หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
“ศุภมาส” เปิดงาน Loy Krathong: Illuminate the Future by อว.-จุฬาฯ สวทช. นำ ”มะนีมะนาว ร่วมต้อนรับเทศกาลลอยกระทง“
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ณ สยามสแควร์ - น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน Loy Krathong: Illuminate the Future by อว.-จุฬาฯ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะผู้บริหาร ร่วมให้การต้อนรับ การจัดงาน Loy Krathong: Illuminate the Future by อว.-จุฬาฯสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ได้แก่ ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค),ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค), ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยคุณวิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด ร่วมกิจกรรม พร้อมนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรม "มะนีมะนาว" และน้ำมะนาวพร้อมดื่ม ที่ต่อยอดจากงานวิจัยของนาโนเทค สวทช. ร่วมออกบูธ กิจกรรม Loy Krathong: Illuminate the Future by อว.-จุฬาฯ จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 ตั้งแต่เวลา 17.00-22.00 น. โดยเนรมิต Siam Square เป็น LED River ต้อนรับเทศกาลลอยกระทง นอกจากจะได้ลอยกระทงกลางสยามกับแม่น้ำสุดล้ำ ยังสามารถสนุกสนานไปกับกิจกรรมงานวัดและการออกบูธจากหน่วยงานในกระทรวง อว. และของนิสิต นักศึกษา พร้อมพบกับการแสดงและวงดนตรี มากมาย ในการนี้ สวทช. ยังได้มีการนำสินค้านวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG (Green Economy) ที่ผ่านการร่วมงานวิจัยจากหน่วยงาน มาออกบูทเพื่อให้ผู้ร่วมงานได้ เลือกชิม เลือกช้อป ได้แก่ มะนีมะนาว น้ำมะนาวคั้นสด 100% แช่เยือกแข็ง ที่ร่วมกับบริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ พัฒนาขึ้น โดยเป็นการพัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสด โดยใช้ความเย็นระดับเยือกแข็งในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของเอนไซม์ในน้ำมะนาวไม่ให้สามารถทำงานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยืดอายุด้วยวิธีนี้จัดเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือช่องแช่แข็งได้นานถึง 2 ปี และจัดเก็บที่อุณหภูมิ 0-5°C หรือช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังคงจุดแข็งของแบรนด์มะนีมะนาวในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และยังมีผลิตภัณฑ์ต่อยอดอย่างมะนีแตงโม น้ำและเนื้อแตงโม 100% แช่แข็ง ทำจากแตงโมแท้ 100% หวานธรรมชาติ ไม่เติมน้ำตาล ไม่มีเมล็ดแตงโมกวนใจ เป็นอีกทางเลือกให้ได้ลิ้มลองผลิตภัณ์นวัตกรรมที่ส่งต่อจากแลปสู่มือผู้บริโภคอีกด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“สวทช. – สวรส. จัดสัมมนาเผยผลศึกษาการใช้นวัตกรรม AI ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง”
(15 พฤศจิกายน 2567) ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพมหานคร: นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พร้อมด้วย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงผลการศึกษาโครงการประยุกต์และทดสอบประสิทธิผลของระบบดูแลผู้อยู่อาศัย เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ การศึกษา "MTEC Well-living systems" นวัตกรรม AI ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง พร้อมขยายผลต่อยอดรองรับสังคมสูงวัย โดยมีตัวแทนอาสาสมัครร่วมทดสอบการใช้ในโครงการร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานจริง นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่า “สวรส. มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพ โดยมุ่งเน้นการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทุกมิติ ทั้งด้านนโยบาย สังคม ชุมชน วิชาการ และเชิงพาณิชย์ เพื่อยกระดับระบบการแพทย์และสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน โดยในปีงบประมาณ 2566 สวรส. ได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ในการดำเนินโครงการ "การประยุกต์ใช้และทดสอบประสิทธิผลของระบบดูแลผู้อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยด้วยปัญญาประดิษฐ์" หรือ Well-Living