ผลการค้นหา :

เปิดรับสมัครทุน NSTDA-SINGA เรียนต่อปริญญาเอก 4 ปี ที่สิงคโปร์ ประจำปี 2025
เปิดรับสมัครทุน NSTDA-SINGA เรียนต่อปริญญาเอก 4 ปี ที่สิงคโปร์ ประจำปี 2025 ส่งใบสมัครถึง 25 ธันวาคม 2024
**สำหรับนักศึกษาสัญชาติไทย ใกล้หรือสำเร็จการศึกษาในระดับ ป.ตรี ป.โท กำลัง/เคยรับทุน สวทช.หรือ Alumni นักศึกษาทุน สวทช. ที่สนใจศึกษาต่อระดับปริญญาเอก (อยู่ในเครือข่าย สวทช.)
NSTDA-SINGA Scholarships (ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ Singapore International Graduate Award (SINGA)) คัดเลือกผู้มีศักยภาพสูงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกกับสถาบันการศึกษาพันธมิตรของโครงการ ได้แก่
Agency for Science, Technology & Research (A*STAR) https://www.a-star.edu.sg/Scholarships/for-graduate-studies/singapore-international-graduate-award-singa/a-star-supervisors-projects
Nanyang Technological University (NTU), https://shorturl.asia/jug4M
The National University of Singapore (NUS) https://nusgs.nus.edu.sg/programmes/
The Singapore University of Technology and Design (SUTD) https://shorturl.asia/tcCs8
Singapore Management University (SMU) https://computing.smu.edu.sg/phd
Singapore Institute of Technology (SIT) https://www.singaporetech.edu.sg/research
(more…)
ปฏิทินกิจกรรม

เปิดรับสมัครทุน NSTDA-SINGA เรียนต่อปริญญาเอก 4 ปี ที่สิงคโปร์ ประจำปี 2025
เปิดรับสมัครทุน NSTDA-SINGA เรียนต่อปริญญาเอก 4 ปี ที่สิงคโปร์ ประจำปี 2025 ส่งใบสมัครถึง 25 ธันวาคม 2024
**สำหรับนักศึกษาสัญชาติไทย ใกล้หรือสำเร็จการศึกษาในระดับ ป.ตรี ป.โท กำลัง/เคยรับทุน สวทช.หรือ Alumni นักศึกษาทุน สวทช. ที่สนใจศึกษาต่อระดับปริญญาเอก (อยู่ในเครือข่าย สวทช.)
NSTDA-SINGA Scholarships (ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ Singapore International Graduate Award (SINGA)) คัดเลือกผู้มีศักยภาพสูงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกกับสถาบันการศึกษาพันธมิตรของโครงการ ได้แก่
Agency for Science, Technology & Research (A*STAR) https://www.a-star.edu.sg/Scholarships/for-graduate-studies/singapore-international-graduate-award-singa/a-star-supervisors-projects
Nanyang Technological University (NTU), https://shorturl.asia/jug4M
The National University of Singapore (NUS) https://nusgs.nus.edu.sg/programmes/
The Singapore University of Technology and Design (SUTD) https://shorturl.asia/tcCs8
Singapore Management University (SMU) https://computing.smu.edu.sg/phd
Singapore Institute of Technology (SIT) https://www.singaporetech.edu.sg/research
(more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
ปฏิทินกิจกรรม

TMEC สวทช. พลิกโฉม สู่การเข้าถึงเทคโนโลยี ‘เซมิคอนดักเตอร์’ เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในไทย
(30 กันยายน 2567) ณ ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (Thai Microelectronics Center: TMEC) อ.วังตะเคียน อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรม NSTDA Meets The Press นักวิจัยพบปะสื่อมวลชน เพื่อสัมภาษณ์พูดคุยในหัวข้อ “TMEC พลิกโฉม สู่การเข้าถึงเทคโนโลยี ‘เซมิคอนดักเตอร์’ เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในไทย” ทั้งนี้ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ หรือ TMEC ถือเป็นพันธมิตรด้านเซมิคอนดักเตอร์ (TMEC MEMS Foundry) แห่งแรกของไทย ที่มีส่วนขับเคลื่อนนวัตกรรมจากความเชี่ยวชาญของนักวิจัยสู่ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยให้บริการพัฒนาอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ MEMS ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การสร้างต้นแบบ การทดสอบ ไปจนถึงการผลิตเชิงพาณิชย์ และถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ ที่มีบทบาทในการเสริมสร้างกำลังคนเพื่อรองรับการเติบโตอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต
• ชูจุดแข็ง วิจัยพัฒนาและผลิต แบบ ‘Make to Order’
