ผลการค้นหา :
เปิดฉากการแข่งขัน gSIC 2025! เวทีระดับนานาชาติเฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการและผู้สูงวัยด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในงาน i-CREATe 2025
(วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568) มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ ประจำปี 2568 หรือ Global Student Innovation Challenge (gSIC 2025) รอบชิงชนะเลิศ ภายในงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 18 หรือ “i-CREATe 2025” (The 18th International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology) โดยมีผู้แทนหน่วยงานพันธมิตรร่วมกันกล่าวต้อนรับและเปิดประชุมวิชาการ ประกอบด้วย ดร. ภญ.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. เป็นผู้แทน สวทช. รองศาสตราจารย์ ดร. จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ ผู้อำนวยการก่อตั้งศูนย์เครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์ หรือ BART LAB คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล รศ. ดร.สุภาวดี อร่ามวิทย์ ผู้แทน IEEE Thailand และภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ประธานกลุ่มความร่วมมือ CREATe Asia และนางสาววันทนีย์ พันธชาติ กรรมการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทั้งนี้งาน i-CREATe 2025 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Empowering Lives: Human-Centered Innovation in Health, Wellness, Aging, and Abilities” ระหว่างวันที่ 24 – 26 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อกเพื่อสนองแนวพระราชดำริใน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการและผู้สูงอายุด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำหรับการประกวด gSIC 2025 ในวันนี้ มีทีมเยาวชนตัวแทนระดับประเทศกว่า 25 ทีม จาก 8 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ จีน ไชนิสไทเป อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อียิปต์ สาธารณรัฐเกาหลี และไทย แบ่งเป็น กลุ่มนวัตกรรมการออกแบบ (Design Category) 11 ทีม และ กลุ่มสิ่งประดิษฐ์ด้านเทคโนโลยี (Technology Category) 18 ทีม โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับพระราชทานรางวัลจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในพิธีเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568
ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ และประธานคณะอำนวยการจัดงาน i-CREATe 2025 กล่าวว่า นัยสำคัญของเวที gSIC ต่อสังคมผู้สูงอายุและคนพิการ ไม่ใช่เพียงการแข่งขันเพื่อชิงรางวัล แต่มีเป้าหมายหลักในการลดช่องว่างการเข้าถึงเทคโนโลยี โดยผลงานมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ผู้สูงอายุและคนพิการต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน อาทิ อุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ลดภาระผู้ดูแล เทคโนโลยีสื่อสารทางเลือกสำหรับผู้ป่วยติดเตียง หรืออุปกรณ์ฟื้นฟูสมรรถภาพที่สามารถทำกายภาพบำบัดได้เองที่บ้าน
"สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดนวัตกรรมทางเลือกที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าสากล ในราคาที่จับต้องได้ ช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ราคาแพงจากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นการบ่มเพาะนักวิจัยรุ่นใหม่ ให้มีทักษะการคิดเชิงออกแบบที่คำนึงถึงผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง และสร้างความเข้าอกเข้าใจต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคม มีทีมที่เคยผ่านการแข่งขัน ได้นำผลงานและประสบการณ์ที่ได้รับไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ จนเกิดเป็นบริษัท Startup ก่อให้เกิดความยั่งยืนในการพัฒนา" ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช กล่าว
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานสำคัญนี้ ซึ่งรวบรวมผู้เชี่ยวชาญ นักนวัตกรรม และผู้ปฏิบัติงานจากทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ขอแสดงความชื่นชมต่อการเติบโตของการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งนักนวัตกรรมรุ่นใหม่ในประเทศไทยและภูมิภาคกำลังก้าวเข้ามาพร้อมกับโซลูชันที่ผสานความเห็นอกเห็นใจเข้ากับเทคโนโลยี ซึ่งช่วยให้ระบบนิเวศการวิจัยมีความเข้มแข็ง และทำให้เกิดความยั่งยืนในวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพสำหรับคนรุ่นต่อไป อย่างไรก็ดี i-CREATe ยังเป็นจุดแข็งสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน เพื่อเชื่อมโยงความคิด แบ่งปันผลการวิจัย และสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการพัฒนาร่วมกัน โดย สวทช. ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับและส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้คนผ่านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการแข่งขัน gSIC ในงาน i-CREATe 2025 ภายในงานประชุมวันนี้ ยังได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกร่วมบรรยายพิเศษเพื่อถ่ายทอดเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุดด้านนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ อาทิ
• Professor Guang-Zhong Yang บรรณาธิการผู้ก่อตั้งวารสาร Science Robotics และหัวหน้านักวิทยาศาสตร์สถาบันหุ่นยนต์การแพทย์ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง สาธารณรัฐประชาชนจีน บรรยายหัวข้อ “Robotics for the Ageing Society” นำเสนอบทบาทของหุ่นยนต์ยุคใหม่และวัสดุศาสตร์ในการรองรับสังคมผู้สูงอายุ ทั้งหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดและหุ่นยนต์ฟื้นฟูสมรรถภาพ
• Professor Fernando Ribeiro จากมหาวิทยาลัยมินโญ สาธารณรัฐโปรตุเกส บรรยายหัวข้อ “Robotics for People” โชว์เคสโครงการหุ่นยนต์เพื่อสังคมที่ใช้งานจริง เช่น “CHARMIE” หุ่นยนต์ผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้านและโรงพยาบาล และของเล่นดัดแปลงเพื่อเด็กที่มีความบกพร่องทางสมอง (CP)
พร้อมกันนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการผลงานจากการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ ด้านนวัตกรรมการออกแบบและด้านเทคโนโลยี ประจำปี 2568 นิทรรศการเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก และผลงานการประกวดที่เกิดขึ้นในอดีตจนสามารถพัฒนาเป็นธุรกิจ Startup อีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘NANO nCote’ ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหาร ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
