หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ผู้บริหาร อว. เยือน Haneda Innovation City และเจรจาความร่วมมือกับเมืองโอตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการนำนวัตกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรม
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กระทรวง อว.) นำคณะผู้บริหารและคณาจารย์ปฏิบัติภารกิจหารือความร่วมมือและสร้างเครือข่าย ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2567 โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช ศาสตราจารย์ ดร.วันชัย ดีเอกนามกูล และศาสตราจารย์ ดร.สนอง เอกสิทธิ์ พร้อมด้วยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยในโครงการ TAIST-Tokyo Tech ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เยือนศูนย์นวัตกรรม Haneda Innovation City เมืองโอตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 โดยมี นายซูซูกิ อาคิมาซะ นายกเทศมนตรีเมืองโอตะ และนายมาซาฮิโระ คาวาโนะ ประธานหน่วยงานส่งเสริมอุตสาหกรรมเมืองโอตะ พร้อมคณะผู้บริหารเมืองโอตะและผู้แทนจาก Institute of Science Tokyo ให้การต้อนรับและเจรจาความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการนำนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์สู่ภาคอุตสาหกรรม ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้บทบาทของเทคโนโลยีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น รูปแบบการสนับสนุนการวิจัยของบริษัทและการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่นและเมือง มีการอธิบายถึงโครงสร้างเครือข่ายความร่วมมือและการเติบโตของบริษัท Start up และความสำเร็จในการพัฒนาเมืองนวัตกรรมโดยมีจุดที่น่าสนใจ คือ การปรับสมดุลการใช้พลังงานระหว่างกลางวันและกลางคืนอย่างเหมาะสม และโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถส่งเสริมการเติบโตในอนาคต มีหน่วยให้การสนับสนุนบริษัทในการดำเนินธุรกรรมและให้คำปรึกษาในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในการนี้ทางเมืองโอตะได้เชิญชวนให้ไทยมาตั้งหน่วยงานใน Haneda Innovation City อีกด้วย การหารือความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อพัฒนานวัตกรรมสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ซึ่งศูนย์นวัตกรรม Haneda Innovation City มีความยินดีและพร้อมจะร่วมมือกับประเทศไทยในการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ให้เกิดขึ้นจริงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับดำเนินความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นในด้านต่าง ๆ ร่วมกันอีกด้วย ภายหลังการหารือผู้บริหารเมืองโอตะ ได้นำคณะเข้าเยี่ยมชมการจัดแสดงนิทรรศการ Ota Research and Development Fair ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 14 มีผู้เข้าร่วมแสดงนิทรรศการมาจากภาคการศึกษาและภาคการผลิตในอุตสาหกรรมระดับสูงของประเทศญี่ปุ่น ศูนย์นวัตกรรม Haneda Innovation City เป็นโครงการเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามนโยบายยุทธศาสตร์แห่งชาติเขตเศรษฐกิจพิเศษ (The National Strategic Special Zones) ของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เขตโอตะ กรุงโตเกียว มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในญี่ปุ่น ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น และเอกชน เป็นแหล่งรวบรวมศูนย์วิจัยและทดลองเทคโนโลยีล้ำสมัยด้านการเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) เทคโนโลยีหุ่นยนต์อัจฉริยะ (Smart Robotics) เทคโนโลยีทางการแพทย์ สถานีไฮโดรเจน อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมร้านค้า โรงแรม สำนักงาน ศูนย์จัดการประชุมและการแสดงที่ผสมผสานศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นไว้ด้วยกันเพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมสามารถเข้าถึงทั้งเทคโนโลยีและวัฒนธรรม
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
 
ปลัด อว. นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ จัดพิธีบำเพ็ญกุศล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2567
(เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2567) ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2567 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ร่วมกันบำเพ็ญกุศลสวดพระพุทธมนต์อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลฯ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่งของปวงชนชาวไทย ณ ห้องแถลงข่าวชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กำหนดชื่อวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ว่า "วันนวมินทรมหาราช" และกำหนดให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันนวมินทรมหาราช” เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ทรงปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม บำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร์ พระเกียรติคุณเป็นที่แซ่ซ้องแก่ปวงชนชาวไทยและนานาอารยประเทศ สร้างความผาสุขร่มเย็นให้แก่บ้านเมือง นำมาซึ่งความเป็นปึกแผ่นและเจริญก้าวหน้าของชาติไทยจวบจนถึงปัจจุบัน แม้การเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 จะล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน พสกนิกรทุกหมู่เหล่ายังล้วนคำนึงถึงด้วยความสำนึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่รู้ลืมเลือน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ศุภมาส รมว.อว. นำผู้บริหารและคณาจารย์เยือนและเจรจากระชับความร่วมมือโครงการ TAIST-Science Tokyo ณ ประเทศญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นำผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และคณาจารย์มหาวิทยาลัยไทยในโครงการ TAIST-Tokyo Tech ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางเยือน Institute of Science Tokyo กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดย ศาสตราจารย์ ดร.นาโอโตะ โอทาเกะ อธิการบดีและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ศาสตราจารย์ นพ.