ผลการค้นหา :
สวทช. โดย เนคเทค อวท. ร่วมกับ สทน. จัดกิจกรรม Design Thinking Workshop ส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพองค์กร
30 เมษายน 2568 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. จัดกิจกรรม Design Thinking Workshop เพื่อเสริมสร้างแนวคิดเชิงนวัตกรรม (Design Thinking) และเปิดโอกาสให้บุคลากรของ สทน. ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร พร้อมเยี่ยมชมเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาโดย เนคเทค สวทช.
ดร. ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวต้อนรับผู้บริหารและบุคลากรจาก สทน. โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างคุณค่าให้กับองค์กร และการที่ สทน. มีนโยบายขับเคลื่อนองค์กรด้วย AI อย่างจริงจัง โดยกิจกรรมครั้งนี้เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการประยุกต์ใช้ AI ผ่านกระบวนการ Design Thinking เพื่อค้นหา Pain Points และออกแบบแนวทางการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม นอกจากนี้ เนคเทคยังได้นำเสนอเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการ AI for Thai เช่น DOCChat, DocGen และ Partii-Note เพื่อเป็นแนวทางในการต่อยอดการดำเนินงานของ สทน. ในอนาคต
คุณกัญชลิกา เดชะเทศ ผู้อำนวยการกลุ่มงานบริหารจัดการ สทน. กล่าวว่า สทน. ตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยี AI ในการยกระดับการดำเนินงาน ซึ่ง สทน. มุ่งมั่นที่จะนำ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและสร้างนวัตกรรมในทุกระดับขององค์กร กิจกรรมวันนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่บุคลากรของ สทน. จะได้เรียนรู้กระบวนการ Design Thinking ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้ใช้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโซลูชัน AI ที่ตอบโจทย์เป้าหมายขององค์กร
กิจกรรมในครั้งนี้ ทีมนักวิจัย AI จากเนคเทค โดย ดร.กริช นาสิงห์ขันธุ์ ดร.ชัยอนันต์ ดำรงรัตน์ และ ดร. ขวัญชีวา แตงไทย ได้เริ่มบรรยายและแนะนำ “AI for Thai” แพลตฟอร์มรวมเทคโนโลยี AI ของคนไทย เพื่อการพัฒนาและต่อยอดให้เกิดประโยชน์ทั้งในเชิงธุรกิจและสังคม จากนั้นเข้าสู่กระบวนการ Design Thinking Workshop โดยคุณชัชวาล สังคีตตระการ วิศวกรอาวุโส เนคเทค ด้วยการแบ่งกลุ่มทำการสำรวจปัญหาและความพร้อมด้าน AI ขององค์กร การออกแบบแนวทางใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI และการวางแผนปฏิบัติการเพื่อรับมือกับความท้าทายของ AI Transformation
ความร่วมมือระหว่าง เนคเทค สวทช. และ สทน. ในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของ สทน. และเป็นแบบอย่างในการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนองค์กรภาครัฐให้ก้าวทันยุคดิจิทัล โดยมุ่งหวังที่จะสานต่อความร่วมมือในอนาคต เพื่อร่วมกันพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ในด้านอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
กระทรวง อว. โดย สวทช. – กรมควบคุมโรค กระทรวง สธ. ผนึกกำลังใช้ระบบ DDC-Care Platform เทคโนโลยีรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน บริการแก่กลุ่มผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์
(30 เมษายน 2568) ที่ห้องแถลงข่าวชั้น 1 กระทรวง อว. อาคารพระจอมเกล้า: นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานแถลงข่าว ความสำเร็จ DDC-Care เฝ้าระวังโรคเมอร์ส (MERS-CoV) ในผู้แสวงบุญที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ จากความร่วมมือของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินมาตรการเฝ้าระวังโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส MERS-CoV อย่างเข้มงวด ด้วย DDC-Care Platform เทคโนโลยีรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน ซึ่งถือเป็นการทำงานเชิงรุกและการเฝ้าระวังโรคตามมาตรการสาธารณสุข สำหรับผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นายประสิทธิ์ มะหะหมัด เลขานุการจุฬาราชมนตรี ทีมนักวิจัยและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมแถลงข่าว
นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการดูแลประชาชนและรับมือกับโรคระบาดในประเทศไทย ให้เกิดความปลอดภัยและเฝ้าระวังสุขภาพของผู้แสวงบุญชาวไทยทุกท่าน ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวง อว. โดย สวทช. ทั้ง 2 หน่วยงาน จึงจัดเตรียมพร้อมนำระบบ DDC-Care Platform ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน เฝ้าระวังโรคเมอร์ส (MERS-CoV) ในผู้แสวงบุญ ที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ โดยระบบนี้ประสบความสำเร็จมาแล้วจากการใช้คัดกรองโรคโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ทั้งนี้ระบบดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยและช่วยสร้างความเข้มแข็งในวงการสาธารณสุขไทยอย่างแท้จริง ซึ่งในการแถลงข่าววันนี้มีทีมวิจัย สวทช. ประกอบด้วย ดร.อนันต์ลดา โชติมงคล ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ และ ดร.ชาลี วรกุลพิพัฒน์ ทีมนักวิจัย สวทช. ได้แนะนำ DDC-Care Platform ระบบเฝ้าระวังโรคติดต่อ และ INTERVAC ระบบวัคซีนพาสปอร์ต นอกจากนี้ยังมีการสาธิตการใช้งาน DDC-Care Platform เช่น การประยุกต์ใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มในการเฝ้าระวังและควบคุมโรค โดยผู้แทนจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพการทำงานของทั้งสองกระทรวงอย่างเข้มแข็ง
