ผลการค้นหา :

สวทช.เสริมเทคนิคการเข้าถึงแหล่งทุนและการคำนวณความต้องการเงินทุนหมุนเวียนด้วยวิทยกรผู้เชี่ยวชาญ ในหลักสูตร DMA
เมื่อวันที่ 4-5 มิถุนายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร จัดอบรมในโครงการเสริมแกร่งผู้ประกอบการ ปรับตัวสู่การผลิตดิจิทัล (Digital Manufacturing Advisor : DMA) ในหัวข้อ "การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการคำนวณความต้องการเงินทุนหมุนเวียน รวมทั้งบัญชี CEO "
โดยวัตถุประสงค์ของการอบรมในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถคำนวณและวางแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อการปรับปรุงการผลิต ที่สำคัญคือการรู้จักแหล่งเงินทุนและสิทธิประโยชน์จากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยต้องเข้าใจถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุน เช่น BOI ที่ใช้ได้จริงในภาคธุรกิจได้อย่างชัดเจน และสามารถวิเคราะห์และประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำเสนอแผนการเงินและการขอสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ผู้เข้าอบรมได้ทราบถึงหลัก วิธีคิด และสามารถคำนวณความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในกิจการได้ รวมทั้งทราบในแหล่งเงินทุน การสนับสนุนการค้ำประกันจากสินเชื่ออย่าง บสย. และเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการยื่นขอสินเชื่อ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจากวิทยกรผู้เชี่ยวชาญ ในหัวข้อต่าง ๆ
สิทธิประโยชน์และผลิตภัณฑ์ทางการเงินสำหรับผู้ส่งออก
โดย คุณณุทาวดี อุบล ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
บริการทางการเงินเพื่อการปรับปรุงเทคโนโลยี โดย สวทช.
โดย คุณทวีรัช มารวยทรัพย์ นักวิเคราะห์ผลงานนโยบาย สนับสนุนการวิจัยพัฒนาภาคเอกชน ฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม สวทช.
แนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ BOI
โดย คุณชนากานต์ สันตยานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโส กลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ของไทย สวทช.
เทคนิควางแผนทางการเงิน
โดย คุณจันทร์ฉาย พิทักษ์อรรณพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเขาแห่งประเทศไทย (EXIM Bank)
การคำนวณค่าใช้จ่ายและงบประมาณในการลงทุนเพื่อการปรับปรุงกระบวนการผลิต
โดย คุณทรงชัย พุทธิมาโนชญ์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงิน, อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตอิสระ
การเข้าถึงแหล่งทุน/บสย.จะช่วยท่านเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างไร/การค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการทั่วไป และกลุ่มมนวัตกรรม/การคำนวณความต้องการเงินทุนหมูนเวียน
โดยนายเทียบจิตต์ จันทรภูติผลากร ผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center)
Workshop การคำนวณค่าใช้จ่ายและงบประมาณในการลงทุนเพื่อการปรับปรุงกระบวนการผลิต
โดย คุณจรรยฤทธิ์ ทรงมณี ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center)
พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมอบรมซักถาม พร้อมแชร์ประสบการณ์ปัญหาด้านการเงิบของผู้ประกอบการแบบเจาะลึก
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

แกะกล่องงานวิจัย : ‘คิดไบรท์ ไมโครเอไอ’ ฝึกสร้าง AIoT ในแพลตฟอร์มเดียว
📌 เกี่ยวกับอะไร ?
ทุกวันนี้เทคโนโลยี AI เข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตของผู้คนแทบทุกมิติ คนรุ่นใหม่จึงจำเป็นต้องรู้เท่าทันและใช้เทคโนโลยี AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุ ‘การเรียนรู้วิธีสร้างโมเดล AI เพื่อประมวลผลข้อมูล’ เป็นหลักสูตรขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า เพื่อเตรียมความพร้อมทักษะแห่งอนาคตให้แก่เยาวชนไทยแล้ว
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา KidBright μAI (คิดไบรท์ ไมโครเอไอ) แพลตฟอร์มฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT (Artificial Intelligence of Things) แบบครบจบในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อการเรียนรู้ที่เป็นระบบ ง่าย และสนุก
แพลตฟอร์ม KidBright μAI ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือ บอร์ดสมองกลฝังตัว ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ AIoT ตัวบอร์ดจะมาพร้อมอุปกรณ์รับสัญญาณภาพและเสียง ตัวรับสัญญาณไวไฟ อุปกรณ์แสดงผลข้อมูล (จอและลำโพง) และพอร์ตสำหรับต่อเซนเซอร์จากภายนอก ส่วนที่สองคือ เว็บแอปพลิเคชัน KidBright μAI IDE สำหรับฝึกสร้างโมเดล AI และเขียนโค้ดควบคุมอุปกรณ์
ปัจจุบัน KidBright μAI IDE ใช้สร้างโมเดล AI ได้ 3 ประเภท คือ Image Classification จำแนกประเภทของภาพ Object Detection จำแนกและระบุตำแหน่งวัตถุภายในภาพ และ Voice Classification จำแนกประเภทเสียง ซึ่งทักษะการพัฒนาโมเดลเหล่านี้นำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น สมาร์ตโฟน ยานยนต์ การแพทย์ รวมถึงใช้ควบคุมสายการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
📌 ดีอย่างไร ?
จุดเด่นของ KidBright μAI คือ เรียนรู้ง่าย เหมาะสำหรับใช้ปูพื้นฐานการเขียนโค้ด ฝึก AI และสร้างอุปกรณ์ AIoT ขั้นตอนการเรียนรู้ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลัก ขั้นแรกคือการฝึกโมเดล AI ผ่านการสร้างชุดข้อมูล การกำกับข้อมูล และการเลือกฟังก์ชันการฝึกที่เหมาะสม ขั้นที่สองคือการฝึกเขียนโค้ดด้วยชุดคำสั่งแบบบล็อก (Blockly) เพื่อให้บอร์ดประมวลผลและทำงานตามที่กำหนด เช่น หากผู้เรียนฝึกให้โมเดล AI จำแนกประเภทภาพได้แล้วว่าเป็นสุนัขหรือแมว ก็อาจเขียนโค้ดสั่งการทำงาน เช่น หากกล้องของบอร์ดจับภาพสุนัขให้เล่นเสียง ‘โฮ่ง’ แต่หากกล้องจับภาพแมวให้เล่นเสียง ‘เหมียว’ แทน
การเรียนรู้ที่เป็นระบบและต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจแบบองค์รวม เชื่อมโยงองค์ความรู้และประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การเรียนรู้ที่ง่าย สนุก และรวดเร็ว จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เรียนไม่มีบอร์ด KidBright μAI ก็สามารถเรียนรู้ทุกขั้นตอนได้ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน KidBright AI โดยในแอปฯ จะมีระบบจำลองสถานการณ์ (Simulation) ที่มีหุ่นยนต์ ‘น้องขนมชั้น’ คอยรอรับคำสั่งและแสดงผลให้เห็นแทนการแสดงผลผ่านบอร์ด
📌 ตอบโจทย์อะไร ?
แพลตฟอร์ม KidBright μAI เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการสร้างรากฐานทักษะแห่งอนาคตให้แก่เยาวชน เพราะการเรียนรู้การเขียนโค้ด การสร้างโมเดล AI รวมถึงการสร้างอุปกรณ์ AIoT นอกจากจะเป็นการปูพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์แล้ว ยังช่วยให้พวกเขาได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์ พร้อมนำไปใช้ต่อยอดการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ KidBright μAI ยังเรียนรู้ได้จากทุกที่ ทุกเวลา จึงช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพิ่มโอกาสให้เด็กไทยเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้อย่างเท่าเทียม
📌 สถานะของเทคโนโลยี ?