ยูจิโระ ทานากะ อธิการบดีและประธานเจ้าหน้าที่วิชาการ Institute of Science Tokyo นำคณะผู้บริหารสถาบันให้การต้อนรับและเจรจาหารือแนวทางการผลักดันความร่วมมือด้านวิชาการและการวิจัยร่วมกัน ในการนี้ คณะผู้แทนจากประเทศไทยได้ร่วมแสดงความยินดีกับฝ่ายญี่ปุ่นเนื่องในโอกาสการควบรวมระหว่าง Tokyo Institute of Technology (Tokyo Tech) และ Tokyo Medical and Dental University (TMDU) และเปลี่ยนชื่อสถาบันเป็น Institute of Science Tokyo ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ทำให้สถาบันมีความเข้มแข็งและความหลากหลายทางวิชาการมากขึ้น โดยโครงการความร่วมมือ TAIST-Tokyo Tech ระหว่างไทยและญี่ปุ่นที่มีความร่วมมือกันมาอย่างยาวนานก็จะเปลี่ยนชื่อเป็น TAIST-Science Tokyo ด้วย การเจรจาความร่วมมือได้ครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ ทิศทางการผลิตบัณฑิตในช่วงต่อไปของโครงการซึ่งกระทรวง อว. ให้ความสำคัญกับการผลิตกำลังคนที่มีทักษะสูงด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้านเซมิคอนดักเตอร์  และด้าน AI เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ประชุมได้มีการสร้างความเข้าใจร่วมกันในรูปแบบการดำเนินโครงการซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่มีเพียง Tokyo Tech (เปลี่ยนชื่อเป็น Institute of Science Tokyo) สวทช. และเครือข่ายมหาวิทยาลัย 6 แห่ง โดยมี วช. เข้ามาร่วมเป็นผู้ให้ทุนในการดำเนินโครงการและมีแผนจะขยายเครือข่ายมหาวิทยาลัยของไทยเข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้นหากทาง Institute of Science Tokyo สามารถรองรับได้ และจะร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการยกระดับความร่วมมือในการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยไทยขึ้นเป็นหลักสูตรปริญญาควบคู่ (double degree) หรือระดับปริญญาเอกร่วมกับ Institute of Science Tokyo ในอนาคต นอกจากนั้นยังมีการหารือแผนการพัฒนาหลักสูตรใหม่ด้าน Biomedical Engineering ในโครงการ TAIST-Science Tokyo อีกด้วย ภายหลังการหารือ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และคณะผู้แทนจากประเทศไทย ได้เปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยใน Institute of Science Tokyo ได้เข้าพบเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังข้อเสนอแนะ รวมถึงให้โอวาทโดยมีใจความสำคัญ ดังนี้ “การที่นักศึกษาทุกคนได้มาศึกษา ณ ที่แห่งนี้ นับเป็นความภาคภูมิใจของประเทศชาติ พวกคุณคือตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่สดใส การมาศึกษาต่อในต่างประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่การได้เรียนรู้ในห้องเรียน แต่ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ ได้มีโอกาสพบเจอผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลาย และที่สำคัญที่สุดคือการได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งและมีความรับผิดชอบ และเชื่อมั่นว่าประสบการณ์ที่นักศึกษาจะได้รับจาก Tokyo Tech จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาตนเองและนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคต” จากนั้นช่วงบ่าย คณะผู้แทนจากประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยของ Institute of Science Tokyo อาทิ ห้องปฏิบัติการวิจัยทางด้านการจำลองหุ่นยนต์ผ่าตัด ห้องปฏิบัติการวิจัยทางด้านพัฒนาหุ่นยนต์สำรวจโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ห้องปฏิบัติการวิจัยการออกแบบหุ่นยนต์ และห้องปฏิบัติการวิจัยทางด้านพลังงานทดแทน โดยนำไปสู่การสร้างความร่วมมือทางด้านงานวิจัยเพิ่มเติมต่อไป โครงการ TAIST-Tokyo Tech (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น TAIST-Science Tokyo) เป็นโครงการความร่วมมือด้านการศึกษาและวิจัยร่วม ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และสถาบันการศึกษาไทยในโครงการ ร่วมกับ Institute of Science Tokyo เพื่อผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโทที่มีศักยภาพสูงในการวิจัย ในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกันมาเป็นเวลา 17 ปี ขยายผลจนมีการผลิตบัณฑิตแล้วมากกว่า 600 คน โดยได้รับการสนับสนุนจาก วช. มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยหลายแห่งในประเทศญี่ปุ่น    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ผนึกพันธมิตร เปิดกิจกรรม “ขยะกำพร้าสัญจร ครั้งที่ 2”
(วันที่ 11 ตุลาคม 2567) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.: ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วยผู้บริหารอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เปิดกิจกรรม "ขยะกำพร้าสัญจร ครั้งที่ 2" โดยความร่วมมือระหว่าง อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ส่งมอบขยะกำพร้าให้กับ บริษัท เอ็น15 เทคโนโลยี จำกัด ผู้นำด้านการจัดการขยะเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยคุณสมบูรณ์ กิตติอนงค์ รองกรรมการผู้จัดการ- N15 Technology ผู้บริหาร BEM คือ คุณมณเฑียร คำไพเราะ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนวิศวกรรมทางพิเศษ และคุณวุฒิชัย โกศลสุรศักดิ์กุล ผู้จัดการส่วน ส่วนระบายน้ำและสิ่งแวดล้อม พนักงานและเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 หน่วยงานเข้าร่วมงาน โดยกิจกรรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักและพฤติกรรมการคัดแยกขยะภายในประชาคม อวท. รวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง และนำขยะไปผ่านเทคโนโลยี RDF เพื่อเป็นขยะเชื้อเพลิง หรือ RDF (Refuse Derived Fuel) ซึ่งเป็นขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ไม่ใช่ขยะเปียก และไม่ใช่ขยะอิเล็กทรอนิกส์ มาทิ้งในงานเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทนถ่านหิน เพื่อร่วมกันสร้างโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน          ทั้งนี้ ในการจัดกิจกรรมมีประชาชนมาร่วมส่งขยะที่สามารถแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel: RDF) ได้กว่า 33 ราย เป็นขยะที่สามารถแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงได้ รวม 2,120 กิโลกรัม ขยะรีไซเคิล (ขวด PET พลาสติกประเภทอื่นๆ โลหะ กระดาษ) รวม 50 กิโลกรัม ขยะรีไซเคิลทั้งหมดเข้ากระบวนการแปรรูปจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 190.83 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ขยะกำพร้าเข้ากระบวนการ RDF จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4,918.40 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เมื่อเทียบกับการอยู่ในกองขยะแบบตื้น โดยจะนำรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายขยะรีไซเคิลไปมอบให้กับโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย สภากาชาดไทย สอบถามรายละเอียดและติดตามกิจกรรม “ขยะกำพร้าสัญจร” ครั้งต่อไปได้ที่ ดร. นรมน อินทรานนท์ อีเมล noramon.int@nstda.or.th โทร. 02564-7000 ต่อ 5397 นอกจากนี้ สามารถดูรายละเอียดประเภทของขยะกำพร้าได้ที่ Facebook: N15 Technology
