หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
‘Acamp’ แพลตฟอร์มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) แบบอัตโนมัติ ใช้งานง่าย ปรับตัวทันนโยบายภาษีคาร์บอน
    ปัจจุบันผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตต่างเริ่มหันมาคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) และผลิตภัณฑ์​ (Carbon Footprint for Product: CFP)  กันมากขึ้น เพราะไม่เพียงช่วยให้การส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังประเทศที่มีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเข้มงวดเป็นไปด้วยความราบรื่น ข้อมูลค่า CFO ยังช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นถึงลู่ทางลดการปล่อยคาร์บอน (decarbonization) ทั้งทางตรงและทางอ้อม และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี     อย่างไรก็ตามการจัดทำค่า CFO เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะกระบวนการมีความซับซ้อนสูง นอกจากผู้จัดทำจะต้องเก็บข้อมูลกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดแล้ว ยังต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการจำแนกรูปแบบการปล่อยคาร์บอนตาม Greenhouse Gas Protocol (GHG Protocol) หรือระเบียบวิธีวัดและรายงานก๊าซเรือนกระจกอย่างลึกซึ้ง ต้องเข้าใจวิธีคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอน และยังต้องอัปเดตค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor: EF) ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอด้วย เพื่อลดภาระดังกล่าวให้ผู้ประกอบการไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา Automated Carbon Accounting Management Platform (Acamp) หรือเอแคมป์ แพลตฟอร์มสำหรับคำนวณค่า CFO แบบอัตโนมัติและติดตามผลแบบเรียลไทม์ พร้อมแสดงผลข้อมูลในรูปแบบแดชบอร์ด (dashboard) ที่เข้าใจง่าย พร้อมใช้งาน การคำนวณค่า CFO สอดคล้องกับ GHG Protocol และค่า EF ของอุตสาหกรรมไทย   Acamp คำนวณค่า CFO แบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ ข้อมูลพร้อมใช้งาน   [caption id="attachment_67288" align="aligncenter" width="750"] ดร.อัมพร โพธิ์ใย นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลดคาร์บอน เนคเทค สวทช.[/caption] ดร.อัมพร โพธิ์ใย นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลดคาร์บอน เนคเทค สวทช. อธิบายว่า ทีมวิจัยเริ่มต้นจากการศึกษาปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญทั้งความยากในการจัดเก็บข้อมูล การจำแนกประเภท และการคำนวณ ก่อนรวมเอาปัญหาเหล่านั้นมาออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การดำเนินงานสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การนำข้อมูลการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ระบบโดยอัตโนมัติ และการพัฒนาแพลตฟอร์ม Acamp เพื่อการคำนวณค่า CFO แบบอัตโนมัติและเรียลไทม์     “การนำเข้าข้อมูลแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า ในส่วนนี้ทีมวิจัยได้พัฒนา ZCARBON (ซีคาร์บอน) ซึ่งเป็นเอดจ์คอมพิวเตอร์ (edge computer) ที่มาพร้อมซอฟต์แวร์สำหรับจัดเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าของแต่ละอุปกรณ์จากเครื่องวัดกำลังไฟฟ้า (power meter) แบบเรียลไทม์ และคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ที่เกิดจากการใช้พลังงานไฟฟ้าทันที โดยหลังจากคำนวณเสร็จสิ้น ระบบจะส่งเฉพาะข้อมูลค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขึ้นคลาวด์ เพื่อให้แพลตฟอร์ม Acamp เรียกข้อมูลจากคลาวด์ไปใช้คำนวณค่า CFO ขององค์กรต่อโดยอัตโนมัติ “ส่วนที่สองคือข้อมูลจากระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP) ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลชนิดและปริมาณของในคลัง เช่น วัตถุดิบ เชื้อเพลิง และข้อมูลการนำทรัพยากรดังกล่าวไปใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ โดยทีมวิจัยได้ออกแบบกระบวนการส่งข้อมูล ERP ที่จำเป็นต่อการคำนวณค่า CFO เข้าสู่คลาวด์อัตโนมัติไว้ 2 รูปแบบ รูปแบบแรกคือส่งผ่าน API (Application Programming Interface) และรูปแบบที่สองคือการตั้งค่าสร้างรายงาน (print out) ไปไว้ที่คลาวด์แบบอัตโนมัติ เพื่อให้แพลตฟอร์ม Acamp เรียกข้อมูลจากคลาวด์ไปใช้คำนวณค่า CFO ขององค์กรต่อได้โดยอัตโนมัติ “ส่วนที่สามจะเป็นข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการคำนวณค่า CFO แต่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในระบบทั้งสอง ผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูลเข้าสู่ Acamp โดยตรงผ่านหน้าเว็บแอปพลิเคชัน ตัวอย่างข้อมูล เช่น ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขนส่งสินค้า ปริมาณเชื้อเพลิงในการเดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่การผลิต”     หลังจากนำเข้าข้อมูลที่จำเป็นต่อการคำนวณค่า CFO เข้าสู่ระบบทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว Acamp จะคำนวณข้อมูล CFO ขององค์กรให้โดยอัตโนมัติ ดร.อัมพร อธิบายว่า ในการเริ่มต้นใช้งานระบบ Acamp ครั้งแรก จะมีทีมที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและระบบโรงงานที่ผ่านการอบรมโดยเนคเทค สวทช. (ปัจจุบันมีมากกว่า 70 คน) เข้าช่วยตั้งค่าระบบอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และวางแผนการคำนวณค่า CFO ของโรงงานให้ตรงตาม GHG Protocol ให้ก่อน (เช่น การจำแนกการปล่อยคาร์บอนตามขอบเขต (scope) ที่ต้องใช้ในการรายงานผล, การเลือกค่า EF ที่เหมาะสมมาใช้คำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนของแต่ละวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์​ หรือกิจกรรม) ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ​ 2-3 สัปดาห์ในการวางระบบ หลังจากที่ปรึกษาช่วยวางระบบทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว Acamp จะคำนวณค่า CFO จากข้อมูลหลักทั้ง 3 ส่วนให้อัตโนมัติและติดตามผลแบบเรียลไทม์ พร้อมแสดงผลข้อมูลการคำนวณในรูปแบบแดชบอร์ดที่เข้าใจง่าย ทำให้สะดวกต่อการรายงานค่า CFO และการนำข้อมูลไปใช้วางแผนปรับปรุงการทำงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน “นอกจากความสะดวกที่กล่าวถึงข้างต้น Acamp ยังเป็นระบบ adaptive หรือปรับแต่งสูตรการคำนวณให้สอดคล้องกับค่า EF ที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กำหนด ณ ขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นไปตามค่า EF ที่อัปเดตเสมอ อีกจุดเด่นที่สำคัญไม่แพ้กันคือการจัดเก็บ วิเคราะห์ และคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของ Acamp เป็นไปตาม ISO 14064-1 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ทำให้ผู้ประกอบการนำข้อมูลไปใช้ยื่นเพื่อการทำการค้ากับต่างประเทศได้ทันที”   จาก CFO สู่ Net Zero Emission ดร.อัมพร อธิบายว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะยังไม่มีการเรียกเก็บภาษีคาร์บอน (carbon tax) อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีผู้ประกอบการจากบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องจัดทำค่า CFO เพื่อนำไปคำนวณค่า CFP เพื่อใช้ยื่นเป็นข้อมูลประกอบเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศที่มีมาตรการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนแล้ว เช่น สหภาพยุโรป (EU) มีมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือ ‘มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน’ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่ประเทศคู่ค้านอกสหภาพยุโรป โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง (carbon intensive products) ก่อน ซึ่งหลังจากนี้คาดว่าจะมีอีกหลายประเทศที่ใช้มาตรการลักษณะนี้เช่นกัน “สำหรับผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าภายในประเทศ​ รวมไปถึงภาคบริการ การจัดทำข้อมูลค่า CFO และ CFP จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้เป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาเลือกใช้สินค้าและบริการที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม​ นอกจากนี้หากในอนาคตประเทศไทยมีการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนรายบุคคลดังที่มีผลบังคับใช้แล้วในสวีเดน ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร แคนาดา นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น สินค้าและบริการที่ระบุค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ได้และมีค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำก็จะยิ่งได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นด้วย (กรณีที่เลือกใช้สินค้าและบริการที่ไม่ระบุค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ ผู้บริโภคจะต้องเสียค่าภาษีคาร์บอนในอัตราที่รัฐบาลของประเทศนั้นกำหนด)”     นอกจากค่า CFO และ CFP จะเป็นประโยชน์ต่อการรับมือมาตรการภาษีทั้งระดับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาแล้ว การที่ผู้ประกอบการทราบถึงค่า CFO และ CFP ของสินค้าและบริการ ยังส่งผลดีต่อการลดต้นทุนการผลิตในภาพรวม และลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมด้วย ดร.