ผลการค้นหา :
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมกิจกรรม MU-NSTDA Knowledge Sharing ประจำปี 2568 ครั้งที่ 1 ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช.
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมกิจกรรม MU-NSTDA Knowledge Sharing ประจำปี 2568 ครั้งที่ 1 ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. หัวข้อ R&D Infrastructure Insight รู้จัก-เข้าใจ-ใช้งาน เพื่อสร้างโอกาส วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2568 เวลา 9.00 – 11.00 น. ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Cisco Webex
พบกับกิจกรรมดังนี้
✅ แนะนำโครงสร้างพื้นฐาน และ NSTDA Service การวิเคราะห์และทดสอบ สวทช.
✅ บรรยาย รายละเอียดโครงสร้างพื้นฐานของ สวทช. ได้แก่
ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)
ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC)
ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและเซรามิกอุตสาหกรรม (CTEC)
ศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES)
ฝ่ายบริการงานวิศวกรรม สวทช. (NFED)
ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC)
ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC)
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ผ่าน URL หรือ Scan QR Code
https://www.nstda.or.th/r/PEDo3
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม (RNM)
คุณรัชพล 02-5647000 ต่อ 6445 / ratchapon@nstda.or.th
ดร.สิริกัญจณ์ 02-5647000 ต่อ 6430/ sirikan.nawapan@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
ขอแสดงความยินดีกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย จากงาน REGENERON ISEF 2025
ขอแสดงความยินดีกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย
ในโอกาสที่นักเรียนได้รับรางวัลจากเวทีระดับโลก
ขอแสดงความยินดีกับ นายธนัช ไชยมงคล นักเรียนผู้พัฒนาโครงงาน
จากโรงเรียน โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย “การสังเคราะห์โมเลกุลเซนเซอร์ฐานสารสีย้อมเคอร์คูมินที่สกัดจากขมิ้นชันสำหรับตรวจวัดแอลดีไฮด์สายยาวซึ่งเป็นสารบ่งชี้โรคมะเร็งปอด”ซึ่งได้รับ รางวัล Special Award อันดับที่ 4 จาก American Chemical Societyพร้อมเงินรางวัลจำนวน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ
โดยโครงงานนี้ได้เข้าร่วมการประกวดในงานREGENERON ISEF 2025 (Regeneron International Science and Engineering Fair)จัดโดย Society for Science ระหว่างวันที่ 10–16 พฤษภาคม 2568ณ เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา
รายละเอียดโครงงาน
Project ID: CHEM034หมวดหมู่: Chemistryครูที่ปรึกษา: นายธีรพัฒน์ ขันใจ และ รศ.ดร.บุษยรัตน์ ธรรมพัฒนกิจ
บทคัดย่อ:มะเร็งปอดเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั่วโลก ด้วยอัตราการรอดชีวิตที่ต่ำเนื่องจากการวินิจฉัยที่ล่าช้า งานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนาเซนเซอร์ชนิดใหม่ที่ใช้ เคอร์คูมิน สกัดจากขมิ้นชัน ร่วมกับ หมู่ไฮดราซีน ในการตรวจจับสารระเหยอินทรีย์ชนิด "นอนาแนล (Nonanal; C9)" ซึ่งเป็นสารบ่งชี้ของโรคมะเร็งปอด
โดยโครงสร้างโมเลกุลดังกล่าวแสดงการเปลี่ยนแปลงเชิงแสง (fluorescent) เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีเฉพาะกับแอลดีไฮด์สายยาว เพิ่มความไวและความจำเพาะในการตรวจจับ และเมื่อห่อหุ้มด้วย พอลิเมอร์เอทิลเซลลูโลส (EC) จะเพิ่มประสิทธิภาพในการแยกแยะสารเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ โครงงานยังเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้งานจริง เช่น การพัฒนา แผ่นตรวจแบบกระดาษ ที่มีต้นทุนต่ำ เหมาะสำหรับการใช้งานนอกสถานพยาบาล เพื่อการคัดกรองเบื้องต้นในวงกว้าง
ร่วมติดตามและสนับสนุน
🔬 ชมรายละเอียดโครงงาน: https://isef.net/project/chem034-curcumin-based-fluorescent-sensor-for-aldehyde
🏅 โครงงานนี้ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยจากการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 27 (YSC 2025)
📺 ขอเชิญร่วมรับชมพิธีประกาศรางวัล Grand Awardในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เวลา 20:00 น. (ตามเวลาประเทศไทย)ผ่านช่องทาง YouTube: https://www.youtube.com/watch?v=gBzD_UBnQnw
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ผนึกกำลังร่วมกับ สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรยานยนต์ ดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ให้กับครูในพื้นที่ EEC จำนวน 240 คน
การอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรยานยนต์ ดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์
โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
ระหว่างวันที่ 29 - 30 เมษายน 2568 และวันที่ 1-2 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรม บางแสน เฮอริเทจ ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นครูที่สอนระดับมัธยมศึกษาในพื้นที่ EEC จำนวน 240 คน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชลบุรี ระยอง ได้ดำเนินโครงการความร่วมมือส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้กับโรงเรียนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และมีกำหนดจัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรยานยนต์ ดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างวันที่ 29 - 30 เมษายน 2568 และ 1 - 2 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมบางแสน
เฮอริเทจ จังหวัดชลบุรี ให้แก่ครูระดับมัธยมศึกษาในเขตพื้นที่ EEC เพื่อเพิ่มพูนความรู้ผ่านประสบการณ์จริง จากอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ ที่มีความรู้และประสบการณ์ตรง ในการถ่ายทอดความรู้ ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 และเสริมสร้างสมรรถนะให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ EEC อันจะเป็นแนวทางให้ครูสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นหลักสูตรสถานศึกษาสำหรับสอนนักเรียนต่อไป
ในการจัดการอบรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นประธานกล่าวเปิดการอบรม โดยมีนายวงศกร ประกอบนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และนายจตุพันธ์ รุจิรานุกุล กล่าวรายงาน และนางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่าน
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ฟังบรรยายและทำกิจกรรม ดังนี้
1. ฟังบรรยายเกี่ยวกับความสำคัญของการเตรียมกำลังคน เพื่อรองรับเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ต่อการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เป็นเทคโนโลยีฐานที่สำคัญที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้อย่างกว้างขวาง วิทยากรโดย นายปิยวัฒน์ จอมสถาน วิศวกร จากศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 1 ใน 4 เมืองนวัตกรรมของ EECi, NECTEC สวทช.
