ผลการค้นหา :

สวทช. ผนึกกำลัง กพร. ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ลงนามความร่วมมือ (MOU) เพื่อขยายผลและผลักดันการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 พร้อมเผยผลสำเร็จการพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 4.0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ตอบรับนโยบาย MIND ของ อก. โดยเฉพาะมิติที่ 1 “ความสำเร็จทางธุรกิจ” ซึ่งเน้นการยกระดับเทคโนโลยีสู่การผลิตสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยี 4.0
วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2567) ณ ห้องแซฟไฟร์ ชั้น 2 โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ: ดร.อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพื้นฐานก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ปีที่ 3” และ พิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กพร. และ สวทช. โดยกล่าวว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมผนึกกำลังอย่างเป็นทางการในการขยายผลและผลักดันการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไทยสู่อุตสาหกรรม4.0 เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในภาพรวม โดย กพร. และ สวทช. จะร่วมกันพัฒนา แลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลทางวิชาการระหว่างสองหน่วยงานผ่านการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การฝึกอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ดัชนีชี้วัดระดับความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับประเทศไทย (Thailand i4.0 Index) การให้คำปรึกษาเชิงลึกเพื่อเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยี 4.0 ให้แก่สถานประกอบการอุตสาหกรรมพื้นฐานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ รวมถึงสถานประกอบการอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่สนใจ รวมทั้งร่วมกันผลักดันสิทธิประโยชน์ด้านต่าง ๆ ให้แก่สถานประกอบการตามความเหมาะสม เพิ่มเติมจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจาก BOI สำหรับสถานประกอบการที่ได้รับการตรวจประเมินและประสบความสำเร็จในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 4.0
“ความร่วมมือระหว่าง กพร. และ สวทช. ในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับการส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ของ กพร. ให้เกิดผลสำเร็จในวงกว้างเพิ่มขึ้น และจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 4.0 ที่สามารถได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI ได้ รวมถึงโอกาสได้สิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติมที่ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันผลักดันต่อไป แต่สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะได้จากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 4.0 คือ ความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น จากประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการผลิตที่ลดลง ดังจะเห็นได้จากตัวอย่าง Success cases ของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาและยกระดับสถานประกอบการอุตสาหกรรมพื้นฐานเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ของ กพร. ที่ได้ดำเนินโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน ทุกรายสามารถลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ คิดเป็นมูลค่าตั้งแต่หลักแสน ถึงหลักล้านบาทต่อปี ต่อราย ดังนั้น หากมีการขยายการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมเหมืองแร่” ดร.อดิทัต กล่าว
ด้าน ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. มีวิสัยทัศน์เป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม ให้ตอบโจทย์สำคัญของประเทศ และนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ กพร. มีภารกิจในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐานด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม จึงจำเป็นที่ต้องทำงานร่วมกันสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมไทยให้เกิดการประยุกต์ใช้ วทน. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้นตลอดจนขับเคลื่อนและผลักดันงานต่าง ๆ ให้เกิดการถ่ายถอดและขยายผลงานวิจัยที่สร้างผลกระทบกับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
“ในปีที่ผ่านมา สวทช. มีความมุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์การสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ จึงได้จัดตั้ง Industry 4.0 Platform ขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้ผู้ประกอบการเข้ามาใช้บริการด้านต่าง ๆ ในการยกระดับสถานประกอบการให้เข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาสามารถประเมิน Thailand i4.0 Index ไปแล้ว 405 ราย ให้คำปรึกษาเพื่อการปรับปรุงสายการผลิต 204 ราย และถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการกว่า 68 ราย โดยในปีนี้ได้มีการพัฒนารูปแบบการประเมินแบบออนไลน์และทำได้ด้วยตนเอง (Online Self-Assessment) ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และสามารถรู้ผลได้ทันที ทำให้ทราบแนวทางในปรับปรุงยกระดับองค์กรสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยในปีที่ผ่านมามีอุตสาหกรรมพื้นฐานเข้ารับการประเมินแล้วกว่า 30 ราย” ดร.สมบุญ กล่าว