เนคเทค สวทช. ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตบอร์ด KidBright μAI ให้แก่บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ โดยมีการจัดจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้เนคเทคและพันธมิตรยังได้นำอุปกรณ์ KidBright (KidBright Coding และ KidBright μAI) ไปถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการจัดกระบวนการสอนให้แก่ครูและอาจารย์แล้วมากกว่า 10,000 คน จากกว่า 7,000 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ มีนักเรียนเข้าใช้งานแพลตฟอร์มแล้วมากกว่า 1 ล้านครั้ง
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘KidBright μAI’ ฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย เนคเทค สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงาน วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2568
วันที่ 6 มิถุนายน 2568 เวลา 14.30 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2568” ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีเกษตรกรรมก้าวหน้า ส่งเสริมการทำนายุคใหม่ สืบสานศิลปาชีพร่วมสมัย ชาวนาไทยยั่งยืน” พร้อมพระราชทาน เกียรติบัตรแก่คณะกรรมการกลาง ศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2568 จำนวน 4 ราย ผู้สนับสนุนการจัดงาน ฯ จำนวน 29 ราย และทรงมี พระราชดำรัสเปิดงานวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2568 จากนั้นเสด็จฯ พระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการงานด้านข้าวทั้งจากหน่วยงานภายในและภายนอกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทอดพระเนตรการแสดงโปงลาง ชุดกรมการข้าว เทิดไท้ กรมสมเด็จพระเทพ ฯ มิ่งขวัญแก้ว ชาวนาไทย และกำเนิดพระแม่โพสพ โดยเยาวชนอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้าน อรรคฮาตสี ตลอดจนฉายพระฉายาลักษณ์ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเกษตรกร
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านข้าวและชาวนา จึงจัดงานวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2568 ระหว่างวันที่ 5 – 7 มิถุนายน พุทธศักราช 2568 ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ประชาชนรำลึกถึงความสำคัญของข้าว ในฐานะพืชที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยมาอย่างยาวนาน รวมทั้งเชิดชูเกียรติชาวนาไทย และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตด้านการเกษตรที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว การยกระดับคุณภาพผลผลิตให้สนองความต้องการของตลาด การผลิตข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมงานได้รับทราบและนำไปประยุกต์ใช้ การจัดงานดังกล่าวเป็นแบบบูรณาการทุกภาคส่วน ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีเกษตรกรรมก้าวหน้า ส่งเสริมการทำนายุคใหม่ สืบสานศิลปาชีพร่วมสมัย ชาวนาไทยยั่งยืน” โดยภายในงานได้จัดให้มีนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อกิจการด้านข้าวและชาวนาไทย นิทรรศการวิชาการด้านข้าว การเชิดชูเกียรติชาวนา การแสดงวัฒนธรรมประเพณีด้านข้าว และกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชาวนา และผู้สนใจทั่วไป
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค-สวทช.) และ ดร.ศรีสวัสดิ์ ขันทอง ผู้ช่วยวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ (APBT) ไบโอเทค-สวทช. ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ
ภายในงาน สวทช. ได้นำผลงานวิจัยและพัฒนามาจัดแสดงนิทรรศการ ในระหว่างวันที่ 5–7 มิถุนายน 2568 โดยนำเสนอภายใต้แนวคิด "การพัฒนาระบบปลูกข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาวะโลกรวน (NSTDA Climate-Smart Rice)"
ไบโอเทค สวทช. มุ่งมั่นพัฒนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับการผลิตข้าวไทยให้มีความยั่งยืน สามารถรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผลงานสำคัญที่จัดแสดงประกอบด้วย 3 ด้าน ดังนี้
1. การพัฒนาพันธุ์ข้าวทนสภาวะโลกรวน
สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ใช้เทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุล (Molecular Markers) พัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่
- หอมสยาม: ข้าวหอม ผลผลิตสูง ต้านทานโรคไหม้ ทนน้ำน้อยและน้ำท่วมฉับพลัน
- หอมสยาม 2: ข้าวหอม คุณภาพกลิ่นดี ทนโรค น้ำท่วม ผลผลิตเฉลี่ย 600 กิโลกรัม/ไร่
- หอมชลสิทธิ์ 2: ข้าวเจ้าหอมนุ่ม ไม่ไวแสง ทนทานต่อน้ำท่วม โรคขอบใบแห้ง โรคไหม้ และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ผลผลิตสูง 800 – 1,000 กิโลกรัม/ไร่
- ข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1: ข้าวขาวไม่หอม อายุเบา ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เหมาะกับพื้นที่นาชลประทาน ผลผลิตสูง ศักยภาพผลผลิต 1,500 กิโลกรัม/ไร่
พันธุ์ข้าวเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน และเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้แก่เกษตรกร
2. แพลตฟอร์ม AgriOmics
เป็นโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลพันธุกรรม (Genome) และลักษณะภายนอกของพืช (Phenomics) ช่วยวิเคราะห์กลไกทางพันธุกรรมระดับโมเลกุล เพื่อระบุยีนสำคัญในการเกษตรได้แม่นยำและรวดเร็ว ส่งผลให้สามารถปรับปรุงพันธุ์ ลดต้นทุน วางแผนการเพาะปลูก และจัดการศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ฐานข้อมูล NSTDA Rice Database
รวบรวมข้อมูลจีโนมของข้าวไทยกว่า 700 สายพันธุ์ ครอบคลุมความหลากหลายทางพันธุกรรมกว่า 13 ล้านตำแหน่ง พร้อมข้อมูลฟีโนไทป์ เช่น คุณภาพเมล็ดข้าว การต้านทานโรค และการปรับตัวของพืช พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถค้นหายีนและเครื่องหมายโมเลกุลเพื่อการปรับปรุงพันธุ์ข้าวได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
การพัฒนาดังกล่าวเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเกษตรกรรมไทยให้มีความยั่งยืน รองรับความต้องการของตลาด และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือ สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่นฯ ผลักดัน AI ภาษาไทย การพัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ “Thai LLM”
(วันที่ 6 มิถุนายน 2568) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดงาน “Thai LLM และความท้าทายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย” พร้อมทั้งพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการพัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ นายรัตนพล วงศ์นภาจันทร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ Thai LLM ที่เข้าใจบริบทและวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง โดยมี นายณัฐพงษ์ ช่วยบำรุง Chief Technology Officer และดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. ร่วมเป็นสักขีพยาน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้กับ บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) โดยเฉพาะ Thai LLM ที่เข้าใจบริบทและวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AI ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะ Generative AI ที่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ LLM และการที่ประเทศไทยมี Thai LLM ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเชิงยุทธศาสตร์ที่จะช่วยพัฒนา AI ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทย และส่งเสริมการสร้างสรรค์บริการดิจิทัลในประเทศ