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โครงการ RECO รุ่น ENGAGE
📣สมัครเลย โครงการ RECO รุ่น ENGAGE . 📍ตั้งแต่วันนี้ - 13 ตุลาคม 2567📍 . เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) . 📌[เปิดรับสมัคร] -นักวิจัย/อาจารย์/นักศึกษาระดับปริญญาเอก ที่มีผลงานวิจัย TRL 3-4 และยังไม่ได้ทดสอบต้นแบบงานวิจัยกับผู้ใช้งาน และต้องการพัฒนาไปสู่ TRL 5-6 ในสามสาขา ดังนี้ (1) Food การพัฒนานวัตกรรมอาหารมูลค่าสูง (2) Agriculture การพัฒนานวัตกรรมเกษตรมูลค่าสูง (3) Health การพัฒนานวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ (ที่ไม่ใช่ยาและวัคซีน) . หมายเหตุ รับสมัครนักวิจัยรายบุคคล หากเป็นนักวิจัยจากกลุ่มเดียวกัน ต้องมีผลงานวิจัยคนละหนึ่งผลงาน . 📌[ลิ้งค์สำหรับสมัครเข้าร่วมโครงการ] https://forms.gle/VfyCvDBhX4btnHNJ6 . 📌[ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการเข้าร่วมกิจกรรม] วันที่ 18 ตุลาคม 2567 ผ่านช่องทาง Facebook Page: RECO https://www.facebook.com/profile.php?id=61565660796142 และผ่านช่องทางอีเมล 📌[Key Activities] 2-Intensive Bootcamps, and 4-Week Sprint โดยนักวิจัยที่ผ่านการคัดเลือก จะได้มีโอกาส วางแผนการทดสอบงานวิจัยที่เป็นต้นแบบกับผู้ใช้งาน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาวิจัยเชิงพาณิชย์ . 📌[Bootcamp Dates] >SEC A : 1-3 พฤศจิกายน 2567 (ณ โรงแรมริเวอร์ตัน จังหวัดสมุทรสงคราม) และ 30 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2567 (ณ โรงแรม The Siamese พัทยา จังหวัดชลบุรี)   >SEC B : 8-10 พฤศจิกายน 2567 (ณ โรงแรม The Siamese พัทยา จังหวัดชลบุรี) และ 7-8 ธันวาคม 2567 (ณ โรงแรมริเวอร์ตัน จังหวัดสมุทรสงคราม)   **โครงการจะพิจารณาคัดเลือกผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมอบรมใน SEC A หรือ SEC B ตามความเหมาะสม และขอให้ผลการคัดเลือกโดยคณะกรรมการเป็นที่สิ้นสุด** . สิ่งที่ท่านจะได้รับจากโครงการ: 🎯Sprint Bootcamp ที่ช่วยให้นักวิจัยเข้าใจ แนวทางการพัฒนาผลงานวิจัยสู่การใช้งานจริง 🎯เรียนรู้เครื่องมือ ที่ช่วยสนับสนุนการนำงานวิจัยสู่ตลาด เช่น Research to Market Canvas, Value Proposition Canvas, Tech Evaluation Canvas, และ Business Model Canvas 🎯โอกาส ตรวจสอบและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการนำผลงานวิจัยไปใช้เชิงพาณิชย์ . 📌[การสนับสนุนจากโครงการ] ค่าอาหารและที่พัก (จำนวน 2 คืน สำหรับการอบรมช่วงที่หนึ่ง และ จำนวน 1 คืน สำหรับการอบรมช่วงที่สอง โดยโครงการจะจับคู่ห้องพักให้แก่ท่าน) ค่าอุปกรณ์สำหรับ Workshop ตลอดโครงการ ไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากข้อ 1 - 2 สมัครเลย **ตั้งแต่วันนี้ -  13 ตุลาคม 2567** เวลา 20:00 น. . 📌ติดตามรายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: RECO https://www.facebook.com/profile.php?id=61565660796142 หรือ 061-317-0723 (จริยา)
ปฏิทินกิจกรรม
 
“ศุภมาส” ร่วมเวทีวิทยาศาสตร์โลก STS forum 2024 ชู “คน” ขับเคลื่อนนิเวศนวัตกรรม หนุนวิจัย ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมเปิดการประชุมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาสังคม ครั้งที่ 21 (Science and Technology in Society: STS forum 2024) ภายใต้กรอบแนวคิด “What do we need from S&T?” ซึ่งเป็นเวทีหารือด้านนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น พร้อมร่วมการแสดงปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิด โดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมและพัฒนากำลังคนขั้นสูงทางด้าน AI เพื่อรองรับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด การพัฒนาการศึกษาด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา การ Upskill และ Reskill ให้ประชาชนสามารถปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกปัจจุบัน พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการร่วมแรงร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโดยการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2030 จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้เข้าร่วมประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (S&T Ministers’ Roundtable Meeting) ในประเด็น “Transformative Science, Technology and Innovation Policy to Strengthen Innovation Ecosystems” ติดตามโดย ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) น.ส.ศุภมาส ได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการรับมือกับปัญหาท้าทายของโลกยุคปัจจุบัน พร้อมแสดงถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนและการเติบโตที่เหมาะกับบริบทของประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้ดำเนินการหลายโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรม โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ มุ่งเน้นการศึกษาในสาขา STEM การเรียนรู้แบบดิจิทัล และทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมในอนาคต เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ยานยนต์ไฟฟ้า ชีวเทคโนโลยี และพลังงานทดแทน อีกทั้ง ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัยและนวัตกรรมในระดับชาติ ผ่านการสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษา อุตสาหกรรม และสถาบันวิจัย โดยเฉพาะในภาคการเกษตร การดูแลสุขภาพ และเศรษฐกิจสีเขียวหมุนเวียน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อเร่งรัดการสร้างนวัตกรรมและการแก้ปัญหาผ่านฮับนวัตกรรมและกลุ่มวิจัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้เน้นความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งการใช้เครื่องมือดิจิทัลจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมและบรรลุ SDGs ภายในปี พ.