หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช.- ธ.ก.ส. จับมือขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ในพื้นที่จังหวัดยโสธร ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต
วันที่ 24 ตุลาคม 2567 ณ ห้องสมุด ชั้น 3 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อาคารทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่บางเขน กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ลงนามความร่วมมือโครงการ “การขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต จังหวัดยโสธร” โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ลงนามร่วมกับ นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พร้อมด้วย นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวนการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. รวมทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 หน่วยงาน เข้าร่วมงาน ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยที่มุ่งมั่นพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อนำมายกระดับภาคการเกษตรที่เป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ที่ผ่านมา สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้พัฒนาสายพันธุ์ถั่วเขียว KUML ที่มีความต้านทานต่อโรคราแป้งและใบจุด ให้ผลผลิตสูง 300 กิโลกรัมต่อไร่ พร้อมมีการส่งเสริมขยายผลให้เกษตรกรนำถั่วเขียว KUML ไปปลูกเป็นพืชหลังนาในหลายจังหวัด ภายใต้การดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ชุมชน และภาคเอกชน โดยพัฒนากลไกตลาดนำการผลิต สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในช่วงพักแปลง ส่งผลให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ลดการใช้ปุ๋ยในฤดูทำนา ลดการเผาตอซังข้าว ในส่วนการตลาดภาคเอกชนได้รับผลผลิตถั่วเขียวที่มีคุณภาพเข้าสู่อุตสาหกรรม “การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ที่ต้องการจะมุ่งนำองค์ความรู้ผลิตถั่วเขียวและโมเดลตลาดนำการผลิต ยกระดับเครือข่ายเกษตรกรของ ธ.ก.ส.ให้มีความสามารถในการผลิตถั่วเขียวหลังนาเป็นอาชีพเสริม สร้างกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่ รวมถึงการสร้างเครือข่ายเกษตรกรผลิตถั่วเขียว (Gain) ส่งให้กับภาคเอกชนในพื้นที่ สามารถยกระดับรายได้ของเกษตรกรได้เพิ่มขึ้น ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้ ธ.ก.ส. หน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น สามารถนำไปองค์ความรู้และเทคโนโลยีดังกล่าวใช้ขยายผลให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนพักชำระหนี้ได้ต่อไป” ดร.สมบุญ กล่าว นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ตลอดปี 2567 ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจแก่องค์กรและลูกค้าด้วยนวัตกรรม ด้วยการขยายผลนวัตกรรมเกษตรสู่การใช้ประโยชน์ โดยได้ดำเนินโครงการขับเคลื่อนนวัตกรรมเกษตรร่วมกับภาคีเครือข่ายภายนอก ผ่านรูปแบบการสนับสนุนทุนวิจัยและค้นหานวัตกรรมให้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนและพัฒนางานวิจัยที่เหมาะสมกับบริบทการเกษตรในประเทศไทย โดยค้นหาและคัดเลือกนวัตกรรมเกษตรพร้อมใช้ที่เหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการทำการเกษตรให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อธนาคารในการมีนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร “การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้ร่วมกับสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ดำเนินโครงการการขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต จังหวัดยโสธร เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML โดยส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา และมีกลไกการทำงานเชื่อมโยงกับสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร เพื่อเป็นจังหวัดนำร่องในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมุ่งหวังการสร้างกลุ่มผู้ผลิตถั่วเขียวที่ให้ผลผลิตสูง (Grain) ส่งโรงงานอุตสาหกรรม และตรงกับความต้องการของตลาด รวมทั้งสร้างกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว (Seed) ระดับชุมชน สามารถลดการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ที่ดีและมีคุณภาพ พร้อมนำองค์ความรู้ไปเป็นต้นแบบและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรในชุมชนอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อธุรกิจภาคการเกษตร และสร้างผลสำเร็จได้ดียิ่งขึ้นต่อไป และจะส่งเสริมขยายผลเป็นอาชีพเสริมให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนพักชำระหนี้” นายเสกสรรค์ กล่าว  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กทม. ผนึกกำลัง สวทช. สสวท. พัฒนาเยาวชน ในโรงเรียนภาษาที่สาม สู่นวัตกรยุค 4.0 ด้วย Digital Innovation Maker space นำร่องพื้นที่กรุงเทพมหานคร
(วันที่ 24 ตุลาคม 2567) ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย: กรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่ชาติ (เนคเทค สวทช.) และ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติ Digital Innovation Maker space ในโครงการส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0(โรงเรียนภาษาที่สาม) โดย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการอบรมและดำเนินโครงการฯ พร้อมด้วย นายชนินทร์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ผู้อํานวยการกองเทคโนโลยีการศึกษา สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารสำนักการศึกษา และดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดกิจกรรม Digital Innovation Maker space   นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า โครงการส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0 (โรงเรียนภาษาที่สาม) Digital Innovation Maker space มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้เข้าถึงเครื่องมือและสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของครูและนักเรียน สู่การเป็นนวัตกรในยุค 4.0 การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ไม่เพียงแต่จะส่งเสริมทักษะให้แก่นักเรียน แต่ยังช่วยให้คุณครูสามารถใช้วิธีการสอนที่หลากหลายและทันสมัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมพร้อมให้กับเด็ก ๆ ในการเผชิญการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาวิชาการเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และทักษะการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ กรุงเทพมหานครมีแผนพัฒนาเมืองที่มุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา โดยเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อสร้างนักเรียนคุณภาพในยุค 4.0 โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะเทคโนโลยี เพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขันในโลกปัจจุบัน การส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียนช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็น ในขณะเดียวกันการพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัยจะตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน นอกจากนี้ การจัดหาห้องเรียน Digital