ทั้งนี้ความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. และ สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด จะร่วมกันวิจัยพัฒนา Thai LLM แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้าง Sandbox สำหรับการทำ Proof of Concept (PoC) และพัฒนากำลังคนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น สวทช. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. ให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือที่เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
"ผมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในวันนี้จะเป็นก้าวสำคัญและเป็นความท้าทายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของ AI ภาษาไทย และสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศวิจัยไทยในระยะยาว" ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าว
นายรัตนพล วงศ์นภาจันทร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า มีความยินดีและเป็นนับอีกก้าวสำคัญของบริษัทสยาม ไอเอฯ ที่ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เพื่อร่วมกันพัฒนา แบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) โดยเฉพาะ Thai LLM ประเทศไทยควรมี และควรพัฒนาโดยคนไทย ซึ่งความร่วมมือในวันนี้เป็นก้าวสำคัญมากที่เราจะได้พัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาความรู้ร่วมกันโดยคนไทยและเพื่อคนไทยในอนาคต
"ความเข้มแข็งของ บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เราเป็นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งประสิทธิภาพสูงสำหรับการประมวลผล AI การได้มีโอกาสร่วมมือกับ สวทช. ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนนวัตกรรม AI สู่การใช้งานจริงในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน"
นายรัตนพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การมี LLM ที่เข้าใจภาษาไทยโดยเฉพาะถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถพัฒนา AI ที่เข้าใจบริบท วัฒนธรรม และภาษาของคนไทยได้อย่างแท้จริง และส่งเสริมการสร้างสรรค์บริการดิจิทัลที่ตรงกับความต้องการของภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งการผนึกกำลังระหว่าง สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และ สวทช. ในวันนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา AI ภาษาไทยให้ก้าวหน้าและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศ และเรามุ่งมั่นที่จะนำพาเทคโนโลยี AI ของไทยให้ก้าวทันโลก และร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศไทย
สำหรับภายในงานดังกล่าวยังมีไฮไลต์ที่น่าสนใจ อาทิ ปาฐกถาพิเศษ “Thai LLM: ปัญญาประดิษฐ์เพื่อภาษาไทย” โดย ดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. การเสวนาพิเศษ “อนาคต LLM และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการประยุกต์ ใช้ในภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมไทย” โดย นายวชิรวิทย์ ทุนทรัพย์ Business Development Manager บริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) นายณัฐพงษ์ ช่วยบำรุง Chief Technology Officer บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัย กลุ่มนวัตกรรมการผลิตยั่งยืน สวทช. พร้อมทีมนักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. ร่วมเสวนา นอกจากนี้ยังมีชมบูธนิทรรศการผลงานวิจัยนวัตกรรม โซลูชันด้าน AI จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน พร้อมบริการให้คำปรึกษาสำหรับผู้สนใจพัฒนา AI ใช้งานภายในองค์กร และกิจกรรมเวิร์กชอปเจาะลึกเบื้องหลัง “Pathumma LLM” พร้อมทดลองใช้งานเครื่องมือ AI ต่าง ๆ โดย ทีมนักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. ซึ่งมีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมอบรมจำนวนมาก
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เปิดตัว “NPV หนอนเจาะฝักถั่ว” นวัตกรรมชีวภาพปราบหนอนร้ายในถั่วฝักยาว หนุนพืชเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน
(วันที่ 6 มิถุนายน 2568) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี: ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดกิจกรรม NSTDA x Press Interviews กิจกรรมพิเศษเพื่อให้นักวิจัยได้พบปะพูดคุยกับสื่อมวลชนในประเด็น: การค้นพบไวรัส NPV ใหม่ที่ช่วยแก้ไขปัญหาหนอนเจาะฝักถั่วในพืชตะกูลถั่ว โดยไบโอเทค สวทช. ได้พัฒนานวัตกรรมชีวภาพชนิดใหม่คือ ไวรัส เอ็นพีวี (NPV) เพื่อใช้ในการปราบ “หนอนเจาะฝักถั่ว หรือหนอนเจาะฝักลายจุด” ซึ่งเป็นศัตรูพืชสำคัญที่สร้างความเสียหายอย่างมากต่อพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วฝักยาวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย จุดเด่นของ NPV ชนิดใหม่นี้คือ มีความปลอดภัยสูง มีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงเป้าหมาย (หนอนเจาะฝักถั่ว) ทำให้ปลอดภัยต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างในผลผลิต เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและยั่งยืนกว่าการใช้สารเคมี ลดปัญหาการดื้อยา ลดต้นทุนการผลิต ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง รวมถึงยังควบคุมศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหนุนพืชเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน นับเป็นนวัตกรรมการพัฒนาสารชีวภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของภาคเกษตรกรรมไทย สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการลดการใช้สารเคมีและหันมาใช้ชีวภัณฑ์ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชมากขึ้น
นายสัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ (ABCT) ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ถั่วฝักยาวถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย และคนไทยนิยมบริโภคมากเป็นอันดับ 3 แต่การปลูกถั่วฝักยาวกลับเผชิญปัญหาใหญ่จาก “หนอนเจาะฝักถั่ว” ซึ่งเป็นศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายอย่างมากต่อผลผลิต หนอนเจาะฝักถั่วจะกัดกินดอกและเมล็ดในฝัก ทำให้ผลผลิตลดลงถึง 20-25% ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกร เพื่อแก้ปัญหานี้ เกษตรกรส่วนใหญ่มักใช้สารเคมีกำจัดแมลง แต่การใช้สารเคมีนี้นำมาซึ่งปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น แมลงศัตรูพืชดื้อยา นอกจากนี้ ยังมีสารพิษตกค้างในผลผลิตซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ปัญหาสารพิษตกค้างในถั่วฝักยาวได้รับการยืนยันจากข้อมูลของ ThaiPan (เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช) ในปี 2559 พบว่า ถั่วฝักยาวมีสารพิษตกค้างสูงเป็นอันดับ 3 หรือพบมากถึง 66.7% ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจ ปัญหานี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกถั่วฝักยาวได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญคือเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประทานผลผลิตที่ปลอดภัย
จากปัญหาหนอนเจาะฝักถั่วที่เป็นภัยคุกคามสำคัญต่อผลผลิตถั่วฝักยาว ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ (ABCT) ไบโอเทค สวทช. ได้พัฒนานวัตกรรมชีวภาพชื่อว่า “NPV หนอนเจาะฝักถั่ว” (MaviMNPV, Maruca vitrata multi-nucleopolyhedrovirus) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมศัตรูพืชอย่างหนอนเจาะฝักถั่วหรือหนอนเจาะฝักลายจุด โดยมีกลไกการทำงานและความปลอดภัยคือ NPV หนอนเจาะฝักถั่วเป็นไวรัสที่ก่อโรคในแมลงศัตรูพืชโดยเฉพาะ และมีความจำเพาะเจาะจงกับหนอนเจาะฝักถั่ว (Bean pod borer) หรือหนอนเจาะฝักลายจุด (Spotted pod borer) เท่านั้น ทำให้มั่นใจได้ว่า ไม่เป็นอันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เมื่อหนอนเจาะฝักถั่วกินไวรัส NPV นี้เข้าไป จะแสดงอาการติดเชื้อภายใน 3-4 วัน โดยหนอนจะกินอาหารน้อยลง เคลื่อนไหวช้าลง ลำตัวจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม และสุดท้ายจะตายลงในที่สุด