2. ฟังบรรยายและแนะนำความรู้เบื้องต้น Intro Autonomous Vehicles เทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติ เป็นยานยนต์สมัยใหม่ที่ใช้ระบบอัจฉริยะหลายแบบเข้าช่วยงาน ได้แก่ เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ (autonomous driving technology) ที่ใช้เซนเซอร์ประกอบกับระบบการคำนวณ เพื่อวางแผนและควบคุมให้ยานยนต์ตอบสนองกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้คนบังคับ ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีบทบาทสำคัญในตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (electric vehicle: EV) ในพื้นที่ EEC
และทำกิจกรรมปฏิบัติการ : สนุกคิดพิชิตยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
- เรียนรู้พื้นฐานการทำงานของระบบอัตโนมัติ ประกอบด้วย ส่วนรับรู้ (sensor)
ส่วนประมวลผล (processor) และส่วนขับเคลื่อน (actuator)
- ทักษะการต่อวงจรไฟฟ้าเบื้องต้น
- ทักษะการประกอบชิ้นงานและการใช้เครื่องมือทางกล
- การใช้การคิดเชิงเหตุผลเพื่อแก้ไขปัญหา
วิทยากรโดย อาจารย์ ดร.ปิติวุฒญ์ ธีรกิตติกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) (นักเรียนทุนโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน JSTP, สวทช. รุ่นที่ 1
3. กิจกรรมสนุกคิดพิชิตปัญญาประดิษฐ์
ช่วงที่ 1 ความหมายของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning) รวมถึง การแยกประเภท (classification)
- พื้นฐานการสอนคอมพิวเตอร์ในการแยกแยะรูปภาพสิ่งต่างๆ
- แนะนำทำความรู้จัก AI แนะนำการทำ classification ด้วย Dichotomous key
และ กิจกรรมกลุ่ม classification
ช่วงที่ 2
- แข่งขันกิจกรรม classification
- แนะนำการทำ Machine learning ด้วย Teachable Machine เป็นเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดย Google AI ซึ่งช่วยให้ครูและนักการศึกษาสามารถสร้างโมเดลการเรียนรู้ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านการเขียนโปรแกรม ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศ การเรียนรู้ที่สนุกสนาน และส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียนในหลายด้าน
วิทยากรโดย อาจารย์ ดร.ปิติวุฒญ์ ธีรกิตติกุล
4. กิจกรรมเชิงปฏิบัติการแบ่งกลุ่มย่อย ตามเขตพื้นที่ ระดมสมองแนวทางออกแบบแผน การสอนรายวิชาเพิ่มเติมหรือการนำกิจกรรมจากหลักสูตรยานยนต์ ดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ ไปปรับใช้กับบริบทของสถานศึกษา
วิทยากรโดย นายบุญลือ คำถวาย ศึกษานิเทศก์ สนง.เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง และ นายกิจจา ตรีสาม ศึกษานิเทศก์ สนง.เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา
หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมคุณครูจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชลบุรี ระยอง จะได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการอบรมไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนของตนเอง ภายใต้การให้คำแนะนำของศึกษานิเทศก์ในเขตของตน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการวางรากฐานทางการศึกษาและพัฒนาด้านกำลังคนให้สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรมประเทศในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
อบรม ด้านจริยธรรมการวิจัย (Research Integrity)
🔊 ขอเชิญเข้าร่วมอบรมสุดพิเศษ! “ด้านจริยธรรมการวิจัย (Research Integrity)” 🎓
💡 โอกาสพิเศษในการเรียนรู้และพัฒนาจริยธรรมการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ!
พบกับวิทยากรชั้นนำ พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการกำกับดูแลจริยธรรมการวิจัย
📅 วันที่ 23 พฤษภาคม 2568
🕣 เวลา 08:30 – 16:00 น.
📍 ห้องประชุมแก้วเจ้าจอม คณะวิทยาการจัดการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยนครพนม
🖥️ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Microsoft Teams)
🎯 หัวข้ออบรมสำคัญ:
✅บทบาทสถาบันในการดูแลจริยธรรมวิจัย
✅แนวทางป้องกันและจัดการการประพฤติผิด
✅มาตรฐานการวิจัยอย่างมีจริยธรรมระดับประเทศ
📜 ผู้เข้าร่วมที่ผ่านเกณฑ์การอบรมจะได้รับ “ประกาศนียบัตรรับรอง”
(ผ่านเกณฑ์แบบทดสอบหลังอบรม ≥ 80%)
🆓อบรมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
📲 ลงทะเบียนด่วน! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด
🚨 ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ฝ่ายพัฒนาคุณภาพและจริยธรรมการวิจัย (QRI) สวทช.