อัมพร อธิบายทิ้งท้ายว่า เป้าหมายปลายทางของทีมวิจัยในการพัฒนา Acamp คือ การทำให้ผู้ประกอบการตระหนักรู้ถึงค่า CFO และ CFP ของตัวเอง เพื่อนำไปสู่การประเมินความเป็นไปได้ในการลดการปล่อยคาร์บอนในแต่ละกิจกรรมขององค์กร โดยอาจเริ่มต้นจากจุดที่แก้ไขได้ง่าย เช่น การปรับอุณหภูมิตู้แช่วัตถุดิบให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยไม่ใช้อุณหภูมิระดับต่ำเกินความจำเป็น เพื่อลดการใช้พลังงานและยืดอายุตู้แช่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดการปล่อยคาร์บอนทั้งทางตรงและทางอ้อม และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีแผนจะร่วมกับทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางแขนงต่าง ๆ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อมุ่งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net zero emissions) ต่อไป ปัจจุบันทีมวิจัยเปิดให้บริการเทคโนโลยี Acamp และ ZCARBON ผ่าน IDA Platform ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการนำร่องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/ โดยในปี 2568 นี้ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) สวทช. มีแผนที่จะจัดแคมเปญเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่าน IDA Platform ทั้งผ่านการให้คำปรึกษา การสนับสนุนเทคโนโลยี รวมถึงการช่วยเชื่อมต่อกับแหล่งเงินทุน และสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจในเทคโนโลยี Acamp และ ZCARBON สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีทั้งสองได้ที่ DTIRT อีเมล iiarg-dti@nectec.or.th, Line @DTIRT เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ Adobe Stock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เจาะลึกกรณีศึกษาตึกถล่มจากแผ่นดินไหว! เสวนาวิชาการเรื่องเหล็กเสริมแรงและโครงสร้างคอนกรีต
"เหล็กเสริมแรงและโครงสร้างคอนกรีต: กรณีศึกษาตึกถล่มจากแผ่นดินไหว"📅 วันที่ 9 เมษายน 2568📍 ณ ห้องบุษบา ชั้น 1 โรงแรมแนวกริน กรุงเทพฯ🕘 เวลา 08:30 – 15:00 น.🆓 เข้าร่วมฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย 🧱 เจาะลึกเรื่องวัสดุเสริมแรง โครงสร้างคอนกรีต และบทเรียนจากกรณีศึกษาตึกถล่ม👨‍🏫 พบกับผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ 📌 ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่👉 https://forms.gle/YFSERqv5WzjuaEWJ7 📞 สอบถามเพิ่มเติม: 02-564-6500 ต่อ 4676✉️ kobkula@mtec.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. – บพข. ดัน MED Drive ปั้นธุรกิจเครื่องมือแพทย์ไทยสู่ยอดขายพันล้าน หวังสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนด้วยนวัตกรรม
(2 เมษายน 2568) ณ ห้องคริสตัลบอกซ์ ชั้น 19 ศูนย์การค้าเกษรพลาซ่า กรุงเทพฯ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) จัดงาน “MED Drive Demo Day : Journey to Medical Billion Business สัมมนาเส้นทางธุรกิจพันล้านเครื่องมือแพทย์ไทย” ภายใต้โครงการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ (MED Drive) เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานเครื่องมือแพทย์สู่อนาคตของ 5 ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มยอดขายระดับร้อยล้านสู่หลักพันล้านได้ภายใน 5 ปี ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อ กลุ่มรักษาแผล กลุ่มวัสดุฝังใน กลุ่มอุปกรณ์ล้างไต และกลุ่มทันตกรรม ด้วยกลไกการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง พร้อมเชื่อมโยงสู่ตลาดทั้งในประเทศและระดับโลก หวังสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย นอกจากนี้ งาน Demo Day ยังเป็นเวทีสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ไทยเพื่อร่วมกันจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ และผลักดันให้ไทยก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมนี้บนเวทีโลก โดยมีพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ตลอดจนผู้ประกอบการกว่า 200 คนเข้าร่วมงาน ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชน มีมูลค่าตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านมาตรฐานระดับสากลที่สูง ต้องใช้เงินลงทุนสูง และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโครงการ MED Drive ขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งก้าวเดินธุรกิจ และพัฒนาให้เครื่องมือแพทย์ไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในภูมิภาคอาเซียนและระดับโลก โดยงานครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ด้วยการเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบในระบบนิเวศของการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยให้เดินหน้าไปด้วยกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันที่จะก้าวสู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDE) สามารถขยายธุรกิจให้มียอดขายสู่ 1,000 ล้านบาท งานนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงและต่อยอดความสำเร็จที่จะช่วยยกระดับสินค้านวัตกรรม เพิ่ม GDP และขีดความสามารถของประเทศ รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รักษาการรองผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า บพข. ได้สนับสนุนทุนในการดำเนินโครงการ MED Drive ภายใต้แผนงาน “พัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise: IDEs)” ประจำปีงบประมาณ 2567 เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยทั้ง 5 รายให้พัฒนาสู่องค์กรฐานนวัตกรรม เป้าหมายหลักคือการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยที่ได้การรับรองตามมาตรฐานสากล สามารถขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย โดยการดำเนินการประกอบด้วย การวินิจฉัยประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการ IDE ทั้ง 5 ราย เพื่อวิเคราะห์โอกาสและช่องว่างของธุรกิจ การสนับสนุนการยกระดับธุรกิจและผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยสนับสนุนการวิเคราะห์ทดสอบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยนวัตกรรม การพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และส่งเสริมการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ โดยสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะเฉพาะทางด้านเครื่องมือแพทย์ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานและการบำรุงรักษา การให้ความรู้ด้านการจดสิทธิบัตร เป็นต้น ทั้งนี้ ในงานมีนิทรรศการของ 5 ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 1) บริษัท โพสเฮลท์แคร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลและกลุ่ม Personal Use 2) บริษัท โนวาเมดิค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายไหมเย็บแผล แผ่นปิดแผลต่างๆ และถุงทวารเทียม 3) บริษัท ออโธพีเซีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุศัลยกรรมกระดูกและเครื่องมือผ่าตัดกระดูก 4) บริษัท ซี วี พี เมดิคอล เทคโนโลยี จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เข้มข้นสำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (น้ำยาไตเทียม) และสายส่งเลือดสำหรับเครื่องไตเทียม และ 5) บริษัท ซี.ซี.ออโตพาร์ท จำกัด ผู้ผลิตขึ้นรูปโลหะให้กับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร และเครื่องมือแพทย์ทางด้านทันตกรรม รวมถึงยังมีการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกลไกการเบิกจ่ายของภาครัฐด้านสวัสดิการสุขภาพ ที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยให้เติบโต โดยผู้แทนจากกองทุนและกลุ่มผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทย การสัมมนาอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์โลก โดยผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลการตลาดเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์จากผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทย ผลงานวิจัย สวทช. พันธมิตร และมหาวิทยาลัยโรงเรียนแพทย์ เพื่อต่อยอดผลงานสู่อุตสาหกรรมและการใช้งานจริง และในช่วงท้ายงานได้เปิดเวทีสร้างเครือข่าย (Networking) ระหว่างทุกภาคส่วนที่มีภารกิจด้านการแพทย์ด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Gunther-Janine นวัตกรรมเฝ้าระวังการหกล้มและการเคลื่อนไหวผิดท่าสำหรับผู้สูงวัย
  เมื่อผู้สูงวัยอายุมากขึ้น ร่างกายเริ่มเสื่อมถอย การทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งหลังค่อม การลุกนั่งผิดวิธี การก้มยกของซํ้า ๆ การบิดเอี้ยวตัวขณะยกของหนัก อาจทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บ และเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงวัยมีภาวะกระดูกหัก บางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต ทั้งนี้ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขพบว่า การพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสอง รองจากอุบัติเหตุจากการขนส่ง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา “Gunther-Janine (กันเธอร์ ไอเอ็มยู-เจณีน) อุปกรณ์และแอปพลิเคชันแจ้งเตือนการเคลื่อนไหวผิดท่าและการพลัดตกหกล้ม” ซึ่งใช้งานง่ายและแม่นยำ เพื่อช่วยลดอัตราการบาดเจ็บในกลุ่มผู้สูงอายุ   [caption id="attachment_67269" align="aligncenter" width="750"] ดร.เปริน วันแอเลาะ ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.