หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
“ปทุมธานี” นำร่อง Food Bank Model จังหวัดต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน
จังหวัดปทุมธานี นำร่อง "ปทุมธานีต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน (Pathum Thani Food Bank Model)” เป็นจังหวัดต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทยใน “โครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน” จากความร่วมมือระหว่าง กระทรวง อว. โดย สวทช. กับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองจังหวัดปทุมธานี สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี และ มูลนิธิ SOS ที่ร่วมกันใช้กลไก “ชุมชนรักษ์อาหาร” (Local Food Rescue) ประสานความร่วมมือหน่วยงานและภาคธุรกิจใน จ.ปทุมธานี สร้างเครือข่ายผู้บริจาคอาหารส่วนเกิน พร้อมเชื่อมโยงอาสาสมัครและจิตอาสาเป็นตัวกลางส่งต่ออาหารให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ประสบภัย เพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ควบคู่กับ การลดปริมาณขยะอาหารส่วนเกินในพื้นที่ ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤติโลกร้อน โดยมีการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินให้มีคุณภาพและความปลอดภัยครอบคลุมทุกมิติ ทั้งศูนย์ไบโอเทค-สวทช. ทำเรื่องแนวปฏิบัติความปลอดภัยของอาหาร, ศูนย์เนคเทค-สวทช. ทำดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับจับคู่ "ผู้ให้" และ "ผู้รับ"และทีมวิจัย TIIS ศูนย์เอ็มเทค-สวทช. ทำเรื่องของฐานข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นต์ ก่อนขยายผลจังหวัดต้นแบบอีก 7 จังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วไทยภายในปี 2568
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ – สวรส. และพันธมิตร จัดงานประชุมวิชาการ ครั้งที่ 4 “Genomics Thailand in Action: Transforming Healthcare in Thailand”
(30 เมษายน 2568) - สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และพันธมิตร จัดประชุมวิชาการประจำปี ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ “Genomics Thailand in Action: Transforming Healthcare in Thailand” ระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 2 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ เพื่อแสดงพลังขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจีโนมิกส์ของไทยก้าวใหม่เพื่อปฏิบัติการดูแลสุขภาพ ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกษม ตั้งเกษมสำราญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านควบคุมป้องกันโรค นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) สำนักวิชาการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นพ.จักรกฤษณ์ เอื้อสุนทรวัฒนา นายกสมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ และ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในช่วงพิธีเปิดมีการรายงานสรุปการประชุม โดย นพ.จักรกฤษณ์ เอื้อสุนทรวัฒนา และพิธีมอบรางวัลเกียรติยศเพื่อเชิดชูผลงานด้านจีโนมิกส์ประเทศไทย การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการนำเสนอความก้าวหน้าภายใต้แผนงาน Genomics Thailand Phase 2 การพัฒนาเทคโนโลยีจีโนมเพื่อการแพทย์แม่นยำ การวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมในระดับประชากรเพื่อประโยชน์ทางคลินิกและสาธารณสุข รวมถึงการพัฒนาด้านกฎหมาย จริยธรรม และการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สุขภาพ พร้อมการเสวนาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ ตลอดระยะเวลา 3 วัน การประชุมมีการบรรยายและเสวนากว่า 40 หัวข้อ โดยวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมบรรยายจำนวน 54 ท่าน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการบรรยายพิเศษจาก นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “New Target from Exome Data” ศ. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, สวรส. ในหัวข้อ "Genomics Thailand Phase 2" นพ.ปิยะฤทธิ์ อิทธิชัยวงศ์ จากศูนย์นวัตกรรมข้อมูลศิริราช (SiData+) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในหัวข้อ "AI Session" และ รศ. นพ.ธันยชัย สุระ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ในหัวข้อ "From Bench to Clinical Applications" พร้อมด้วยการบรรยายจากวิทยากรนานาชาติ ได้แก่ Dr. Seik-Soon Khor จาก Nanyang Technological University, Singapore ในหัวข้อ "HLA databases" พร้อมกันนี้ ในงานดังกล่าว ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยังได้รับเชิญเข้าร่วมบรรยายในประเด็น Driving Precision Medicine Implementation with Genomics Thailand ซึ่งบรรยายภายใต้ Parallel Session ในหัวข้อ Bioinformatics งานประชุมวิชาการของสมาคมมนุษยพันธุศาสตร์มีหัวข้อการประชุมที่ครอบคลุมและหลากหลาย ซึ่งได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศจากสถาบันชั้นนำเข้าร่วม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระดับประเทศและนานาชาติ โดยจัดการประชุมในรูปแบบ Parallel Sessions ทำให้ผู้เข้าร่วมสามารถเลือกเรียนรู้ในสาขาที่สนใจอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้นักวิจัยรุ่นใหม่ได้พัฒนาศักยภาพและสร้างเครือข่ายวิชาการที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ งานประชุมยังให้ความสำคัญกับประเด็นด้านจริยธรรม กฎหมาย และการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมในเชิงปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมพร้อมของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการแพทย์แม่นยำและจีโนมิกส์อย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อว. จัดพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวง อว. ครบรอบ 6 ปี
2 พฤษภาคม 2568 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีทำบุญตักบาตรอาหารแห้งและถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป จากวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวง อว. ครบรอบ 6 ปี โดยมี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวง พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงาน ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมพิธี ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารอุดมศึกษา 2 สป.อว. (ศรีอยุธยา) ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มอบหมายให้ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค-สวทช.) พร้อมด้วย ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นผู้แทนร่วมทำบุญตักบาตรในครั้งนี้ จากนั้น น.ส.ศุภมาส พร้อมคณะผู้บริหาร เดินทางไปยังห้องประชุมศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ชั้น 3 อาคารอุดมศึกษา 1 สป.อว. (ศรีอยุธยา) เพื่อมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ “คนดีศรี อว.” ประจำปี พ.ศ. 2567 และถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช (รัชการที่ 4) ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทรวง อว. (โยธี)
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือมูลนิธิ SOS และ จ.ปทุมธานี สร้างชุมชนรักษ์อาหาร ดัน “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล” ต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกินระดับท้องถิ่น มุ่งใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างยั่งยืน