ด้าน ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ นักวิจัยไบโอเทค และผู้แทนผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า ภาคการเกษตรไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากศัตรูพืช ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรโดยตรง การพึ่งพาสารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชนั้น แม้จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่กลับสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนให้ทั้งภาคการเกษตรและสิ่งแวดล้อม การค้นพบ NPV หนอนเจาะฝักถั่วถือเป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำว่าเทคโนโลยีชีวภาพสามารถแก้ไขปัญหาการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดร.เกรียงไกร เน้นย้ำว่า “การควบคุมทางชีวภาพไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่คือหนทางสู่การเกษตรที่ปลอดภัยและยั่งยืน สวทช. มุ่งมั่นที่จะวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเป็นทางออกที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทยต่อไป”
ทั้งนี้ ไบโอเทค-สวทช. โดยโรงงานต้นแบบผลิตไวรัสเอ็นพีวีเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบผลิตไวรัส NPV ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม ได้พัฒนาและผลิตไวรัส NPV จำเพาะกับหนอน มาแล้ว 3 ชนิด ได้แก่ NPV หนอนกระทู้หอม NPV หนอนกระทู้ผัก และ NPV หนอนเจาะสมอฝ้าย โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและการทดลองตลาดร่วมกับภาคเอกชน และเป็นผลิตภัณฑ์จากผลงานวิจัยที่มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ และล่าสุดคือ NPV หนอนเจาะฝักถั่ว จะเป็นผลิตภัณฑ์ลำดับที่ 4 ของโรงงานต้นแบบฯ เพื่อป้องกันและกำจัดหนอนเจาะฝักถั่ว ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชสำคัญของพืชตระกูลถั่วในประเทศไทย โอกาสดีสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกถั่วฝักยาว ขณะนี้ไบโอเทคอยู่ระหว่างเปิดรับเกษตรกรผู้ปลูกถั่วฝักยาวที่สนใจเข้าร่วมทำแปลงทดสอบการใช้สารชีวภัณฑ์ NPV หนอนเจาะฝักถั่ว เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการผลิตถั่วฝักยาวให้ปลอดภัยและยั่งยืน
สอบถามรายละเอียดได้ที่โรงงานต้นแบบผลิตไวรัสเอ็นพีวีเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3781 หรือฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3310
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. โดยนาโนเทค จับมือพันธมิตร ปูพรมใช้ “ชุดตรวจคัดกรองโรคไต” นำร่องสร้าง “ขอนแก่นโมเดล” พร้อมตั้งเป้าขยายผลทั่วไทยในปี 2571
5 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น และองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ลงนามความร่วมมือด้าน “การนำนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคไต และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการสุขภาพในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น” โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดกิจกรรมอบรมการใช้ชุดตรวจคัดกรองโรคไตให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ครอบคลุมทั้ง 248 แห่งในจังหวัดขอนแก่น เพื่อขับเคลื่อนการใช้ชุดตรวจคัดกรองอย่างครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัด เป็นการนำร่อง 'ขอนแก่นโมเดล' ซึ่งตั้งเป้าขยายผลสู่ระดับประเทศภายในปี 2571 เพื่อยกระดับสุขภาวะของประชาชนไทยด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย และตอบโจทย์ความต้องการในพื้นที่
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “ขุมพลังหลักของประเทศ” ของ อว. โดย สวทช. นั้น เป็นการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนา “ระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม” ให้เข้มแข็ง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ผ่านกลยุทธ์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ที่มุ่งเป้าหมาย 4 มิติ ประกอบด้วย การเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การสร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการพึ่งพาตนเอง ทั้งนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงานวิจัยของนาโนเทค ภายใต้ SF ชุดตรวจสุขภาวะ ที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำระดับประเทศด้านนวัตกรรมชุดตรวจสุขภาวะ ต่อยอดผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ยกระดับเศรษฐกิจ และสร้างมูลค่าเพิ่ม ที่สำคัญคือ ประชาชนเข้าถึงได้ เพื่อสนับสนุนสังคมเท่าเทียมและยั่งยืน
“ชุดตรวจคัดกรองโรคไตนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand โดยเป็นนวัตกรรมชุดตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) ที่ต่อยอดงานวิจัย 'AL-Strip' โดย ดร.สาธิตา ตปนียากร ซึ่งเป็นชุดตรวจคัดกรองโรคไตเชิงคุณภาพที่ประชาชนทั่วไปใช้ตรวจคัดกรองโรคได้ด้วยตัวเอง และทราบผลตรวจได้ภายใน 5 นาที ในปัจจุบันได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทยแล้ว 3 ราย คือ บริษัทอินโนซุส จำกัด, บริษัทเมดไบโอซิน จำกัด และ บริษัทไฮไลฟ์ เฮลท์ จำกัด นอกจากนี้ ยังส่งมอบชุดตรวจคัดกรองโรคไตให้กับพันธมิตร อาทิ โครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (CKDNET) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 7 ขอนแก่น สภาเภสัชกรรม และอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายผลการใช้ประโยชน์นวัตกรรมให้กลุ่มผู้ใช้จริง" ดร.อุรชา กล่าว
ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง นักวิจัยอาวุโส นาโนเทค และผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานนวัตกรรมชุดตรวจรวดเร็ว สวทช. กล่าวว่า โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมชุดตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมไทยสู่การพึ่งตนเอง ลดภาระค่าใช้จ่าย ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางด้านการแพทย์ของประเทศ ช่วยเพิ่มการเข้าถึงการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขของประชาชน ด้วยกลยุทธ์การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากการนำผลงานวิจัยสู่การใช้งานจริง นำร่องด้วยนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคไต ที่มีความร่วมมือจากพันธมิตรหลายภาคส่วน รวมถึงสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น และองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ที่ร่วมลงนามในครั้งนี้
ชุดตรวจคัดกรองโรคไตนี้เป็นการต่อยอดผลงานวิจัย ‘AL-Strip’ ชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพสำหรับใช้ตรวจคัดกรองโรคได้ด้วยตัวเอง ทราบผลภายใน 5 นาที โดยผู้ใช้งานสามารถใช้ชุดตรวจได้ด้วยตนเองเพียงหยดปัสสาวะที่เก็บใหม่ลงในช่องที่กำหนดของชุดตรวจคัดกรอง จากนั้นอ่านผลจากแถบสีที่ปรากฏ (คล้ายกับการใช้ชุดตรวจคัดกรองโรคโควิด-19) หลักการทำงานของชุดตรวจนี้อาศัยการวิเคราะห์ปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะ โดยอัลบูมินเป็นโปรตีนที่เป็นสารประกอบหลักของเลือด หากพบว่ามีอัลบูมินเจือปนอยู่ในปัสสาวะเกินกว่า 20 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ชุดตรวจจะแสดงผลด้วยแถบสี 1 ขีด หมายถึง ‘มีความเสี่ยงเป็นโรคไตในระดับสูง’ แนะนำให้ผู้ที่ได้รับผลตรวจแบบนี้ ควรเข้ารับการตรวจโดยละเอียดที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยความผิดปกติของร่างกาย และเข้ารับการรักษาตามระยะของความผิดปกติที่พบ หากผู้ป่วยตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มต้น จะทำให้มีโอกาสหันกลับมาดูแลตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อชะลอความเสื่อมของไตได้
“สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการการใช้ชุดตรวจคัดกรองโรคไตให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ครอบคลุมทั้ง 248 แห่งในจังหวัดขอนแก่น เพื่อให้เกิดการคัดกรองด้วยชุดตรวจคัดกรองโรคไตอย่างเต็มศักยภาพในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เป็นการปูทางสร้าง “ขอนแก่นโมเดล” ขับเคลื่อนการคัดกรองโรคไตแบบเชิงรุกเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย ลดช่องโหว่ของการเข้าไม่ถึงการตรวจคัดกรองโรคไตได้ตั้งแต่ระยะต้นของประชาชน จากค่าใช้จ่ายในการตรวจที่ค่อนข้างสูง รวมถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขที่ให้บริการตรวจยังมีไม่เพียงพอ เพราะต้องเป็นสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ และด้านเทคนิคการแพทย์ในการดำเนินการตรวจในห้องปฏิบัติการ ซึ่งจังหวัดขอนแก่นจะเป็นโมเดลนำร่องในการพัฒนาระบบการคัดกรองโรคไตแบบใหม่นี้ ก่อนที่จะขยายผลทั่วประเทศภายในปี 2571” ดร.เดือนเพ็ญเผย
นางสาลินี ไวยนนท์ นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ(ด้านส่งเสริมพัฒนา) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า โรคไตเรื้อรัง เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย และจังหวัดขอนแก่นเองมีอุบัติการณ์ผู้ป่วยโรคไตปีละกว่า 30,000 ราย จากการค้นหาและคัดกรองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงเพียงร้อยละ 50 ซึ่งหมายความว่าหากมีการค้นหามากขึ้นก็มีโอกาสในการพบผู้ป่วยโรคไตมากขึ้นด้วยเช่นกัน จังหวัดขอนแก่นในฐานะศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ และให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องของการดูแลสุขภาพไตอย่างถูกต้อง โดยการส่งเสริมให้หน่วยงานสาธารณสุข โรงพยาบาลชุมชน และ อสม. ที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ความรู้ เช่น การคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง การให้คำแนะนำเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย และการติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
ในด้านการรักษา จังหวัดขอนแก่นได้เตรียมพร้อมด้านบุคลากรและเทคโนโลยีทางการแพทย์ การให้บริการ CKD Clinic ซึ่งมีครอบคลุมทุกโรงพยาบาลในพื้นที่ การให้บริการ RRT (การบริการ APD CAPD การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม : HD และการส่งเสริมการปลูกถ่ายไต : KT) ที่มีความพร้อมและเพียงพอ ซึ่งมีผู้ป่วยเข้ารับบริการ APD CAPD จำนวน 1,700 ราย HD จำนวน 2,978 ราย และ KT ที่ได้รับยากดภูมิ จำนวน 426 ราย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม พร้อมทั้งมีการประสานงานกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างระบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
“แม้มีการจัดระบบบริการรักษาไว้รองรับอย่างดี แต่การป้องกันย่อมดีกว่า ต้องขอขอบคุณ สวทช. ที่สนับสนุนนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคไต เพื่อคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคไต ซึ่งสามารถตรวจได้ด้วยตนเองและทราบผลภายใน 5 นาที เพื่อให้ประชาชนเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรก โดยสามารถเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อวิเคราะห์อัตราการกรองของไต และเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยและรักษาตามแนวทางต่อไป” นางสาลินีกล่าว
นายวัฒนา ช่างเหลา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น มีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับหน่วยงานและภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อลดอัตราการเกิดโรคไตเรื้อรังในประชาชน โดยการตรวจคัดกรองจะช่วยให้สามารถระบุผู้ที่มีความเสี่ยงได้อย่างรวดเร็ว และนำไปสู่การให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพในระยะยาว โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่นจะส่งเสริมการใช้นวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคไตและภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวานในสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในสังกัดที่ได้รับถ่ายโอนมายังองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่นอย่างครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 248 แห่ง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 26 อำเภอ การดำเนินการนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเครือข่ายการดูแลสุขภาพในชุมชน ร่วมกับ อสม. และหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชนในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น
“เราต้องการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคไตและส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดภาระของระบบสาธารณสุขในจังหวัดขอนแก่น ความร่วมมือนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการ “ค้นหา คัดกรอง ป้องกัน ชะลอไตเสื่อม” และการทำงานร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และหน่วยงานในภาคส่วนต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่นย้ำ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 11 ฉบับที่ 7 ประจำเดือนเมษายน 2568
ข่าว
สวทช. ร่วม UNFPA ผนึกพันธมิตร 8 หน่วยงาน เปิดตัวแพลตฟอร์ม SoSafe ยกระดับสุขภาพและความปลอดภัย ผ่านการพัฒนาชีวิตทุกช่วงวัย
สวทช. คว้า 2 รางวัลผลิตสื่อสร้างสรรค์จากเวที Commu Max Competition
วทช. โดยศูนย์ TECE ผนึกพันธมิตร สัมมนา Next-Gen Thai Automotive & Parts แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต
สวทช. – บพข. ดัน MED Drive ปั้นธุรกิจเครื่องมือแพทย์ไทยสู่ยอดขายพันล้านหวังสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนด้วยนวัตกรรม
อว. ร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทย และรักษาประเพณีอันดีงาม “วันสงกรานต์ ปี 2568”
ถอดรหัสอนาคต AI ประเทศไทย: “แผนคม-คนพร้อม-ทีมเวิร์คแกร่ง” ถึงจะรอดในสนามแข่งโลก
สคทช. จับมือ สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีรับรองพื้นที่ปลอดการตัดไม้ รองรับกฎ EUDR ดันแพลตฟอร์มตรวจสินค้าโภคภัณฑ์ก่อนส่งออก EU
สวทช. จับมือ Institute of Science Tokyo ยกระดับความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากรวิจัยสู่อนาคต
กระทรวง อว. จับมือ สธ. โดย สวทช. ม.มหิดล กรมการแพทย์ และพันธมิตร เปิดตัว Medical AI Data Platform แพลตฟอร์มกลางที่ใช้ AI เป็นตัวช่วยคัดกรอง-หมอวินิจฉัยโรครวดเร็ว
สวทช. คว้ารางวัล “TAB Digital Inclusive Award 2025” ตอกย้ำความมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อคนทุกกลุ่ม
“ศุภมาส” เดินหน้าขับเคลื่อน Soft Power จัดแข่งขันวาดภาพ Thai Youth Street Art ระดับอุดมศึกษา
สวทช. นำ เสนอ 2 ชุดตรวจคัดกรอง “โรคในปลานิล-โรคใบด่างมันฯ” ช่วยเกษตรกรแก้ไขปัญหาในพื้นที่ นครพนม
ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้รับมอบตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน ภายในงาน MICE Day 2025
กระทรวง อว. โดย สวทช. – กรมควบคุมโรค กระทรวง สธ. ผนึกกำลังใช้ระบบ DDC-Care Platform เทคโนโลยีรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน บริการแก่กลุ่มผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์
Download เอกสารฉบับเต็ม (9.7 MB)
จดหมายข่าว สวทช.