รู้หรือไม่ ‘ปุ๋ยธาตุอาหารหลัก’ ส่วนใหญ่เป็นปุ๋ยเม็ดที่ผ่านการพัฒนาสูตรมาให้ละลายน้ำได้ดีเพื่อให้พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้สะดวก แต่ในทางปฏิบัติการคำนวณปริมาณปุ๋ยให้พอดีกับความต้องการของพืชเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เกษตรกรจึงมักให้ปุ๋ยเกินความต้องการของพืชอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพืชจะเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตมากตามเป้าหมาย ผลที่เกิดขึ้นคือนอกจากปุ๋ยปริมาณมากจะละลายไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังส่งผลให้ดินเสื่อมสภาพ น้ำเน่าเสีย และเกิดก๊าซเรือนกระจกด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา NANO nCote (นาโน เอ็นโคต) ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย (Controlled Release Fertilizer: CRF) เพื่อการใช้งานปุ๋ยอย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดจำนวนรอบการใส่ปุ๋ยให้พืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพด เหลือเพียง 1 ครั้งต่อรอบการปลูก
ใส่ครั้งเดียวอยู่ได้ตลอดรอบเพาะปลูก
ปุ๋ยธาตุอาหารหลักประกอบด้วยธาตุอาหาร 3 ชนิดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ในแวดวงการเกษตรมักเรียกรวมว่า N-P-K อย่างไรก็ตามปุ๋ยทั่วไปโดยเฉพาะปุ๋ยยูเรียมีสมบัติละลายน้ำเร็ว ทำให้การให้ปุ๋ยแต่ละครั้งมักสูญเสียปุ๋ยไปโดยเปล่าประโยชน์กว่าร้อยละ 60 ซึ่งปุ๋ยเหล่านั้นจะไหลไปสะสมในดินและแหล่งน้ำ ทำให้เกิดค่าความเป็นกรดในดินสูง เกิดปรากฏการณ์สาหร่ายบานสะพรั่งจนส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่ง ที่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถึงประมาณ 265 เท่า
[caption id="attachment_77088" align="aligncenter" width="750"] ดร.กนิษฐา บุญภาวาณิชกุล นักวิจัยทีมวิจัยเกษตรนาโนขั้นสูง นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.กนิษฐา บุญภาวาณิชกุล นักวิจัยทีมวิจัยเกษตรนาโนขั้นสูง นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า เพื่อลดปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยได้นำเทคโนโลยีการผลิตสารเคลือบนาโนคอมพอสิต (nanocomposite coating) มาใช้ในการผลิตสารเคลือบพอลิเมอร์ฐานธรรมชาติดัดแปรที่มีสมบัติย่อยสลายได้ตามชีวภาพ เพื่อใช้ในการเคลือบเม็ดปุ๋ย โดยสารเคลือบจะทำหน้าที่เป็นชั้นฟิล์มช่วยควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารไม่ให้ละลายเร็วเกินไป และค่อย ๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาอย่างต่อเนื่องผ่านการแพร่ผ่านของชั้นฟิล์ม โดยปุ๋ยที่ผ่านการเคลือบแล้วจะมีชื่อทางเทคนิคว่า ‘ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย’
“ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยนี้ผ่านการทดสอบแล้วว่า พืชดูดซึมธาตุอาหารไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าร้อยละ 90 ขณะที่ปุ๋ยที่ไม่ผ่านการเคลือบ พืชจะดูดซึมไปใช้ได้เพียงร้อยละ 40–60 เท่านั้น สารที่ใช้เคลือบปุ๋ยสามารถควบคุมการปลดปล่อยได้ยาวนานถึง 6 เดือน เพียงพอต่อการให้ธาตุอาหารแก่พืชใน 1 รอบการผลิตโดยไม่ต้องให้ซ้ำ ดังนั้นการใช้งานปุ๋ยชนิดนี้นอกจากจะช่วยประหยัดค่าปุ๋ยและลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยบรรเทาวิกฤตขาดแคลนแรงงานที่ภาคการเกษตรของไทยกำลังเผชิญหนักได้ด้วย”
[caption id="attachment_77092" align="aligncenter" width="750"] ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย NANO nCote[/caption]
ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ผลิตปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยในชื่อ NANO nCote เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถออกแบบและพัฒนาตำรับปุ๋ยได้หลากหลายสูตร ปรับใช้ได้ทั้งตามความต้องการของพืชแต่ละชนิดพืช และตามค่าวิเคราะห์ดิน นำไปใช้ในการบำรุงพืชเศรษฐกิจไทยได้หลายชนิด เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ภาคเอกชนเรียบร้อยแล้ว ทางภาคเอกชนกำลังดำเนินงานในขั้นตอนวางแผนการผลิตและจัดจำหน่าย
ส่งเสริมเกษตรกรไทย ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’
ตั้งแต่ปี 2558 ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่ดำเนินงานร่วมกับเกษตรกรไทยเพื่อจัดทำแซนด์บ็อกซ์ (sandbox) ทดสอบการใช้งานปุ๋ย NANO nCote ในการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจมาแล้วหลายชนิด เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกล้วยไม้
ดร.กนิษฐา เล่าถึงตัวอย่างความสำเร็จจากการทดสอบภาคสนามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาว่า เมื่อนำปุ๋ย NANO nCote ไปใช้กับการเพาะปลูกอ้อย พบว่ามีผลผลิตเพิ่มขึ้นตั้งแต่ร้อยละ 45–100 ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก ส่วนการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พบว่าผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 17 โดยทั้งการเพาะปลูกอ้อยและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทีมวิจัยใส่ปุ๋ยเพียง 1 ครั้งต่อรอบการผลิตเท่านั้น ทำให้ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยไปได้มากถึงร้อยละ 50 ส่วนการทดสอบใช้งานในอุตสาหกรรมกล้วยไม้ พบว่ากล้วยไม้ที่ใส่ปุ๋ยชนิดนี้มีช่อดอกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสามารถลดการใส่ปุ๋ยจาก 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์ตลอดรอบการผลิต 18–24 เดือน ให้เหลือเพียง 5 ครั้งตลอดรอบการผลิต
ด้านการเพาะปลูกข้าว ทีมวิจัยได้ดำเนินการทดสอบร่วมกับเกษตรกรมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
ดร.กนิษฐา เล่าต่อว่า ล่าสุดในปี 2567 ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่ไปทดสอบการใช้ปุ๋ย NANO nCote ในการเพาะปลูกข้าวพันธุ์หอมมะลิ 105 หรือข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาซึ่งเป็นพืช GI ของไทย โดยทีมวิจัยได้ร่วมกับทีมสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. และเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดศรีสะเกษ นำร่องทดสอบการใช้ปุ๋ยในการเพาะปลูกข้าวแบบนาปีภายใต้โครงการ ‘ทุ่งกุลาม่วนซื่น’
“การทดลองเริ่มจากการวิเคราะห์ค่าดิน และปรับสูตรการใส่ปุ๋ยให้เหมาะสม ผลการทดสอบพบว่าการทดลองเพาะปลูกข้าวโดยใส่ปุ๋ยแค่เพียง 1 ครั้งต่อรอบการผลิต ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 25–41 เกษตรกรมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 42–56 เมื่อเทียบกับการใช้ปุ๋ยสูตรเดิมที่มีการใช้งานทั่วไป ทีมวิจัยจึงมีแผนจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการเลือกใช้งานปุ๋ยและการวางแผนการใส่ปุ๋ยอย่างเหมาะสม เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรไทยเข้าถึงการทำเกษตรกรรมแบบทำน้อยแต่ได้มาก และช่วยรักษาความมั่นคงด้านอาหารให้แก่ประเทศไทยต่อไป”
นอกจากการทดสอบประสิทธิภาพด้านการบำรุงพืช ทีมวิจัยยังมีแผนจะประเมินประสิทธิภาพเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายลดโลกร้อนด้วย
ดร.กนิษฐา กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้วางแผนการดำเนินงานความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ในการประเมินผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการปรับเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ย NANO nCoteเรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเริ่มตรวจวัดและคำนวณแล้วเสร็จภายในปี 2569 และจะมีการนำผลไปยื่นขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรกรรมต่อไป
ผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NANO nCote ได้ที่ งานพัฒนาธุรกิจ (BDV) นาโนเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7100 หรืออีเมล bdis@nanotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย นาโนเทค สวทช. และภาพจาก Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. รับมอบเงินสนับสนุนเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 150 ล้านบาท จาก บ. มิตซูบิชิ อีเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย)
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. รับมอบเงินสนับสนุนเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นจำนวน 150 ล้านบาท จาก Mr.Katsuaki Nakagawa ประธานบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ซึ่ง Mr.Katsuaki ได้กล่าวว่า ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่บริษัทฯ ได้มีโอกาสมอบเงินสนับสนุนให้แก่ทาง สวทช. และเชื่อมั่นว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน รวมถึงจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้งานวิจัยและกิจกรรมของ สวทช. มีความก้าวหน้าเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นความหวังและอนาคตให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ต่อไป
จากนั้นคณะผู้รับมอบโดย ดร.จุฬารัตน์ ได้กล่าวขอบคุณบริษัทฯ ที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดย สวทช. จะนำเงินที่ได้รับการสนับสนุนไปใช้ในพันธกิจหลักประกอบด้วย กิจกรรมการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรทางเทคนิค สนับสนุนและส่งเสริม SMEs ในประเทศ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมในอนาคต
สำหรับภาคเอกชนและผู้ที่สนใจ สวทช. ขอเชิญชวนท่านมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยร่วมบริจาคเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของ สวทช. และผู้บริจาคจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันจาก BOI ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจะเป็นไปตามการสนับสนุนเงิน ซึ่งคำนวณจากรายได้ 3 ปีแรก (1 - 5%) โดยได้ยกเว้นวงเงินภาษีเงินได้เพิ่มเติม 200% ของเงินสนับสนุน และได้รับระยะเวลายกเว้นเงินภาษีเพิ่มเติม 1 - 5 ปี (รวมสิทธิเดิมแล้วสูงสุดไม่เกิน 13 ปี)
โดย สวทช.จะนำเงินบริจาคไปใช้เพื่อการวิจัยและพัฒนางานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยอย่างยั่งยืน ในกิจกรรมตาม 4 พันธกิจหลักประกอบด้วย
* ด้านการวิจัยพัฒนา และวิศวกรรม
* ด้านการพัฒนาบุคลากรทางเทคนิค
* ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีของผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (SMEs) ในประเทศ
* ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เพื่ออุตสาหกรรมและบริการ
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ
ด้วยการสนับสนุนเงินเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
งานสนับสนุนการวิจัยพัฒนาภาคเอกชน (PSR)
111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่งอ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120โทรศัพท์ : 0-2564-7000 ต่อ 1308, 1335 อีเมล : ipd-psr@nstda.or.th
ข้อมูลเพิ่มได้ที่
https://www.nstda.or.th/donation/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
รับสมัคร ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) เป็นองค์กรชั้นนำของประเทศในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ต้องการรับสมัคร ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เพื่อเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไป วาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) มีภารกิจในการดำเนินการวิจัย การสนับสนุนการวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างสูงต่อความสามารถในการผลิตและความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมหลักของประเทศ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จึงใคร่เชิญชวนผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2568
โดยมีรายละเอียดตามเอกสารดาวน์โหลด
ประกาศ สวทช. เรื่องการรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็น ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
ใบสมัคร ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ [PDF] | [DOCX]
(เปิดรับสมัคร จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2568)
แบบรับรองตนเอง
ติดต่อขอรายละเอียดประกาศรับสมัครและเอกสารเพิ่มเติมได้ที่
นางสาวกุศล ทองวัน
e-mail: kusol.thongwan@nstda.or.th
โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 1442
ข่าวประชาสัมพันธ์
“ข้าวเจ้าไบโอเทค 1” พันธุ์ใหม่จาก สวทช. ผลผลิตสูง ต้านทานเพลี้ยกระโดด พร้อมต่อยอดสู่ข้าวคาร์บอนต่ำ
ชาวนาไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนซึ่งกลายเป็นแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม โรคและแมลงศัตรูพืชที่ระบาดรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่เป็นศัตรูพืชอันดับหนึ่งของข้าวไทย ได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตและรายได้ของเกษตรกร ขณะเดียวกันกระแสโลกที่มุ่งสู่การผลิตอาหารคาร์บอนต่ำกลับกลายเป็นทั้งโจทย์ใหญ่และโอกาสใหม่ของภาคเกษตรไทย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพันธุ์ใหม่ "ข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1" ซึ่งเป็นข้าวไม่ไวแสง มีลักษณะประจำพันธุ์คือ กอตั้ง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย และมีลักษณะเด่นที่สำคัญคือ ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล อายุเก็บเกี่ยวสั้น และให้ผลผลิตสูง โดยล่าสุดข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์พืชจากกรมวิชาการเกษตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดให้เกษตรกรร่วมกับเทคโนโลยีการผลิต “ข้าวคาร์บอนต่ำ” เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ข้าวไทยสู่ตลาดข้าวพรีเมียม
[caption id="attachment_77347" align="aligncenter" width="750"] ดร.ศรีสวัสดิ์ ขันทอง ผู้ช่วยวิจัย ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศรีสวัสดิ์ ขันทอง ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 เป็นหนึ่งใน 4 ข้าวพันธุ์ใหม่ของไบโอเทค ได้แก่ ไบโอเทค 1 หอมชลสิทธิ์ 2 หอมสยาม และหอมสยาม 2 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “ข้าวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม” โดยข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 มีจุดเด่นคือ อายุเก็บเกี่ยวสั้นเพียง 90 วัน (นาหว่านน้ำตม) ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 800-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ และต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลซึ่งเป็นศัตรูพืชตัวสำคัญในนาข้าวที่มักมีการระบาดเกิดขึ้นเป็นประจำและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นทุกปี
