ผลการค้นหา :
ขอเชิญร่วมประกวดภาพยนตร์สั้น 🎞 “POPs-FREE LIVING: พ็อปจ๋า…ลาก่อน”
ขอเชิญร่วมประกวดภาพยนตร์สั้น 🎞 “POPs-FREE LIVING: พ็อปจ๋า...ลาก่อน” 📽
แค่เล่าเรื่องในแบบของคุณ ผ่านหนังสั้นความยาวไม่เกิน 2 นาที
หัวข้อ: 📌“ขอให้ชีวิตนี้ไม่มีเธอ (สารพ็อป - POPs)”
-----------------------
🥇ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 150,000 บาท
เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2568
-----------------------
ใครส่งได้บ้าง?
🎓นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทั่วประเทศ
-----------------------
📌ส่งผลงานได้ที่:
Email: POPs.contest@mtec.or.th
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://bit.ly/45gAE9j
หรือ scan QR Code ในโปสเตอร์
-----------------------
🎥 Your Story Matters!
ร่วมสร้างสรรค์สังคมปลอดภัยจากสารพิษตกค้างที่อยู่ได้นาน (POPs)
แล้วเจอกันในเวทีคนรุ่นใหม่หัวใจรักษ์โลก
#POPs #POPsFREELIVING #MTEC #NSTDA #สารพ็อป #POPscontest
ปฏิทินกิจกรรม
ไวรัสเอ็นพีวี (NPV) ตัวช่วยฝ่าวิกฤตหนอนดอกดาวเรือง
‘ดาวเรือง’ เป็นไม้ดอกสีเหลืองที่เติบโตได้ดีในทุกภูมิภาคของประเทศ และปลูกหมุนเวียนได้ทุกฤดูกาล อีกทั้งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้เฉลี่ยมากกว่า 100,000 บาทต่อไร่ต่อรอบ ยิ่งช่วงเข้าพรรษาและวันพระใหญ่ ตลาดจะยิ่งมีความต้องการสูง (ฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกร ปี 2563) ทว่าช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรกลับต้องเผชิญปัญหาศัตรูพืชอย่างหนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนกระทู้ผักดื้อยาอย่างหนัก จนผลผลิตเสียหายกว่าร้อยละ 60 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และโอกาสทางธุรกิจ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำสารชีวภัณฑ์ ‘ไวรัสเอ็นพีวี (Nucleopolyhedrovirus: NPV)’ ไวรัสก่อโรคในแมลงช่วยปราบศัตรูพืชแบบอยู่หมัด และเป็นแนวทางลดการใช้สารเคมีอย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_69310" align="aligncenter" width="750"] สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า NPV คือ ไวรัสก่อโรคในแมลงที่มีความจำเพาะกับหนอนของแมลง ประกอบด้วยไวรัสเอ็นพีวีสำหรับกำจัดหนอนกระทู้หอม (SpexNPV) หนอนเจาะสมอฝ้าย (HearNPV) และหนอนกระทู้ผัก (SpltNPV) ซึ่งหนอนทั้ง 3 ชนิด เป็นศัตรูพืชหลักของพืชเศรษฐกิจไทย เช่น หอมแดง หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง ผักตระกูลสลัด ผักตระกูลกะหล่ำ ส้ม องุ่น กุหลาบ กล้วยไม้ รวมถึงดาวเรือง
“เมื่อหนอนกินไวรัสที่ฉีดพ่นไว้ที่พืช จะเกิดอาการป่วยบริเวณกระเพาะอาหาร (สังเกตได้จากสีตัวที่เปลี่ยนแปลงไป) ทำให้กินอาหารน้อยลง และตายใน 5-7 วัน โดยไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ที่จำเพาะกับชนิดพันธุ์ของหนอนจึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาไบโอเทคและหน่วยงานพันธมิตรพัฒนากระบวนการผลิต NPV จนพร้อมผลิตในระดับอุตสาหกรรม และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด และบริษัทบีไบโอ จำกัด”
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาทีมวิจัยได้นำ NPV ไปช่วยเหลือเกษตรกรฝ่าฟันวิกฤตหนอนดื้อยามาแล้วหลายครั้ง หนึ่งในผลงานเด่น คือ ‘กล้วยไม้’ พืชเศรษฐกิจสำคัญที่เกษตรกรได้รับผลกระทบหนักจนแทบล้มละลาย และล่าสุดปีที่ผ่านมา ทีมวิจัยได้นำองค์ความรู้ที่สั่งสมไปช่วยผู้ประกอบการสวน ‘ดอกดาวเรือง’ กอบกู้สถานการณ์ที่กำลังวิกฤต
[caption id="attachment_69306" align="aligncenter" width="750"] ดอกดาวเรืองที่โดนหนอนกัดกินจนเสียหาย[/caption]
สัมฤทธิ์ เล่าว่า ในปี 2567 ได้รับการติดต่อจากคุณสมศักดิ์ วันแก้ว ผู้ประกอบการสวนดาวเรืองที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 20 ปี แต่ช่วง 2-3 ปีหลังกลับต้องเผชิญปัญหาหนอนดื้อยาหนัก จนผลผลิตเสียหายกว่าร้อยละ 60 แม้ตอนนั้นจะใช้สารเคมีที่มีความรุนแรงและมีประสิทธิภาพสูงในการปราบศัตรูพืชแล้วก็ยังไม่ได้ผล ทำให้ต้องเร่งหาสารประเภทอื่นมาใช้แทน เพื่อยับยั้งการลุกลามให้ทันท่วงที
“หลังจากได้รับการติดต่อ ทีมวิจัยได้พูดคุยเพื่อให้ข้อมูลที่สำคัญแก่ผู้ประกอบการ ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับ NPV กลไกการออกฤทธิ์ และวิธีการใช้งานสารชีวภัณฑ์ในปริมาณที่เหมาะสมตามระดับความรุนแรงของการระบาด รวมถึงการลดปริมาณการใช้สารตามลำดับเมื่อควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว”
[caption id="attachment_69304" align="aligncenter" width="750"] หนอนกระทู้หอม[/caption]
[caption id="attachment_69305" align="aligncenter" width="750"] หนอนเจาะสมอฝ้าย[/caption]
ทั้งนี้ หลังจากผู้ประกอบการใช้ไวรัส NPV เพียง 2 สัปดาห์ ก็พบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับหนอนศัตรูพืชอย่างน่าอัศจรรย์
“ปริมาณหนอนลดลงต่อเนื่อง และดอกดาวเรืองมีคุณภาพมากขึ้น” สัมฤทธิ์เล่าถึงเสียงปลายสายของคุณสมศักดิ์ที่โทรมาแจ้งด้วยความดีใจ พร้อมเสริมว่า การใช้ไวรัส NPV ไม่เพียงช่วยลดการระบาดของหนอนได้อย่างชัดเจน แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการปราบแมลงศัตรูพืชด้วย
“ช่วงระบาดรุนแรง ผู้ประกอบการต้องใช้สารเคมีอันตรายฉีดพ่นทุก 5-10 วัน แต่ละครั้งมีค่าสารเคมีต่อไร่สูงถึง 240 บาท แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ NPV แม้ช่วงเริ่มต้นจะต้องฉีดจำนวนครั้งมากกว่า ฉีดแบบวันเว้นวัน ทำให้มีต้นทุนสูง (160 บาท/ครั้ง/ไร่ — 20 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร) แต่หากพิจารณาในภาพรวมจะพบว่า ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากว่ามาก เพราะจำนวนหนอนลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วง 2 สัปดาห์แรก ทำให้ได้ผลผลิตดอกดาวเรืองที่มีคุณภาพเหมาะแก่การตัดจำหน่ายมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อผ่านช่วงระบาดรุนแรงมากมาแล้ว ก็เหลือแค่การฉีดพ่นเพื่อควบคุมความเสี่ยงการระบาดซ้ำ โดยฉีดพ่นทุก 7-10 วัน (5 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร) ซึ่งมีราคาต่อครั้งต่อไร่เพียง 40 บาทเท่านั้น”