“การแถลงข่าวในวันนี้ ผมขอย้ำว่า ไม่ได้ต้องการให้เกิดความกังวลในหมู่พี่น้องชาวไทยมุสลิมของเราว่า การเดินทางไปแสวงบุญ จะมีการแพร่ระบาดหรือติดเชื้อของโรคดังกล่าวในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพียงแต่เป็นมาตรการป้องกันของรัฐบาล ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแนวคิด "Hajj 5G 5Good" ได้แก่ Good Price (ราคาดี มีคุณภาพ), Good Service (บริการดี), Good Care (เอาใจใส่ดี), Good Health (สุขภาพดี) และ Good Relations (ความสัมพันธ์ดีระหว่างประเทศ)
โดยเฉพาะในข้อที่ 4 คือ Good Health หรือ สุขภาพดี นอกจากทีมแพทย์ที่เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงสาธารณสุข ที่เราส่งไปดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบียแล้ว เรายังติดตามดูแลสุขภาพของท่านหลังจากเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกด้วย จึงขอความร่วมมือทุกท่านให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และขอขอบคุณทุกหน่วยงานภาครัฐที่ช่วยกันยกระดับความสามารถในการรับมือกับการระบาดของโรคและสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องมุสลิมและประชาชนชาวไทยทุกคน” นายศุภชัย กล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ระบบ DDC-Care พัฒนาโดย สวทช. ร่วมกับ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การสนับสนุนทรัพยากรระบบ Cloud จากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นระบบติดตาม ผู้มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการประเมินสถานการณ์ ติดตาม เฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ เพื่อรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที
“จุดเด่นของแพลตฟอร์ม DDC-Care มีบทบาทสำคัญในระบบสาธารณสุข โดยสามารถประยุกต์ใช้ป้องกันและเฝ้าระวังโรคอุบัติซ้ำ หรือ โรคติดต่ออันตราย ซึ่งกรมควบคุมโรค นำระบบ DDC-Care ไปใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส ในกลุ่มพี่น้องคนไทยเชื้อสายมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน”
นอกจาก DDC-Care แล้ว สวทช. ยังได้พัฒนาต่อยอดระบบวัคซีนพาสปอร์ต INTERVAC มาสู่ INTERVAC HAJJ สำหรับการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนทั้งสิ้น 4 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 โรคไข้กาฬหลังแอ่น โรคไข้หวัดใหญ่ และไข้เหลือง ให้กับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ โดยเริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปี 2565 โดยระบบ INTERVAC พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ ที่ทำการบันทึกข้อมูลการฉีดวัคซีนและประชาชนที่เข้ารับบริการ ซึ่งเดิมการออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน จะจัดทำในรูปแบบ “สมุดเล่มเหลือง” ที่เขียนด้วยลายมือ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาการทำงานมากขึ้น และไม่สามารถรองรับปริมาณและความต้องการของประชาชนได้ เมื่อมีการนำระบบ INTERVAC มาใช้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลแล้วจะสามารถพิมพ์สมุดเล่มเหลืองได้ทันที พร้อมทั้งใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ QR Code
“ความสำเร็จของแพลตฟอร์ม DDC-Care และ ระบบ INTERVAC จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในภาคการดูแลสุขภาพ และสามารถนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อการยกระดับการดูแลสุขภาพของคนไทยทุกคน”
ด้าน นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การทำงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ที่เดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีฮัจญ์ และแนะนำให้ใช้แอปพลิเคชัน DDC-Care ในการรายงานสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฝ้าระวังผู้ที่อาจจะเสี่ยงเป็นผู้ป่วยโรคเมอร์สภายหลังจากเดินทางกลับจากการประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง และเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ลดการแพร่กระจายของโรคทั้งในครอบครัวและชุมชน
“ทั้งนี้ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้นำระบบ DDC-Care มาใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคเมอร์ส ใน 7 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง สงขลา พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพื่อบริการแก่กลุ่มผู้แสวงบุญที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ ดังนั้นระบบ DDC-Care จึงถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จจากความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเฝ้าระวังและรับมือกับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ หรือโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามและควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว”
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เสวนา ฟื้นฟูที่อยู่อาศัยหลังแผ่นดินไหว : นวัตกรรมซ่อมแซม เสริมแรง และลดความเสียหาย
เอ็มเทค สวทช. ขอเชิญร่วมงานเสวนาพิเศษ 📌"ฟื้นฟูที่อยู่อาศัยหลังแผ่นดินไหว : นวัตกรรมซ่อมแซม เสริมแรง และลดความเสียหาย"
.
เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ วิศวกร สถาปนิก รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจ ได้รับข้อมูลที่มีคุณค่า สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบ ก่อสร้าง หรือปรับปรุงอาคารให้สามารถต้านทานภัยธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรมอีกด้วยอาคารที่อยู่อาศัยจำนวนมากได้รับความเสียหาย
.
🗓วันที่ 1 พฤษภาคม 2568
🕙 เวลา 10.30 – 13.00 น.
ณ พื้นที่ INNO-CORNER ในงาน สถาปนิก’68
.
สามารถเข้าร่วมได้ฟรีทุก session ไม่มีค่าใช้จ่าย!
พบกันในงานสถาปนิก’68 ระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 - 20.00 น.
ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3, อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ปฏิทินกิจกรรม
International Conference on Biodiversity 2025
ขอเชิญเข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติ
International Conference on Biodiversity 2025
หัวข้อ: Biodiversity and Humanity in Global Crisisวันที่ 5–7 พฤศจิกายน 2568ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
สวทช. ผลักดันเวทีความหลากหลายทางชีวภาพระดับโลก ร่วมกับหน่วยงานขับเคลื่อนงานวิจัยของประเทศไทย อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา มูลนิธิสวนหลวง ร.9 และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ขอเชิญนักวิจัย นักวิชาการ ผู้แทนภาครัฐ ขอเชิญนักวิจัย นักวิชาการ ผู้แทนภาครัฐ เอกชน และผู้สนใจ เข้าร่วมการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ "International Conference on Biodiversity 2025" ภายใต้แนวคิด “Biodiversity and Humanity in Global Crisis” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือด้านความหลากหลายทางชีวภาพในบริบทของวิกฤตโลก
หัวข้อการประชุม
ความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางอาหาร
ความหลากหลายทางชีวภาพและสุขภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพและการท่องเที่ยว
การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ
การอนุรักษ์วัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ
การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อรับมือกับวิกฤตโลก
การประชุมประกอบด้วยการบรรยายพิเศษจากวิทยากรรับเชิญระดับนานาชาติ การนำเสนอผลงานวิจัยแบบบรรยายและโปสเตอร์ พร้อมนิทรรศการจากภาคีเครือข่าย
🗓 วันสำคัญในการส่งบทคัดย่อ
1 พฤษภาคม 2568: เริ่มเปิดรับบทคัดย่อ
30 มิถุนายน 2568: วันสิ้นสุดการส่งบทคัดย่อ
15 สิงหาคม 2568: แจ้งผลการพิจารณาบทคัดย่อ
15 กันยายน 2568: ยืนยันการเข้าร่วม
เปิดลงทะเบียนออนไลน์ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 15 กันยายน 2568
💵 ค่าลงทะเบียน
ประเภทผู้เข้าร่วม
เข้าร่วมประชุม (5–6 พ.ย.)
เข้าร่วมประชุม+ทัศนศึกษา (5–7 พ.ย.)
ชาวต่างชาติ
100 USD
120 USD
คนไทยทั่วไป
1,000 บาท
1,500 บาท
นักเรียน/นักศึกษาไทย
500 บาท
700 บาท
หมายเหตุ: ค่าทัศนศึกษา (Excursion) รวมอยู่ในค่าลงทะเบียนแล้ว โดยสามารถเลือกโปรแกรมได้ 1 จาก 2 โปรแกรม ได้แก่
โปรแกรม 1: สวนหลวง ร.9
โปรแกรม 2: ป่าในเมือง ปตท.
📩 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
📧 Email: info.ibdconf@gmail.com📱 Line OA: @ibdconf🌐 Website: www.biodconference.org📘 Facebook: facebook.com/biodconference
ปฏิทินกิจกรรม
สภาวิศวกร จับมือ เนคเทค สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการตอบโจทย์เทรนด์ AI เปลี่ยนชีวิตด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ
28 เมษายน 2568 สภาวิศวกร กรุงเทพฯ: – สภาวิศวกร ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ "AI กับการสร้างสรรค์นวัตกรรม: จากเทคโนโลยีสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต" รุ่นที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตลอดจนการประยุกต์ใช้ AI เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทั้งในการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน
นายลือชัย ทองนิล เลขาธิการสภาวิศวกร ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI ในยุคปัจจุบัน และนำไปสู่การประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ต่อยอดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในการทำงาน
จากนั้นเป็นการอบรมให้ความรู้และ workshop โดย คุณชัชวาล สังคีตตระการ วิศวกรอาวุโส จากเนคเทค สวทช. มาเป็นวิทยากรหลักในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับหลักการและแนวทางการประยุกต์การใช้งาน AI ครอบคลุมถึงความเข้าใจในหลักการทำงาน การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือ ความถูกต้องและข้อควรระวังจากการใช้ข้อมูล AI กรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม พร้อมทดลองการใช้งานเครื่องมือ AI ในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการแนะนำเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยทีมวิจัยเนคเทค สวทช. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดขั้นตอนในการทำงาน
การอบรมในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมให้เกิดการนำ AI ไปใช้ในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับทุกคนในยุคดิจิทัล เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ได้อย่างเข้าใจ เท่าทันและเกิดประโยชน์สูงสุด
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
Thailand Science Park Convention Center หรือ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้รับมอบตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน ภายในงาน MICE Day 2025
นายสัตวแพทย์ ดร.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เข้ารับมอบตราสัญลักษณ์มาตรฐานการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนประเทศไทย (Thailand Sustainable Event Management Standard : TSEMS) ระดับ 2 TSEMS Engaged จาก ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จัดงานโดย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรม MICE และเสริมความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการ MICE ที่มีความโดดเด่นด้านคุณภาพและความยั่งยืน
ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park Convention Center: TSPCC) ตั้งอยู่ในใจกลางอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดดเด่นด้วยพื้นที่จัดงานขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้หลากหลายรูปแบบ พร้อมด้วยเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นระบบภาพและเสียง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และทีมงานมืออาชีพที่พร้อมให้บริการอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ศูนย์ประชุมฯ ยังรายล้อมไปด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนความรู้ เนื่องจากตั้งอยู่ในอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งเป็นแหล่งรวมของหน่วยงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมชั้นนำของประเทศ ทำให้ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่จัดงานประชุมสัมมนา แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาอีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สามารถติดต่อได้ที่ 02-564-7170 กด 1 หรือ ต่อ 6011-3 หรือ https://www.facebook.com/TSPConventionCenter
เราภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในสถานที่จัดงาน ที่ได้รับตราสัญลักษณ์มาตรฐานการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนประเทศไทย (Thailand Sustainable Event Management Standard : TSEMS) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลที่รับรองคุณภาพของสถานที่จัดงานในประเทศไทย "เราพร้อมรองรับทุกการประชุมอย่างมืออาชีพ"
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
IDA Platform ระบบนิเวศเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยก้าวกระโดดสู่อุตสาหกรรม 4.0
อุตสาหกรรม 4.0 คือ อุตสาหกรรมยุคใหม่ที่นำระบบไซเบอร์-กายภาพ (Cyber-Physical System: CPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้เซนเซอร์หรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ในการตรวจจับ วิเคราะห์ และควบคุมการทำงานของเครื่องจักร แรงงาน รวมถึงกิจกรรมการผลิตแบบเรียลไทม์มาใช้เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ปรับปรุง และปรับเปลี่ยนการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในภาพรวมประเทศไทย ณ ปี 2568 อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ 2-3 หรือเริ่มมีการใช้งานเครื่องจักรอัตโนมัติบ้าง แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ก้าวกระโดดสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้สำเร็จ สาเหตุสำคัญมาจากการขาดความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีและขาดเงินลงทุน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา IDA Platform (Industrial IoT and Data Analytics Platform) เพื่อเป็นระบบนิเวศสำหรับผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อกับแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ในการดำเนินงานได้รับการสนับสนุนจากเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)
IDA Platform พร้อมสนับสนุน 5 เทคโนโลยีปิดช่องโหว่อุตสาหกรรม
[caption id="attachment_68033" align="aligncenter" width="700"] ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. อธิบายว่าปัจจุบันภายใต้ IDA Platform มีเทคโนโลยีหลักที่พร้อมให้บริการแล้ว 5 เทคโนโลยี เทคโนโลยีแรก คือ Smart OEE (Overall Equipment Effectiveness) ระบบวัดประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ เทคโนโลยีที่สอง คือ EES (Energy & Efficiency System) ระบบวิเคราะห์ปริมาณการใช้พลังงานและประสิทธิภาพของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ เทคโนโลยีที่สาม คือ Acamp (Automated carbon accounting management platform) แพลตฟอร์มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรแบบอัตโนมัติและติดตามผลแบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีที่สี่ คือ NomadML (โนแมดเอ็มแอล) ระบบ visual inspection หรือตรวจสอบคุณภาพชิ้นงานจากภาพถ่ายด้วย AI และเทคโนโลยีที่ห้า คือ Daysie - AIoT for Edge Computing Platform แพลตฟอร์มสำหรับสร้างแอปพลิเคชัน AIoT (Artificial Intelligence of Things) สำหรับติดตั้งบนเอดจ์คอมพิวติง (edge computing)
เทคโนโลยีทั้ง 5 นี้ผ่านการวิจัยและพัฒนาให้ผู้ประกอบการนำไปใช้งานร่วมกับเครื่องจักรที่มีอยู่ได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องจักรใหม่ พร้อมปรับเปลี่ยนจากอุตสาหกรรม 2.0 หรือ 3.0 สู่ระดับ 4.0 ได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสูง นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้ยังมีแผนจะเพิ่มเทคโนโลยีอื่นเข้ามาในแพลตฟอร์ม เช่น เทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cybersecurity) และเทคโนโลยี Generative AI เพื่อสืบค้นและสอบถามข้อมูลเฉพาะขององค์กร เช่น แนวทางซ่อมบำรุงเครื่องจักร, ข้อแนะนำการปฏิบัติงานของบุคลากรแต่ละหน้าที่
ดร.พนิตา อธิบายว่า เทคโนโลยีข้างต้นพัฒนาขึ้นจากการสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการว่าโรงงานต้องเผชิญปัญหาการผลิตอย่างไรบ้าง โดยเทคโนโลยีทั้ง 5 ภายใต้ร่ม IDA Platform ณ ปัจจุบัน มีศักยภาพในการช่วยวัดประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิต และสะท้อนถึงปัญหาหรือช่องโหว่ที่ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรทั้งพลังงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ และเวลาเกินความจำเป็น ซึ่งหากผู้ประกอบการทราบปัญหาได้รวดเร็วและตรงจุด จะทำให้เกิดการแก้ไขเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตได้ทันท่วงที นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการค้าทั้งภายในประเทศและกับประเทศคู่ค้า
“ตัวอย่างการนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ เช่น บริษัทอาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมหวาน ได้ใช้เทคโนโลยีภายใต้ IDA Platform ตรวจวัดการใช้พลังงานของระบบทำความเย็นและห้องเย็นของโรงงาน ผลจากการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ทำให้พบจุดที่ใช้พลังงานสูง นำไปสู่การวิจัยระดับอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อลดการใช้พลังงาน นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้ายังนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเวลาเปิดใช้งานเครื่องจักรแต่ละเครื่องให้เป็นแบบไม่ต้องเริ่มทำงานพร้อมกันได้ (หากไม่มีความจำเป็น) เพื่อลดอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงในช่วงเวลาเดียวกัน (peak load) ซึ่งอาจทำให้พลังงานไฟฟ้าไม่เสถียรและทำให้ค่าไฟมีราคาสูง ผลจากการปรับเปลี่ยนทั้งหมดนี้ช่วยให้บริษัทประหยัดค่าไฟได้มากหลักแสนบาทต่อปี”
[caption id="attachment_68034" align="aligncenter" width="700"] ทีมงานบริษัทอาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) และเนคเทค สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_68035" align="aligncenter" width="450"] การปฏิบัติงานที่บริษัทอาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน)[/caption]
IDA Platform ระบบนิเวศสนับสนุนก้าวกระโดดสู่อุตสาหกรรม 4.0