📞 02 564 7000 ต่อ 71844 (คุณณัฐพัชร์) หรือ 71834 (คุณรัตนพรรณ)
📧 QRI@nstda.or.th
อาจารย์ ดร.ศิวกรณ์ ตั้งสกุล (มหาวิทยาลัยนครพนม)
📞 091 063 9498
ปฏิทินกิจกรรม
ขอเชิญร่วม โครงการ After-Licensing Acceleration Program (ALA) 2568 เร่งการเติบโตของธุรกิจที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้พร้อมลุยตลาดอย่างมั่นใจ
🔥 โอกาสทองของผู้ประกอบการไทย ที่ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก สวทช.! เพื่อเร่งการเติบโตของธุรกิจ
ขอเชิญร่วม โครงการ After-Licensing Acceleration Program (ALA) 2568
เร่งการเติบโตของธุรกิจที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้พร้อมลุยตลาดอย่างมั่นใจ 🚀
✨ สมัครวันนี้ แล้วคุณจะได้รับ...
✅ การเร่งการเติบโตของผลิตภัณฑ์ด้วยกลยุทธ์ให้สามารถแข่งขันในตลาด
✅ ลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ด้วยการสนับสนุนครบทุกด้าน
✅ ปิดช่องว่างด้านทักษะ ทั้งนวัตกรรม การบริหาร และการตลาด
✅ เพิ่มศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุน
✅ สร้างเครือข่ายพันธมิตร กับนักวิจัย นักลงทุน และคู่ค้าธุรกิจ
💸 สิทธิประโยชน์!
🔸เงินสนับสนุนการขยายตลาดแบบ Matching Fund สูงสุด 500,000 บาทต่อราย
🔸คำปรึกษาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
🔸อบรมพัฒนาทักษะด้าน Digital Technology
🔸โอกาสเข้าถึงเครือข่ายนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ
📌 คุณสมบัติผู้สมัคร:
เป็นผู้ประกอบการไทย (Startup / SMEs) ที่ได้รับอนุญาตใช้สิทธิจากทรัพย์สินทางปัญญาของ สวทช.
เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม อาหาร เกษตร การแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานพร้อมออกสู่ตลาด
มีระยะเวลาเหลือในสัญญาอนุญาตใช้สิทธิ มากกว่า 1 ปี
พร้อมเข้าร่วมกิจกรรมโครงการตลอดกิจกรรม
🗓️ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – ถึง 16 พฤษภาคม 2568
📩 สมัครเลยที่: https://forms.gle/w86wvnesjRDNL6CQ9
📞 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
โครงการ After-Licensing Acceleration Program (ALA)
ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. (BID)
โทร: 0 2564 7000 ต่อ 71749, 1411
📧 Email: ala@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
ENTEC สวทช. โชว์พลังวิจัยและนวัตกรรม ขับเคลื่อนระบบนิเวศพลังงานไทยที่ยั่งยืน
(14 พฤษภาคม 2568) ณ โถงแถลงข่าว ชั้น Ground อาคารวิจัยโยธี สวทช. ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ: ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในกิจกรรม NSTDA x Press Interviews หัวข้อ ENTEC: พลังวิจัยและนวัตกรรม เพื่ออนาคตพลังงานไทยที่ยั่งยืน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยและนวัตกรรมของศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบนิเวศและนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีพลังงานของประเทศไทย โดยภายในงานมีทีมนักวิจัยเอ็นเทค สวทช. นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีไฮโดรเจน นวัตกรรมโอเลโอเคมีภัณฑ์และเคมีภัณฑ์สีเขียว เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์แสงอาทิตย์ และเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน มาจัดแสดงต่อสื่อมวลชนเพื่อให้เข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของงานวิจัยที่มีความสำคัญต่อการสร้างเสริมระบบนิเวศด้านพลังงานไทย สร้างการยอมรับในมาตรฐานคุณภาพ และผลักดันสู่ความยั่งยืนด้านพลังงานของประเทศ
ENTEC องค์กรวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานชั้นแนวหน้าของประเทศ
ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการเอ็นเทค สวทช. เปิดเผยว่า ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สวทช. มีความสำคัญต่อระบบพลังงานของประเทศไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะภารกิจการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน ซึ่ง เอ็นเทค สวทช. สนับสนุนนโยบายพลังงานโดยดำเนินงานตามแผนบูรณาการพลังงานระยะยาวของประเทศไทย (TIEB) โดยการสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตลอดจนบทบาทในการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านพลังงานไปสู่ภาคอุตสาหกรรม ภาคเอกชน และชุมชน เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์จริง
“เอ็นเทค สวทช. จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ตามมติคณะรัฐมนตรี ในฐานะศูนย์เทคโนโลยีแห่งชาติ ลำดับที่ 5 ภายใต้ สวทช. โดยมีพันธกิจหลักในการเป็นองค์กรผู้นำและศูนย์รวมแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานของประเทศ มุ่งเน้นการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานเพื่อสนับสนุนแผนพลังงานชาติ เป็นกำลังสำคัญในการ 'สร้าง' และ 'เชื่อมโยง' นวัตกรรมพลังงานของประเทศไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เสริมสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเกิดความยั่งยืน”
พลังวิจัยและนวัตกรรม หนุนระบบนิเวศพลังงานสู่การเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน
ผู้อำนวยการเอ็นเทค สวทช. กล่าวต่อว่า ภารกิจหลักด้านการวิจัยของเอ็นเทค สวทช. ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้องแล็บ แต่เป็นการ 'บ่มเพาะ' เทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ ที่จะมาเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่ยั่งยืนและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีผลงานวิจัยที่โดดเด่นหลายด้าน ได้แก่
ด้านเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและการบูรณาการระบบ: เน้นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยเทคโนโลยีการผลิต "ไฮโดรเจนชีวภาพหรือไฮโดรเจนสีเขียว" ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนาและต่อยอดสู่การใช้งานจริงร่วมกับภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและคมนาคมขนส่งให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น แนวทางประเมิน ASEAN Energy Resilience Assessment Guideline และการประเมินโซลาร์ฟาร์มบนระบบขนส่งสาธารณะ