[caption id="attachment_69307" align="aligncenter" width="750"] หนอนเจาะกระทู้หอมที่ตายแล้วหลังจากกินไวรัส NPV[/caption]
ปัจจุบันการใช้ NPV ปราบหนอนศัตรูพืช เริ่มเป็นที่รู้จักในผู้ผลิตดอกดาวเรืองมากขึ้น หากผู้ประกอบการและเกษตรกรหันมาใช้ NPV หรือชีวภัณฑ์ชนิดอื่น ๆ ทดแทนการใช้สารเคมีอันตราย ก็จะยิ่งส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมนี้
สัมฤทธิ์ เล่าทิ้งท้ายว่า การใช้ชีวภัณฑ์แทนสารเคมีอันตราย จะช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงในแปลงเพาะปลูก ทั้งต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ทำให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัย เปิดทางสู่การต่อยอดตลาดสุขภาพ และผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูง ถือเป็นการยกระดับคุณภาพและความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิต
สำหรับผู้ที่สนใจใช้งานผลิตภัณฑ์ NPV หรือขอรับบริการด้านการวิจัย ติดต่อสอบถามได้ที่ คุณสัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3781 หรืออีเมล samrit@biotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ ไบโอเทค สวทช. และจาก Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
อัปเกรดธุรกิจสู่ยุค 4.0 ฟรี! รับสิทธิพิเศษจาก BOI ภาษี 0% นาน 3 ปี
✨อัปเกรดธุรกิจสู่ยุค 4.0 ฟรี! รับสิทธิพิเศษจาก BOI ภาษี 0% นาน 3 ปี✨
🚀โอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการก้าวสู่ "อุตสาหกรรมอัจฉริยะ"
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ชวนคุณยกระดับธุรกิจด้วย สิทธิประโยชน์สุดพิเศษ จาก BOI:
✅ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
✅ คุ้มครองค่าใช้จ่าย 100% ของการลงทุนเครื่องจักรและเทคโนโลยี
💡เหมาะสำหรับ..
✅ ผู้ประกอบการทุกอุตสาหกรรมที่ต้องการ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
✅ ธุรกิจที่สนใจลงทุนใน:
🔹 ระบบอัตโนมัติและ IoT (เครื่องจักรอัจฉริยะ)
🔹 ระบบวิเคราะห์ข้อมูล (ตัดสินใจธุรกิจด้วยข้อมูลจริง)
🔹 เทคโนโลยีดิจิทัล (บริหารจัดการแบบไร้กระดาษ)
🌐 ศึกษาสิทธิประโยชน์ : https://www.nstda.or.th/i4platform/nstda-boi
📌วิธีสมัครง่ายนิดเดียว:
📞 ติดต่อด่วน: ☎️ 02-564-7000 คุณวลัยรัตน์ (1368), คุณชนากานต์ (1381)
📧 walairat@nstda.or.th, chanaghan@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ชู Smart Technology องค์ความรู้พัฒนาพันธุ์พืชผักสมุนไพร-ชีวภัณฑ์ ยกระดับการเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน
ปทุมธานี 20 พฤษภาคม 2568 - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) จัดสัมมนา “โอกาสและความท้ายในการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตร ด้วยเทคโนโลยี Smart Green House, Plant Factory การพัฒนาพันธุ์พืชผักสมุนไพร และการใช้ชีวภัณฑ์” เพื่อนำเสนอองค์ความรู้และผลงานวิจัยของ สวทช. ไปสู่การประยุกต์ใช้จริงในภาคอุตสาหกรรมเกษตร ประกอบด้วย เทคโนโลยี Smart Green House (โรงเรือนอัจฉริยะ) Plant Factory (โรงงานผลิตพืช) การพัฒนาพันธุ์พืชผักสมุนไพร และการใช้ชีวภัณฑ์ ซึ่งล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร เพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเกษตรได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปต่อยอดและประยุกต์ใช้ในการพัฒนาธุรกิจเกษตรปลอดภัยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายอภิรักษ์ วิเศษศรีพงษ์ ผู้จัดการงานอุตสาหกรรมวัสดุก้าวหน้า โปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจด้านเกษตรในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายโดยตรงจากผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การลดลงอย่างรวดเร็วของทรัพยากรธรรมชาติ การขาดแคลนน้ำและพื้นที่เพาะปลูก รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดบ่อยครั้ง ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิต ขีดความสามารถในการแข่งขัน และความมั่นคงในรายได้ของเกษตรกรไทย เครื่องมือหนึ่งที่สำคัญจะนำมาใช้ในการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายดังกล่าว คือ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการเกษตรปลอดภัย ควรได้รับความรู้และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำเกษตรแบบเดิม สู่การทำเกษตรมูลค่าสูง โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ เช่น เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) และเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความยั่งยืนในการผลิต
ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร BIOTEC สวทช. กล่าวว่า การเพิ่มศักยภาพในการผลิตพืชผัก สมุนไพร ด้วยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ เช่น โรงเรือนอัจฉริยะ และโรงงานผลิตพืช สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาในการผลิตพืชผักสมุนไพร และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เช่น การควบคุมการผลิตสาระสำคัญ ความแม่นยำในการจัดการการผลิต และการลดต้นทุน เป็นการเกษตรแบบแม่นยำที่ได้คุณภาพและผลผลิตที่ยั่งยืนได้ สามารถช่วยยกระดับการผลิตพืชผักสมุนไพรของไทยเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและแข่งขันได้
ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร BIOTEC สวทช. ได้ให้ข้อมูลถึงการผลิตพืชผักสมุนไพรพรีเมียม ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและเทคนิคการผลิตพืชใน Plant Factory (PEAL) หรือโรงเรือน Green House ว่า พืชผักสมุนไพรพรีเมียม ควรมีคุณลักษณะต่อไปนี้ ได้แก่ ความสะอาดปราศจากสิ่งเจือปนที่เป็นอันตราย เช่น โลหะหนัก จุลินทรีย์ก่อโรค และสารเคมีอันตราย ความมีสารสำคัญที่ต้องการที่สม่ำเสมอและตรวจสอบได้ ความมีโภชนาการเชิงหน้าที่ (functional nutrition) ตลอดจนผ่านมาตรฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ด้าน ดร.บุญเฮียง พรมดอนกอย นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ BIOTEC สวทช. ได้ให้ข้อมูลถึงการผลิตและการใช้ชีวภัณฑ์ในการกำจัดศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นที่ชีวภัณฑ์ที่ทำจากจุลินทรีย์ ได้แก่ แบคทีเรียบีที (Bacillus thuringiensis) ซึ่งจะสร้างโปรตีนผลึกที่เป็นพิษต่อแมลงเมื่อแมลงกินเข้าไป มีหลากหลายสายพันธุ์ที่ออกฤทธิ์ต่อแมลงต่างชนิดกัน รวมถึง ไวรัสเอ็นพีวี (NPV) เป็นไวรัสที่ก่อโรคในแมลงและมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายแมลงศัตรูพืชโดยการกิน และเชื้อรากำจัดแมลง เช่น ราขาวบิวเวอเรีย ราเขียวเมตาไรเซียม และราเพอพิวริโอซิเลี่ยม ซึ่งจะเข้าสู่ตัวแมลงโดยการสัมผัสและงอกเข้าไป
และ ดร.โอภาส ตรีทวีศักดิ์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล NECTEC สวทช. ได้ให้ข้อมูลถึงการใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์และดาวเทียมเพื่อการจัดการแปลงเกษตรแบบ “ไวมาก” (WiMaRC) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีไร้สายเพื่อติดตามสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อการทำการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูกแบบเรียลไทม์ เพื่อให้เกษตรกรสามารถตรวจสอบข้อมูล วางแผนการเพาะปลูก และสั่งการทำงานอุปกรณ์ IoT ในพื้นที่ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมได้ง่าย ๆ จากทุกที่ ทุกเวลา ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน
เหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนขององค์ความรู้และผลงานวิจัยของ สวทช. ที่พร้อมประยุกต์ใช้จริงในภาคอุตสาหกรรมเกษตร เพื่อพัฒนาธุรกิจเกษตรให้ปลอดภัย แม่นยำ และยั่งยืน ทั้งในด้านพันธุ์พืชผักสมุนไพรที่ให้ผลผลิตและสารสำคัญสูง ระบบการผลิตพืชผักสมุนไพรด้วยเทคนิคการผลิตพืชในโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) หรือโรงเรือนอัจฉริยะ (Smart Greenhouse) ที่มีประสิทธิภาพ และการใช้ชีวภัณฑ์เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช รวมถึงสิทธิประโยชน์และการสนับสนุนผู้ประกอบการเกษตรปลอดภัย ด้วยกลไก ITAP ติดต่อสอบถามและสนใจเข้าร่วมโครงการกับโปรแกรม ITAP ได้ที่เบอร์ 02 5647000 ต่อ ITAP (คุณเสาวภา) และอีเมล sauwapa@nstda.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมปลูกต้นไม้ เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ ประจำปี 2568
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ได้จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ ประจำปี 2568 ณ บริเวณหน้าอาคาร PTEC ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยมี ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหาร และ ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านบริหารทั่วไป พร้อมด้วยพนักงาน สวทช. เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง
กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการปลูกต้นไม้และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงเพื่อสร้างจิตสำนึกในความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานที่ทำงาน และส่งต่อแนวคิดการดูแลรักษาธรรมชาติให้ยั่งยืน
นอกจากนี้ กิจกรรมดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายของ สวทช. ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมไทย
ขอขอบคุณ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ "ปลูกธรรมชาติ ปลูกความงดงาม" ให้เติบโตเคียงข้างกับองค์กรของเรา และเชื่อมั่นว่าเมื่อธรรมชาติเจริญงอกงามขึ้นในวันข้างหน้า จะกลับมาดูแลและเกื้อหนุนเราทุกคนอย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ENTEC สวทช. โชว์พลังวิจัยและนวัตกรรม เพื่ออนาคตพลังงานไทยที่ยั่งยืน
สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) โชว์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านพลังงาน ผ่านกิจกรรม NSTDA x Press Interviews ภายใต้หัวข้อ ENTEC : พลังวิจัยและนวัตกรรม เพื่ออนาคตพลังงานไทยที่ยั่งยืน โดยเปิดให้สื่อมวลชนได้พบปะพูดคุยกับ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เอ็นเทค สวทช. ที่มาเล่าถึงวิสัยทัศน์และข้อมูลงานวิจัยด้านพลังงาน พร้อมยกทัพนักวิจัยจากศูนย์เอ็นเทค สวทช. มานำเสนอผลงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานแห่งอนาคตในด้านต่าง ๆ พร้อมขับเคลื่อนระบบนิเวศเทคโนโลยีพลังงานของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สกมช. ชวนผู้ประกอบการไซเบอร์ไทย ร่วมขับเคลื่อนธุรกิจไซเบอร์ มุ่งสู่การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน
สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กำลังดำเนินการรวบรวมข้อมูลผู้ประกอบการไทยด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับ Startup ขึ้นไป เพื่อปรับปรุงฐานข้อมูลให้มีความครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน
ขอเชิญชวนผู้ประกอบการทุกท่าน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาธุรกิจไซเบอร์ของประเทศไทย โดยการบันทึกข้อมูลของท่านผ่านทาง: https://forms.gle/Dntc2mLUv8FVPfVs5
การรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประชาสัมพันธ์ศักยภาพของผู้ประกอบการไทยทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ อันจะเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำไปใช้สำหรับการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกันจากต่างประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีไซเบอร์ได้อย่างยั่งยืน
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่มั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศไทยไปด้วยกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม
โทรศัพท์: 0 2502 7823
Email: cyber.certify@ncsa.or.th
ข่าว
ข่าวหน่วยงานภายนอก
สุดยอดเยาวชนไทย! กวาด 11 รางวัล บนเวที REGENERON ISEF 2025 ที่สหรัฐอเมริกา รร.ปรินส์รอยแยลส์ฯ คว้าอันดับ 1 โชว์ศักยภาพเด็กไทยเก่ง สร้างชื่อเสียงระดับโลก
เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2568 ที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สำหรับเยาวชนระดับโลก REGENERON ISEF 2025 (Regeneron International Science and Engineering Fair 2025) จัดโดย Society for Science ซึ่งเป็นเวทีการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM ร่วมกับ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ส่งทีมเยาวชนไทย จำนวน 14 ทีม เข้าร่วมชิงชัยกับทีมเยาวชน 66 ประเทศทั่วโลก ราว 1,700 คน ในระหว่างวันที่ 10 - 16 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งผลการแข่งขันฯ ปรากฏว่า รร.ปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ คว้ารางวัลที่ 1 สาขาเทคโนโลยีส่งเสริมศิลปะ กับ โครงงาน“ไอเบรลล์ : การปฏิรูปการศึกษาเบรลล์อย่างเป็นระบบด้วย AI และเทคโนโลยีสัมผัสต้นทุนต่ำ เพื่อสังคมแห่งความเท่าเทียมที่ปราศจากการเลือกปฏิบัติ” ที่พัฒนาแพลตฟอร์มเรียนรู้เบรลล์โดยใช้ AI ส่งเสริมความเท่าเทียมทั่วโลก! พร้อมทีมเยาวชนไทยสามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยด้วยการกวาดมาทั้งหมด 11 รางวัล ประกอบด้วยรางวัล Grand Awards จำนวน 8 รางวัล และรางวัล Special Awards จำนวน 3 รางวัล รวมมูลค่า 18,400 ดอลลาร์สหรัฐ (เงินไทยประมาณ 620,000 บาท)
ผศ. ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการ NSM กล่าวชื่นชมเยาวชนไทยทั้ง 14 ทีม ว่า “ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับเยาวชนทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ มุ่งมั่นตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มศักยภาพ จนสามารถคว้ารางวัลมาได้สำเร็จ ถือเป็นการแสดงออกถึงศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเยาวชนไทยได้อย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นด้านทฤษฎี การประยุกต์ใช้ รวมทั้งการนำเสนอผลงานโดยใช้การสื่อสารทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งล้วนสะท้อนถึงความสามารถที่น่ายกย่อง ผลงานของเยาวชนไทยสามารถแสดงศักยภาพจนได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลกในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการศึกษา ค้นคว้า และทดลองอย่างต่อเนื่องของนักเรียน รวมถึงความทุ่มเทของครูที่ปรึกษาทุกท่าน เชื่อมั่นว่าทุกผลงานของเยาวชนเหล่านี้จะได้รับการเผยแพร่และพัฒนาต่อยอดไปสู่การใช้งานจริงในวงกว้างต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนไทยในด้านวิทยาศาสตร์ งานวิจัย และนวัตกรรม นำไปสู่การสร้างคนและบุคลากรในสังคมให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในอนาคต”
ด้าน รศ. ดร.ธณัฏฐ์คุณ มงคลอัศวรัตน์ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวแสดงความยินดีว่า “ปีนี้ สมาคมวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับ NSM ได้ส่งตัวแทนทีมเยาวชนไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 8 ทีม โดยผลงานถูกคัดเลือกจากการประกวดจากค่ายเวทีนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 20 (20th Thailand Young Scientist Festival, TYSF20) โดย สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงศึกษาธิการ และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ในปีนี้ ผลงานของทีมเยาวชนไทยสามารถคว้ารางวัลมาครองได้สำเร็จด้วยโครงงานวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นจนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้ในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์อันมีค่าที่สามารถสร้างโอกาสให้เยาวชนได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ และหวังว่าจะสามารถนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์จากการศึกษาวิจัยเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมวิทยาศาสตร์ให้ยั่งยืนต่อไป”
ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ตระหนักและให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องการสร้างขุมกำลังด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างขุมกำลังในด้านทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งการพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่งเสริมและกระตุ้นให้เยาวชนหันมาสนใจและเพิ่มพูนทักษะทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ในระดับนักเรียน เพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามนโยบายของกระทรวง อว. โดยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ปีนี้ สวทช. ได้คัดเลือกทีมเยาวชนไทย จำนวน 6 ทีม จากการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 27 (27th Young Scientist Competition, YSC 2025) ที่ สวทช. สนับสนุนตั้งแต่ปี 2542 โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเครือข่ายที่ร่วมเป็นศูนย์ประสานงานภูมิภาคของโครงการฯ จัดประกวดโครงงานในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 – 6 ได้มีโอกาสพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นนวัตกรรม ให้สังคมไทยเป็นสังคมฐานความรู้ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และต้องขอชื่นชมเยาวชนไทยทุกคนว่าสามารถทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม หวังว่าจะสามารถนำประสบการณ์ในครั้งนี้ไปต่อยอดเพื่อประโยชน์ของประเทศต่อไป”
ผลงานเยาวชนสามารถคว้ารางวัล REGENERON ISEF 2025 ดังนี้
รางวัล Grand Award อันดับที่ 1 พร้อมเงินรางวัล 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่
- โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ในสาขาเทคโนโลยีส่งเสริมศิลปะ กับ โครงงานไอเบรลล์ : การปฏิรูปการศึกษาเบรลล์อย่างเป็นระบบด้วย AI และเทคโนโลยีสัมผัสต้นทุนต่ำ เพื่อสังคมแห่งความเท่าเทียมที่ปราศจากการเลือกปฏิบัติ โดยมี นายศิวกร สุวรรณหงส์ นายปัณณวิชญ์ พลนิรันดร์ และน.ส.ศตพร ธนปัญญากุล เป็นผู้จัดทำโครงงาน นางรุ่งกานต์ วังบุญ และ นายกฤติพงศ์ วชิรางกุล เป็นครูที่ปรึกษา
รางวัล Grand Award อันดับที่ 2 พร้อมเงินรางวัล 2,400 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ทั้งหมด 2 รางวัล ได้แก่
- โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ ในสาขาสัตวศาสตร์ กับโครงงาน การพัฒนานวัตกรรมฟองน้ำชีวภาพเพื่อลดพฤติกรรมการกินกันเอง สำหรับการอนุรักษ์ปูม้า และระบบนิเวศชายฝั่งอย่างยั่งยืน โดยมี นายพิสิษฐ์ อาศิระวิชัย เป็นผู้จัดทำโครงงาน น.ส.วนิดา ภู่เอี่ยม นายชนันท์ เกียรติสิริสาสน์ และนายอดิเรก พิทักษ์ เป็นครูที่ปรึกษา
- โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จ.ระยอง ในสาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ กับ โครงงานการศึกษาแบบจำลองสามมิติและแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของพฤติกรรมการพลิกตัวกลับในกิ้งกือกระสุนพระอินทร์ โดยมี น.ส.พิมพ์พันดาว พุทธรักษ์ขิต และ นายธรรมพิสุทธิ์ เปรมสิงห์ชัย เป็นผู้จัดทำโครงงาน ดร.คณัสนันท์ พลรัตน์ และ ดร.ปริญญา ศิริมาจันทร์ เป็นครูที่ปรึกษา
รางวัล Grand Award อันดับที่ 3 พร้อมเงินรางวัล 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ทั้งหมด 3 รางวัล ได้แก่
- โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จ.เชียงราย ในสาขาสัตวศาสตร์ กับโครงงาน BeeShield: การพัฒนาอุโมงค์ทางเข้าป้องกันไรผึ้งโดยใช้พฤติกรรมการเข้ารังของผึ้งและการตอบสนองของไรต่อกรดฟอร์มิกโดยมี นายปัณณวิชญ์ ธีรนันท์พัฒธน น.ส.วิภารัศมิ์ ธะนะวงศ์ และ นายกฤตนน เมืองแก้ว เป็นผู้จัดทำโครงงาน นายเกียรติศักดิ์ อินราษฎร เป็นครูที่ปรึกษา
- โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ ในสาขาสัตวศาสตร์ กับโครงงานการเพิ่มประสิทธิภาพของไส้เดือนฝอยในการควบคุมศัตรูพืชแบบชีวภาพ โดยมี นายบุริศ เบญจรัตนานนท์ และนายปภาวิน คงคติธรรม เป็นผู้จัดทำโครงงาน นายชนันท์ เกียรติสิริสาสน์ น.ส.วนิดา ภู่เอี่ยม และ น.ส.สุวรรณา อัมพรดนัย เป็นครูที่ปรึกษา
- โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มอดินแดง) จ.ขอนแก่น ในสาขาสัตวศาสตร์ กับโครงงานนวัตกรรมสูตรอาหารและปัจจัยแวดล้อม เพื่อการเพาะเลี้ยงแมลงดานาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี นายกษิเดช ศรีสุข น.ส.ธัญวรัตม์ จาตุรนต์ และนายพฤทธชาต คงสวัสดิ์ เป็นผู้จัดทำโครงงาน และดร.ประเทืองสุข มณีล้ำ เป็นครูที่ปรึกษา
รางวัล Grand Award อันดับที่ 4 พร้อมเงินรางวัล 600 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ทั้งหมด 2 รางวัล ได้แก่
- โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม ในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ปริวรรต กับโครงงานการพัฒนาอนุภาคนาโนจากสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการงอกใหม่ของพลานาเรียสายพันธุ์ Dugesia japonica สำหรับการรักษาบาดแผลเพื่อต่อยอดเป็นนวัตกรรมแผ่นปิดบาดแผล โดยมี นายกฤตยชญ์ ไทยสุริยันต์ นายปราชญ์ อำพนธ์ และ น.ส.ปาณิศา สว่างสุรีย์ เป็นผู้จัดทำโครงงาน ดร.สุภานันท์ สุจริต เป็นครูที่ปรึกษา
- โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จ.เชียงราย ในสาขาสัตวศาสตร์ กับโครงงานนวัตกรรมใหม่แบบผสานวิธีเพื่อการขยายพันธุ์ และการอนุรักษ์ชันโรงดิน (Tetragonula collina) โดยมี นายธนวัฒน์ สมญาพรเจริญชัย นายธนกร สาคุณ และ นายณัฐชพน วงศาโรจน์ เป็นผู้จัดทำโครงงาน และนายสุธิพงษ์ ใจแก้ว และ นายเกียรติศักดิ์ อินราษฎร์ เป็นครูที่ปรึกษา
ขณะเดียวกันทีมเยาวชนไทยยังสามารถคว้ารางวัล Special Awards ได้อีก 3 รางวัล ได้แก่
- โรงเรียนกําเนิดวิทย์ จ.ระยอง คว้ารางวัล Special Award อันดับที่ 1 จาก TUBITAK The Scientific and Technological Research Council of Türkiye พร้อมเงินรางวัล 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ กับโครงงานการศึกษากระบวนการภายในของสมบัติการแปรเปลี่ยนด้วยแสงของธาตุวานาเดียมที่มีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพภาวะความไม่ชอบน้ำของฟิล์มชีวภาพจากแป้งมันสำปะหลัง โดยมี นายปองภพ แสงสว่าง น.ส.ชญาดา วิสุทธิรัตนมณี และ น.ส.ณิชาพัฒน์ อึ้งอารี เป็นผู้จัดทำโครงงาน ดร.ยุติชัย เหมือนเงิน ประทีปะเสน และ นางณัฐพุทธิญา ชวนะลิขิกร เป็นครูที่ปรึกษา
- โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จ.เชียงราย คว้ารางวัล Special Award อันดับที่ 2 จาก Sigma Xi, The Scientific Research Honor Society พร้อมเงินรางวัล 800 ดอลลาร์สหรัฐ กับโครงงาน BeeShield: การพัฒนาอุโมงค์ทางเข้าป้องกันไรผึ้งโดยใช้พฤติกรรมการเข้ารังของผึ้งและการตอบสนองของไรต่อกรดฟอร์มิก โดยมี นายปัณณวิชญ์ ธีรนันท์พัฒธน น.ส.วิภารัศมิ์ ธะนะวงศ์ และนายกฤตนน เมืองแก้ว เป็นผู้จัดทำโครงงาน และนายเกียรติศักดิ์ อินราษฎร เป็นครูที่ปรึกษา
- โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย จ.เชียงราย คว้ารางวัล Special Award อันดับที่ 4 จาก American Chemical Society พร้อมเงินรางวัล 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ กับโครงงานการสังเคราะห์โมเลกุลเซนเซอร์ฐานสารสีย้อมเคอร์คูมินที่สกัดจากขมิ้นชันสำหรับตรวจวัดแอลดีไฮด์สายยาวซึ่งเป็นสารบ่งชี้โรคมะเร็งปอด โดยมี นายธนัช ไชยมงคล เป็นผู้จัดทำโครงงาน นายธีรพัฒน์ ขันใจ และ รศ.ดร.บุษยรัตน์ ธรรมพัฒนกิจ เป็นครูที่ปรึกษา
โดยทีมเยาวชนไทยจะเดินทางกลับจากการแข่งขันถึงประเทศไทยในวันที่ 19 – 21 พ.ค. นี้ สามารถติดตามข่าวสารและร่วมแสดงความยินดีได้ที่เพจ FB: NSMTHAILAND
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
โชว์ศักยภาพนวัตกรรมไทยสู่สายตาโลก! สวทช. และ สจล. ร่วมนำเสนอเทคโนโลยีสุขภาพสุดล้ำในงาน World Expo 2025 ณ ประเทศญี่ปุ่น