ดร.วุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) สวทช. กล่าวว่า TMEC เป็นโรงงานที่รองรับการผลิตเวเฟอร์ MEMS ทั้งในระดับต้นแบบ จนถึงการผลิตเชิงพาณิชย์ โดยบริการให้คำปรึกษาตั้งแต่แนวคิดเริ่มต้นในการพัฒนาอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ MEMS ที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของลูกค้า เพื่อดำเนินการออกแบบโครงสร้าง วัสดุ จำลองการทำงานก่อนสร้างจริง และปรับปรุงดีไซน์ให้เหมาะสมกับสายการผลิต อีกทั้งมีความสามารถทำการผลิตเวเฟอร์ MEMS ด้วยมาตรฐานการผลิตในระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การทดสอบคุณสมบัติทางไฟฟ้าต่าง ๆ ของเวเฟอร์ MEMS ที่ผลิตได้ 100% อย่างไรก็ดีลูกค้าของ TMEC ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศที่ต้องการให้พัฒนาระบบอัจฉริยะในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การพัฒนาไมโครโฟนขนาดเล็กที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดี ไม่มีเสียงรบกวน หรือเซนเซอร์แบบไจโรสโคปที่สามารถตรวจจับการเอียงหรือการหมุนของอุปกรณ์ เช่น สมาร์ทโฟน โดรน หรือสมาร์ทวอทช์ ซึ่งสินค้าประเภทนี้ต้องการเทคโนโลยีขั้นสูงในการพัฒนาและผลิต
“TMEC มีจุดแข็ง คือทำวิจัยที่มาจากความต้องการของลูกค้า และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใครทำ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าเลือก TMEC เพราะมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าทีมวิจัยต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ลูกค้าส่วนมากที่มาติดต่อ TMEC จึงต้องการให้พัฒนาผลิตภัณฑ์และทำการผลิตให้ด้วย เมื่อเทียบกับหน่วยงานวิจัยอื่น ๆ ที่ลูกค้าอาจเคยติดต่อ ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ หน่วยงานวิจัยเหล่านั้นมักทำวิจัยเพื่อ Paper นวัตกรรม หรือจดสิทธิบัตร แต่ไม่พร้อมที่จะทำการผลิตในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ยังมีโรงงานที่เน้นการผลิตจำนวนมาก (Mass production) โดยไม่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งทำให้ลูกค้ามีปัญหาในการหาผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม”
ดร.วุฒินันท์ กล่าวต่อว่า ในทางตรงกันข้าม TMEC อยู่ในตำแหน่งที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้จากการวิจัย และพร้อมที่จะผลิตสินค้าให้กับลูกค้าได้จริง ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ TMEC แตกต่างจากหน่วยงานวิจัยและโรงงานผลิตทั่วไปในหลายประเทศ ลูกค้าจากอเมริกา ยุโรป จีน และเกาหลีต่างเลือก TMEC เพราะเป็นศูนย์วิจัยที่ไม่เพียงแค่พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ แต่ยังสามารถผลิตได้จริง เนื่องจากเห็นความต้องการของลูกค้าที่ต้องการความสามารถเฉพาะทางจาก TMEC อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า TMEC มีจุดแข็งในตลาดที่ไม่มีใครเหมือน เพราะหลายบริษัทยังเลือกวิธีการผลิตจำนวนมาก และไม่ต้องมาหาลูกค้าใหม่ ๆ ตลอดเวลา ซึ่งวิธีนี้อาจส่งผลกระทบต่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ดังนั้นการที่ TMEC สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อขายในตลาดต่างประเทศได้จะช่วยเสริมสร้างอุตสาหกรรมไทย และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทย ที่สามารถสร้างนวัตกรรมและรายได้จากการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ในขณะเดียวกันยังช่วยให้ประเทศสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ด้วยเช่นกัน
• Transfer ความรู้สร้างบุคลากร ป้อนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
ดร.วุฒินันท์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ TMEC ยังช่วยสนับสนุนการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับการเติบโตในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยได้ทำงานร่วมกับสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ผ่านกลไก Higher Education Sandbox เพื่อพัฒนาวิศวกร (Engineer) ที่จะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor industry) ทั้งนี้ไม่ใช่แค่ในส่วนของเซมิคอนดักเตอร์เท่านั้น การทำงานที่ผ่านมาของ TMEC ยังรวมไปถึงการออกแบบวงจร IC และ PCB (Printed Circuit Board) ในการใช้งานทั้งระบบนิเวศของอุตสาหกรรมนี้ ตั้งแต่การผลิตชิป งานออกแบบ และระบบการผลิต PCB โดยครอบคลุมถึงการพัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมบุคลากรในสาขานี้ ซึ่งตัวเลขการพัฒนาบุคลากรที่กระทรวง อว. คาดว่าจะมีถึง 80,000 คน ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศ โดยจำนวนมากสุด อยู่ในกลุ่ม PCB ในส่วนของการประกอบ (PCBA) รองลงมาคือ Chip Packaging และ Semiconductor ตามลำดับ รวมถึงการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ประเทศไทยและสถาบันไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมทางด้านแผ่นวงจรพิมพ์และการออกแบบวงจรรวมตามลำดับโดยการสนับสนุนจาก บพข. สกสว. และสำนักงานปลัดกระทรวง อว.
