ผลการค้นหา :

10 Technologies to Watch 2024: เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies: PETs)
ปัจจุบันคลาวด์ (cloud) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งกับการใช้ชีวิตของผู้คน เพราะนอกจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลแล้ว ยังเป็นพื้นที่ประมวลผลข้อมูลหรือ cloud computing อีกด้วย ตัวอย่างการใช้งานทั่วไป เช่น การอัปโหลดข้อมูลไฟล์งานหรือรูปภาพเพื่อความสะดวกในการจัดเก็บและส่งต่อ การใช้สมาร์ตวอตช์ส่งข้อมูลสุขภาพขึ้นจัดเก็บและประมวลผลในคลาวด์เพื่อความสะดวกในการติดตามข้อมูลด้านสุขภาพ ซึ่งหากมองในภาพใหญ่ภาคธุรกิจก็มีการใช้งานคลาวด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์และประมวลผล รวมถึงเก็บข้อมูลสำคัญขององค์กรและลูกค้าอย่างแพร่หลายแล้วเช่นกัน
ดังนั้นระบบรักษาความปลอดภัยของคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพสูงจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง และหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตาว่าจะได้รับความนิยมสูงในอนาคต คือ Privacy-Enhancing Technologies: PETs หรือ เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ที่ช่วยเพิ่มการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานขึ้นอีกระดับ
หากคุณกำลังสงสัยว่าทำไมการยกระดับความปลอดภัยการใช้งานคลาวด์จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นเพราะเคยมีตัวอย่างความเสียหายร้ายแรงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับบุคคล หน่วยงาน ไปจนถึงความมั่นคงของประเทศมาแล้ว ตัวอย่างแรกพนักงานบริษัทซัมซุงนำ source code ไปให้ ChatGPT ช่วยรีวิว แล้วเกิดเหตุข้อมูลบริษัทรั่วไหล ตัวอย่างที่สองบริษัท MediSecure ที่ให้บริการจ่ายยาโดน Ransomeware โจมตีจนข้อมูลผู้ป่วยรั่วไหล ตัวอย่างที่สามบริษัท SnowFlake ที่ให้บริการ Cloud AI โดนแฮกเกอร์โจมตีจนข้อมูลลูกค้ารั่วไหล ส่งผลให้หุ้นของบริษัทตกร้อยละ 26 ในรอบ 12 เดือน และตัวอย่างสุดท้ายข้อมูลที่ตั้งค่ายทหารของสหรัฐอเมริกาในซีเรียและอิรักรั่วไหลจากคลาวด์ของผู้ให้บริการระบบสมาร์ตวอตช์ ส่งผลต่อความมั่นคงทางการทหาร
ก่อนจะไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยี PETs เพิ่มเติม มาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่า เพราะอะไรเทคโนโลยี cloud computing ที่มีการใช้งานกันอยู่ทั่วไปจึงยังมีช่องโหว่อยู่ จากภาพจะเห็นว่าเมื่อโรงงานอุตสาหกรรมใช้อุปกรณ์ IIoT (Industrial Internet of Things) ส่งข้อมูลไปประมวลผลยังคลาวด์ ข้อมูลจะผ่านการเข้ารหัสเพื่อป้องกันการดักฟังระหว่างทาง โดยเมื่อไปถึงคลาวด์แล้ว คลาวด์จะถอดรหัสข้อมูลมาคำนวณและวิเคราะห์ผล ก่อนจัดส่งผลลัพธ์ไปแสดงที่อุปกรณ์ปลายทาง ซึ่งในช่วงของการปลดล็อกรหัสนั้นเอง คือ การเปิดช่องช่องโหว่ให้ข้อมูลถูกโจรกรรมหรือรั่วไหลได้ทั้งจากการที่คลาวด์ถูกแฮ็ก และจากการที่เจ้าของคลาวด์นำข้อมูลไปหาประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนทางด้านเทคโนโลยี PETs ที่ผ่านการออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาช่องโหว่ดังกล่าว ข้อมูลที่ส่งขึ้นคลาวด์จะผ่านการเข้ารหัสด้วยวิธีการใหม่ที่ป้องกันการดักฟังข้อมูลระหว่างทางได้ และเมื่อข้อมูลไปถึงคลาวด์ คลาวด์จะคำนวณข้อมูลเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องถอดรหัส หรือหมายความว่ามีเพียงเจ้าของข้อมูลที่มีกุญแจเท่านั้นที่จะเข้าถึงเนื้อหาของข้อมูล ทั้งข้อมูลต้นฉบับและข้อมูลที่ผ่านการคำนวณแล้วได้ วิธีการนี้จึงมีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่า
ปัจจุบันเริ่มมีการนำเทคโนโลยี PETs มาให้บริการแล้วหลากหลาย ตัวอย่างกลุ่มผู้ใช้งาน เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ ผู้ให้บริการด้านการวางแผนการตลาดและการโฆษณา ผู้ให้บริการเกี่ยวกับระบบยืนยันตัวตน รวมถึงผู้ดำเนินงานด้านทรัพยากรบุคคล
สำหรับประเทศไทย เนคเทค สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยี PETs ในชื่อ Cyblion.io (ไซบิลเลียน) ไว้ใช้ให้บริการแพลตฟอร์ม IoT แล้ว ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมไทยก้าวผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยความมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น ปัจจุบันเนคเทคได้ทดสอบการใช้งานจริงร่วมกับ บริษัทธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด (น้ำมันพืชกุ๊ก) แล้ว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

3 สัญญาณเตือน แบตเตอรี่กำลังเสื่อม
แบตเตอรี่ก็เหมือนกับร่างกายของคนเราที่มีวันเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ส่วนจะเสื่อมเร็ว เสื่อมช้า เสื่อมน้อย เสื่อมมาก ถ้าสังเกตดูเราก็จะเห็นสัญญาณบางอย่างที่บอกให้รู้ว่า แบตเตอรี่ของเราไม่ทรงพลังเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
สัญญาณแรกที่อาจสังเกตได้คือ จำนวนชั่วโมงการใช้งานลดลง เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม พลังงานของแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ต่อการชาร์จเต็มจะลดลงจากปกติ เนื่องจากความสามารถในการกักเก็บและจ่ายพลังงานไฟฟ้า หรือที่เรียกกันว่า ความจุของแบตเตอรี่น้อยลง เช่น ปกติเราชาร์จแบตเตอรี่พัดลมมือถือเต็มแล้วใช้งานได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมงกว่าแบตเตอรี่จะหมด แต่พอแบตเตอรี่เสื่อมจะใช้งานได้น้อยกว่า 5 ชั่วโมง
สัญญาณที่สองคือ ความร้อนของแบตเตอรี่สูงขึ้น เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม ความต้านทานภายในตัวแบตเตอรี่จะสูงขึ้น ความร้อนจึงเกิดขึ้นมากกว่าแบตเตอรี่ใหม่ที่มีกระแสเท่ากัน ดังนั้นหากเรากำลังใช้งานอุปกรณ์ใด ๆ อยู่ แล้วรู้สึกว่าตรงบริเวณที่ใส่แบตเตอรี่มีความร้อนเกิดขึ้น แสดงว่าแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุปกรณ์นั้นอาจจะเริ่มเสื่อมแล้ว
สัญญาณที่สามคือ แบตเตอรี่มีลักษณะผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากข้างในแบตเตอรี่มีวัสดุและสารเคมีที่เรียกว่า อิเล็กโทรไลต์ บรรจุอยู่ หากวัสดุและสารเคมีเหล่านี้เสื่อมสภาพก็อาจทำให้เกิดแก๊สสะสมภายในแบตเตอรี่ ส่งผลให้แบตเตอรี่เกิดอาการบวม เกิดรอยรั่ว และมีสารเคมีรั่วซึมออกมาภายนอก ซึ่งสารเคมีหลายชนิดส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ตั้งแต่เบาบางไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้นเมื่อพบว่าแบตเตอรี่ที่เรากำลังใช้งานอยู่นั้นเริ่มส่งสัญญาณ 3 อย่างดังที่กล่าวมา ก็ให้เตรียมเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว เพราะการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อมสภาพต่อไปอาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเราเสียหาย และหากแบตเตอรี่เสื่อมจนเกิดการรั่วซึมของสารเคมีก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราด้วย
ที่มา : เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่
เรียบเรียงโดย รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
นานาสาระน่ารู้
บทความ

ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับพันธมิตร นำองค์ความรู้ทางชีวภาพ หนุนเสริมพื้นที่ผาแดง จ.ตาก เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางธรรมชาติ
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก และพันธมิตรหลายภาคส่วน จัดกิจกรรม“KIT CAMP 2024” และ “ก็มาดิ... CRAFT” ภายใต้การดำเนินงานโครงการ “การอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนในพื้นที่เหมืองผาแดง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ตามโมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG” ระหว่างวันที่ 22 - 25 สิงหาคม 2567 ณ โครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก และโรบินสันแม่สอด โดยไบโอเทคได้ร่วมจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องกิจกรรมสำรวจเก็บตัวอย่างและศึกษาเห็ดและราทำลายแมลงจากธรรมชาติ การส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชในพื้นที่ และสาธิตการทำไมซีเลี่ยมรูปหัวใจสำหรับฟื้นฟูป่าธรรมชาติและอิฐชีวภาพรักษ์โลกจากเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและกากกาแฟจากพื้นที่