สำหรับงานสัมมนาถ่ายทอดองค์ความรู้ “ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพื้นฐานก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ปีที่ 3” ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนาและยกระดับการประกอบการสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยมีการบรรยายถ่ายทอดองค์ความรู้การประเมินความพร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วย Thailand i4.0 Index การขอรับสิทธิประโยชน์จากการยกระดับองค์กรสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผลสำเร็จของการพัฒนาและยกระดับสถานประกอบการอุตสาหกรรมพื้นฐานเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ตลอดระยะเวลา 3 ปี (ปี 2565–2567) และได้รับเกียรติจากบริษัทที่เข้าร่วมโครงการมาร่วมบรรยายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการเผยแพร่ตัวอย่างผลสำเร็จการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 4.0 ของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ โดยได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักวิจัยนาโนเทค สวทช. คว้า “ทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทยเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2567
ดร. ปองกานต์ จักรธรานนท์ ทีมวิจัยตัวเร่งปฏิกิริยา กลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาระดับนาโน การดูดซับ และการคำนวณ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้ารับมอบทุนในโครงการทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ ประจำปี 2567 ซึ่งได้รับทุนวิจัย 250,000 บาท พร้อมโล่เกียรติคุณ จากผลงานวิจัย “การเร่งปฏิกิริยาเชิงเคมีไฟฟ้าเพื่อความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อม” ซึ่ง นักวิจัยนาโนเทค สวทช. มุ่งเป้าพัฒนาเซลล์ไฟฟ้าที่สามารถทำปฏิกิริยาทั้งสองได้อย่างควบคู่กัน เพื่อเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเคมีภัณฑ์ที่มีมูลค่า ตอบโจทย์ด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
ดังนั้น ดร. ปองกานต์ จักรธรานนท์ นักวิจัยจากศูนย์นาโนเทค สวทช. ถือเป็น 1 ในนักวิจัยสตรีที่มีผลงานวิจัยโดดเด่น มีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนสังคมทั้งในประเด็นสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน อันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของลอรีอัลซึ่งมุ่งสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ผ่านการสนับสนุนงานวิจัยและเชิดชูบทบาทสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับการสร้างความตระหนักรู้ต่อประเด็นสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันสังคมสู่ความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งภายในงานมอบรางวัล ได้รับเกียรติจาก ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร. ศิวพร มีจู สมิธ รองผู้อำนวยนาโนเทค สวทช. และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สวทช. เข้าร่วมแสดงความยินดี ณ SPHERE HALL ชั้น 5 ห้างดิเอ็มสเฟียร์ กรุงเทพฯ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 20 (Science Film Festival 2024)
ชมฟรี! ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์
.
เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 20
(Science Film Festival 2024)
วันที่ 5 พ.ย. 67
เวลา 09:00-12:00 น.
ห้อง Auditorium ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
.
เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ประเทศไทย ครั้งที่ 20 (Science Film Festival 2024) จัดขึ้นโดยสถาบันเกอเธ่ โดยมี โรลส์-รอยซ์ เป็นพันธมิตรหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
.
ในปีนี้ เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ ประเทศไทย เฉลิมฉลองการครบรอบ 20 ปี โดยจัดเทศกาลภายใต้หัวข้อ “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์และเศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ Net Zero ซึ่งมุ่งเน้นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการลงมือทำมากกว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
รอบพิเศษวันที่ 5 พ.ย. 67 เวลา 09:00-12:00 น. ณ ห้อง Auditorium ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ปทุมธานี รับชมภาพยนตร์ที่น่าสนใจหลายเรื่อง อาทิ
REDESIGNING GLOBAL AVIATION (UK)
DROPS CAN WEAR ANYROCK - DIGITALTRANSFORMATION FOR CIRCULAR CONSTRUCTION (BELGIUM)
BELGIUM PLAN B: SOMETHING'S HAPPENING,GERMANY! WHO'S REDUCING WASTE (GERMANY)
THE MEKONG RIVER (THAILAND)
.
