หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
“ศุภมาส” รับลูกนโยบายนายกฯ ขยายผลการใช้งาน Traffy Fondue แพลตฟอร์มร้องทุกข์ผ่านปลายนิ้วไปทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกกระทรวง มอบ สวทช. ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเดินหน้าหนุนเต็มสูบ พร้อมต่อยอดสู่การสร้าง “เมืองอัจฉริยะ” และ “ระบบราชการที่รับฟังอย่างแท้จริง”
เมื่อวันที่ 10 พ.ค.68 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ขานรับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเน้นย้ำการขยายผลแพลตฟอร์ม Traffy Fondue (ทราฟฟี ฟองดูว์) ไปสู่ทั่วประเทศและทุกกระทรวง เพื่อเป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนหลักของรัฐบาล สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า เพื่อสนับสนุนนโยบายการดำเนินงานและข้อสั่งการดังกล่าวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตนจึงได้มอบหมายให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทำหน้าที่ให้การสนับสนุนทางเทคนิคและพัฒนาระบบ Traffy Fondue อย่างเต็มรูปแบบ โดย สวทช. ถือเป็นหน่วยงานวิจัยหลักของประเทศและเป็นผู้พัฒนา Traffy Fondue ซึ่งมีความพร้อมทั้งด้านทรัพยากรบุคคล เทคโนโลยี มีงานวิจัยที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวง อว.ที่ตนมุ่งเน้นมาโดยตลอด และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเช่น Traffy Fondue ให้เป็นแพลตฟอร์มในการให้บริการประชาชน จะเป็นการช่วยส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม มีความคุ้นเคยในการใช้เทคโนโลยีและดิจิทัล จะนำประเทศเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบได้ในอนาคต รมว.อว. กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันแพลตฟอร์ม Traffy Fondue มีหน่วยงานที่เข้าร่วมแล้ว 17,747 แห่ง มีรับเรื่องร้องเรียนแล้ว 1,379,896 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 1,064,376 เรื่อง หรือคิดเป็น 77% ครอบคลุมประชากร 31.7 ล้านคน หรือประมาณ 48% ของประชากรทั้งประเทศ โดยมีการใช้งาน Traffy Fondue จากหน่วยงานระดับกระทรวง กรม และองค์กรอิสระ เช่น กรุงเทพมหานคร กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา การไฟฟ้านครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กรมทางหลวง และ กรมควบคุมมลพิษ เป็นต้น และยังมีหน่วยงานท้องถิ่นที่ใช้ ได้แก่ เทศบาล 2,057 แห่ง และ อบต. 2,407 แห่ง ด้าน ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า สวทช. ไม่เพียงแค่พัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue แต่ยังได้ต่อยอดไปสู่การวางระบบ Dashboard สำหรับผู้บริหาร, ระบบวิเคราะห์เชิงพื้นที่, การผสานข้อมูลกับ LINE Official, รวมถึงการพัฒนา AI สำหรับวิเคราะห์ประเภทปัญหาและประเมินคุณภาพการแก้ไข ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง “เมืองอัจฉริยะ” และ “ระบบราชการที่รับฟังอย่างแท้จริง" “Traffy Fondue ไม่ได้เปลี่ยนแค่กระบวนการรับเรื่อง แต่กำลังเปลี่ยนวัฒนธรรมการตอบสนองของรัฐให้เร็ว โปร่งใส และวัดผลได้จริง เพราะทุกเสียง คือโอกาสในการพัฒนา เสียงของคนธรรมดาไม่หาย เพราะ Traffy Fondue ช่วยให้ทุกเสียงไปถึงมือคนแก้ปัญหา” น.ส.ศุภมาส กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ Traffy Fondue เป็นแพลตฟอร์ม “ร้องทุกข์ผ่านปลายนิ้ว” เพื่อให้ประชาชนสามารถแจ้งปัญหาในพื้นที่ เช่น ถนนชำรุด ไฟทางขัดข้อง น้ำท่วม ขยะตกค้าง ฯลฯ ไปยังหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส โดยระบบจะจัดการส่งต่อข้อมูลไปยังเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทันที และสามารถติดตามสถานะการแก้ไขได้แบบเรียลไทม์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ศุภมาส” เดินหน้าเต็มที่จัดงาน “อว. Job Fair 2025” ยิ่งใหญ่กลางกรุง ตลาดอาชีพเพื่ออนาคต ชูเป้าหมายเปลี่ยนฝันเป็นอาชีพจริง ชี้ งานนี้ไม่ใช่แค่ “มหกรรมรับสมัครงาน” แต่เป็น “สนามสร้างอนาคต” ที่ครบที่สุด รวมทุกมิติของโอกาสไว้ในที่เดียว ทั้งหางาน ฝึกงาน เรียนต่อ เสริมทักษะ
(วันที่ 10 พฤษภาคม 2568) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Exhibition Hall 1–2 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดตัวงาน “อว. Job Fair 2025” อย่างเป็นทางการ โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นประธานในพิธี โดยมีคณะผู้บริหารหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. อาทิ ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงกระทรวง อว. รศ.ดร. วีระพงษ์ แพสุวรรณ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ด้านวิทยาศาสตร์   นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) พร้อมด้วย ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ท่ามกลางการเข้างานร่วมอย่างคึกคักของนักศึกษา เยาวชน และผู้บริหารจากทั้งภาครัฐและเอกชน นางสาวศุภมาส กล่าวว่า งานนี้ไม่ใช่แค่งานจัดหางานธรรมดา แต่คือ “สนามสร้างอนาคต” ที่รวบรวมโอกาสทุกด้านไว้ในที่เดียว ทั้งการหางาน ฝึกงาน เรียนต่อ และการเสริมทักษะเพื่ออนาคต โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเยาวชน ได้ค้นพบเส้นทางที่ใช่และเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นอาชีพจริง หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงาน คือการเปิดโอกาสให้นักศึกษาและบัณฑิตไทยได้ฝึกงานกับบริษัทชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Marriott, IHG หรือโครงการ Innovator Trainee ของ NIA สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) องค์กรวิจัยแห่งชาติ ที่เปิดรับสมัครบุคลากรจำนวน 43 อัตรา ครอบคลุมทั้งระดับผู้บริหาร นักวิจัย และสายสนับสนุน รวมถึงตำแหน่งฝึกงานทั้งในไทยและต่างประเทศมากกว่า 10,000 อัตรา ครอบคลุมหลากหลายสาขา ทั้งด้านบริการ เทคโนโลยี นวัตกรรม การครัว และการจัดการโรงแรม โดยสามารถสมัครและสัมภาษณ์ภายในงานได้ทันที โอกาสนี้จะช่วยให้เยาวชนไทยได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานในระดับสากล เสริมสร้างทักษะใหม่ และยกระดับขีดความสามารถสู่เวทีโลก ภายในงานยังมีตำแหน่งงานจริงจากบริษัทเอกชนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศกว่า 150,000 อัตรา และจากหน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย และองค์กรวิจัยอีกกว่า 1,000 อัตรา ที่พร้อมรับสมัครทันที นอกจากนี้ยังมีทุนเรียนต่อระดับปริญญาโท–เอกทั้งในและต่างประเทศกว่า 350 ทุน มูลค่ารวมกว่า 180 ล้านบาท เปิดให้คำปรึกษาและลงชื่อแสดงความประสงค์สมัครโดยตรงในงาน เพื่อรองรับตลาดแรงงานยุคใหม่ กระทรวง อว. ยังเตรียมหลักสูตร Upskill, Reskill และ New Skill มากกว่า 1,500 หลักสูตร พร้อมกิจกรรมเสริมศักยภาพ เช่น Resume Clinic การฝึกสัมภาษณ์งาน และเวิร์กช็อปแนะแนวอาชีพ โดยร่วมกับภาคเอกชนและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมมีความพร้อมทั้งในด้านทักษะ เทคนิค และทัศนคติ นอกจากนี้ เวทีหลักของงานยังได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากการบรรยายสร้างแรงบันดาลใจโดยบุคคลต้นแบบระดับประเทศ อาทิ คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (ท๊อป บิทคับ) กับหัวข้อ “Innovation to Opportunity,” คุณพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ (หนุ่ย แบไต๋) กับ “โลกอาชีพใหม่ในยุค AI” และ ดร. ตฤณห์ โพธิ์รักษา ที่พูดเรื่อง “จิตวิทยาในที่ทำงานและความมั่นคงทางอาชีพ” บรรยากาศในงานยังเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานผ่านกิจกรรม Edutainment อย่างมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ได้แก่ จ๊ะ นงผณี, วง PROXIE และ ATLAS สร้างสีสันและแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมทุกวัย นางสาวศุภมาส กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวง อว. ตั้งเป้าว่างานนี้จะมีผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 50,000 คน เกิดการสมัครงานจริงมากกว่า 20,000 อัตรา มีผู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะอย่างน้อย 10,000 คน และเกิดการจ้างงานจริงมากกว่า 5,000 อัตรา พร้อมคาดหวังว่าเยาวชนไทยอย่างน้อย 500 คน จะได้รับโอกาสฝึกงานในต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมรวมไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท งาน “อว. Job Fair 2025” เข้าร่วมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9–11 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00–20.00 น. (วันที่ 11 เปิดถึงเวลา 18.00 น.) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Exhibition Hall 1–2 ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://jobfair.mhesi.go.th หรือติดตามข้อมูลทาง Facebook Page: MHESI Thailand และแอปพลิเคชัน “อว แอป” บนระบบ iOS และ Android โดยผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าจะมีสิทธิ์ลุ้นรับ iPad และของรางวัลพิเศษรวมกว่า 10,000 รายการ มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เริ่มแล้ว ! “อว. Job Fair 2025” วันแรก ตลาดงานสุดยิ่งใหญ่แห่งปี อว.ยกทัพผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ มาเปิดบูธรับสมัครงาน เพิ่มโอกาสคนหางานหรืออยากเปลี่ยนงานใหม่ที่ตรงไทป์ 9-11 พ.ค.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Hall 1–2
9 พฤษภาคม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เนรมิตพื้นที่ 11,230 ตารางเมตร ในศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เป็นตลาดแรงงานสุดยิ่งใหญ่แห่งปี ในชื่อ “อว. Job Fair 2025” ภายใต้แนวคิด “From Passion to Profession - เปลี่ยนความฝันให้เป็นอาชีพจริง” ครั้งแรกที่ อว. จับเยาวชน บัณฑิตใหม่ และแรงงานทักษะสูง มาพบกับผู้ประกอบการธุรกิจชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เปิดโอกาสการจ้างงานใหม่ ครอบคลุมทั้งอาชีพปัจจุบันและอาชีพแห่งอนาคต รวมถึงการรับทุนการศึกษาต่อ พัฒนาและเพิ่มทักษะสู่อาชีพที่ฝัน “อว. Job Fair 2025” วันแรก (9 พ.ค.) มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง โดย อว. ได้ยกทัพบูธผู้ประกอบการสำหรับผู้ที่อยากทำงานในหลากหลายสายอาชีพ อาทิ สายการโรงแรม สายการท่องเที่ยว สายการบัญชี สายอุตสาหกรรม สายโลจิสติกส์ และอื่น ๆ อีกมากมาย มาให้ผู้ร่วมงานได้ศึกษาและสมัครเข้าร่วมงาน หลายองค์กรเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานสมัคร สัมภาษณ์ และทราบผลการจ้างงานทันทีภายในงาน รวมถึงผู้ที่อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับ อว. ก็ยิ่งต้องรีบมางาน “อว. Job Fair 2025” เพราะ อว. ได้ขนทีมองค์กรชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับประเทศ มารวมกันอยู่ในงานนี้แล้วด้วย เช่น สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดบูธ “ อยากศึกษาต่อ วช. มีทุน” นำทุนการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกหลากหลายด้านทั้งในด้านทุนพัฒนานักวิจัย ทุนพัฒนาศักยภาพในการทำงานวิจัยของอาจารย์รุ่นใหม่ และทุนที่น่าสนใจอื่น ๆ มาให้ผู้เข้าร่วมงานที่สนใจได้ร่วมสมัคร มหาวิทยาลัยมหิดล มากับบูธที่จะมาแนะนำแอปใหม่สุดเจ๋ง “ อว. แอป”แอปเดียวที่ตอบทุกโจทย์การศึกษา มาให้ผู้เข้าร่วมงานได้ดาวน์โหลด สอนวิธีการใช้ พร้อมเล่นเกมส์หมุนวงล้อเพื่อร่วมรับโชค สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดบูธสรรหาผู้สนใจร่วมงานกับ สกสว. โดยเปิดรับสมัครตำแหน่งนักวิชาการ นักวิชาชีพ สำหรับผู้ที่จบระดับปริญญาโทขึ้นไป สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดบูธรับสมัครบุคลากรจำนวน 43 อัตรา ครอบคลุมทั้งระดับผู้บริหาร นักวิจัย และสายสนับสนุน สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เปิดรับสมัครวิศวกรแมคคาทรอนิกส์ วิศวกรซอฟต์แวร์ วิศวกรซอฟต์แวร์ฝังตัว วิศวกรเครื่องกล วิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกร FPGA (Field Programmable Gate Array) วิศวกรซ่อมบำรุง ช่างเทคนิคเครื่องกล นักวิทยาศาสตร์ควบคุมกล้องโทรทรรศน์ รวมถึงนักวิจัย/ผู้ช่วยนักวิจัย เป็นต้น ในช่วงเย็น “อว. Job Fair 2025" จะมีเวทีสำหรับแลกเปลี่ยนแนวทางทำงาน เตรียมพร้อมกับ “โลกการทำงานแห่งอนาคต” ให้ “เก่ง” และ “รุ่ง” รวมทั้งมาร่วมเรียนรู้ในการ “สร้างความเติบโต” ในธุรกิจบล็อกเชน กับ 2 วิทยากรผู้เชี่ยวชาญ คือ นางสาวปิยะนุช ลิมาภรณ์วณิชย์ Group Chief People Officer บริษัท บิทคับ แคปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในหัวข้อ “The Future of Work" และ นายชินกฤต อัมพรพรรณวัต Senior Strategic Researcher บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด ในหัวข้อ “Blockchain Beyond the Hype" ไฮไลต์สำคัญในช่วงค่ำของ “อว. Job Fair 2025” วันนี้ (9 พ.ค.) เตรียมตัวพบกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินลูกทุ่งชื่อดังอย่าง “ #จ๊ะนงผณี “ ที่จะขนความมันส์มาให้ชาว “อว. Job Fair 2025” ได้โยกตัวอย่างจุใจเต็ม 1 ชม. ! ในเวลา 18.30 - 19.30 น. ใครยังไม่มา รีบมายังทันนะ แล้วพบกันที่ “อว. Job Fair 2025” งานนี้เข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ปักหมุดวันที่ 9–10 พฤษภาคม เวลา 10.00–20.00 น. และวันที่ 11 พฤษภาคม เวลา 10.00–18.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Exhibition Hall 1–2 ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://jobfair.mhesi.go.th หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: MHESI Thailand โดยผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานจะได้ร่วมลุ้นรับรางวัล iPAD และรางวัลอื่นๆ มากกว่า 3,000 รายการ มูลค่ารวมกว่า 250,000 บาท
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ต้อนรับผู้บริหารระดับสูง คณะ สอส. รุ่นที่ 1 เยี่ยมชม Facilities