ศ. 2573 ทั้งนี้ ในช่วงเช้าก่อนการประชุม นางสาวศุภมาส ได้ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับรัฐมนตรีจากประเทศต่าง ๆ พร้อมผู้แทนของแต่ละประเทศ และผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรทั้งญี่ปุ่น รวมกว่า 30 คน โดยไทยได้แสดงความมุ่นมั่นในการพัฒนาความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต พร้อมกันนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ได้เข้าร่วมการประชุม The 13th Global Summit of Research Institute Leaders (RIL 2024) เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นเวทีการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้บริหารหน่วยงานวิจัยทั่วโลกเพื่อหารือร่วมกันในประเด็นความท้าทายและปัญหาร่วมกัน โดยในการประชุมในครั้งนี้ที่ประชุมได้ กำหนดประเด็นการหารือ คือ “การดำเนินการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” โดยแต่ละประเทศได้แสดงตัวอย่างการบริหารจัดการหน่วยงานวิจัยของตัวเองเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีการยกตัวอย่าง การใช้พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ ตลอดจนพลังงานสะอาดอื่น ๆ รวมถึงการบริหารจัดการขยะจากการวิจัยเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนำกลับมาใช้ใหม่ในบางกรณี ที่ประชุมได้เห็นพ้องร่วมกันว่า การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือการหาคำตอบในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญอยู่จึงต้องดำเนินการกันต่อไป แม้ว่าการดำเนินการวิจัยเองจะเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ต้องใช้พลังงานสูงมากสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ รวมถึงวัสดุทดลองที่ใช้แล้วทิ้งต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเน้นการวิจัยเพื่อหาคำตอบในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องบริหารจัดการองค์กรวิจัยอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยที่ประชุมได้มีการยกตัวอย่างโจทย์วิจัยในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI เพื่อช่วยการบริหารจัดการระบบโรงงานให้มีประสิทธิภาพสูง การออกแบบวัสดุสำหรับดูดซับคาร์บอน หรือ แบตเตอรี่ยุคใหม่ เป็นต้น ไปจนถึงการวิจัยนิวเคลียร์ฟิวชัน ในส่วนของ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ร่วมเสนอว่า สวทช. เองก็ได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น การตรวจวัดและวิเคราะห์การปลดปล่อยคาร์บอนขององค์กรเพื่อลดการปลดปล่อยที่ไม่จำเป็น เน้นการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจังในปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น ดร.ปภล ม่วงสนิท และ ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เข้าร่วมการประชุม Young Leaders Program 2024 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายในการประชุม The 21st Annual Meeting of STS forum เป็นเวทีที่จัดขึ้นเพื่อให้ Young Leaders ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองระหว่างกัน และมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับผู้ได้รับรางวัลโนเบล (Nobel laureates) จากสาขาต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเริ่มต้นการสร้างเครือข่ายกับผู้นำระดับโลก หัวข้อหลักในปีนี้เป็นการแลกเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการมีส่วนร่วมพัฒนาโลกด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาทิ การสื่อสารข้อมูลความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้องและตรงไปตรงมาเพื่อหลีกเลี่ยงหรือป้องกันผลกระทบจากการเสพข้อมูลเท็จหรือข้อมูลที่มีอคติในสื่อสังคมออนไลน์ การให้ความสำคัญกับการวิจัยขั้นพื้นฐาน (Basic research) เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและสาธารณะอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ (physics) เคมี (chemistry) และสรีวิทยาหรือการแพทย์ (physiology or medicine) ร่วมแบ่งปันประสบการณ์รวม 8 ท่าน และมีนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีความโดดเด่น (Young leaders) ทั้งจากภาคการศึกษา ภาครัฐ และเอกชนจากนานาประเทศเข้าร่วมการประชุมกว่า 140 คน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติเรื่องข้าวเพื่ออนาคต (3rd International Conference on Rice for the Future)
📢🌾 ขอเชิญร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติเรื่องข้าวเพื่ออนาคต (3rd International Conference on Rice for the Future) 🌾📢 . ศูนย์กลางความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยข้าวของประเทศไทย (Hub of Rice) โดยศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และภาคีเครือข่ายด้านการวิจัยข้าวของประเทศไทย ขอเชิญผู้สนใจในด้านการวิจัยข้าวจากภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา เกษตรกรรุ่นใหม่ และผู้ส่งออกข้าวไทย เข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติเรื่องข้าวเพื่ออนาคต ครั้งที่ 3 (The 3rd International Conference on Rice for the Future) ระหว่างวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จ.นนทบุรี . ภายในงานผู้ร่วมงานจะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยด้านข้าวในทุกมิติ การจัดการข้าวในอนาคต ซึ่งเป็นพืชที่มีบทบาทสำคัญกับการเลี้ยงดูประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความท้าทายจากสภาพแวดล้อมและจากภาคอุตสาหกรรม โดยมีวิทยากรทั้งในและต่างประเทศร่วมให้การบรรยาย เช่น การพัฒนาพันธุกรรมข้าว การปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่ทนต่อภาวะโลกรวนและความเครียดทางชีวภาพ การแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเพื่อสุขภาพ การใช้ประโยชน์จากข้าวเพื่อการแพทย์ ตลอดจนเทคโนโลยีการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับข้าว เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้เห็นภาพและแนวทางสร้างพันธุ์ข้าวที่ทนต่อสภาพอากาศ และมีโภชนาการสูงมากขึ้น สำหรับเกษตรกรและผู้บริโภคที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม . 👉ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://events.thailandricehub.org หรือสแกน QR code ตามที่ปรากฏในโปสเตอร์ รับจำนวนจำกัดภายในวันที่ 1 พ.ย. 67 นี้ #ข้าวเพื่ออนาคต #riceforthefuture #งานประชุมข้าว #ไบโอเทค #งานประชาสัมพันธ์ไบโอเทค
ปฏิทินกิจกรรม
 
อวท. ยินดีต้อนรับ “ศูนย์วิจัยพัฒนาและแสดงนวัตกรรม เพื่อสังคมแห่งความปลอดภัย” สู่ประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