ลงทะเบียนเข้าชมฟรี
https://www.nstda.or.th/r/jsuSn
ปฏิทินกิจกรรม

‘ถุงมือยางไนไตรล์’ ปราศจากสารก่ออาการแพ้ ใส่สบาย ใช้ได้หลากหลาย
ถุงมือยางไนไตรล์ (nitrile gloves) เป็นถุงมือยางสังเคราะห์ที่มีการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทั่วโลกมีการใช้งานมากกว่า 2 แสนล้านชิ้นต่อปี เพราะถุงมือยางชนิดนี้มีคุณสมบัติเด่นที่เหนือกว่าถุงมือยางธรรมชาติในด้านการทนทานต่อน้ำมันและสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน อีกทั้งยังไม่มีโปรตีนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตามถุงมือยางไนไตรล์ยังคงมีจุดอ่อนอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือมีความแข็งกระด้างมากกว่าถุงมือยางธรรมชาติ ทำให้หากสวมใส่เป็นระยะเวลานานอาจเกิดความเมื่อยล้า เรื่องที่สองคืออาจพบปัญหาการแพ้สารเคมีบางชนิดที่ใช้ในการผลิต โดยเฉพาะสารตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งเป็นสารสำคัญที่ต้องใช้ในขั้นตอนการผลิต
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ปราศจากกำมะถันและสารตัวเร่งปฏิกิริยา เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้โปรตีนจากยางธรรมชาติและแพ้สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในถุงมือยาง ถุงมือยางไนไตรล์ที่พัฒนาขึ้นนอกจากจะทนทานต่อน้ำมันและสารเคมีแล้ว ยังนุ่มและยืดหยุ่นสูงขึ้นกว่าเดิมจึงช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการสวมใส่เป็นเวลานานได้อย่างดี การพัฒนาถุงมือยางชนิดนี้มุ่งเป้าตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการความสะอาดและปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ อาหาร เครื่องสำอาง อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ห้องปฏิบัติการ รวมถึงการใช้งานทั่วไป เช่น งานทำความสะอาด ทำสวน ซ่อมรถ
[caption id="attachment_62644" align="aligncenter" width="750"] ดร.พร้อมศักดิ์ สงวนธำมรงค์ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช[/caption]
ดร.พร้อมศักดิ์ สงวนธำมรงค์ นักวิจัย ทีมวิจัยกระบวนการผลิตยางขั้นสูงและมาตรฐานยาง กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่างานวิจัยนี้ได้รับทุน Starting Venture 2022 จากบริษัทบีเอเอสเอฟ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของโลกจากประเทศเยอรมนี โดยงานวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกได้แก่ การพัฒนาสูตรการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ที่ปราศจากสารก่ออาการแพ้ เช่น กำมะถัน สารตัวเร่งปฏิกิริยา แป้ง ซึ่งสารเคมีเหล่านี้เป็นสารเคมีที่จำเป็นต่อการผลิตถุงมือยางด้วยกรรมวิธีทั่วไป
“ส่วนที่สองคือการหาสภาวะการผลิตที่เหมาะสม โดยศึกษาตัวแปรต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อกระบวนการจุ่มขึ้นรูปถุงมือยาง เพื่อให้ได้ถุงมือที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ส่วนสุดท้ายคือการขยายสเกลการผลิตจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยงานวิจัยในขั้นตอนนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแกรนด์โกลบอลโกลฟส์ จำกัด ในการทดลองนำสูตรและกระบวนการผลิตที่พัฒนาขึ้นไปใช้ผลิตต้นแบบถุงมือยางไนไตรล์ปราศจากกำมะถันและสารตัวเร่งปฏิกิริยา พร้อมดำเนินการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพแต่ละขั้นตอนการผลิตตามเกณฑ์กำหนดของโรงงาน จากการทดลองพบว่าต้นแบบถุงมือยางไนไตรล์ที่ผลิตได้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานถุงมือยางสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียวและถุงมือยางสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร”
นอกจากจุดเด่นด้านคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถุงมือยางไนไตรล์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้น นอกจากจะมีการลดปริมาณสารเคมีอันตรายลง ทีมวิจัยยังได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยปรับลดทั้งระยะเวลาที่ใช้บ่มน้ำยางและอุณหภูมิที่ใช้ในการอบถุงมือยาง ทำให้ประหยัดพลังงานและลดต้นทุนในการผลิตได้ด้วย
ดร.พร้อมศักดิ์ เล่าทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ปราศจากกำมะถันและสารตัวเร่งปฏิกิริยาเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในช่วงเปิดรับผู้ประกอบการที่ต้องการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งคาดว่าถุงมือยางที่พัฒนาขึ้นจะวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ภายในปี พ.ศ. 2569
ทั้งนี้หากผู้ประกอบการท่านใดที่สนใจขอรับต้นแบบถุงมือยางไนไตรล์ไปทดลองใช้งาน หรือต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่คุณเนตรชนก ปิยะฤทธิพงศ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทร. 0 2564 6500 ต่อ 4301 อีเมล netchanp@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

โครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น ปี 2568 (TED Youth Startup 2025) รอบ 1/2568
เปิดรับสมัคร โครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น ปี 2568 (TED Youth Startup 2025) รอบ 1/2568
ทุนสำหรับนิสิต นักศึกษา และบัณฑิตจบใหม่ ในการเริ่มต้นธุรกิจ Startup ภายใต้โครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น ปี 2568 (TED Youth Startup 2025) รอบ 1/2568
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSP) หนึ่งในเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ (TED Fellow) เปิดรับสมัคร Startup ที่มีความสนใจในการพัฒนาธุรกิจบนฐานของเทคโนโลยีและนวัตกรรม และกำลังมองหาทุนในการต่อยอดธุรกิจสู่เชิงพาณิชย์ โดยสนับสนุนทุนมูลค่าสูงสุดถึง 1,500,000 บาท
สิทธิประโยชน์ที่ท่านจะได้รับ
ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่การเตรียมตัวยื่นขอทุน ไปจนถึงขั้นตอนการเบิกจ่าย และปิดโครงการ
ให้คำปรึกษาด้านการดำเนินธุรกิจนวัตกรรม และเชื่อมโยงธุรกิจ
มีสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ขอรับทุน
อย่ารอช้า รับจำนวนจำกัด รีบสมัครเลย โอกาสดีๆ รออยู่!