จากการทดสอบปลูกข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ในพื้นที่จริงร่วมกับเกษตรกรในจังหวัดพิจิตรซึ่งประสบปัญหาการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลรุนแรงพบว่า แปลงปลูกข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ยังคงให้ผลผลิตสูง โดยในบางแปลงสูงถึง 1,530 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์ทั่วไปที่เกษตรกรปลูกในพื้นที่ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,000–1,200 กิโลกรัมต่อไร่ แสดงถึงศักยภาพของข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ในการรักษาระดับผลผลิตแม้เผชิญสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย
[caption id="attachment_77349" align="aligncenter" width="750"] แปลงปลูกทดสอบข้าวเจ้าพันธุ์ไบโอเทค 1 ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน[/caption]
นอกจากพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อช่วยเกษตรกรรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมแล้ว ทีมวิจัยยังมีเป้าหมายส่งเสริมสู่การผลิตข้าวคาร์บอนต่ำเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์การทำเกษตรแบบยั่งยืน โดยทำงานร่วมกับสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดพิจิตร สภาเกษตรกรจังหวัดพิจิตร และหน่วยงานพันธมิตรดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำให้แก่เกษตรกรในพื้นที่นำร่อง 5 อำเภอของจังหวัดพิจิตร ได้แก่ อ.สามง่าม อ.บึงนาราง อ.วชิรบารมี อ.ทับคล้อ และ อ.วังทรายพูน
ดร.ศรีสวัสดิ์เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ ตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ปรับวิธีทำนาเป็นแบบเปียกสลับแห้ง ใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การจัดการฟางข้าวและตอซังข้าวแทนการเผา ตลอดจนเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการจัดการแปลงและลดต้นทุนการผลิต
[caption id="attachment_77351" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างเมล็ดข้าวเปลือกและข้าวสารของข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1[/caption]
"พันธุ์ข้าวที่เกษตรกรปลูกโดยทั่วไปมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 110-120 วัน ซึ่งอายุการอยู่ในนาของข้าวมีผลต่อการปลดปล่อยแก๊สมีเทนจากแปลงนา ฉะนั้นถ้าลดอายุการเก็บเกี่ยวข้าวได้ การปล่อยแก๊สมีเทนก็จะน้อยลง ขณะเดียวกันถ้าผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นก็จะทำให้คาร์บอนฟุตพรินต์ต่อกิโลกรัมผลผลิตลดลงด้วย เมื่อเกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นและให้ผลผลิตสูง ก็จะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดแก๊สมีเทนได้"
"การทำนาแบบเปียกสลับแห้งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดแก๊สมีเทนจากแปลงนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้มีผลโดยตรงต่อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่บริเวณรากข้าวซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแก๊สมีเทน จุลินทรีย์เหล่านี้เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic microorganisms) หรือ เมทาโนเจน (methanogen) ซึ่งเจริญได้ดีในสภาพนาน้ำขัง เมื่อเกษตรกรระบายน้ำออกจากนาปล่อยให้แปลงนาแห้งเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งจะทำให้มีอากาศซึมเข้าไปในดิน เมื่อจุลินทรีย์ดังกล่าวเจออากาศก็จะลดจำนวนลง การผลิตแก๊สมีเทนก็ลดลง ขณะเดียวกันการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินจะช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับปริมาณไนโตรเจนให้เหมาะสมกับความต้องการของต้นข้าว ก็จะไม่มีไนโตรเจนส่วนเกินเหลือสะสมในดินให้จุลินทรีย์ในดินเปลี่ยนไปเป็นแก๊สไนตรัสออกไซด์ได้ ช่วยลดแก๊สเรือนกระจกได้อีกชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ยังรณรงค์ให้เกษตรกรงดการเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยว และส่งเสริมการไถกลบฟางเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มอินทรียวัตถุให้ดินไปในตัว"
[caption id="attachment_77348" align="aligncenter" width="750"] ข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น จึงมีศักยภาพช่วยลดการปล่อยแก๊สมีเทนจากแปลงนา และสามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ข้าวคาร์บอนต่ำได้[/caption]
ทั้งนี้ การทำนาแบบเปียกสลับแห้งช่วยลดแก๊สมีเทนในนาข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และจากการทดสอบในแปลงวิจัยกับพันธุ์ข้าวไบโอเทค 1 พบว่าลดแก๊สมีเทนได้มากถึง 48 เปอร์เซ็นต์ แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดทำได้เฉพาะเขตนาชลประทานเท่านั้น อย่างไรก็ตามทีมวิจัยกำลังดำเนินการคำนวณปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ของกระบวนการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำในทุกขั้นตอน เพื่อใช้เป็นข้อมูลรับรองทางวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งเดินหน้าปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ช่วยลดการปล่อยแก๊สมีเทนและข้าวพันธุ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกรและรองรับกับทิศทางของตลาดโลกที่มุ่งสู่เกษตรคาร์บอนต่ำและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย วีณา ยศวังใจ และ ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ IMCAS จีน จัด Workshop ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ยกระดับเทคโนโลยีเห็ดเศรษฐกิจ สู่ความมั่นคงทางอาหาร
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ Institute of Microbiology, Chinese Academy of Sciences (IMCAS) สาธารณรัฐประชาชนจีน จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเห็ดกินได้” ณ IMCAS กรุงปักกิ่ง ระหว่างวันที่ 16 - 19 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้โครงการ “การถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเห็ดบริโภคได้เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่ยั่งยืนระหว่างประเทศในภูมิภาคแม่น้ำโขง” ที่ได้รับทุนจากกองทุนพิเศษความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (LMCSF Funded Project) โดยรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะและการแปรรูปเห็ดกินได้ ซึ่งถือเป็นแหล่งอาหารโปรตีนทางเลือกและวัตถุดิบสำคัญที่มีศักยภาพสูงในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนในประเทศลุ่มน้ำโขง มีผู้เข้าร่วมกว่า 70 คน จากนักวิจัย ผู้ประกอบการ และเกษตรกรจากลุ่มน้ำโขงและจีน โดยได้รับเกียรติจาก Dr. Qi-Hui Wang รองผู้อำนวยการ IMCAS เป็นประธานเปิดงาน
แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเห็ดกินได้
ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้เน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเห็ดกินได้ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงและมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค การพัฒนาทักษะการเพาะปลูกและการแปรรูปจะช่วยเพิ่มผลผลิต ยกระดับคุณภาพ และสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกร โดยความร่วมมือกับ IMCAS ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำของจีน จะช่วยให้ประเทศลุ่มน้ำโขงได้เข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก
ภาพรวมอุตสาหกรรมเห็ดในภูมิภาคล้านช้าง–แม่โขงและจีน