Systems ซึ่งเป็นนวัตกรรม "ผู้ช่วยของผู้ดูแล" ที่มีจุดเด่นสำคัญคือ สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้สูงอายุโดยอัตโนมัติ เฝ้าระวังและแจ้งเตือนเมื่อพบพฤติกรรมผิดปกติ โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวเนื่องจากไม่ใช้กล้อง รวมถึงช่วยเตือนกิจกรรมสำคัญต่อสุขภาพ เช่น การกินยาและการเคลื่อนไหวร่างกาย การพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ทุกครอบครัวเข้าถึงได้ จะช่วยลดช่องว่างในการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง พร้อมสร้างโอกาสให้ผู้สูงอายุได้ใช้เทคโนโลยีการดูแลที่ทันสมัยอย่างทั่วถึง เพื่อนำไปสู่สังคมผู้สูงวัยที่ปลอดภัยและยั่งยืน" นายแพทย์ศุภกิจกล่าว "สวรส. พร้อมผลักดันการใช้งานระบบ MTEC Well-living systems ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อการดูแลและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงอายุ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้สูงอายุและครอบครัวอย่างเป็นรูปธรรม” ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รองผู้อำนวยการ เอ็มเทค กล่าวว่า “ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” อย่างเป็นทางการในปี 2565 โดยมีประชากรสูงอายุถึง 13 ล้านคน หรือราว 20% ของประชากรทั้งประเทศในปี 2566 และมีแนวโน้มจะเข้าสู่ "สังคมสูงอายุระดับสุดยอด" ในปี 2573 ด้วยสัดส่วนประชากรอายุเกิน 65 ปี ถึงร้อยละ 20 ปรากฏการณ์นี้นำมาซึ่งความท้าทายและโอกาสใหม่ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งสำคัญ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีดูแลผู้สูงอายุหลากหลาย แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการเฝ้าระวังพฤติกรรมผิดปกติแบบต่อเนื่อง การแจ้งเตือนฉุกเฉินอัตโนมัติ และการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล” ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ให้ดำเนินโครงการวิจัยหัวข้อ “การประยุกต์ใช้และทดสอบประสิทธิผลของระบบดูแลผู้อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยด้วยปัญญาประดิษฐ์ในบริบทการใช้งานจริงของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง” มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิผลของการใช้เทคโนโลยี “ระบบดูแลผู้อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยด้วยปัญญาประดิษฐ์” หรือที่เรียกว่า “MTEC Well-living systems” ในบริบทการใช้งานจริงของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุที่ต้องใช้เวลาอยู่โดยลำพัง และเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีดังกล่าว ให้มีศักยภาพพร้อมตอบสนองความต้องการและบริบทการใช้งานจริงของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุที่ต้องใช้เวลาอยู่โดยลำพัง เอ็มเทค สวทช. ได้ทำงานร่วมกันกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข 45 ร่มเกล้า สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในการประชาสัมพันธ์เพื่อจัดหาอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ และได้ดำเนินการทดสอบประสิทธิผลการทำงานของระบบกับตัวแทนกลุ่มผู้ใช้เป้าหมายในบริบทการใช้งานจริง รวม 34 ครัวเรือน โดยแต่ละครัวเรือนจะมีตัวแทนผู้สูงอายุและผู้ดูแล อย่างน้อย 1 ท่าน โดยคณะวิจัยได้มีการติดตั้งต้นแบบที่ที่พักอาศัย เป็นระยะเวลาต่อเนื่องเป็นเวลา 2 เดือน มีการติดตามสัมภาษณ์ผลการใช้งาน และทำการปรับปรุงระบบในระหว่างการทดสอบการใช้งานระบบอย่างต่อเนื่อง ผลการทดสอบพบว่า “MTEC Well-living systems” สามารถช่วยลดภาระของผู้ดูแล พร้อมสร้างความอุ่นใจให้แก่ทั้งผู้สูงอายุและครอบครัว “การพัฒนา MTEC Well-living systems นี้ สอดรับกับแนวโน้ม 'เศรษฐกิจสูงวัย' หรือ Silver Economy ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุยุคใหม่หรือ Young Old (Yold) ที่ยังคงกระฉับกระเฉง มีกำลังซื้อ และต้องการเทคโนโลยีที่ช่วยให้พึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุข นับเป็นก้าวสำคัญในการรองรับสังคมอายุยืนของไทย ด้วยการผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ากับความเข้าใจในความต้องการที่แท้จริงของผู้สูงวัยและครอบครัว” ดร.