ช่องทางการสมัคร > กดที่นี่
สนใจติดต่อ :
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
คุณกฤษกรณ์ 086 362 6185
คุณจิรพร 0816397284
คุณชมพูนุช 0813187532
Email: bcd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

ขอเชิญร่วมงานสัมมนา “AI FOR BUSINESS” ที่รวบรวมเทคโนโลยี AI น่าสนใจไว้ในงานเดียว พบกับวิทยากรถึง 5 ท่านที่จะมาเล่า Case study การใช้ AI รูปแบบต่างๆ
ขอเชิญร่วมงานสัมมนา "AI FOR BUSINESS" ที่รวบรวมเทคโนโลยี AI น่าสนใจไว้ในงานเดียว พบกับวิทยากรถึง 5 ท่านที่จะมาเล่า Case study การใช้ AI รูปแบบต่างๆ
.
พิเศษสำหรับ ผู้ประกอบการ SME ไทย สามารถขอรับการสนับสนุนจากโปรแกรม ITAP ได้ 50% สูงสุด 200,000 บาท เพื่อทำโครงการประยุกต์ใช้ AI ในธุรกิจ
.
พบกันวันศุกร์ที่ 8 พ.ย. 2567
เวลา 08.30 - 15.00 น.
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
.
ห้ามพลาด ไฮไลต์สำคัญ
ฟังการบรรยายหัวข้อ "AI กับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ โอกาสความท้าทาย และแนวโน้ม AI ในอนาคต"
Showcase เทคโนโลยี AI ที่ SME ไทยห้ามพลาด ได้แก่
- การใช้ AI OCR จัดการเอกสาร เช่น ใบเสร็จ ใบแจ้งหนี้ สัญญา ฯลฯ ช่วยให้งานเสร็จเร็ว แม่นยำ ลดภาระงาน
- การใช้ Generative AI สร้างบทความ โฆษณา โพสต์โซเชียลมีเดีย ฯลฯ ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์
- การใช้ AI Assistant ช่วยจัดการงานอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มผลิตภาพงานประจำวัน และสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
- การพูดคุยโต้ตอบกับ AI Chatbot ให้ช่วยวิเคราะห์เอกสาร ตั้งประเด็นโดยอัตโนมัติ และช่วยสรุปสาระสำคัญ
ชมบูธแสดง AI Technology & Solution พร้อมขอรับคำปรึกษาที่คลินิกเทคโนโลยี
.
ลงทะเบียนร่วมงานสัมมนาได้ที่
https://forms.gle/zfn4KztJwxo62Ycb9
จำกัด 2 ท่าน/บริษัท และรับเพียง 30 บริษัท เท่านั้น !