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) และ น.สพ. ดร.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมให้การต้อนรับคณะผู้บริหารระดับสูง จากหลักสูตร “การจัดการสุขภาพองค์รวมสำหรับผู้บริหารระดับสูง” (สอส.) รุ่นที่ 1 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำโดย ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธานกรรมการหลักสูตรฯ และคณะกว่า 50 ท่าน ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมศักยภาพและโครงสร้างพื้นฐานอันทันสมัย ตลอดจนนวัตกรรมของ สวทช. ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาด้านสุขภาพองค์รวมและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืนต่อไป เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี [caption id="attachment_68950" align="aligncenter" width="640"] ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี[/caption] ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ น.สพ. ดร.สนัด วงศ์ทวีทอง ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ รักษาการรองผู้อำนวยการ BIOTEC ได้จุดประกายความคิดด้วยการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “นวัตกรรม สวทช. สู่การดูแลสุขภาพองค์รวม” นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยในด้านการแก้ปัญหาสุขภาพแนวทางใหม่ ที่รวมเอาแนวทางปฏิบัติด้านสุขภาพมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เข้าด้วยกัน เพื่อนำไปสู่การสร้างสุขภาพที่ดีแบบองค์รวม ขณะที่ น.สพ. ดร.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้ฉายภาพถึงบริการและโครงสร้างพื้นฐานของ สวทช. ที่พร้อมสนับสนุนและยกระดับศักยภาพของภาคเอกชน จากนั้น คณะ สอส. รุ่นที่ 1 ได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพองค์รวม ใน 4 ส่วนวิจัย ได้แก่ - โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (BBF): โครงสร้างพื้นฐานในการทดสอบกระบวนการผลิตในระดับขยาย รองรับการวิจัยร่วมกับภาคเอกชน และตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรม - ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (FFIC): ที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย ตั้งแต่การคัดเลือกจุลินทรีย์พิเศษ เทคโนโลยีการหมัก ไปจนถึงการพัฒนาอาหารแห่งอนาคตและสารมูลค่าสูง พร้อมเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยสำหรับการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรม - โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง (CPP): กระบวนการผลิตเครื่องสำอางด้วยนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีครบวงจร ตั้งแต่ระดับทดลองจนถึงอุตสาหกรรม ตามมาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP ยกระดับผู้ประกอบการไทยสู่เศรษฐกิจ BCG - ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC): รับบริการวิเคราะห์ทดสอบ สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. วช. SCB ผนึกกำลังพัฒนานักวิทย์รุ่นเยาว์ (YSC) ต่อเนื่อง ส่งเยาวชนไทยแสดงศักยภาพ 3 เวทีวิทยาศาสตร์ระดับโลก
(8 พฤษภาคม 2568) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อาคาร สวทช. โยธี ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) แถลงข่าวความร่วมมือในการสนับสนุนเยาวชนไทยภายใต้โครงการ การประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) ให้มีโอกาสเข้าร่วมแสดงศักยภาพในเวทีการแข่งขันและประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับนานาชาติชั้นนำ 3 เวที ได้แก่ Regeneron International Science and Engineering Fair 2025 (Regeneron ISEF 2025), Genius Olympiad 2025 และ The 50th International Exhibition of Inventions Geneva โดยธนาคารไทยพาณิชย์ได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ความร่วมมือนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเปิดโอกาสและเสริมสร้างศักยภาพให้เยาวชนไทยให้ก้าวสู่เวทีการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ระดับโลกเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบุคลากรคุณภาพสูงและเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า  สวทช. มีภารกิจหลักในการส่งเสริมการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เราให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม ตั้งแต่ระดับต้นน้ำ ผ่านการส่งเสริมให้เยาวชนมีเวทีในการแข่งขันและแสดงศักยภาพ เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับนักวิจัยและนวัตกรรุ่นใหม่ในอนาคต การเข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการปลูกฝังแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อโลกยุคใหม่ “สวทช. ได้ริเริ่มโครงการการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (YSC) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเวทีแห่งโอกาสให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศได้พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และบูรณาการองค์ความรู้สู่การสร้างสรรค์โครงงานวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม หัวใจสำคัญของโครงการ คือ การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาโครงงานในสาขาที่ตนเองสนใจอย่างแท้จริง ผ่านกระบวนการเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาและนักวิจัยพี่เลี้ยงจาก สวทช. และมหาวิทยาลัยเครือข่ายคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลงานวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่อาจต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน เพื่อให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของการนำ วทน. มาประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” คุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบวิจัย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า "วช. ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย การสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรม และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนานวัตกรรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือในการสนับสนุนการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ที่จัดโดย สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงานภูมิภาค นั้น เป็นการต่อยอดการเรียนรู้ นำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่มีศักยภาพ พร้อมผลักดันให้เยาวชนไทยสามารถแข่งขันในระดับสากล และกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต" ด้านคุณวรวัจน์ สุวคนธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานทรัพยากรบุคคล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง บทบาทของ SCB ในการสนับสนุนโครงการ YSC อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ว่า "SCB มีความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนเยาวชนไทย ผ่านการเปิดโอกาสให้ได้พัฒนาศักยภาพ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ธนาคารเชื่อมั่นว่าการส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนคือการพัฒนาอนาคตของชาติ และเวทีการแข่งขันที่ สวทช. และ วช. ได้ผลักดันให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในวันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างทักษะด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังเปิดมุมมองและสร้างเครือข่ายระดับสากล เพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างรอบด้านของเยาวชนไทย" สำหรับโครงการ YSC ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 27 ในปีนี้ มีโครงงานส่งเข้าประกวดถึง 2,429 โครงงาน จากนักเรียน 6,442 คน และอาจารย์ที่ปรึกษา 1,555 คน ทั่วประเทศ เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นและจะได้รับโอกาสเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขัน Regeneron ISEF 2025 ณ เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 10 – 20 พฤษภาคม 2568 ได้แก่ BeeShield: การพัฒนาอุโมงค์ทางเข้าป้องกันไรผึ้งโดยใช้พฤติกรรมการเข้ารังของผึ้งและการตอบสนองของไรต่อกรดฟอร์มิก – โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ การสังเคราะห์โมเลกุลเซนเซอร์ฐานสารสีย้อมเคอร์คูมินที่สกัดจากขมิ้นชันสำหรับตรวจวัดแอลดีไฮด์สายยาวซึ่งเป็นสารบ่งชี้โรคมะเร็งปอด - โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย การพัฒนาอุปกรณ์เชิงสีสำหรับการตรวจวัดคอร์ติซอลในน้ำลายโดยใช้อนุภาคทองคำนาโนดัดแปรด้วยซิสเทอีน – โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ การพัฒนาอนุภาคนาโนจากสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการงอกใหม่ของ พลานาเรียสายพันธุ์ Dugesia japonica สำหรับการรักษาบาดแผลเพื่อต่อยอดเป็นนวัตกรรมแผ่นปิดบาดแผล – โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ผลของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงมุมในเขื่อนกันคลื่นแยกต่อลักษณะของชายฝั่ง–โรงเรียนกำเนิดวิทย์ การศึกษาแบบจำลองสามมิติและแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของพฤติกรรมการพลิกตัวกลับในกิ้งกือกระสุนพระอินทร์ – โรงเรียนกำเนิดวิทย์ นอกจากนี้ โครงงานการศึกษาผลการใช้ไมโครแคปซูลในฟิล์มหลังคาดูดซับรังสียูวี จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ซึ่งเป็นผลงานจาก YSC 2025 ยังได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขัน Genius Olympiad 2025 ระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ณ Rochester Institute of Technology (RIT), เมืองโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกด้วย ทั้งนี้ภายในงานแถลงข่าวฯ ยังมีตัวแทนเยาวชน YSC2024 นายปัณณธร ขุนโหร นายปีระกา พวงทอง และอาจารย์ที่ปรึกษา คือ นายวิเชียร ดอนเเรม จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี ซึ่งได้รับรางวัลจาก The 50th International Exhibition of Inventions Geneva เมื่อเดือนเมษายน 2568 ณ Palexo Geneva, Switzerland  จาก โครงการ “การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเพื่อตรวจหาเชื้อไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (M. Tuberculosis) จากการตรวจเสมหะด้วยวิธี Acid-Fast Bacillus (AFB) ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ และเป็นตัวอย่างความสำเร็จจากการแข่งขัน โดยเยาวชนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นแบบอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนรุ่นน้อง แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนไทย ควบคู่ไปกับผลสัมฤทธิ์ของโครงการ YSC ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานพันธมิตรในการสร้างและพัฒนาเยาวชนอันเป็นกำลังสำคัญของประเทศ ความร่วมมือระหว่าง สวทช. วช. และ SCB ในครั้งนี้ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างกำลังคนคุณภาพสูง อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและมั่นคงต่อไป 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. มอบเกียรติบัตร นักเรียน ม.ปลาย – ครูวิทยาศาสตร์ ฝึกทักษะวิจัย สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2568
  (8 พฤษภาคม 2568) ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดพิธีรับเกียรติบัตรและปัจฉิมนิเทศโครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ครูวิทยาศาสตร์ ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมฝึกทักษะวิจัยทุกท่านได้รับประสบการณ์จริงในการทำงานวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ของ สวทช. ที่ได้เข้าฝึกปฏิบัติและสามารถนำไปใช้ในชีวิตการเรียน การสอน หรือการศึกษาเพิ่มเติมตามความชอบและความถนัดของตนเองเพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักวิจัยอาชีพต่อไป โดยได้รับเกียรติจาก ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. มอบเกียรติบัตรในครั้งนี้ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สวทช. ได้ร่วมมือกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาร่วมเป็นพันธมิตร และให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2568 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 8 สัปดาห์แล้ว  สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสร่วมงานกับนักเรียนและคุณครู ตลอดจนบุคลากรวิจัยของ สวทช. ทุกท่านในบริบทต่าง ๆ โดยเฉพาะการร่วมมือกันพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทย เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศต่อไป” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า “ในปีนี้มีนักเรียนผ่านการคัดเลือกและเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัย รวมจำนวน 105 คน และมีครูวิทยาศาสตร์อีก จำนวน 9 คน และได้มีการนำเสนอผลการฝึกทักษะวิจัยในภาพรวมของแต่ละศูนย์วิจัยแห่งชาติ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองของนักเรียนและครูที่เข้าร่วมโครงการภายใต้การดูแลของนักวิจัยและบุคลากรวิจัยของ สวทช. และมีผู้ช่วยวิจัยเป็นพี่เลี้ยงดูแลให้คำปรึกษาให้แก่นักเรียนและครูผู้เข้าร่วมฝึกทักษะวิจัย ตลอดจนได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ จากการศึกษาดูงานนอกสถานที่ เช่น ห้องปฏิบัติการวิจัยที่ EECi  ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ หรือ TMEC พื้นที่ศึกษาวิจัยของหน่วยงานเครือข่าย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี หรือภาคเอกชนที่ร่วมวิจัย และยังได้จัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ ในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอบรมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “Jump-start