Innovation Maker Space จะทำให้การเรียนการสอนมีความทันสมัย การพัฒนาทักษะภาษาที่ 3 โดยเฉพาะการเรียนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) จะช่วยให้เด็กมีความรู้ในเทคโนโลยีและสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้กรุงเทพมหานครได้ร่วมมือกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) และ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ในการดำเนิน “โครงการส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0 (โรงเรียนภาษาที่สาม)” ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนานักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จะมุ่งเน้นการสอนทักษะภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) สำหรับนักเรียนทุกช่วงชั้น ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาตอนต้นถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย การสร้างหลักสูตรที่ผสมผสานภาษาเทคโนโลยี เช่น การเขียนโค้ด ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเตรียมพร้อมนักเรียนให้มีทักษะที่หลากหลาย รวมทั้งส่งเสริมนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ผ่านการจัดตั้งห้องเรียน Digital Innovation Maker Space ที่จะนำร่องใน 20 โรงเรียนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พร้อมให้คำปรึกษาในการจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ และสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสม และอบรมความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 90 แห่ง และส่งเสริมการจัดแข่งขันเพื่อพัฒนาทักษะคุณครูให้มีความรอบด้าน และสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ นายชนินทร์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกองเทคโนโลยีการศึกษา สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ได้ร่วมมือกับ เนคเทค สวทช. และ สสวท. เพื่อพัฒนาโครงการและกิจกรรม “ส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0” ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้าง Digital Innovation Maker Space ในโรงเรียน มีวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสร้างรากฐานด้านกำลังคน มุ่งหวังที่จะพัฒนากำลังคนที่มีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมและการพัฒนาทางเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก โดยการสอนเทคโนโลยีในโรงเรียนจะช่วยเตรียมเด็กให้พร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกดิจิทัล โดยการพัฒนาหลักสูตรที่เน้การเรียนรู้   เชิงปฏิบัติ และสร้างแรงบันดาลใจ ด้วยการพัฒนาโครงงานที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจและทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในสังคมดิจิทัล ทั้งนี้โครงการฯ มีแผนการดำเนินกิจกรรม ในระยะเวลา 9 เดือน ประกอบด้วยกิจกรรม 1.การอบรมความรรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ Digital Innovation Maker Space ให้กับโรงเรียนภาษาที่สาม จำนวน 90 โรงเรียน โดยมีผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครูฯ ที่ผ่านการอบรม จำนวน 181 คน 2.การอบรมเชิงปฏิบัติการ Digital Innovation Maker Space ทั้ง 90 โรงเรียนเพื่อคัดเลือกให้เหลือ 20 โรงเรียน 3.กิจกรรมจัดระดมสมอง ออกแบบห้อง Digital Innovation Maker Space ออกแบบรายการอุปกรณ์ สื่อการเรียนรู้ และออกแบบนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ สำหรับ 20 โรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือก 4.กิจกรรมระดมสมองออกแบบหลักสูตรโรงเรียนภาษาที่สาม (ภาษาเทคโนโลยี) ของ 4 ช่วงชั้น 5.จัดทำเนื้อหาคู่มือการจัดการเรียนรู้ จัดทำ Coding Competency ของหลักสูตรโรงเรียนภาษาที่สาม (ภาษาเทคโนโลยี) 6.การจัดอบรมการใช้เครื่องมือและการบำรุงรักษา ห้อง Digital Innovation Maker Space รวมทั้งให้ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน 7.การประกวดในพื้นที่พัฒนานวัตกรรมดีเด่น โรงเรียนภาษาที่สาม (ภาษาเทคโนโลยี) ในวันที่ 20 มิถุนายน 2568 สำหรับแผนการดำเนินกิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีในโรงเรียนภาษาที่สาม โดยเน้นการอบรมและการพัฒนาทักษะของคุณครู รวมถึงการสร้างนวัตกรรมการเรียน การสอนที่จะช่วยเตรียมเด็กให้พร้อมสำหรับอนาคต นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมประกวดเพื่อกระตุ้นการพัฒนาและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนและโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีความยินดีที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ในการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0 (โรงเรียนภาษาที่สาม) Digital Innovation Maker Space ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผานมา สวทช. ได้รับการสนับสนุนจากกรุงเทพมหานครในการนำผลงานวิจัยมาพัฒนาทั้งเมืองและระบบการศึกษา เช่น Traffy Fondue: แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Thai School Lunch for BMA: แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครโครงการ KidBright: โครงการที่จัดอบรมให้ข้าราชการครูฯ ในสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอนและการพัฒนาทักษะด้าน STEM ให้กับเด็กๆ โดยการร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างพื้นฐานในการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเด็กไทยและสังคมโดยรวม ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืนสำหรับการพัฒนาการศึกษาในกรุงเทพมหานครและประเทศชาติในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. นำคณะผู้บริหารโครงการ TAIST-Science Tokyo ร่วมหารือกับ Tokyo University of Technology และ Tokyo Medical and Dental University (TMDU) ของ Institute of Science Tokyo เพื่อขยายเครือข่ายของโครงการและพัฒนาระบบนิเวศทางการศึกษา
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มอบหมายให้ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นำคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยในโครงการ TAIST-Science Tokyo (เดิม TAIST-Tokyo Tech) ประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ โอภาประกาสิต หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์บูรณาการและนวัตกรรม สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผู้อำนวยการหลักสูตร SERE รองศาสตราจารย์ ดร.ปวีนา ประไพนัยนา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ผู้อำนวยการร่วมหลักสูตร SERE รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบันฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร.ยุทธนา อิสสระชัยยศ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจรจาหารือความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในกรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ 12 – 15 ตุลาคม 2567 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนการขยายเครือข่ายของโครงการและพัฒนาระบบนิเวศทางการศึกษา และการพัฒนาหลักสูตรใหม่ของโครงการ TAIST-Science Tokyo  ให้ครอบคลุมสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และแก้ไขปัญหาความท้าทายระดับโลกด้วยงานวิจัยและพัฒนาที่เป็นนวัตกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศ รูปภาพ : คณะเข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ Bio-Nano Technology และ ห้องปฏิบัติการฺ Bio-sensor Technology โดยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 ณ Tokyo University of Technology เขต Hachioji เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นำโดย Prof. Dr. Yasuyuki Egashira คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมด้วย Prof. Dr. Takahiro Arakawa อาจารย์คณะ Electric and Electronic Engineering, Tokyo University of Technology ให้การต้อนรับและเจรจาหารือร่วมกับคณะผู้บริหารโครงการ TAIST-Science Tokyo เพื่อขยายเครือข่ายและสร้างโอกาสให้นักศึกษาไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกปฏิบัติวิจัยระยะสั้น ภายใต้โปรแกรม “Cooperative Education” ในสาขาเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาไทย-ญี่ปุ่น ให้เข้าร่วมทำวิจัยระหว่าง คณาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย สวทช. กับ Tokyo University of Technology ด้วย ทั้งนี้การหารือร่วมกันของฝ่ายไทยและญี่ปุ่นได้มีการแลกเปลี่ยนถึงบทบาทและรูปแบบของโครงการ TAIST-Science Tokyo ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ขับเคลื่อนและสนับสนุนนักวิจัย โดย สวทช. และการพัฒนาหลักสูตร ออกแบบการจัดการเรียนการสอนจากมหาวิทยาลัยเครือข่ายไทย 6 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยมหิดล และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ Tokyo University of Technology จากนั้นในวันที่ 15 ตุลาคม 2567 ณ Tokyo Medical and Dental University (TMDU) ศูนย์ Ochanomizu ของ Institute of Science Tokyo เมืองโตเกียว Prof. Hiroshi Nishina ผู้อำนวยการสถาบัน Institute of Integrated Research Developmental and Regenerative Biology และ Prof. Hiroyuki Kagechika ผู้อำนวยการศูนย์ Biomaterials and Bioengineering organic and Medicinal Chemistry และคณะ ได้ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารโครงการ TAIST-Science Tokyo และได้แนะนำรูปแบบการดำเนินงานของ TMDU โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1) Institute of Integrated Research (IIR) เพื่อการสนับสนุน cutting-edge research ในด้านการแพทย์ 2) Institute of Future Science สำหรับการพัฒนางานวิจัยสหวิทยาการเพื่อการค้นพบใหม่ที่ตอบโจทย์ความท้าทายต่างๆ 3) Institute of New Industry Incubation เพื่อการพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายงานวิจัยและบุคคลากรกับพันธมิตร ซึ่ง TMDU ได้มุ่งเน้นทำงานวิจัยทั้งสิ้น 10 ด้าน คือ 1) Rare diseases 2) Generative medicines 3) Oral Science 4) Quantum Science and Technology 5) Next-generation element strategy 6) Sustainable Social Infrastructure 7) Cyber Physical and Social Systems (CPS2) 8) Holistic Life Science 9) Integrated Energy Science 10) Digital Society devices and systems และฝ่ายไทยได้นำเสนอภาพรวมการดำเนินงานของ สวทช. และ โครงการ TAIST-Science Tokyo โดยมีความมุ่งหวังในการขยายเครือข่ายและพัฒนาหลักสูตรใหม่ด้าน Biomedical Engineering Program ร่วมกับ Tokyo Medical and Dental เพื่อสร้างและพัฒนานักศึกษาและบุคคลากรด้านการวิศวกรรมชีวการแพทย์โดยเฉพาะ รูปภาพ : คณะ TAIST-Science Tokyo เข้าหารือกับ Tokyo Medical and Dental University (TMDU) จากนั้น คณะผู้บริหารโครงการ TAIST-Science Tokyo ได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการด้าน Precision Biomedical Engineering ห้องปฏิบัติการ Biomedical Informatics ห้องปฏิบัติการ Material-based Medical Engineering และห้องปฏิบัติการด้าน Diagnostic and Therapeutic Systems Engineering โดยจะนำสู่การพัฒนาหลักสูตรใหม่ด้าน Biomedical Engineering Program ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความท้าทายของสถานการณ์ปัจจุบัน รูปภาพ : เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการต่างๆและหารือหัวข้องานวิจัยในการทำงานร่วมกัน  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
 
สวทช. ร่วม มธ.ศูนย์รังสิต ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
(วันที่ 21 ตุลาคม 2567) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นประธานเปิดกิจกรรม และ ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำทีมพนักงาน สวทช. ร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่โถงชั้นล่างอาคารโดมบริหาร และพื้นที่หน้าอาคารบรรยายรวม 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 10 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนกันยายน 2567
ข่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. มอบหมาย สวทช. เปิดตัวฟีเจอร์ บนแพลตฟอร์ม ทราฟฟี ฟองดูว์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างทันท่วงที สวทช. รวมใจ เพื่อนช่วยเพื่อนผู้ประสบอุทกภัย มอบถุงยังชีพและนวัตกรรมวิจัย สู้ภัยน้ำท่วม NECTEC-ACE2024 ผนึกกำลังพันธมิตร ทั้งรัฐและเอกชน โชว์ศักยภาพ โอกาส และทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซนเซอร์ไทย มุ่งเป้าสู่ระบบนิเวศเซนเซอร์อัจฉริยะของโลก สวทช. นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ‘บริหารจัดการอาหารส่วนเกิน สร้างมาตรฐานการส่งต่ออาหาร หนุน Thailand's Food Bank กระทรวง อว. ห่วงพี่น้องประชาชน “ศุภมาศ” ปล่อยขบวนรถนำสิ่งของไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.เชียงราย รองนายกอนุทิน เปิดกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พร้อมจับมือ อว. เปิดวอร์รูมน้ำ แจ้งเตือนข้อมูลสถานการณ์ การทำงานเป็นเอกภาพ “ศุภมาศ” ปลื้ม นักประดิษฐ์-นักว‘จัยไทย คว้ารางวัลจาก 7 เวทีนานาชาติ กว่า 385 ผลงาน พร้อมหนุนคนไทยได้แสดงศักยภาพสู่สายตาชาวโลก อว. จัดพิธีประกาศเกียรติคุณและแสดงมุทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการ ปี 2567 ปลัด อว.-รองปลัด อว.-รองอธิบดี ข้าราชการ-พนักงาน-จนท. เกษียณอายุรวม 96 คน จาก 11 หน่วยงาน 5 กระทรวงหลัก กรุงเทพมหานคร UNFPA และ สสส. ผลึกกำลัง เปิดตัวโครงการเมืองใจดี ปักหมุดเพื่อคนที่คุณรัก: ร่วมสร้างฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อทุกคน สวทช.-กวก.-ม.เกษตรฯ ประสานความร่วมมือวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีด้านการเกษตร พร้อมหนุนเสริมต่อยอดใช้งานวงกว้าง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและรายได้เกษตรกรไทย “สวทช. เปิดตัวฐานข้อมูล CO2, CE, SDGs เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ” สวทช. ต้อนรับคณะข้าราชการระดับสูงจากมาเลเซีย เสริมสร้างภาวะผู้นำและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทรวง อว. โดย สวทช. นำ “แพลตฟอร์มสุขภาพการแพทย์ AMED Care”  ร่วมขยายผลนวัตกรรมทางด้านสุขภาพและการแพทย์ ในงาน ‘30 บาท รักษาทุกที่’ สวทช. รับโล่ประกาศเกียรติคุณ  “THAI SME-GP” ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ TMEC สวทช. พลิกโฉม สู่การเข้าถึงเทคโนโลยี ‘เซมิคอนดักเตอร์’ เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในไทย   Download เอกสารฉบับเต็ม (5.8 MB)  
จดหมายข่าว สวทช.