สามารถลงทะเบียนได้ ตั้งแต่วันนี้ - 6 พ.ย. 67
สอบถามรายละเอียดได้ที่
Email : esi@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

เนคเทค สวทช. คว้า 2 รางวัล ผลิตภัณฑ์และบริการในภาคอุตสาหกรรม ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ประจำปี 2567
(28 ตุลาคม 2567): ดร. พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร. มลธิดา ภัทรนันทกุล และ ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ เนคเทค, สวทช., ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์, ซีโร่ทัชเซอร์วิส, ไซบีเลียน, รางวัล, นวัตกรรม, การรักษาความปลอดภัย, IoT ในพิธีมอบรางวัลการประกวดผลิตภัณฑ์และบริการในภาคอุตสาหกรรม ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ 2567 (Thailand Cyber Security Product and Service Awards 2024 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ณ โรงแรม ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น
ดร. มลธิดา ภัทรนันทกุล และคณะ ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย ได้รับ ‘รางวัลความเป็นเลิศด้านความคิดสร้างสรรค์’ ประเภทต้นแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการ (Prototype) ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จากผลงาน “ซีโร่ทัชเซอร์วิส : ระบบให้บริการเน็ตเวิร์กเซอร์วิสด้านความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ สำหรับตรวจสอบและเฝ้าระวังภัยคุกคามด้านไซเบอร์ (Zero-Touch Services: An automated Security Management and Orchestration Platform for Cybersecurity Investigation and Mitigation)"
ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ และคณะ ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย ได้รับ 'รางวัลความเป็นเลิศด้านความเป็นนวัตกรรม' ประเภทต้นแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการ (Prototype) ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จากผลงาน “ไซบีเลียน : แพลตฟอร์มคุ้มครองความเป็นส่วนตัวไอโอทีด้วยเทคนิคการเข้ารหัสโฮโมมอร์ฟิก (CYBLION: Privacy-Preserving IoT Platform by Homomorphic Encryption)
Zero-Touch Services ระบบให้บริการเน็ตเวิร์คเซอร์วิสด้านความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ ผลงานที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและ ลดภาระงานด้านความปลอดภัยให้กับองค์กร โดยการจัดเตรียมและให้บริการ เน็ตเวิร์กเซอร์วิสด้านความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยวิเคราะห์ ตรวจสอบ และเฝ้าระวังภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร โดยมีคุณลักษณะที่น่าสนใจ เช่น การบริหารจัดการแบบอัตโนมัติด้วยโซลูชั่น SOAR รองรับรูปแบบการให้บริการ SECaaS การจัดสรรทรัพยากรแบบไดนามิก การวิเคราะห์ จำแนกและจัดลำดับความสำคัญของภัยคุกคาม เป็นต้น
ไซบีเลียน: แพลตฟอร์มคุ้มครองความเป็นส่วนตัวไอโอทีด้วยเทคนิคการเข้ารหัสโฮโมมอร์ฟิก หรือ CYBLION: Privacy-Preserving IoT Platform by Homomorphic Encryption ทางออกสำหรับการแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลไอโอที
ผลงาน “ไซบีเลียน” หรือ “CYBLION” ซึ่งมาจากการผสานสองคำ "Cyber” และ "Brilliant" ซึ่งมาจากการผสานสองคำ "Cyber” และ "Brilliant" ทีมวิจัยระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) ได้พัฒนาเทคโนโลยี PET เป็น “PET as-a-service for IoT/IIoT platform” ปัจจุบันมีเป้าหมายใช้สนับสนุนการทำงานในโรงงานเป็นหลัก โดยในระบบเดิมนั้นใช้ Cloud จากภายนอก ซึ่งถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคลบ่อยครั้ง ฉะนั้นเราจะไว้ใจ Cloud จากภายนอกได้อย่างไรบ้าง? ทางทีมนักวิจัยจึงค้นหาแนวทางการปกปองข้อมูลในแง่ของกฎหมายและแง่ของการใช้งาน จึงใช้ระบบ Homomorphic Encryption (HE) คือการให้ Cloud วิเคราะห์ข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องให้คีย์ในการไขเปิดข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะทำให้ยังคงรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้และ Cloud จะจัดการคำนวณโดยที่ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วย ฉะนั้น CYBLION จะการันตีว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่หลุดออกจากระบบ เพราะใช้ระบบและเทคโนโลยีในการจัดการและจัดเก็บข้อมูลโดยที่ยังคงรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ลูกค้าสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาการหลุดรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลได้นั่นเอง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ลุ้นบินลัดฟ้า! ✈️รวมงาน 🇦🇺 International Conference on Research Infrastructures (ICRI) 2024
🚀 ขอเชิญนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ (ประสบการณ์ <10 ปี) มาร่วมแชร์วิสัยทัศน์ “What do you imagine Research Infrastructure to be in 2050”💡
🎬 ส่งคลิปวิดีโอ (30 วิ - 3 นาที) ตอบคำถาม "Research Infrastructure ในปี 2050 จะเป็นอย่างไร?"