Science Project” หัวข้อ “English Express: Mastering Presentations and Connection” หลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์โดย SCB Academy รวมทั้งกิจกรรมสานสัมพันธ์ และงานเลี้ยงจบกิจกรรมโครงการ Farewell Party” ด้าน นางสาวณัฐกานต์ บุญสุภา หรือ ครูปอย คุณครูจากโรงเรียนมัธยมตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี เล่าถึงประสบการณ์และความประทับใจ “รู้สึกดีใจมากที่ได้รับโอกาสที่ดี จากทาง สวทช. ที่ได้จัดโครงการฝึกทักษะวิจัยให้กับครูและนักเรียน ซึ่งประสบการณ์ต่างๆที่ได้รับจากการมาร่วมฝึกทักษะวิจัยกับนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในระดับแนวหน้าของประเทศ สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปต่อยอดได้ และนำไปปรับใช้เพื่อเป็นประโยชน์กับนักเรียนและเพื่อนร่วมงานของโรงเรียนที่ตนเองทำงานอยู่ โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นโครงการที่ดีมาก ขอขอบคุณผู้บริหาร และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเสริมให้มีโครงการนี้ขึ้น ท้ายสุดนี้ อยากขอเชิญชวนให้คุณครูและนักเรียนมาเข้าร่วมโครงการฝึกทักษะวิจัยภาคฤดูร้อน เพราะนอกจากจะได้รับความรู้เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้พัฒนาทักษะอื่นๆเพิ่มเติมอีกด้วย” นายชยุตม์ วรรณสินธพ หรือ น้องธรรม นักเรียนจากโรงเรียนทวีธาภิเศก กรุงเทพมหานคร ที่ได้เข้าร่วมโครงการฝึกทักษะวิจัยภาคฤดูร้อน เล่าความประทับใจให้ฟังว่า “โดยส่วนตัวแล้วตนเองเป็นคนชอบเรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ การเขียนโค้ดดิ้งเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เมื่อได้มีโอกาสมาเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัย มีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะต่างๆที่เป็นประโยชน์ ทั้งในเรื่องเทคนิคการอ่านผลงานวิจัย ได้เรียนรู้การเขียนโปรแกรมการเชื่อมโยงการเขียนภาษา และทำให้ได้เจอเพื่อนๆต่างโรงเรียนมากมาย ช่วยเหลือกันทำงานให้สำเร็จออกมาได้ และอยากขอเชิญชวนเพื่อน ๆ นักเรียนใช้โอกาสในช่วงเวลาปิดเทอมนี้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการมาลองเข้าร่วมโครงการทักษะวิจัยภาคฤดูร้อน เพื่อจะได้เป็นการเปิดประสบการณ์ ต่อยอดเพิ่มเติมความรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจให้มากขึ้น ฝึกทักษะในการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น และยังได้รับความรู้ในด้านอื่นๆที่เป็นประโยชน์จากนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ” สำหรับกิจกรรมฝึกทักษะวิจัยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ครูวิทยาศาสตร์ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2568 จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 เป็นปีแรก จนถึงปัจจุบันนับเป็นปีที่ 8 แล้ว ซึ่งมีนักเรียนเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัยรวมแล้วมากกว่า 350 คน และนับเป็นปีที่ 3 ที่มีครูวิทยาศาสตร์ได้มีโอกาสมาเรียนรู้ทักษะวิจัย จากนักวิจัย สวทช. ซึ่งการได้มาเห็นบรรยากาศของการทำงานในห้องปฏิบัติการวิจัยของนักวิจัยแบบมืออาชีพ ได้ร่วมลงมือปฏิบัติงานจริง ได้ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการวิจัย เป็นการช่วยทำให้เกิดความเข้าใจและเห็นความสำคัญของการทำวิจัย อีกทั้งจุดประกายให้เห็นเส้นทางอาชีพนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ในอนาคตด้วย          
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อบรม “Joint Training Program 2025”
📢 เปิดรับสมัครแล้ว! *หลักสูตร Joint Training Program 2025* 🔊 🚩 *Flavor Academy โดย Food Innopolis สวทช. ร่วมกับสถาบัน ISIPCA ประเทศฝรั่งเศส* . 🎯เชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมอบรม "Joint Training Program 2025" หลักสูตรพื้นฐานที่จำเป็นด้านกลิ่นรส เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมกลิ่นรส หรือต้องการเตรียมความพร้อมสู่การเป็น Flavorist ในอนาคต . ✍🏼 พบกับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญกลิ่นรสจาก ✅สถาบัน ISIPCA ประเทศฝรั่งเศส ✅Flavor Academy  📌 ผู้ที่ผ่านการอบรม จะได้รับ Certificate จาก ISIPCA  . 📅วันที่จัดอบรม : 9 - 20 มิถุนายน 2568 📍 สถานที่: โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ และคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล (พญาไท) 🌟 ค่าลงทะเบียน 50,000 บาท (ค่าใช้จ่ายในการอบรมส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจาก บพค.) 📌 รับจำนวนจำกัดเพียง 20 ท่าน 🌐 สมัครได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/Rr9CZ 🚨หมายเหตุ 1. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เนื่องจากการอบรมบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ 2. ค่าลงทะเบียนยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% และไม่สามารถนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ 3. เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 19 พฤษภาคม 2567 และ ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมอบรมในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 (การตัดสินคัดเลือกผู้มีสิทธิ์เข้าอบรมของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: FoodInnopolis หรือโทร 094-341-7111, 094-340-4333, 094-249-7333
ปฏิทินกิจกรรม
 
นายกฯ เน้นย้ำขยายผล “Traffy Fondue” ทั่วประเทศ เพื่อเป็นช่องทางร้องเรียนหลักของรัฐบาล รับฟัง-แก้ปัญหาประชาชนให้ตรงเป้า
7 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ - นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2568 มอบนโยบายสำคัญหลายด้าน โดยเน้นย้ำการขยายผลแพลตฟอร์ม Traffy Fondue (ทราฟฟี ฟองดูว์) ทั่วประเทศ เพื่อเป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนหลักของรัฐบาล สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าว่า การประชุมหัวหน้าส่วนราชการครั้งที่ผ่านมา ได้รับฟังข้อเสนอแนะที่มีประโยชน์นำไปติดตามงานได้หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวแบบ Man-made destination การขยายผลการใช้ Traffy Fondue ทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นช่องทางร้องเรียนหลักของรัฐบาล ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ทุกกระทรวงไปขยายผลในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้แต่ละกระทรวงได้รับเรื่องร้องเรียนนำไปแก้ปัญหา โดยรัฐบาลจะเป็นศูนย์กลางในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในช่องทางออนไลน์และทุกช่องทาง นอกเหนือจากการสั่งการเรื่อง Traffy Fondue แล้ว ในที่ประชุมฯ นายกรัฐมนตรียังได้มอบนโยบายและติดตามงานในประเด็นอื่น ๆ เช่น การรับมือกับผลกระทบของมาตรการการค้าสหรัฐฯ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลัก การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมาย โดยขอให้ทุกหน่วยงานจริงจังและเร่งรัดการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า พร้อมวางแผนเผื่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลก การแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าไทยและธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย รวมถึงการส่งเสริมสินค้าเกษตรไทย และการสร้างความมั่นใจในคุณภาพสินค้าไทยเพื่อหาตลาดใหม่ ๆ เกี่ยวกับ Traffy Fondue กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา Traffy Fondue (ทราฟฟี ฟองดูว์) แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง ซึ่งเป็นช่องทางรับแจ้งและจัดการปัญหาเมืองที่พบผ่าน LINE Chatbot แบบอัตโนมัติ โดยเพิ่มเพื่อน "@TraffyFondue" พร้อมระบุรายละเอียดปัญหา ตำแหน่งที่ตั้ง และแนบรูปถ่ายหรือวิดีโอประกอบ โดยมีระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยวิเคราะห์และคัดแยกประเภทปัญหาเพื่อให้การจัดการเป็นไปอย่างรวดเร็ว การที่รัฐบาลมุ่งผลักดันให้ Traffy Fondue เป็นช่องทางหลักในการรับเรื่องร้องเรียนทั่วประเทศนั้น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มายกระดับประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน พร้อมทั้งสร้างกลไกการสื่อสารที่โปร่งใส เข้าถึงง่าย และตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงทีและตรงจุด ความมุ่งมั่นดังกล่าวปรากฏชัดเจนผ่านการนำร่องใช้งาน Traffy Fondue ที่ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งปัญหาที่หลากหลายในระดับชุมชนและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีการต่อยอด Traffy Fondue อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการเฉพาะด้าน เช่น โครงการ "แจ้งอุต" ที่ร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถร้องเรียนปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมได้โดยตรง พร้อมติดตามผลการดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการพัฒนาฟีเจอร์อย่างทันท่วงทีเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การเปิดให้ประชาชนแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือ รวมถึงการรายงานความเสียหายของอาคารเพื่อการตรวจสอบความปลอดภัยภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว เป็นต้น ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Traffy Fondue > https://www.traffy.in.th/
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดประชุมผลักดันนวัตกรรมลดฝุ่นจากไอเสียรถยนต์สู่การใช้งานจริง
กรุงเทพฯ - เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรม อัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้จัดการประชุมเผยแพร่ผลการดำเนินงานโครงการศึกษาการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดฝุ่นจากไอเสียรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อผลักดันผลผลิตจากงานวิจัยสู่การประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. เป็นประธานเปิดงาน และ ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวรายงานถึงผลผลิตสำคัญที่เกิดขึ้นจากโครงการ ซึ่งประกอบด้วยระบบตรวจวัดปริมาณควันทึบแสงจากยานยนต์ด้วยวิธี Computer vision ซึ่งได้นำเสนอการพัฒนาโดย รศ. ดร.เอกบดินทร์ วินิจกุล และแพลตฟอร์มระบบประมวลผล แสดงผล และบริหารจัดการข้อมูลเพื่อคัดกรองและติดตามรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะรถกระบะและรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซล ที่ปล่อยมลพิษสูง ซึ่งเป็นผลงานที่นำเสนอโดย ดร.มติ ห่อประทุม และ ดร.รุ่งโรจน์ จินตเมธาสวัสดิ์ ซึ่งในส่วนความก้าวหน้าการประยุกต์ใช้ระบบกล้อง CCTV ในมาตรการเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ของกรุงเทพมหานครนำเสนอโดย ดร. นุวงศ์ ชลคุป รวมทั้งข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการสนับสนุนนำเสนอ โดย ดร.พีรวัฒน์ สายสิริรัตน์ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ป้องกัน และลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ วช. จึงสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ภายใต้แผนงาน P24 การแก้ไขปัญหาและตอบสนองภาวะวิกฤตเร่งด่วนของประเทศ โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมตามแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองในพื้นที่เป้าหมายอย่างบูรณาการในหลายมิติ ทั้งการลดปริมาณไอเสียจากการคมนาคม การลดการเผาและจัดการไฟในพื้นที่ป่า การลดมลพิษทางอากาศข้ามแดน การพัฒนานโยบายและการสื่อสารเชิงรุก รวมถึงระบบข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งในมิติของการลดปริมาณไอเสียจากการคมนาคม มีพื้นที่เป้าหมายเร่งด่วนคือเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีการจราจรคับคั่ง อาศัยแนวทางสำคัญในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดปริมาณการปล่อยฝุ่นละอองจากการคมนาคมทางถนน ผ่านการพัฒนาระบบคัดกรองตรวจวัดปริมาณไอเสียรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการพัฒนารูปแบบโมเดลการจัดการเพื่อจำกัดและควบคุมรถยนต์กลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมกับระดับปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ในบรรยากาศ การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากหน่วยงานภาคปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรการในนโยบาย Low Emission Zone ของกรุงเทพมหานคร โดยมีการนำเสนอที่มาและความสำคัญของโครงการ รวมถึงความก้าวหน้าในการประยุกต์ใช้ระบบกล้อง CCTV ในมาตรการเขตมลพิษต่ำ และร่วมผลักดันผลผลิตจากโครงการไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการแก้ปัญหา PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม ด้าน ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า กลุ่มรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของการปล่อยควันดำและฝุ่นละออง PM2.5 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีปัญหาการจราจรหนาแน่น โครงการนี้มุ่งพัฒนาระบบตรวจวัดควันดำด้วยเทคโนโลยี Computer vision และแพลตฟอร์มสำหรับประมวลผลและแสดงผลข้อมูล เพื่อคัดกรองและติดตามรถยนต์ดีเซลที่ปล่อยควันดำ รวมถึงแสดงภาพรวมสถานการณ์การปล่อยมลพิษจากภาคคมนาคม นอกจากนี้ ยังรวบรวมข้อมูลแนวทางการคัดกรองและติดตามรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับหน่วยงานและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการลดมลพิษ PM2.5 จากภาคขนส่ง เช่น มาตรการ Low Emission Zone (LEZ) ของกรุงเทพมหานคร และแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ตลอดจนรวบรวมแนวทางการปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายและข้อเสนอมาตรการสนับสนุนเพื่อลดมลพิษดังกล่าว ได้นำเสนอข้อเสนอแนะในประเด็นนี้ ผลผลิตจากโครงการนี้จะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายและมาตรการควบคุมรถยนต์ที่ปล่อยควันดำมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยไม่กระทบการจราจรปกติ ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากการบูรณาการความรู้และความร่วมมือจากหลายภาคส่วน รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพื่อผลักดันผลงานวิจัยไปสู่การประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ อันจะนำไปสู่การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 และสารก่อมะเร็งในอากาศ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อว. โดย สวทช. ร่วมกับ ยูเนสโก สหภาพยุโรป ETDA และ TDRI จัดเวทีให้ความเห็นเพื่อรับรอง รายงานผลการประเมินความพร้อมด้าน AI ของประเทศไทยตามแนวทาง RAM (Thailand Readiness Assessment Methodology) สนับสนุนการนำข้อเสนอแนะว่าด้วยจริยธรรม AI ของยูเนสโกไปปฏิบัติใช้ในประเทศไทย