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการในงาน “World Expo 2025 Osaka Kansai” ณ พื้นที่ Thailand Pavilion โซนนิทรรศการหมุนเวียน ภายใต้หัวข้อ “Future of Community and Mobility” ระหว่างวันที่ 15 – 26 พฤษภาคม 2568 โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
การเข้าร่วมในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนอศักยภาพของประเทศไทยด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องมือแพทย์และระบบสุขภาพที่ ออกแบบ พัฒนา และผลิตได้เองภายในประเทศ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศแล้ว ยังส่งเสริมให้ประเทศไทยมีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งและทั่วถึง
นวัตกรรมที่นำมาจัดแสดงสะท้อนความสามารถของนักวิจัยไทยในการนำ องค์ความรู้พื้นฐานและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มาสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์สังคมไทย เช่น:
“พลิกระบบการจัดการปัญหาเมืองจากระบบร้องเรียน เป็นระบบร่วมสร้างเมืองที่น่าอยู่” (Traffy Fondue)
เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติและเอกซเรย์สองมิติสำหรับงานทันตกรรม (DentiiScan Trio)
เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบเคลื่อนย้ายได้ (MobiiScan)
เครื่องจ่ายออกซิเจนแบบฉุกเฉิน (KMITL EMERGENCY OXYGEN HIGH FLOW)
เครื่องช่วยหายใจ (KNIN-X)
หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วย UV-C (RAIBO-X)
ห้องความดันลบ (NEGATIVE PRESSURE ROOM)
เครื่องผลิตออกซิเจนการแพทย์กำลังสูง (MOBILE HIGH-FLOW OXYGEN CONCENTRATOR)
กล่องฆ่าเชื้อด้วย UV-C (UV-C SATIRIZER)
ปุ่มกดลิฟต์ ไร้สัมผัส (NON-TOUCH ELEVATOR BUTTONS)
เครื่องฆ่าเชื้อโรคระบบปิด (OZONE STERILIZER)
ตู้จำหน่ายยา (DRUG DISPENSING MACHINE)
ระบบผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยโรคด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI DOCTOR)
อุปกรณ์ช่วยฟังเสียงหัวใจและเสียงปอดแบบดิจิตอล (DIGITAL STETHOSCOPE)
อุปกรณ์วัดสัญญาณชีพแบบพกพา (PORTABLE VITAL SIGNS MONITORING DEVICE)
3D STEROGRAPHIC COLPOSCOPE
ทั้งหมดนี้เกิดจาก “เครือข่ายแห่งความร่วมมือ” ระหว่าง สวทช., สจล. และพันธมิตรทางวิชาการและวิจัย โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ การสร้างนวัตกรรมที่คนไทยเข้าถึงได้ ใช้งานได้จริง และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียม เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ENTEC สวทช. เดินหน้าสร้างศักยภาพบุคลากร กกพ. เสริมความพร้อมประเทศไทยสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน
วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมมณเฑียร กรุงเทพฯ : ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดการฝึกอบรมหลักสูตร "Capability Building for Energy Transition (2025)" ต่อเนื่องเป็นวันที่สองของโครงการฝึกอบรมปีที่ 3 ให้แก่บุคลากรสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อให้บุคลากร กกพ. มีความรู้ ทักษะ และความเข้าใจที่จำเป็นในการรองรับและปรับตัวต่อโลกพลังงานยุคใหม่ พร้อมทั้งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ระหว่างผู้เข้าร่วม เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานที่ยั่งยืน มั่นคง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นโยบายและแนวโน้มด้านพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์
“พลังงานนิวเคลียร์โลกมุ่งสู่ SMR ไทยเตรียมแผนรับ: ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจพลังงานนิวเคลียร์มากขึ้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า SMR (Small Modular Reactor) ซึ่งมีขนาดเล็กและยืดหยุ่นกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เดิม การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 28 (COP28) ได้ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ 3 เท่าภายในปี 2050 ขณะที่ประเทศไทยเตรียมบรรจุ SMR ขนาด 600 เมกะวัตต์ ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan; PDP) ฉบับใหม่ โดย กฟผ. กำลังเร่งศึกษาและเตรียมโครงสร้างพื้นฐานรองรับเทคโนโลยีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายเรื่องการยอมรับจากสังคมและการมีกฎระเบียบที่ชัดเจน”
โดย ดร.นทีกูล เกรียงชัยพร วิศวกรระดับ 10 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
การผลิตความร้อนคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำจากพลังงานนิวเคลียร์
“บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำระดับโลกที่มุ่งเน้นนวัตกรรมและความยั่งยืน โดยตั้งเป้าเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำ 3 อันดับแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2060 บริษัทฯ เล็งเห็นว่าพลังงานนิวเคลียร์ โดยเฉพาะเทคโนโลยี Small Modular Reactor (SMR) จะมีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ เนื่องจาก มีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ เช่น ขนาดที่เล็กกว่า ใช้เวลาก่อสร้างน้อยกว่า และมีความปลอดภัยสูงกว่า นอกจากนี้ SMR ยังสามารถผลิตทั้งไฟฟ้าและความร้อนได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อภาคอุตสาหกรรม”
โดย ดร.พงศ์ศักดิ์ ครุกานันต์ Senior Vice President – Decarbonization Technology
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)
นโยบายและแนวโน้มเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก (SMR)