Prof. Dr. Rui-Lin Zhao ผู้เชี่ยวชาญจาก IMCAS กล่าวว่า จีนในฐานะเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเห็ดกินได้รายใหญ่ของโลก มีความได้เปรียบอย่างมากทั้งในด้านทรัพยากร เทคโนโลยี และนวัตกรรม ขณะที่ประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำล้านช้าง-แม่โขงยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมเห็ด ซึ่งยังมีการผลิตขนาดเล็ก ความหลากหลายของสายพันธุ์จำกัด และมีช่องว่างระหว่างอุปสงค์-อุปทานค่อนข้างมาก ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์เห็ดกินได้จำนวนมากทุกปี ที่น่าสังเกตและชื่นชมคือ รัฐบาลของไทย เวียดนาม และลาว ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ โดยมีการนำเข้าสายพันธุ์คุณภาพดีและเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จีนพร้อมแบ่งปันความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้ประเทศเพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขงสามารถนำไปต่อยอดและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเห็ดได้อย่างเต็มศักยภาพ
ผู้เชี่ยวชาญนานาชาติร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้
ด้าน ดร.อัมพวา ปินเรือน นักวิจัยไบโอเทค และหัวหน้าโครงการฯ กล่าวเสริมว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการตลอด 3 วัน เป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญจากทั้งประเทศไทย จีน เนเธอร์แลนด์ ลาว และเวียดนาม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเห็ดกินได้และเห็ดสมุนไพร โดยมีประเด็นที่หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่ภาพรวมเศรษฐกิจไปจนถึงงานวิจัยเฉพาะทาง อาทิ Prof. Dr. Rui-Lin Zhao (IMCAS, จีน) ได้บรรยายภาพรวมอุตสาหกรรมเห็ดขนาดใหญ่ของจีน ทั้งสถานการณ์การผลิต เทคโนโลยี และแนวโน้มในอนาคต Dr. Qi Gao (Beijing Academy of Agriculture and Forestry Sciences, จีน) ที่เจาะจงถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมเห็ดหอมในจีน Dr. Arend Frans van Peer (Wageningen University & Research, เนเธอร์แลนด์) บรรยายการทำแผนที่พันธุกรรมและกลไกความไม่เข้ากันของนิวเคลียสในเห็ดแชมปิญอง และ Dr. Jin Liang (Anhui Agricultural University, จีน) ได้ให้แนวทางการแปรรูปอาหารจากเห็ดเพื่อเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอาหารสมัยใหม่
ด้านประเทศไทย คุณชาญยุทธ ภาณุทัต ได้ให้ข้อมูลภาพรวมสถานการณ์การเพาะเห็ดไทย แนวโน้มการผลิต และข้อจำกัด ขณะที่ คุณบุญโชค ไทยทัตกุล เน้นไปที่การเพาะเห็ดสมุนไพร เช่น เห็ดถั่งเช่าและเห็ดหัวเสือ พร้อมเทคนิคการเพาะและการประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ นักวิจัยไบโอเทคยังได้นำเสนอผลงานวิจัยเชิงลึก ได้แก่ ดร.อัมพวา ปินเรือน เรื่องการพัฒนาสายพันธุ์เห็ดแครงป่าที่บริโภคได้ผ่านเทคนิคผสมสปอร์เดี่ยวเพื่อการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ ดร.ไว ประทุมผาย เรื่องการผลิตและประเมินคุณสมบัติของเบต้ากลูแคนจากเห็ดเพื่อใช้เป็นสารเสริมอาหาร และ ดร.เจนนิเฟอร์ เหลืองสอาด เรื่องเชื้อราก่อโรคแมลงและศักยภาพในการพัฒนาเป็นชีวภัณฑ์อย่างยั่งยืน ในส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ Dr. Nguyễn Tài Toàn จากเวียดนาม ได้นำเสนอภาพรวมอุตสาหกรรมถั่งเช่าและแนวโน้มตลาดในเวียดนาม และ Dr. Khamsalath Soudthedlath จาก สปป.ลาว ได้นำเสนอความหลากหลายของเห็ดป่าที่กินได้ในลาวและโอกาสต่อยอดสู่อุตสาหกรรมใหม่
เยี่ยมชมโรงงานเพาะฟาร์มเห็ดและสร้างเครือข่ายความร่วมมือ
นอกจากนี้ คณะผู้เข้าร่วมงานยังได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานเพาะฟาร์มเห็ดของภาคเอกชนจีน เพื่อศึกษาดูงานการจัดการฟาร์มเห็ดขนาดใหญ่ในเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยเปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมืออันดี เพื่อนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพเห็ดเศรษฐกิจในประเทศลุ่มน้ำโขงต่อไป ทั้งนี้ การจัด Workshop ดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากโครงการ “การถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเห็ดบริโภคได้เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่ยั่งยืนระหว่างประเทศในภูมิภาคแม่น้ำโขง” ที่ได้รับทุนจากกองทุนพิเศษความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (LMCSF Funded Project) สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง รวมถึงหน่วยงานร่วมจัดงาน ประกอบด้วย สมาคมเห็ดราวิทยาแห่งประเทศจีน โดยสาขาอุตสาหกรรมการเก็บเกี่ยวและแปรรูปเห็ดที่บริโภคได้ เครือข่ายนวัตกรรมเห็ดที่บริโภคได้ปักกิ่ง และ EMushroom.net
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมกับ ธ.กรุงเทพ จัดสัมมนา “Smart Agriculture 4.0” ผลักดันธุรกิจเกษตรไทยปรับตัวใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ รับมือ Climate Change
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องประชุม SD-601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) บริษัท เดลิช ฟู้ดส์ จำกัด และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา “Smart Agriculture For Future : พลิกโฉมสู่เกษตร 4.0 สร้างผลผลิตพรีเมียม ขยายโอกาสธุรกิจแบบยั่งยืน” เพื่อนำเสนอองค์ความรู้และผลงานวิจัยของ สวทช. ที่พร้อมประยุกต์ใช้จริงในภาคอุตสาหกรรมเกษตร ในยุคที่โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเชื่อมโยงกับโอกาสทางการเงิน สำหรับผู้ประกอบการเกษตรปลอดภัยที่ต้องการลงทุน Smart Agriculture โดยมี ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. เป็นประธานเปิดงาน มีผู้ประกอบการภาคการเกษตรกว่า 60 คน ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน
ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการ ITAP สวทช. กล่าวว่า ภาวะโลกร้อน (Global Warming) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัญหาสำคัญของโลก โดยภาคเกษตรกรรมทั่วโลกได้รับความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 21,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ส่วนข้อมูลจาก Global Climate Risk 2021 ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวนและรุนแรง (ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก) เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผู้ประกอบการภาคการเกษตรต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนด้วยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) และเกษตรแม่นยำ (Precision Farming)
ITAP สวทช. เล็งเห็นโอกาสของภาคการเกษตรไทยในการก้าวสู่ "เกษตร 4.0" จึงจัดงานสัมมนาครั้งนี้ เพื่อเป็นสะพานเชื่อมโยงองค์ความรู้ ผลงานวิจัยของ สวทช. และโอกาสทางการเงินสำหรับผู้ประกอบการเกษตรที่พร้อมปรับตัว โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ ได้รับทราบถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับการผลิตสู่ "เกษตรมูลค่าสูง" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกใช้ Digital Tools ที่เหมาะสม เพื่อเปลี่ยนการเกษตรแบบเดิมให้เป็น "เกษตรแม่นยำ" และ "ยั่งยืน" และได้รับฟังประสบการณ์จริงจากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการปรับตัวและเลือกใช้เทคโนโลยี Smart Agriculture เพื่อผลิตสินค้าพรีเมียม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งงานสัมมนานี้ ได้เชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ เข้ากับโอกาสทางการเงิน สำหรับผู้ประกอบการเกษตร ที่ต้องการลงทุน Smart Agriculture และพลิกโฉมสู่ "เกษตร 4.0" ที่สามารถ ทำน้อยได้มาก สร้างผลผลิตพรีเมียม ได้ด้วยเทคโนโลยีและเงินทุนสนับสนุน
“การสัมมนาครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การนำเสนอเทคโนโลยี แต่คือการให้เครื่องมือและแนวทางที่จำเป็นเพื่อให้ธุรกิจเกษตรของไทยสามารถ อยู่รอด เติบโต และสร้างความยั่งยืน ในยุคที่ Climate Change เข้ามาเป็นความเสี่ยงหลักของการทำธุรกิจ” ดร.นันทิยา กล่าว
ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า เกษตรยุคใหม่ไม่ใช่แค่การปลูกพืช แต่คือการบริหารข้อมูลและธุรกิจ จากความท้าทายทั้งปัญหาสภาพอากาศ การขาดแคลนแรงงาน และความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เกษตรกรจึงต้องปรับตัวนำเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิต เช่น Plant Factory, เซนเซอร์ IoT รวมทั้งการใช้ Big Data และ AI เพื่อช่วยควบคุมการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพ ตลอดจนพยากรณ์ผลผลิตได้แม่นยำ มีการประเมินคุณภาพพืชก่อนเก็บเกี่ยว เกษตรกรจึงต้องเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลการขายคุณภาพและมาตรฐาน โดย สวทช. มีตัวอย่างการใช้เกษตรอัจฉริยะ เช่น โรงเรือนอัจฉริยะสำหรับการปลูกฟ้าทะลายโจร และการปลูกบัวบกใน Plant Factory ทั้งนี้เทคโนโลยีไม่ได้มาแทนคน แต่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพและเป็นกุญแจสำคัญของอนาคตเกษตรไทยในยุคที่ต้องเผชิญกับ Climate Change
ดร.โอภาส ตรีทวีศักดิ์ ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล เนคเทค สวทช. กล่าวว่า เนคเทค สวทช. ได้พัฒนา แพลตฟอร์ม AI SAT WIMARC เป็นนวัตกรรมพร้อมใช้สำหรับการมอนิเตอร์และควบคุมสภาวะที่มีผลต่อการทำเกษตรกรรมด้วยเทคโนโลยี IoT ผสานกับข้อมูลจากดาวเทียมในการติดตามสภาพแวดล้อมในพื้นที่เพาะปลูก พร้อมใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะควบคุมการให้น้ำและปุ๋ย โดยมีระบบจัดเก็บข้อมูลสภาวะแวดล้อมในพื้นที่เพาะปลูกได้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกษตรกรจัดการแปลงเพาะปลูกได้อย่างถูกต้องแม่นยำและเหมาะสมโดยเฉพาะในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง
คุณเอมกมล พยนต์รัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลิช ฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตและนำเข้าผลผลิตทางการเกษตร ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ โดยระบุว่า บริษัทมุ่งพัฒนาสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ มีการควบคุมคุณภาพผลผลิตในฟาร์มให้ได้มาตรฐาน GHP , HACCP และ GAP โดยวางแผนการบริหารจัดการทั้งก่อนเก็บเกี่ยว (Pre-harvest) และหลังเก็บเกี่ยว (Post-harvest) อีกทั้งยังนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการปรับปรุงประสิทธิการปลูกพืช เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบัน มีการใช้ระบบให้น้ำ Irrigation System มาเป็นเครื่องมือควบคุมการปลูก อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจาก สวทช. ในการนำชีวภัณฑ์ไปใช้ดูแลผลผลิต ตอบโจทย์ลดการใช้สารเคมีเพื่อคุณภาพผลผลิตที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
ดร.พนิตา ชุติมานุกูล ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า Smart Agriculture เป็นการนำงานวิจัยไทยมาช่วยยกระดับการผลิตพืชให้ได้คุณภาพสูงและคงที่ โดยความสำเร็จของพืชสมุนไพร หรือพืชเศรษฐกิจใด ๆ ไม่ได้ขึ้นกับประสบการณ์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องผสานเทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วจากงานวิจัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่นการนำองค์ความรู้จาก Plant Factory มาสู่ระบบ Smart Greenhouse ช่วยให้เกษตรกรและโรงงานสามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตได้ดียิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศและความผันผวนของตลาด ตัวอย่างเช่น “กะเพราเชิงอุตสาหกรรม” ที่เริ่มจากสูตรในห้องแล็บจนสามารถพัฒนาเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงสำหรับอาหาร เวชสำอาง และสมุนไพรสุขภาพ รวมถึงการทำงานแบบ Co-design และ Co-develop ระหว่างนักวิจัยและภาคเอกชน ช่วยให้ตั้งโจทย์ ทดลองจริง ลดต้นทุน และสร้างความแตกต่างทางคุณภาพ เป็นการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืน
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผู้ประกอบการ กำลังเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ ทั้งสงครามการค้าและการกีดกันทางการค้าจากต่างประเทศ รวมทั้งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ธ.กรุงเทพ จึงมีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะในภาคเกษตรและอาหาร ถึงเวลาต้องปรับตัว โดยมีหน่วยงานสนับสนุนการยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยีของผู้ประกอบการ (TASK) พร้อมช่วยผู้ประกอบการในการประเมินและวางแนวทางการจัดหาเทคโนโลยี การแนะนำตลาด การให้คำปรึกษาและเชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญและแหล่งทุน โดยปัจจุบัน ธ.กรุงเทพ มีโครงการสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และสินเชื่อเพื่อการปรับตัวธุรกิจ รวมทั้งมีความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ในการสนับสนุนเงินทุนพัฒนานวัตกรรม ซึ่งผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ภาคการเกษตรและอาหารของไทยมุ่งไปสู่ความยั่งยืน
ภายในงานยังมีการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และการสนับสนุนผู้ประกอบการ สู่เกษตรอัจฉริยะ ด้วยกลไก ITAP และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย รวมทั้งมีการเปิดคลินิกให้คำปรึกษาเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ โดยนักวิจัย สวทช. และยังมีนิทรรศการจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะที่น่าสนใจจากงานวิจัย สวทช. ซึ่งผู้เข้าร่วมงานสัมมนาต่างให้ความสนใจ
ทั้งนี้ผู้ประกอบการเกษตรปลอดภัย ที่สนใจต่อยอดการผลิตด้วยการใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ เพื่อปรับตัวสู่เกษตร 4.0 สร้างผลผลิตพรีเมียม ขยายโอกาสธุรกิจแบบยั่งยืน สามารถเข้าร่วมโครงการกับโปรแกรม ITAP ติดต่อสอบถามและขอรับบริการสนับสนุนได้ที่ 02 564 7000 ต่อ ITAP (คุณเสาวภา) หรืออีเมล sauwapa@nstda.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร จัดประชุม TMETC-15 และ TCPC2025 พร้อมเชิดชูบุคลากรเด่นด้านโลหะวิทยา
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สมาคมการกัดกร่อนโลหะและวัสดุไทย, บริษัท CRRC Qingdao Sifang, RX BITEC และหน่วยงานพันธมิตร ผนึกกำลังจัดงานประชุมวิชาการระดับประเทศในรูปแบบการประชุมร่วม (Joint Conference) รวม 2 เวทีสำคัญเข้าด้วยกัน ได้แก่ “การประชุมวิชาการทางโลหะวิทยาและโลหการ ครั้งที่ 15 (TMETC-15)” และ “การประชุมวิชาการด้านการกัดกร่อนและการป้องกัน (TCPC2025)” ภายใต้หัวข้อ “Academics–Industrial Linkage Towards Innovative Metallurgy & Emerging Applications” เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างองค์ความรู้ทางวิชาการและนวัตกรรมโลหะวิทยาสู่การประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