(วันที่ 2 พฤษภาคม 2568) ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี และมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) ลงนามความร่วมมือใน “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน” โดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหาร (Local Food Rescue) เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี อาทิ ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ประสบภัย ควบคู่ไปกับการลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ โดยมุ่งสู่การพัฒนา “ปทุมธานีต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน (Pathum Thani Food Bank Model)” เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาการเข้าถึงอาหารและการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างยั่งยืน โครงการนี้ประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ที่เหมาะสมในหลายด้าน ครอบคลุมทั้งความปลอดภัยอาหาร การเก็บรักษา การขนส่ง การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ การแจกจ่าย รวมถึงการคำนวณข้อมูลการปล่อยคาร์บอน ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญและจะเป็นต้นแบบการดำเนินงานในจังหวัดอื่น ๆ ตามเป้าหมายที่จะนำโมเดลนี้ขยายผลไปอีก 7 จังหวัดทั่วไทยภายในปี 2568 ทั้งนี้ ในพิธีลงนามมีคณะผู้บริหารและหน่วยงานที่ร่วมลงนามความร่วมมือ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายผู้ร่วมบริจาคอาหารส่วนเกิน ได้แก่ ตลาดสี่มุมเมือง เซียร์รังสิต ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ตลาดไท และซีพีแรม รวมถึงผู้แทนจากชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ของจังหวัด เข้าร่วมในงานอย่างคับคั่ง ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้พัฒนาเครื่องมือและแพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดปัญหาขยะอาหาร ประกอบด้วยการจัดทำแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยอาหารสำหรับการบริจาคอาหารโดยไบโอเทค การพัฒนาแพลตฟอร์มและระบบฐานข้อมูลเพื่อเชื่อมโยงผู้บริจาคอาหาร ผู้รับอาหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเนคเทค ตลอดจนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของอาหารส่วนเกินต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเอ็มเทค นอกจากนี้ ยังมีทีมวิจัยนโยบายที่ศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนกระบวนการบริจาคอาหารส่วนเกินและจัดตั้งเป็นธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. จะนำผลงานวิจัยเข้าไปสนับสนุนการขยายผลการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินในระดับท้องถิ่นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมผ่านกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ในการประสานงานและเชื่อมโยงหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงจะเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ในการจัดการอาหารส่วนเกิน ลดขยะอาหาร และส่งเสริมความร่วมมือในสังคมได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ความร่วมมือการขยายผลโครงการการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน เพื่อเกิดเป็น “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล” นับเป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อจังหวัดปทุมธานี และจะเป็นต้นแบบที่มีคุณค่าและสามารถสร้างประโยชน์ให้กับจังหวัดอื่น ๆ ได้ด้วย โดยทั้ง 3 หน่วยงานของจังหวัด ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล เกิดขึ้นจริง และสามารถสร้างความยั่งยืนด้านอาหารให้กับชุมชนของเราต่อไป พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า อบจ.ปทุมธานี จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม สร้างเครือข่ายผู้บริจาคอาหารในพื้นที่ด้วยการเชื่อมโยงผู้ผลิตอาหาร ตลาดค้าส่ง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และภาคธุรกิจต่าง ๆ ให้เข้ามามีบทบาทในการบริจาคอาหารส่วนเกินแก่กลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชื่อมโยงเครือข่ายผู้รับอาหารร่วมกับอาสาสมัครและจิตอาสาในพื้นที่ และร่วมสำรวจข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้การกระจายอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง รวมถึงการจัดหาและสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำเนินโครงการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางหรือผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงอาหารได้มากขึ้น ลดภาระครัวเรือน และยกระดับคุณภาพชีวิต ขณะเดียวกันก็ยังสามารถลดปริมาณขยะอาหารที่ต้องจัดการในพื้นที่ ลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม และยังลดงบประมาณของท้องถิ่นในการจัดการขยะได้อีกด้วย นายนรินทร์ศักดิ์ พรรคเจริญ นักส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชำนาญการพิเศษ สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี จะให้การสนับสนุนและประสานงานระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในระดับท้องถิ่น โดยจะร่วมกันสำรวจและให้ข้อมูลที่แม่นยำของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นประชากรกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายผู้รับอาหารส่วนเกินในชุมชน ร่วมกับอาสาสมัครและจิตอาสา ตลอดจนประชาสัมพันธ์ช่องทางการรับและแจกจ่ายอาหารให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ได้รับรู้และเข้าถึงได้อย่างครอบคลุม ด้าน สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี จะมุ่งเน้นการดูแล พัฒนา และส่งเสริมศักยภาพของประชากรในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง โดยได้ร่วมกันสำรวจข้อมูลและระบุกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ พร้อมทั้งประสานงานกับตัวกลางที่มีศักยภาพในการส่งต่ออาหารส่วนเกินอย่างทั่วถึง เพื่อให้ความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงผู้ที่ต้องการได้จริง นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมในการสร้างและสนับสนุนเครือข่ายอาสาสมัครพัฒนาสังคม และเครือข่ายองค์กรชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโครงการ ตลอดจนประสานการเชื่อมโยงกับผู้รับอาหารส่วนเกินในพื้นที่ ร่วมกับอาสาสมัครและจิตอาสา รวมถึงการประชาสัมพันธ์และสื่อสารข้อมูลของโครงการให้ครอบคลุมและเข้าถึงเครือข่ายในพื้นที่อย่างทั่วถึง นายทวี อิ่มพูลทรัพย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย มูลนิธิ สโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) กล่าวว่า โครงการรักษ์อาหาร เป็นโครงการที่ SOS ได้ริเริ่มขึ้นด้วยความตระหนักถึงปัญหาอาหารเหลือทิ้งและความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้ด้อยโอกาสและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง เราเชื่อว่าการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน จะเป็นพลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี วันนี้จึงเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการรักษ์อาหาร จ.ปทุมธานี ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาระบบการจัดการอาหารส่วนเกิน สร้างความตระหนักรู้เรื่องการบริโภคอาหารอย่างยั่งยืน สนับสนุนการเข้าถึงอาหารของผู้ด้อยโอกาส และนับเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ยั่งยืน และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมไทยในวงกว้าง โอกาสนี้ คณะผู้บริหารและหน่วยงานที่ร่วมลงนามความร่วมมือ พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ได้ร่วมลงพื้นที่ ณ ชุมชนบ้านมั่นคง โครงการสหกรณ์เคหสถานปทุมธานีโมเดล จำกัด (ตรงข้าม ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) ซ.คลองหลวง 35 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เพื่อร่วมกันส่งต่ออาหารส่วนเกินให้แก่ชาวบ้านในชุมชนกว่า 200 คน ถือเป็นพื้นที่ปฐมบทแสดงเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นในการดำเนินโครงการ ฯ ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อให้การส่งต่ออาหาร และขยายผลด้วยกลไกชุมชนรักษ์อาหารภายใต้ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล ช่วยชุบชีวิตให้อาหารไม่กลายเป็นขยะอย่างสูญเปล่า และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ผู้มีรายได้น้อยในสังคมได้อย่างแท้จริง ผู้สนใจทุกภาคส่วนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สวทช. โทร. 02 5647000 อีเมล Foodbank@nstda.or.th และมูลนิธิ SOS โทร. 02 0751417, 062 6750004 และ Facebook: @sosfoundationthai
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“อว. Job Fair 2025” ครั้งแรก! เปิดรับกว่า 150,000 ตำแหน่ง พร้อมทุนเรียนต่อและเวิร์กชอปอัปสกิล