“Small Modular Reactor (SMR) เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 300 เมกะวัตต์ ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นทั่วโลกเนื่องจากมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าที่สะอาดและมั่นคง รวมถึงยังสามารถประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น การผลิตไฮโดรเจน การกลั่นปิโตรเลียม และการผลิตความร้อนสำหรับเขตเมือง นานาประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญกับการพัฒนา SMR โดยมีโครงการและความร่วมมือระหว่างประเทศเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง IEA คาดการณ์ว่า SMR จะเป็นตัวเร่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคใหม่ของพลังงานนิวเคลียร์ ขณะที่หลายบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำก็หันมาสนใจ SMR เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสะอาดสำหรับศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยี AI ที่มีการใช้พลังงานสูง ยังมีความท้าทายที่ต้องพิจารณา เช่น การจัดการกากกัมมันตรังสี การยอมรับของประชาชน และการมีมาตรฐานกำกับดูแลความปลอดภัยที่เหมาะสม ทั้งนี้ การพัฒนา SMR ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในระบบพลังงานโลกอนาคต”
โดย ดร.กัมปนาท ซิลวา นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC)
เทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานและการใช้ประโยชน์ในภาคพลังงาน
“ประเทศไทยมุ่งสู่พลังงานยั่งยืน โดยตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 40% ในปี 2030 เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065 ระบบกักเก็บพลังงานมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายนี้ โดยช่วยกักเก็บและบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไทยตั้งเป้าหมายที่จะมีระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (BESS) ขนาด 26,010 MWh หรือ 10,485 MW ในช่วงปี 2024-2037 โดยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Li-ion) คาดว่าจะเป็นตัวเลือกหลักจนถึงปี 2040 แต่เทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น Flow, Thermal, Gravitational, Flywheel และ Hydrogen ก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะสำหรับการกักเก็บพลังงานระยะยาว ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและส่งไฟฟ้า สร้างเสถียรภาพในการจ่ายไฟฟ้า และสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน ปัจจุบันไทยกำลังดำเนินการและวางแผนโครงการ ESS ทั้งในระดับ Utility Scale, Behind-the-Meter (BTM) และ Microgrid”
โดย ดร.จิราวรรณ มงคลธนทรรศ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC)
เทคโนโลยีและแนวโน้ม H2 เทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว
“ไฮโดรเจนกำลังได้รับความสนใจในฐานะพลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะ "ไฮโดรเจนสีเขียว" ที่ผลิตจากกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) โดยใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ ไฮโดรเจนเป็นธาตุที่เบาที่สุดในโลกและสามารถกักเก็บและปลดปล่อยพลังงานได้ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับอนาคต ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาไฮโดรเจน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนมีหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เช่น การผลิตจากก๊าซธรรมชาติ (ซึ่งต้องมีระบบดักจับคาร์บอน) การผลิตจากชีวมวล และการผลิตโดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตและอายุการใช้งานของเทคโนโลยีไฮโดรเจนยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ แต่ด้วยการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไฮโดรเจนก็มีศักยภาพที่จะกลายเป็นแหล่งพลังงานสำคัญในอนาคต”
โดย ดร.วิศาล ลีลาวิวัฒน์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC)
หลักสูตรดังกล่าวสะท้อนบทบาทของ ENTEC ในฐานะองค์กรชั้นนำด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ ซึ่งนอกจากจะบ่มเพาะนวัตกรรมพลังงานเพื่อสร้างระบบนิเวศพลังงานไทยที่ยั่งยืนแล้ว ยังมุ่งเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรภาครัฐให้มีความรู้ ทักษะ และความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีพลังงานยุคใหม่
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. และพันธมิตร ชวนลุ้นร่วมส่งกำลังใจให้เยาวชนไทยในการประกาศผลรางวัล Grand Awards Ceremony ค่ำวันนี้
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)ได้นำคณะเยาวชนจากโครงการ Young Scientist Competition (YSC) เข้าร่วมการประกวด Regeneron International Science and Engineering Fair (Regeneron ISEF) 2025 ณ The Greater Columbus Convention Center (GCCC) เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 10 – 20 พฤษภาคม 2568 ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
ในการเดินทางครั้งนี้นอกจาก ดร.พัชร์ลิตา นำนักเรียนตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ยังได้นำคณะนักเรียนโครงการ YSC เยี่ยมคารวะ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) พร้อมด้วย นายฐิติเดช ตุลารักษ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน และรองศาสตราจารย์ ดร.วรวรรณ พันธุมนาวิน อุปนายกสมาคมวิทยาศาสตร์ฯ โดยคณะผู้บริหารได้ร่วมพูดคุยและให้กำลังใจกับเยาวชนไทยทั้ง 14 ทีม ในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วม การแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก REGENERON ISEF 2025
นอกจากนี้ก่อนการแข่งขัน ดร.พัชร์ลิตา ได้นำคณะครูที่ปรึกษาโครงงานเข้าร่วมกิจกรรมการซักซ้อมและเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนก่อนเริ่มการแข่งขัน พร้อมกล่าวให้กำลังใจและโอวาทแก่นักเรียน โดยเน้นย้ำให้เยาวชนทำผลงานอย่างเต็มความสามารถ พร้อมชี้ให้เห็นว่า "ประสบการณ์" ที่ได้รับจากเวทีนานาชาติคือสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ส่วน "รางวัล" นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแข่งขันเท่านั้น ขอให้นักเรียนใช้โอกาสนี้ในการแสวงหาประสบการณ์ สร้างเครือข่าย และนำความรู้กลับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่เพื่อนๆ และรุ่นพี่รุ่นน้องต่อไป