ดร.พนิตา อธิบายว่า IDA Platform โดย SMC สวทช. เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มให้บริการเทคโนโลยี เพราะยังเป็นแซนด์บอกซ์ (sandbox) ให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมก่อนปรับใช้จริงในโรงงานด้วย ทั้งนี้ SMC ได้ช่วยวางแผนขั้นตอนการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ไว้ให้ผู้ประกอบการเป็น 3 ขั้นหลัก ขั้นแรกคือการประเมินสถานะระดับอุตสาหกรรมของโรงงานด้วยระบบ Thailand i4.0 Index ที่ สวทช. พัฒนาไว้เพื่อให้บริการการประเมินทั้งโดยผู้เชี่ยวชาญและการประเมินด้วยตัวเอง ซึ่งผลการประเมินจะชี้ให้เห็นระดับของอุตสาหกรรมทุกมิติที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนองค์กร และมิติที่ควรเร่งปรับปรุงก่อนเพื่อลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิผล ผู้ที่สนใจติดต่อขอรับการประเมินรวมถึงประเมินออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.nstda.or.th/i4platform/i4-maturity/
“ขั้นที่สองคือขั้นเตรียมความพร้อม โดย SMC ได้เปิด SMC Academy เพื่อให้บริการอบรมทักษะที่จำเป็นแก่ผู้ประกอบการ วิศวกรโรงงาน และ SI (System Integrator) โดยมีพื้นที่สำหรับทดสอบ (testbed) ไว้ให้สมาชิกได้ทดลองใช้งานเทคโนโลยีและทำ PoC (Proof of Concept) เพื่อทดสอบแผนปรับปรุงโรงงานก่อนใช้งานจริง ซึ่ง SMC มีบริการที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลือด้านวิเคราะห์และวางแผนปรับปรุงโรงงานด้วย ขั้นสุดท้ายคือการลงมือปฏิบัติจริง SMC พร้อมให้บริการทั้งเทคโนโลยีราคาจับต้องได้ และการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับแต่ละโรงงาน นอกจากนี้ SMC ยังพร้อมช่วยเหลือด้านการจับคู่กับ SI ที่เหมาะสม และแนะนำแหล่งเงินทุนหรือโครงการสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ให้แก่ผู้ประกอบการ โดยภายใต้ IDA Platform มีกิจกรรมสนับสนุนการลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีพร้อมสนับสนุนเงินลงทุนโรงงานละ 100,000 บาทมาตั้งแต่ปี 2564 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ก็เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน มีความสามารถทางการแข่งขันทางการค้าทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล”
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี และสมัครเข้าร่วม IDA Platform ได้ที่ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : SMC เนคเทค สวทช. และภาพจาก Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เริ่มแล้ว…ปั้นผู้จัดการนวัตกรรม “CIM” รุ่น 5 ยกระดับ-ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วย วทน. ในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก (CWEC)
24 เมษายน 2568 – สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต จัดพิธีเปิดหลักสูตรการสร้างผู้จัดการนวัตกรรม (Certified Innovation Manager: CIM) ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลาง-ตะวันตก รุ่นที่ 5 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวดำเนินการภายใต้โครงการพัฒนาระบบกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค (NEC, NeEC, CWEC, SEC) ณ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ โดยมี ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นางสาวชมพูนุช อนุศาสน์สิทธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม นางสาวมลุลี พรโชคชัย ผู้อำนวยการฝ่าย (รักษาการ) สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต และดร.ทนงศักดิ์ เทพสนธิ ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมงาน
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ประธานในพิธีเปิดหลักสูตรอบรมฯ กล่าวว่า โครงการการสร้างผู้จัดการนวัตกรรม (Certified Innovation Manager: CIM) ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลาง - ตะวันตก (Central - Western Economic Corridor: CWEC) ภายใต้โครงการการพัฒนาระบบกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค ประกอบด้วยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี ที่มุ่งพัฒนาฐานเศรษฐกิจชั้นนำด้านอุตสาหกรรมไฮเทคมูลค่าสูง โดยกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีกลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมาย ได้แก่ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (Arthoal Intelligence: AI) ดิจิทัล และไมโครอิเล็กทรอนิกส์
“การพัฒนาบุคลากรวิจัยและพัฒนาความสามารถทำงานวิจัยที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย สู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรม จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งจะบรรลุผลตามความมุ่งหมายเพื่อรองรับพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของประเทศ และพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยได้เป็นแกนนำหลักในภาคีสำคัญของโลกด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่ออนาคต พัฒนาทักษะและศักยภาพในการทำงาน สร้างเครือข่ายที่มีความเข้มแข็งต่อไป” ดร.พัชร์ลิตา กล่าว
ดร.ใจรัก เอื้อชูเกียรติ และ คุณอรุณศรี ธนะอิทธิพล ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. ได้กล่าวแนะนำหลักสูตรและรายละเอียดของกิจกรรมหลักสูตรผู้จัดการนวัตกรรม CIM-CWEC รุ่น 5 ที่จัดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน – กรกฎาคม 2568 โดยผู้เข้ารับการอบรมที่เป็นผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา จำนวน 36 ท่าน สำหรับโครงสร้างหลักสูตรหลักประกอบด้วย Pre-Workshop – การเตรียมความพร้อมให้กับผู้เข้าอบรมในวันแรกโดย ดร.วัลลภ ใหญ่ยิ่ง ผู้บริหารพร้อมทีมงานจากบริษัท เอชอาร์ดีไอ จำกัด Seminar&Workshop - การบรรยายและภาคปฏิบัติ Group Work - ประเมินผลการเรียนรู้ทักษะ IS Pitching – การจัดทำการค้นคว้าอิสระรายกลุ่ม (จัดทำโครงการด้านนวัตกรรมในองค์กร/พื้นที่และนำเสนอในรูปแบบ pitching ภายใต้กรอบหัวข้อด้านนวัตกรรมอุตสาหกรรมเป้าหมายในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก) Site Visiting Domestic – ศึกษาดูงานนอกสถานที่ และปิดท้ายหลักสูตรด้วยกิจกรรม National IS Pitching ที่เป็นการนำเสนอผลงานค้นคว้าอิสระระดับประเทศ