เปริน วันแอเลาะ ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า “Gunther IMU” เป็นอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดแบบสวมใส่ ที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้พัฒนาระบบช่วยเฝ้าระวังท่าทาง การเคลื่อนไหวที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บและการหกล้ม โดยอุปกรณ์ออกแบบให้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สามารถติดตั้งร่วมกับชุดที่มีช่องสำหรับใส่อุปกรณ์ได้ จุดที่ติดอุปกรณ์คือบริเวณด้านหลังระหว่างกระดูกสะบักซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวได้แม่นยำ และไม่กีดขวางการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน จึงทำให้สวมใส่ได้สะดวกสบายตลอดวัน   [caption id="attachment_67268" align="aligncenter" width="750"] Gunther IMU อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดแบบสวมใส่[/caption] [caption id="attachment_67270" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์เซนเซอร์ Gunther IMU[/caption]   “หลักการทำงานของ Gunther IMU คือ เซนเซอร์จะทำหน้าที่ตรวจวัดความเร็วเชิงมุม ความเร่งในแต่ละแกน และองศาการเคลื่อนไหวของร่างกาย จากนั้นจึงประมวลผลโดยส่งต่อข้อมูลไปเปรียบเทียบกับข้อมูลท่าทางที่ถูกต้อง ซึ่งระบบใช้ AI ในการเรียนรู้ท่าทางและการเคลื่อนไหว ดังนั้นหากอุปกรณ์ตรวจพบท่าทางที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือหกล้ม อุปกรณ์จะแจ้งเตือนด้วยการสั่นแบบนุ่มนวลโดยอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ใช้งานปรับเปลี่ยนท่าทางให้ถูกต้องทันที เช่น ปกติเวลานั่งดูทีวีหรือดูโทรศัพท์ไปสักพัก ไหล่จะห่องุ้มไปด้านหน้า และหลังส่วนบนจะเริ่มโค้งงอมากกว่าปกติ ซึ่งการนั่งหลังค่อมติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนหดสั้นและตึงตัว ขณะที่บางส่วนยืดยาวและอ่อนแรง โครงสร้างร่างกายจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดตามมา ดังนั้นหากอุปกรณ์ตรวจพบว่า ผู้ใช้งานเริ่มนั่งหลังงอก็จะสั่นแจ้งเตือนทันที”   [caption id="attachment_67272" align="aligncenter" width="750"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption]   Gunther IMU ทำงานเชื่อมต่อกับ “แอปพลิเคชัน Janine” ซึ่งทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการใช้งานและแสดงผลการวิเคราะห์ท่าทางและการเคลื่อนไหวให้ดูแบบเรียลไทม์ ช่วยเฝ้าระวังการทำท่าทางที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ที่สำคัญหากผู้ใช้งานพลัดตกหกล้ม แอปพลิเคชันจะแจ้งเตือนและติดต่อไปยังผู้ดูแลอีกด้วย   [caption id="attachment_67273" align="aligncenter" width="400"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption]   ดร.เปริน กล่าวว่า Gunther IMU ตรวจจับการหกล้มจากองศาการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลง มีความเร็วเชิงมุม ความเร่ง หรือแรงกระแทกสูงถึงเกณฑ์ที่กำหนด อุปกรณ์จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังแอปพลิเคชันของผู้ใช้งาน เพื่อถามถึงการขอความช่วยเหลือ ในกรณีที่ผู้ใช้งานล้มและยังพอรู้สึกตัวก็สามารถกดปุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยตนเอง แต่หากผู้ใช้งานล้มลงและไม่พบสัญญาณการเคลื่อนไหวภายในเวลาที่กำหนด แอปพลิเคชันจะแจ้งเตือนผู้ดูแล เพื่อให้รีบเข้ามาตรวจสอบช่วยเหลือได้ทันการณ์ “แอปพลิเคชัน Janine ยังมีฟีเจอร์การประเมินความเสี่ยงต่อการล้ม คือ Timed Up and Go Test เป็นแบบทดสอบที่อ้างอิงมาตรฐานทางคลินิก วิธีการคือให้ผู้ใช้งานลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเป็นเส้นตรงด้วยความเร็วปกติในระยะทาง 3 เมตร จากนั้นหมุนตัวและเดินกลับมานั่งที่เดิม ซึ่งแอปพลิเคชันจะจับเวลาในการทำกิจกรรมและเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานสากล หากผู้ถูกทดสอบที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ใช้เวลาในการทำกิจกรรมมากกว่า 13.5 วินาที บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้มมากกว่าคนปกติ จึงจำเป็นต้องระมัดระวัง หรือผู้ดูแลต้องเริ่มเฝ้าระวังมากขึ้น”   [caption id="attachment_67271" align="aligncenter" width="400"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption] [caption id="attachment_67274" align="aligncenter" width="400"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption] [caption id="attachment_67275" align="aligncenter" width="400"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption]   ปัจจุบัน Gunther-Janine ผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการ และอยู่ระหว่างทดสอบใช้งานจริงในอาสาสมัครเพื่อประเมินประสิทธิภาพการใช้งาน ดร.เปริน กล่าวว่า จุดเด่นของ Gunther-Janine คือ เป็นอุปกรณ์แจ้งเตือนเพื่อป้องกันการเคลื่อนไหวที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บและการหกล้มตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งหากเกิดเหตุหกล้มก็แจ้งเตือนได้ทันที ที่สำคัญต้นทุนอยู่ในราคาหลักพันเท่านั้น ซึ่งเป็นความตั้งใจของทีมวิจัยที่อยากให้อุปกรณ์มีราคาจับต้องได้ เข้าถึงได้ง่ายสำหรับประชาชน โดยในอนาคตทีมวิจัยมีแผนขยายผลการใช้งานสู่วัยทำงานที่กำลังเผชิญปัญหาออฟฟิศซินโดรม และขณะนี้ได้เริ่มทดลองใช้งานในอาสาสมัครกลุ่มคนทำงาน เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ท่าทางให้ถูกต้องตามสรีระร่างกายมากขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นได้รับผลตอบรับที่ดี “ทีมวิจัยมุ่งหวังว่า Gunther-Janine จะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานและทำกิจกรรมได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงและการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวผิดท่าและพลัดตกหกล้ม ขณะที่ครอบครัวก็อุ่นใจหากผู้สูงวัยต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง” สำหรับผู้ที่สนใจนวัตกรรม Gunther-Janine ติดต่อสอบถามได้ที่ คุณเปริน วันแอเลาะ โทรศัพท์ 0 2564 6500 หรืออีเมล GuntherIMU@mtec.or.th     เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. โดยศูนย์ TECE ผนึกพันธมิตร สัมมนา Next-Gen Thai Automotive & Parts แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต
 (วันที่ 2 เมษายน 2568) ณ อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี: ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย หรือ ทีอีซีอี (TECE) และผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC)  กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงานสัมมนา Next-Gen Thai Automotive & Parts ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 46 ซึ่งงานสัมมนาในวันนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต รวมถึงแนวทางการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างเข้มแข็ง ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), การพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะ (AI), การลดคาร์บอนสู่ Net Zero และการใช้พลังงานสะอาด การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อผู้ผลิตยานยนต์ แต่ยังครอบคลุมถึงระบบซัพพลายเชน ผู้ประกอบการ และแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่เราทุกคนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวทันกระแสโลก ในโอกาสนี้ ดร.สุมิตรา ยังได้แนะนำศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย หรือ ทีอีซีอี ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมกับบริบทของไทย ด้านการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับเทคโนโลยีและโอกาสทางธุรกิจ ด้านการพัฒนาบุคลากรและมาตรฐาน ผลักดันให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับยานยนต์แห่งอนาคต ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รอง ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) และ รอง ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) กล่าวถึงแนวโน้มประเทศไทยกับเทคโนโลยียานพาหนะสมัยใหม่ โดยยกตัวอย่างการขับเคลื่อน EV-INNOVATION พัฒนางานวิจัย และงานด้าน NQI ตามนโยบาย อว. For EV คุณปิยพงศ์ เปรมวรานนท์ หัวหน้าทีมวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC), นำเสนอผลงาน EV-Microbus โครงการพัฒนารถ EV Micro Bus ทดแทนรถสองแถว (E Songthaew) สำหรับพื้นที่ EEC ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) กล่าวถึงเทคโนโลยี AI สามารถเชื่อมโยงกับยานพาหนะสมัยใหม่ได้อย่างไร  พร้อมยกตัวอน่างการประยุกต์ใช้ AI ใน EV ของต่างประเทศ ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) กล่าวถึงนโยบาย Net Zero ส่งผลกับยานพาหนะสมัยใหม่แค่ไหน พร้อมยกตัวอย่าง นโยบาย 30@30 ซึ่งเป็นแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศ ด้วยการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือ รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 เป็นต้น นอกจากนี้งานสัมมนาดังกล่าว ยังได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมและนักวิจัยชั้นนำของประเทศที่จะมาร่วมแบ่งปันความรู้และแนวโน้มสำคัญเกี่ยวกับยานยนต์แห่งอนาคต โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่านจะได้อัปเดตความรู้จากการบรรยายที่เป็นประโยชน์ เช่น อัปเดตแนวโน้มยานยนต์สมัยใหม่, โอกาสสนับสนุนผู้ประกอบการ จากหน่วยงานสำคัญ เช่น ITAP, NIA  เสวนาหัวข้อ "How to Catch the Train: ไทยจะก้าวทันยานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างไร ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมไทย และนิทรรศการผลงานวิจัยด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากศูนย์วิจัยชั้นนำของประเทศ ได้แก่ MTEC, NECTEC และ ENTEC รวมทั้งการบริการวิศวกรรมจาก NFED อีกด้วย        
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ผนึกกำลัง สป.อว. และ สกสว. เปิดฉากอบรม “Empowering Local-Global Synergy” ปั้นบุคลากรเชี่ยวชาญสูง เสริมแกร่งธุรกิจไทยสู่สากล ขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก ด้วย วทน.
(วันที่ 1 เมษายน 2568) ณ โรงแรม ทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมกับ กองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กปว.) สำนักปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดพิธีเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการเข้มข้นและแผนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ (Empowering Local-Global Synergy Program) ซึ่งเป็นกิจกรรมการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลาง-ตะวันตก (Central-West Economic Corridor: CWEC) ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวดำเนินการภายใต้โครงการพัฒนาระบบกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค (NEC, NeEC, CWEC, SEC) ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพบุคลากรในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก ให้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง (Technology Transfer) จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับธุรกิจด้วยนวัตกรรมให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น การอบรมเชิงปฏิบัติการนี้จะเน้นการพัฒนาทักษะบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญสูง โดยเฉพาะในเทคโนโลยีเป้าหมาย เช่น เซนเซอร์, AI, ดิจิทัล, ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ และนาโนเทคโนโลยี นอกจากนี้ โครงการฯ ยังมุ่งสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ตลอดจนการบริหารจัดการอุทยานวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือระดับนานาชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดร.วัฒนจักร พุ่มวิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ กปว. สป.อว. กล่าวเปิดงานโดยเน้นย้ำถึงนโยบายของกระทรวง อว. ที่มุ่งพัฒนากำลังคน การวิจัย และการนำองค์ความรู้ วทน. ไปใช้ยกระดับเศรษฐกิจและสังคม โดย กปว. มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค โครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงทั้งด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรมการผลิต การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กปว. มุ่งส่งเสริมการบูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรมเข้ากับภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจในภูมิภาค เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ และหวังว่าการอบรมครั้งนี้จะนำไปสู่แนวทางการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม ต่อยอดสู่การปฏิบัติได้จริง และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ     ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับธุรกิจสู่ระดับโลก (Industrialist) นักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูง (Technologist) และผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจเทคโนโลยีและการตลาด (Innovation Builder) โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้เข้าอบรมเชิงปฏิบัติการใน 4 Module ได้แก่  Orientation & Gap Analysis Workshop: เริ่มต้นทำความเข้าใจโครงการ วิเคราะห์ศักยภาพ และวางเป้าหมาย Enhancing Potential Hard Skill & Soft Skill: เสริมสร้างศักยภาพ พัฒนาทักษะที่จำเป็น และคัดเลือกผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างความร่วมมือต่างประเทศ Filling the Gaps & Excursion/Working Aboard: เติมเต็มองค์ความรู้เฉพาะทาง รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ Synergizing Power: สร้างความร่วมมือภายใน (Internal Synergies) และคัดเลือกผู้แทน CWEC ก่อนนำไปสู่การผนึกกำลังร่วมกับเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค    การอบรมในครั้งนี้เป็น Module ที่ 1 Orientation & Gap Analysis Workshop ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นวิทยากรตลอดการอบรมทั้ง 3 วัน  ได้แก่ รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ดร.สุจิต พงษ์นุ่มกุล   อ.ไพบูลย์ พนัสบดี รศ.อรพิณ สันติธีรากุล ผศ.ดร.สาลินี สันติธีรากุล อ.สุดชาย สิงห์มโน คุณณัฐธิดา สงวนสิน ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง คุณระสิตา ถาวรานุรักษ์ เนื้อหาการอบรมครอบคลุมหัวข้อสำคัญ อาทิ Objective and Key Results (OKRs), Innovation Management, Design Thinking & Customer Journey, Strategic AI for Business Planning รวมถึงกิจกรรมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการแนะนำแหล่งทุนสนับสนุนจาก สวทช. ซึ่งการอบรมภายใต้โครงการจะแล้วเสร็จครบทั้ง 4 Module ในช่วงเดือนกันยายน 2568   “โครงการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูงเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคกลาง-ตะวันตก (Empowering Local-Global Synergy Program) มุ่งหวังว่าจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง และยกระดับระบบวิจัยและนวัตกรรมในพื้นที่ CWEC ให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน” ดร.อดิสร กล่าวทิ้งท้าย 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. คว้า 2 รางวัลผลิตสื่อสร้างสรรค์จากเวที Commu Max Competition จากผลงาน Thailand’s Food Bank และ Innovation Grows@TSP
(1 เมษายน 2568) ณ ห้องประชุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อาคาร วช.1 ชั้น 2 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) - ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. นำทีมวิจัยนโยบาย ทีมสื่อสารการตลาด อวท. และทีมประชาสัมพันธ์ สวทช. เข้ารับรางวัลนวัตกรรมการสื่อสารสร้างสรรค์ Commu Max Competition จาก ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) รางวัลนี้จัดขึ้นภายใต้โครงการต่อยอดแซนด์บ็อกซ์นวัตกรรมการสื่อสารสำหรับนโยบายภาครัฐ (ระยะที่ 2) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และดำเนินโครงการโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำหรับปีนี้ สวทช. คว้า  2 รางวัล จากการผลิตสื่อสร้างสรรค์คลิปวิดีโอสั้น ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ การสร้างการเข้าถึงดีเด่น (Outstanding Engagement Excellence Award) จากผลงาน “ธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank)” และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การสื่อสารผลงานวิจัยดีเด่น (Outstanding Research Communication Award) จากผลงาน “Innovation Grows@TSP” รางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ สวทช. ในการใช้สื่อสร้างสรรค์เพื่อขับเคลื่อนการสื่อสารนโยบายและนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เข้าถึงสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลงานคลิปวิดีโอสั้น “ธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank)” สร้างสรรค์โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. และทีมวิจัยนโยบายในเรื่องโครงการการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย ร่วมกับบริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยมุ่งสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมทัศนคติที่ดีต่อโครงการ รวมถึงกระตุ้นการมีส่วนร่วมในการบริจาคอาหารส่วนเกิน  ด้วยวลีเด็ด “รู้หรือไม่? อาหาร 1 ใน 3 ที่ผลิตในไทย ถูกทิ้งไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์” เพื่อสะท้อนความจริงที่ว่า ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังขาดแคลนอาหาร กลับมีอาหารส่วนเกินจำนวนมหาศาลถูกทิ้งเป็นขยะ ธนาคารอาหารของประเทศไทยจึงเข้ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ ด้วยระบบบริหารจัดการอาหารที่มีประสิทธิภาพ ช่วยกระจายทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดขยะอาหารและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ของคนไทยและโลกของเรา ความสำเร็จของผลงานนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศในการสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผู้บริจาคและชุมชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลงานคลิปวิดีโอ สั้น “Innovation Grows@TSP นวัตกรรมดี ๆ เกิดขึ้นได้ทุกวัน” สร้างสรรค์โดยทีมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) และฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. ผลงานนี้นำเสนอบริการและศักยภาพของ อวท. ในฐานะ “ระบบนิเวศนวัตกรรมครบวงจร” และศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของประเทศ เรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของบริษัทผู้เช่าภายใน อวท. ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยได้รับการสนับสนุนจาก อวท. ในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การให้คำปรึกษาและถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีแห่งชาติ รวมถึงบริการวิเคราะห์ทดสอบด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากลโดยผู้เชี่ยวชาญของ สวทช. ตลอดจนมาตรการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งคลิปวิดีโอนี้ตอกย้ำแนวคิด “นวัตกรรมดีๆ เกิดขึ้นได้ทุกวัน” พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญของ สวทช. ผ่านการดำเนินงานของ อวท. ในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและผลักดันให้ระบบนิเวศนวัตกรรมของไทยเติบโตอย่างยั่งยืน รางวัลนวัตกรรมการสื่อสารสร้างสรรค์ Commu Max Competition เป็นกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และดำเนินโครงการโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการต่อยอดแซนด์บ็อกซ์นวัตกรรมการสื่อสารสำหรับนโยบายภาครัฐ (ระยะที่ 2) เพื่อเป็นการส่งเสริมและเปิดโอกาสและเป็นเวทีสำหรับการแสดงผลงานทางด้านการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐที่มีผลงานโดดเด่นด้านการสื่อสารนโยบายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ชมคลิป ธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) คลิกลิงก์: https://www.facebook.com/share/v/1Q6oF4zJbM/ ชมคลิป Innovation Grows@TSP คลิกลิงก์: https://youtu.be/gai7DxtfZEQ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วม UNFPA ผนึกพันธมิตร 8 หน่วยงาน เปิดตัวแพลตฟอร์ม SoSafe ยกระดับสุขภาพและความปลอดภัย ผ่านการพัฒนาชีวิตทุกช่วงวัย สำหรับทุกกลุ่ม ทุกเพศและทุกวัย