(วันที่ 2 พฤษภาคม 2568) ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. แถลงข่าวกระทรวง อว. เตรียมจัดงาน “อว. Job Fair 2025” ครั้งแรกอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 9–11 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Exhibition Hall 1–2 ภายใต้แนวคิด “From Passion to Profession – เปลี่ยนความฝันให้เป็นอาชีพจริง” โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้บริหารกระทรวง อว. และศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 สป.อว. (โยธี) นางสาวศุภมาส กล่าวว่า งาน “อว. Job Fair 2025” จัดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่เชื่อมโยงเยาวชน บัณฑิตใหม่ และแรงงานทักษะสูงกับตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ โดยมีภาคธุรกิจชั้นนำและภาครัฐมาร่วมเปิดบูธรับสมัครงานเป็นจำนวนมาก มีการเปิดรับสมัครตำแหน่งงานจากภาคธุรกิจชั้นนำทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 150,000 อัตรา เปิดรับสมัครตำแหน่งงานภาครัฐ ในหน่วยงานวิจัยระดับแนวหน้าและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ มากกว่า 1,000 อัตรา พร้อมเปิดโอกาสสู่โลกการทำงานจริงด้วยการฝึกงานในองค์กรชั้นนำและบริษัทสตาร์ทอัพชื่อดังทั้งในและต่างประเทศ มากกว่า 10,000 อัตรา รมว.อว. กล่าวต่อว่า ตำแหน่งงานที่กระทรวง อว. รวบรวมมาเปิดรับสมัครในงานนี้ครอบคลุมทั้งอาชีพในปัจจุบันและอาชีพแห่งอนาคต ที่สำคัญใครสนใจที่อยากจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับกระทรวง อว. ในการทำงานกับองค์กรชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับประเทศต้องห้ามพลาด เพราะจะมีหลายหน่วยงานที่จะมาเปิดรับสมัครพร้อม ๆ กันในงานนี้ อาทิ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดรับสมัครบุคลากรตำแหน่งนักวิจัย และนักพัฒนาธุรกิจและการตลาด รวม 30 อัตรา พร้อมทั้งรับนักศึกษาฝึกงานอีก 50 คนในหลากหลายสาขาวิชา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดรับสมัครบุคลากรจำนวน 43 อัตรา ครอบคลุมทั้งระดับผู้บริหาร นักวิจัย และสายสนับสนุน สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เปิดรับสมัครวิศวกรแมคคาทรอนิกส์ วิศวกรซอฟต์แวร์ วิศวกรซอฟต์แวร์ฝังตัว วิศวกรเครื่องกล วิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกร FPGA (Field Programmable Gate Array) วิศวกรซ่อมบำรุง ช่างเทคนิคเครื่องกล นักวิทยาศาสตร์ควบคุมกล้องโทรทรรศน์ รวมถึงนักวิจัย/ผู้ช่วยนักวิจัย เป็นต้น ขณะเดียวกัน สำหรับนักศึกษาหรือบัณทิตจบใหม่ที่ต้องการฝึกงานกับองค์กรชั้นนำและบริษัทสตาร์ทอัพ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ยังมาเปิดบูธรับสมัคร Innovator Trainee สำหรับนักศึกษาและบัณฑิตจบใหม่ไม่เกิน 2 ปี ไปฝึกงานในบริษัทสตาร์ทอัพ, เอสเอ็มอี (SMEs) และองค์กรธุรกิจในเครือข่ายผู้ประกอบการนวัตกรรม 30 บริษัท สัมภาษณ์และทราบผลในงานทันที รวมถึงยังมีเครือ IHG และ Marriott รับสมัครผู้ที่ต้องการฝึกงานกับโรงแรมในเครือ IHG และ Marriott ในสาขาต่างๆ เช่น การจัดการโรงแรม เชฟอาหารและเบเกอรี่ การบัญชี กว่า 5,000 อัตรา และยังเปิดรับสมัครงานสำหรับผู้ที่สนใจเข้าสู่อุตสาหกรรมบริการระดับสากลซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกกว่า 50,000 อัตราอีกด้วย นอกจากโอกาสการสมัครงานจริง ผู้เข้าร่วมงานยังจะได้พบกับกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งในด้านทักษะ ความรู้ และเครือข่ายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น การอบรมหลักสูตร Upskill / Reskill / Newskill ที่มีมากกว่า 1,500 หลักสูตร และยังมีการเปิดรับสมัครผู้สนใจรับทุนการศึกษาต่อระดับสูงกว่าปริญญาตรีมากกว่า 230 ทุน รวมมูลค่ากว่า 170 ล้านบาท ที่สำคัญ พบกับเวทีเสวนาจากบุคคลต้นแบบ เช่น นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง Bitkub ที่จะบรรยายในหัวข้อ “Innovation to Opportunity” รวมถึง “หนุ่ย แบไต๋” ที่จะเปิดโลกอาชีพในยุค AI อย่างเข้าใจและทันเกม และ ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยาจิตวิทยาพฤติกรรมชื่อดัง ที่จะมาแบ่งปัน “จิตวิทยาในการทำงาน” โตไว ไม่โดนหลอกใช้ เพื่อการเติบโตอย่างมีสติและมั่นใจในโลกการทำงานจริง “นี่เป็นครั้งแรกของกระทรวง อว. ในการสร้างพื้นที่หรือแพลตฟอร์มเพื่อเปิดโอกาสในการหางาน โดยเฉพาะอาชีพที่สอดรับกับยุคปัจจุบันรวมถึงอนาคต และ “อว. Job Fair 2025” ไม่ใช่เพียงพื้นที่การจ้างงานทั่วไป แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาทักษะ สร้างแรงบันดาลใจ สร้างโอกาสในการเริ่มต้นอาชีพที่มั่นคงและมีคุณค่า เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง” นางสาวศุภมาส กล่าว งานนี้เข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ตลอดวันที่ 9–10 พฤษภาคม เวลา 10.00–20.00 น. และวันที่ 11 พฤษภาคม เวลา 10.00–18.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Exhibition Hall 1–2 ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://jobfair.mhesi.go.th หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: MHESI Thailand โดยผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานจะได้ร่วมลุ้นรับรางวัล iPAD และรางวัลอื่นๆ มากกว่า 3,000 รายการ มูลค่ารวมกว่า 250,000 บาท พร้อมกันนี้ กระทรวง อว. ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “อว.” เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งงาน ทุนการศึกษา และกิจกรรมภายในงาน ผู้เข้าร่วมสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “อว. แอป” ได้แล้ววันนี้ ทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนแผน AI แห่งชาติ ลุยปั้นคน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ต่อยอดอุตสาหกรรม ดันไทยสู่ผู้นำด้าน AI ภูมิภาค
1 พฤษภาคม 2568 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุม โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศ พร้อมตั้งเป้าหมายการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในภูมิภาค นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยระบุว่า “จำเป็นต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI มากยิ่งขึ้น เพื่อให้พร้อมรับมือและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวได้อย่างเต็มศักยภาพ อันจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว ที่ประชุมฯ รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) รับทราบความคืบหน้าของการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2567) โดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการฯ ได้นำเสนอผลการดำเนินงานสำคัญในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขับเคลื่อนผ่าน 5 ยุทธศาสตร์หลัก และมีความก้าวหน้าที่ชัดเจนใน 4 ด้าน ดังนี้ (1) ด้านธรรมาภิบาล AI ได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์จริยธรรม AI, การจัดตั้งศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ (AIGC), การเผยแพร่คู่มือธรรมาภิบาล AI อย่างต่อเนื่อง และทำงานร่วมกับองค์กรระดับนานาชาติ เช่น OECD, UNESCO และอาเซียน (2) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จัดตั้งศูนย์บริการซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งชาติ (LANTA supercomputer) ซึ่งปัจจุบันมีความเร็วเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน และพัฒนา National AI Service Platform ซึ่งรวบรวมเครื่องมือ AI ที่พัฒนาในไทยกว่า 76 บริการ โดยได้รับการสนับสนุนจาก GDCC และมีผู้ใช้งานเฉลี่ยกว่า 1 ล้านครั้งต่อปี (3) ด้านการพัฒนากำลังคน โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการในการบรรจุหลักสูตร AI สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน, พัฒนาแผนส่งเสริม AI ในระดับอุดมศึกษา และจัดกิจกรรม AI Bootcamp ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ซึ่งช่วยพัฒนาบุคลากรด้าน AI ไปแล้วกว่า 10,000 คน (4) ด้านวิจัยและนวัตกรรม มุ่งเน้นการพัฒนาในภาคส่วนสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะด้านการแพทย์และสุขภาพ ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มแบ่งปันข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform) ซึ่งรวบรวมข้อมูลภาพถ่ายกว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรค นอกจากนี้ ยังมีการนำ AI มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลประชากรบนฐานข้อมูล TPMAP เพื่อช่วยชี้เป้าและสนับสนุนกลุ่มคนด้อยโอกาสได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าการเตรียมการเป็นเจ้าภาพการประชุม The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of Artificial Intelligence 2025 และเห็นชอบกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Program) พร้อมทั้งให้นำข้อเสนอในที่ประชุมไปพิจารณาต่อ จากการประชุม คณะกรรมการฯ ได้กำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนากำลังคนด้าน AI ให้มีจำนวนมากเพียงพอ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับเป้าหมายที่จะต้องมีการสร้างความรู้ให้แก่บุคลากรที่เป็น