 
ผู้ช่วย รัฐมนตรี อว. เป็นประธานในพิธีวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” ประจำปี 2567
(วันที่ 19 ตุลาคม 2567) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.): นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” ประจำปี 2567 โดยมี นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. คณะผู้บริหารในสังกัด อว. ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมพิธีเพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ที่ทรงเป็น “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย”  หลังทรงพระกรุณาบัญชาการปฏิบัติการสาธิตทำฝนหลวงด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 ณ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการ สวทช. รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. และดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. เข้าร่วมวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นักวิจัย นาโนเทค สวทช. คว้ารางวัล “นักเทคโนโลยีดีเด่น 2567”
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก – นักวิจัย นาโนเทค สวทช. พาผลงานวิจัยอย่าง “กระบวนการผลิตเข็มขนาดไมครอนแบบรวดเร็วและสามารถปรับเปลี่ยนฟีเจอร์” คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2567 ที่จัดขึ้นโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมกันนี้ “โฟมไทเทเนียมบริสุทธิ์แบบเซลล์เปิด” จากนักวิจัยเอ็มเทค ร่วมผ่านเข้ารอบสุดท้าย โดยภายในงาน ดร. สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช., ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) พร้อมด้วย ศ.ดร. ศิวพร มีจู สมิธ รองผู้อำนวยการนาโนเทค สวทช. ร่วมแสดงความยินดี การสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติหรือเชิงพาณิชย์ได้จริงอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและชุมชนในประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองทางด้านเทคโนโลยีของประเทศ ส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขันทางอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศในเวทีโลก มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้มีการพิจารณาคัดเลือกผลงานและมอบรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นและรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่มาอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักวิชาการและนักเทคโนโลยีที่มีความสามารถจำนวนมากในประเทศไทย ได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีของไทยให้สามารถแข่งขันในเชิงอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ได้อย่างรวดเร็ว ในปีนี้ ดร. ไพศาล ขันชัยทิศ จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ซึ่งได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2567 กับผลงานวิจัยเรื่อง กระบวนการผลิตเข็มขนาดไมครอนแบบรวดเร็วและสามารถปรับเปลี่ยนฟีเจอร์ โดยมี นักวิจัย สวทช. ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2567 อีก 1 ราย คือ ดร. อัญชลี มโนนุกุล จากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กับผลงานวิจัยเรื่อง โครงการกระบวนการผลิตโฟมไทเทเนียมบริสุทธิ์แบบเซลล์เปิดโดยใช้กระบวนการชุบสารแขวนลอย บนต้นแบบโฟมพอลิเมอร์และถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ เข็มขนาดไมครอน “Game Changer” ของวงการสุขภาพ ดร. ไพศาล ขันชัยทิศ จากทีมวิจัยระบบหุ่นยนต์และเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ไมโครนีดเดิล หรือเข็มขนาดไมโครเมตร เป็นนวัตกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงวงการแพทย์และการดูแลสุขภาพอย่างกว้างขวาง เทคโนโลยีนี้มีขนาดเล็กมาก โดยเข็มมีขนาดเพียงหนึ่งในสิบของเส้นผมมนุษย์ และมีปลายเข็มที่เล็กมากจนสามารถเจาะผ่านชั้นผิวหนังเพื่อส่งสารสำคัญได้โดยไม่สร้างความเจ็บปวด ไม่ทำให้เกิดบาดแผล หรือทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้บนผิวหนัง การพัฒนาไมโครนีดเดิลจึงนับเป็นนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของทั้งวงการแพทย์และความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาแบบดั้งเดิม เช่น ผู้ที่มีความกลัวเข็ม หรือผู้ที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนหรือยาบ่อยครั้ง แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมได้ยากคือกระบวนการผลิตในปัจจุบัน ซึ่งยังมีความซับซ้อนและมีต้นทุนสูง การผลิตเข็มขนาดเล็กในจำนวนมากอย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำในระดับไมโครเมตรเป็นสิ่งที่ต้องการเทคโนโลยีเฉพาะทาง การแก้ปัญหาในด้านการผลิตจึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการนำเทคโนโลยีไมโครนีดเดิลไปสู่การใช้งานจริง ผลงานวิจัยเรื่อง กระบวนการผลิตเข็มขนาดไมครอนแบบรวดเร็วและสามารถปรับเปลี่ยนฟีเจอร์จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับกระบวนการผลิตไมโครนีดเดิลให้รวดเร็วขึ้น สามารถผลิตได้ในปริมาณที่มากขึ้น และปรับแต่งคุณสมบัติของเข็มได้ตามต้องการ เทคโนโลยีการผลิตใหม่นี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มความเร็วในการผลิตมากขึ้นถึง 25 เท่าของวิธีการเดิม แต่ยังสามารถปรับแต่งรูปร่างของเข็ม ขนาด ความยาว จำนวนเข็มต่อพื้นที่ และคุณสมบัติอื่น ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ทำให้สามารถออกแบบไมโครนีดเดิลที่เหมาะสมกับการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การนำส่งยาแก้ปวด สารบำรุงผิว คลื่นแสงหรือคลื่นไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกาย หรือแม้กระทั่งการใช้ไมโครนีดเดิลเพื่อวัดค่าทางชีวภาพในร่างกายของผู้ป่วยได้ นอกจากนี้ ยังเป็นมิตรกับการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ช่วยให้สามารถผลิตไมโครนีดเดิลในปริมาณมากได้ในเวลาอันสั้น พร้อมทั้งมีคุณภาพสูงและผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 13485 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับเครื่องมือแพทย์ หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นของเทคโนโลยีไมโครนีดเดิลนี้คือ "ไมโครสไปก์เทคโนโลยี" ซึ่งเป็นชื่อเรียกของเทคโนโลยีการผลิตไมโครนีดเดิลบนแผ่นวัสดุ ไมโครสไปก์เทคโนโลยีสามารถนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้านเครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว อาทิ  แผ่นไมโครนีดเดิลสำหรับนำส่งยาแก้ปวด แผ่นลดเลือนริ้วรอย หรืออุปกรณ์นำส่งสารบำรุงผิว ที่สามารถส่งสารผ่านผิวหนังได้โดยไม่ทำให้เจ็บปวด และไม่ทิ้งร่องรอยบนผิวหนัง นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในอนาคต เช่น การตรวจวัดสารชีวภาพภายในร่างกาย หรือการนำส่งวัคซีนเข้าสู่ร่างกาย “โฟมไทเทเนียมบริสุทธิ์แบบเซลล์เปิด” ตอบความต้องการอุตสาหกรรมสุขภาพ ดร. อัญชลี มโนนุกุล จากทีมวิจัยโลหะผสมและการผลิตอัจฉริยะ กลุ่มวิจัยกระบวนการทางวัสดุและการผลิตอัตโนมัติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ผลงานวิจัยเรื่อง โครงการกระบวนการผลิตโฟมไทเทเนียมบริสุทธิ์แบบเซลล์เปิดโดยใช้กระบวนการชุบสารแขวนลอย บนต้นแบบโฟมพอลิเมอร์และถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ เป็นการต่อยอดผลงานวิจัยของเอ็มเทคเอง สู่โครงการร่วมวิจัยระหว่างเอ็มเทคและบริษัท ไทเซ โคเกียว (ประเทศไทย) จำกัด แผ่นหรือก้อนไทเทเนียม เป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับเครื่องทำน้ำด่าง โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในอดีตใช้แผ่นไทเทเนียมที่เจาะรูจำนวนมากมาต่อกัน เนื่องจากแผ่นไทเทเนียมมีพื้นที่จำเพาะต่ำ ทำให้อัตราในการทำปฏิกิริยาต่ำ และการผลิตที่ควบคุมไม่ดี ทำให้ชิ้นงานเปราะ จึงเกิดเป็นโจทย์วิจัยในการพัฒนากระบวนการผลิตโฟมไทเทเนียมที่ลดการปนเปื้อนระหว่างกระบวนการผลิตและผลิตได้จริง จุดเด่นของการวิจัยและพัฒนานี้คือ การคัดเลือกสารเพิ่มความหนืดและต้นแบบที่เหมาะสม ไม่ปนเปื้อนกับไทเทเนียม, การควบคุมกระบวนการผลิตให้สามารถผลิตโฟมไทเทเนียมที่คงรูป มีรูพรุนสม่ำเสมอ และมีคุณสมบัติเชิงกลที่ดี, การปรับกระบวนการผลิตจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับประลองและการผลิตเชิงพาณิชย์ และกระบวนการผลิตต้องไม่ปล่อยมลภาวะเป็นพิษและปลอดภัยสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว นำสู่โฟมไทเทเนียมที่ทำให้เครื่องทำน้ำด่างมีขนาดเล็กลง และอัตราการผลิตน้ำด่างสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน จากศักยภาพของทีมวิจัยทำให้เอ็มเทคเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกด้านการเผาผนึกผงไทเทเนียม ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่ยากและซับซ้อนมากที่สุด โดยมีผลงานวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเผาผนึกไทเทเนียมสู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อตั้งห้องปฏิบัติการเฉพาะทางการฉีดขึ้นรูปโลหะผงในปี พ.ศ. 2547 นำสู่โรงงานสาธิตเทคโนโลยีการฉีดขึ้นรูปโลหะผงแบบครบวงจรแห่งแรกและยังคงเป็นแห่งเดียวในประเทศไทย มี ดร.อัญชลี มโนนุกุล เป็นหัวหน้าห้องปฏิบัติการฯ ตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สพฉ. ผนึก ศิริราชวิทยวิจัย และ สวทช. ยกระดับความร่วมมือด้านดิจิทัลเพื่อการแพทย์ฉุกเฉิน
(17 ตุลาคม 2567) ณ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) และ บริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด ลงนามและแถลงข่าวความร่วมมือความพร้อมด้านดิจิทัลเพื่อการแพทย์ฉุกเฉิน โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการในพิธีลงนามความร่วมมือด้านดิจิทัลเพื่อการแพทย์ฉุกเฉิน ระหว่างสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน กับบริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด และระหว่าง สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมีศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ประธานกรรมการ บริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด ศาสตราจารย์ พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด เรืออากาศเอก นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงนาม เพื่อพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มการแพทย์ฉุกเฉินที่ทันสมัยอย่างครบวงจร ยกระดับระบบการให้บริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสนับสนุน โดยได้ผู้เชี่ยวชาญจาก สวทช. ช่วยพัฒนาระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล หรือ iDEMS ที่จะครอบคลุมทั่วประเทศ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมทีมงานจากศิริราช ช่วยพัฒนาระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ หรือ SAVER (Smart Approach Vital Emergency Responses) ช่วยทำให้ทีมแพทย์เข้าช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้ทันทีที่มีการแจ้งเหตุ ด้วยความรวดเร็ว แม่นยำ และส่งผลให้ผู้ป่วยฉุกเฉินที่เกิดเหตุในทุกที่ ได้รับการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เสริมความเข้มแข็งให้กับระบบการจัดการข้อมูลทางการแพทย์  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “การลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินผ่านการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง สพฉ. ศิริราชวิทยวิจัย และสวทช. ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล iDEMS โดยเชื่อมั่นว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ที่ครอบคลุม มีคุณภาพสูง ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน และผู้ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉินต่อไปได้ในวงกว้าง”   ด้าน เรืออากาศเอก นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะยกระดับการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินของไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล เมื่อมีประชาชนขอความช่วยเหลือผ่านโทรศัพท์ เบอร์ 1669 ผู้ปฏิบัติการในศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการสามารถทราบเบอร์โทร และตำแหน่งของผู้แจ้งเหตุ และตอบสนองได้ทันที อีกทั้งสามารถมองเห็นผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุผ่านการโทร VDO call เพื่อให้คำแนะนำการปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องก่อนรถพยาบาลไปถึง