ด้านนวัตกรรมโอเลโอเคมีภัณฑ์และเคมีภัณฑ์สีเขียว: เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน โดยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน ด้วยผลงานอย่าง "Eco-Pest" สารเสริมประสิทธิภาพการเกษตรจากน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ที่ช่วยลดการใช้สารเคมี ปลอดภัยต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรม และ "น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน" ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ ลดการนำเข้าปิโตรเลียม และอยู่ระหว่างการพัฒนาต่อยอดเพื่อประยุกต์ใช้งานที่หลากหลาย
ด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์: สนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง ด้วยนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ "Solar Sure" แพลตฟอร์มตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์หมดอายุ ส่งเสริมการนำกลับมาใช้ใหม่ (Second-life) ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ และจัดการซากอย่างถูกวิธี ซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พิจารณากำหนดมาตรฐาน และ "SEESOLAR" โซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตร ที่ลดรังสี UV-B และความร้อน แต่ยังให้การแผ่รังสีแสงสังเคราะห์ หรือแสง PAR ผ่านได้ดี ช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดีและอาจมีสารสำคัญสูงขึ้น อีกทั้งผลิตไฟฟ้าสำหรับควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือน และเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนพลังงานให้ภาคเกษตรกรรม
ด้านนวัตกรรมห่วงโซ่คุณค่าของแบตเตอรี่: ตอบโจทย์การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ ที่ทำให้ใช้พลังงานได้อย่างเสถียร โดย ENTEC มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแบตเตอรี่แบบครบวงจร ทั้งกระบวนการรีไซเคิล และเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน "Thailand BattSwap" ภายใต้ Thailand Standard Swappable Battery Consortium เพื่อสร้างมาตรฐานกลางของแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้สำหรับ EV ขนาดเล็กทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) และได้ริเริ่มพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีความจุสูง อายุการใช้งานยาวนาน และปลอดภัยสูง โดยใช้วัตถุดิบในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
ดร.สุมิตรา กล่าวทิ้งท้ายว่า ENTEC จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนผลงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้งานจริง สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่ยั่งยืน โดยใช้กลยุทธ์ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เร่งสร้างงานวิจัยให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์และบริการจริง สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อ 'สร้างผลกระทบ' ต่อระบบนิเวศนวัตกรรมพลังงานไทย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างต่อเนื่อง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมนำผลงานวิจัยจัดแสดงในงานสัมมนา “เพิ่มศักยภาพท้องถิ่นเพื่อการขับเคลื่อนอนาคตไทยอย่างยั่งยืน” ณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมจัดแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรม ภายในงานสัมมนา “เพิ่มศักยภาพท้องถิ่นเพื่อการขับเคลื่อนอนาคตไทยอย่างยั่งยืน” ณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งจัดโดยสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 13 – 15 พฤษภาคม 2568 โดยมี ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงาน
การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ สวทช. ได้นำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในระดับท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ
• ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ Nirun จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
• ระบบติดตามสุขภาพ MedLogger และระบบควบคุมการเข้าออก Gate จากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)
• ระบบคัดแยกขยะอัตโนมัติ Lookie Waste ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
• เครื่องมือวัดรอยเท้าทางนิเวศวิทยา (Lifestyle Footprint) เพื่อประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
• แนวคิดการจัดตั้งธนาคารอาหาร (Food Bank) เพื่อการจัดการอาหารส่วนเกินในชุมชน
ทั้งนี้ งานสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนวคิด และนวัตกรรมจากหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคเอกชน ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
โอกาสและความท้าทายในการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตร ด้วยเทคโนโลยี Smart Green House
“โอกาสและความท้าทายในการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตร ด้วยเทคโนโลยี Smart Green House, Plant Factory การพัฒนาพันธุ์พืชผักสมุนไพร และการใช้ชีวภัณฑ์”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) และหน่วยงานพันธมิตร ขอเชิญผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมสัมมนาเพื่อเรียนรู้แนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ (Smart Green House, Plant Factory) ในการยกระดับภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
📅 วันที่จัดงาน
วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2568เวลา 09.30 – 14.00 น.