สำหรับการอบรมช่วงบ่าย ได้รับเกียรติจาก ดร. กิตติพงค์ พร้อมวงค์ มาบรรยายเรื่อง “ยุทธศาสตร์นวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศไทยในยุคโลกผันผวน” พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าอบรมได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อประเด็น “ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงพลิกโฉมโลก และ Geopolitics ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เราก็อยู่ได้สบาย” ซึ่งนำไปสู่การอภิปรายที่เข้มข้น หลากหลายมุมมอง และเห็นถึงความสำคัญของการปรับแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อันเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดทิศทางการพัฒนานวัตกรรมของประเทศต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. นำ เสนอ 2 ชุดตรวจคัดกรอง “โรคในปลานิล-โรคใบด่างมันฯ” ช่วยเกษตรกรแก้ไขปัญหาในพื้นที่ นครพนม
(27 เมษายน 2568) ณ โรงเรียนคำเตยอุปถัมภ์ ตำบลคำเตย อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม: นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วมตรวจเยี่ยมการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดนครพนม ภายใต้การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ในระหว่างวันที่ 28 - 29 เมษายน 2568 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร)
โดยมี ว่าที่ร้อยตรีรวยรุ่ง ใครบุตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายแพทย์อลงกต มณีกาศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม เขต 3 และ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยนครพนม พร้อมด้วยผู้นำเกษตรกรและประชาชนให้การต้อนรับและเข้าร่วมรับฟังนโยบายการนำงานวิจัย วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมมาแก้ไขปัญหา โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีหน่วยงานในกระทรวง อว. นำงานวิจัยและนวัตกรรมพร้อมใช้มาจัดแสดง ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก
ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ได้มอบหมายให้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค สวทช.) เป็นผู้แทนเข้าร่วม พร้อมด้วย ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค สวทช.) และคณะผู้บริหารและนักวิจัยฯ รอให้การต้อนรับ พร้อมนำเสนอผลงานวิจัยที่ สวทช. ที่ได้นำมาลงพื้นที่ในครั้งนี้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค กล่าวว่า สวทช. โดยไบโอเทค ได้นำ 2 ชุดตรวจด้านการเกษตร มานำเสนอต่อรัฐมนตรี อว. และเผยแพร่แก่พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ คือ ชุดตรวจ “Tilapia Strep-Easy Kit ชุดตรวจอย่างง่ายในรูปแบบ Immunochromatographic strip test (ICG strip test) สำหรับตรวจวินิจฉัยเชื้อ Streptococcus agalactiae ในปลานิล และชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง คัดกรองโรคใบด่างฯ และท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นักวิจัยไบโอเทค สวทช. โดยทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ พัฒนาขึ้นทั้ง 2 เทคโนโลยี เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของเกษตรกร และมีการขยายผลใช้งานแล้วทั่วประเทศ
ชุดตรวจ “Tilapia Strep-Easy Kit: ชุดตรวจอย่างง่ายเกษตรกรตรวจได้เอง สำหรับการเฝ้าระวังและจัดการควบคุมโรคสเตรปโตคอคโคซีส ในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลานิลและปลาทับทิม” เป็นชุดตรวจสำหรับตรวจเชื้อ Streptococcus agalactiae ในปลานิลและปลาทับทิม ที่สามารถตรวจเชื้อ S. agalactiae serotype Ia และ S. agalactiae serotype III ได้พร้อมกันในชุดตรวจเดียว เป็นชุดตรวจที่ใช้ได้ง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องมือ เกษตรกรสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง สามารถนำไปตรวจในฟาร์มได้ มีประสิทธิภาพสูง ให้ผลทดสอบสอดคล้อง 94.4% กับวิธีการมาตรฐานที่กรมประมงใช้ (มกษ. 10453-2553) ผ่านการรับรองมาตรฐานอาหารและยา (อย.) เลขที่ 67-1-3-3-0000863 ชุดตรวจนี้สามารถนำไปใช้ตรวจตัวอย่างที่หลากหลายรูปแบบ เช่น เมือกที่ผิวข้างลำตัวปลา และเลือด (ทดสอบปลาที่มีชีวิต) ไต (ปลาตาย) จึงสามารถใช้ตรวจได้กับปลาทุกระยะ เช่น พ่อแม่พันธุ์ ลูกปลาระยะอนุบาล และปลาโต รวมถึงน้ำในบ่อเลี้ยงปลา และยังสามารถนำไปใช้ในการเฝ้าระวังโรคในฟาร์มเพาะเลี้ยงปลานิลและปลาทับทิมได้ตลอดทั้งกระบวนการผลิต
ด้าน ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง คัดกรองโรคใบด่างฯ และท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ทีมนักวิจัยฯ ได้พัฒนาชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test ซึ่งสามารถพกพาไปใช้ในภาคสนาม โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างส่งมาตรวจยังห้องปฏิบัติการ สามารถทราบผลได้ภายใน 15 นาที และตรวจสอบได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการหรือเครื่องมือวัดอ่านผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในประเทศไทย รวมถึงการตรวจหาเชื้อในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดเชื้อ สำหรับชุดตรวจ Strip test มีความแม่นยำร้อยละ 96 ความจำเพาะเจาะจงร้อยละ 100 และความไวร้อยละ 91 ใช้งานง่ายเพียง 3 ขั้นตอน 1) นำใบพืชมาบดในบัพเฟอร์ที่เตรียมไว้ให้ 2) จุ่มตัว Strip test ลงไปในน้ำคั้นใบพืชที่บดได้ และ 3) อ่านผลจากแถบสีที่เกิดขึ้น หากขึ้น 2 ขีด ณ ตำแหน่ง T และ C แสดงว่าตัวอย่างติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง หากขึ้น 1 ขีด ณ ตำแหน่ง C แสดงว่าตัวอย่างไม่ติดโรค
การนำเสนอชุดตรวจทั้งสองนวัตกรรมนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ สวทช. ในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาภาคการเกษตรในพื้นที่จังหวัดนครพนม และทั่วประเทศอย่างแท้จริง ก่อนการประชุม ครม. สัญจร ที่มีวัตถุประสงค์ในการมุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย “ระบบแนะนำเมนูอาหารกลางวันแบบอัตโนมัติ-คัดกรองการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก” หนุนใช้ โรงเรียนสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