ส่งผลให้สามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินได้”  ด้าน ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ประธานกรรมการ บริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด ได้กล่าวถึง “ภารกิจที่สำคัญของศิริราชวิทยวิจัย คือ ทำให้นวัตกรรมในศิริราชเกิดประโยชน์กับสังคมให้มากที่สุด ถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของสถาบันการศึกษา นอกเหนือจากเรื่องการเรียนการสอน การสร้างบุคลากรจึงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ การทำความร่วมมือกับ สพฉ. นี้ จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และนำจุดแข็งของแต่ละองค์กรมาสร้างประโยชน์กับระบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในประเทศ”  ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด กล่าวว่า “บริษัท ศิริราชวิทยวิจัย จำกัด หรือ ศิวิทย์ เป็นวิสาหกิจศิริราช ที่กำเนิดจากศิริราชมูลนิธิ มีเป้าหมายในการดำเนินงานเพื่อสังคม การทำความร่วมมือนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล SAVER: Smart Approach Vital Emergency Responses ซึ่งเป็นแหล่งเก็บรักษาข้อมูลขนาดใหญ่ด้านการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อการวิจัย และเพิ่มศักยภาพบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน”  ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (สวทช.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีเป้าหมายในการสร้างเสริมการวิจัย พัฒนา ออกแบบและวิศวกรรม จนสามารถนำไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง สำหรับการร่วมมือครั้งนี้ สวทช. กับ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) และภาคีเครือข่าย มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม iDEMS ให้เป็นแพลตฟอร์มกลางด้านการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศที่สนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการ และเพิ่มอัตราการรับรู้ทางด้านการดูแลป้องกันการเจ็บป่วยฉุกเฉินให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการเชื่อมโยงกับระบบที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับเรื่องและสั่งการฉุกเฉินทางการแพทย์ ให้สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้รวดเร็วมากขึ้น ลดความซ้ำซ้อนในการสอบถามและนำเข้าข้อมูล และติดตามการปฏิบัติงานเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยก่อนถึงโรงพยาบาลได้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาแพลตฟอร์ม iDEMS ครั้งนี้เป็นการยกระดับเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ให้เป็นระบบที่มีความสากล ประชาชนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำ ให้ได้รับการรักษาเบื้องต้นได้ทันท่วงที”  แพลตฟอร์ม iDEMS มีการพัฒนาในส่วนของ “ระบบรับแจ้งเหตุฉุกเฉินดิจิทัล” ซึ่ง สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในส่วนของการให้บริการระบบโทรศัพท์ (Call Center) ที่สามารถแจ้งเหตุได้ทั้งเสียง ข้อความ ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว (Total Conversation) และยังมีเทคโนโลยี AI ช่วยสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เช่น การช่วยแปลภาษา การช่วยคัดกรองอาการ และการแนะนำรถปฏิบัติการที่อยู่ใกล้ ทำให้ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทุกเพศ ทุกวัย สามารถเข้าถึงบริการการรักษาได้อย่างทันท่วงทีและเท่าเทียมกัน และมีการพัฒนาในส่วนของ “ระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางไกลสำหรับผู้ป่วยในรถพยาบาล หรือ Emergency Telemedical Direction สำหรับการกู้ชีพในภาวะวิกฤตด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ และอุปกรณ์ Data Gateway” ที่ สวทช. พัฒนาให้สามารถบริหารจัดการข้อมูลจากอุปกรณ์หลายชนิด เช่น อุปกรณ์วัดสัญญาณชีพ ปริมาณออกซิเจน กล้อง BodyCam (CCTV ติดตัวเจ้าหน้าที่) และอุปกรณ์สแกนลายนิ้วมือ ได้สะดวกรวดเร็ว ทำให้แพทย์สามารถเรียกดูข้อมูลที่จำเป็นในการประเมินอาการผู้ป่วยในขณะนำส่งโรงพยาบาลได้แบบ Real Time   ทั้งสองระบบนี้ จะช่วยให้ประเทศสามารถลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ และการนำเข้าเทคโนโลยีสารสนเทศจากต่างประเทศ ยกระดับการรับแจ้งเหตุและการสั่งการของเจ้าหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะวิกฤติขณะนำส่งโรงพยาบาล ตอบโจทย์ประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมยุคไทยแลนด์ 4.0 และและสอดรับกับนโยบายด้านดิจิทัลของรัฐบาล  “สวทช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทย และเชื่อว่าการขยายผลการใช้งานระบบ iDEMS ในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งการเชื่อมโยงกับระบบที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล (SAVER) ของมหาวิทยาลัยมหิดล จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน บุคคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”   
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. พัฒนา AI เชื่อมโยง ‘ผู้ให้’ กับ ‘ผู้รับบริจาคอาหาร’ มุ่งลดความสูญเปล่าอาหารส่วนเกิน
  ประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ขณะที่มีประชากรรายได้น้อยและผู้ประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารคุณภาพมากถึง 3.8 ล้านคน ตั้งแต่ปี 2559 มูลนิธิ SOS Thailand หรือ Scholars of Sustenance Foundation, Thailand ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ต้องการบริจาคอาหารกับผู้ต้องการรับบริจาคอาหาร เพื่อช่วยบรรเทาความหิวโหยและแก้ไขปัญหาอาหารส่วนเกินซึ่งเป็นตัวการสำคัญของปัญหาโลกร้อน ปัจจุบันมูลนิธิได้ช่วยส่งต่ออาหารไปแล้วกว่า 9.8 ล้านกิโลกรัมหรือคิดเป็น 41.3 ล้านมื้ออาหาร โดยส่งมอบให้แก่ชุมชนมากกว่า 3,750 แห่ง ช่วยลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการฝังกลบได้เกือบ 25,000 ตัน (ตามการรายงานของ SOS Thailand)   [caption id="attachment_62292" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างอาหารที่ได้รับบริจาค อาหารปรุงสุกแล้วที่เหลือจากการจำหน่าย[/caption]   [caption