ผู้อำนวยการสวทช. พร้อมทีมนักวัสดุคำนวณไทยเข้าร่วมการประชุม ACCMS-11 ณ ประเทศญี่ปุ่น
วันที่ 1 มิถุนายน 2568 - เมืองโยโกฮามะ ประเทศญี่ปุ่น - ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้รับเกียรติเป็นผู้กล่าวปาฐกถาเปิดการประชุมวิชาการ The 11th General Conference of the Asian Consortium on Computational Materials Science (ACCMS-11) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2568 ณ เมืองโยโกฮามะ ประเทศญี่ปุ่น
การประชุม ACCMS-11 มีหน่วยงานหลักที่ร่วมจัดคือ ACCMS Global Research Centre, Yokohama National University และ Tohoku University โดยภายในงานมีการบรรยายจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ การนำเสนอผลงานวิจัยทั้งในรูปแบบการบรรยายและโปสเตอร์ ครอบคลุมหัวข้อที่หลากหลายในวัสดุศาสตร์เชิงคำนวณ เช่น การพัฒนาวิธีการคำนวณใหม่ ๆ การประยุกต์ใช้ในวัสดุประเภทต่าง ๆ อาทิ วัสดุสำหรับพลังงาน วัสดุอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุชีวภาพ และวัสดุโครงสร้าง รวมถึงการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการวิจัยวัสดุ การประชุมครั้งนี้ มีนักวิจัยเข้าร่วมงานกว่าสองร้อยคน จากทั่วโลก โดยได้รับเกียรติจาก Steven G. Louie, Distinguished Professor of the Graduate School at the University of California at Berkeley (UC Berkeley), Talk Title: "Novel States in 2D Materials and Moire Structures: Many-Electron Interactions and Topological Effects" เป็น Plenary Speaker และมี Keynote Speaker ที่มีชื่อเสียงดังนี้
1. Dr. Mohammad Khazaei, Assistant professor in the Department of Physics at the University of Tehran, Iran. Talk Title: From MAX phases to MXenes: A First-Principles Exploration
2. Prof. Umesh Waghmare, Professor, Jawaharlal Nehru Centre for Advanced Scientific Research, India, Talk Title: "Sensing Vibrations Using Quantum Geometry of Electrons"
3. Dr. Kwang-Ryeol Lee, Tenured fellow and Principal Research Scientist, Computational Science Research Center, Korea Institute of Science and Technology (KIST), Korea, Talk Title: "Standardization of AI Ready Materials Research Data Schema and Vocabulary"
สำหรับนักวิจัยไทยที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย อาจารย์ นักวิจัย และ นักศึกษาปริญญาเอก จากหน่วยงานวิจัย และ มหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ รวมกว่า 20 คน
ในการเข้าร่วมการประชุมวิชาการครั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้สร้างเครือข่าย หารือการนำผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์จริง สามารถตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาจริงให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและประชาคมโลกได้ ซึ่งการวิจัยและพัฒนาด้านวัสดุศาสตร์และวัสดุศาสตร์เชิงคำนวณ มีส่วนสำคัญในการวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเป็นอย่างมากตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา ทำให้คุณภาพชีวิตได้ถูกพัฒนาและยกระดับขึ้นตามความก้าวหน้าของวิทยาการขั้นสูงที่เกิดขึ้น และ ยังได้มีการชักชวนให้นักวิจัยให้มาร่วมใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC หรือ LANTA) ที่สามารถรองรับงานวิจัยเชิงคำนวณขนาดใหญ่ ซึ่ง สวทช. บริหารจัดการ โดยได้รับความสนใจจากนักวิจัยทั้งในส่วนของนักวิจัยไทยและต่างประเทศ
ในงานเลี้ยงอาหารเย็นของการประชุม ACCMS-11 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ได้รับการประกาศเป็นผู้รับรางวัลเกียรติยศ ACCMS Lifetime Achievement Award โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ โยชิยูกิ คาวาโซเอ (Prof. Emeritus Yoshiyuki Kawazoe) ผู้ก่อตั้งและประธานคนแรกของ ACCMS เป็นผู้มอบรางวัล ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน ACCMS และมีความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องยาวนานกับการประชุม ACCMS ทั้งในส่วนของการประชุมหลัก และการประชุมย่อยต่างๆ รวมทั้งเคยเป็นผู้นำในจัดการประชุม ACCMS General Meeting ครั้งที่ 7 (ACCMS-7) ที่ประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 พร้อมจัดทำ Special Issue: Proceedings of The Seventh Conference of the Asian Consortium on Computational Materials Science (ACCMS-7)" ตีพิมพ์เมื่อปี 2557 อีกด้วย
การประชุม ACCMS-11 เป็นการประชุมวิชาการหลักที่จัดแบบปีเว้นปีเวียนไปในประเทศสมาชิกต่างๆ โดย Asian Consortium on Computational Materials Science (ACCMS) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ซึ่ง ACCMS เป็น consortium ที่ก่อตั้งขึ้นโดยนักวิจัยด้านวัสดุศาสตร์เชิงคำนวณและนักเคมีคำนวณจากสถาบันชั้นนำต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นเวทีสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัยล่าสุด เสริมการเรียนรู้การใช้โปรแกรมคำนวณใหม่ๆ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือในสาขาการคำนวณทางวัสดุศาสตร์ ซึ่งเป็นสหวิทยาการที่ประยุกต์ใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์และการจำลองสถานการณ์เพื่อทำความเข้าใจ ออกแบบ และค้นพบวัสดุใหม่ ๆ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

Solar Sure แพลตฟอร์มตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์ปลดระวาง สร้างความคุ้มค่าแผงโซลาร์ฯ มือสอง
ปัจจุบันเทรนด์การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย โดยเฉพาะโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากประชาชนและภาคธุรกิจหันมาพึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดผลกระทบจากราคาค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดีแม้โซลาร์เซลล์จะเป็นทางเลือกด้านพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญ แต่หากไม่มีการวางแผนการบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์ที่ปลดระวางแล้วอย่างเหมาะสม โซลาร์เซลล์จะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่หวนกลับมาทำร้ายโลกอีกครั้ง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา "Solar Sure (โซลาร์ ชัวร์)" แพลตฟอร์มจัดการข้อมูลและคัดกรองคุณภาพโซลาร์เซลล์ เพื่อเป็นตัวช่วยในการนำแผงโซลาร์เซลล์ที่ใช้งานแล้วแต่ยังมีสมรรถนะสูงให้กลับมาใช้ซ้ำได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสม
[caption id="attachment_69759" align="aligncenter" width="750"] ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีปริมาณการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ประมาณ 8 กิกะวัตต์ คิดเป็นจำนวนแผงไม่น้อยกว่า 40 ล้านแผง น้ำหนักไม่น้อยกว่า 600,000 ตัน เมื่อแผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้ถูกปลดระวางด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น ชำรุด เสื่อมสภาพ ประสบเหตุการณ์ภัยพิบัติ พื้นที่ถูกนำไปใช้งานอื่น หรือผู้ประกอบการขายไฟฟ้าคุ้มทุนแล้ว แผงโซลาร์เซลล์บางส่วนจะถูกนำไปขายต่อเป็นแผงมือสอง
“แผงโซลาร์เซลล์มือสองที่มีการซื้อ-ขายกันในปัจจุบัน ยังไม่มีเกณฑ์ตรวจสอบแบ่งเกรดแผงที่ยังใช้ได้ ทำให้แผงโซลาร์เซลล์มีหลายระดับคุณภาพ ราคามีความหลากหลาย ไม่มีการกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจน ซึ่งบางครั้งผู้ซื้อก็ประสบปัญหาถูกหลอกลวง ได้รับสินค้าที่ใช้งานไม่ได้หรือเป็นของที่มีคุณภาพไม่คุ้มกับราคาที่จ่าย รวมทั้งไม่ปลอดภัยต่อการใช้งาน ส่วนแผงที่แตกหักเสียหายอย่างชัดเจนจะถูกนำไปฝังกลบ เนื่องจากเป็นวิธีกำจัดที่ต้นทุนต่ำสุด”
[caption id="attachment_69764" align="aligncenter" width="750"] โซลาร์ฟาร์ม[/caption]
[caption id="attachment_69763" align="aligncenter" width="750"] โซลาร์เซลล์ที่ปลดระวางแล้ว[/caption]