🏆 2 ผู้ชนะ รับรางวัล ✈️ 🇦🇺 จะได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมวิชาการนานาชาติ International Conference on Research Infrastructures (ICRI) 2024
วันที่ 3-5 ธันวาคม 2567 ณ เมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
และมีโอกาสร่วมแสดงความคิดเห็นในช่วง Early Career Scientists: Pitch Session วันที่ 4 ธันวาคม 2567
👉 สมัครเลย: http://bit.ly/3YqgOEY
📅 Deadline: 8 พ.ย. นี้
📧 ส่ง CV: aseanrri@nstda.or.th
++++++++++++++++++++++++++
Calling all early career researchers from ASEAN!
Imagine the future of research infrastructure. What will it look like in 2050? We're launching an exciting video competition to find out!
Show Us Your Vision!
Create a short video (30 seconds - 3 minutes) answering the question: "What do you imagine Research Infrastructure to be in 2050?"
Prizes:
Two winners will each receive:
A round-trip flight (economy class) to Brisbane, Australia (including per diems)!
An opportunity to present at the main program "Early Career Scientists: Pitch Session" on 4 December 2024.
Who Can Participate?
Are you an early career researcher with less than 10 years of experience in research infrastructure (user or manager)? This competition is for you!
Why Enter?
Attend ICRI 2024 – the leading forum for the global research infrastructure community!
Network with international experts and stay ahead of industry trends.
Boost your research profile and build international connections.
Ready to Submit?
Create your video (MP4 format, landscape view).
Submit your video by Nov 8th via http://bit.ly/3YqgOEY
Email your CV to aseanrri@nstda.or.th
Don't miss this chance! Showcase your ideas and represent your country at ICRI 2024!
For more information: aseanrri@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

หลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการความรู้พื้นฐานสำหรับช่างติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้า สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รุ่นที่ 4 (Fundamental of EV Charger Installation: ECI4)
หลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการความรู้พื้นฐานสำหรับช่างติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้า สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รุ่นที่ 4 (Fundamental of EV Charger Installation: ECI4)
.
ห้ามพลาด ไฮไลต์สำคัญ:
ความรู้เกี่ยวกับ หลักการ กฎหมาย/ข้อกำหนด/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความปลอดภัย ในการติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า
ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการออกแบบและติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้า รวมถึงเทคนิคการติดตั้งอย่างถูกต้องและปลอดภัย
ความรู้เกี่ยวกับ การคำนวณ การเลือกอุปกรณ์ การติดตั้ง การเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า และการตรวจสอบระบบเบื้องต้น
ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์และประเมินผลจากเครื่องมือวัด
.
วันที่ 12 – 13 ธันวาคม 2567 (ทฤษฎี 1 วัน Workshop 1 วัน)
เวลา 09.00 - 13.30 น.
ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ลงทะเบียนได้ที่: https://www.career4future.com/eci/
https://www.career4future.com/cfa/index.php?crsgen=9913
9,630 บาท (ราคานี้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
สอบถามข้อมูล
โทรศัพท์ : 0 2644 8150 ต่อ 81898 (คุณฉวีวรรณ)
โทรสาร : 0 2644 8110
E-MAIL : npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

2 ปี ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เดินหน้าครบทุกมิติ พัฒนาคน สร้างนวัตกรรม หนุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้ประเทศ
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นปรากฏการณ์สำคัญของโลก โดยได้รับความคาดหมายในฐานะเครื่องมือทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกในยุคใหม่ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างเร่งพัฒนา AI ของตนเองอย่างเข้มข้นและรวดเร็วจนนำไปสู่ AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ (Artificial General Intelligence) อย่างไรก็ตามการขาดธรรมาภิบาลในการพัฒนาและใช้งาน AI อาจนำมาซึ่งความท้าทายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม การใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน การละเมิดความเป็นส่วนตัว ตลอดจนภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ประเทศไทยได้แสดงความพร้อมรับมือผ่าน "แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565-2570" ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 โดยมีการขับเคลื่อนมาแล้ว 2 ปี ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 2 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.)