id="attachment_62291" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างอาหารที่ได้รับบริจาค ผักผลไม้สดที่ผ่านการคัดทิ้งเนื่องจากมีรูปลักษณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานสำหรับการจำหน่าย[/caption]   ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ SOS Thailand ดำเนินงานได้สะดวกและรวดเร็ว มีความพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานไปยังพื้นที่อื่น ๆ ที่ยังคงต้องการความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ช่วยแนะนำการจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริจาคกับผู้ขอรับบริจาคอาหารแบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดภาระและเวลาการทำงานให้แก่เจ้าหน้าที่ โดยการวิจัยและพัฒนานี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)   [caption id="attachment_62286" align="aligncenter" width="640"] ดร.นันทพร รติสุนทร นักวิจัยทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.นันทพร รติสุนทร นักวิจัยทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ เนคเทค สวทช. เล่าว่า ทีมวิจัยได้นำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญเรื่องการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะที่ได้จากการพัฒนาระบบ Thai School Lunch หรือระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติที่เปิดให้บริการแก่สถานศึกษาทั่วประเทศไทย มาต่อยอดพัฒนาสู่แพลตฟอร์มจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริจาคกับผู้ขอรับบริจาคอาหารแบบอัตโนมัติ กลไกหลักคือเมื่อผู้บริจาค เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารขนาดใหญ่ ยื่นความประสงค์บริจาคอาหารผ่าน Cloud Food Bank หรือช่องทางรับบริจาคต่าง ๆ ของ SOS Thailand ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ประเภทอาหาร ปริมาณอาหาร ปริมาณความต้องการอาหาร (คำนวณจากจำนวนผู้ต้องการอาหารจากแต่ละชุมชน) รวมถึงข้อจำกัดด้านการขนส่งของ SOS Thailand โดยอัตโนมัติ จากนั้น AI จะวิเคราะห์และแนะนำตัวเลือกการจัดสรรอาหารบริจาค พร้อมตารางเส้นทางรับส่งอาหาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจบริหารจัดการอาหารบริจาคแต่ละวันได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ     [caption id="attachment_62287" align="aligncenter" width="650"] ภาพตัวอย่างจากแพลตฟอร์ม[/caption]   [caption id="attachment_62295" align="aligncenter" width="650"] ภาพตัวอย่างจากแพลตฟอร์ม[/caption]   [caption id="attachment_62294" align="aligncenter" width="650"] ภาพตัวอย่างจากแพลตฟอร์ม[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนทดสอบใช้งานร่วมกับมูลนิธิ SOS Thailand ซึ่งคาดว่าจะพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบภายในสิ้นปีนี้ ระบบนี้จะช่วยสนับสนุนให้ทีม SOS Thailand ขยายผลการดำเนินงานไปยังนอกพื้นที่บริการหลัก 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และนครราชสีมาได้ง่ายยิ่งขึ้น (การขยายผลมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายด้าน แพลตฟอร์มที่ทีมวิจัยช่วยพัฒนาเป็นเพียงปัจจัยสนับสนุนหนึ่งเท่านั้น) นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีแผนพัฒนาต่อยอดแพลตฟอร์ม AI นี้ให้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการอาหารบริจาคไปยังกลุ่มคนเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ โดยจะร่วมกับโครงการ BKK Food Bank ของกรุงเทพมหานคร ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรอาหารบริจาคทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง ดร.นันทพร เล่าต่อว่า นอกจากเทคโนโลยีข้างต้น ทีมวิจัยยังได้พัฒนาระบบสร้างแคมเพนบริจาคอาหาร ซึ่งจะเปิดรับบริจาคอาหารจากทั้งจากผู้ประกอบการรายใหญ่ รายย่อย รวมถึงประชาชนทั่วไปในพื้นที่ที่มีความต้องการอาหารแบบเฉพาะกิจ เพื่อให้ได้ปริมาณอาหารประเภทที่ต้องการมากเพียงพอสำหรับจัดส่งให้แก่ผู้ที่มีความต้องการอาหารเหล่านั้นอย่างเร่งด่วน เช่น ผู้ประสบภัยธรรมชาติ “ในขั้นตอนถัดไปของการดำเนินงาน ทีมวิจัยยังมีแผนที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการขยายการดำเนินงานของ SOS Thailand ให้ครอบคลุมไปยังพื้นที่เมืองรอง ภายใต้แผนการจัดตั้ง National Food Bank และในอนาคตจะพัฒนาแพลตฟอร์มนี้ให้มุ่งเน้นการจัดสรรอาหารบริจาคตามหลักโภชนาการที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะให้แก่ผู้รับบริจาคอาหารในแต่ละพื้นที่ และยังเป็นการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพด้วย “การพัฒนาและการใช้งานระบบ Cloud Food Bank รวมถึงแพลตฟอร์ม AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ทั้งค่าอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐาน ค่าเช่าพื้นที่คลาวด์ ค่าสาธารณูปโภค ค่าซ่อมบำรุง และค่าบริหารจัดการ ดังนั้น SOS Thailand จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปเพื่อให้ดำเนินภารกิจต่อไปได้ในระยะยาว และยังเป็นหนึ่งในกลไกสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 2 การขจัดความหิวโหย และเป้าหมายที่ 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน” ดร.นันทพร กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจสนับสนุนเงินทุนเพื่อการขับเคลื่อนภารกิจของ SOS Thailand ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.scholarsofsustenance.org/support-sos ส่วนผู้ที่สนใจการพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการจัดการอาหารส่วนเกิน หรือสนใจนำระบบดิจิทัลนี้ไปใช้งาน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ เนคเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2546 หรืออีเมล nantaporn.ratisoontorn@nectec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย เนคเทค สวทช. และ shutterstock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
โครงการรวมพลังเสริมแกร่งธุรกิจไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง (Empowering Local-Global Synergy Program) หลักสูตรอบรมเข้มข้นเพื่อยกระดับธุรกิจด้วยนวัตกรรม