(วันที่ 24 เมษายน 2568) ณ โรงแรมอเล็กซานเดอร์ ถ.รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร: ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นวิทยากรร่วมกับทีมวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค - สวทช.) ในการขับเคลื่อนนโยบายสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สู่การปฏิบัติ ผ่านการใช้โปรแกรมบันทึกและคัดกรองการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็กสำหรับโรงเรียน (KidDiary School) และโปรแกรมระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติ (Thai School Lunch) ของสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้จัดทำโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาทักษะผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการอาหารกลางวันในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 3 รุ่น ระหว่างเดือนเมษายน - เดือนสิงหาคม 2568 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานให้แก่ข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่น และบุคลากรของสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบหรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดอาหารกลางวัน และงานโภชนาการ/อนามัย ให้มีความรู้ความเข้าใจ ในการจัดอาหารกลางวันได้อย่างมีคุณภาพ สามารถสร้างเมนูอาหารขึ้นได้เอง ตลอดจนมีความรู้ความเข้าใจประเมิน คัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการเด็ก เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการเฝ้าระวังและคัดกรองด้านพัฒนาการและการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถยกระดับคุณภาพอาหารและโภชนาการในโรงเรียนเพื่อสุขภาวะที่ดีของนักเรียน
ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งสถานศึกษา กุมารแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานสาธารณสุข หน่วยงานกำกับดูแลทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น ผู้ปกครอง ผู้ประกอบการรับเหมาประกอบอาหารโรงเรียน เกษตรกร รวมถึงประชาชนทั่วไปให้เข้าถึงและนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและทันการณ์ ทีมวิจัย เนคเทค สวทช. ได้ให้ข้อมูลถึงการขับเคลื่อนงานวิจัย ได้แก่ Thai School Lunch แพลตฟอร์มบริหารจัดการอาหาร โภชนาการและสุขภาวะนักเรียนแบบครบวงจร เพื่อนำมาบริหารจัดการสภาพปัญหาและความต้องการของสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผ่านการให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มบริหารจัดการอาหาร โภชนาการและสุขภาวะนักเรียนแบบครบวงจร ประกอบด้วยภารกิจ คือ 1.พัฒนาแพลตฟอร์มด้านสุขภาพและโภชนาการเพื่อตอบโจทย์สถานศึกษาในทุกสังกัด 2. มีการเชื่อมโยงข้อมูลให้หน่วยงานกำกับดูแลเพื่อนำไปใช้ในการออกนโยบาย ที่เหมาะสม และ 3. มีความร่วมมือกับพันธมิตรในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างให้เกิด ecosystem การจัดการอาหารในโรงเรียนที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ KidDiary Platform และเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้โรงเรียนสามารถจัดอาหารกลางวัน (และอาหารเข้า) ที่มีคุณภาพ ประมาณการค่าใช้จ่าย และวัตถุดิบล่วงหน้าเป็นระบบจัดสำรับอาหารกลางวันโรงเรียนเพื่อช่วยให้โรงเรียนสามารถจัดเมนูอาหารกลางวันที่มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน เพียงพอ และเหมาะสมกับเด็กนักเรียนในแต่ละช่วงวัย ภายใต้งบประมาณที่จำกัด โดยระบบใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต ข้อมูลต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงและเป็นข้อมูลที่ทันสมัยตลอดเวลา ตลอดจนช่วยติดตามการใช้งานของแต่ละโรงเรียนได้ สามารถวางแผนจัดการสำรับอาหารกลางวันล่วงหน้า และเผยแพร่สำรับอาหารต่าง ๆ ที่ได้จัดไว้แล้วให้โรงเรียนอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที
สำหรับ KidDiary Platform เป็นระบบฐานข้อมูลสุขภาพเด็กและเยาวชน เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับพ่อแม่ในการเฝ้าระวังสุขภาพของลูกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี ในหลากหลายด้าน เช่น การเจริญเติบโตและภาวะโภชนาการ พัฒนาการสมวัย วัคซีน สุขภาพช่องปากและฟัน สังคมและอารมณ์ เชื่อมโยงข้อมูล ระหว่างพ่อแม่ โรงพยาบาล และโรงเรียน โดยแอปพลิเคชันทำงานผ่านเซิร์ฟเวอร์ทำให้สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนเมื่อพบเด็กที่มีความเสี่ยง เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสพบแพทย์และรับการประเมินอย่างทันการณ์ พร้อมรับทราบแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมรอบด้านตามวัย
ประโยชน์สำหรับพ่อแม่และผู้ปกครอง เพื่อติดตามเฝ้าระวังสุขภาพและพัฒนาการเด็กอย่างต่อเนื่องแจ้งเตือนเมื่อพบเด็กมีความเสี่ยงด้านการเจริญเติบโตและพัฒนาการได้ตามเกณฑ์ เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำพ่อแม่ในเรื่องโภชนาการและการเสริมพัฒนาการ ทั้งนี้หากผลประเมินพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัย ระบบจะส่งคลิปส่งเสริมพัฒนาการให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเพื่อการฝึกฝน และแจ้งเตือนการฉีดวัคชีน เพื่อให้ได้รับวัคซีนครบตามกำหนด
ประโยชน์สำหรับโรงพยาบาล ช่วยเชื่อมต่อข้อมูล KidDiary กับผู้ปกครองและโรงเรียนได้อัตโนมัติ โดยข้อมูลที่บันทึกและแสดงในแอปพลิเคขัน ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ตรวจสอบและแจ้งเตือนเมื่อพบว่าเด็กมีความเสี่ยงด้านการเติบโตและพัฒนาการไม่ได้ตามเกณฑ์ ลดภาระงานในการบันทึกข้อมูล สามารถประเมินสถิติภาพรวม เพื่อการบริหารจัดการดูแลเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และ ประโยชน์สำหรับโรงเรียน เพื่อติดตาม เฝ้าระวังสุขภาพและพัฒนาการเด็กอย่างต่อเนื่อง ลดภาระงานและความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลลงระบบ และประเมินผลแบบอัตโนมัติ โรงเรียนได้เห็นข้อมูลภาพรวมที่ถูกต้อง ทันสมัย นำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที เช่น หากพบเด็กส่วนใหญ่มีภาวะน้ำหนักเกิน อาจจัดกิจกรรมให้เด็กได้ออกกำลังกายมากขึ้น
ทั้งนี้การถ่ายทอดและสนับสนุนหนุนการระบบทั้ง 2 ระบบของ สวทช. นำมาใช้ในสถานศึกษาของ อปท. เพื่อให้ครอบคลุมทั้งด้านคุณค่าทางโภชนาการและพัฒนาการของนักเรียนได้อย่างสมวัยยิ่งขึ้น และเพื่อให้ อปท. บริหารจัดการให้มีความสอดคล้องกับสภาพภูมิสังคมและบริบทของสถานศึกษาหรือชุมชนนั้น ๆ ต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ENTEC สวทช. ผนึกกำลัง กกพ. เสริมศักยภาพบุคลากร รับมือการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
วันที่ 25 เมษายน 2568 ณ โรงแรมมณเฑียร กรุงเทพฯ : ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตร "Capability Building for Energy Transition (2025)" ให้แก่บุคลากรสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) โดยได้รับเกียรติจาก ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. เป็นประธานเปิดงานและกล่าวโอวาท โดยเน้นย้ำความสำคัญของหลักสูตรนี้ในการเป็นเวทีเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวและเติบโตในโลกพลังงานยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง
ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ.