3 ตุลาคม 2567 - ดร. อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะผู้แทนรองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร. เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ นายฉัตรชัย รัตนลาภ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบริหารธุรกิจ และนางสาวชมพูนุช อนุศาสน์สิทธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม ร่วมแสดงความยินดีกับนายธนิต วิรัชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โทเทิล ดิจิตอล อินโนเวชั่น จำกัด และคณะผู้บริหารของบริษัทฯ ในพิธีเปิด “ศูนย์วิจัยพัฒนาและแสดงนวัตกรรม เพื่อสังคมแห่งความปลอดภัย” อย่างเป็นทางการ ณ อาคารกลุ่มนวัตกรรม 1 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) พร้อมเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยแห่งชาติ เตรียมต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยต่อสังคมร่วมกันในอนาคต นายธนิต วิรัชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โทเทิล ดิจิตอล อินโนเวชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัท โทเทิล ดิจิตอล อินโนเวชั่น จำกัด (TOD Innovation) ก่อตั้งเมื่อปี 2009 ที่ จ.ชลบุรี ดำเนินธุรกิจด้าน GPS ติดตามรถยนต์มาอย่างต่อเนื่อง ต่อมาได้วิจัยพัฒนา product ด้าน IoT ให้กับภาคเอกชนและภาครัฐในสินค้านวัตกรรม ด้วยทีมงานมืออาชีพด้านการพัฒนา Hardware Software และ Tech Support ปัจจุบันมีลูกค้ามากกว่า 1,000 หน่วยงาน โดยผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นจะมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยให้กับสังคม อาทิ ระบบติดตามรถขนส่งสินค้าและรถบริการผ่านดาวเทียม, เครื่อง Smart Check-In สำหรับพนักงานขับรถและพนักงานโรงงาน เพื่อการตรวจวัดสุขภาพความพร้อมของพนักงานก่อนเริ่มงาน และผลิตภัณฑ์ด้าน IoT ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เป็นต้น “เป็นวันที่ผมรอคอยมานานว่าวันหนึ่งเราจะออกจากพื้นที่ จ.ชลบุรี ที่อยู่มาเป็นเวลา 10 กว่าปี และวันนี้บริษัทฯ ได้มาเปิด “ศูนย์วิจัยพัฒนาและแสดงนวัตกรรม เพื่อสังคมแห่งความปลอดภัย” ขึ้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ที่เป็น R&D Hub ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่ศูนย์วิจัยฯ นี้เราจะทำงานด้าน software development, hardware development และ showcase โดยเหตุผลหลักที่เลือกมาอยู่ที่นี่ เพราะ อวท. เป็นแหล่งรวมการวิจัยพัฒนาระดับประเทศ, ตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและมีบริษัท startup จำนวนมาก, โอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนจากหน่วยงานรัฐ และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ” นายธนิต กล่าว นางสาวชมพูนุช อนุศาสน์สิทธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม สวทช. เป็นผู้แทนกล่าวถึงบทบาทของ อวท. ในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมผ่านกลไกบริการต่างๆ แบบครบวงจร รวมถึงการสร้างสรรค์ระบบนิเวศของ อวท. ที่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยี อาทิ การให้คำปรึกษาและถ่ายทอดเทคโนโลยี บริการวิเคราะห์ทดสอบที่ได้มาตรฐาน มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนด้านการเงินและภาษี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าและบริการให้กับผู้ประกอบการด้วยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย อวท. มีความยินดีและพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยให้กับสังคมตามเจตนารมณ์ของบริษัทฯ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ETDA ร่วมกับ สวทช. ขับเคลื่อนความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI อย่างต่อเนื่องสู่ปีที่ 2 ใช้เกณฑ์ 5 ด้านในการประเมิน ชี้เป้าการประยุกต์ใช้ AI ของประเทศไทยขยายตัวต่อเนื่อง
3 ตุลาคม 2567 สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดแถลงผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลของปี 2567 เผย 5 ด้านสำคัญที่ใช้ในการประเมินความพร้อมขององค์กร และนำไปสู่แนวทางการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี AI ในภาคธุรกิจ/ อุตสาหกรรม ที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน ได้ร่วมให้ข้อคิดเห็นในประเด็นต่างๆ คุณรจนา ล้ำเลิศ ที่ปรึกษาฝ่ายอำนวยการและทรัพยากรบุคคล หัวหน้าทีมศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ ETDA กล่าวว่า การศึกษาในครั้งนี้ นับเป็นการดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้ทราบถึงสถานการณ์และข้อมูลสำคัญ ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI จากปีที่แล้ว (ปี 2566) ซึ่งเป็นปีแรกที่ได้มีการศึกษาสถานภาพความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI ของภาคส่วนต่างๆ ของไทยและได้ทำเป็นข้อมูล Baseline เอาไว้ อีกทั้งช่วยชี้ให้เห็นโอกาสและอุปสรรคในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ในสาขาหรือกลุ่มธุรกิจที่สำคัญ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและใช้งานสำหรับบริการดิจิทัล อย่างสร้างสรรค์และมีธรรมาภิบาล รวมทั้ง เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2565 – 2570) ให้บรรลุเป้าหมายต่อไป นอกจากนี้ ยังจะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance) และผลักดันประเทศให้มีการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนามาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้เชื่อมโยงกันได้ มีความมั่นคงปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือ ครอบคลุมทั้งในเรื่องจริยธรรมและธรรมาภิบาล หรือ AI Ethics and Governance, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม, การเพิ่มศักยภาพของคนและการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้งาน อันเป็นพันธกิจสำคัญของ ETDA ซึ่งจากผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ในการศึกษาและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความพร้อมของการประยุกต์ใช้ AI ใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า ETDA ยังคงต้องมุ่งเน้นพัฒนาแนวทางปฏิบัติต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ตลอดจนการสร้างความร่วมมือที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนเกิดการประยุกต์ใช้งาน AI ในทุกกิจกรรม