โดยพิธีเปิดงานมี ดร.ธเนศ มณีกุล ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานพื้นที่ 32 สำนักงาน กปร. เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วย นายกานดิษฏ์ สิงหากัน ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์และแผนงานตามแนวพระราชดำริ สำนักโครงการพระราชดำริและกิจการพิเศษ กรมป่าไม้ และ ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียน ผู้แทนจากหน่วยงานรอบพื้นที่ เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง
ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมกับพันธมิตรหลายภาคส่วน จัดทำกิจกรรม วิจัยสำรวจความหลากหลายทางธรรมชาติในพื้นที่เพื่อการฟื้นฟูให้มีความสมบูรณ์ขึ้น ภายใต้โครงการ “การอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนในพื้นที่เหมืองผาแดง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ตามโมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG” ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมหลายส่วน ตั้งแต่การสำรวจสร้างคลังข้อมูลเห็ดกินได้ การใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ การผลิตอิฐชีวภาพ หมักกาแฟ ผลิตไซเดอร์ การใช้จุลินทรีย์สร้าง seed ball เร่งการงอกของเมล็ด การศึกษาจุลินทรีย์ก่อโรคพืชและแมลงศัตรูพืช การใช้จุลินทรีย์เพื่อควบคุมโรคพืชและแมลง รวมถึงการแนะนำพันธุ์พืชมะเขือเทศที่ดีให้กับเกษตรกรในพื้นที่ และอีกกิจกรรมที่ไบโอเทคให้ความสำคัญมากคือ การพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะน้อง ๆ นักเรียนและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดตาก ให้มีความตระหนักรู้ในความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งก่อให้เกิดความร่วมมือกับเครือข่ายในพื้นที่ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคสังคม ในการจัดกิจกรรม“KIT CAMP 2024” และ “ก็มาดิ... CRAFT” ไม่ว่าจะเป็นกรมป่าไม้ สำนักงาน กปร. หอการค้าและ YEC จังหวัดตาก ททท.สำนักงานตาก บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร แม่สอด วิทยาลัยชุมชนจังหวัดตาก สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เป็นต้น
สำหรับกิจกรรมที่ไบโอเทคนำมาร่วมอบรมและถ่ายทอดความรู้ให้แก่น้อง ๆ นักเรียนในพื้นที่ครั้งนี้ ประกอบด้วย 4 โครงการย่อย ได้แก่ 1) การสร้างคลังข้อมูลเห็ดราในพื้นที่และรอบ ๆ ผาแดง 2) การสร้างคลังข้อมูลราทำลายแมลงเพื่อสนับสนุนองค์ความรู้ 3) การทำอิฐชีวภาพรักษ์โลกจากเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและกากกาแฟจากพื้นที่ และ 4) การเรียนรู้การจัดการโรคและแมลงด้วยชีวภัณฑ์ เพื่อประโยชน์กับเกษตรในพื้นที่และเครือข่ายชุมชน
ดร.สายัณห์ สมฤทธิ์ผล นักวิจัย ทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงการสำรวจเห็ดในพื้นที่ว่า เห็ดมีส่วนร่วมในระบบนิเวศโดยช่วยฟื้นฟูป่าหลายประการ เห็ดหลายชนิดมีคุณสมบัติในการย่อยสลายซากพืช เพื่อปลดปล่อยธาตุอาหารกลับคืนสู่ผืนป่า เห็ดบางชนิดอยู่ร่วมแบบพึ่งพาอาศัยกับรากพืช ช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของต้นไม้ โดยทีมวิจัยได้นำเอาองค์ความรู้เรื่องเทคโนโลยีและการปรับปรุงพันธุ์มาใช้ เช่น การปรับปรุงพันธุ์เห็ด โดยนำสายพันธุ์ดั้งเดิมจากที่นี่ไปปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ที่ดีขึ้นในลักษณะต่าง ๆ โดยเฉพาะเห็ดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปรับปรุงพันธุ์ให้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับที่ตลาดต้องการ มีดอกขนาดใหญ่ขึ้น คุณสมบัติทางโภชนาการดีขึ้น หรือเห็ดที่อยู่ร่วมกับรากพืช มีการศึกษาชนิดเห็ดที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเหมาะสมกับต้นพืช และพยายามที่จะนำเห็ดชนิดนี้ใส่เข้าไปที่รากพืชเพื่อให้พืชเจริญเติบโต และสามารถฟื้นฟูป่าได้ ถ้าเรามีพันธุ์เห็ดที่ดี ชาวบ้านจะมีผลผลิตเห็ดที่ดี สามารถขายได้ โดยทีมวิจัยได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ในด้านวิทยาศาสตร์ให้กับประชาชนและเด็ก ๆ ในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพื่อให้มีความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์ มีความเข้าใจในทรัพยากรที่มี ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เขาจะช่วยกันปกปักษ์รักษาป่าผืนนี้ให้มีความสมบูรณ์ต่อไป
นางสุชาดา มงคลสัมฤทธิ์ นักวิจัย ทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงกิจกรรมสำรวจราแมลงว่า ต้องการสำรวจราแมลงในพื้นที่เพื่อศึกษาถึงความหลากหลายของตัวอย่างราแมลง หลังจากที่สำรวจและจัดจำแนกชนิดของราแมลงแล้ว จะนำไปสร้างคลังข้อมูลความหลากหลายของราแมลงในพื้นที่
น้อง ๆ หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้จักราแมลงมาก่อน หลังจากน้อง ๆ ได้มาร่วมกิจกรรมสำรวจราแมลงกับพี่นักวิจัย จะได้เรียนรู้วิธีการสำรวจหาราแมลงในป่า ได้รู้จักชนิดของราแมลง โดยราแมลงในพื้นที่ผาแดงส่วนใหญ่มักจะพบเจอตามเศษซากไม้ใบทับถม กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความหลากหลายของราแมลงและการนำราแมลงไปใช้ประโยชน์ เช่น บิวเวอเรีย และเมตาไรเซียม สามารถพัฒนาเป็นชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืชได้
ด้าน นางสาวเชษฐ์ธิดา ศรีสุขสาม ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงกิจกรรมการเรียนรู้การจัดการโรคและแมลงด้วยชีวภัณฑ์ว่า กิจกรรม KIT CAMP เราได้นำความรู้เรื่องเกษตรปลอดภัยโดยอาศัยจุลินทรีย์กำจัดแมลงมาให้กับน้อง ๆ เพื่อให้เยาวชนเหล่านี้ต่อยอดและนำกลับไปบอกกับที่บ้านได้ว่า จะทำการเกษตรอย่างไรที่ไม่ต้องใช้สารเคมีหรือใช้น้อยลง
ซึ่งการจะใช้ชีวภัณฑ์ให้ได้ผล อย่างแรกคือต้องวินิจฉัยเป็น โรคร้าย แมลงดี แมลงร้าย เพราะแมลงมีหลายชนิด ตัวไหนดีต้องเก็บไว้ ตัวไหนร้ายต้องรีบควบคุม รวมถึงยังได้นำชีวภัณฑ์มาให้น้อง ๆ รู้จักด้วย ซึ่งการใช้งานต้องใช้ให้ถูกต้อง เก็บให้ถูก ไม่ใช้ตอนฝนตก และตอนร้อน และใช้ให้ตรงโรค ซึ่งเราคาดหวังว่า น้อง ๆ จะได้รับความรู้ มีแรงบันดาลใจนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ได้เข้าใกล้วิทยาศาสตร์มากขึ้น และนำเอาไปทำโครงงานวิทยาศาสตร์ได้ด้วย
ปิดท้ายด้วย ดร.นัฐวุฒิ บุญยืน นักวิจัย ทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงกิจกรรมการทำหัวใจไมซีเลี่ยมสำหรับปลูกป่าลด carbon footprint และทำอิฐชีวภาพว่า กิจกรรมสาธิตและอบรมการทำหัวใจ BCG Nature Heart (Mycelium-Based Composite) และอิฐชีวภาพ (biobrick) เป็นกิจกรรมเพื่อพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรโดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เชื่อมโยงข้อมูลด้านจุลินทรีย์และเห็ดรานำไปส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในพื้นที่ในโครงการฯ และพื้นที่ชุมชนโดยรอบและพื้นที่ภายใต้ความร่วมมือ โดยได้ให้น้อง ๆ ได้ทำไมซีเลี่ยมรูปหัวใจสำหรับฟื้นฟูป่าธรรมชาติ และอิฐชีวภาพรักษ์โลกจากเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและกากกาแฟจากพื้นที่ และร่วมกันปลูกป่าจากหัวใจไมซีเลี่ยมที่น้อง ๆ ทำขึ้นเองด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สัมมนา โอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ SME ในตลาดต่างประเทศ : ตลาดตะวันออกกลาง อินโดนิเซีย และอินเดีย
SME สายส่งออกห้ามพลาด!!✈️ กับงานสัมมนา
▪️"โอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ SME ในตลาดต่างประเทศ ตอนที่ 1: เจาะตลาดตะวันออกกลาง อินโดนีเซีย และอินเดีย 🇦🇪🇮🇳🇮🇩"
▪️พบกับการบรรยายในหัวข้อ
🔺โอกาสและอุปสรรคของตลาดเกิดใหม่ ประเทศแถบตะวันออกกลาง อินโดนีเซีย และอินเดีย
🔺กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่
🔺แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ
🥇โดย ดร.เกริกเกียรติ ศรีเสริมโภค ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ (ผู้เชี่ยวชาญตลาดอินเดีย อินโดนีเซีย และตะวันออกกลาง)
✨สิทธิพิเศษสำหรับผู้ร่วมงาน ::
สามารถสมัครรับคำปรึกษาเชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญด้านส่งออกรายบริษัทได้แบบ private session
📆วันที่ 4 กันยายน 2567
⏱️เวลา 9.00 -12.00 น.