“สำหรับประเด็นการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม Semiconductor ในประเทศไทย ที่จะมีโรงงานใหม่เปิดอย่างเป็นทางการ จากความร่วมมือของ บริษัท ฮานาไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ และกลุ่ม ปตท. ได้ร่วมทุนสร้าง บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (FT1 Corporation Limited) เพื่อผลิตชิปต้นน้ำ (Wafer Fabrication) แห่งแรกของประเทศโดยคาดว่าจะสร้างเสร็จในไตรมาสแรก ของปี 2570 นั้น
“TMEC สามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาบุคลากรให้กับ FT1 หรือบริษัท ใดๆ ที่วางแผนการลงทุนทางด้านนี้ เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีใครทำงานด้านนี้มากนัก และในปัจจุบัน TMEC ถือเป็นหน่วยงานที่มีบุคลากรด้านนี้มากที่สุดของประเทศ โดยประมาณ 50 คน อีกทั้งยังเป็นที่เดียวที่มีกระบวนการผลิตเวเฟอร์ (Wafer Fabrication) ที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดของประเทศและเป็นหน่วยงานของรัฐ ทำให้การพัฒนาบุคลากรในด้านนี้ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ และไม่ต้องพึ่งพาบุคลากรจากต่างชาติจำนวนมาก ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นการมี TMEC มาสนับสนุนการรับและถ่ายทอดความรู้ทางด้านกระบวนการผลิตของเซมิคอนดักเตอร์จะลดความยากลำบากในการสร้างและพัฒนาบุคลากร ให้มีความรู้เฉพาะด้านนี้แก่อุตสาหกรรม โดยเฉพาะเรื่องภาษาและความรู้เชิงเทคนิค เป็นต้น”
นอกจากนี้ TMEC ยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคคลากรในระดับปริญญาตรี โท และเอก เพื่อให้บุคลากรมีความพร้อมในการทำงานในอุตสาหกรรมนี้ ทั้งในด้านวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยการนำโครงการที่ TMEC ต้องดำเนินการมาทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาบุคลากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม Indo-Pacific Plastics Innovation Network (IPPIN) Demo Day – Thailand Chapter
CSIRO ร่วมกับ เอ็มเทค สวทช. และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย จัดกิจกรรม Indo-Pacific Plastics Innovation Network (IPPIN) Demo Day – Thailand Chapter ภายใต้ความร่วมมือนวัตกรรมพลาสติกในลุ่มน้ำโขง ระหว่างไทยและออสเตรเลีย
โดยท่านจะได้พบกับผู้เชี่ยวชาญและการนำเสนอไอเดีย (Pitching idea) ของนักวิจัย นวัตกร บริษัทสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการ จำนวน 6 ทีม ได้แก่
นอกจากนี้ ท่านจะได้ใกล้ชิดผลงานวิจัยของหน่วยงานพันธมิตร (Showcase)
💥แล้วมาพบกัน…ในงาน
" Indo-Pacific Plastics Innovation Network (IPPIN) Demo Day – Thailand Chapter"
🗓️7 พฤศจิกายน 2567
⏰09.00 – 15.30 น.
📌ณ โรงแรม เดอะ เพนนินซูลา กรุงเทพ
📝ลงทะเบียนสำรองที่นั่งได้ที่ https://shorturl.at/Ybe8J
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ippin.org/thailand_demoday/
#Thailand-Cohort
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. รับโล่ประกาศเกียรติคุณ “THAI SME-GP” ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
(26 กันยายน 2567) ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นตัวแทนองค์กร สวทช. รับโล่ประกาศเกียรติคุณ "THAI SME-GP" ในฐานะหน่วยงานหน่วยงานสนับสนุนส่งเสริมการเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ภายในงานเชื่อมโยงคู่ค้าเพื่อสร้างโอกาส SME เข้าสู่ตลาดภาครัฐ/ภาคเอกชน THAI SME-GP Day 2024 ซึ่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อเชื่อมหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และผู้บริโภค ได้มีโอกาสพบกับสินค้า/บริการจากผู้ประกอบการ SME ที่ศักยภาพ ซึ่งผ่านการคัดสรรจาก สสว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบภาคเอกชนกับภาครัฐ (B2G) ภาคเอกชนกับภาคเอกชน (B2B) และภาคเอกชนกับผู้บริโภค (B2C) ระหว่างวันที่ 26-28กันยายน 2567 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

กระทรวง อว. โดย สวทช. นำ “แพลตฟอร์มสุขภาพการแพทย์ AMED Care” ร่วมขยายผลนวัตกรรมทางด้านสุขภาพและการแพทย์ ในงาน ‘30 บาท รักษาทุกที่’
(27 กันยายน 2567) ณ ลานอเนกประสงค์ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน "30 บาท รักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร" โดยคณะรัฐมนตรีและผู้บริหารเข้าร่วมงาน อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นต้น โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้แทนสภาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายสุขภาพเข้าร่วมกว่า 1,000 คน
ทั้งนี้กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดย ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. และผู้บริหาร สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “30 บาท รักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร” ซึ่ง สวทช. โดยกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ ได้นำผลงาน “แพลตฟอร์มสุขภาพการแพทย์ AMED Care”
โดยความร่วมมือของพันธมิตรที่สำคัญ คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สภาเภสัชกรรม สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI กรุงเทพมหานคร (กทม.) และธนาคารกรุงไทย (มหาชน) มาร่วมจัดแสดงและประชาสัมพันธ์แพลตฟอร์มด้านสุขภาพการแพทย์ที่ให้บริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิแก่ประชาชน รวมถึงการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่เข้าร่วม “โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่” ทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ แพลตฟอร์มกลุ่ม AMED Care ปัจจุบันให้บริการใน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. แพลตฟอร์มร้านยาดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง 32 อาการ (AMED Care Pharma) 2. แพลตฟอร์มระบบบริการคลินิกพยาบาลสำหรับตรวจรักษาโรคเบื้องต้น (AMED Care Nurse Clinic) 3. แพลตฟอร์มระบบบริการคลินิก-เวชกรรมสำหรับโรคทั่วไป (AMED Care for Medicine Clinic) และ 4. แพลตฟอร์มระบบบริการคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น (AMED Care for Thai Traditional Medicine Clinic)
ปัจจุบัน มีผู้ใช้บริการบนแพลตฟอร์ม AMED Care ทั้ง 4 แฟลตฟอร์ม มีจำนวนรวมมากกว่า 6.1 ล้านคนผ่านหน่วยมากกว่า 5,200 แห่ง โดยผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มร้านยาดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง 32 อาการ มีจำนวนมากกว่า 3.3 ล้านคน รองลงมา คือ แพลตฟอร์มระบบบริการคลินิกพยาบาลสำหรับตรวจรักษาโรคเบื้องต้น มีจำนวนมากกว่า 2.8 ล้านคน ทั้งนี้คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มการใช้บริการของระบบแพลตฟอร์ม AMED Care เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังมีการขยายตัวให้บริการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม “แพลตฟอร์ม A-MED Care” ได้ที่ กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. ที่ LINE Official Account: @A-med หรือ Facebook: https://www.facebook.com/A.MED.nstda/
ข่าวประชาสัมพันธ์

แบตเตอรี่เสื่อม ซึม รั่ว ภัยใกล้ตัวที่ควรระวัง
เมื่อแบตเตอรี่ที่ใช้งานเริ่มเสื่อมสภาพ มักเกิดอาการบวม มีรอยรั่ว และมีสารเคมีรั่วซึมออกมา ซึ่งสารเคมีที่ใช้ในแบตเตอรี่แต่ละประเภทนั้นแตกต่างกันออกไป การรั่วซึมของสารเคมีเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก มีสารเคมีหลายชนิดที่เป็นพิษและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเรา
อย่างถ่านไฟฉายธรรมดา (แบตเตอรี่สังกะสี-คาร์บอน) ใช้สังกะสีเป็นขั้วลบ แมงกานีสไดออกไซด์เป็นขั้วบวก สารละลายแอมโมเนียมคลอไรด์และซิงก์คลอไรด์เป็นอิเล็กโทรไลต์ เมื่อถ่านหมด นั่นหมายความว่าสารแมงกานีสไดออกไซด์ถูกทำปฏิกิริยาจนหมด เหลือแต่สารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะไปกัดกร่อนตัวปลอกถ่านที่เป็นสังกะสีจนทำให้สารเคมีภายในรั่วไหลออกมาได้ โดยแอมโมเนียมคลอไรด์อาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองทางเดินหายใจ ผิวหนัง และดวงตา ไอซิงก์คลอไรด์เป็นพิษเป็นอันตรายต่อระบบหายใจ ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณโพรงจมูก ระคายเคืองผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ส่วนถ่านแอลคาไลใช้สารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์เป็นอิเล็กโทรไลต์ที่มีฤทธิ์เป็นเบส ซึ่งเกิดปฏิกิริยาเคมีกับปลอกสังกะสีได้เช่นเดียวกันเมื่อถ่านหมดอายุการใช้งานแล้ว นอกจากการรั่วไหลของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำลายผิวหนังและดวงตาแล้ว ยังพบโลหะหนักหลายชนิดปะปนด้วย เช่น แคดเมียมที่ก่อให้เกิดโรคอิไตอิไตและมะเร็ง, ปรอทที่ทำให้ระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ความจำเสื่อม ไตวาย, ตะกั่วที่ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง ความคิดสับสน ชัก หมดสติ
มาถึงแบตเตอรี่ตัวท็อปที่ใช้งานกันแพร่หลายอย่างลิเทียมไอออน สารอิเล็กโทรไลต์ของแบตเตอรี่ชนิดนี้ประกอบด้วยเกลือลิเทียมและตัวทำละลายอินทรีย์จำพวกคาร์บอเนต ซึ่งเมื่อสัมผัสกับน้ำหรือความชื้นภายนอกเซลล์ก็จะเกิดเป็นกรดไฮโดรฟลูออริกที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง มีความเป็นพิษ และก่อให้เกิดอาการระคายเคืองสูง กรดดังกล่าวทำลายเนื้อเยื่อและรบกวนการทำงานของระบบประสาท ผู้ที่สัมผัสกรดอาจไม่รู้สึกเจ็บในตอนแรก แต่ส่งผลในระยะยาวทำให้กระดูกพรุนและข้อเสื่อม นับว่าเป็นกรดที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างยิ่ง
แบตเตอรี่เสื่อม ซึม รั่ว จึงเป็นภัยใกล้ตัวที่เราไม่ควรมองข้าม เมื่อพบว่าแบตเตอรี่เสื่อมเมื่อไร อย่าดันทุรังใช้งานต่อ และอย่าเอาไปทิ้งสุ่มสี่ห้ารวมกับขยะอื่น ควรแยกและนำไปทิ้งที่จุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่ : https://www.mtec.or.th/post-knowledges/47282/
เรียบเรียงโดย รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
บทความ

สวทช. ต้อนรับคณะข้าราชการระดับสูงจากมาเลเซีย เสริมสร้างภาวะผู้นำและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
วันที่ 26 กันยายน 2567 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารสำนักงานกลาง อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย: Prof. Dr.Azmawani Abd Rahman, CEO Putra Business School พร้อมด้วย ดร.ธันยวัต สมใจทวีพร ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ได้นำคณะข้าราชการระดับสูงจากประเทศมาเลเซีย เข้าเยี่ยมชมสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารองค์กรระดับชาติและภาวะผู้นำ ภายใต้โครงการ Leadership Quest in a Global Immersion Experience ซึ่งจัดโดย Public Service Department และ Putra Business School