ด้าน ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC สวทช. ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมและรายงานว่า โครงการฝึกอบรมนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนให้เห็นถึงวาระสำคัญระดับชาติของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อมุ่งสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืน มั่นคง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หลักสูตรฝึกอบรมนี้ได้รับการออกแบบให้ครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในทุกมิติ ทั้งในด้านนโยบาย ทิศทาง แนวโน้ม และเทคโนโลยี ผ่านการสัมมนาในหัวข้อหลักต่าง ๆ อาทิ การเปลี่ยนผ่านและแนวโน้มด้านพลังงาน, เทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียน, ตลาดไฟฟ้าในอนาคต, โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR), เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานและพลังงานไฮโดรเจน, แนวทางการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน, และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ นอกจากนี้ หลักสูตรยังได้รวมกิจกรรมการศึกษาดูงานสถานประกอบการด้านพลังงานไว้ด้วย ซึ่งกิจกรรมการฝึกอบรมนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในนโยบาย ทิศทาง แนวโน้ม และเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานให้แก่บุคลากร กกพ. เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถปรับตัว รองรับ และเติบโตในโลกพลังงานยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ และร่วมผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานที่ยั่งยืน มั่นคง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การฝึกอบรมดังกล่าวจะดำเนินการไปอย่างต่อเนื่องระหว่างเดือนเมษายนจนถึงเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งนับเป็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่าง ENTEC สวทช. และ กกพ. ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมอัปเดตและขับเคลื่อนเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ ในการประชุม Thai PVSEC-2
วันที่ 25 เมษายน 2568 ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (อาคารจามจุรี 10) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เข้าร่วมการประชุมวิชาการ เรื่อง เซลล์แสงอาทิตย์ไทย ครั้งที่ 2 (2nd Thai Photovoltaic Science and Engineering Conference : Thai PVSEC-2) งานดังกล่าวจัดขึ้นโดยคณะกรรมการ PVSEC-36 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ดุสิต เครืองาม จากสมาคมอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ไทย (TPVA) เป็นประธานจัดการประชุม และได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.วิบูลย์ ศรีเจริญชัยกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเปิดงาน การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมผลงานวิจัย พัฒนา และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทย รวมถึงนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ โดยมีนักวิชาการและนักวิจัยจากหลากหลายสถาบันเข้าร่วมงาน เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยด้านเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศ
ศาสตราจารย์ ดร.ดุสิต เครืองาม จากสมาคมอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ไทย (TPVA)
ศาสตราจารย์ ดร.วิบูลย์ ศรีเจริญชัยกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เนื้อหาการประชุมประกอบด้วยการบรรยายใน 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ PV in Sustainable Energy Systems, Policy, System Engineering and Field Performance และ Next-generation Solar Cells ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เรื่องนโยบาย สถานภาพการผลิตไฟฟ้า การบริหารจัดการพลังงาน การใช้งาน การทดสอบ มาตรฐาน การรีไซเคิล ไปจนถึงงานวิจัยด้านวัสดุและเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดใหม่ ๆ
ในการนี้ ทีมนักวิจัย สวทช. มีบทบาทสำคัญ โดย ดร.จิราวรรณ มงคลธนทรรศ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน ENTEC สวทช. ร่วมบรรยายเรื่อง การออกแบบระบบกักเก็บพลังงานร่วมกับพลังงานแสงอาทิตย์ ใน Session: PV in Sustainable Energy Systems, Policy ซึ่งครอบคลุมนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ สถานภาพการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ของประเทศไทย และงานวิจัยด้านการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์
ขณะที่ ดร.ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ ENTEC สวทช. ร่วมเป็นผู้ดำเนินรายการใน Session: Next-generation Solar Cells ซึ่งนำเสนองานวิจัยด้านวัสดุและเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดต่าง ๆ อาทิ Perovskite และ Crystalline Silicon Tandem cells
นอกจากนี้ ดร.กอบศักดิ์ ศรีประภา นักวิจัย กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ NECTEC สวทช. ได้ร่วมเป็นผู้ดำเนินรายการใน Session: System Engineering and Field Performance ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานวิจัยด้านการใช้งาน ทดสอบและวิเคราะห์แผงและระบบเซลล์แสงอาทิตย์ มาตรฐาน รวมถึงการรีไซเคิลแผงเซลล์แสงอาทิตย์
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