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การจัดทำแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติตลอดสองปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่สำคัญในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล มีการจัดทำคู่มือแนวทางการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับองค์กร พร้อมเครื่องมือประเมินด้าน AI อีกทั้งยังสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายต่างประเทศเพื่อร่วมนำเสนอและรับฟังความคิดเห็นแนวทางการกำกับดูแล AI ในระดับสากลเพื่อนำมาเตรียมความพร้อมด้านจริยธรรมและธรรมภิบาล AI ของไทย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC มีจำนวนการใช้งานโดยเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านครั้งต่อเดือน รวมทั้งให้บริการ LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณอันดับ 1 ในอาเซียน สำหรับการวิจัยด้าน AI ของภาครัฐและเอกชน ด้านการพัฒนากำลังคนด้าน AI ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของแผนฯ ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินพัฒนากำลังคนด้าน AI ผ่านการพัฒนาทักษะทางด้าน AI ในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง หลักสูตรอบรมทักษะ AI ระยะสั้นและหลักสูตรพัฒนาทักษะ AI ที่ผสมผสานตั้งแต่การเรียนรู้ด้วยตนเองจนปิดท้ายด้วยการฝึกงานในสถานที่จริงเป็นจำนวนรวมมากกว่า 1 แสนคน โดยแผนพัฒนากำลังคนด้าน AI มีกรอบดำเนินการใน 3 ส่วน แบ่งตามช่วงชีวิตการเรียนรู้ของคน ดังนี้ (1) AI@School เพื่อสร้างผู้สอนและบรรจุหลักสูตร AI สำหรับนักเรียนทุกช่วงชั้นให้มีความตระหนักและทักษะทางด้าน AI เบื้องต้น (2) AI@University เพื่อพัฒนาทักษะ AI ทุกระดับอย่างต่อเนื่องในระบบอุดมศึกษา (3) AI@Lifelong Learning เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนในทุกช่วงวัยและทุกระดับการศึกษาสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะ AI ได้ตลอดช่วงชีวิต ตอบรับนโยบาย อว. For AI ทั้ง 3 เรื่องหลัก ได้แก่ (1) AI for Education การใช้ AI ในการเรียนการสอนให้คนไทยมีศักยภาพสูงสุดและเร็วที่สุด (2) AI workforce development การพัฒนาบุคลากรด้าน AI และการสร้างพื้นฐานด้าน AI ให้คนไทยในระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน (3) AI innovation ด้านการสนับสนุนนวัตกรรม AI สู่ตลาด ได้ส่งเสริมให้สตาร์ตอัปพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีจาก AI มากกว่า 50 ต้นแบบผลิตภัณฑ์
ส่วนด้านการวิจัยและนวัตกรรม ได้ดำเนินการนำ AI เพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลประชากรขนาดใหญ่ เพื่อการวางแผนยุทธศาสตร์ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 6 แสนคน มีหน่วยงานภาครัฐนำไปใช้ประโยชน์ 220 หน่วยงาน ครอบคลุม 17 จังหวัดทั่วประเทศ และการจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ Medical AI Consortium เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลขนาดใหญ่ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Medical AI Data Sharing) ในปัจจุบันมีข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์มากกว่า 1.6 ล้านภาพ
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดำเนินงานขับเคลื่อนแผน AI แห่งชาติตามแผนยุทธศาสตร์ในด้านต่าง ๆในปีที่ผ่านมาได้สะท้อนผ่านการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (AI Government Readiness Index) ปี 2566 ที่ประเทศไทยยังคงรักษาตำแหน่งในกลุ่ม 40 อันดับแรกของโลก ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นและจำนวนประเทศที่เข้าร่วมการจัดอันดับที่เพิ่มขึ้น โดยอยู่ในลำดับที่ 37 จาก 193 ประเทศ แม้จะปรับตัวลง 6 อันดับจากปีก่อนที่อยู่ในลำดับที่ 31 จาก 181 ประเทศ เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่าไทยมีจุดแข็งในด้านภาครัฐที่ได้ 77.21 คะแนน และด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้ 70.55 คะแนน สะท้อนความพร้อมของกลไกภาครัฐและระบบโครงสร้างพื้นฐานในการรองรับการพัฒนา AI ขณะที่ด้านเทคโนโลยีได้ 41.33 คะแนนซึ่งสูงขึ้นจากปีก่อน แต่ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ไทยต้องเพิ่มการพัฒนาต่อยอดเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ในองค์รวมของประเทศในระยะต่อไป