  วันที่ 28 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมปริ้น พาเลซ กรุงเทพ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ดร.จูลิตตา โอนาบันโจ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสันติธร ยิ้มละมัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ ร่วมกันลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม SoSafe ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ ความปลอดภัย และการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทย  ดร.จูลิตตา โอนาบันโจ ผู้อำนวยการกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNFPA Thailand) กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวางกรอบความร่วมมือและสร้างพันธมิตรที่เข้มแข็งในการพัฒนาแพลตฟอร์ม SoSafe ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรในด้าน สุขภาพมารดา สุขภาพทางเพศ อนามัยการเจริญพันธุ์ และสิทธิทางเพศภาวะ การบูรณาการแพลตฟอร์ม SoSafe เข้ากับระบบสนับสนุนด้านสุขภาพ สังคม และชุมชน การสนับสนุนทรัพยากรเพื่อให้ SoSafe สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การส่งเสริมการพัฒนานโยบายที่ช่วยให้ชุมชนมีความปลอดภัยและครอบคลุมมากขึ้น ทั้งนี้ ภาคีที่ร่วมลงนามในข้อตกลงนี้ตกลงที่จะร่วมมือกันในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การให้คำปรึกษา และการบูรณาการทรัพยากร เพื่อให้แพลตฟอร์ม SoSafe สามารถดำเนินการและขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดกลไกการประชุมเพื่อติดตามผลและวางแผนความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง โดยข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้มีระยะเวลา 3 ปี มีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการนำเทคโนโลยีและแนวทางการพัฒนาแบบบูรณาการมาใช้ ภายใต้แผนดำเนินการ SoSafe จะเริ่มนำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือเขตที่มีประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนมาก นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างระบบสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม โดย เฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แพลตฟอร์ม SoSafe จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยบูรณาการบริการด้านสังคม สุขภาพ และความปลอดภัยให้เป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน นายณพงศ์ วาณิชยพงศ์ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส หน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. กล่าวในการเสวนาเรื่อง “พันธกิจและแนวทางเชิงนโยบายขับเคลื่อนระบบแพลตฟอร์ม SoSafe” ว่า แพลตฟอร์ม SoSafe เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจาก Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง โดย SoSafe จะเป็นช่องทางในการรับแจ้งปัญหาสังคม เช่น การตั้งครรภ์ไม่พร้อม การละเมิดทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัว และปัญหาสังคมอื่น ๆ ปัจจุบันพร้อมใช้งานใน 15 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร , ลำพูน , พะเยา , แม่ฮ่องสอน , แพร่ , อ.เชียงของ เชียงราย , ขอนแก่น , อุดรธานี , ร้อยเอ็ด , สิงห์บุรี , สมุทรปราการ , ปัตตานี , สงขลา , ภูเก็ต , และเทศบาลนครยะลา ประชาชนที่ต้องการแจ้งปัญหาสามารถเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชัน Line @SoSafe จากนั้นระบุตำแหน่งพิกัด พร้อมเลือกประเภทปัญหา โดยปัญหาจะถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป การลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาแพลตฟอร์มที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชน ผ่านการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมที่ยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
TAIST-Science Tokyo: Transforming Workforce Development Through AI in Education
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ณ ห้อง CC-403 ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโครงการ TAIST-Science Tokyo ได้จัดงานสัมมนา 'TAIST-Science Tokyo: Transforming Workforce Development Through AI in Education' งานสัมมนานี้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 (NAC2025) งานนี้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการศึกษา สถาบันวิจัย และภาคอุตสาหกรรม โดยเน้นบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการพัฒนาระบบการศึกษาและเตรียมความพร้อมให้กับกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคต การสัมมนาเริ่มต้นด้วยกล่าวเปิดงานโดย ดร. สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา สวทช. ซึ่งเน้นถึงความสำคัญของ AI ในการขับเคลื่อนระบบการศึกษาและเตรียมความพร้อมของกำลังคนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พร้อมทั้งขอบคุณผู้เชี่ยวชาญและผู้เข้าร่วมงานที่มาร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการใช้ AI เพื่อพัฒนากำลังคน ช่วงแรกของงานสัมมนาเป็นการอภิปรายกลุ่มในหัวข้อการนำ AI มาใช้พัฒนากำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยมีนายพรเทพ มีทุนกิจ จากส่วนทุนรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวง อว. ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ การอภิปรายได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร. จินตวีร์ คล้ายสังข์ จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองศาสตราจารย์ ดร. ประมา ศาสตระรุจิ ผู้อำนวยการกองบริหารการวิจัยและนวัตกรรม 3 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ลิขิต ปรียานนท์ รองคณบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร. เทพชัย ทรัพย์นิธิ หัวหน้ากลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) การอภิปรายครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาทักษะด้านการศึกษาและการเตรียมความพร้อมของกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคต รองศาสตราจารย์ ดร.ประมา ศาสตระรุจิ กล่าวว่า กระทรวง อว. ได้กำหนดแนวทางพัฒนา AI ของประเทศไทยระหว่างปี 2022-2027 ผ่าน นโยบาย อว. for AI ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นการพัฒนา 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาจริยธรรมและกฎระเบียบเกี่ยวกับ AI การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI การพัฒนากำลังคนด้าน AI การวิจัยและนวัตกรรม AI และการส่งเสริมนวัตกรรม AI ในองค์กรต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมหลัก เช่น ระบบราง ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ นอกจากนี้ กระทรวง อว. ยังสนับสนุน ระบบ Credit Bank ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริม การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และการพัฒนาอาชีพ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิตจากหลักสูตรหรือการฝึกอบรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันฝึกอบรม เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาทักษะและปรับตัวให้ทันกับความต้องการของตลาดแรงงานและอุตสาหกรรมที่ใช้ AI ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพแรงงานไทยให้สามารถแข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศาสตราจารย์ ดร. จินตวีร์ คล้ายสังข์ ได้กล่าวถึง Thai MOOC (Thailand Massive Open Online Course) ซึ่งเป็นโครงการที่รวบรวมหลักสูตรออนไลน์จากมหาวิทยาลัยและองค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนและเรียนได้ฟรีผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์จากทุกที่ทุกเวลา เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้ออนไลน์แบบเปิดกว้าง ให้ประชาชนทุกช่วงวัยเข้าถึงองค์ความรู้ได้อย่างสะดวกโดยไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่หรือเวลา อีกทั้งโครงการยังนำ เทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์และแนะนำหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคนตามความสนใจ ทักษะพื้นฐาน และเป้าหมายอาชีพ ทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการมากขึ้น เป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาตนเองให้กับประชาชนทุกกลุ่มอย่างไร้ขีดจำกัด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ลิขิต ปรียานนท์ กล่าวถึงบทบาทของอาจารย์ในยุค AI โดยเน้นว่า AI จะช่วยอาจารย์ในการทำงานต่าง ๆ เช่น การจัดทำแผนการสอน การให้คะแนน และการวิจัย อย่างไรก็ตาม ดร. ลิขิต ได้ย้ำว่าแม้ AI จะเข้ามาช่วยอาจารย์ในหลาย ๆ ด้าน แต่ยังคงมีทักษะบางอย่างที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ เช่น ทักษะด้านอารมณ์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ อาจารย์ในอนาคตจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนา soft skills เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ การสร้างสรรค์ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยี AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดร. เทพชัย ทรัพย์นิธิ กล่าวว่า สวทช. มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากำลังคนด้าน AI และขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI ให้เกิดการใช้งานในภาครัฐและเอกชน เช่น โครงการ AI Workforce Development ได้พัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบปรับตัว (Adaptive Education) อาทิ LEAD Platform สำหรับการเรียนรู้เชิงลึกด้าน AI BookRoll เครื่องมือสนับสนุนการศึกษาผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมการอ่าน KidBright แพลตฟอร์มการเรียนรู้ AI และ STEM สำหรับเยาวชน และ ABDUL Chatbot ระบบแชตบอทที่ช่วยตอบคำถามและสนับสนุนการเรียนรู้ นอกจากนี้ โครงการ Super AI ของ สวทช. ยังผลิตบุคลากร AI ครอบคลุมทุกระดับเพื่อตอบโจทย์การใช้งาน AI ในภาคการเงิน กฎหมาย ท่องเที่ยว การศึกษา เกษตร และอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การพัฒนากำลังคนด้าน AI มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น ศูนย์กลาง AI ในภูมิภาคอาเซียน ในช่วงที่สองของงานเป็นการนำเสนอผลงานวิจัยของศิษย์เก่าและนักศึกษาปัจจุบันจากโครงการหลักสูตร AIoT ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ AI ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ดร. ปิโยรส ตั้งธรรมธิติ ศิษย์เก่าโครงการจากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอเรื่อง "AI Localization: Streamline