AI User ต้องไม่น้อยกว่า 10,000,000 คน AI Professional ไม่น้อยกว่า 90,000 คน และ AI Developer ไม่น้อยกว่า 50,000 คน ภายในเวลาสองปี ในประเด็นดังกล่าว ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วมฯ กล่าวว่า กระทรวง อว. ได้ร่วมมือ กับไมโครซอฟท์พัฒนาหลักสูตรด้าน AI ในทุกระดับ โดยจะถูกนำเข้าสู่คลังหน่วยกิตแห่งชาติ (National Credit Bank System) สามารถนำหน่วยกิตที่ได้ไปนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของวิชาศึกษาทั่วไป (General Education) ในระดับอุดมศึกษาได้ เป็นอีกก้าวสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับคนไทย ด้านศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวเสริมว่า “นโยบาย ‘อว. for AI’ ของนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ในการขับเคลื่อนด้าน AI เพื่อพัฒนากำลังคนนั้น AI สามารถทำหน้าที่เป็นครูผู้สอนในหลากหลายวิชาที่มีความเหมาะสมกับพฤติกรรมผู้เรียนได้เป็นรายบุคคล ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพของตนเอง และจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยอาจจะเริ่มต้นในวิชาภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์ก่อนได้” นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ยังเสนอให้บูรณาการแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เข้ากับแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติ เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทั้งด้านข้อมูล และ AI ของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยชี้ว่า AI เปรียบเสมือนเครื่องมือที่จะนำ Big Data มาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยต้องระบุให้ชัดเจนถึงประเด็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการก่อน เช่น การนำ Big Data และ AI มาใช้ในภาคส่วนสำคัญอย่าง สาธารณสุข การท่องเที่ยว หรือการศึกษา เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ให้ความเห็นให้มีแนวทางการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ จีพียู และการพัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์เปิด (Open Source AI Platform) ให้เพียงพอเพื่อส่งเสริมการขยายตัวของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในราคาที่เหมาะสม รวมไปถึงการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Bank) ที่จะรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา AI ในสาขาต่าง ๆ ในส่วนข้อมูลภาครัฐ จะส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐปรับตัวให้เป็นระบบดิจิทัลทั้งหมดภายในปี 2569 คาดว่าการลงทุนด้านโครงสร้างเหล่านี้ จะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 500,000 ล้านบาทโดยเป็นการลงทุนของรัฐบาลและภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศประกอบกัน สำหรับการส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI ในงานธุรกิจและอุตสาหกรรมนั้น จะมุ่งเน้นสาขาที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมเป็นหลัก เช่น การสาธารณสุข การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม เป็นต้น ซึ่งการประยุกต์ใช้ AI จะส่งผลให้การแพทย์ของไทยมีประสิทธิภาพและยกระดับขึ้นเป็นศูนย์กลางของการรักษาพยาบาลในอาเซียนได้ ยกระดับการท่องเที่ยวทั้งในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่าย อีกทั้งการใช้ AI ด้านการเกษตรจะทำให้การเพาะปลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างผลผลิตที่สูงขึ้น และสามารถทำงานด้านการพาณิชย์และตลาดอย่างตรงเป้าอีกด้วย ซึ่งคาดว่าการสนับสนุนการประยุกต์ใช้ AI ในด้านต่าง ๆ จะส่งผลดีต่อบริการสาธารณสุข อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเกษตรกรไทยเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพื่อเร่งการประยุกต์ใช้ AI รัฐบาลจะสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศเพื่อบูรณาการการทำงานด้าน AI ในแต่ละสาขาร่วมกับภาคเอกชนอย่างเป็นระบบต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ENTEC สวทช. เปิดเวทีถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมลดฝุ่น PM2.5 จากไอเสียรถยนต์
วันที่ 30 เมษายน 2568 ณ โรงแรม เดอะ ควอเตอร์ อารีย์ บายยูเอชจี กรุงเทพ ฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากโครงการศึกษาการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดฝุ่นจากไอเสียรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย (รถกระบะและรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซล) ภายใต้ทุนอุดหนุนการวิจัยและนวัตกรรม P24 จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อแก้ไขปัญหาและตอบสนองภาวะวิกฤตเร่งด่วนของประเทศ โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) กล่าวรายงานถึงที่มาและความสำคัญของโครงการ การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดผลผลิตของโครงการ ได้แก่ ระบบตรวจวัดปริมาณควันทึบแสงจากยานยนต์ด้วยวิธี Computer vision และแพลตฟอร์มระบบประมวลผล แสดงผล และบริหารจัดการข้อมูลเพื่อคัดกรองและติดตามรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย เทคโนโลยีเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยในการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการควบคุมรถยนต์ที่ปล่อยควันดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อการจราจร และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาคปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายควบคุมการปล่อยมลพิษในภาคขนส่ง เช่น กรมควบคุมมลพิษ กรมการขนส่งทางบก กองบังคับการตำรวจจราจร กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานจำนวนมาก รวมถึงยังมีผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิจัย และวิทยากรเข้าร่วมการประชุมเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและร่วมกันหาแนวทางในการนำผลผลิตของโครงการไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นความท้าทายของภาครัฐในการออกนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไข ป้องกัน และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพประชาชน วช. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ภายใต้แผนงาน P24 การแก้ไขปัญหาและตอบสนองภาวะวิกฤตเร่งด่วนของประเทศ แบ่งการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมให้มีความบูรณาการและมุ่งเป้าตามแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองในพื้นที่เป้าหมายที่แตกต่างกัน ได้แก่ ภาคการเกษตร ภาคป่าไม้ ภาคคมนาคม ฝุ่นละอองข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน และการสร้างระบบข้อมูลแบบบูรณาการ ซึ่งในส่วนของภาคคมนาคม มีพื้นที่เป้าหมายเร่งด่วนเป็นเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีการจราจรคับคั่ง อาศัยแนวทางสำคัญในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดปริมาณการปล่อยฝุ่นละอองจากการคมนาคมทางถนน ผ่านการพัฒนาระบบคัดกรองการตรวจสอบปริมาณไอเสียรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการพัฒนารูปแบบโมเดลการจัดการเพื่อจำกัดและควบคุมรถยนต์กลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมกับระดับปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ในบรรยากาศ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลผลิตจากโครงการนี้จะถูกนำไปใช้และผลักดันให้เกิดประโยชน์โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะนำไปสู่การพัฒนาข้อกฎหมายและแนวทางการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นนำมาสู่ปัญหาปริมาณมลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในอากาศมีปริมาณเกินขีดจำกัดมาตรฐาน เกิดขึ้นเป็นประจำในหลายภูมิภาคของประเทศไทย รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งมีการจราจรคับคั่ง กลุ่มรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลเป็นสาเหตุหลักที่มีการปล่อยควันดำในไอเสียที่สัมพันธ์กับปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5  และยังประกอบด้วยสารก่อมะเร็งมากกว่าแหล่งกำเนิดอื่น ซึ่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine learning) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence, AI) และการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer vision) บนความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานกล้อง CCTV ในระบบควบคุมการจราจร สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักของโครงการพัฒนาเป็นผลผลิต ได้แก่ ระบบตรวจวัดปริมาณควันทึบแสงจากยานยนต์ด้วยวิธี Computer vision, แพลตฟอร์มระบบประมวลผล แสดงผล และบริหารจัดการข้อมูลเพื่อคัดกรองและติดตามรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย และการแสดงผลสถานการณ์การปล่อยฝุ่นละอองจากภาคคมนาคม ซึ่งผลผลิตที่ได้พัฒนาขึ้นจะเป็นเครื่องมือช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายและมาตรการควบคุมรถยนต์กลุ่มเป้าหมายได้ผลมากขึ้นและช่วยลดผลกระทบต่อการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดฝุ่น PM2.5 จากไอเสียรถยนต์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ในการพัฒนาเครื่องมือทันสมัยที่ใช้เทคโนโลยี AI และ Computer vision เพื่อตรวจจับและติดตามรถยนต์ที่ปล่อยควันดำ เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการควบคุมรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษ ลดผลกระทบต่อการจราจร และนำไปสู่การพัฒนานโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เผยรายชื่อ 47 ทีมจากทั่วประเทศ เข้าร่วมคัดเลือกสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ เตรียมจัดแสดงผลงาน 13 มิ.ย. 2568 ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
(วันที่ 1 พฤษภาคม 2568) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศรายชื่อทีมที่ได้รับการคัดเลือก เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยทีมที่ได้รับการคัดเลือก ดังนี้   No. Code Project School / University 1 SIC TH- 001 Smart Fall Detector with Notification System. Chitralada Vocational School 2 SIC TH- 011 Alpaca: An application to enhance remote speech therapy using artificial intelligence Computer Engineering & Digital Technology, Chulalongkorn University 3 SIC TH- 041 The Buddy to Go project focuses on developing innovations that facilitate travel for visually impaired individuals. This navigation device serves as an assistive tool, functioning as "eyes" for the blind, to enhance ease of travel. By providing users with timely information about their surroundings, Buddy to Go aims to reduce the risk of accidents and increase confidence in mobility. Saint Paul Convent School 4 SIC TH- 044 CognitEEG: AI platform for analyzing brain function through EEG for screening and diagnosing dementia Montfort College 5 SIC TH- 045 Elder-joy-xercise NIST International School 6 SIC TH- 061 Development of an Applications to Assist Caregivers of Paralyzed Patients Islamic Sciences Demonstration School 7 SIC TH- 068 P-Kura Smart Cane: A Connected Safety Companion for Elderly Care Using IoT. University of the Thai Chamber of Commerce 8 SIC TH- 070 AI-Powered Motion Analysis System for Home-Based Physical Therapy King Monkut's International Demonstration School 9 SIC TH- 071 Robotic arm rehabilitation for poststroke hemiplegic shoulder pain: A Pilot Study Thaksin University 10 SIC TH- 075 The development of an initial physical therapy web application with body tracking for Herniated Nucleus pulpous Princess Chulabhorn Science High School Chiang Rai 11 SIC TH- 076 Relive is a comprehensive healthcare app for individuals with disabilities, offering health tracking, self-care reminders, mental wellness support, emergency alerts, and rehabilitation guidance. It encourages a holistic approach, focusing not only on physical disabilities but also on mental and emotional well-being, promoting overall health, independence, and self-care for users. Prince of Songkla University Demonstration school (secondary) 12 SIC TH- 078 NeuroAegis: AI-Powered Platform for Early Detection of MCI & Alzheimer's Prevention International Community School 13 SIC TH- 079 NeuroGrip: Physical therapy gloves for hemiplegia patients due to cerebrovascular disease. Princess Chulabhorn Science High School Trang 14 SIC TH- 083 EME: Elastic-band-based Muscle-strengthening Equipment for Sarcopenia Rehabilitation Bangkok Christian College 15 SIC TH- 084 Glovex: An Intelligent Wearable for Early Dementia Detection and Prevention in the Elderly Bangkok Christian College 16 SIC TH- 092 Shine Beyond the Shadow: Inclusive Board Games for the Visually Impaired King’s College International School Bangkok 17 SIC TH- 096 Smart Insole for Real-Time Weight Distribution and Rehabilitation Monitoring NIST international school 18 SIC TH- 097 The development of the efficiency of Braille paper for the visually impaired   using a silica coating from leftover rice husk mixed with nano ZnO Khonkaenwittayayon school 19 SIC TH- 102 Intelligent Mesh Network Sensors for Enhanced Safety in Wheelchair Systems Satit Prasarnmit International Programme 20 SIC TH- 107 VisMedS: AI Chatbot for Medication Label Reading and Guidance for the Elderly Princess Chulabhorn Science High School Lopburi 21 SIC TH- 120 Development of a Parkinson’s Disease Classification Program Based on Risk factors and non-motor symptoms Biomedical Engineering/Faculty of Engineering 22 SIC TH- 126 Intelligent Sound Detection for the Deaf Using Microphone Array Beamforming Darunsikkhalai (Engineering Science Classroom) School 23 SIC TH- 127 Visually Impaired Assistant Robot: VIA Robot Bangkok Christian College 24 SIC TH- 153 Irisync: Restoring Independence Through Eye-Controlled IoT Smart Home for the Elderly and Disabled Department of Biomedical Engineering, Faculty of Engineering, Mahidol University 25 SIC TH- 157 AURIS: Auditory User Response Device with Real-time Integrated omnidirectional Safety system for the elderly Bangkok Christian College 26 SIC TH- 158 A Cost-Effective EMG-Based Device for Early Diagnosis and Severity Assessment of Knee Osteoarthritis Suankularb Wittayalai School 27 SIC TH- 160 WU pain detector: Individual pain detection approach based on physiological signals using wearable technology Innovation of Medical Informatics Walailak University 28 SIC TH- 163 Equipment and mattress to reduce pressure sore for supporting bedridden patients Saengthong Vitthaya school (Saengthong-Thida Program) 29 SIC TH- 167 Smart Application for Detecting Risky Behaviors of Elderly Using CSI WiFi and Machine Learning Princess Chulabhorn Science High School Phetchaburi 30 SIC TH- 168 Signal Language Application for Disorder Hearing Bangpakok Wittayakom School 31 SIC TH- 171 The Rehabilitation Rocker Board. Ramathibodi School of Nursing Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital Mahidol University 32 SIC TH- 173 NueronFRAMES: Full cycle Rehabilitation with Adaptive friendly training for greater Motivation and Engagement System Bangkok Christian College 33 SIC TH- 187 A Study on the Design and Construction of An Assistive Device for Sit to Stand Support in Standard Toilets and Multi-Purpose Toilets College of Biomedical Engineering, Rangsit University 34 SIC TH- 198 Total Pact: go easy, go light, gain more and be cautious Faculty of Allied Health Sciences Thammasat University 35 SIC TH- 205 STEADY: Smart Technology-Enhanced Assistive Device for the elderly’s Yare mobility support Bangkok Christian College 36 SIC TH- 249 Step up Senior Rajini School 37 SIC TH- 255 Continuous Passive Motion Plus (CPMPlus) Chulalongkorn University demonstration secondary school 38 SIC TH- 258 SpeakSpark: A Cross-platform therapy game and online community for the prevention and treatment of speech and