📌ณ ห้องประชุม ออดิทอเรียม (CO-113)
อาคารสำนักงานกลาง อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ลิงค์สมัคร 🔻🔻
https://www.nstda.or.th/r/r8LSg
รับสมัครจำนวนจำกัด
เพียง 50 ที่นั่ง ไม่มีค่าใช้จ่าย
📞สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คุณอภิวันท์ 0817922105
ปฏิทินกิจกรรม

“ศุภมาส” ตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว.” วอร์รูมติดตามสถานการณ์น้ำ ช่วยประชาชนที่รับผลกระทบจากอุทกภัย ระดมกองทัพโดรนสำรวจและลำเลียงสิ่งของไปมอบให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก พร้อมเรือไวไฟ (WiFi) ให้บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต บ้านสำเร็จรูป ที่นอนยางพาราถุงยังชีพที่มีอาหารนวัตกรรมพร้อมทานโดยไม่ต้องอุ่น พร้อมแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำผ่านทุกช่องทาง
เมื่อวันที่ 26 ส.ค. น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าวการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว.” โดยมี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และกิจการพิเศษ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ
น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้กระทรวง อว. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว. ขึ้นมา ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ห้อง 7B ชั้น 7 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. เป็นวอร์รูมในการวางแผน ประสานงานกับภาคส่วนต่างๆ และสั่งการไปยังหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ในการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรมและสิ่งของที่จำเป็นไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด เพื่อช่วยสนับสนุนภารกิจของรัฐบาลในการรองรับเหตุ แก้ไขปัญหา บรรเทาผลกระทบและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด โดยเชื่อมโยงการทำงานร่วมกับศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ พร้อมมอบหมายให้มหาวิทยาลัยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการประจำจังหวัด เพื่อเป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือประชาชน เป็นที่พักพิงชั่วคราว และเป็นศูนย์กระจายสิ่งของที่จำเป็น รวมถึงเป็นหน่วยประสานงานในพื้นที่ ได้แก่ จ.เชียงราย โดย มรภ.เชียงราย จ.แพร่ โดย ม.แม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน โดย มทร.ล้านนา น่าน จ.พะเยา โดย ม.พะเยา จ.สุโขทัย โดย มรภ.พิบูลสงคราม โทร จ.ระนอง โดย วิทยาลัยชุมชนระนอง จ.ภูเก็ต โดย มรภ.ภูเก็ต จ.ยะลา โดย มรภ.ยะลา จ.นครศรีธรรมราช โดย ม.วลัยลักษณ์ และ จ.สงขลา โดย ม.สงขลานครินทร์
รมว.อว. กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ตนได้มอบหมายให้หน่วยงานในกระทรวง อว. สนับสนุนการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม รองรับสถานการณ์ใน 3 ระยะ ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ คือ 1. “การเฝ้าระวังน้ำท่วม” กระทรวง อว. มีระบบการติดตามสถานการณ์น้ำ เฝ้าระวัง แจ้งเตือน และวางแผนอพยพได้อย่างทันท่วงที จากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศน้ำ หรือ สสน. ที่เป็นหน่วยรวบรวม เชื่อมโยง บูรณาการและวิเคราะห์ข้อมูลน้ำและภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อน้ำ 435 รายการ และมีรถโมบายเคลื่อนที่เพื่อติดตามสถานกาณ์น้ำในพื้นที่ โดยศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว. จะนำเสนอข้อมูลใน 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย ข้อมูลติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำปัจจุบันแบบเรียลไทม์เช่น เส้นทางพายุ ภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลฝนตกในพื้นที่ เป็นต้น ข้อมูลคาดการณ์สถานการณ์น้ำ แบบจำลองชี้เป้าพื้นที่เสี่ยง ข้อมูลจากเทคโนโลยีสำรวจสำหรับวิเคราะห์ เพื่อวางแผน ตัดสินใจแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ระบบเว็บไซด์และโมบายแอพพลิเคชั่นสำหรับติดตามสถานการณ์น้ำ เช่น เว็บไซด์คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ เป็นข้อมูลภาพรวมประเทศ เว็บไซด์ศูนย์ข้อมูลน้ำจังหวัด เป็นข้อมูลแยกรายจังหวัด และแอพพลิเคชั่น ThaiWater สำหรับประชาชนทั่วไป ใช้งานได้ง่าย นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า จะสนับสนุนข้อมูลมายังศูนย์ปฏิบัติฯแห่งนี้ใน 2 ชุดข้อมูลที่สำคัญ ประกอบด้วย การติดตามสถานการณ์ด้วยดาวเทียม พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นประจำทุกวัน สถานการณ์ความเสี่ยงน้ำท่วม จากสถิติพื้นที่น้ำท่วมย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีการแจ้งผ่านเพจของกระทรวง อว. ทุกวัน ในเวลา 13.00 น.