📍 สถานที่
ห้องประชุม SD-601 อาคารสราญวิทย์ (ชั้น 12)อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
🎯 หัวข้อสำคัญภายในงาน
แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชผักสมุนไพรด้วย Smart Green House
เทคโนโลยี Plant Factory (PFAL) สำหรับผลิตพืชระดับพรีเมี่ยม
การใช้ชีวภัณฑ์เพื่อควบคุมศัตรูพืชอย่างเหมาะสม
การประยุกต์เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำร่วมกับระบบภูมิสารสนเทศ
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการจากกลไกการสนับสนุนของ ITAP
👤 กลุ่มเป้าหมาย
ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรปลอดภัย ผู้รวบรวมผลผลิตเกษตรกลางน้ำ และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหาร เวชสำอาง และยา
📝 การลงทะเบียน
ลงทะเบียนได้ที่ https://www.nstda.or.th/r/zavmH
ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมรับจำนวนจำกัด 50 ท่าน (เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้า)ปิดรับลงทะเบียน: 15 พฤษภาคม 2568
👉 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมคุณเสาวภา ยุววุฑโฒ (โปรแกรม ITAP)📧 sauwapa@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
MU-NSTDA Researcher Visit ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมกิจกรรม MU-NSTDA Researcher Visit ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. ในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 – 16.30 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารใบไม้สามใบ อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
พบกับกิจกรรมดังนี้
✅ แนะนำโครงสร้างพื้นฐาน และห้องปฏิบัติการ ของมหาวิทยาลัยมหิดล
✅ การเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐาน และห้องปฏิบัติการ เช่น ศูนย์อ้างอิงทางพฤกษศาสตร์พืชสมุนไพรและเครื่องยา โครงการจัดตั้งสถาบันอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ ศูนย์เครื่องมือวิจัยเพื่อความเป็นเลิศ (MU-FRF) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์แล ะเร่งสนับสนุน เพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ (MIDAS Center) และศูนย์เครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์ (BART LAB)
✅ กิจกรรมจับคู่ความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน
กลุ่มเป้าหมาย/ผู้เข้าร่วมประชุม
นักวิจัยและบุคลากร สวทช. ที่ต้องการสร้างความร่วมมือวิจัย ขยายเครือข่าย และสร้างผลงานที่มีผลกระทบสูง ร่วมกับ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ผ่าน URL หรือ Scan QR Code
https://forms.gle/Brk1n9jhAbhyKKS8A
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม (RNM)
คุณรัชพล 02-5647000 ต่อ 6445 / ratchapon@nstda.or.th
ดร.สิริกัญจณ์ 02-5647000 ต่อ 6430/ sirikan.nawapan@nstda.or.th
กำหนดการ
กิจกรรม MU-NSTDA Researcher Visit ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3
ภายใต้ MOU โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช.
วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 – 16.30 น.
ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารใบไม้สามใบ อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
เวลา
กิจกรรม
สถานที่
13.00 – 13.20 น.
(20 นาที)
กล่าวต้อนรับและเป้าหมายของความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน
โดย รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัย และพัฒนา
ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารใบไม้สามใบ
13.20 – 14.00 น.
(40 นาที)
กล่าวแนะนำโครงสร้างพื้นฐาน และห้องปฏิบัติการ ของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่เข้าเยี่ยมชม โดย ผู้บริหารหน่วยงาน และศูนย์ฯ หรือผู้แทน
§ นายนวพล อุดพ้วย (หัวหน้างานเครื่องมือกลาง) ศูนย์เครื่องมือวิจัยเพื่อความเป็นเลิศ (Mahidol University Frontier Research Facility : MU ‒ FRF)
§ รศ. ดร.กุลชาติ จังภัทรพงศา หรือผู้แทน
(หัวหน้าศูนย์วิจัยพัฒนานวัตกรรมและชีวการแพทย์สารสนเทศ) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์และเร่งสนับสนุน เพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ (MIDAS Center) คณะเทคนิคการแพทย์
§ ตัวแทน ศูนย์เครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์ (BART LAB) คณะวิศวกรรมศาสตร์
§ รศ. ดร.ณัฏฐนียา โตรักษา (ผู้อำนวยการโครงการจัดตั้งสถาบันอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ)
ศูนย์อ้างอิงทางพฤกษศาสตร์พืชสมุนไพรและเครื่องยา โครงการจัดตั้งสถาบันอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ
ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารใบไม้สามใบ
14.00 – 14.30 น.
(30 นาที)
กิจกรรมแนะนำตนเองเพื่อค้นหาความร่วมมือระหว่างนักวิจัย 2 หน่วยงาน
ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารใบไม้สามใบ
14.30 - 16.30 น.
(2 ชม.)
เยี่ยมชม โครงสร้างพื้นฐาน และห้องปฏิบัติการ มหิดล
(20 - 30 นาที/ห้องปฏิบัติการ)
1. ดร.สุนิสา แสงวิโรจนพัฒน์ (รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย โครงการจัดตั้งสถาบันอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ) ศูนย์อ้างอิงทางพฤกษศาสตร์พืชสมุนไพรและเครื่องยา โครงการจัดตั้งสถาบันอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ
2. นายนวพล อุดพ้วย (หัวหน้างานเครื่องมือกลาง) ศูนย์เครื่องมือวิจัยเพื่อความเป็นเลิศ (Mahidol University Frontier Research Facility : MU ‒ FRF)
3. รศ. ดร.กุลชาติ จังภัทรพงศา หรือผู้แทน (หัวหน้าศูนย์วิจัยพัฒนานวัตกรรมและชีวการแพทย์สารสนเทศ) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์และเร่งสนับสนุน เพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ (MIDAS Center) คณะเทคนิคการแพทย์
4. ศูนย์เครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์ (BART LAB) คณะวิศวกรรมศาสตร์
-
16.30 น.