Communications through AI" และ Miss Zun Khet Wai ศิษย์เก่าโครงการจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเสนอเรื่อง "Short-Term Sun Coverage Prediction Using Cloud Movement Pattern Feature in PV System" นายจักรภัทร์ โชคชัยสิริ นักศึกษาปัจจุบันจากโครงการหลักสูตร AIoT SIIT นำเสนอเรื่อง "Enhancing Iris Verification through Multiple Distance Measurement Fusion and Enrollment Screening Mechanism" และ Mr. Rady LY นักศึกษาปัจจุบันจากโครงการหลักสูตร AIoT มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเสนอเรื่อง "3D LiDAR-Based Human Tracking for Dynamic Indoor Environments" งานวิจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของ AI ในด้านการสื่อสาร พลังงานหมุนเวียน ระบบความปลอดภัยทางชีวมิติ และการติดตามบุคคลในสภาพแวดล้อมภายในอาคาร การสัมมนานี้จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้าน AI ในการพัฒนาระบบการศึกษา และเตรียมความพร้อมให้กับกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคต โดยมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ AI เพื่อยกระดับการเรียนการสอน ตลอดจนเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตในภาคการศึกษา ทั้งนี้ โครงการ TAIST-Science Tokyo คาดหวังว่าผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ในการพัฒนาและยกระดับระบบการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนให้สามารถปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดงานประชุมวิชาการประจำปี ‘NAC2025’ ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน
(27 มีนาคม 2568) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2568 (NSTDA Annual Conference 2025 : NAC2025) การประชุมจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน” (AI-driven Science and Technology for Sustainable Thailand” เพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานวิจัย สร้างความตระหนัก สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI โดยมุ่งเน้นการนำเสนอความก้าวหน้าและผลกระทบของเทคโนโลยี AI ต่อการพัฒนาประเทศในหลากหลายมิติ อาทิ ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการศึกษา งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 -28 มีนาคม 2568 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมีผู้ร่วมรับเสด็จฯ ประกอบด้วย นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายสุจินต์ หลีสกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี พ.อ.ธวัชชัย วรรณดิลก รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 พล.ต.ต. ยุทธนา จอนขุน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล  ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมอดีตผู้บริหาร คณะผู้บริหารและพนักงานกระทรวง อว. และ สวทช. นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กราบบังคมทูลรายงานว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของกระทรวง อว. ที่ดำเนินงานตามพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 34 ปี โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใต้แผนงานการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (Science and Technology Implementation for Sustainable Thailand) ในปีงบประมาณ 2567 สวทช. พัฒนางานวิจัยเชิงรุกที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง โดยมีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 8 ล้านคน ครอบคลุมหน่วยงานกว่า 40,000 แห่ง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมกว่า 20,000 ล้านบาท และส่งผลให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการผลิตและบริการกว่า 3,600 ล้านบาท อีกทั้งยังมีการอบรมพัฒนาเกษตรกรไทยกว่า 10,000 คน ด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ สวทช. มีบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 724 บทความ คำขอจดทรัพย์สินทางปัญญา 247 คำขอ และได้รับรางวัลทั้งในระดับชาติและนานาชาติ 78 รางวัล นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแก่เยาวชนกว่า 10,000 คน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กราบบังคมทูลรายงานว่า ปีนี้ สวทช. นำเสนอผลงานวิจัยและพัฒนาด้าน AI และการบูรณาการกับศาสตร์แขนงต่าง ๆ ภายใต้การดำเนินงานของ 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติ ได้แก่ BIOTEC, MTEC, NECTEC, NANOTEC และ ENTEC เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและประชาชน นอกจากนี้ สวทช. ยังจัดการสัมมนาพิเศษ “Decoding Thailand’s AI Future: Strategy for Competitive Edge” ในวันที่ 26 มีนาคม 2568 โดยร่วมมือกับ Techsauce เชิญวิทยากรชั้นนำมาร่วมถอดรหัสและวางยุทธศาสตร์เส้นทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับประเทศไทย ครอบคลุมการวางรากฐานนโยบาย ค้นหาโอกาส Quick Win ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เรียนรู้บทเรียนจากทั่วโลกเพื่อกำหนดทิศทางที่เหมาะสมกับไทย และเจาะลึกปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านกรณีศึกษาจากภาคธุรกิจชั้นนำ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านผลงานวิจัยของ สวทช. ประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและผลงานเด่นของ สวทช. จำนวน 11 บูท ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร  ผลงานวิจัยของ สวทช. กว่า 100 บูท รวมถึงบูทจากหน่วยงานพันธมิตรอีก 40 บูท ทั้งหมดนี้มุ่งเน้นการพัฒนา AI เพื่อเพิ่มศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมของประเทศ สวทช. ยังได้จัดสัมมนาวิชาการกว่า 35 หัวข้อ  โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI มาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ขณะเดียวกัน ในส่วนของกิจกรรม OPEN HOUSE ได้จัดเส้นทางพิเศษ 9 เส้นทาง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงห้องปฏิบัติการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ รวมถึงกิจกรรมพิเศษสำหรับเด็กและเยาวชนที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจด้าน AI ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้กราบบังคมทูลเบิกคณะผู้เข้ารับพระราชทานรางวัลในกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการวิจัย ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้การสนับสนุนและส่งเสริมเพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการประยุกต์ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยมีผู้เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท รับพระราชทานถ้วยรางวัลพระราชทานและเกียรติบัตร จำนวนทั้งสิ้น 21 ราย ดังนี้ ผู้ชนะเลิศการประกวดแข่งขันสิ่งประดิษฐ์ระดับชาติ NSTDA Micro-mouse contest จำนวน 1 ทีม จากโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้ชนะเลิศการแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 16 ผู้ชนะเลิศการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 26 ผู้ชนะเลิศการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 27 จากนั้นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2568 และทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “โครงการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” และนิทรรศการความก้าวหน้างานวิจัยพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. สำหรับนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ มีการจัดแสดงโครงการสำคัญ อาทิ “โครงการ National AI Strategy” หรือ “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570)” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และนําไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่าน 5 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน ทั้งนี้ แผนปฏิบัติการฉบับนี้ได้ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 การส่งเสริมทักษะโค้ดดิ้งเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังและนักเรียนพิการตามพระราชดำริ การพัฒนาทักษะด้านโค้ดดิ้งให้กับผู้ต้องขังและนักเรียนพิการเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างโอกาสทางการศึกษาและอาชีพอย่างเท่าเทียม ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงส่งเสริมการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ และ สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการใน 10 โรงเรียนนำร่องตั้งแต่ปี 2561 โดยใช้บอร์ด KidBright เป็นเครื่องมือพัฒนาทักษะ ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงการสร้างสรรค์โครงงานสมองกลฝังตัว และต่อมาในปี 2567 ได้ขยายขอบเขตสู่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ผ่าน KidBright AI Platform และบอร์ด KidBright μAI เพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาโครงงานที่ช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน และแข่งขันในเวทีระดับประเทศและนานาชาติ ในขณะเดียวกัน มูลนิธิฯ ยังร่วมกับกรมราชทัณฑ์ และ เนคเทค สวทช. พัฒนาโครงการเกษตรอัจฉริยะสำหรับผู้ต้องขัง โดยอบรมหลักสูตร "เกษตรอัจฉริยะ: โอกาสในการสร้างอาชีพใหม่" ให้กับผู้ต้องขัง 80 คน ในเรือนจำต้นแบบ 2 แห่งที่จังหวัดลำปางและหนองบัวลำภู ซึ่งมุ่งเน้นทักษะการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบเกษตรอัจฉริยะ ผ่านการใช้งานอุปกรณ์ HandySense ระบบไฟ ระบบน้ำ และการคำนวณปริมาณน้ำในแปลงเกษตร เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพหลังพ้นโทษและนำเทคโนโลยีมาสร้างความยั่งยืนในชีวิตต่อไป เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ (MobiiScan) เพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะตามพระราชดำริฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ (MobiiScan) ซึ่งเป็นผลงานวิจัยและพัฒนาของ สวทช. ให้แก่หน่วยงานที่ดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่และผู้ที่มีความผิดปกติบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ จำนวน 3 หน่วยงาน ผ่านมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ (1) ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2) ศูนย์ตะวันฉาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ (3) ศูนย์พัฒนลักษณ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สำหรับใช้ในการตรวจวินิจฉัย