swallowing impairment Faculty of Medicine Khon Kaen University 39 SIC TH- 275 BART LAB AI-Elderly Supporting Robot in Sit-to-Stand and Walk Applications Department of Biomedical Engineering, Center for Biomedical and Robotics Technology (BART LAB), Mahidol University 40 SIC TH- 276 The development and design of a gait training device and Assistive device in lifting and supporting the body during gait training with partial body weight supported system for stroke patients Mechanical Engineering Thammasat university 41 SIC TH- 277 Hand To Sign (H2S) Chonkanyanukoon School 42 SIC TH- 286 SANSync: A Wearable Device for Enhancing Music Perception in Deaf Individuals Through Rhythm and Touch Varee Chiang Mai International School 43 SIC TH- 289 Converting Sign Language to speech Using AI Demonstration School Prince of Songkla University 44 SIC TH- 291  Ai Can See Your Stroke Very FAST King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang 45 SIC TH- 293 An Active Exoskeleton Design for Foot-Drop Patients Faculty of Engineering, Chiang Mai University 46 SIC TH- 298 Mr.Cane : a smart cane that helps enhance walking ability and increases safety for the elderly. Princess Chulabhorn Science High School Buriram 47 SIC TH- 305 AI-powered Thai Sign Language Translation Web Application Chitralada School หมายเหตุ   คณะกรรมการคัดเลือกสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ได้คัดเลือกผลงานฯ โดยใช้เกณฑ์การตัดสินตามเกณฑ์การตัดสินที่ใช้การคัดเลือกสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (Global Student Innovation Challenge: gSIC)  โดยสรุป ดังนี้ คุณภาพของผลงาน และข้อเสนอโครงการ ประกอบด้วยการนำเสนอรายละเอียดผลงานได้ครบถ้วน สามารถอธิบายได้ว่าพัฒนาผลงานตามหลักวิชาการ ดังนี้ กรณีมีผลงานที่มีการประดิษฐ์หรืออกแบบเป็นชิ้นงานหรือผลงานแล้ว สามารถอธิบายแนวคิดการประดิษฐ์หรือออกแบบ ขั้นตอนการประดิษฐ์ รวมไปถึงการนำไปทดสอบหรือทดลองใช้งานเบื้องต้น มีผลงานหรือชิ้นงานมานำเสนอเป็นรูปภาพหรือ วิดีโอประกอบการใช้งาน กรณีอยู่ระหว่างการพัฒนาผลงานหรือชิ้นงานและมีแนวโน้มสามารถพัฒนาเป็นต้นแบบได้จริง ไม่เป็นแค่การนำเสนอแนวคิด ทฤษฎีเพียงอย่างเดียวแต่ไม่สามารถพัฒนา หรือออกแบบมาเป็นชิ้นงานหรือผลงานได้จริง หรือมีแนวโน้มว่ายังทำไม่ได้ ณ เวลานี้ มีขั้นการประดิษฐ์และการออกแบบ สามารถอธิบายได้ว่าเป็นผลงานที่ประดิษฐ์และออกแบบเป็นไปตามหลักการทางวิชาการ มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการการประดิษฐ์และออกแบบรองรับ มีความใหม่ หรือได้รับการต่อยอดผลงาน ไม่มีการคัดลอกผลงาน ไม่มีความซ้ำซ้อนหรือละเมิดสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น และมีต้นแบบ หรือแบบร่างสามารถพัฒนาเป็นผลงานได้จริง และสามารถมานำเสนอ จัดแสดง สาธิตให้คณะกรรมการฯ ในวันประกวดได้จริง มีผลการทดสอบหรือทดลองใช้กับงานจริงกับผู้ใช้เบื้องต้น โดยผลงานได้นำไปใช้งานในพื้นที่ตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง และมีผลการใช้งานเบื้องต้นมานำเสนอ นอกจากนี้ อาจมีความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกสถาบันในการนำไปทดสอบหรือทดลองใช้งาน เช่นการทดสอบหรือทดลองใช้งานในโรงพยาบาล สถานฟื้นฟูสมรรถภาพ สมาคมคนพิการ ชมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น มานำเสนอ ความสามารถในใช้ประโยชน์ในคนพิการและผู้สูงอายุ มีการนำไปใช้ประโยชน์ หรือมีแผนการในการนำไปต่อยอดในการใช้งานได้จริงกับคนพิการ หรือ ผู้สูงอายุ ความสามารถในการต่อยอดผลงานในเชิงพาณิชย์ มีแผนที่นำทาง หรือแผนการต่อยอดในด้านวิชาการ ทดสอบในกลุ่มผู้ใช้ในวงกว้าง หรือกลุ่มตัวอย่างที่มากขึ้น รวมไปถึงแนวคิดเรื่องการจัดทำทรัพย์สินทางปัญญา   ทั้งนี้ สวทช.จะแจ้งรายละเอียดการเตรียมการสำหรับการคัดเลือกสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ รอบคัดเลือกและจัดแสดงผลงาน ในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 ทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) ให้ทีมที่ได้รับการคัดเลือกต่อไป การติดต่อคณะทำงาน สอบถามและขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเลขานุการ SIC Thailand โทรศัทพ์ 0 2564 6900 ต่อ 72039 (นายจักรพงศ์ พิพิธภักดี) หรือ 2345 (นายเจษฎา จงสุขวรากุล) วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00-17.00 น. หรือ อีเมล: SIC_Thailand@nstda.or.th
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตร จัดสัมมนาเสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs สู่ยุคดิจิทัล 4.0
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และ Software Park Thailand จัดสัมมนา “สิทธิประโยชน์ในการเจาะตลาดดิจิทัลและยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0” เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน (โซน SCBX NEXT TECH) งานนี้จัดขึ้นเพื่อเปิดเวทีให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้สนใจ ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลสิทธิประโยชน์และบริการที่ช่วยผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ Digital Transformation อย่างจริงจัง เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวสู่ Industry 4.0 อย่างมั่นคง โดยมีวิทยากรจากสวทช. และเครือข่ายพันธมิตร ร่วมนำเสนอในหัวข้อดังนี้ บัญชีบริการดิจิทัล: กลยุทธ์ทางการตลาด ประตูสู่ตลาดภาครัฐและเอกชน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) โดย ดร.สักกเวท ยอแสง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล ได้แนะนำโครงการ “บัญชีบริการดิจิทัล” ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ของประเทศไทย โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขึ้นทะเบียนสินค้าและบริการดิจิทัล โดย depa ทำหน้าที่ตรวจสอบมาตรฐาน ราคา และคุณภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือในตลาด ทั้งนี้ ปี 2568 โครงการดำเนินงานภายใต้ธีม “Artificial Intelligence (AI)” เพื่อส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะในภาคธุรกิจไทย ดร.สักกเวท ย้ำว่า โครงการบัญชีบริการดิจิทัลยังเป็นช่องทางสำคัญในการเปิดประตูสู่ตลาดภาครัฐและเอกชน โดยผู้ประกอบการที่ผ่านการขึ้นทะเบียนจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย อาทิ สิทธิในการจัดซื้อจัดจ้างจากภาครัฐแบบเฉพาะเจาะจงโดยไม่จำกัดวงเงิน, สิทธิให้ภาคเอกชนสามารถนำค่าใช้จ่ายไปหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 200% จากกรมสรรพากร, การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI แนวทางการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 และสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “อุตสาหกรรม 4.0” หรือ Industry 4.0 กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะในด้านการผลิตและธุรกิจบริการต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ 2–3 หากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การยกระดับภาคการผลิตสู่ Industry 4.0 จึงถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายสำหรับภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ โลจิสติกส์ และผู้ประกอบการทุกระดับ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยของประเทศ ได้จัดตั้ง NSTDA Core Business และขับเคลื่อนภารกิจผ่าน Industry 4.0 Platform ซึ่งมีเป้าหมายในการนำองค์ความรู้จากงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของภาคอุตสาหกรรมไทย ดร.รวีภัทร์ ยังกล่าวถึง “วิสัยทัศน์ของ Industry 4.0 Platform” ว่า คือการให้ความช่วยเหลือโรงงานไทยในการวางแผนการลงทุนเพื่อยกระดับสู่ Industry 4.0 อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านบริการครบวงจรภายใต้ 3 เสาหลัก ได้แก่ i4.0 Maturity การประเมินระดับความพร้อมของโรงงาน, i4.0 Consulting บริการที่ปรึกษาเฉพาะด้าน, i4.0 Training การฝึกอบรมเสริมทักษะเพื่อการเปลี่ยนผ่าน โดยสวทช. จัดแคมเปญพิเศษ “Full Assessment ลด 50%” สำหรับสมาชิก SMC ที่ต้องการประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โรงงานที่เข้าร่วมจะได้รับบริการประเมินระดับความพร้อมแบบครบวงจร พร้อมรายงานผลที่สามารถนำไปใช้วางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถใช้ประกอบการยื่นขอ สิทธิประโยชน์จาก BOI ในการลงทุนแปลงเครื่องจักรเป็นระบบอัตโนมัติ หรือนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ซึ่งสามารถ ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้สูงสุดถึง 100% เป็นระยะเวลา 3 ปี ผู้ประกอบการที่สนใจ ต้องส่งแผนการลงทุนมายัง สวทช. และผ่านการประเมินด้วย Thailand i4.0 Index เพื่อยื่นขอรับการส่งเสริมจาก BOI และยังสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการลงทุน Industry 4.0 จาก EXIM BANK ได้อีกด้วย ภายในงานยังจัดให้มีเวทีเสวนาในหัวข้อ “เปลี่ยนผ่านธุรกิจด้วย Digital Transformation: How To” เจาะลึกสิทธิประโยชน์การลงทุน ทางลัดสู่ตลาดภาครัฐ พร้อมกรณีศึกษาจริง โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ตรงจากทั้งภาครัฐและเอกชน มาร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการยกระดับธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล พร้อมชี้ช่องทางเข้าถึงสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน อย่างมีประสิทธิภาพ การเสวนานี้จะครอบคลุมประเด็นสำคัญ อาทิ กลยุทธ์เข้าสู่ตลาดภาครัฐ: แนะแนวทางลัด–ทางเลือก ในการเข้าร่วมกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ผ่านการขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัล, จัดเต็มสิทธิประโยชน์ด้านภาษี 2 เด้ง: ทั้งการลดหย่อนภาษีจากกรมสรรพากร และ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรการ BOI สำหรับการลงทุนในระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล, บทบาทของ System Integrator (SI): ผู้ช่วยสำคัญในการวางแผนและดำเนินการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้ก้าวสู่ Industry 4.0 อย่างเป็นระบบพร้อมทั้งกรณีศึกษาจริงจากผู้ประกอบการ: ถ่ายทอดประสบการณ์การปรับเปลี่ยนโรงงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งด้านประสิทธิภาพการผลิต และการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางการเงินและภาษี กิจกรรมเสวนาครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเริ่มต้นหรืออยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล พร้อมได้รับข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ทั้งในเชิงกลยุทธ์และการวางแผนลงทุน วิทยากรประกอบด้วย: คุณณชุมา สุพัฒน์ชนา Business Development Manager, Insight AI คุณรุ่งโรจน์ ศรีรัตนโรจน์ DX & AI Consulting Director, CSI Group คุณพรชัย เอี่ยมสุกใส ประธานกรรมการ บริษัท สยาม อินโน ซิตี้ จำกัด คุณอภิษฎา เดมีย์กุล CEO บริษัท เท็บโต จำกัด และผู้ดำเนินรายการโดย อาจารย์สายัณห์ ไวรางกูร ผู้ก่อตั้งและผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนธุรกิจ บริษัท แบ๊คสเตอร์ จำกัด ผู้ประกอบการที่สนใจอุตสาหกรรม 4.0 แต่ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ติดต่อสอบถามได้ทาง Line OA: @i4Platform หรือ อีเมล: i4Platform@nstda.or.th
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไทย-ออสเตรเลีย ผนึกกำลังใช้เทคโนโลยี AI และ Continuous Flow Chemistry เพื่อพลิกโฉมกระบวนการวิจัยและการผลิตยาให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และยั่งยืนมากขึ้น
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดสัมมนา "นวัตกรรมเภสัชกรรมไทย-ออสเตรเลีย: เสริมความร่วมมือสู่การวิจัยและอุตสาหกรรม" (Thailand-Australia Pharma Innovation: Strengthening Collaboration for Research & Industry) ได้รับเกียรติจาก H.E. Dr. Angela Macdonald PSM เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และ ผศ. ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) กล่าวต้อนรับ โดยมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมกว่า 70 คน จากทั้งภาคการศึกษา หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย งานสัมมนาประกอบด้วยการนำเสนอผลงานและเทคโนโลยีของนักวิจัยจากหน่วยงานชั้นนำต่าง ๆ เช่น Commonwealth Scientific and Industrial Research Organisation (CSIRO) Australia, องค์การเภสัชกรรม (GPO), มหาวิทยาลัยบูรพา และ ไบโอเทค สวทช. โดยมีประเด็นสำคัญ คือ การนำ AI และ Machine Learning มาช่วยออกแบบและพัฒนายา ซึ่งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก คาดการณ์โครงสร้างของสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม และสูตร Formulation ช่วงเร่งกระบวนการทดลองในห้องปฏิบัติการได้เร็วกว่าที่เคย นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอเทคโนโลยี Continuous Flow Chemistry ซึ่งช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตยาให้มีความแม่นยำ ปลอดภัย ช่วยลดต้นทุนและของเสียในกระบวนการผลิต ในช่วงท้ายมีการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสในการสนับสนุนนวัตกรรมเภสัชกรรมและการเติบโตของอุตสาหกรรมยาทั้งในไทยและออสเตรเลีย โดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ศ. ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส และอดีตผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช., ดร.อรศิริ ศรีคุณ จากองค์การเภสัชกรรม (GPO) และ Dr. Mark York จาก CSIRO (Australia) ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ สำหรับนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และภาคอุตสาหกรรม ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างความร่วมมือ และเสนอแนวทางพัฒนานวัตกรรมเภสัชกรรมที่ยั่งยืนในไทย ออสเตรเลีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับการขยายผลความร่วมมือสู่ระยะต่อไป เพื่อตอกย้ำความสำคัญของการผลักดันอุตสาหกรรมเภสัชกรรมไทยสู่ระดับสากล และเสริมความต่อเนื่องให้กับความร่วมมือไทย-ออสเตรเลีย สวทช. จะมีการจัดสัมมนาและอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจด้านการผลิตยาได้เรียนรู้โดยตรงจากนักวิจัย CSIRO (Australia) ในหัวข้อ Process Development, Continuous Flow Chemistry และ Green Chemistry รวมถึงโครงการแลกเปลี่ยนนักวิจัย และการ ศึกษาดูงานในออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้กลับมาเสริมสร้างความสามารถในการพัฒนาและ การนำเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์ (Technology/Knowledge Transfer) สำหรับอุตสาหกรรมยาของไทย นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนความร่วมมือ (Steering Committee) ระหว่างหน่วยงานไทยและออสเตรเลีย เพื่อกำกับ ทบทวน และผลักดันกิจกรรมความร่วมมือให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมยาอย่างยั่งยืน การผนึกกำลังในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงความร่วมมือในระดับโครงการ แต่เป็นการวางรากฐานระยะยาวเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเภสัชกรรมไทยสู่เวทีโลก ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย นวัตกรรม และการสร้างเครือข่ายระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ พันธมิตร ร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางปลดล็อกศักยภาพองค์กรสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยพลังของข้อมูลและเทคโนโลยี
(30 เมษายน 2568) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - สวทช. พร้อมด้วยพันธมิตร จัดงานสัมมนา “Transforming Tomorrow: พลิกอนาคตด้วย Data & Technology สู่อุตสาหกรรม 4.0” เพื่อส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเห็นแนวทางและแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในการปรับตัวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยพลังของข้อมูลและเทคโนโลยี โดยได้รับเกียรติจาก ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) กล่าวเปิดงาน ภายในงานมีการบรรยายพิเศษจาก Mr. John Mark Cerveza, Sr. Manager, Thailand Factory AME (HDD Assembly & Backend Ops), Western Digital Technologies (Thailand) Ltd. หัวข้อ “Unlocking Organizational Potential: The Power of Data & Technology” ที่เน้นถึงพลังของข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัลในการปลดล็อกศักยภาพขององค์กรในทุกระดับ เวทีเสวนา “Smart Factory Transformation Insights” โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด ทิศทางการพัฒนาและปรับตัวขององค์กรเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 อาทิ คุณไพรัชฏ์ ไตรเวทย์ ผู้อํานวยการสํานักวิศวกรรมกลาง บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จํากัด (มหาชน) คุณจริยวดี บุบผา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนวา กรีน เพาเวอร์ ซิสเท็ม จํากัด ดร.