ทั้งนี้ ครูที่ปรึกษาแต่ละทีมไม่เพียงร่วมฝึกซ้อมและเตรียมความพร้อมให้นักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะ ล่ามแปลภาษา และ อาสาสมัคร ร่วมปฏิบัติงานในกิจกรรม ตรวจสอบ Display & Safety ภายในงานอีกด้วย
ร่วมลุ้นและร่วมส่งกำลังใจให้เยาวชนไทยในการประกาศผลรางวัล Grand Awards Ceremony ในวันที่ 16 พฤษภาคม เวลาประเทศไทย 20.00 น. ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=gBzD_UBnQnw
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. โดย EECi และนาโนเทค นำเสนอชุดตรวจการปนเปื้อน “สารเคมี-โลหะหนัก-จุลินทรีย์” พร้อมเปิดเวทีสาธิต-ทดสอบในตัวอย่างน้ำ สมุนไพร พืชผลเศรษฐกิจ จากเกษตรกรในพื้นที่ระยอง
วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) จัดกิจกรรม “การถ่ายทอดและสาธิต เทคโนโลยีชุดตรวจการปนเปื้อนสารเคมี โลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์ กับการประยุกต์ใช้ในพืชสมุนไพรและทุเรียน” เพื่อยกระดับมาตรฐานของผลผลิตในท้องถิ่น เพิ่มความเชื่อมั่นทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน โดยมีเกษตรกรชาวสวนในพื้นที่ ตลอดจนผู้ประกอบการที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก สวทช. เข้าร่วมจำนวนมาก
ดร. วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) กล่าวว่า EECi มีบทบาทสำคัญในการเป็นแพลตฟอร์มกลางที่เชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนาจาก สวทช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนาโนเทค สู่การประยุกต์ใช้จริงในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน โดยกิจกรรมในวันนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำเทคโนโลยีชุดตรวจการปนเปื้อนสารเคมี โลหะหนัก และเชื้อจุลินทรีย์ มายกระดับมาตรฐาน และสร้างความเชื่อมั่นในผลผลิตทางการเกษตรของพื้นที่ EEC ซึ่งรวมถึงพืชสมุนไพรและทุเรียน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออก ทั้งนี้การสนับสนุนการถ่ายทอดและสาธิตเทคโนโลยี เช่น ชุดตรวจจากศูนย์วิจัยแห่งชาติของ สวทช. ถือเป็นภารกิจหลักของ EECi ในการส่งเสริมการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ไปใช้ประโยชน์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจโดยรวมของ EEC
“การจัดกิจกรรมในวันนี้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของ EECi ในการส่งเสริมการนำ วทน. มายกระดับขีดความสามารถของภาคการเกษตรในพื้นที่ EEC เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของผลผลิต เช่น พืชสมุนไพร และทุเรียน ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน” ดร. วุฒิกล่าว
ด้าน ดร. วีรกัญญา มณีประกรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน (RMNS) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมนี้เป็นการนำเสนอเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองการปนเปื้อนสารเคมี โลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์เบื้องต้นโดยเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถใช้คัดกรองผลผลิตเบื้องต้น เพื่อช่วยควบคุมคุณภาพของผลผลิตได้ด้วยตนเอง เทคโนโลยีนี้เป็นการต่อยอดมาจากผลงานวิจัยของนาโนเทคที่มีการทำงานร่วมกับ EECi เรื่องนาโนเซ็นเซอร์ตรวจวัดการปนเปื้อนโลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์ในสมุนไพร และต่อเนื่องสู่พืช ผัก ผลไม้เศรษฐกิจ ที่สร้างรายได้ให้กับประชากรในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในผลผลิตทางการเกษตรว่าเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งตลาดไทยและตลาดโลกให้ความสำคัญมาก
“เทคโนโลยีชุดตรวจฯนี้ นาโนเทคพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ สู่เซ็นเซอร์รูปแบบต่าง ๆ ทั้งชุดตรวจ ChemSense นำทีมโดย ดร.กันตพัฒน์ จันทร์แสนภักดิ์ ที่สามารถคัดกรองการปนเปื้อนแมงกานีส (Mn) ฟลูออรีน (F) เหล็ก (Fe) ทองแดง (Cu) ในน้ำอุปโภคบริโภค และเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนักอย่าง แคดเมียม (Cd) ตะกั่ว (Pb) ปรอท (Hg) สารหนู (As) นำทีมโดย ดร.สุวัสสา บำรุงทรัพย์ ที่นำร่องตรวจวัดสิ่งปนเปื้อนในน้ำและพืชสมุนไพร และจะขยายสู่การตรวจคัดกรองแคดเมียมในพืชเศรษฐกิจอย่างทุเรียน ที่กำลังเป็นที่สนใจในปัจจุบัน รวมถึงชุดตรวจคัดกรองเชื้อจุลินทรีย์ โดย ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย สำหรับตรวจตัวอย่างสมุนไพรหรือพืชแปรรูปที่อยู่ในรูปแบบผง” ดร. วีรกัญญากล่าว พร้อมชี้ว่า “ในงานนี้ทีมวิจัยได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการมาสาธิตเพื่อให้เห็นรูปแบบของการใช้งานจริง นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีกล้องสแกนว่า มีการเคลือบสารเคมีต่าง ๆ รวมถึง BY2 (สารเร่งการสุก) บนผิวทุเรียนหรือไม่ พัฒนาโดย ดร.วิศรุต ปิ่นรอด นำมาร่วมสาธิตและทดสอบการใช้งานอีกด้วย”
ภายในงาน เปิดโอกาสให้เกษตรกรที่ลงทะเบียน นำตัวอย่างดิน น้ำในแปลงปลูก สมุนไพร พืชแปรรูป รวมถึงทุเรียนมาทดสอบการตรวจคัดกรองการปนเปื้อนอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากงานวิจัยต่างๆ ของ สวทช. อาทิ การจัดการศัตรูทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจร DAPBOT ระบบ Smart Farm WaterFit Simple และ HandySense รวมทั้งผลงานของภาคเอกชน Startup ที่ต่อยอดเทคโนโลยีนวัตกรรมจาก สวทช. อาทิ BioChelete โดย บริษัท วิทิกรุป จำกัด และ Magik Growth โดย Salee Color มาจัดแสดงเพื่อเปิดมุมมอง สร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรเห็นประโยชน์ของการนำ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่เพื่อเป็นการเสริมประสิทธิภาพ แก้ปัญหา และช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคการเกษตรของไทย
ท่านที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2564-7000
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