ศราวุธ กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการสนับสนุนทุนวิจัยในโครงการวิจัยนี้ เพื่อทดสอบประสิทธิผลของการใช้เทคโนโลยี “MTEC Well-living systems” ในบริบทการใช้งานจริงของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุที่ต้องใช้เวลาอยู่โดยลำพังและเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยี “MTEC Well-living systems” ให้มีศักยภาพพร้อมตอบสนองความต้องการและบริบทการใช้งานจริงได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป ผู้สนใจทดลองใช้และร่วมเก็บข้อมูลการใช้งานเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการวิจัยพัฒนา หรือผู้สนใจรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาต่อยอดร่วมกัน ติดต่อได้ที่ ดร.สิทธา สุขกสิ อีเมล sitthas@mtec.or.th หรือ well.living.systems@gmail.com
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ศุภมาส” เปิดการประชุมคณะทำงานการขับเคลื่อน อว. for AI ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและนวัตกรรมด้าน AI อย่างใกล้ชิด
(14 พฤศจิกายน 2567) ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานการขับเคลื่อนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรและนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ (อว. for AI) ครั้งที่ 1/2567 คณะทำงานดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อให้การดำเนินงานนโยบายของกระทรวง อว. ในการเป็นกระทรวงหลักด้านการสนับสนุนพัฒนาศักยภาพบุคลากรและนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทย และสนับสนุนโยบายแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2570) โดยมีอำนาจหน้าที่ตามภายใต้บทบาทของกระทรวง อว. ในการจัดทำนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อน AI โดยมีคณะทำงานฯ เข้าร่วมประชุม นำโดยรองศาสตราจารย์วีระพงษ์ แพสุวรรณ ประธานกรรมการ พร้อมด้วยผู้บริหาร สวทช. นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะกรรมการคณะทำงานฯ และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ในฐานะกรรมการคณะทำงานฯ และผู้ช่วยเลขานุการร่วม เข้าร่วมประชุม การประชุมได้มีการรายงานแผนและความก้าวหน้าการดำเนินงานตามนโยบาย อว.for AI ได้แก่ (1) AI for Education เพิ่มจำนวนคนในทักษะ AI ที่จำเป็นในเวลาอันสั้น โดยมีแผนการพัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิตที่นำ AI ซึ่งเชี่ยวชาญภาษาไทยทั้ง พูด การอ่าน เขียน มาช่วยเป็นครู ติวเตอร์ สนทนา ถามตอบ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมถึงให้ข้อเสนอแนะหัวข้อที่ควรศึกษา ช่วยสรุปเนื้อหาสำคัญ ตอบโจทย์การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละบุคคลได้ (2) AI Workforce Development พัฒนากำลังคนด้าน AI ตั้งแต่พื้นฐานถึงผู้เชี่ยวชาญ มาตรการและกลไก อววน. (1) การพัฒนาหลักสูตรด้านเทคโนโลยี Digital และ AI อย่างต่อเนื่องในรูปแบบ Sandbox, (2) National Credit Bank ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่อรองรับการพัฒนาคนทุกช่วงวัย (3) การพัฒนา STEMPlus: กลไกและแรงจูงใจในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและทักษะ AI ผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีสนับสนุนการจ้างงานบุคลากรด้าน STEM และการส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรม และ (4) โปรแกรมพัฒนากำลังคน AI ภายใต้แผน ววน. เพื่อพัฒนากำลังคนทักษะสูงเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม (3) AI Innovation พัฒนานวัตกรรมAI ตอบโจทย์ประเทศ สนับสนุนการนำนวัตกรรม AI มาใช้ให้เกิดการใช้งานจริง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ผ่านกลไกสนับสนุนนวัตกรรมจากหน่วยงานภายใต้ กระทรวง อว. ปัจจุบันมีโครงการวิจัยและพัฒนาด้าน AI ในกองทุน R&D ปี พ.ศ. 2566 – 2567 มากกว่า 2,300 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นในบริบทอุตสาหกรรมอัจฉริยะ สุขภาพและการแพทย์ บริการดิจิทัล และเมืองอัจฉริยะ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
การประชุมวิชาการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริ
[caption id="attachment_63095" align="aligncenter" width="2560"] WATER[/caption] เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 09.00 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุมวิชาการการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริ ประจำปี 2567 “44 ปี พระเมตตา พัฒนาการศึกษา รักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญา รากฐานความมั่นคงของชาติ” ณ หอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพมหานคร ในการนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และนางเยาวลักษณ์ คนคล่อง ผู้อำนวยการฝ่าย สำนักงานประสานงานโครงการตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จและถวายรายงาน โครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับหน่วยงานสถานศึกษาในโครงการตามพระราชดำริฯ จัดการประชุมวิชาการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2567 “44 ปี พระเมตตา พัฒนาการศึกษา รักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญา รากฐานความมั่นคงของชาติ” ระหว่างวันที่ 12-13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ณ หอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพมหานคร ซึ่งการจัดประชุมครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 10 มีกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจด้านการศึกษาและการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริฯ แก่สาธารณชน รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาและผู้ปฏิบัติงานโครงการตามพระราชดำริได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดประสบการณ์ร่วมกัน เพื่อพัฒนาแนวคิดและร่วมกันดำเนินงานให้บรรลุผลตามเป้าหมาย การประชุมวิชาการประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การนำเสนอผลงานวิชาการแนวปฏิบัติที่ดีในการพัฒนาเด็กและเยาวชน นิทรรศการแสดงผลงานวิชาการ การประกวดแข่งขันทักษะวิชาการของนักเรียน ประกอบด้วย การวาดภาพระบายสี การคัดลายมือ การเขียนเรียงความภาษาไทย การเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ และการนำเสนอผลงานของนักเรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญา นอกจากนี้ยังมีการประกวดผลงานแนวปฏิบัติที่ดีรายด้านของครู 9 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเกษตรกรรม 2) ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม 3) ด้านการแพทย์แผนไทย 4) ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน 5) ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6) ด้านศิลปกรรม 7) ด้านภาษาและวรรณกรรม 8) ด้านปรัชญา ศาสนาและประเพณี และ 9) ด้านโภชนาการ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ม.เกษตรฯ ร่วมกับ ไบโอเทค-สวทช. และ วช. ร่วมกับเครือข่าย Hub of Rice จัดประชุมนานาชาติ ICRF2024 เรื่องข้าวเพื่ออนาคต ย้ำบทบาทสำคัญงานวิจัยข้าว เพื่อความมั่นคงทางอาหารและส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน
 (14 พฤศจิกายน 2567) ณ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จ.นนทบุรี : ศูนย์กลางความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยข้าวของประเทศไทย (Hub of Rice) โดยศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านการวิจัยข้าวของประเทศไทย จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ ครั้งที่ 3 เรื่องข้าวเพื่ออนาคต (3rd International Conference on Rice for The Future 2024: ICRF 2024) กำหนดจัดขึ้น 2 วัน ระหว่างวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน 2567 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการวิจัยข้าว ขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนและสร้างการประกันความมั่นคงทางอาหารในอนาคต รวมถึงเป็นเวทีสร้างเครือข่ายนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการข้าวทั้งในและต่างประเทศ โดยมี ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานคณะทำงานที่ปรึกษาเพื่อการพัฒนาศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ (Hub of Talents) และศูนย์กลางด้านความรู้ (Hub of Knowledge) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมด้วย ศ.ดร.ดอกรัก มารอด รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและความเป็นสากล ม.