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้แบ่งปันประสบการณ์ด้านการเป็นผู้นำที่มีความยืดหยุ่นในยุคที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ผู้นำองค์กรสามารถนำพาองค์กรผ่านพ้นความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมทั้งฉายภาพการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาของ สวทช. โดยกล่าวถึง นโยบาย NSTDA Core Business ซึ่งได้คัดเลือกงานวิจัยที่เป็นความเชี่ยวชาญและตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมี 4 เรื่องหลัก ได้แก่ Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredient) Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ดิจิทัล และ Thailand i4.0 Platform แพลตฟอร์มที่ให้บริการ Digital transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร รวมถึงผลงานวิจัยภายใต้แผนงาน BCG Implementation อีกด้วย
พร้อมกันนี้ น.สพ.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้ฉายภาพรวมบทบาทการดำเนินงานของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) รวมถึงความพร้อมในการรองรับงานวิจัยระดับสากล และโอกาสในการขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านวิจัยให้กับประเทศต่าง ๆ และนำเยี่ยมชมบริษัทที่ทำวิจัยและพัฒนาใน อวท.
คณะข้าราชการจากประเทศมาเลเซียที่เข้าร่วมการเยี่ยมชมในครั้งนี้มาจากหลายหน่วยงานสำคัญ อาทิ กระทรวงการคลัง, กระทรวงการศึกษา, กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม, กระทรวงเศรษฐกิจ, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, และกรมสำรวจและทำแผนที่มาเลเซีย
โดยในช่วงท้ายคณะข้าราชการจากประเทศมาเลเซียได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวิจัยจากนาโนเทค สวทช. ได้แก่ ผลงาน FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredient) โดยให้บริการตลอดห่วงโซ่การผลิตตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะ (Tailor made) ของลูกค้าในรูปแบบ One stop service และนวัตกรรมชุดตรวจรวดเร็วทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น ชุดตรวจติดตามเบาหวาน (SugarAL GO-SENSOR) ชุดตรวจโปรตีนอัลบูมินในปัสสาวะเชิงปริมาณ (GO-Sensor) ชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพ (AL-Strips) เป็นต้น
การเยี่ยมชมครั้งนี้ไม่เพียงเป็นโอกาสในการพัฒนาภาวะผู้นำของข้าราชการมาเลเซีย แต่ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ และการค้าระหว่างสองประเทศ ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่สามารถนำไปต่อยอดการพัฒนาความร่วมมือในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผู้บริหาร สวทช. ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี วันสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
24 กันยายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์: ผู้บริหารกระทรวง อว. และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ร่วมด้วยผู้บริหารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมแสดงความยินดีในงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจัดโดย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยมี นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และนางหวัง ฮวน ภริยา เป็นประธานในงาน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

Software Park – WealthMagik ประกาศ เงินออมสร้างชาติ Awards Season 9 “ครอบครัวสุขใจ ก้าวสู่เกษียณสดใสไปด้วยกัน”
(วันที่ 26 กันยายน 2567) ณ ห้อง Auditorium ชั้น 3 อาคาร Software Park ถนนแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด จ.นนทบุรี: ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย นายสมเกียรติ ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด ร่วมมอบรางวัลในโครงการ Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 9 ภายใต้หัวข้อ "ครอบครัวสุขใจ ก้าวสู่เกษียณสดใสไปด้วยกัน"
โดย โครงการฯ นี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีให้กับนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไปได้แสดงศักยภาพ ในการใช้เทคโนโลยี พร้อมนำความรู้ ความสามารถ ทักษะและความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาผลงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางด้านการเงินผ่านสื่อแอนิเมชัน และวีดิทัศน์เรื่องสั้นที่สนุกและเข้าใจง่าย สามารถเข้าถึงได้ในทุกช่วงวัย อีกทั้งยังได้เรียนรู้การนำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือช่วยบริหารเงินออมให้งอกเงยเพื่ออนาคตยามเกษียณ
ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. กล่าวว่า เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือ Software Park Thailand สวทช. ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร บริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ในการจัดประกวด Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards season 9 ภายใต้หัวข้อ "ครอบครัวสุขใจ ก้าวสู่เกษียณสดใสไปด้วยกัน" ซึ่งถือเป็นการแข่งขันแอนนิเมชันทางด้านการออม ที่จัดต่อเนื่องทุกปีและมีผู้เข้าร่วมมากที่สุดในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยจัดอยู่ในภาวะสูงวัยของประชากรเป็นอันดับสองของอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของประชากรศาสตร์ของประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตจนกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (จำนวนผู้สูงอายุมีสัดส่วนร้อยละ 20 ของจำนวนประชากร) ในปี พ.ศ.2564 และเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (จำนวนผู้สูงอายุมีสัดส่วนร้อยละ 30 ของจำนวนประชากร) ในปี พ.ศ.2574