พิธีเปิดงานได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และคณะผู้บริหารจากหน่วยงานจัดงานและพันธมิตรเข้าร่วมนำโดย ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ยุทธนันท์ บุญยงมณีรัตน์ และ ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ในฐานะประธานการจัดงานทั้งสองคณะ ผศ. สุวันชัย พงษ์สุกิจวัฒน์ ตลอดจนผู้แทนภาคเอกชนได้แก่ คุณวราภรณ์ ธรรมจรีย์ และ มร. หลี่ ชวนอิง (Mr. Li Chuanying) ซึ่งได้ร่วมกันกล่าวต้อนรับ รายงานวัตถุประสงค์ และแสดงวิสัยทัศน์ในการผนึกกำลังยกระดับอุตสาหกรรมโลหะวิทยาของไทยสู่สากล โดยภายในงานมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการบรรยายพิเศษ การนำเสนอผลงานวิชาการ การจัดนิทรรศการเทคโนโลยี และกิจกรรมสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจและวิชาการ
ไฮไลต์สำคัญของงานคือพิธีมอบรางวัล “นักโลหวิทยาดีเด่น” และ “นักโลหวิทยารุ่นเยาว์ดีเด่น” (Thailand Metallurgist Award 2025 & Young Outstanding Thailand Metallurgist Award 2025) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ให้เกียรติเป็นผู้มอบรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์งานวิจัยและเทคโนโลยีโลหวิทยาที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศ ในปีนี้ ดร.ชนันฐ์ สุวรรณปรีชา นักวิจัยจากทีมวิจัยโลหะผสมและการผลิตอัจฉริยะ กลุ่มวิจัยกระบวนการทางวัสดุและการผลิต เอ็มเทค สวทช. ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัล “นักโลหวิทยารุ่นเยาว์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568” จากความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาด้านการขึ้นรูปโลหะ โลหะผง และโลหะวิทยา มาอย่างต่อเนื่องกว่า 5 ปี
ผลงานของ ดร.ชนันฐ์ สะท้อนถึงพันธกิจสำคัญของเอ็มเทค สวทช. ในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่การปฏิบัติจริง โดย ดร.ชนันฐ์ ได้รับมอบหมายให้ดูแลและพัฒนาห้องปฏิบัติการเฉพาะทางด้านการฉีดขึ้นรูปโลหะผง (Metal Injection Moulding: MIM) และการขึ้นรูปวัสดุด้วยหลักการอัดรีด (Material Extrusion Additive Manufacturing: MEX) ซึ่งมีความโดดเด่นในการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนชั้นนำ อาทิ บริษัท ไทเซ โคเกียว (ประเทศไทย) จำกัด (Taisei Kogyo), บริษัท เซปทิลเลียน จำกัด (Septillion) และ บริษัท สยามเบรเตอร์ จำกัด (Siambrator)
ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจากการทำงานวิจัยเชิงลึกเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรม ได้แก่ การพัฒนาโลหะไทเทเนียมผสมที่มีสมบัติทนการล้าตัวสูง การจัดทำฐานข้อมูลวัสดุจากกระบวนการ MIM เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต และความสำเร็จล่าสุดในการพัฒนาสูตรฟิลาเมนต์เหล็กกล้าไร้สนิมเกรด 316L ร่วมกับทีมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติก ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นความลับทางการค้า (Trade Secret) แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการแปลงงานวิจัยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง นอกจากนี้ ดร.ชนันฐ์ ยังมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ผ่านการเป็นที่ปรึกษานักศึกษาและนักวิจัย รวมถึงการทำหน้าที่กรรมการสมทบด้านวิชาการของสมาคมโลหะผงวิทยาไทย (ThaiPMA) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดประชุมนานาชาติ APMA 2027 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในอนาคตอันใกล้
การจัดงานในครั้งนี้และการมอบรางวัลอันทรงเกียรติ ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเอ็มเทค สวทช. ในการทำหน้าที่เป็นขุมพลังหลักทางด้านเทคโนโลยีวัสดุของประเทศ ที่พร้อมผนึกกำลังกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยด้วยงานวิจัยที่จับต้องได้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เปิดตัว 2 นักวิจัยหญิง สวทช. คว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย
สวทช. จัดงาน NSTDA x Press Interviews เปิดตัว 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ที่ไปคว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย จาก ลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568 ประกอบด้วย ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ นักวิจัยไบโอเทค สวทช. จากผลงานการพัฒนา “ต้นแบบวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” และ ดร.มัตถกา คงขาว นักวิจัยนาโนเทค สวทช. จากผลงานการพัฒนา “อนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิวเพื่อนำส่งยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง”
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ให้การต้อนรับคณะสำรวจพื้นที่ “โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจันทร์ ณ จังหวัดระยอง”
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้การต้อนรับ ดร.สุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จาก กนอ. ในโอกาสเดินทางมาศึกษาดูงานและสำรวจพื้นที่ตามโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมวังจันทร์ ณ อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง
การศึกษาดูงานและสำรวจพื้นที่ในครั้งนี้ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) ได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โดย ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้บรรยายสรุปการบริหารจัดการและเยี่ยมชมฐานการดำเนินงานของ EECi ในพื้นที่และหน่วยงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การเยี่ยมชมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง รวมถึงเสริมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม โดย กนอ. และ สวทช. เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และผลักดันให้เกิดการพัฒนา “โครงการนิคมอุตสาหกรรมวังจันทร์” อันเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
Food Regulatory Clinic by Food Innopolis ปีที่ 5 – 17 ธันวาคม 2568
Food Regulatory Clinic by Food Innopolis ปีที่ 5
🔑📌💡สวทช. โดย เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ขอเชิญผู้ประกอบการ หรือท่านที่อยู่ระหว่างการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการยื่นขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหารในประเทศไทย ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม Food Regulatory Clinic by Food Innopolis ปีที่ 5 เพื่อรับคำปรึกษา แบบ One on One โดยทีมเจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ ร่วมหารือแนวทางการเตรียมตัวขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหาร
📆⏰⏳ วันพุธที่ 17 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00 – 17.00 น. (บริษัทละ 45 นาที) – รับจำนวนจำกัด
ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/tc3sX1cPHEX1LZWSA
ช่องทางการรับคำปรึกษา
💻 ระบบประชุมออนไลน์
📧 อีเมล
📳 โทรศัพท์
📲สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ผู้ประสานงาน คุณมารุต ใจหลัก
อีเมล marut.jai@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
กระทรวง อว. โดย สวทช. ยืนยันพันธุ์ข้าว “หอมสยาม” มีความปลอดภัย ใช้กระบวนการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ ได้การรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน (ร.พ.2) จากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้วในปี 2565 และอยู่ระหว่างขอรับรองพันธุ์จากกรมการข้าว เพื่อเป็น “ข้าวทางเลือก” ให้เกษตรกร
จากกรณีมีข่าวเรื่อง “ข้าวหอมสยาม” ไม่ใช่ “ข้าวหอมมะลิ” เตือนเกษตรกรระวังการขยายผลการเพาะปลูก หวั่นไม่มีตลาดรองรับชัดเจน จนอาจเกิดข้อกังวลด้านมาตรฐานและความปลอดภัยนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยืนยันว่าข้าวหอมสยามไม่ได้มาแทนที่ข้าวหอมมะลิ แต่ข้าวหอมสยามเป็น “ข้าวเจ้าหอม” ที่มีการพัฒนาพันธุ์ผ่านการผสมพันธุ์แบบธรรมชาติที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก มีความปลอดภัย และได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์ถูกต้องจากกรมวิชาการเกษตร
ข้าวหอมสยามไม่ใช่ GMO เป็นการคัดเลือกสายพันธุ์ตามธรรมชาติด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ได้มุ่งมั่นวิจัยสร้างองค์ความรู้และนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หน่วยงานพันธมิตร และกรมการข้าวมากว่า 30 ปี เพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณลักษณะที่ดีขึ้นแก่เกษตรกรไทย ทั้งให้ผลผลิตสูง ความสามารถในการต้านทานโรค แมลง ทนต่อสภาพแวดล้อม เช่น ทนน้ำท่วม ทนแล้ง รวมถึงการพัฒนาในเรื่องกลิ่นและความหอมในพันธุ์ต่าง ๆ โดยที่ผ่านมามีพันธุ์ข้าวจาก สวทช. ที่ได้รับรองพันธุ์จากกรมการข้าวด้วยแล้วหลายพันธุ์ เช่น กข18 (ข้าวเหนียวต้านทานโรคไหม้ ลำต้นแข็งไม่ล้ม), กข51 (ปรับปรุงจากพันธุ์ขาวดอกมะลิ105 ให้มีลักษณะทนน้ำท่วมฉับพลัน), กข73 (ข้าวเจ้าทนเค็ม) และ กข75 (ปรับปรุงจากพันธุ์ขาวดอกมะลิ105 ให้มีลักษณะต้านทานโรคไหม้)
ข้าวหอมสยามเป็นข้าวเจ้าหอม นุ่ม ไวต่อแสง ให้ผลผลิตสูง คุณภาพการหุงต้มดี ปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย ซึ่งได้ปรับปรุงพันธุ์ตั้งแต่ปี 2553 โดยมีการพัฒนาจากการผสมพันธุ์แบบธรรมชาติ ระหว่างข้าวสายพันธุ์แม่ “RGD03068-2-9-1-B (RGD03068)” ที่มีลักษณะทนแล้ง กับข้าวสายพันธุ์พ่อ “แก้วเกษตร” ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานต่อโรคไหม้ ทรงกอตั้ง ต้นเตี้ย ไม่ได้มีการใส่ยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าไป ข้าวหอมสยามจึงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ทั้งนี้ในขั้นตอนการคัดเลือกลักษณะทนแล้ง ต้านทานโรค และคุณภาพหุงต้มจะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่มีความแม่นยำ คือการใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอช่วยในการคัดเลือก ซึ่งเป็นเทคนิคมาตรฐานของศูนย์วิจัยข้าวทั่วโลก
ข้าวหอมสยามอยู่ระหว่างกระบวนการรับรองพันธุ์ตามมาตรฐานกรมการข้าว
ผอ.สวทช. กล่าวอีกว่า ปัจจุบันข้าวหอมสยามอยู่ระหว่างกระบวนการทดสอบและขยายพันธุ์ เพื่อประกอบการพิจารณารับรองพันธุ์โดยกรมการข้าว ซึ่งต้องดำเนินการในหลายพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อพิสูจน์ว่า พันธุ์มีสเถียรภาพการให้ผลผลิตสม่ำเสมอในหลายสภาพแวดล้อม และต้องมีการทดสอบการตอบสนองต่อปุ๋ย โดยกระบวนการนี้ต้องทำโดยสถานีทดลองและแปลงเกษตรกรในหลายจังหวัด จึงเป็นเรื่องปกติที่พันธุ์ใหม่ทุกพันธุ์จะต้องใช้เวลาพอสมควรในการดำเนินงาน ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่า ข้าวหอมสยามเป็นพันธุ์ที่ไม่ได้มาตรฐานแต่ประการใด
ผอ.สวทช. กล่าวต่อว่า ข้าวหอมสยามพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ในปี 2553 ต่อมาในปี 2563 เริ่มมีการนำข้าวไปปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 530 กิโลกรัมต่อไร่ ต่อมาในปี 2564 ได้มีการขยายการปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ จ.ศรีสะเกษ จ.สกลนคร จ.นครพนม จ.ยโสธร จ.ร้อยเอ็ด จ.สุรินทร์ จ.มหาสารคาม และ จ.บุรีรัมย์ รวมพื้นที่ 21 ไร่ ซึ่งเกษตรกรให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทำให้ลดการสูญเสียผลผลิตจากการหักล้ม และลดต้นทุนในการเก็บเกี่ยว คุณสมบัติเด่นอีกประการของข้าวหอมสยามคือมีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดี ล่าสุดในปี 2567 ได้มีการขยายการปลูกทดสอบในจังหวัดพิจิตร พบว่าข้าวหอมสยามสามารถให้ผลผลิตสูงกว่า 800 กิโลกรัมต่อไร่
“ปัจจุบันข้าวหอมสยามได้การรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน (ร.พ.2) จากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้วในปี 2565 ซึ่งเป็นด่านแรกในการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือทางวิชาการ เป็นการยืนยันว่าพันธุ์ข้าวหอมสยามมีตัวตน ถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้ง สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยังได้รับใบอนุญาตรวบรวม ขาย นำเข้า หรือส่งออกซึ่งเมล็ดพันธุ์ควบคุมเพื่อการค้า (พ.พ.1) ที่สำคัญขณะนี้ข้าวหอมสยามอยู่ระหว่างการยื่นขอรับรองพันธุ์ข้าวจากกรมการข้าว ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบผลผลิต ทดสอบคุณภาพเมล็ดทางเคมีและกายภาพ การประเมินศักยภาพการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน รวมทั้งทดสอบความต้านทานโรคและแมลงศัตรูข้าวในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ โดยขณะนี้ได้ดำเนินงานตามขั้นตอนต่าง ๆ เกือบครบถ้วนแล้ว” ผอ.สวทช. กล่าว
สวทช. มุ่งมั่นพัฒนาพันธุ์ข้าว สร้างโอกาสแข่งขันข้าวไทยในตลาดโลก
“กระทรวง อว. โดย สวทช. มีความตั้งใจในการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ ลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตต่อไร่ รักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในระยะยาว ที่ผ่านมา สวทช. เป็นหน่วยงานที่มุ่งมั่นพัฒนาด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ทั้งในเชิงสังคมและพื้นที่ และเห็นความสำคัญของการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย จึงมีความตั้งใจในการพัฒนา “นวัตกรรมพันธุ์ข้าวหอมสยาม” ที่มีคุณสมบัติตรงต่อความต้องการของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป็นพันธุ์ข้าวที่เมล็ดมีกลิ่นหอม ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคและปรับตัวได้ดีในสภาวะน้ำน้อย และมีคุณภาพของข้าวขัดขาวตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์เกษตรกรและตลาดที่มีความต้องการข้าวคุณภาพสูงที่หลากหลาย เป็นการยกระดับคุณภาพข้าวไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก” ศ.ชูกิจ กล่าว
ข้าวหอมสยามเป็นพันธุ์ข้าวที่มีศักยภาพสูงทั้งในด้านผลผลิตและทนทานต่อสภาพแวดล้อม ตอบโจทย์ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้นความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ จะช่วยให้ข้าวหอมสยามเป็นทางเลือกให้เกษตรกรสามารถเป็นผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