6 พฤษภาคม 2568 - ห้องพญาไท 4 โรงแรมอีสตินแกรนด์พญาไท กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับรอง “รายงานการประเมินความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทย (Thailand Readiness Assessment Methodology)” ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการทบทวนและยืนยันผลการศึกษาและวิจัยภายใต้ “การประเมินความพร้อมในการดำเนินการตามคำแนะนำของยูเนสโกว่าด้วยจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์” (UNESCO RAM) โดยงานประชุมในครั้งนี้มีผู้บริหารจาก สวทช. นำโดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ในนามผู้แทนผู้อำนวยการ สวทช. ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. และผู้แทนจาก ยูเนสโก, สหภาพยุโรป, หน่วยงานภาครัฐ, ภาคเอกชน, สถาบันการศึกษา เข้าร่วมงานกว่า 100 คน รายงานฉบับนี้เป็นผลจากความร่วมมือระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ยูเนสโก สหภาพยุโรป สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ETDA) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งได้ประเมินความพร้อมของด้าน AI ของไทยใน 5 มิติสำคัญ ได้แก่ (1) มิติด้านกฎหมาย (2) มิติด้านสังคมและวัฒนธรรม (3) มิติด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา (4) มิติด้านเศรษฐกิจ (5) มิติด้านเทคนิคและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเป็นฐานข้อมูลและแนวทางสำคัญในการวางแผนพัฒนาและส่งเสริมการใช้ AI ในประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบ และสอดคล้องกับหลักจริยธรรมสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. และ ในฐานะThailand’s RAM Lead Expert กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนการกำกับดูแล AI โดยยึดหลักจริยธรรม ผ่าน "แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565-2570” ซึ่งจัดทำขึ้นโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) แผนฉบับนี้วางแนวทางเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนให้เกิดการประยุกต์ใช้ AI อย่างกว้างขวาง พร้อมส่งเสริมการพัฒนาที่มีความรับผิดชอบ โปร่งใส เคารพสิทธิมนุษยชน และเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมอย่างทั่วถึง โดยล่าสุดได้มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ” เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ AI ในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม การประชุมในวันนี้ มีเป้าหมายสำคัญ คือ การรับรองรายงานฯ ที่ได้จัดทำร่วมกันมากว่า 5 เดือน ตามระเบียบวิธีการประเมินความพร้อม (Readiness Assessment Methodology: RAM) ของยูเนสโก ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ประเทศสมาชิกสามารถประเมินความพร้อมและกำหนดนโยบายส่งเสริมการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม อันเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน จึงเป็นเวทีสำคัญที่ผู้แทนจากทั้ง 5 มิติ จะได้ร่วมกันพิจารณา ทบทวน และให้ข้อเสนอแนะต่อร่างรายงานฯ เพื่อให้เนื้อหามีความสมบูรณ์ สะท้อนบริบทของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของข้อเสนอแนะที่จะนำไปสู่การกำหนดแนวทางพัฒนา AI ของประเทศต่อไป ด้าน คุณพินิจ จันทรังสี ที่ปรึกษาระดับภูมิภาค สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่า “AI ไม่ใช่เพียงแค่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเท่านั้นแต่ถือเป็นการปฏิวัติทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ยูเนสโก ในฐานะองค์กรของสหประชาชาติที่รับผิดชอบด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม จึงได้พัฒนา RAM ขึ้น โดยคำนึงถึงหลักการด้านจริยธรรมเป็นสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิวัติทางสังคมและวัฒนธรรมครั้งนี้จะส่งเสริมและปลดปล่อยศักยภาพของมนุษยชาติแทนที่จะสร้างอุปสรรคหรือบั่นทอนความเป็นมนุษย์ ยูเนสโกได้จัดทำมาตรฐานระดับโลกฉบับแรกเกี่ยวกับจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ หรือ คำแนะนำเกี่ยวกับจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ (Recommendation on the Ethics of AI) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ที่ประเทศไทยและอีก192 ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันรับรองและเป็นแนวทางที่ต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริงในระดับประเทศ ยูเนสโกจึงสนับสนุนประเทศไทยและอีก 69 ประเทศสมาชิกในการประเมินความพร้อมฯ หรือ RAM ให้สำเร็จลุล่วง ซึ่งประเทศไทยเป็น 1 ใน 7 ประเทศสมาชิกอาเซียน ที่กำลังดำเนินการประเมิน RAM อยู่ในขณะนี้ “ภายหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญจะรวบรวมข้อคิดเห็นและข้อมูลทั้งหมดผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิของยูเนสโก (Peer Review) รวมถึงการปรับแก้ให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการรับรองอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลไทย และจะมีการเปิดตัวรายงานฉบับสมบูรณ์ในเวทีระดับโลก Global Forum on the Ethics of AI 2025 ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นร่วมกับยูเนสโก ระหว่างวันที่ 24 - 27 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะได้แสดงบทบาทนำด้านจริยธรรม AI ในเวทีนานาชาติ โดยเชื่อมั่นว่าการประชุมนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนา AI ของประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมีจริยธรรม รับผิดชอบต่อสังคม และแสดงถึงความพร้อมของไทยในระดับสากลได้อย่างเป็นรูปธรรม” ดร.ชัย กล่าวทิ้งท้าย ภายในการประชุมฯ มีนำเสนอรายงานสถานภาพ AI ของประเทศไทย และข้อเสนอแนะ โดย ดร.