ทุกวันนี้เริ่มมีการปลดระวางแผงโซลาร์เซลล์จากโซลาร์ฟาร์ม และในไม่ช้าจะมีปริมาณแผงโซลาร์เซลล์ที่ถูกปลดระวางจำนวนมาก ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแพลตฟอร์มการจัดการแผงโซลาร์เซลล์มารองรับสถานการณ์ เพื่อส่งเสริมการใช้ซ้ำแผงโซลาร์เซลล์ให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ดร.อมรรัตน์ กล่าวว่า Solar Sure เป็นแพลตฟอร์มตรวจคัดกรองโซลาร์เซลล์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว โดยแพลตฟอร์มจะมีซอฟต์แวร์ประเมินระดับคุณภาพและเก็บข้อมูลว่าแผงโซลาร์เซลล์นั้นยังมีประสิทธิภาพเหลืออยู่เท่าใด ปลอดภัยต่อการนำกลับมาใช้งานหรือไม่ พร้อมทั้งคาดการณ์อายุการใช้งานที่เหลืออยู่ เพื่อสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในการนำไปใช้งานต่อ
“Solar Sure สามารถบันทึกข้อมูลสถานที่ สเปกยี่ห้อรุ่นของแผง สแกนบาร์โค้ด บันทึกภาพถ่าย ให้คะแนนการตรวจ ใส่ข้อมูลจำเพาะของแผงที่ได้จากการวัดคุณสมบัติทางไฟฟ้า ประมวลผลคำนวณค่ากำลังไฟฟ้าสูงสุด และอัตราการเสื่อมสภาพ จากนั้นจะแบ่งระดับคุณภาพแผงออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ A+, A, B, C, D, และ F ทั้งนี้ยังสามารถเลือกให้ประเมินตามเกณฑ์ของมาตรฐานการตรวจสอบความพร้อมใช้ของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว คือ มศอ. 1011-2565 พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ออกฉลาก และรายงานสอดคล้องตามมาตรฐาน”
นอกจากนี้ Solar Sure ยังใช้บันทึกข้อมูลตรวจแบ่งเกรดแผงได้ทุกประเภท ประมวลผลได้รวดเร็ว จัดเก็บข้อมูลแผงได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ สะดวกในการใช้เก็บข้อมูลหน้างานจริง สามารถนำเข้าข้อมูลแผงได้ทั้งทาง Mobile application บนระบบปฏิบัติการ Android และ iOS หรือทาง Website
ดร.อมรรัตน์ กล่าวว่า Solar Sure ผ่านการทดสอบฟังก์ชันการใช้งาน การทดสอบความเค้น การทดสอบปริมาณ การทดสอบความปลอดภัย และการทดสอบการใช้งานในสภาวะแวดล้อมจริง อีกทั้งได้ทดสอบเก็บข้อมูลแผงเซลล์แสงอาทิตย์ใช้แล้วทั้งชนิดผลึกซิลิคอนและฟิล์มบางแบบต่าง ๆ ที่มีการใช้งานในประเทศไทย จำนวนรวม 1,350 แผง พบว่า สามารถเก็บข้อมูลที่หน้างานได้ครบถ้วน ถูกต้อง และรวดเร็ว ปัจจุบันมีการนำSolar Sure ไปใช้ตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์ในโซลาร์ฟาร์มแล้ว 10 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี อยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี สระแก้ว ชัยภูมิ และหนองคาย
“สำหรับตัวอย่างการนำแผงโซลาร์เซลล์ไปใช้ซ้ำ เช่น แผงที่ยังมีสมรรถนะเกิน 70% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบของระบบโซลาร์เซลล์แบบออฟกริด (Off-grid) คือ ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่เชื่อมต่อกับสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า เช่น ระบบโซลาร์ปั๊มน้ำในการเกษตร ส่วนกรณีที่แผงมีสมรรถนะต่ำกว่า 50% แต่กายภาพยังดีอยู่สามารถนำไปใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นโต๊ะทำงานในออฟฟิศ หรือแผงกั้นห้องประชุมได้ ถือเป็นแนวทางการนำแผงโซลาร์เซลล์ปลดระวางมาใช้ซ้ำอย่างคุ้มค่า ช่วยลดซากขยะแผงโซลาร์ก่อนเวลาอันควร”
นอกจากการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยคัดกรองและยืดอายุการใช้งานแผงโซลาร์เซลล์แล้ว คณะวิจัยยังร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงาน และสำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) จัดทำและผลักดัน “มาตรฐานการตรวจสอบความพร้อมใช้ของแผงโซลาร์เซลล์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว” ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐมีแนวทางการจัดการซากแผง ยืดอายุการใช้งาน เพิ่มความคุ้มค่า ชะลอปริมาณขยะจากซากแผงโซลาร์เซลล์ รวมถึงมีมาตรการรองรับการส่งซากแผงมาทิ้งจากต่างประเทศได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบอร์ด สมอ. ได้มีมติเห็นชอบมาตรฐาน “แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว” หรือ “แผงโซลาร์เซลล์มือสอง” มอก. 4410-2568 เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา”
Solar Sure นับเป็นเครื่องมือที่ช่วยควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในการนำแผงปลดระวางจากโซลาร์ฟาร์มไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อนการทิ้งทำลาย ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดโซลาร์เซลล์ของไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดในประเทศอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ที่สนใจแพลตฟอร์ม Solar Sure ติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 2711 หรืออีเมล amornrat.lim@entec.or.th
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. และฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย เอ็นเทค สวทช. และจาก Shutter Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. จับมือ ม.มหิดล ร่วมวิจัย พัฒนา และส่งเสริมการให้บริการสุขภาพและการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดแบบองค์รวมสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2568 มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา : คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.กภ.จารุกูล ตรีไตรลักษณะ คณบดี และ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เรื่องโครงการวิจัย พัฒนา และส่งเสริมการให้บริการสุขภาพและการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดแบบองค์รวมสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย โดยพิธีลงนามในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันวิจัย บริการวิชาการ และบริการสุขภาพผ่านการพัฒนา และเพิ่มศักยภาพนวัตกรรมให้บริการทางกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดทางไกลสำหรับประชาชน, เพื่อร่วมกันวิจัยสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีสำหรับประชาชน, ส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงบริการสุขภาพแบบองค์รวมของผู้สูงอายุรวมถึงเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ณ ห้อง 505 คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
ขอขอบคุณ
ภาพ/ข่าว โดย
คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. โชว์ระบบไบโอรีแอคเตอร์ (Bioreactor) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตต้นพันธุ์ของพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
วันที่ 4 มิ.ย. นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ด้วยนวัตกรรมเกษตรมูลค่าสูง พร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อน อววน. โดยมี รศ.ดร.ประยุกต์ ศรีวิไล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ศ.ดร.ไพโรจน์ ประมวล รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนานวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวรายงาน นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม กล่าวต้อนรับ และมีนายโฆษิต เหล่าสุวรรณ ประธานหอการค้าจังหวัดมหาสารคาม ดร.อภิรชัย วงษ์ศรีวรพล ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด อว. เข้าร่วม ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
โอกาสนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ได้จัดแสดงนิทรรศการวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อโดยใช้ระบบอาหารเหลว และนำเอาระบบไบโอรีแอคเตอร์ (Bioreactor) มาเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตต้นพันธุ์ของพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อลดต้นทุน แรงงาน และระยะเวลาในการพัฒนาต้นกล้าพันธุ์ดี ให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร อาทิ กระชายดำ ขมิ้นชัน เป็นต้น โดยมี ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. ให้การต้อนรับและบรรยายให้คณะผู้บริหารและประชาชนที่มาเยี่ยมชมนิทรรศการของ สวทช.ได้รับทราบ