ปิดกิจกรรม
ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารใบไม้สามใบ
หมายเหตุ กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
ปฏิทินกิจกรรม
ส่งแรงใจเชียร์ ! นักวิทย์รุ่นเยาว์ YSC แข่งขันวิทยาศาสตร์ ‘เวทีระดับโลก’
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) แถลงข่าวความร่วมมือในการสนับสนุนเยาวชนไทยภายใต้ โครงการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC ) ไปเข้าร่วมการแข่งขันการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับนานาชาติ 3 เวทีชั้นนำของโลก
.
โดยในปีนี้มี 6 ทีมเยาวชนไทยจากโครงการ YSC2025 ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปเข้าร่วมการแข่งขัน Regeneron ISEF 2025 ณ เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 10-16 พ.ค.นี้
.
และอีก 1 ทีมเยาวชนไทยจาก YSC2025 ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปเข้าร่วมการแข่งขัน Genius Olympiad 2025 ณ Rochester Institute of Technology (RIT) เมืองโรเชสเตอร์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 9-13 มิ.ย.นี้
.
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวเยาวชนไทยจากโครงการ YSC2024 ที่ไปคว้ารางวัลบนเวที Inventions Geneva ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือน เม.ย.2568 ซึ่งมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การไปแข่งขันวิทยาศาาตร์ระดับโลก
.
-----------------
ทั้งนี้ การแข่งขัน Regeneron ISEF 2025 จะมีการประกาศผลรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม นี้
.
โดยจะประกาศผลรางวัล Special Awards Ceremony เวลาประเทศไทย 06:00 น. ร่วมลุ้นร่วมเชียร์ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=8qV1oO1i8UA
.
และประกาศผลรางวัล Grand Awards Ceremony เวลาประเทศไทย 20.00 น. ร่วมลุ้นร่วมเชียร์ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=gBzD_UBnQnw
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
‘UNAi (อยู่ไหน)’ เทคโนโลยีระบุตำแหน่งภายในอาคาร สนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบไม่ต้องลงทุนสูง
รู้หรือไม่ ! แค่โรงงานเพิ่มอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) เป็นตัวช่วยติดตามตำแหน่งสินค้าและบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบแบบอัตโนมัติ ก็จะช่วยลดเวลาการทำงานและลดข้อผิดพลาดจากการจดบันทึกได้อย่างมาก ซึ่งนั่นหมายถึงการลดต้นทุนการผลิตในภาพรวมด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา UNAi (อยู่ไหน) เทคโนโลยีระบุตำแหน่งวัตถุหรือคนภายในอาคาร เพื่อติดตามและบันทึกตำแหน่งแบบเรียลไทม์ โดยการวิจัยและพัฒนาได้รับการสนับสนุนด้านการขยายผลจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)
ของอยู่ไหน ? ให้ UNAi ช่วยระบุตำแหน่งให้คุณ
[caption id="attachment_68670" align="aligncenter" width="750"] เกรียงไกร มณีรัตน์, ทวีศักดิ์ สรรเพชุดา, จุฑาทิพย์ วิศาลมงคล, ละออ โควาวิสารัช และจารุวลี สุวัตถิกุล ทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.ละออ โควาวิสารัช นักวิจัยทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ เนคเทค สวทช. อธิบายว่า UNAi เป็นเทคโนโลยีระบุตำแหน่ง (Real-Time Location System: RTLS) วัตถุหรือคนภายในอาคารแบบแม่นยำสูง โดย UNAi ประกอบด้วยอุปกรณ์ 2 ส่วน คือ Tag (แท็ก) อุปกรณ์สำหรับติดที่สิ่งของหรือคนเพื่อติดตามตำแหน่ง และ Anchor (แองเคอร์) อุปกรณ์สำหรับรับสัญญาณตำแหน่งจาก Tag แล้วส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์ (cloud) ไปประมวลผลและแสดงผลผ่านซอฟต์แวร์ UNAi โดยผู้ใช้งานจะเห็นตำแหน่งสิ่งที่ติดตามปรากฏบนแผนผังอาคารนั้น ๆ
“ทีมวิจัยได้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับติดตามไว้สองรูปแบบ เทคโนโลยีแรก คือ Received Signal Strength Indicator (RSSI) ที่ใช้สัญญาณบลูทูท (Bluetooth Low Energy: BLE) ในการส่งสัญญาณจาก Tag เพื่อระบุตำแหน่ง โดยรูปแบบนี้จะมีอัตราการคลาดเคลื่อนไม่เกิน 2-4.5 เมตร อีกระบบคือ Time Difference of Arrival (TDoA) ที่ใช้สัญญาณอัลตราไวด์แบนด์ (Ultra-Wideband: UWB) ที่มีความแม่นยำสูงและมีโอกาสโดนรบกวนสัญญาณต่ำในการระบุตำแหน่ง ทำให้ระบุได้แม่นยำ มีอัตราการคลาดเคลื่อนลดลงเหลือหลักเซนติเมตร อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้มีราคาที่สูงกว่า ดังนั้นผู้ประกอบการควรเลือกใช้งานอย่างเหมาะสม โดยอาจปรึกษา System Integrator (SI) ของโรงงาน”
[caption id="attachment_68674" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์ Anchor และ Tag[/caption]