สลิลธร ทองมีนสุข  นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และผู้จัดการโครงการ รวมถึง เปิดเวทีแสดงข้อคิดเห็น ต่อผลการศึกษาและข้อเสนอแนะจากผู้แทนในแต่ละมิติ วิทยากรร่วมอภิปราย ได้แก่ มิติทางกฎหมาย โดย ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด  ที่ปรึกษาอาวุโส สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) มิติสังคมและวัฒนธรรม โดย รศ. ดร.ธนาธร ทะนานทอง รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มิติวิทยาศาสตร์และการศึกษา โดย ผศ. ดร.อักฤทธิ์ สังข์เพ็ชร ผู้อำนวยการสถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล มิติเศรษฐกิจ โดย ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มิติเทคนิคและโครงสร้างพื้นฐาน โดย ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล รองผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. ช่วงท้ายของกิจกรรมได้เปิดเวทีประชาพิจารณ์รับฟังแสดงความคิดเห็นต่อรายงานสถานะโครงการ และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของประเทศไทยอีกด้วย รายละเอียด : เกี่ยวกับ The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” https://www.unesco.org/en/forum-ethics-ai
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ปทุมธานี” นำร่อง Food Bank Model จังหวัดต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน
จังหวัดปทุมธานี นำร่อง "ปทุมธานีต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน (Pathum Thani Food Bank Model)” เป็นจังหวัดต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทยใน “โครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน” จากความร่วมมือระหว่าง กระทรวง อว. โดย สวทช. กับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองจังหวัดปทุมธานี สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี และ มูลนิธิ SOS ที่ร่วมกันใช้กลไก “ชุมชนรักษ์อาหาร” (Local Food Rescue) ประสานความร่วมมือหน่วยงานและภาคธุรกิจใน จ.ปทุมธานี สร้างเครือข่ายผู้บริจาคอาหารส่วนเกิน พร้อมเชื่อมโยงอาสาสมัครและจิตอาสาเป็นตัวกลางส่งต่ออาหารให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ประสบภัย เพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ควบคู่กับ การลดปริมาณขยะอาหารส่วนเกินในพื้นที่ ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤติโลกร้อน โดยมีการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินให้มีคุณภาพและความปลอดภัยครอบคลุมทุกมิติ ทั้งศูนย์ไบโอเทค-สวทช. ทำเรื่องแนวปฏิบัติความปลอดภัยของอาหาร, ศูนย์เนคเทค-สวทช. ทำดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับจับคู่ "ผู้ให้" และ "ผู้รับ"และทีมวิจัย TIIS ศูนย์เอ็มเทค-สวทช. ทำเรื่องของฐานข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นต์ ก่อนขยายผลจังหวัดต้นแบบอีก 7 จังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วไทยภายในปี 2568
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ – สวรส. และพันธมิตร จัดงานประชุมวิชาการ ครั้งที่ 4 “Genomics Thailand in Action: Transforming Healthcare in Thailand”
(30 เมษายน 2568) - สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และพันธมิตร จัดประชุมวิชาการประจำปี ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ “Genomics Thailand in Action: Transforming Healthcare in Thailand” ระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 2 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ เพื่อแสดงพลังขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจีโนมิกส์ของไทยก้าวใหม่เพื่อปฏิบัติการดูแลสุขภาพ ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกษม ตั้งเกษมสำราญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านควบคุมป้องกันโรค นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) สำนักวิชาการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นพ.จักรกฤษณ์ เอื้อสุนทรวัฒนา นายกสมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ และ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในช่วงพิธีเปิดมีการรายงานสรุปการประชุม โดย นพ.จักรกฤษณ์ เอื้อสุนทรวัฒนา และพิธีมอบรางวัลเกียรติยศเพื่อเชิดชูผลงานด้านจีโนมิกส์ประเทศไทย การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการนำเสนอความก้าวหน้าภายใต้แผนงาน Genomics Thailand Phase 2 การพัฒนาเทคโนโลยีจีโนมเพื่อการแพทย์แม่นยำ การวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมในระดับประชากรเพื่อประโยชน์ทางคลินิกและสาธารณสุข รวมถึงการพัฒนาด้านกฎหมาย จริยธรรม และการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สุขภาพ พร้อมการเสวนาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ ตลอดระยะเวลา 3 วัน การประชุมมีการบรรยายและเสวนากว่า 40 หัวข้อ โดยวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมบรรยายจำนวน 54 ท่าน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการบรรยายพิเศษจาก นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “New Target from Exome Data” ศ. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, สวรส. ในหัวข้อ "Genomics Thailand Phase 2" นพ.ปิยะฤทธิ์ อิทธิชัยวงศ์ จากศูนย์นวัตกรรมข้อมูลศิริราช (SiData+) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในหัวข้อ "AI Session" และ รศ. นพ.ธันยชัย สุระ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ในหัวข้อ "From Bench to Clinical Applications" พร้อมด้วยการบรรยายจากวิทยากรนานาชาติ ได้แก่ Dr. Seik-Soon Khor จาก Nanyang Technological University, Singapore ในหัวข้อ "HLA databases" พร้อมกันนี้ ในงานดังกล่าว ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยังได้รับเชิญเข้าร่วมบรรยายในประเด็น Driving Precision Medicine Implementation with Genomics Thailand ซึ่งบรรยายภายใต้ Parallel Session ในหัวข้อ Bioinformatics งานประชุมวิชาการของสมาคมมนุษยพันธุศาสตร์มีหัวข้อการประชุมที่ครอบคลุมและหลากหลาย ซึ่งได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศจากสถาบันชั้นนำเข้าร่วม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระดับประเทศและนานาชาติ โดยจัดการประชุมในรูปแบบ Parallel Sessions ทำให้ผู้เข้าร่วมสามารถเลือกเรียนรู้ในสาขาที่สนใจอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้นักวิจัยรุ่นใหม่ได้พัฒนาศักยภาพและสร้างเครือข่ายวิชาการที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ งานประชุมยังให้ความสำคัญกับประเด็นด้านจริยธรรม กฎหมาย และการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมในเชิงปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมพร้อมของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการแพทย์แม่นยำและจีโนมิกส์อย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์