นายศุภชัย กล่าวในโอกาสการลงพื้นที่ว่า กระทรวง อว. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดงาน จึงออกนโยบายและกลไกดำเนินการต่าง ๆ ในการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะสูง โดยเชื่อมโยงระหว่างภาคการศึกษาซึ่งเป็นผู้สร้างและพัฒนากำลังคน ทั้งระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา รวมถึงบุคคลทั่วไปที่กำลังหางาน และภาคการผลิตและบริการซึ่งเป็นผู้จ้างงานผ่านกลไกการจับคู่จ้างงาน การเชื่อมต่อภาคการศึกษา การพัฒนาทักษะระยะสั้นและระยะยาว การออกแบบหลักสูตรเฉพาะ ไปจนถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและเชื่อมโยงไปยังมาตรการต่าง ๆ ในการสนับสนุนการพัฒนากำลังคน โดยการจัดตั้งศูนย์กลางการศึกษาและกำลังคนระดับสูง (Education & Talent Hub) ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศเข้ามาจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาและร่วมจัดการศึกษากับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพการศึกษาและการผลิตบัณฑิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในประเทศ (University consortium) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อาจารย์ผู้สอน นักศึกษา ทุนการศึกษาและทุนฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากร รวมถึงแบ่งปันระบบนิเวศเครื่องมือวิจัยโดยเฉพาะเครื่องมือระดับสูง และเครื่องมือเทคนิคเฉพาะทาง เพื่อดึงดูดนักศึกษาและกำลังคนระดับสูงจากต่างประเทศ
ผู้ช่วย รมว.อว. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กระทรวง อว. ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนระบบนิเวศด้านการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วยอุทยานวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นนิคมวิจัยและนวัตกรรม ที่เชื่อมโยงระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับภาคอุตสาหกรรมการส่งเสริมการร่วมลงทุนของสถาบันอุดมศึกษา/สถาบันวิจัย กับภาคเอกชน (University Holding Company) และระเบียบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (TLO) และการส่งเสริมบุลากรให้มีการพัฒนานวัตกรรมและการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การส่งเสริมเส้นทางอาชีพอาจารย์โดยนโยบายตำแหน่งวิชาการด้านนวัตกรรม และการส่งเสริมอาจารย์ นักวิจัย ให้ไปปฏิบัติงานภาคเอกชน (Talent Mobility) โดยการนำงานวิจัยและองค์ความรู้ในสถาบันอุดมศึกษาไปใช้ประโยชน์หรือร่วมวิจัยกับภาคเอกชน โดยในยุคที่โลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว มหาวิทยาลัยไทยจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่สอนแบบทั่วไป แต่ต้องสร้างงานวิจัยที่ลึก ชัด และมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ การวิจัยของมหาวิทยาลัยไทยไม่ใช่แค่ ‘ตีพิมพ์’ แต่ต้อง ‘ใช้ได้’ กับโจทย์ของประเทศในอนาคตอย่างแท้จริง
“หน้าที่ของมหาวิทยาลัยยุคใหม่ไม่ใช่แค่การผลิตบัณฑิตหรือทำวิจัยในห้องแล็บ แต่ต้องทำ 3 เรื่องควบคู่กันอย่างเชื่อมโยง คือ 1. พัฒนาคนผ่านการศึกษาแบบยืดหยุ่นและทันโลก 2. พัฒนานวัตกรรมด้วยการวิจัยที่ตอบโจทย์พื้นที่ และ 3. พัฒนาท้องถิ่นเพื่อให้ชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยจึงต้องร่วมมือกับชุมชน โดยเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้ความรู้เป็นผู้ร่วมสร้างความรู้ เปลี่ยนจากแหล่งผลิตบัณฑิตเป็นพี่เลี้ยงของชุมชน และเปลี่ยนจากหน่วยงานทางวิชาการเป็นพลังเปลี่ยนพื้นที่ ตนคาดหวังว่าการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยจะไม่ใช่แค่การผลิตบัณฑิตแต่คือการผลิต ‘คน’ ที่พร้อมจะอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและต้องการให้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ที่สร้างนวัตกรรมที่ใช้ได้จริง เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เปิดกว้างสำหรับทุกวัยและเป็นระบบการศึกษาที่เปิดให้คนเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตจากทุกที่ทุกเวลาต่อไป” ผู้ช่วย รมว.อว. กล่าว
#อว #กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #MHESI #NSTDA #สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือ กรมป่าไม้ นำวิทย์และนวัตกรรม ลุยวิจัยพัฒนาพันธุกรรมและความหลากหลายชีวภาพ
สวทช. ร่วมมือกับ กรมป่าไม้ เซ็น MOU ผนึกกำลัง 5 ปี ร่วมวิจัย และพัฒนา ขับเคลื่อนภารกิจแบบบูรณาการรวมทั้งองค์ความรู้และนวัตกรรม พร้อมพัฒนาศักยภาพนักวิจัยและนักวิจัยรุ่นใหม่ ก้าวหน้างานวิชาการด้านพันธุกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้
วันนี้ (4 มิถุนายน 2568) ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การวิจัย และพัฒนาวิชาการด้านพันธุกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้ ระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ กรมป่าไม้ โดย นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ ในการนี้ ดร.สุวรรณ ตั้งมิตรเจริญ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้ ได้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ โดยมีผู้บริหารกรมป่าไม้ และ สวทช. เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารเทียมคมกฤส กรมป่าไม้
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และกรมป่าไม้ ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือเพื่อบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ในการอนุรักษ์พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้ของประเทศไทย เพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจในระดับพันธุกรรมและระบบนิเวศ สนับสนุนการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยจะมุ่งเน้นการสำรวจและศึกษาความหลากหลายของไม้มีค่า เช่น มะค่าโมง ประดู่แดง และกลุ่มเห็ดรา ทั้งในระดับสปีชีส์และพันธุกรรม การขยายฐานข้อมูล และการเก็บรักษาพันธุกรรมไม้มีค่าที่ปรับปรุงแล้ว เช่น ไม้พะยูง ที่มีคุณลักษณะที่ดีในธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ เพื่อจัดเก็บรักษาในระยะยาว ซึ่งบทบาทหน้าที่สำคัญของ สวทช. โดยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ จะวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรม และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ จะศึกษาวิธีการอนุรักษ์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ และการจำแนกเห็ดรา ขณะที่กรมป่าไม้จะดำเนินการสำรวจและรวบรวมพันธุ์ไม้หายาก รวมถึงเห็ดและเชื้อรา
นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนด้านการวิจัย พัฒนา สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมการแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้ และประสบการณ์ เพื่อใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ สนับสนุนการอนุรักษ์ด้านพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้ ให้เกิดการสร้างความรู้ความเข้าใจในระดับพันธุกรรม ความสัมพันธ์กับระบบนิเวศ การเก็บรักษาตัวอย่างที่ได้จากการศึกษาวิจัยในระยะยาว รวมถึงเพื่อบริหารจัดการข้อมูลและตัวอย่างที่ได้จากการศึกษาวิจัยให้เป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2573
อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวต่อว่า กรมป่าไม้ขอขอบคุณ สวทช. ในการประสานความร่วมมือ และพัฒนากลไกหรือเครื่องมือในการสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการพัฒนางานวิชาการ วิจัย และนวัตกรรมด้านการป่าไม้ในระดับชาติ ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ของความร่วมมือ การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้หลากหลายสาขา เช่น กลุ่มไม้มีค่า กลุ่มเห็ดและรา ที่ทาง สวทช. มีความเชี่ยวชาญ ทั้งในระดับชนิด (species) และระดับโมเลกุล (พันธุกรรม DNA) ความร่วมมือนี้จะเพิ่มฐานข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งในรูปแบบขององค์ความรู้และตัวอย่างเพื่อการศึกษาวิจัยในพิพิธภัณฑ์เห็ดรา ในธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ หรือ National Biobank of Thailand รวมทั้งการเก็บรักษาพันธุกรรมแบบระยะยาวของไม้มีค่าที่ได้จากการปรับปรุงพันธุ์ โดยเฉพาะไม้พะยูง
สวทช. และ กรมป่าไม้ มีความมุ่งมั่นในการร่วมมือกันครั้งนี้โดยจะได้ร่วมกันพัฒนาศักยภาพการวิจัยด้านป่าไม้ โดยใช้กลไกการบูรณาการ สนับสนุนเครื่องมือและเทคโนโลยีการวิจัยให้เหมาะสม และทันสมัย รวมทั้งพัฒนาศักยภาพนักวิจัยและนักวิจัยรุ่นใหม่ ให้สามารถดำเนินการวิจัยและสร้างนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือในครั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นการส่งเสริมการนำความรู้ด้านพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้ ไปสู่การพัฒนางานวิชาการร่วมกัน ควบคู่ไปกับการรักษาและเพิ่มพื้นที่สีเขียว การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระดับชาติต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์