บนพื้นฐานความสอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาล อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม และยั่งยืน ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. รายงานว่า การศึกษาครั้งนี้ได้มีการดำเนินการรวบรวมข้อมูลจาก 3 ส่วนด้วยกัน คือ การประชุมความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากผู้แทนหน่วยงาน/ องค์กรที่มีบทบาทสำคัญ การประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม เพื่อนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาประกอบการวิเคราะห์และจัดทำเป็นข้อเสนอแนะมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมต่อไป จากการศึกษาพบว่า องค์กร/หน่วยงานในประเทศไทย ได้เริ่มมีการใช้งาน AI แล้ว และมีแนวโน้มใช้งานมากขึ้น ตัวอย่าง เช่น ในกลุ่มการศึกษา กลุ่มการเงินและการค้า ก็มีการนำ AI มาช่วยตรวจสอบข้อมูล แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน การอนุมัติสินเชื่อ และประเมินความเสี่ยง ในกลุ่มการแพทย์และสุขภาวะ ใช้ AI มาช่วยตรวจสอบความครบถ้วนของเครื่องมือผ่าตัด และช่วยในการวินิจฉัยและตัดสินใจของแพทย์ เป็นต้น การศึกษาครั้งนี้ได้ปรับปรุงตัวชี้วัด 13 มิติจากปีที่แล้วของดัชนีการวัด 5 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร (2) ด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน (3) ด้านบุคลากร (4) ด้านเทคโนโลยี และ (5) ด้านธรรมาภิบาล ดำเนินการสำรวจหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 10 กลุ่ม ตามที่ระบุในแผนปฏิบัติการ AI ได้แก่ เกษตรและอาหาร การใช้งานและบริการภาครัฐ การแพทย์และสุขภาวะ อุตสาหกรรมการผลิต พลังงานและสิ่งแวดล้อม การศึกษา ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ความมั่นคงและปลอดภัย โลจิสติกส์และการขนส่ง และการเงินและการค้า ซึ่งผลที่ได้จากการประเมินตามด้านต่างๆ จะนำไปสู่การแบ่งความพร้อมขององค์กรได้เป็น 4 ระดับ คือ ระดับ Unaware = ยังไม่มีความตระหนัก/ อยู่ในช่วงเริ่มต้นเรียนรู้, Aware = มีความตระหนักและเริ่มนำ AI ไปใช้งานแล้ว, Ready = มีความพร้อมในการนำ AI ไปใช้งาน และ Competent = มีความเข้มแข็งในการใช้งาน AI สรุปผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่ส่งแบบสอบถามทั้งสิ้น 3,758 หน่วยงาน ในช่วงเวลา 75 วัน (เดือน ก.ค.- ก.ย. 2567) ได้ข้อมูลกลับมาทั้งสิ้น 580 หน่วยงาน พบว่า  หน่วยงานที่มีการนำ AI มาใช้งานในองค์กรแล้ว 17.8% ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย  ส่วนหน่วยงานที่มีแผนที่จะนำมาใช้ในอนาคต 73.3% และที่ยังไม่มีแผนที่จะใช้ AI  8.9%  ดังนั้น จึงคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตองค์กรในประเทศไทยจะมีนำ AI มาประยุกต์ใช้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน  ทั้งนี้ องค์กรที่มีการประยุกต์ใช้งาน AI มีเป้าหมายสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหรือการให้บริการขององค์กร  เพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในองค์กร และ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ และ/หรือบริการขององค์กรให้แก่องค์กร ตามลำดับ ผลการสำรวจยังพบว่า องค์กรที่มีการนำ AI มาใช้งานแล้ว มีความพร้อมเฉลี่ยอยู่ที่ 55.1% หรืออยู่ในระดับ “Aware” ซึ่งหมายถึง องค์กรมีความตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI  และเริ่มนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร โดยเมื่อพิจารณาแยกลงไปในแต่ละด้าน (Pillar) พบว่า ด้านที่มีความเข้มแข็งมากที่สุด คือ ด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน (ประกอบด้วย รูปแบบและคุณภาพของข้อมูล และ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็นต่อการใช้งาน AI) โดยมีคะแนนเฉลี่ยความพร้อมในด้านนี้อยู่ที่ 65.5% ซึ่งจัดอยู่ในระดับ “Aware” โดยกลุ่มที่มีความพร้อมอยู่ในระดับต้นๆ ได้แก่ กลุ่มการเงินและการค้า กลุ่มโลจิสติกส์และการขนส่ง และ กลุ่มการศึกษา ทั้งนี้ การที่หน่วยงานมีความพร้อมโดยเฉพาะในด้านข้อมูลสูง สาเหตุหนึ่งมาจากในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความตื่นตัวในเรื่องของ Big Data และเห็นความสำคัญของการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในมุมมองต่างๆ ตามที่องค์กรให้ความสนใจ  สำหรับด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยในระดับรองลงมาได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร ด้านธรรมาภิบาล และด้านเทคโนโลยี ตามลำดับ สำหรับองค์กรที่ปัจจุบันยังไม่มีการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจ 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาข้อมูล เนื่องจากยังไม่ทราบว่าจะนำ AI มาประยุกต์ใช้อย่างไร  (2) รอนโยบายจากผู้บริหารที่จะเห็นความจำเป็นในการนำ AI มาใช้ และ (3) องค์กรยังขาดความพร้อมและต้องการการสนับสนุนในด้านงบประมาณ รวมถึงยังต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนต่างๆ เพื่อให้สามารถนำ AI มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ประเด็นและแนวโน้ม ที่น่าสนใจจากการศึกษาในปี 2567 นี้ได้แก่ ด้าน Generative AI  พบว่า องค์กรมีใช้ Generative AI ไปเพื่อสนับสนุนการทำงานในด้านหลายด้าน โดยงาน 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) ด้านการพัฒนาสินค้าหรือบริการ/การวิจัยและพัฒนา (2) ด้านการตลาด การขายและบริการลูกค้า และ (3) ด้านกระบวนการผลิต ในขณะที่อุปสรรคสำคัญในการใช้งาน Generative AI คือ (1) องค์กรขาดบุคลากรที่มีทักษะ (2) องค์กรมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลที่นำมาใช้งาน และ (3) องค์กรยังขาดเงินทุนสำหรับการจัดซื้อและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถใช้งานได้  นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ยังไม่พบว่าองค์กรใดเลยที่มีนโยบายที่จะเลิกการจ้างคนทั้งหมด แม้ว่างานในส่วนนั้นจะสามารถนำ Generative AI มาใช้แทนได้ก็ตาม แต่เน้นการพัฒนาบุคลากรให้สามารถทำงานร่วมกับ Generative AI ให้มากขึ้น จากผลการสำรวจดังกล่าว นำมาสู่ข้อเสนอแนะเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ  ได้แก่ Human development หรือ การพัฒนาทักษะ AI ในทุกระดับ เช่น ผลิต AI Talent, ให้มี AI Engineer, พัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพด้าน AI รวมถึงความตระหนักรู้ AI Governance เป็นต้น AI Cost and Productivity หรือ การสนับสนุนโดยภาครัฐในการช่วยให้ต้นทุนของการใช้ AI ลดลง และการส่งเสริมการใช้ AI ให้เกิดความคุ้มค่า Ethics and Governance หรือ ธรรมาภิบาล AI เช่น แนวปฏิบัติ AI Governance และ การพัฒนา AI Risk Management Framework เป็นต้น Consultancy Services หรือ การสร้างความตระหนักและสนับสนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่รองรับการขยายตัวของ AI เช่น มีศูนย์บริการเฉพาะด้านเพื่อให้คำปรึกษา (AI Consulting Clinic), ศูนย์ทดสอบและขึ้นทะเบียนนวัตกรรม AI และ การทำ AI Readiness Measurement เป็นต้น ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ในฐานะผู้ช่วยเลขาคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญในการสนับสนุนการจัดทำแผนการดำเนินการเพื่อส่งเสริมและพัฒนา AI ในระยะที่ 2         ให้เป็นไปอย่างตรงเป้าหมายได้มากขึ้น ตลอดจนเป็นการสร้างโอกาสที่จะนำผลการศึกษาไปต่อยอดและพัฒนานโยบาย แผนการดำเนินงาน แนวทางขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนเกิดประยุกต์ใช้งาน AI ในทุกกิจกรรมอย่างเหมาะสม มากที่สุดต่อไป ตามยุทธศาสตร์ทั้ง 5 ด้านในแผนฯ ได้แก่ (1) ด้านจริยธรรมและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักและให้มีศูนย์บริการให้คำปรึกษาด้าน AI (2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูลสำหรับ AI ที่เน้นพัฒนา AI Service Platform บนโครงข่าย GDCC ที่จะสนับสนุนภาครัฐและภาคธุรกิจมากขึ้น (3) ด้านการพัฒนากำลังคน เพื่อเพิ่มผู้เชี่ยวชาญและวิศวกรด้าน AI ให้เพียงพอต่อการเติบโต (4) ด้านวิจัยและพัฒนา ด้วยการกำหนด Flagship Project เช่น Thai Large Language Model (LLM) เพื่อสนับสนุนการใช้ Generative AI ในธุรกิจไทย และขึ้นทะเบียนผลงานนวัตกรรม AI และสุดท้าย (5) ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้งาน AI ได้แก่ การร่วมขับเคลื่อน Tech. Startup เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการสร้างสรรค์งานบริการด้าน AI ในประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น เป็นต้น  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ชวนรู้จัก “ฐานข้อมูลด้าน CO2, CE, SDGs” เพื่อการค้าและความยั่งยืน
กระทรวง อว. โดย สวทช. จัดกิจกรรม NSTDA Meets the Press “ชวนรู้จักฐานข้อมูลด้าน CO2, CE, SDGs เพื่อการค้าและความยั่งยืน นำประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ” เปิดให้สื่อมวลชนพบปะพูดคุยกับทีมนักวิจัยอย่างเป็นกันเอง ประกอบด้วย ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อานวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. ผู้พัฒนาฐานข้อมูลด้าน CO2, CE, SDGs พร้อมพูดคุยกับผู้บริหารจาก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และผู้บริหาร บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ที่มาเล่าถึงความสำคัญและการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลดังกล่าว โดยเฉพาะด้าน CO2 ที่นำไปสู่การได้รับฉลากคาร์บอนในผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิง และการใช้ฐานข้อมูลด้าน CE ที่นำไปสู่การเลือกใช้วัสดุหมุนเวียนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทั้งนี้ ฐานข้อมูล CO2, CE, SDGs จะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าไทย พร้อมไปแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างยั่งยืน
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่จากองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย เสริมสร้างความร่วมมือในการสร้างสรรค์กิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน
วันที่ 2 ตุลาคม 2567 ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์แประเทศไทย นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่จากองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส นำโดยคุณสุชาดา ภู่ทองคำ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ร่วมศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ โดยเน้นไปที่ความร่วมมือในการสร้างสรรค์กิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชนในอนาคต ในการเยี่ยมชมครั้งนี้ คุณสุชาดาได้แสดงความสนใจในแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรในการเสริมสร้างทักษะและความคิดสร้างสรรค์ผ่านการจัดกิจกรรมที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการใช้สื่อดิจิทัลในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่เน้นการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะของเยาวชนด้วย นอกจากนี้ คณะเจ้าหน้าที่จากไทยพีบีเอส ยังได้เยี่ยมชมธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) โดยมี ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สวทช. เปิดบ้านให้เข้าเยี่ยมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ ที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาว ภายใต้การบริหารจัดการของ สวทช. ดร.ศิษเฎศ นำชมห้อง Data Center ในส่วนของ Facilities ของ NBT ภายใต้โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย ซึ่งธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติยังเป็นองค์กรที่รวบรวมและดูแลข้อมูลจีโนมของประชากรไทยกว่า 50,000 ราย เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับงานวิจัย เพิ่มประสิทธิภาพของการวินิจฉัยการรักษาอย่างจำเพาะ และขับเคลื่อนนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อยกระดับการบริการการรักษาภายในประเทศ รวมทั้ง ดร.สิรินันท์ ครองตน และคุณธีรวัฒน์ แก้วกาญจน์ ยังได้นำชมงานด้านการอนุรักษ์เน้นการเก็บรักษาทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาวที่อุณหภูมิ -20 และ -80 °C ด้วยระบบ Automated Sample Storage System โดยในช่วงท้าย คณะเจ้าหน้าที่จากไทยพีบีเอส ได้ไปเยี่ยมชมสถานที่จัดกิจกรรม ห้องปฏิบัติการพืช และโรงประลองวิศวกรรม FabLab บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ซึ่งการเยี่ยมชมในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง สวทช. และไทยพีบีเอส ที่จะนำไปสู่การพัฒนาและขยายกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชนในอนาคต ทั้งในด้านการศึกษา กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ พัฒนาทักษะชีวิต และการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับสื่อมวลชนต่อไป หากสนใจกิจกรรมหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ติดต่อได้ที่โทรศัพท์ 02 564 7000 ต่อ  77215 และ 77207 หรือทางแฟนเพจ https://www.facebook.com/sciencecamp.fanpage