ด้าน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า เนคเทคในฐานะองค์กรที่มีบทบาทด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศขั้นสูงให้กับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยี AI ที่สั่งสมประสบการณ์วิจัยและพัฒนามากว่า 20 ปี โดยได้ส่งมอบแพลตฟอร์มให้บริการปัญญาประดิษฐ์สัญชาติไทยหรือ AI for Thai ให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้าน AI ของประเทศ และแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ ในฐานะแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งให้บริการ API มากกว่า 60 รายการ ครอบคลุมการประมวลผลภาษาไทย ทั้งด้านภาพ เสียง และข้อความ และมียอดการใช้งานสะสม 53 ล้านครั้ง นอกจากนี้เนคเทคและพันธมิตรยังร่วมพัฒนา ‘OpenThaiGPT’ แบบจำลองภาษาไทยขนาดใหญ่ (Large Language Model) ในรูปแบบโมเดลพื้นฐานแบบโอเพนซอร์ส (Open-source Foundation Model) ที่ตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลภาษาไทยปัจจุบันมี 5 หน่วยงานทดลองนำระบบไปประยุกต์ใช้งาน (Proof of Concept) ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกรมสรรพากร และเป็นโมเดลพื้นฐานของการเปิดตัว 22 บริการใหม่บน AI for Thai (www.aiforthai.co.th) โดยมีไฮไลท์ คือ “ปทุมมา LLM” Generative AI ที่สามารถประมวลข้อมูลภาษาไทยได้หลากหลายทั้งรูปภาพ เสียง และข้อความ ถามตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถบรรยายรูป (image captioning) ถอดและบรรยายเสียง (ASR and ACC) วิเคราะห์อารมณ์ผู้พูด (Audio Analysis) ถามตอบจากเสียง (Audio QA) อีกทั้งยังสามารถเข้าใจและสรุปสาระสำคัญของเอกสารราชการ หรืองานวิจัยได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถพูดคุยตอบโต้หรือตั้งคำถามกับเอกสารที่กำหนดได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถใช้งาน “ปทุมมา LLM” ได้ที่ https://aiforthai.in.th/pathumma-llm
ท่านที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
และรายงานผลการดำเนินงาน ประจำปี 2567 ได้ที่ https://www.ai.in.th/ ตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดรับสมัครผู้ประกอบการจำหน่ายอาหาร ประจำอาคารสราญวิทย์ (อาคาร 12) สวทช.
ระยะเวลาการสมัคร
ยื่นใบสมัคร ได้ตั้งแต่ 25 ต.ค. ถึง 4 พ.ย. 67
คุณสมบัติ
1. มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินการศูนย์อาหารเชิงคุณภาพ สามารถบริหารจัดการให้มีร้านร่วมในการให้บริการ เพื่อความหลากหลายของอาหารและเครื่องดื่ม
2. มีประสบการณ์ดำเนินการศูนย์อาหารขนาดไม่น้อยกว่า 200 ที่นั่ง หรือ 400 จาน ในช่วงเวลา 11.00 - 13.00 น.
3. มีประสบการณ์ดำเนินการศูนย์อาหารมาไม่น้อยกว่า 2 ปี ภายในช่วงเวลา 10 ปี (ต้องแสดงหลักฐาน)
4. มีเงินทุนสามารถบริหารศูนย์อาหารได้ไม่น้อยกว่า 500,000 บาท (แสดงหลักฐานทางการเงิน)
5. ผู้ประกอบการต้องเป็นผู้ดำเนินการเองหรือมีผู้แทนตลอดเวลาทำการ
การพิจารณาคัดเลือก
สวทช. จะดำเนินการคัดเลือกโดยวิธีสัมภาษณ์และประเมินคุณภาพของผู้ประกอบการศูนย์อาหาร ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องยื่นเอกสารแสดงหลักฐานให้ครบถ้วน
ส่งใบสมัครและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
คุณศรุต หนูรักษ์
งานบุคลากรสัมพันธ์ ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล อาคารสำนักงานกลาง
โทร. 02 564 7000 ต่อ 71104 (ในวันและเวลาทำการ)
อีเมล: sarut@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

หลักสูตร RAMS in Railway Systems: Concept & Application
🟩หลักสูตร RAMS in Railway Systems: Concept & Application
⏰วันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2567 โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
📍Key Highlights:
• เจาะลึกหลักการของ RAMS (Reliability, Availability, Maintainability and Safety) ในระบบรถไฟ
• เรียนรู้การวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ ความพร้อมใช้งาน การบำรุงรักษา และความปลอดภัย รวมถึงการใช้เครื่องมือและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ตระหนักถึงข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์และจัดการ RAMS เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการดำเนินงาน
• เข้าใจหลักการและเทคนิคในการตรวจสอบและวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ในระบบรถไฟ เพื่อให้สามารถระบุ สาเหตุของปัญหา และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.career4future.com/rams
ปฏิทินกิจกรรม