พรพรหม อธีตนันท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล เนคเทค สวทช. และคุณสุจินดา ทองศรี ผู้จัดการฝ่ายบริการนวัตกรรมและคีย์แอคเคานต์ สวทช. ดำเนินรายการ ต่อด้วยการบรรยายหัวข้อ “How to: ยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 และสิทธิประโยชน์ BOI มาตรการ Industry 4.0” โดย ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อํานวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. ซึ่งได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางและสิทธิประโยชน์สำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการยกระดับสู่ Industry 4.0 ปิดท้ายด้วยกิจกรรม Clinic: Thailand 4.0 Checkup ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ สวทช. ทั้งด้านการประเมินความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ขององค์กรด้วยตนเอง และการขอรับสิทธิประโยชน์จาก BOI รวมถึงประเด็นด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการผลิตภัณฑ์และบริการด้าน Smart Factory Solution จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ● แคมเปญด้านอุตสาหกรรมและหลักสูตรอบรม จากศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ● Industry 4.0 Platform จาก สวทช. ● บริการระบบจัดการพลังงาน และระบบ IoT จาก บริษัท โนวา กรีน เพาเวอร์ ซิสเท็ม จำกัด ● บริการให้คำปรึกษาครบวงจร จากบริษัท เอฟ ดี ไอ แอคเคาน์ติ้ง แอนด์ แอดไวซอรี่ จำกัด กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ นักพัฒนา และบุคลากรภาคธุรกิจเป็นจำนวนมาก ตอกย้ำถึงความตื่นตัวของภาคอุตสาหกรรมไทยที่ให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จิ้มปุ๊บ รู้ปั๊บ “ส้อมวัดความเค็ม” เตือนผู้บริโภคเลี่ยงรับประทานอาหารเค็มเกิน
  เคยสงสัยหรือไม่ว่าอาหารที่เรารับประทานในแต่ละมื้อเค็มมากหรือน้อยแค่ไหน ? และจะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถวัดความเค็มในอาหารได้เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะบริโภคหากพบว่าเค็มมากเกินไป กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา “ส้อมวัดความเค็ม” นวัตกรรมที่ผสานความคุ้นเคยของเครื่องใช้ในครัวเรือนเข้ากับเทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบระดับความเค็มในอาหารก่อนรับประทานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เนคเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง กำลังคุกคามสุขภาพของคนไทยในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานเค็มมากเกินไป การควบคุมปริมาณโซเดียมในอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคดังกล่าว ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาส้อมวัดความเค็มสำหรับใช้วัดความเค็มในอาหาร เพื่อช่วยเตือนสติให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจรับประทานหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่เค็มเกินไป ตลอดจนช่วยให้ผู้ปรุงอาหารลดการใส่เครื่องปรุงที่มีความเค็มมากจนเกินไปด้วยเช่นกัน   [caption id="attachment_68574" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบส้อมวัดความเค็ม วิจัยพัฒนาโดย ทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เนคเทค สวทช.[/caption]   “ส้อมวัดความเค็มทำงานโดยอาศัยหลักการวัดค่าความนำไฟฟ้าของโซเดียมคลอไรด์ (เกลือ) ในอาหารที่เป็นของเหลว เมื่อจุ่มส่วนปลายของส้อมลงในอาหาร ส้อมจะปล่อยกระแสไฟฟ้าสลับเล็กน้อยที่มีความถี่ 1 กิโลเฮิรตซ์ ผ่านตัวนำไฟฟ้า (ของเหลวที่มีโซเดียม) ซึ่งไม่เป็นอันตรายและไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อผู้ใช้งาน จากนั้นจะวัดค่าแรงดันไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณโซเดียมในอาหารเหลวนั้น และแสดงผลเป็นค่าความเค็มในระดับต่าง ๆ ที่เข้าใจได้ง่าย “ส้อมวัดความเค็มออกแบบให้ใช้งานง่าย เพียงจุ่มปลายส้อมลงในอาหารที่เป็นของเหลวแล้วจึงกดปุ่มเพื่อวัดค่า ส้อมจะแสดงไฟกะพริบขณะทำการวิเคราะห์ กระทั่งเมื่อวัดเสร็จสิ้นจะค้างไฟแสดงผลในระดับความเค็มที่วัดได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ ไฟสีเขียว คือ เค็มน้อย (ความเข้มข้นของเกลือ 0.1-0.5%) ไฟสีเหลือง คือ เค็มปานกลาง (ความเข้มข้นของเกลือ 0.6-0.9%) และไฟสีแดง คือ เค็มเกินไป (ความเข้มข้นของเกลือ > 0.9%) โดยใช้ความเค็มของน้ำเกลือล้างจมูกซึ่งมีความเข้มข้น 0.9% เป็นเกณฑ์ หลังใช้งานสามารถนำไปทำความสะอาดปลายส้อมด้วยน้ำยาล้างจานหรือสบู่และตามด้วยน้ำเปล่า แล้วจึงเช็ดให้แห้งเท่านั้น”   [caption id="attachment_68567" align="aligncenter" width="750"] "ส้อมวัดความเค็ม" ใช้งานง่าย เพียงจุ่มปลายส้อมลงในอาหาร กดปุ่มเปิดการทำงาน และอ่านผล ซึ่งแสดงผลเป็นไฟ LED ที่ระดับความเค็มที่วัดได้ โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เค็มน้อย เค็มปานกลาง และเค็มเกินไป[/caption]   ทั้งนี้ ตัวส้อมวัดความเค็มผลิตจากสแตนเลส 304 ฟู้ดเกรด ซึ่งเป็นวัสดุที่ปลอดภัยสำหรับการสัมผัสอาหาร และเคลือบด้วยอีนาเมล (enamel) ซึ่งเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในเครื่องครัว ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและความทนทานในการใช้งาน โดยออกแบบให้มีส่วนที่ไม่ได้เคลือบอีนาเมลบริเวณปลายส้อมไว้สำหรับทำหน้าที่เป็นขั้วปล่อยกระแสไฟฟ้าและวัดแรงดันไฟฟ้าที่ไหลผ่านของเหลว เพื่อวัดความเค็มได้อย่างแม่นยำ โดยมีความแม่นยำประมาณ 80% เมื่อวัดในอาหารที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส ส่วนการทำงานของส้อมวัดความเค็มอาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ซึ่งมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยประมาณ 6-7 เดือน และสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้   [caption id="attachment_68575" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบส้อมวัดความเค็ม วิจัยพัฒนาโดย ทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เนคเทค สวทช.[/caption]   ปัจจุบันส้อมวัดความเค็มยังอยู่ในขั้นตอนของการปรับปรุงต้นแบบ โดยสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้งาน เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงและพัฒนาส้อมวัดความเค็มในรุ่นต่อไปให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์การใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยทีมตั้งเป้าที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาคเอกชนที่มีความสนใจนำไปผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในราคาที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ “เราต้องการสร้างอุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุที่อาจไม่คุ้นเคยหรือกลัวกับการใช้อุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อน การออกแบบอุปกรณ์วัดความเค็มให้มีรูปร่างคล้ายส้อมทั่วไป ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกคุ้นเคยและมั่นใจในการใช้งาน และยังใช้ในการรับประทานอาหารได้เหมือนส้อมทั่วไป นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ที่รักสุขภาพและใส่ใจในปริมาณโซเดียมที่บริโภคในแต่ละวันให้สามารถตรวจสอบระดับความเค็มของอาหารได้ด้วยตนเอง” นักวิจัยกล่าว   [caption id="attachment_68571" align="aligncenter" width="750"] ทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เนคเทค สวทช. จัดแสดงผลงาน "ส้อมวัดความเค็ม" ในงาน NAC2025[/caption]   ส้อมวัดความเค็มเป็นนวัตกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสุขภาพของคนไทยและความก้าวหน้าของงานวิจัยไทยที่สามารถนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่างแท้จริง การพัฒนาส้อมวัดความเค็มนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถควบคุมปริมาณโซเดียมในอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว ผู้สนใจร่วมปรับปรุงพัฒนาและรับถ่ายทอดเทคโนโลยีส้อมวัดความเค็ม ติดต่อได้ที่ คุณวรัญญู ผิวทองคำ เนคเทค สวทช. โทร. 0 2564 6900 ต่อ 2524 อีเมล Waranyoo.Phiwthongkham@nectec.or.th     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. อินโฟกราฟิกโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย ภัทรกร กลิ่นหอม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น