วางแผนการผ่าตัด และติดตามการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีคุณภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด Hydrogen Economy และบทบาทของ สวทช. ต่อการพัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจน สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ได้พัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจนแบบองค์รวม เช่น ไฮโดรเจนชีวภาพ (Biohydrogen) ที่ผลิตจากก๊าซชีวภาพ ของเสียทางการเกษตร น้ำเสีย หรือชีวมวล ซึ่งช่วยลดของเสียและสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน อีกทั้งยังศึกษาการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) จากกระบวนการแยกน้ำด้วยไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด งานวิจัยนี้สอดคล้องกับแนวทาง BCG Economy และสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน การขนส่ง และยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ปัจจุบัน ENTEC สวทช. กำลังขยายกำลังการผลิตและร่วมมือกับสมาคมไฮโดรเจนประเทศไทย รวมถึงบริษัทเอกชน เช่น โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย และบางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส เพื่อผลักดันการใช้งานจริงอย่างต่อเนื่อง การยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยด้วยการแพทย์จีโนมิกส์ การแพทย์จีโนมิกส์เป็นแนวทางการรักษาสมัยใหม่ที่ใช้ข้อมูลพันธุกรรมของแต่ละบุคคลในการวินิจฉัยและรักษาโรคอย่างแม่นยำ ลดการลองผิดลองถูกและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 - 2567 โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็นผู้นำด้านนี้ในอาเซียน และให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง โดยมุ่งเน้นใน 5 กลุ่มโรคหลัก ได้แก่ โรคหายาก โรคมะเร็ง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคติดเชื้อ และเภสัชพันธุศาสตร์ สวทช. มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลขนาดใหญ่ เชื่อมโยงข้อมูลจีโนมให้แพทย์นำไปใช้จริง กระจายโอกาสทางการแพทย์สู่ภูมิภาค และเสริมศักยภาพบุคลากรด้านสาธารณสุข เทคโนโลยีนี้ช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษา ป้องกันโรคล่วงหน้า และลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และช่วยวางแผนการมีบุตรที่ปลอดภัย ด้วยการสนับสนุนจาก สวทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้จะช่วยให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการแพทย์จีโนมิกส์ในภูมิภาค และสร้างระบบสาธารณสุขที่ทันสมัยเพื่อประชาชน Gunther IMU และ Janine Application อุปกรณ์และแอปพลิเคชันแจ้งเตือนท่าทางและการพลัดตกหกล้ม  Gunther IMU เป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่ทำหน้าที่ตรวจจับและบ่งชี้การเคลื่อนไหวด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ ทีมวิจัยได้ออกแบบให้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สามารถติดตั้งร่วมกับเสื้อผ้าได้อย่างกลมกลืน ทำให้ผู้ใช้สามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่รู้สึกรำคาญหรือเกะกะ อุปกรณ์ Gunther IMU นี้จะทำงานคู่กับ Janine Application ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่เอ็มเทคพัฒนาขึ้น ทำหน้าที่แสดงผลท่าทางและการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานแบบทันท่วงที โดยจะแจ้งเตือนทันทีเมื่อตรวจพบว่า ผู้ใช้อยู่ในท่าทาง หรือมีการเคลื่อนไหวที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับท่าทางให้ถูกต้องและปลอดภัยได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ ระบบยังแจ้งเตือนผู้ดูแลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มที่ต้องการป้องกันอาการบาดเจ็บจากท่าทางผิดปกติ โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือเชิงบูรณาการระหว่างเอ็มเทค สวทช. กับเครือข่ายพันธมิตรด้านการวิจัยและสาธารณสุขชั้นนำของประเทศ ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต รองรับสังคมผู้สูงอายุ และส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกัน นวัตกรรมระบบบำบัดน้ำเสียสำหรับโรงเลี้ยงของกองพันทหารราบ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า สวทช. โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) พัฒนานวัตกรรมระบบบำบัดน้ำเสียสำหรับโรงเลี้ยงของกองพันทหารราบ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำเสียที่ยังไม่สมบูรณ์ของโรงเลี้ยง ระบบประกอบด้วยการรวบรวมน้ำเสีย คัดแยกเศษอาหาร ดักไขมัน และ Moving Bed Biofilm Reactor (MBBR) ที่ใช้ตัวกลางชีวภาพเคลือบนาโนวัสดุเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายสารอินทรีย์ พร้อมนวัตกรรมเคลือบหัวเติมอากาศเพื่อลดการอุดตันและยืดอายุการใช้งาน ระบบนี้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดต้นทุน มีเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์เชื่อมต่อผ่าน IoT platform สำหรับติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวอย่างการนำนวัตกรรมวิจัยไปใช้แก้ปัญหาจริงที่พร้อมขยายผลสู่หน่วยงานอื่นที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่และพลังงาน ข้าวสายพันธุ์ใหม่กับการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตข้าวพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับกรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินโครงการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ผ่านการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ข้าวสายพันธุ์ใหม่ 6 สายพันธุ์ ควบคู่กับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตามมาตรฐาน GAP Seed เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ต่อไร่ และสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีไว้ใช้เองได้  โดยมีเกษตรกรเป้าหมาย 510 ราย จาก 11 กลุ่ม ในพื้นที่ อ.ท่าตูม และ อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ และ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม โครงการนี้ช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนการใช้เมล็ดพันธุ์ต่อไร่ พัฒนาแปลงต้นแบบผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี และขยายโอกาสทางการตลาดผ่านข้าวสายพันธุ์ใหม่ เช่น หอมสยาม 2 ที่ให้ผลผลิตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับพันธุ์เดิม รวมถึงข้าวสีโภชนาการสูงอย่าง นิลละมุน แดงจรูญ และไรซ์เบอร์รี่ 2 ที่ตอบโจทย์ตลาดข้าวเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ โครงการยังพัฒนาเกษตรกรต้นแบบที่สามารถตรวจสอบแปลงนาและผลิตข้าวคุณภาพสูงได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับการปลูกข้าวในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ทั้งในด้านผลผลิต คุณภาพ และความสามารถในการพึ่งพาตนเองของเกษตรกร กิจกรรมสาธิตหุ่นยนต์ NSTDA Micro-Mouse ‘ทีม BRR ROBOT’ จากโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จ.ฉะเชิงเทรา แชมป์การแข่งขันหุ่นยนต์นำทางในเขาวงกต NSTDA Micro-Mouse Contest ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นโดย สวทช. ระหว่างวันที่ 15 - 18 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 404 ทีมจากทั่วประเทศ กิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้าน AI และนวัตกรรม ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านเวิร์กช็อปและการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับ AI ภายในงาน NAC 2025 เยาวชนสามารถทดลองเล่นและเรียนรู้จากหุ่นยนต์นำทางในเขาวงกต NSTDA Micro-Mouse ซึ่งจะช่วยเสริมทักษะด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และนวัตกรรม โดยกิจกรรมสาธิตจะจัดขึ้นที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 และ 28 มีนาคมตลอดทั้งวัน งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 28 มีนาคม 2568 เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานของบุคลากรวิจัย เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเรียนรู้ร่วมกันกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ภายในงานยังมีกิจกรรม NAC Market 2025 ตลาดนัดจำหน่ายสินค้านวัตกรรมจากงานวิจัย รวมถึงสินค้าชุมชนจากเครือข่าย สวทช. ในราคาพิเศษ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรีตลอดงาน ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“FoodSERP” ติดปีกอุตสาหกรรมความงาม เพิ่มมูลค่าข้าวไทยด้วยเทคโนโลยีการหมักแบบแม่นยำ สร้างนวัตกรรม “ส่วนผสมฟังก์ชัน” ผลักดันเวชสำอางไทยตอบโจทย์ตลาด
(วันที่ 26 มีนาคม 2568) ภายในงานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2568 (NAC2025) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) และสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS) ชูตัวอย่างนำร่องความร่วมมือระหว่างผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และนักวิจัย ในการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไทย โดยอาศัยการวิจัยและเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรชีวภาพของประเทศ โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของไทย (Rice Biome) นักวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการผลิตสารประกอบฟังก์ชันจากข้าวผ่านเทคโนโลยีการหมักแบบแม่นยำ ทำให้ได้สารสกัดจากข้าวเครื่องหมายการค้า ARAMARA ที่เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับนวัตกรรมเวชสำอางต่าง ๆ ของผู้ประกอบการ อาทิ เช่น โลชันและเอสเซนส์ ช่วยผลักดันการใช้ประโยชน์ของข้าวไทยในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย พร้อมเชื่อมโยงผู้ปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าวกับสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ข้าวไทยให้ยั่งยืนอีกทางหนึ่ง ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยว่า สวทช. มุ่งขับเคลื่อนการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยหนึ่งในกลไกสำคัญคือ แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) ซึ่งมีพันธกิจในการให้บริการวิจัยและนวัตกรรม การให้บริการการผลิตภายใต้มาตรฐานสากล รวมถึงการวิเคราะห์และทดสอบอาหาร เครื่องสำอาง และส่วนผสมฟังก์ชัน ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าแบบครบวงจร (One-Stop Service) ซึ่งได้มีความร่วมมือกับสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS) ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับคุณค่าข้าวไทยสู่ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง โดยนำร่องพัฒนากระบวนการผลิตสารประกอบฟังก์ชันจากข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ด้วยเทคโนโลยีการหมักแบบแม่นยำ (precision fermentation) ร่วมกัน และต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามของไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม โดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพของประเทศในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน “ตลาดความงามและสุขภาพมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้การพัฒนาและนวัตกรรมทั้งกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ให้มีความโดดเด่น และสร้างความแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในท้องตลาด ซึ่งปัจจุบันกระแสความนิยมมุ่งสู่การใช้วัตถุดิบที่เป็นธรรมชาติ ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงกรรมวิธีการผลิตที่เป็นเทคโนโลยีสีเขียว (Green technology) เทคโนโลยีชีวภาพจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (bioproducts) โดยอาศัยหลักการแปรสภาพทางชีวภาพ (biotransformation) ด้วยจุลินทรีย์ ซึ่งเทคโนโลยีการหมักแบบแม่นยำ (precision fermentation) ถือเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่มีศักยภาพสูงที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มมูลค่าของวัตถุดิบข้าวไทยเพื่อพัฒนาและนวัตกรรมกระบวนการผลิตส่วนประกอบฟังก์ชันสำหรับเครื่องสำอางในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (skin care product) โดย FoodSERP ถือเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการทำงานร่วมกันกับสมาคม TCOS ดังกล่าว ซึ่งตอบโจทย์ มิติสร้างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามกลยุทธ์ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช.” ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (Thai Cosmetic Cluster: TCOS) และกรรมการผู้จัดการบริษัท สยาม เนเชอรัล โปรดักซ์ จำกัด เน้นถึงความสำคัญของการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยด้วยวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดสากล และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ โดยนวัตกรรมเวชสำอางจากข้าวไทย ภายใต้เครื่องหมายทางการค้า “ARAMARA” เป็นนวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติจากข้าวหอมมะลิอินทรีย์และต้นข้าวอ่อนหมัก (Rice ferment filtrate) ที่มีเอกลักษณ์ ได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีสีเขียวที่ผนวกเทคโนโลยีการหมักแบบแม่นยำ เข้ากับกระบวนการสกัดและกระบวนการปลายน้ำที่ไม่ใช้สารเคมีหรือความร้อน ทำให้มีคุณสมบัติที่ดีและโดดเด่นเหมาะกับการนำไปใช้เป็นส่วนประกอบฟังก์ชันในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งสารสกัด “ARAMARA” ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สารช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดเลือนริ้วรอย รวมถึงมีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ก่อโรคผิวหนัง ปัจจุบัน บริษัทได้ต่อยอดพัฒนาสารสกัด “ARAMARA” ไปใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ซึ่งได้รับการจดแจ้งผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ดร.เอจจี้ (Dr. Agei)” เพื่อการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ “ผลงานที่พัฒนาขึ้นดังกล่าว ได้ยื่นจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร ภายใต้ความร่วมมือระหว่างทีมวิจัยจากโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (BBF) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. และบริษัท สยาม เนเชอรัล โปรดักซ์ จำกัด โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ประเภทแผนธุรกิจเพื่อการขยายโอกาสสินค้าข้าว จากกองพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว กรมการข้าว โดยนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปต่อยอดสู่โอกาสทางธุรกิจ”
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เชิญร่วมงานประชุมวิชาการประจำปี “NAC2025” ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน
(เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญทุกภาคส่วน ร่วมงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 (20th NSTDA Annual Conference: NAC2025) ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน: AI-driven Science and Technology for Sustainable Thailand” ระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม 2568 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี  โดยงานประชุมวิชาการ NAC2025 วันนี้ เป็นการเปิดให้ทุกภาคส่วนเข้าร่วมสัมมนาพิเศษ “Decoding Thailand’s AI Future: Strategy for Competitive Edge ซึ่ง สวทช. ผนึกกำลังกับ Techsauce เชิญวิทยากรชั้นนำของประเทศ อาทิ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบัน TDRI ดร.พชร อารยะการกุล CEO, Bluebik Group ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ สถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future) และ CEO, บริษัท Vialink นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ Head of Nationwide Operations and Support Business Unit – AIS ดร.สุปิติ บูรณวัฒนาโชค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท EOS Orbit และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ร่วมเสวนาร่วมถอดรหัสและวางยุทธศาสตร์เส้นทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่การวางรากฐานนโยบาย ค้นหาโอกาส Quick Win ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เรียนรู้บทเรียนจากทั่วโลกเพื่อกำหนดทิศทางที่เหมาะสมกับไทย เจาะลึกปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านกรณีศึกษาจากภาคธุรกิจชั้นนำ รวมถึงตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI จริงในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อเป็นเวทีเพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานวิจัย สร้างความตระหนัก สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI โดยมุ่งเน้นการนำเสนอความก้าวหน้าและผลกระทบของเทคโนโลยี AI ต่อการพัฒนาประเทศในหลากหลายมิติ อาทิ ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการศึกษา ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สวทช. เป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ในการขับเคลื่อนการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน หรือ S&T Implementation for Sustainable Thailand ด้วยตระหนักดีว่า วทน. เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเป็นขุมพลังในการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยอย่างทั่วถึง และสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพในการแข่งขันให้กับประเทศ การจัดงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. (NSTDA Annual Conference: NAC) จึงเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญที่ สวทช. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นเวทีระดับประเทศในการนำเสนอความก้าวหน้าทาง วทน. ที่ สวทช. และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย ซึ่งในปีนี้จัดภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน”(AI-driven Science and Technology for Sustainable Thailand) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้ งานวิจัยและพัฒนาด้าน AI แนวทางการบูรณาการเข้ากับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแขนงต่าง ๆ ภายใต้การดำเนินงานของ 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติภายใต้สังกัด สวทช. ได้แก่ BIOTEC, MTEC, NECTEC, NANOTEC และ ENTEC เพื่อประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและประชาชน รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนด้าน AI เพื่อรองรับความต้องการตลาดแรงงานและสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสอดคล้องกับนโยบาย อว.For AI ของกระทรวง อว. “ในโอกาสนี้ สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเปิดการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 และทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” ในวันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2568 เวลา 09.00-14.00 น.” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว ทั้งนี้งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. หรืองาน NAC2025 ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญที่ สวทช. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นเวทีระดับประเทศในการนำเสนอความก้าวหน้าทาง วทน. ที่ สวทช. และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนประเทศ เพื่อนำเสนอองค์ความรู้ งานวิจัยและพัฒนาด้าน AI แนวทางการบูรณาการเข้ากับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแขนงต่าง ๆ ภายในงานมีการสัมมนาวิชาการ 35 หัวข้อ นิทรรศการผลงานวิจัยกว่า 100 บูธ แสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI จาก สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม OPEN HOUSE เปิดห้องปฏิบัติการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ 2 วัน (26 และ 28 มีนาคม 2568) วันละ 9 เส้นทาง อาทิ กลุ่มเกษตรอัจฉริยะ, เครื่องสำอางเพื่ออนาคต, Wellness Tech และอาหารและอุตสาหกรรมชีวภาพ กิจกรรมเยาวชนสามารถมาทดลองเล่นและเรียนรู้ได้ในงาน คือ หุ่นยนต์นำทางในเขาวงกต NSTDA Micro-Mouse ที่จะช่วยส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และนวัตกรรม บนสนามจริง ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 และ 28 มีนาคม 2568 ตลอดวัน เป็นต้น ภายในงานยังมีกิจกรรม NAC Market 2025 ตลาดนัดจำหน่ายสินค้านวัตกรรมจากงานวิจัย รวมถึงสินค้าชุมชนจากเครือข่าย สวทช. ในราคาพิเศษ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรีตลอดงาน ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและลงทะเบียนร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ www.nstda.or.th/nac/ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2564 8000
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์