น.ส.ศุภมาส กล่าวอีกว่า 2. “การให้ความช่วยเหลือระหว่างเกิดภัยน้ำท่วม” ซึ่งนอกจากจะเปิดพื้นที่ของมหาวิทยาลัยให้เป็นศูนย์บรรเทาและพักพิงให้ผู้ได้รับผลกระทบแล้ว ยังระดมกองทัพโดรนกว่า 30 ลำ ทั้งในส่วนของกระทรวง อว. และเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมาปฏิบัติภารกิจในการสำรวจและลำเลียงสิ่งของไปมอบให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก นอกจากนี้ ยังมีเรือไวไฟ (WiFi) ที่จะเข้าไปให้บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ รวมถึงยังมีบ้านสำเร็จรูป ที่นอนยางพารา เครื่องกรองน้ำไส้กรองนาโนแบบเคลื่อนที่ และถุงยังชีพที่มีอาหารนวัตกรรมพร้อมทานโดยไม่ต้องอุ่น ยาและของใช้ที่จำเป็นไปมอบให้ผู้ประสบภัยอีกด้วย ซึ่งเครื่องมือ อุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เหล่านี้ หน่วยงานในพื้นที่หรือภาคประชาชนสามารถประสานขอมายังศูนย์ปฏิบัติการทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ได้ และในวันนี้จะมีการจัดส่งโดรนขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการขนส่งของไปยังพื้นที่จังหวัดสุโขทัยจำนวน 3 ลำ และ 3. “ฟื้นฟูหลังน้ำลด” กระทรวง อว. จะจัดตั้งหน่วยบริการเคลื่อนที่ซ่อมและบริการเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องมือเกษตร ขณะที่ ยังนำนักศึกษาจิตอาสาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือประชาชน เช่น การให้บริการซ่อมแซมบ้านเรือน พาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์การเกษตร หลังสถานการณ์คลี่คลาย รวมถึงนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของกระทรวง อว. ลงไปรักษา บำบัด ฟื้นฟู ทั้งร่างกายและจิตใจ
น.ส.ศุภมาส กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กระทรวง อว. ยังมีแพลตฟอร์มการบริหารจัดการข้อมูล ทั้งการแจ้งเหตุสถานการณ์ในพื้นที่ การขอความช่วยเหลือและการรับบริจาค พร้อมจะดูแลนักศึกษาและบุคลากรของกระทรวง อว. ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจจำนวนและจะได้ให้ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ต่อไป ที่สำคัญ ตนได้สั่งการให้ น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. ลงพื้นที่ในพรุ่งนี้ (27 ส.ค.) ไปทำงานกับ อว.ส่วนหน้า จ.สุโขทัย ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในลำดับต่อไป
“ดิฉันในฐานะ รมว.อว. และบุคลากรของ อว. มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยครั้งนี้ ขอยืนยันว่าการช่วยเหลือจะไปถึงมือประชาชนอย่างแน่นอน โดยการระดมทั้งกำลังคน เทคโนโลยีพร้อมใช้ เพื่อส่งให้ถึงมือประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ เพราะกระทรวง อว. รับรู้ถึงทุกข์สุขของประชาชน เป็น “อว.เพื่อประชาชน“ และนี่คือศูนย์ปฏิบัติการฯ ที่จะกระจายความช่วยเหลือไปถึงประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด“ น.ส.ศุภมาส กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

วช. – สวทช. เปิดตัว 3 นักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2567
(26 สิงหาคม 2567) ณ ห้อง Lotus Suite 3 - 4 ชั้น 22 บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัด “งานเปิดตัวนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2567”
โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ และ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว 3 นักวิจัยศักยภาพสูง จากการสนับสนุนจากทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2567 และโครงการวิจัยที่กำลังจะดำเนินการ รวมถึงผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยมีคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ผู้บริหาร วช. ผู้บริหาร สวทช. ผู้บริหารต้นสังกัดนักวิจัย นักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของ วช. โดยในปี 2567 วช. ร่วมกับ สวทช. เปิดรับข้อเสนอการวิจัยและนวัตกรรม “ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือด้านสังคมศาสตร์ หรือด้านมนุษยศาสตร์ โดยมุ่งเน้น 4 ด้าน ได้แก่ 1) ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยไทย เพื่อให้เกิดกลุ่มวิจัยที่เข้มแข็ง ทำงานเป็นทีม และมีโครงสร้างการพัฒนานักวิจัยอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับนักศึกษา นักวิจัยรุ่นใหม่ นักวิจัยรุ่นกลาง จนถึงนักวิจัยอาวุโส 2) สร้างและบูรณาการองค์ความรู้ เพื่อสร้างผลกระทบ และความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของประเทศ 3) สร้างโอกาสการวิจัยและการใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและชุมชน ด้านนโยบาย และ 4) สร้างเครือข่ายการวิจัยระดับชาติ และระดับนานาชาติ เพื่อผลักดันผลผลิตงานวิจัย รวมถึงการสื่อสารข้อค้นพบทางวิชาการให้กับสังคมและชุมชน และการตอบสนองต่อปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ นักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2567 ที่ได้รับการสนับสนุน ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ธีรภาพ เจริญวิริยะภาพ จากสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ศาสตราจารย์ ดร.วันชัย มาลีวงษ์ จากสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์สุขภาพ และ ศาสตราจารย์ ดร.อลิศรา เรืองแสง จากสาขาวิศวกรรมและเทคโนโลยี งบประมาณรวมไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อโครงการ ระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี ปัจจุบันทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงนี้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ให้การสนับสนุนไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 9 โครงการ
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานที่ดูแลและบริหารจัดการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง โดยอาศัยกระบวนการบริหารจัดการงานวิจัยและกลไกบริหารโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่ สวทช. มีอยู่ รวมถึงการใช้ทรัพยากรและกระบวนการของ สวทช. ไม่ว่าจะเป็นฐานนักวิจัย โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือกลไกบริหารโครงการวิจัย โดยความร่วมมือระหว่าง วช. และ สวทช.
จะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ วช. และ สวทช. จะร่วมดำเนินการพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัย โดยใช้เกณฑ์ครอบคลุมศักยภาพของบุคลากรและคุณค่าของโครงการ ผ่านคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อคัดเลือกโครงการที่มีความโดดเด่นและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศอย่างแท้จริง
ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง กล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมนักวิจัยและทีมวิจัยที่ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2567 การสนับสนุนทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างทีมวิจัยที่แข็งแกร่ง และพัฒนาผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ รวมถึงการนำความรู้และความเชี่ยวชาญที่ได้รับไปเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของประเทศ แต่ยังส่งเสริมการเติบโตของนักวิจัยจากรุ่นสู่รุ่น และจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักวิจัยท่านอื่น ๆ ในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณค่า ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ท้าทายของสังคม และสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง กล่าวแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับนักวิจัยทั้งสามท่านและทีมวิจัย ที่ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ซึ่งล้วนเป็นนักวิจัยระดับแนวหน้าของประเทศที่มีผลงานวิจัยโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ ทุนวิจัยนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างทีมวิจัยที่เข้มแข็งที่มีศักยภาพระดับในและต่างประเทศ ซึ่งการทำงานเป็นทีมย่อมสร้างผลงานที่มีผลกระทบสูงและสามารถขยายผลได้อย่างกว้างขวางมากกว่าการทำงานเพียงลำพัง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความสำคัญของการสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักวิจัยก้าวข้ามอุปสรรค บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังให้ทีมวิจัยเหล่านี้เป็นคลังสมองของประเทศ เพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ ๆ ขยายบทบาทสู่เวทีนานาชาติ และเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย
ภายในงาน ยังมีการแถลงงานวิจัยของนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2567 และแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการวิจัยดังกล่าว โดยผู้ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2567 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่
รศ. ดร.อุไรวรรณ อรัญวาสน์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ เป็นผู้บรรยายแทนศาสตราจารย์ ดร.ธีรภาพ เจริญวิริยะภาพ สังกัด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โครงการ “มาลาเรียลิงที่ติดต่อมาถึงคน: บทบาทของยุงพาหะและลิงหางยาวและการพัฒนาแผนที่ทำนายความเสี่ยงของโรคอุบัติใหม่ในประเทศไทย” โดยศึกษาปัจจัยที่ก่อโรคมาลาเรียลิงที่ติดต่อมาถึงมนุษย์ โดยการศึกษายุงพาหะ ลิงหางยาว คน เชื้อมาลาเรีย ไปพร้อม ๆ กัน และตัวอย่างการควบคุมยุงพาหะนำโรค การสนับสนุนข้อมูลวิชาการที่เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการให้แก่ภาครัฐ เพื่อสนับสนุนโครงการควบคุมโรคมาลาเรียในประเทศไทยต่อไป
ศาสตราจารย์ ดร.วันชัย มาลีวงษ์ สังกัด มหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการ “กลุ่มวิจัย: สร้างองค์ความรู้ใหม่ของโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ โรคติดเชื้อในเขตร้อนที่ถูกละเลยและโรคที่นำโดยพาหะแบบบูรณาการวิจัย เพื่อพัฒนาผลิตนวัตกรรมใหม่สู่การประยุกต์ใช้เชิงพาณิชย์และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อสังคมไทยที่ยั่งยืน” โดยมุ่งเน้นการประยุกต์การวิจัย สร้างองค์ความรู้ใหม่ของโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ โรคติดเชื้อในเขตร้อนที่ถูกละเลย และโรคที่นำโดยพาหะแบบบูรณาการวิจัย ซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัย การรักษา และป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง
ศาสตราจารย์ ดร.อลิศรา เรืองแสง สังกัด มหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการ “การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและชีวเคมีภัณฑ์จากชีวมวลและวัสดุเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลภายใต้แนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว” โดยแบ่งเป็น 2 แพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ แพลตฟอร์มพลังงานชีวภาพที่มุ่งผลิตไฮโดรเจน มีเทน และไบโอไฮเทน และแพลตฟอร์มชีวเคมีภัณฑ์ที่มุ่งผลิตสารเคมีมูลค่าสูง เช่น กรดไขมันและพอลิเมอร์ชีวภาพ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริษัท มิตรผลวิจัย พัฒนาอ้อยและน้ำตาล จำกัด ในการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์จริง
ทั้งนี้ผลงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของนักวิจัยศักยภาพสูงทั้ง 3 ท่าน มุ่งเน้นผลสำเร็จ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ และด้านนโยบาย เพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาและแก้ปัญหาเร่งด่วนสำคัญของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนากำลังคนและสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้เป็นฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศแบบก้าวกระโดดและอย่างยั่งยืน โดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 ด้วย Industry 4.0 Platform โชว์ ‘IDA แพลตฟอร์ม’ เชื่อมโยงข้อมูลระบบภายในโรงงาน ผ่านเซนเซอร์และ IoT ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานการผลิต และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยี IDA Platform เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ตรวจจับสัญญาณต่าง ๆ จากเครื่องจักรในกระบวนการผลิต สู่การวิเคราะห์และบูรณาการข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ทราบสถานะการทำงานของเครื่องจักร สามารถแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ช่วยโรงงานลดต้นทุนด้านพลังงานในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
(วันที่ 23 สิงหาคม 2567) ณ หอมนุษยธรรม บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี : ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.กิตติวัตร โสมวดี รองผู้จัดการบริหารการผลิต Plant 200 & Plant 400 บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด และคุณธเนศ อิงสกุลรุ่งเรือง ผู้จัดการส่วนเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะ System Integrator: SI ร่วมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ในกิจกรรม NSTDA Meets the Press: แชร์ความสำเร็จในการปรับตัวของบริษัท LION การพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน
ดร.กิตติวัตร โสมวดี รองผู้จัดการบริหารการผลิตฯ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สาเหตุที่ตัดสินใจในการใช้บริการการเข้ามาร่วม i4.0 Platform เพราะบริษัทไลอ้อน มีอุตสาหกรรม 2.0 อุตสาหกรรม 3.0 มาก่อนหลายโรงงาน กระทั่งในช่วงปี 2016 บริษัท ไลอ้อนฯ จะมีการสร้างโรงงานใหม่จำนวนมากจึงมีการปรับให้ทันสมัย และพัฒนาหลายรูปแบบโดยได้เข้าศึกษาข้อมูลและร่วมโครงการกับศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ของ สวทช. ที่เข้ามาช่วยประเมินอุตสาหกรรม 4.0 จึงเข้าร่วมเพื่อเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม 4.0 โดยมีการเชื่อมโยงระบบที่เปลี่ยนจากการใช้กระดาษ มาเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลเป็นระบบดิจิทัล ในการประเมินดัชนีชี้วัดระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 Thailand i4.0 Index ทำให้ทราบประเด็นสำคัญที่โรงงานควรปรับปรุง ซึ่งทางบริษัทฯ เน้นปรับปรุงด้านกระบวนการการผลิต หรือ Smart factory โดยนำ IDA Platform เข้ามาเติมจุดอ่อน ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานและแสดงผลในรูปแบบ Dashboard โดยบริษัทสามารถนำมาประยุกต์ปรับใช้ต่อยอดขยายผลไปยังระบบอื่น ๆ ภายในโรงงานภาย เช่น ระบบไอน้ำ (Steam System) ชิลเลอร์ (chiller) เครื่องทำความเย็นขนาดใหญ่ ระบบน้ำหล่อเย็นของเครื่องจักร (Cooling Tower: คูลลิ่ง ทาวเวอร์) ซึ่งขยายมาได้ 2 ปี แล้ว
“ผลลัพธ์ที่ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ได้จากการใช้ IDA Platform ช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายพลังงานในกระบวนการผลิต 60,000 kWh. (กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ต่อปี ลดค่าไฟฟ้าในกระบวนการผลิตได้หลักแสนบาทต่อเดือน โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้ไปพัฒนาระบบอื่นๆ ของโรงงานต่อไปได้”
ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) กล่าวว่า แพลตฟอร์ม IDA หรือ แพลตฟอร์มไอโอทีและระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม (INDUSTRIAL IOT AND DATA ANALYTICS PLATFORM: IDA PLATFORM) เป็นโครงการนําร่องสำคัญภายใต้ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) จากความร่วมมือระหว่าง ARIPOLIS-SMC สวทช. และพันธมิตรรัฐร่วมเอกชน โดยแพลตฟอร์มสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากอุปกรณ์IOT (INTERNET OF THINGS) เพื่อตรวจจับสัญญาณต่าง ๆ จากเครื่องจักรในกระบวนการผลิสู่การวิเคราะห์และบูรณาการข้อมูล ทําให้ทราบสถานการณ์ทำงานของเครื่องจักร นําไปสู่การบริหารจัดการการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและอนุรักษ์พลังงานซึ่งตอบสนองความต้องการในการลดต้นทุนของผู้ประกอบการ SMES โดยบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ในพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรีได้นำแพลตฟอร์ม IDA มาใช้นำร่องใน PLANT 4 โดยมีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะ SYSTEM INTEGRATOR: SI ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ ภายในโรงงาน ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม IOT และระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงข้อมูลจากเครื่องจักรการผลิตสู่การวิเคราะห์ข้อมูล (DATA ANALYTIC) อย่างอิสระ ดังนั้นแพลตฟอร์ม IDA จึงสามารถประยุกต์ใช้งานครอบคลุมได้หลายมิติ ได้แก่ 1.การตรวจวัดปริมาณการใช้พลังงานในโรงงาน (ENERGY MONITORING) โดยการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทราบต้นทุนรวมถึงภาพรวมด้านการใช้พลังงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานให้คุ้มค่าสูงสุด 2.การปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต หรือ OVERALL EQUIPMENT EFFECTIVENESS (OEE) โดยการเชื่อมโยงข้อมูลพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของเครื่องจักรเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิผลโดยรวมที่บ่งบอกความพร้อมของเครื่องจักร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของประสิทธิภาพการผลิต นำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างตรงจุดเพื่อเพิ่มความ สามารถในการผลิต (PRODUCTIVITY) แก่โรงงานอุตสาหกรรม และ 3.การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (PREDICTIVE MAINTENANCE) โดยการเชื่อมโยงข้อมูลพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของเครื่องจักรมาวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ถึงความเป็นไปได้ที่เครื่องจักรจะเกิดความเสียหายในอนาคต ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการซ่อมบำรุงได้อย่างทันท่วงที เป็นการช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงรักษาเครื่องจักรในโรงงาน ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
คุณธเนศ อิงสกุลรุ่งเรือง ในฐานะ System Integrator กล่าวว่า ความสำคัญของ System Integrator: SI ช่วยการสนับสนุนโรงงานในสายการผลิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยขยายผล IDA Platform สู่โรงงานอุตสาหกรรม ทำให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้โรงงานสามารถทดลองใช้ IoT และระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม โดยร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิต หรือบริษัทที่เชี่ยวชาญทำงานร่วมกับโรงงานหรือผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพื่อทดสอบการทำงานของระบบและอุปกรณ์ รวมถึงการเชื่อมต่อข้อมูลข้ามแพลตฟอร์ม และการพัฒนา Solution ที่ต้องการได้ในอนาคต
“ในฐานะ System Integrator (SI) ทำหน้าที่ในการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สามารถทำงานร่วมกับ IDA Platform โดยบทบาทของ SI ที่เข้าไปดำเนินการคือ สำรวจ ออกแบบ ประเมินปริมาณ วัสดุ อุปกรณ์ และติดตั้ง รวมทั้งการเชื่อมโยงฮาร์ดแวร์เข้ากับ IDA Platform และระบบอื่น ๆ สิ่งสำคัญของ SI คือต้องเข้าใจ Pain Point และความต้องการของลูกค้า รวมทั้งพิจารณาถึงความคุ้มค่า
สำหรับ pain point ของโรงงานส่วนมาก คือ มีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลนั้นได้อย่างเต็มที่ อาทิ ไม่มีการใช้ข้อมูลเพื่อการแจ้งเตือนเรียลไทม์เมื่อเกิดความผิดปกติหรือปัญหา ทำให้ทีมงานไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ดังนั้นการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ จะช่วยให้โรงงานสามารถเห็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงและยกระดับการผลิตได้อย่างมาก โดยสามารถเริ่มต้นได้ ด้วยเทคโนโลยี IoT เชื่อมต่อระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรมแสดงผลในรูปแบบ Dashboard เพื่อแสดงค่าพลังงานทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องเห็นข้อมูล และสามารถตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางด้านพลังงานในกระบวนการผลิต รวมทั้งเห็นสถานะและประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรได้ทันที และสามารถวางแผนบำรุงรักษาเครื่องจักต่อไป