แม้เทคโนโลยี RTLS จะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ เพราะใช้งานแพร่หลายในต่างประเทศแล้ว แต่โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังใช้เทคโนโลยีประเภทนี้ไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจากผู้ประกอบการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี นอกจากนี้ประเทศไทยต้องนำเข้าเทคโนโลยีประเภทนี้จากต่างประเทศ ส่งผลให้ค่าอุปกรณ์และซอฟต์แวร์มีราคาสูง อีกทั้งการปรับแต่งอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละโรงงานที่มีความต้องการแตกต่างกันก็ทำได้ยาก บางกรณีอาจปรับแต่งไม่ได้เลย
ดร.ละออ อธิบายถึงประเด็นดังกล่าวว่า UNAi จะช่วยแก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากทีมวิจัยเนคเทค สวทช. จะพร้อมให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับแต่งอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ UNAi ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ประกอบการที่มีความต้องการแตกต่างกันแล้ว ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) โดยเนคเทค สวทช. ยังพร้อมให้คำปรึกษาด้านการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และช่วยแนะนำ SI ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสอดคล้องกับที่โรงงานต้องการด้วย
“ผู้ประกอบการไม่ต้องกังวลเรื่องความยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี นอกจากนี้ UNAi พัฒนาโดยนักวิจัยไทยและผลิตได้เองภายในประเทศ ทำให้อุปกรณ์นี้มีราคาถูกกว่าสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ”
4 ตัวอย่างความสำเร็จ ใช้เทคโนโลยี UNAi
ดร.ละออ เล่าว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ขยายผลการทำวิจัยโดยนำ UNAi ไปทดสอบใช้งานจริงภายในโรงงานของภาคเอกชนไทย 13 แห่ง ตัวอย่างเช่น การใช้ติดตามตำแหน่งของ ฐานรองสินค้า (pallet) ว่า ณ ขณะนั้นแต่ละอันตั้งอยู่ที่โซนจัดเก็บสินค้าโซนไหน และอยู่บนชั้นวางสินค้าใด โดยทีมวิจัยได้ออกแบบแนวทางการใช้งานให้เป็นการติดตามจากการเคลื่อนที่ของรถฟอร์กลิฟต์ (forklift) ที่ติด Tag ไว้ แทนการติดตามฐานรองสินค้าแต่ละอันโดยตรงเพื่อลดจำนวนการใช้ Tag และลดงบประมาณในการปรับเปลี่ยนจากคลังสินค้าทั่วไปสู่คลังแบบสมาร์ต
“การทำงานมี 3 ขั้นตอนหลัก ขั้นตอนแรกคนงานจะยิงบาร์โค้ดของฐานรองสินค้าที่ต้องการเคลื่อนย้ายเพื่อให้ระบบทราบว่ากำลังจะใช้รถฟอร์กลิฟต์เคลื่อนย้ายฐานรองสินค้ารหัสอะไร ตำแหน่งเริ่มต้นเคลื่อนย้ายอยู่ที่ตำแหน่งไหน และจะเริ่มต้นเคลื่อนย้ายเวลาใด ขั้นตอนที่สองคนงานจะขับรถฟอร์กลิฟต์ไปยังจุดหมาย โดยระบบจะติดตามตำแหน่งของฐานรองสินค้าจากการเคลื่อนที่ของรถฟอร์กลิฟต์ ขั้นตอนที่สามเมื่อคนงานขับรถไปถึงจุดหมาย และใช้รถยกฐานรองสินค้าขึ้นจัดเก็บบนชั้นเรียบร้อยแล้ว คนงานจะยิงบาร์โค้ดของช่องจัดเก็บสินค้าเพื่อระบุตำแหน่งปลายทางที่ชัดเจน เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นงาน ผู้จัดการและวิศวกรโรงงานจะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน ตั้งแต่ตำแหน่งที่เริ่มเคลื่อนย้าย เส้นทางการเคลื่อนย้าย ตำแหน่งที่จัดเก็บ และเวลารวมที่ใช้ในการขนย้ายสินค้าเข้าจัดเก็บ
“การที่คนงานไม่ต้องเป็นผู้บันทึกข้อมูลลงบนกระดาษหรือนำข้อมูลเข้าสู่ระบบด้วยตัวเอง ช่วยลดทั้งเวลาและโอกาสความผิดพลาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ผู้ควบคุมคลังสินค้ายังนำข้อมูลที่บันทึกไว้มาออกแบบตำแหน่งการจัดเก็บสินค้าและเส้นทางการขับรถเพื่อประหยัดเวลาและพลังงานได้อีกด้วย”
อีกตัวอย่างการใช้ UNAi ภายในโรงงาน คือ การใช้ติดตาม AGV (Automated Guided Vehicle) หรือยานพาหนะเคลื่อนที่อัตโนมัติที่ใช้ขนส่งวัตถุดิบและส่วนประกอบ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการพบปัญหาว่าบางครั้ง AGV แบตเตอรี่หมดขณะที่ยังปฏิบัติภารกิจขนส่งไม่สำเร็จ ก่อให้เกิดปัญหาสายการผลิตหยุดชะงัก และคนงานต้องเสียเวลาตามหารถ AGV ว่าอยู่ที่ตำแหน่งไหนของโรงงาน
“ทีมวิจัยจึงได้นำระบบ UNAi ไปใช้ติดตามตำแหน่ง AGV โดยเพิ่มคุณสมบัติติดตามข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นเข้าไปด้วย เช่น ปริมาณแบตเตอรี่คงเหลือ อุณหภูมิของ AGV เพื่อให้ผู้จัดการและวิศวกรโรงงานนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทั้งการออกแบบเส้นทาง การวางแผนชาร์จแบตเตอรี่ รวมถึงการวางแผนซ่อมบำรุงล่วงหน้าจากการทราบแนวโน้มความผิดปกติของ AGV ที่ตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะส่งผลดีทั้งการประหยัดเวลา พลังงาน และค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง”
นอกจาก UNAi จะเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการก้าวกระโดดจากอุตสาหกรรมระดับ 2-3 สู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้ง่ายขึ้นแล้ว เทคโนโลยี UNAi ยังเหมาะแก่การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วย