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอ็มเทค สวทช. พัฒนาฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ หนุนผู้ประกอบการขอรับรอง “ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์” ขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมมากมายซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก โดยสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่มากเกินไป เป็นผลให้เกิดภาวะโลกร้อนซึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ทุกภาคส่วนต้องหันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังเพื่อบรรเทาผลกระทบและมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือ "การประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์" และ "การคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์" เพื่อขอรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดทำฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตของวัสดุพื้นฐานและพลังงานของประเทศ (Thai National Life Cycle Inventory Database) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลการใช้ทรัพยากรและการปล่อยมวลสารสู่สิ่งแวดล้อมของการผลิตผลิตภัณฑ์หนึ่งหรือกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ตามแนวทางการประเมินตลอดวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment; LCA)     ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า เอ็มเทคได้พัฒนาข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนตามมาตรฐานสากลมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนนำไปใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยการพัฒนาฐานข้อมูลต่าง ๆ นั้น ทีมวิจัยได้ดำเนินงานตามแนวคิดตลอดวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Thinking; LCT) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์หรือบริการตลอดวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่ขั้นตอนการได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การผลิต การใช้งาน การกำจัดซาก จนกระทั่งการนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบใหม่ โดยแนวคิดตลอดวัฏจักรชีวิตเป็นแนวคิดที่ใช้กันทั่วโลก ดังนั้นหน่วยงานที่นำฐานข้อมูลไปใช้ประโยชน์จึงมั่นใจได้ว่าฐานข้อมูลมีความถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐานสากล   [caption id="attachment_61995" align="aligncenter" width="726"] ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช.[/caption]   "ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์คือการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์เพื่อขอใช้เครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์บนผลิตภัณฑ์เป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน โดยจะแสดงข้อมูลเป็นปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ที่เกิดขึ้นตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ กระบวนการผลิต การขนส่ง จนถึงการใช้งานและการกำจัดของเสีย ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” ปัจจุบันในหลายประเทศเริ่มมีการนำคาร์บอนฟุตพรินต์มาใช้กันแล้วอย่างเช่นใน อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลี ทั้งยังมีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยต้องติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพรินต์ด้วย หากประเทศไทยมีการดำเนินโครงการและเก็บข้อมูลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจน จะช่วยให้เรามีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นในการประชุมระดับโลกเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยขณะนี้มีบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์รวม 10,254 รายการ (*ข้อมูลจากเว็บไซต์องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ณ วันที่ 27 ก.ย. 67)   [caption id="attachment_61996" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างผลิตภัณฑ์น้ำมันของบริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มีการประเมินวัฏจักร์ชีวิตของผลิตภัณฑ์และได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์[/caption]   บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คือตัวอย่างหนึ่งขององค์กรที่นำฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ในการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทบางจากฯ ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1. น้ำมันเตา (Fuel Oil) 2. ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas (LPG)) 3. น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (High Speed Diesel) 4. น้ำมันแก๊สโซลีนพื้นฐาน (Gasoline based) 5. น้ำมันก๊าดหรือน้ำมันเครื่องบิน (Illuminating or Industrial Kerosene (IK)) ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทฯ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก “ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคอย่างมาก เนื่องจากเป็นข้อมูลที่บ่งบอกชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น ภาครัฐจึงควรมีมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างแพร่หลายมากขึ้นในทุกภาคส่วน พร้อมทั้งให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ดร.นงนุช กล่าว   [caption id="attachment_61997" align="aligncenter" width="500"] ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ [ที่มาภาพ : องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ][/caption]  ทั้งนี้ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. มีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) มาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มมีแนวคิดด้านการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ผู้ประกอบการหรือองค์กรที่สนใจขอรับคำปรึกษาด้านการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์หรือการขอรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ ติดต่อได้ที่ TIIS โทรศัพท์ 0 2564 6500 หรืออีเมล admin-tiis@nstda.or.th   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น