันแสดงความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงเป็นดั่งแสงนำใจของคนไทยทั้งชาติ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักกีฬา เป็นแบบอย่างแก่ประชาชนชาวไทย ในเรื่องรักษาสุขภาพ และการออกกำลังกาย ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้เป็นการรวมพลังของหน่วยงานในสังกัดและกำกับของกระทรวง อว. รวมถึงสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ พร้อมด้วยประชาชนที่มีความสนใจในการออกกำลังกาย
รมว.อว. กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี รวมถึงให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ นิสิตนักศึกษา และประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้มีโอกาสออกกำลังกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ แสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยใช้พื้นที่ของสถานศึกษาและหน่วยงานราชการให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน
ทั้งนี้ การจัดงานในวันนี้ มีกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ประกอบด้วย การปั่นจักรยานเพื่อเฉลิมพระเกียรติเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร วิ่งเพื่อสุขภาพ 10 กิโลเมตร เดิน เฉลิมพระเกียรติ 3 กิโลเมตร นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ วาดภาพเหมือน การแสดงดนตรีสด แจกกล้าไม้และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดผู้สนใจสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์