ความสำคัญของ SI นอกจากทำหน้าที่ในการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สามารถทำงานร่วม IDA Platform แล้ว ยังต้องให้ความรู้กับบุคคลากรในโรงงานถึงวิธีการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการยกระดับ ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงาน ปัญหาสำคัญอีกอย่างคือปัจจุบันโรงงานส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเต็มที่ จึงไม่สามารถระบุได้ว่าการรั่วไหลของพลังงานหรือต้นทุนด้านพลังงานเกิดที่ไหน เมื่อไหร แล้วโรงงานจะแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไร ดังนั้น “ดิจิทัล” เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง และอย่ากลัวที่จะปรับตัว ลองใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีในโรงงานเพื่อให้เห็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อีกมาก”
ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 (สวทช.) กล่าวว่า จากกรณีตัวอย่างการประเมิน Thailand i4.0 Index ของบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้บริษัททราบทิศทางของการปรับปรุงองค์กร เห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และระดับความพร้อมขององค์กร สามารถนำผลการประเมินที่ได้มาจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อยกระดับขีดความสามารถของบริษัทและบรรลุเป้าหมายของการดำเนินธุรกิจได้ด้วย Digital Transformation
ทั้งนี้แนวทางการยกระดับองค์กรเพื่อเตรียมพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1. Online & Interactive Self-assessment ซึ่ง จะมีตัวชี้วัดเป็น Thailand i4.0 Index มี 6 มิติหลัก 17 มิติย่อย และสามารถสรุปผลได้เป็น 6 Band Levels โดย Band 5-6 จะเท่ากับ Industry 4.0 ขั้นที่ 2. Initiation การรับการประเมิน Thailand i4.0 Index แบบ On-site โดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีความละเอียดมากกว่าและยังได้รับคำแนะนำสำหรับการพัฒนาต่อไป ขั้นที่ 3. Solutioning การรับบริการที่ปรึกษาจากศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ไม่ว่าจะเป็นการทดลองใช้ Testbed & Facilities SMC การทำคอร์สการฝึกอบรม การกำหนดกลยุทธ์ วางแผนปรับปรุงระบบขององค์กร การจัดทำแผนการลงทุน รวมทั้งการขอรับการส่งเสริมจาก BOI ขั้นที่ 4. Implementation & Operation การนำอุปกรณ์ Solution ต่าง ๆ ไปใช้จริงในโรงงาน และ SMC ยังมี Campaign ให้เงินสนับสนุนสำหรับโรงงานที่สนใจทำ Implementation & Operation
นอกจากนี้ ยังมี Membership ที่จะให้สิทธิประโยชน์ในเรื่องของส่วนลดการใช้บริการต่าง ๆ การให้คำปรึกษาด้านเทคนิค การเข้ามาใช้เครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของ SMC ซึ่งผู้ประกอบการจะได้รับข้อมูล ข่าวสารการเข้าร่วมกิจกรรม Business Matching อีกด้วย ผู้สนใจนำเทคโนโลยี IDA Platform ไปใช้ โดยมีสิทธิพิเศษมอบให้ ติดตามรายละเอียด www.nectec.or.th/smc/ สอบถามข้อมูลได้ที่
อีเมล: Ida100@nectec.or.th ถึง 30 กันยายน 2567 นี้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ผนึกกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ประกาศความพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติ ASPA Annual Conference 2025 ครั้งที่ 28 ที่ประเทศไทย
ผศ.ดร. วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย พร้อมผู้บริหารจากสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้บริหารอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เข้าร่วมการประชุมนานาชาติ ASPA Annual Conference 2024 ครั้งที่ 27 ระหว่างวันที่ 19-21 สิงหาคม 2567 ณ ประเทศมองโกเลีย ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Role and Impact of STPs for Regional Development” เพื่อแลกเปลี่ยนและแสวงหาโอกาสความร่วมมือระหว่างองค์กรในระดับภูมิภาคเอเชียที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ภายในงานมีสมาชิกจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วม อาทิ คาซัคสถาน อิหร่าน ตุรกี จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม เป็นต้น พร้อมกันนี้ประเทศไทยรับมอบและประกาศความพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดงาน ASPA Annual Conference 2025 ครั้งที่ 28
ผศ.ดร. วีรชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติ ASPA Annual Conference ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ และเป็นเกียรติอย่างมากที่ประเทศไทยได้รับมอบให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASPA Annual Conference ครั้งที่ 28 ในปี 2025 โดยความร่วมมือของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคเหนือ, อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1, อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 และอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคใต้ ร่วมกับสมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย (Thai-BISPA) และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และมรดกที่โดดเด่น ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและอาหารที่มีรสชาติ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังให้ความสำคัญและส่งเสริมการวิจัย การพัฒนา และนวัตกรรมในฐานะตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ จากความสำคัญดังกล่าวกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้จัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยขึ้นเป็นอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งแรกของประเทศ โดยเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ต่อมา ในปี 2554 อว. ได้เริ่มโครงการการพัฒนาระบบกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 4 แห่ง 3 ภูมิภาค เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และได้ขยายไปสู่อุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมากกว่า 44 แห่งทั่วประเทศ และในปี พ.ศ. 2567 นี้ กระทรวง อว. มีแผนงานที่จะนำกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาคเพื่อยกระดับการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม และเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมเป้าหมายผ่านเทคโนโลยีเชิงลึก โครงการนี้จะเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจาก 4 ภาคส่วนที่สำคัญ ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุดมศึกษา และภาคประชาสังคม โดยใช้อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคจะเป็นศูนย์กลางสำคัญในการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทั่วทุกภูมิภาค พร้อมได้เชิญชวนสมาชิก ASPA จากประเทศต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายในระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค โดยมุ่งเน้นใน 7 กลุ่มเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัลเชิงสร้างสรรค์(Creative Digital Technology) ยานพาหนะทางอากาศไร้คนขับและเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ (UAV and Smart Electronics Technology) เทคโนโลยี AI และไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (Digital AI Sensor and Microelectronics Technology) เทคโนโลยีพลังงานและชีวเคมี (Energy and Biochemical Technology (Biorefinery) เทคโนโลยีการสกัด (Extraction Technology) เทคโนโลยีพลาสมา (Plasma Technology) และ เทคโนโลยีโอลีโอเคมี (Oleochemical Technology)
ท้ายนี้ ผศ.ดร.วีรชัย กล่าวขอบคุณอุทยานเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (National Information Technology Park) และอุทยานวิทยาศาสตร์ของประเทศมองโกเลีย (Science Park Administration of Mongolia) ที่จัดการประชุม ASPA Annual Conference 2024 ได้อย่างอบอุ่นและในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ในปี 2025 ประเทศไทยยินดีให้การต้อนรับสมาชิก ASPA ทุกท่าน เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตลอดจนการบริหารจัดการอุทยานวิทยาศาสตร์ เพื่อแสวงหาความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

NECTEC-ACE 2024 : The next era of Thai intelligent sensors
NECTEC-ACE 2024 : The next era of Thai intelligent sensors
เปิดโลกเทคโนโลยียุคใหม่ด้วยเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ
10 กันยายนนี้ ! เตรียมตัวพบกับงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี 2567 หรือ NECTEC-ACE 2024 มาในธีม “เปิดโลกเทคโนโลยียุคใหม่ด้วยเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ - The next era of Thai intelligent sensors” เจาะลึกเรื่องราวของเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่เปรียบเหมือนประสาทสัมผัสในโลกดิจิทัล หัวใจสำคัญของพัฒนา Smart Technology สนับสนุนเทคโนโลยี IoT และเป็นพื้นฐานที่ช่วยขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ สร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมของประเทศ
.
ห้ามพลาดหัวข้อสัมมนาสุดเข้มข้น เจาะลึกเรื่องราวการพัฒนาเทคโนโลยีเซนเซอร์ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงการประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม พร้อมสำรวจโอกาส นโยบาย และทิศทางของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีเซนเซอร์
สัมผัสประสบการณ์จริง กับนิทรรศการผลงานวิจัยด้านเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะในด้านต่าง ๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การเกษตร การแพทย์ อุตสาหกรรม จากทั้งเนคเทค สวทช. รวมถึงพันธมิตรทั้งภาครัฐ และเอกชน
สร้างโอกาสทางธุรกิจ ร่วมเปิดมุมมองแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาและประยุกต์ใช้เซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ ไปจนถึงการต่อยอดสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยี จากผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ จากภาครัฐ และเอกชน
.