ดังนั้น การก้าวไปสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดของไทยกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า แน่นอนว่าเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถึงแม้ว่าทางภาครัฐได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าไว้ระดับนึงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสวัสดิการทางการคลังในอนาคต ภาวะการทำงานของผู้สูงอายุ สุขอนามัย รวมไปถึงเรื่องอื่น ๆ ที่จะตามมา ในขณะเดียวกันเราต้องยอมรับว่าวิถีชีวิตในประจำวันของมนุษย์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ วัน จะเห็นได้ว่าบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตมากขึ้น และต้องยอมรับว่าความสามารถในการเข้าใจ เข้าถึง และใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ของกลุ่มวัยเรียนและวัยทำงานอยู่ในระดับที่ดีกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ
เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะสังคมสูงวัย จึงควรส่งเสริมให้ผู้สูงอายุและผู้ที่กำลังจะเข้าสู่วัยสูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า การวางแผนทางการเงินและการลงทุนอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งดี
นายสมเกียรติ ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด กล่าวว่า ขอชื่นชมผู้เข้าประกวดและผลงานที่ได้ขึ้นนำเสนอในครั้งนี้ ซึ่งทางคณะผู้จัดงานพบว่าผู้ส่งผลงานเข้าประกวดจากกลุ่มเยาวชนมีจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากโรงเรียนในส่วนกลางและภูมิภาค ซึ่งก็เป็นความภูมิใจที่โครงการฯ ได้มีส่วนร่วมที่จะได้ปลูกฝังการวางแผนการออมตั้งแต่รุ่นเยาวชน รวมถึงสามารถประยุกต์ใช้เทคนิคการนำเสนอ รวมถึงพัฒนาผลงานได้ดี และหวังว่าผลงานดี ๆ ที่สร้างสรรค์ผ่านเวทีนี้ จะถูกเผยแพร่และสร้างแรงบันดาลใจทั้งสำหรับการพัฒนาผลงานแอนนิเมชันและหนังสั้น รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่ได้รับชม ตระหนักและวางแผนเงินออมเพื่ออนาคตต่อไป
สำหรับรางวัลสำหรับผู้ชนะการประกวดผลงาน Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards season 9 ภายใต้หัวข้อ "ครอบครัวสุขใจ ก้าวสู่เกษียณสดใสไปด้วยกัน"แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทนักเรียน นักศึกษา / ประเภทบุคคลทั่วไป ได้แก่
ประเภทนักเรียน นักศึกษา ทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม TANABATA รับทุนการศึกษา จำนวน 40,000 บาท พร้อมโล่รางวัลชนะเลิศ และเกียรติบัตร
รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม ผู้บุกเบิกบำนาญรับทุนการศึกษา จำนวน 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศเกียรติบัตร
รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม First NEKOรับทุนการศึกษา จำนวน 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร
ประเภทบุคคลทั่วไป ทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม Let's Get Fund รับเงินรางวัล จานวน 80,000 บาท พร้อมโล่รางวัลชนะเลิศ และเกียรติบัตร
รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม อรุณกร พิค รับเงินรางวัล จำนวน 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร
รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม Fiction Five รับเงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร
นอกจานี้ยังมี ประเภทรางวัลสำหรับผู้ชนะการประกวดวีดิทัศน์เรื่องสั้น (Short Video) Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards season 9 ภายใต้หัวข้อ "ครอบครัวสุขใจ ก้าวสู่เกษียณสดใสไปด้วยกัน"
ทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม GT Tearรับเงินรางวัล จำนวน 40,000 บาท พร้อมโล่รางวัลชนะเลิศและเกียรติบัตร
รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ทีม MOVING IMAGE รับเงินรางวัล จำนวน 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร
รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม Bossy Gang รับเงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัลรองชนะเลิศ และเกียรติบัตร
ทั้งนี้ “เงินออมสร้างชาติ” เป็นโครงการประกวดแอนิเมชัน และ Short VDO จัดโดย SoftwarePark และ WealthMagik ผู้สนใจติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ https://www.wealthmagik.com/animationaward
ข่าวประชาสัมพันธ์

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ! นักวิจัยพัฒนา “Eco-Pest” สารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมกำจัดแมลงจากปาล์มน้ำมัน ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นักวิจัย สวทช. มุ่งแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด พัฒนา “Eco-Pest” สารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชจากกรดไขมันปาล์ม ออกฤทธิ์ได้ผลดีกับแมลงปากดูดจำพวกเพลี้ย ปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดสารเคมีตกค้าง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมประเทศไทยยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันมุ่งสู่อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูง
จากปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันและความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของนานาประเทศ โดยส่งเสริมให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ความต้องการใช้ปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตไบโอดีเซลลดลง และส่งผลให้เกิดปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงมุ่งวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากปาล์มน้ำมันในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูง หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาสารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_61803" align="aligncenter" width="750"] ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. กล่าวว่าจากปัญหาภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการแพร่พันธุ์และระบาดของแมลงศัตรูพืชเป็นอย่างมาก เห็นได้จากตัวเลขการแพร่พันธุ์ของเพลี้ยกระโดดปัจจุบัน ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศเพิ่มขึ้นส่งผลให้ระยะเวลานับตั้งแต่ระยะไข่-โตเต็มวัย ลดลงเหลือเพียง 12 วัน แพร่พันธุ์ได้สูงถึง 5 รุ่น (ประมาณ 1,640 ล้านตัวต่อการทำนาหนึ่งรอบ ที่อุณหภูมิ 38 oC) เมื่อเทียบกับที่อุณหภูมิ 28 oC (ใช้ระยะเวลา 16 วัน แพร่พันธุ์ได้เพียง 3 รุ่น คิดเป็น 8.8 ล้านตัวต่อการทำนาหนึ่งรอบ) เกษตรกรจึงจำเป็นต้องพึ่งการใช้/นำเข้าสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชเพิ่มมากขึ้นทุกปี จาก 39,634 ตันของสารออกฤทธิ์ ในปี พ.ศ. 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 140 ล้านตันของสารออกฤทธิ์ (คิดเป็นมูลค่ารวม 23,906 ล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2566 ในส่วนนี้คิดเป็นมูลค่านำเข้าสารกำจัดแมลง 22,559 ตัน มูลค่า 5,740 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามการฉีดพ่นกลุ่มสารเคมีสังเคราะห์แบบดั้งเดิมสำหรับกำจัดแมลงและศัตรูพืชมีเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นที่จะถึงศัตรูเป้าหมาย เนื่องจากปัญหาการยึดเกาะจึงถูกชะล้างจากฝนได้ง่าย เกิดการสะสมสารพิษตกค้างในห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาให้เกษตรกรและอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน โดยทีมวิจัยได้พัฒนา “อีโค-เพสต์” (Eco-Pest) ซึ่งเป็นสารควบคุมและกำจัดแมลงที่ผลิตจากกรดไขมันของปาล์มน้ำมัน
[caption id="attachment_61805" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยเอ็นเทค สวทช. พัฒนา “อีโค-เพสต์” (Eco-Pest) สารควบคุมและกำจัดแมลงที่ผลิตจากกรดไขมันของปาล์มน้ำมัน[/caption]
“เรานำน้ำมันปาล์มที่บริสุทธิ์มาผลิตสารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ปลอดภัย โดยสารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรที่พัฒนาขึ้นสามารถควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืช โดยการเคลือบอุดกั้นทางเดินหายใจ และดูดน้ำออกจากตัวแมลง ซึ่งเป็นวิธีไม่เฉพาะเจาะจงกับกระบวนการทางชีวเคมีใด ๆ ในตัวแมลง ทำให้ Eco-Pest มีข้อดี คือ ปลอดภัยสำหรับสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เป้าหมาย และสามารถใช้ในการจัดการแมลงที่ดื้อต่อสารเคมีแบบดั้งเดิมได้ โดย Eco-Pest สามารถควบคุมและกำจัดแมลงปากดูดได้เทียบเท่ากับสารเคมีประเภทปิโตรเลียมออยล์หรือไวต์ออยล์ (White oil) ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ภายใต้สภาวะโรงเรือนแปลงทดลอง โดยที่ Eco-pest ออกฤทธิ์กำจัดแมลงประเภทปากดูดได้มากกว่า 97% ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง อีกทั้งมีจุดเด่นเหนือกว่าปิโตรเลียมออยล์คือไม่ต้องผสมสารเคมีอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่เติมน้ำแล้วก็ฉีดพ่นได้เลย แต่หากเป็นปิโตรเลียมออยล์ จะต้องเติมอิมัลซิไฟเออร์ลงไปด้วย”
[caption id="attachment_61806" align="aligncenter" width="750"] รูปเปรียบเทียบการเปียกตัว (a) น้ำบนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู (b) Eco-Pest บนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู (c) Eco-Pest บนเพลี้ยอ่อนถั่วดำ[/caption]
จุดเด่นของ Eco-Pest คือใช้กำจัดแมลงและควบคุมการระบาดของแมลงศัตรูพืชประเภทปากดูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยกระโดด เพลี้ยไฟ เพลี้ยจักจั่น และแมลงหวี่ขาว (ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชที่พบมากบนพืชผลเศรษฐกิจ เช่น ทุเรียน มะม่วง รวมถึงกล้วยไม้) ออกฤทธิ์กำจัดเพลี้ยแป้งมันได้สูงถึง 92% ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 24 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าสารเคมีกลุ่มไวต์ออยล์ที่กำจัดได้เพียง 35% โดย Eco-Pest ไม่มีความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity) ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารพิษตกค้าง ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ทั้งยังช่วยลดการนำเข้าสารเคมีและปิโตรเลียมออยล์ เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นเนื่องจากใช้วัตถุดิบจากพืชที่ปลูกในประเทศ และช่วยยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศ
[caption id="attachment_61807" align="aligncenter" width="750"] การวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันเป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและยังส่งผลดีต่อภาคการเกษตรของประเทศ[/caption]