ดร.ละออ เล่าว่า อีกสองตัวอย่างของการใช้ UNAi ที่ผ่านการทดสอบใช้งานจริงและประสบความสำเร็จอย่างดี คือ การใช้ติดตามตำแหน่งรถเข็นในโรงพยาบาลเพื่อรวบรวมกลับมายังจุดเก็บรถเข็น ทำให้รถเข็นอยู่ในตำแหน่งที่บุคลากรทางการแพทย์พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และอีกตัวอย่างคือการใช้ติดตามตำแหน่งผู้เข้าแข่งขันเพนต์บอล (paintball) โดยทีมงานจะติด Tag ของ UNAi ไว้ที่หมวกของผู้เล่นทั้งสองฝ่ายเพื่อระบุตำแหน่งผู้เล่น ทำให้ผู้บรรยายเห็นตำแหน่งของผู้เล่นทั้งสนามชัดเจนและบรรยายการแข่งขันได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้โคชยังใช้เป็นข้อมูลเพื่อวางแผนปรับปรุงการเล่นครั้งต่อ ๆ ไปให้แก่สมาชิกในทีมได้อีกด้วย
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า UNAi เป็นเทคโนโลยีระบุตำแหน่งที่ประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย ไม่จำกัดอยู่เพียงโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น ทีมวิจัยจึงมีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเทคโนโลยีนี้จะมีส่วนสนับสนุนให้แต่ละอุตสาหกรรมของประเทศไทยเข้าถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปปรับใช้เพื่อลดภาระงาน ค่าใช้จ่าย และเพิ่มผลประกอบการในระยะยาวได้
ส่วนในอนาคตอันใกล้อีก 1-2 ปีข้างหน้า ทีมวิจัยเผยว่าคนไทยอาจได้ใช้เทคโนโลยี UNAi ที่ฉลาดยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยใช้ติดตามสิ่งของหรือคนทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างแม่นยำด้วยอุปกรณ์เดียว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา และการสรรหาแหล่งเงินทุนเพิ่ม
ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ UNAi แล้ว ผู้ประกอบการที่สนใจขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ UNAi@nstda.or.th และผู้ประกอบการที่ต้องการนำอุปกรณ์ UNAi ไปติดตั้งใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าติดต่อสอบถามเพื่อรับการสนับสนุนได้ผ่านโครงการ IDA Platform (Industrial IoT and Data Analytics Platform) ที่เว็บไซต์ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์, เนคเทค สวทช. และภาพจาก Adobe Stock และ Shutter Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
คณะผู้บริหาร สวทช. เข้าเยี่ยมคารวะท่านกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต หารือความร่วมมือ วทน. ระหว่างไทยและเยอรมนี
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้นำคณะผู้บริหาร สวทช. ประกอบด้วย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. รองศาสตราจารย์ ดร. เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ และ ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เข้าเยี่ยมคารวะ นายณัฐพงศ์ ลัทธพิพัฒน์ กงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในโอกาสที่คณะผู้บริหาร สวทช. เดินทางเยือนกระชับความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการและหารือความร่วมมือกับ Institute for Bio- and Geosciences (Plant Science), Forschungszentrum Julich (FZJ) และสถาบันวิจัยในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ในการเยี่ยมคารวะ กงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลความร่วมมือระหว่างไทยและหน่วยงานในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งนอกจากความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ FZJ ที่ได้ร่วมมือกันมามากกว่า 10 ปีแล้ว สวทช. ได้แสดงความสนใจในการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำของเยอรมนี เช่น Fraunhofer-Gesellschaft และ Max Planck Institutes โดย สวทช. ได้ขอความอนุเคราะห์กงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต เป็นสะพานเชื่อมสำคัญในการริเริ่มความร่วมมือกับทั้งสองหน่วยงานเพื่อสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) โดยเฉพาะการถอดบทเรียนของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีที่สามารถนำ วทน. มาพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดสภาวะโลกร้อน การลดการผลิตคาร์บอน การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เป็นต้น
นอกจากนี้ กงสุลใหญ่ฯ และ สวทช. ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดการพัฒนาและสนับสนุนสะเต็มศึกษา (STEM Education) เนื่องจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีมีความเชี่ยวชาญในวางระบบการศึกษาที่ครอบคลุมทุกมิติ พัฒนาบุคลากรได้ตามความถนัดและความสามารถในการเรียนรู้แบบรายบุคคลเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดได้อย่างครอบคลุมทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย จนถึงสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาบุคลากรให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี และนวัตกรชั้นแนวหน้าของประเทศ ซึ่งประเทศไทยสามารถนำแนวคิดในการดำเนินงานมาใช้ในการพัฒนาและสร้างหลักสูตรหรือวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะกับบริบทของประเทศไทยเพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคลากรรุ่นใหม่ของประเทศต่อไปในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