ล็อกปฏิทินไว้เลย ! 10 กันยายน 2567
เวลา 08:30 - 16:30 น. ณ ศูนย์ประชุมอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี (ฮอลล์ 4)
ลงทะเบียนเข้าร่วมงานและจับจองหัวข้อสัมมนาได้ก่อนใคร > https://nectec.or.th/ace2024
ติดตามการถ่ายทอดสดแถลงข่าวการจัดงาน NECTEC-ACE 2024
ในวันที่ 27 สิงหาคม นี้ ที่ Facebook - NECTEC NSTDA
ข่าว
ปฏิทินกิจกรรม

10 Technologies to Watch 2024: เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ติดเอไอ (AI Wearable Technology)
ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานกับอุปกรณ์ประเภทสวมใส่หรือ wearable device เพิ่มมากขึ้น เพราะอุปกรณ์เหล่านี้มักติดตั้งเซนเซอร์ไบโอเมทริก (biometric sensor) เพื่อจัดเก็บข้อมูลของผู้สวมใส่แบบเรียลไทม์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นำไปประมวลผลด้วยอัลกอริทึมแบบ deep learning เพื่อสร้างชุดข้อมูลสุขภาพเชิงลึกให้แก่ผู้สวมใส่ รวมถึงใช้จัดทำคำแนะนำด้านสุขภาพที่มีความแม่นยำสูงได้
นั่นอาจเป็นจุดสำคัญที่ส่งผลให้ในปี 2022 (พ.ศ. 2565) ตลาดผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สวมใส่ติด AI (AI wearable device) ทั่วโลก มีมูลค่าสูงถึงเกือบ 8 แสนล้านบาท และคาดว่าช่วงปี 2023-2030 (พ.ศ. 2566-2573) จะขยายตัวขึ้นอีกราวร้อยละ 30 ซึ่งหากเจาะมาที่ประเทศไทยจะพบว่าปัจจุบันคนไทยใส่สมาร์ตวอตช์ (smart watch) มากถึงร้อยละ 19 หรือเกือบ 1 ใน 5 ของประชากร และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องขึ้นอีกราวร้อยละ 23 ต่อปีอีกด้วย
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ยังมีอีกสองปัจจัยที่น่าจะมีส่วนทำให้ตลาดอุปกรณ์สวมใส่ติด AI ทั่วโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจัยแรกคืออินเทอร์เน็ตความเร็งสูงที่เสถียร เอื้อให้อุปกรณ์เหล่านี้จัดส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ปัจจัยที่สองคือการที่อุปกรณ์เหล่านี้มีส่วนช่วยดูแลสุขภาพให้แก่ผู้สวมใส่ ตอบโจทย์เทรนด์ดูแลสุขภาพของคนรุ่นใหม่และการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ
ในอนาคตอันใกล้เราอาจได้เห็นอุปกรณ์สวมใส่ติด AI เพิ่มขึ้นในรูปแบบ แว่นตาอัจฉริยะ (smart glasses), จี้อัจฉริยะ (smart neck pendant), แหวนอัจฉริยะ (smart ring ), เสื้อผ้าอัจฉริยะ (smart clothes), เข็มขัดอัจฉริยะ (smart belt), รองเท้าอัจฉริยะ (smart shoes)
ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้ smart glasses ถ่ายภาพได้โดยไม่ต้องหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาถ่าย ใช้ smart ring ทำธุรกรรมทางการเงินหรือแตะเข้ารถไฟฟ้าแทนบัตรต่าง ๆ ได้ ใช้ smart neck pendant บันทึกเสียงการประชุมพร้อมสรุปใจความสำคัญได้เสมือนเลขานุการส่วนตัว
โดยหากเจาะมาที่กลุ่มสุขภาพและการแพทย์ จะเห็นได้ว่าหลายประเทศทั่วโลกพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ติด AI อย่างหลากหลาย เช่น ชุดชั้นในช่วยตรวจหามะเร็งเต้านม อุปกรณ์วัดระดับน้ำตาลในเลือดที่ส่งข้อมูลไปจัดเก็บและคำนวณได้แบบเรียลไทม์ เสื้อวัดปฏิกิริยาทางไฟฟ้าของกล้ามเนื้อ แหวนติดตามอัตราการฟื้นตัวของผู้ป่วยจากอัตราการเต้นของหัวใจและระดับออกซิเจนในเลือด
ตัวอย่างอุปกรณ์สวมใส่ติด AI ของประเทศไทย เช่น 'อุปกรณ์ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยอัลไซเมอร์' โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 'นาฬิกาอัจฉริยะช่วยป้องกันเด็กหาย' โดยบริษัทโพโมะ เฮาส์ จำกัด, ‘แอปพลิเคชันวัดระดับการทำงานของสมอง’ โดย Lumos Labs, ‘เซนเซอร์เฝ้าระวังผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยล้ม’ โดย สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

สวทช. เปิด FoodSERP Platform ชูจุดเด่น ขุมพลังวิจัยตอบโจทย์ตลอดห่วงโซ่การผลิต ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชันและเวชสำอาง
(วันที่ 21 สิงหาคม 2567) : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) สวทช. และทีมวิจัยร่วมแถลงข่าว สวทช. เปิดตัว “FoodSERP Platform” แพลตฟอร์มขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอาง ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำไทยสู่ความยั่งยืน โดยมี ศาสตราจารย์ นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา ประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ร่วมแสดงความยินดี ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อาคารพระจอมเกล้า ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์ นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา ประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อมูลจาก Research Intelligence วิจัยกรุงศรีได้ศึกษาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารในอนาคต มีข้อมูลที่น่าสนใจว่าแนวโน้มที่สำคัญของโลกหรือเมกะเทรนด์ (Megatrend) จากการสำรวจของ FMCG Gurus ระบุว่า ผู้บริโภคทั่วโลกกว่า 79% วางแผนที่จะบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น อาหารที่ตอบโจทย์เทรนด์นี้ เช่น อาหารฟังก์ชันและอาหารโพรไบโอติกส์ โดยในปี 2564 ตลาดอาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชันทั่วโลกมีมูลค่า 180.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในอนาคตคาดว่า ตลาดอาหารฟังก์ชันโลกจะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 2.7% ต่อปี สำหรับอาหารโปรตีนทางเลือกจากพืช ซึ่ง BIS Research คาดว่า ตลาดอาหารโปรตีนทางเลือกจากพืชจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 14.3% ต่อปี ระหว่างปี 2564-2568 นอกจากนี้ผู้บริโภคยังมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้นซึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรในอนาคต จึงทำให้ความต้องการของผู้บริโภคแตกต่างกัน ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมอาหารเช่นกัน โดยเปลี่ยนระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหารจากรูปแบบดั้งเดิม ที่มุ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยการจัดหาวัตถุดิบมาผลิตสินค้าและจำหน่ายให้กับผู้ซื้อ มาเป็นในรูปแบบแพลตฟอร์ม (Platform) ดังนั้นผู้ประกอบการหรือหน่วยธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัว เช่น การสร้างโอกาสใหม่ ๆ การปรับรูปแบบธุรกิจ หรือการพึ่งพาและเข้าใจเทคโนโลยีให้มากขึ้น
อย่างไรก็ดีการเปิดตัว “FoodSERP Platform” วันนี้ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ของการวิจัยแบบมุ่งเป้าที่มีพันธกิจหลักในการให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหาร เครื่องสำอาง และส่วนผสมฟังก์ชัน ที่สำคัญเป็นการตอบโจทย์เมกะเทรนด์และทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารที่กำลังเปลี่ยนไป และสอดรับกับนโยบายของกระทรวง อว. โดยท่านศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นในด้านการวิจัยและนวัตกรรม คือ “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ”
“กระทรวง อว. ยังมีกลไกสนับสนุนการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เป็นประโยชน์ เช่น หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศหรือ บพข. ที่มีภารกิจในการสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ โดยผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศผ่านกิจกรรม เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี การสร้างตลาดนวัตกรรม การส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ ผ่านกลไกต่างๆ เช่น การให้ทุนร่วม เป็นต้น”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ฟูดเซิร์ป แพลตฟอร์ม “FoodSERP Platform” มีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่พร้อมใช้ประโยชน์ ซึ่งรวมถึง Thailand Bioresource Research Center หรือ TBRC คลังจุลินทรีย์ชั้นนำระดับอาเซียน ที่มีมากเกือบ 1 แสนสายพันธุ์ ถือเป็นต้นน้ำที่สำคัญของงานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และมีโรงงานผลิตกึ่งอุตสาหกรรม 2 แห่งที่มีมาตรฐานสากล สำหรับการผลิตและทดลองตลาด คือ โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค หรือ BBF ซึ่งดำเนินงานตามมาตรฐาน Codex GHPs & HACCP และโรงงานผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP นอกจากนี้ FoodSERP ยังมี technology platform เพื่อรองรับการต่อยอดการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การผลิตโพรไบโอติกสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารคนและสัตว์ และการผลิตต้นเชื้อบริสุทธิ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่มหมักเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ที่สำคัญ FoodSERP ยังให้ความสำคัญในการทำงานกับพันธมิตรภาคเอกชน ตามนโยบายของ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. คือ “เอกชนนำ รัฐหนุน” รวมถึงบูรณาการความร่วมมือกับพันธมิตรหน่วยงานภาครัฐและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารอนาคต ส่วนประกอบฟังก์ชั่น และเวชสำอางให้มีทั้งคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย
“จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของ FoodSERP แพลตฟอร์ม คือการให้บริการตลอดห่วงโซ่การผลิตตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะ (Tailor made) ของลูกค้า ในรูปแบบ One-stop service ที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบและมาตรฐาน ซึ่งเป็นการสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมส่วนผสมฟังก์ชั่น (Functional ingredients) อาหารฟังก์ชั่นและเวชสำอาง จากฐานทรัพยากรชีวภาพทางการเกษตรและจุลินทรีย์ของประเทศ ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากต่างประเทศ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน FoodSERP ได้ให้บริการผู้ประกอบการแล้วจำนวนมากกว่า 250 ราย โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ช่วยเร่งการพัฒนาและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ สามารถผลักดันการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมได้มากกว่า 30 ผลงาน นอกจากนี้ยังมีจำนวนผู้ประกอบการที่กลับมาใช้บริการ (returned customers) ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือการใช้บริการในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติม” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการ กลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) สวทช. และรักษาการรองผู้อำนวยการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมอาหารคือหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศเป็นเม็ดเงินมหาศาล ด้วยความได้เปรียบของไทยที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ในขณะที่ทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารโลก มุ่งไปสู่อาหารใหม่ หรืออาหารฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน ดังนั้น แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน หรือ “FoodSERP” สวทช. จึงเร่งผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ ผ่านกลยุทธ์ การผนวกวิทยาการความรู้ และความเชี่ยวชาญสหสาขา เครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ใน สวทช. โดยให้บริการตลอดห่วงโซ่การผลิต
ทั้งนี้ปัจจุบัน FoodSERP ให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชั่น และเวชสำอาง รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สำหรับทดลองตลาดและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ส่วนผสมฟังก์ชั่น (functional ingredients) 2.โปรตีนทางเลือก(alternative proteins) และ 3.อาหารเฉพาะกลุ่ม (foods for specific group) ครอบคลุมทั้งกระบวนการต้นน้ำ และกระบวนการปลายน้ำ ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิต การขยายขนาดการผลิต การวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ บนฐานความเข้มแข็งของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ภายในงานแถลงข่าวดังกล่าวมีผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อยเข้าร่วมกิจกรรมออกบูทเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์จากการใช้บริการ FoodSERP Platform
นอกจากนี้ยังมีการสาธิตและเสิร์ฟอาหารเมนูที่รังสรรค์จากวัตถุดิบจากงานวิจัยและพัฒนาของ FoodSERP สวทช. โดย ดร.วรพล อิทธิคเณศร (เชฟธอมัส) เจ้าของเพจ “ตำรับข้างวัง Truly Thai Recipes” และการเสวนาหัวข้อต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้และอัปเดตเทรนด์อาหาร ส่วนผสมฟังก์ชั่นและเวชสำอางทั้งในและต่างประเทศ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมกับ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ จัดกิจกรรม “ผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์” รุ่นที่ 8 สร้างสื่อมวลชนรุ่นเยาว์ให้มีคุณภาพก้าวสู่วงการข่าวแบบมืออาชีพ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ จัดกิจกรรม อบรมเชิงปฏิบัติการผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ ปีที่ 8 (Young Digital News Providers 2024) ระหว่างวันที่ 16 - 18 สิงหาคม 2567 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการได้แก่ นิสิต นักศึกษา ทั้ง 13 สถาบัน รวม 52 คน โดยมี คุณสิรินทร อินทร์สวาท ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล (SPE) เนคเทค สวทช. กล่าวต้อนรับ
คุณสิรินทร กล่าวว่า กิจกรรมนี้สำคัญมาก ๆ และมีประโยชน์ต่อวงการสื่อสารมวลชนไทยโดยเฉพาะการนำเสนอข่าวสารผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งทำได้รวดเร็วทันใจ และไม่มีข้อจำกัด เพราะทุกคนมีโซเชียลมีเดียติดตัวอยู่แล้ว กิจกรรมนี้เป็นเหมือนเวทีให้น้อง ๆ ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงของนักข่าวมืออาชีพหลากหลายสาขา เป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกฝนทักษะด้านสื่อสาร ขอให้ตั้งใจร่วมกิจกรรมให้เต็มที่ และการสร้างเครือข่ายกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ สื่อมวลชน เป็นคอนเนคชั่นที่ดีเป็นสิ่งสำคัญมากในสายงานนี้
คุณชุตินธรา วัฒนกุล ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวเปิดกิจกรรมว่า โครงการนี้ให้ความสำคัญในเรื่องของทักษะที่หลากหลายสำหรับนักสื่อสารรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล ทั้งการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การคิดเชิงวิพากษ์ และความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำเสนอประเด็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ (Climate Crisis) ในสื่อยุคใหม่ โดยสื่อมวลชนต้องศึกษาข้อมูล และนำเสนอผลกระทบในระดับท้องถิ่นเพื่อให้เข้าใจและเห็นความสำคัญของปัญหานี้มากขึ้น
ตลอดการอบรมทั้ง 3 วัน การนำเสนอหัวข้อที่น่าสนใจจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองจากองค์กรผู้ผลิตข่าวออนไลน์ หน่วยงานภาคเอกชน และสวทช. ร่วมนำเสนอเรื่อง "Net Zero: แนวทางลดคาร์บอนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน" โดยคุณอธิวัตร จิรจริยาเวช นักวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช.
Content Creator โดย คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล (ผู้ผลิตรายการสารคดี และผู้ก่อตั้ง เถื่อน Channel
Branding โดย คุณอรรถพล ไข่ทอง (เบลล์ ขอบสนาม ผู้ก่อตั้งเพจ ขอบสนาม) และคุณปฐพร ทรัพย์ไพฑูลย์ อดีตบรรณาธิการบริหารเดอะ เนชั่น
การวางแผนกลยุทธ์การผลิตข่าว โดย คุณชุตินธรา วัฒนกุล (บรรณาธิการบริหารข่าวออนไลน์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส)
Production อย่างไรให้ถูกใจ Platform โดย คุณอัยยา ตันติเสรีรัตน์ (Head of Partnerships & Co-Managing Director บริษัท เทลสกอร์ จำกัด)
การนำเสนอข่าวในแพลตฟอร์มออนไลน์ โดย คุณธัญญารัตน์ ถาม่อย (ผู้ประกาศข่าว PPTV)
Climate ใคร Made โดย คุณอทิตย์ เกษรามัญ Environmental Dimension Analyst, SCG
กฏหมายและจริยธรรมสื่อ โดย อาจารย์ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ อาจารย์พิเศษด้านกฎหมาย และเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Ethical AI โดย คุณมนตรี สถาพรกุล หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
วันสุดท้ายของกิจกรรม ผู้เข้าอบรมได้นำเสนอผลงานภายใต้หัวข้อ "Climate Crisis กู้วิกฤติโลกเดือด" พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย: คุณชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี (ประธานที่ปรึกษา) ตัวแทนจากไทยรัฐ คุณนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา (นายกสมาคม) ตัวแทนจากอมรินทร์ คุณชุตินธรา วัฒนกุล (ที่ปรึกษา) ตัวแทนจากไทยพีบีเอส คุณจีรพงศ์ ประเสริฐพลกรัง (อุปนายก ด้านมาตรฐานวิชาชีพ) ตัวแทนจากฐานเศรษฐกิจ คุณเอกพล บรรลือ (อุปนายก ด้านพัฒนาเนื้อหา) ตัวแทนจากเดอะ สแตนดาร์ด และคุณอรพิน เหตระกูล (เลขาธิการ) ตัวแทนจากเดลินิวส์ กล่าวปิดโครงการ โดย คุณนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ ปีที่ 8 (Young Digital News Providers 2024) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผู้ผลิตข่าวดิจิทัลยุคใหม่เพื่อถ่ายทอดความรู้ในการผลิตข่าวบนโลกดิจิทัล การนำเสนอข่าวสาร และการใช้เครื่องมือบนเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ ให้แก่นักศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์หรือภาควิชาที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมก่อนที่จะก้าวสู่การทำงานอย่างมืออาชีพ โดยผู้เข้าร่วมอบรมในรุ่นนี้ทั้งหมด จะนำความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และคำแนะนำจากคณะกรรมการ กลับไปต่อยอดและพัฒนาผลงาน ส่งเข้าประกวดในเวที ประกวดรางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ประจำปี 2567 ในหมวดหมู่ผู้ผลิตข่าวรุ่นเยาว์ ซึ่งจะเริ่มเปิดรับผลงานในปลายเดือนสิงหาคม 2567 เป็นต้นไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์