🔆เปิดรับสมัครโครงการรวมพลังเสริมแกร่งธุรกิจไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง (Empowering Local-Global Synergy Program) หลักสูตรอบรมเข้มข้นเพื่อยกระดับธุรกิจด้วยนวัตกรรม . 📌อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) ร่วมกับ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand: SWP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เดินหน้าการพัฒนาระบบกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคกลาง-ตะวันตก เปิดรับสมัครนักวิจัย/ผู้ประกอบการ/ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจเทคโนโลยี เข้าร่วม “โครงการรวมพลังเสริมแกร่งธุรกิจไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง (Empowering Local-Global Synergy Program)” เพื่อส่งเสริมศักยภาพบุคลากรให้สามารถรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง (Technology Transfer) จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยกระดับธุรกิจด้วยนวัตกรรมให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น . 🎯หากคุณคือ 👨‍⚕️ Technologist: นักวิจัย/อาจารย์ที่มีงานวิจัย และเชี่ยวชาญในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง 🙎🏻‍♂️Industrialist: ผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับธุรกิจไปสู่ระดับโลก 👨‍💼 Innovation Builder: นักปั้นมือทอง/ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูงและการตลาด . 🚩กลุ่มอุตสาหกรรม/เทคโนโลยีเป้าหมาย 🌐เซ็นเซอร์ AI ดิจิทัล และไมโครอิเล็กทรอนิกส์ 🍀กลุ่มเกษตรและอาหาร 🧬ไบโอเทคโนโลยี ✨นาโนเทคโนโลยี . 💥รายละเอียดโครงการ 🔹กิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อยกระดับทักษะผู้เข้าร่วมโครงการโดยผู้เชี่ยวชาญ 🔸การนำเสนอโครงการ (Pitching) เพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดสู่การเดินทางไปทำงานร่วมกับองค์กรหรือหน่วยงานต่างประเทศ 🔹การศึกษาและพัฒนาทักษะโดยผู้เชี่ยวชาญในประเทศไทยและการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำงานร่วมกับองค์กรหรือหน่วยงานต่างประเทศเป้าหมาย 🔸การออกแบบเครื่องมือหรือโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ผ่านการพัฒนาข้อเสนอโครงการและแผนธุรกิจ (Business Plan) เป็นต้น . 🌟โอกาสที่ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับ 🔹การต่อยอดธุรกิจหรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ 🔸การขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ 🔹การศึกษาดูงาน รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง (Technology Transfer) จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ ทั้งในและต่างประเทศ 🔸การเข้าถึงเครือข่ายนักวิจัย งานวิจัยขั้นสูง และเครือข่ายพันธมิตรผู้ประกอบการ . 🔴เปิดรับสมัคร: วันนี้ - 31 ตุลาคม 2567 🔵ประกาศผลการคัดเลือก: 12 พฤศจิกายน 2567 🟣ระยะเวลาการอบรม: 20 พฤศจิกายน 2567 - พฤษภาคม 2568 . 👉🏻รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://swpark.or.th/local-global . 📞สอบถามข้อมูล 02-583-9992 ต่อ 81442 / คุณจิราวรรณ e-Mail: local-global@swpark.or.th . ‼️หมายเหตุ - ใบสมัครเข้าร่วมโครงการฯ นี้ เป็นการรวบรวมข้อมูลความรู้/ความสามารถ/ความเชี่ยวชาญและทักษะ โดยข้อมูลจะถูกเก็บไว้เป็นความลับไม่เปิดเผย
ปฏิทินกิจกรรม
 
‘ศุภมาส’ นำคณะผู้บริหารกระทรวง อว. ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ขอให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง
(วันที่15 ตุลาคม 2567) ที่บริเวณชั้น 1 อาคารศูนย์การแพทย์มะเร็งวิทยาจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  เป็นประธานเชิญแจกันดอกไม้ถวายพระพร ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ขอให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง โดยมีคณะผู้บริหารและหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ร่วมลงนามถวายพระพร อาทิ ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัด อว. ร่วมลงนามถวายพระพร สำนักพระราชวัง เปิดให้ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี 3 จุด ได้แก่ ที่บริเวณชั้น 1 อาคารศูนย์การแพทย์มะเร็งวิทยาจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์, ที่ห้องรับรอง ชั้น 2 อาคารวิจัยเคมี สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เขตหลักสี่ และที่ชั้น 1 อาคารสำนักงาน พระตำหนักจักรีบงกช อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.30 น.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญร่วมงานครบรอบ 24 ปี แห่งการก่อตั้ง CENTEX SHRIMP
ขอเชิญร่วมงานครบรอบ 24 ปี แห่งการก่อตั้ง CENTEX SHRIMP .. ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญผู้สนใจในกลุ่มอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งและปลา เกษตรกรและผู้ประกอบการ ตลอดจนเครือข่ายวิจัยของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมงานครบรอบ 24 ปี แห่งการก่อตั้งหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง (CENTEX SHRIMP) “Celebrating 24 years of excellence: Premier Science, Premium Aquaculture by CENTEX SHRIMP” ในวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 08.30 - 16.45 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 1 อาคารสตางค์มงคลสุข คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (พญาไท) . ภายในงานพบกับการบรรยายและเสวนาในหลายหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การก่อตั้ง จนถึงปัจจุบัน และแนวทางในอนาคต ของ CENTEX SHRIMP พร้อมการนำเสนองานวิจัยเด่นและนิทรรศการโปสเตอร์งานวิจัย ผู้สนใจเชิญมาร่วมสร้างพลังแห่งเครือข่ายวิจัยสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไปด้วยกัน ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/zW1D8bMaXe3zA2wN7 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (ที่นั่งมีจำนวนจำกัด ขอสงวนสิทธิการตอบรับโดยผู้จัดงาน) #centexshrimp #24yerasCentexShrimp #เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ #ไบโอเทค #สวทช
ปฏิทินกิจกรรม