ดร.ชัยยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าตอนนี้ผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับห้องปฏิบัติการ แต่การขยายขนาดการผลิตไปสู่ระดับเชิงพาณิชย์คาดว่าจะทำให้ต้นทุนลดลงอย่างมากและแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดได้ ซึ่งทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Eco-Pest ให้แก่ภาคเอกชน รวมถึงกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ร่วมวิจัยเพื่อพัฒนาสูตรใหม่ ๆ โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมี อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน และผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Eco-Pest เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยเกษตรลดการพึ่งพาสารเคมีที่เป็นพิษ และลดการนำเข้าปิโตรเลียมออยล์ มีความปลอดภัยสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากผลิตจากสารธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอน Eco-Pest จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการควบคุมแมลงในระบบการเกษตรที่มุ่งเน้นความปลอดภัยและยั่งยืน ที่สำคัญคือช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตทางการเกษตรของประเทศและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทยในตลาดโลกได้อย่างสอดคล้องกับการพัฒนาตามแนวทางของโดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG economy model)
[caption id="attachment_61804" align="aligncenter" width="750"] ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง และ ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล พร้อมด้วยทีมวิจัยผู้พัฒนานวัตกรรม Eco-Pest ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.[/caption]
นวัตกรรม Eco-Pest เป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดย ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง และทีมวิจัย (ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล ดร.สุภาพร วันสม กนกวรรณ ใหม่แก้ว กิติยาลักษณ์ ป้องโรคา พัลลภา บ่อกลม) ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ร่วมกับ ผศ.ดร. ประกาย ราชณุวงษ์ (ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
ผู้สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อได้ที่ ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง เอ็นเทค สวทช. โทร. 0 2564 6500 ต่อ 4714 หรืออีเมล chaiyuth.sae@entec.or.th
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย สมชัย เมาไพร และเอ็นเทค สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

10 Technologies to Watch 2024: ยุคถัดไปของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบน้ำหมุนเวียน (Next Generation of Recirculating Aquaculture System: RAS)
การผลิตและจำหน่ายสัตว์น้ำเศรษฐกิจของประเทศไทยมีมูลค่าสูงกว่าแสนล้านบาทต่อปี แต่การเพาะเลี้ยงด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การเลี้ยงในบ่อดินหรือกระชังมีข้อเสียหลายประการ ทั้งใช้พื้นที่มาก ใช้น้ำมาก เสี่ยงต่อการเกิดโรคสัตว์น้ำ ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ และยังมีปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่เป็นความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพของสัตว์น้ำอีกด้วย เช่น น้ำในแม่น้ำมากจนล้นตลิ่ง น้ำน้อยจนแห้ง หรือน้ำเน่าเสีย
เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบน้ำหมุนเวียนหรือ Recirculating Aquaculture System (RAS) จึงอาจเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาปรับเปลี่ยนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในยุคถัดไป เพราะนอกจากจะใช้พื้นที่และน้ำน้อยกว่าแล้ว ยังควบคุมปัจจัยเสี่ยง และควบคุมการปล่อยมลพิษได้ดีกว่าด้วย
การผลิตและจำหน่ายสัตว์น้ำเศรษฐกิจของประเทศไทยมีมูลค่าสูงกว่าแสนล้านบาทต่อปี แต่การเพาะเลี้ยงด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การเลี้ยงในบ่อดินหรือกระชังมีข้อเสียหลายประการ ทั้งใช้พื้นที่มาก ใช้น้ำมาก เสี่ยงต่อการเกิดโรคสัตว์น้ำ ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ และยังมีปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่เป็นความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพของสัตว์น้ำอีกด้วย เช่น น้ำในแม่น้ำมากจนล้นตลิ่ง น้ำน้อยจนแห้ง หรือน้ำเน่าเสีย
เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบน้ำหมุนเวียนหรือ Recirculating Aquaculture System (RAS) จึงอาจเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาปรับเปลี่ยนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในยุคถัดไป เพราะนอกจากจะใช้พื้นที่และน้ำน้อยกว่าแล้ว ยังควบคุมปัจจัยเสี่ยง และควบคุมการปล่อยมลพิษได้ดีกว่าด้วย
นอกจากนี้ในยุคถัดไปของระบบ RAS ยังมีแนวโน้มที่จะออกแบบเทคโนโลยีให้จำเพาะกับสัตว์น้ำแต่ละชนิดมากยิ่งขึ้น เพื่อลดต้นทุน และทำให้ระบบใช้งานง่าย
ผ่านมา สวทช. ได้พัฒนาระบบ RAS สำหรับกุ้งและปลากะพง สัตว์น้ำเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ระบบที่พัฒนาขึ้นมีราคาถูกกว่าท้องตลาด ทำให้นอกจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการควบคุมคุณภาพการเพาะเลี้ยงได้ง่าย ยังช่วยให้คืนทุนได้เร็วอีกด้วย
ทีมวิจัยพัฒนาระบบ RAS โดยใช้เทคโนโลยีการออกแบบและคำนวณทางวิศวกรรมขั้นสูง (Advanced Engineering Design & Computation) เทคโนโลยีระบบควบคุมอัตโนมัติ (Automatic Control) และระบบ IoT (Internet of Things) นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาระบบต่อโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI และเทคโนโลยีการประมวลผลภาพ (Image Processing) ในการติดตามและควบคุมการเพาะเลี้ยงทุกขั้นตอน
ข่าว
บทความ