เกษตรศาสตร์ ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. และ รศ.ดร.ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ร่วมเปิดงาน และมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 300 คน จาก 14 ประเทศ ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานคณะทำงานที่ปรึกษาเพื่อการพัฒนาศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ (Hub of Talents) และศูนย์กลางด้านความรู้ (Hub of Knowledge) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นโครงการริเริ่มสำคัญที่กำลังดำเนินการเพื่อจัดตั้งเครือข่ายนักวิจัยที่ทำงานในพื้นที่สำคัญต่าง ๆ รวมถึงการปรับปรุงผลผลิตข้าว เพิ่มความต้านทานโรค และจัดการกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความพยายามเหล่านี้สอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลกของการพัฒนาที่ยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคต โดยงานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยข้าวและใช้การวิจัยและนวัตกรรมขับเคลื่อนประเทศไปเดินหน้าต่อไป รศ.ดร.ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ICRF2024 เป็นงานที่นำเสนอข้อมูลงานวิจัยด้านข้าวในทุกมิติ โดยมีวิทยากรทั้งในและต่างประเทศให้การบรรยาย มากถึง 14 คน และยังมีการนำเสนอแบบปากเปล่า 45 เรื่อง และนำเสนอผลงานแบบโปสเตอร์ 84 เรื่อง แบ่งเป็น 7 หัวข้อหลัก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแปรรูปใหม่และการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ข้าวเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การแพทย์และเภสัชกรรม ความเครียดทางชีวภาพ ความเครียดจากสิ่งแวดล้อม จีโนมิกส์ของข้าว/เทคโนโลยีโอมิกส์เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ข้าว และเทคโนโลยีเกษตรขั้นสูง ซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับแนวทางใหม่ ๆ ในการจัดการกับความท้าทายและพัฒนาอนาคตของอุตสาหกรรมข้าว รวมถึงเป็นเวทีนำเสนอผลงาน แลกเปลี่ยนความรู้ด้านการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับข้าวในระดับนานาชาติ รวมถึงในงานยังมีนิทรรศการด้านข้าวและนวัตกรรมด้านข้าวต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เห็นภาพและแนวทางสร้างพันธุ์ข้าวที่ทนต่อสภาพอากาศ และมีโภชนาการสูงมากขึ้น รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://events.thailandricehub.org/icrf/ ศ.ดร.ดอกรัก มารอด รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและความเป็นสากล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ICRF 2024 เป็นงานที่รวมบุคคลสำคัญจากทั่วโลกที่มารวมตัวกัน เพื่อแบ่งปันความรู้และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพืชผลที่สำคัญที่สุดนั่นคือ “ข้าว” ปัจจุบันการวิจัยข้าวมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับความท้าทายที่เราเผชิญ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนน้ำ และความต้องการผลผลิตที่สูงขึ้นโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาข้าวอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ มีการบุกเบิกพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่มีความสามารถในการปรับตัว มีคุณค่าทางโภชนาการ และยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งได้บูรณาการเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น จีโนมิกส์ เกษตรแม่นยำ และเทคโนโลยีชีวภาพ นอกจากนี้ยังสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเพื่อเพิ่มรายได้ของเกษตรกรและขยายการใช้งานทางอุตสาหกรรม โดยพื้นฐานแล้ว เพื่อปรับปรุงความเป็นอยู่ของเกษตรกรและรับประกันความมั่นคงทางอาหารสำหรับคนรุ่นอนาคต ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. มีความมุ่งมั่นที่จะบุกเบิกความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพและเทคโนโลยีชีวภาพโดยเฉพาะเพื่อเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม การวิจัยข้าวนับเป็นจุดสนใจที่สำคัญในความพยายามทางการเกษตรของไบโอเทค โดยการวิจัยข้าวได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลจีโนมเพื่อตรวจสอบลักษณะที่สำคัญสำหรับข้าว และพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ทนต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ด้วยความร่วมมือกับศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ สถาบันวิจัย และกรมการข้าว ทำให้สามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเกษตรกรไทย ทั้งนี้ วิทยากรระดับนานาชาติที่สำคัญมีด้วยกันหลายท่าน อาทิ Reiner Wassmann จาก International Rice Research Institute (IRRI) ประเทศฟิลิปปินส์ บรรยายเรื่อง Greenhouse Gas Emissions from Rice Production: Significance, mitigation options and the emerging carbon markets (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตข้าว : ความสำคัญ การลดผลกระทบ และการเกิดขึ้นของตลาดคาร์บอน) ระบุว่า การผลิตข้าวเป็นแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas: GHG) โดยเฉพาะก๊าซมีเทน ซึ่งโดยเฉลี่ยคิดเป็นประมาณ 1.5% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ในบางประเทศอาจมีสัดส่วนที่สูงกว่านั้น ทำให้การปลูกข้าวถูกตั้งเป็นเป้าหมายสำหรับการลดก๊าซเรือนกระจก แม้กระทั่งในระดับนโยบายอย่างความตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร โดยเฉพาะการลดใช้น้ำ ที่เปลี่ยนวิธีการจัดการน้ำในแปลงนาจากการท่วมขังต่อเนื่องแบบปกติให้มาเป็นระบบเปียกสลับแห้ง ส่งผลให้ลดปลดปล่อยก๊าซมีเทนได้ถึง 50% และเป็นวิธีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในด้านการสร้างคาร์บอนเครดิต ปัจจุบันมีตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนหลายรายเข้ามามีส่วนร่วมในการรับรองด้านคาร์บอนเครดิตในการผลิตข้าว แต่ด้วยลักษณะของระบบเกษตรกรรมที่ส่วนมากเป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้การดำเนินงานประสบกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งในเชิงปฏิบัติการ ด้านการเงิน และด้านกฎหมาย ทั้งนี้กระบวนการต่าง ๆ ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งอาจนำไปสู่การนำวิธีการลดก๊าซเรือนกระจกมาใช้อย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น Nese Sreenivasulu จาก International Rice Research Institute (IRRI) ประเทศฟิลิปปินส์ บรรยายเรื่อง Low glycemic index and High protein rice to transform food and Nutritional security in Asia (ข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำและโปรตีนสูง เพื่อการเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงทางโภชนาการในเอเชีย) ระบุว่า งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งเน้นด้านการพัฒนาข้าวเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งทีมวิจัยได้พัฒนาข้าวสายพันธุ์ HAHP101 จากการผสมระหว่างข้าว Samba Mahsuri และ IR36 amylose extender โดยมุ่งเป้าไปที่การผลิตข้าวที่มีดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำถึงต่ำมากและมีโปรตีน (PC) สูง โดยผลจากการวิเคราะห์ทางพันธุศาสตร์และเมแทบอลิซึมพบความสำคัญของยีน OsSBEIIb และยีนประกอบอื่น ๆ บนโครโมโซมที่ 2 ที่เชื่อมโยงกับลักษณะ GI ต่ำและ PC สูง (14-16%) ซึ่งได้รับการยืนยันด้วยวิธีปรับแต่งพันธุกรรมที่บริเวณยีนดังกล่าว และ Julie Gray จาก School of Biosciences, University of Sheffield, UK บรรยายเรื่อง Water-saving Rice (ข้าวใช้น้ำน้อย) ระบุว่า พืชต่าง ๆ สามารถสูญเสียน้ำผ่านทางปากใบ โดยพืชสามารถปรับขนาดของปากใบ รวมไปถึงระดับการพัฒนาได้ตามธรรมชาติเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมได้ จากข้อมูลดังกล่าวทางทีมวิจัยสามารถพัฒนาพันธุ์พืชที่มีความหนาแน่นของปากใบมากและน้อยกว่าปกติได้ โดยการปรับระดับของเป็ปไทด์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบเซลล์ผิวใบ ทั้งนี้ พืชที่มีความหนาแน่นของปากใบต่ำจะมีอัตราการสูญเสียน้ำที่ต่ำลง ส่งผลให้ทนแล้งดียิ่งขึ้น เช่น ข้าวที่มีจำนวนปากใบเป็นครึ่งหนึ่งจากปกติจะใช้น้ำเพียง 60% ของปริมาณน้ำตามปกติ ทำให้สามารถอยู่รอดในช่วงภัยแล้งได้ดีและยังคงปริมาณผลผลิตไว้ได้ อีกทั้งพืชลักษณะดังกล่าวยังคงสภาพได้ดีในสภาวะดินเค็ม เนื่องจากเกิดการสะสมของเกลือน้อย ดังนั้นพืชที่มีลักษณะความหนาแน่นปากใบน้อยสามารถรักษาระดับผลผลิตในสภาพที่เครียดได้ ซึ่งอาจช่วยแก้ไขผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารได้  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เนคเทค สวทช. -พันธมิตร โชว์ผลงาน “ต่อกล้าอาชีวะ” ปี 67 คิดค้นนวัตกรรม IoT จากโจทย์จริง”
         โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” ประจำปี 2567 (Young Smart IoT Technician) แถลงความสำเร็จ โดยความร่วมมือจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) โครงการฯ นี้มุ่งพัฒนาทักษะด้าน IoT ให้แก่นักศึกษาอาชีวะ ฝึกทักษะทางด้าน soft skill ในโรงงานจริง เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนมีความพร้อมเป็นนวัตกรในอนาคต (วันที่ 14 พฤศจิกายน 2567) ณ โถงนิทรรศการ ชั้น 2 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่ชาติ (เนคเทค สวทช.) จัดพิธีปิดพร้อมรับมอบโล่ เกียรติบัตร และนำเสนอผลการพัฒนาผลงาน โครงการ "ต่อกล้าอาชีวะ" ปี 2567 : พัฒนา Young Smart IoT Technician โดย ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ให้เกียรติเป็นประธานพิธีปิดโครงการฯ พร้อมด้วย ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา ในฐานะผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เข้าร่วมในพิธีฯ [caption id="attachment_63051" align="aligncenter" width="2560"]          ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า โครงการนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากำลังคนสายอาชีพที่มีคุณภาพและความสามารถสูง สอดคล้องกับพันธกิจของกระทรวง ศึกษาธิการในการสนับสนุนและยกระดับการอาชีวศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อยกระดับการเรียนรู้และพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับการศึกษาสมัยใหม่และมาตรฐานวิชาชีพระดับสากล[/caption] กระทรวงศึกษาธิการจึงมุ่งปรับปรุงหลักสูตร ปวส. ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดและผู้ประกอบการ รวมถึงการจัดทำหลักสูตรระยะสั้นที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรให้มีสมรรถนะสูงขึ้น ขอชื่นชมอาจารย์ที่ปรึกษาและนักศึกษา 19 ทีมจาก 12 วิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์การเรียนรู้นอกห้องเรียนที่ทรงคุณค่า ช่วยเสริมทักษะด้านดิจิทัลและทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 อันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาต่อและการทำงานในภาคอุตสาหกรรม ฝากถึงผู้บริหารสถาบันอาชีวศึกษา ให้ส่งเสริมและสนับสนุนการถ่ายทอดความรู้และการใช้ชุดอุปกรณ์จากโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการเรียนการสอน [caption id="attachment_63053" align="aligncenter" width="2560"]          ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา ในฐานะผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า โครงการ "ต่อกล้าอาชีวะ" มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างกำลังคนในสายอาชีวศึกษาให้มีทักษะสูง สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัย ผ่านการฝึกปฏิบัติจริงและพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาจากสถานการณ์จริงในสถานประกอบการ ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาอาชีวศึกษา พ.ศ. 2560 – 2579 ที่มุ่งเน้นให้การอาชีวศึกษามีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรระดับฝีมือ (ปวช.) ระดับเทคนิค (ปวส.) และระดับเทคโนโลยี (ปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือปฏิบัติการ) รวมถึงการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะให้ตรงกับความต้องการของประเทศ ยกระดับมาตรฐานกำลังคน และตอบโจทย์ภาคธุรกิจและผู้ประกอบอาชีพอิสระในระดับสากล นอกจากนี้ยังขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมทุกช่วงวัย[/caption] สอศ. ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่สนับสนุนและนำเทคโนโลยีนวัตกรรมพร้อมใช้มาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาสมรรถนะของเยาวชนอาชีวศึกษาให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมของประเทศ เราหวังว่าโครงการ "ต่อกล้าอาชีวะ" จะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และสามารถขยายผลไปสู่สถาบันอาชีวศึกษาทั่วประเทศ พร้อมพัฒนาความร่วมมือในการนำเทคโนโลยี IoT และนวัตกรรมพร้อมใช้มาเป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ          คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มูลนิธิสยามกัมมาจลฯ ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้เหมาะสมตามช่วงวัย เพื่อให้มีความรู้ มีความสามารถ มีคุณลักษณะที่ดี มีความคิดสร้างสรรค์ เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง และใช้ศักยภาพของตนเองให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม (Active Citizen) มูลนิธิฯ มุ่งเน้นการสนับสนุนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนากำลังคน ร่วมกับหน่วยงานหลักที่มีพันธกิจหลักในการดำเนินงาน ทั้ง เนคเทค สวทช. และ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพเยาวชนไทย โดยให้การสนับสนุนโครงการพัฒนาเยาวชนมาอย่างต่อเนื่องจึงได้ร่วมมือกับ เนคเทค สวทช. ยาวนานกว่า 12 ปี เพื่อร่วมกันจัดทำ “โครงการต่อกล้าอาชีวะ” เพื่อการพัฒนาทักษะเยาวชนอาชีวศึกษา เตรียมความพร้อมเยาวชนเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ทั้งการพัฒนาทักษะในสายวิชาชีพ ทักษะทางด้านเทคโนโลยี และทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 นอกจากการพัฒนาเยาวชนแล้ว โครงการฯ ยังมีเป้าหมายในการสนับสนุนอาจารย์ทุกคน ให้สามารถนำความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ กลับไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้ โดยมีทีมนักวิจัยและพี่เลี้ยงของเนคเทค เป็นผู้ให้คำปรึกษาและช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างประโยชน์และผลกระทบในวงกว้าง ในระดับห้องเรียน และนำไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรของวิทยาลัยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกวันนี้อีกด้วย          ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” ปี 2567 (Young Smart IoT Technician) เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 มีอาจารย์และน้อง ๆ สมัครเข้าร่วมโครงการ 36 ทีม จากสถาบันอาชีวศึกษา 25 สถาบัน ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศ เป้าหมายคัดเลือกเพียง 19 ทีม จาก 12 สถาบัน ใน 10 จังหวัด ที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับทุนสนับสนุนการพัฒนาผลงาน จำนวน 30,000 บาท ชุดอุปกรณ์สื่อการสอน Rasbery Pie จำนวน 2 ชุด และชุดการสอน IoT Kits จำนวน 1 ชุด ให้กับอาจารย์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดในการเรียนการสอนวิทยาลัย ในปี 2567 โครงการฯ เน้นการพัฒนานำร่องการสร้างกลุ่ม Young Smart Technician ด้วยเทคโนโลยี IIoT ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการยกระดับกระบวนการผลิตสู่ Industry 4.0 และสามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม S-Curve โครงการฯ จัดกิจกรรม forum ร่วมกับสถานประกอบการ เครือข่ายภาคเอกชนของ สวทช. กว่า 50 องค์กร เพื่อรับทราบโจทย์ และความต้องการในการนำเทคโนโลยี IIoT เข้าไปใช้ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังวางแผนพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ที่เหมาะสม ทั้งกับครูผู้สอนและนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา ผ่านการทำโครงงานที่มีโจทย์มาจากสถานประกอบการเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการ เป็นการบูรณาการความรู้จากห้องเรียนไปสู่การประยุกต์ใช้งานจริง นักศึกษาสามารถเลือก IoT Platform ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และการแก้ไขปัญหา รวมไปถึงการพัฒนาทักษะทางด้าน soft skill ต่าง ๆ เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการคิดเชิงสร้างสรรค์ ทักษะการสื่อสาร และทักษะการทำงานเป็นทีม อาจารย์มีทักษะการเป็นโค้ช สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาให้พร้อมไปสู่การทำงานจริง ตลอดระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – ตุลาคม 2567 นักศึกษาเข้าฝึกงานในสถานประกอบการ โดยพัฒนาผลงาน/สิ่งประดิษฐ์ เพื่อนำไป implement ใช้งานจริง ในระหว่างทางการพัฒนาผลงาน ทีมนักวิจัยพี่เลี้ยง มีการให้บริการคลินิกให้คำปรึกษา online และลงพื้นที่ เยี่ยมชม ให้คำปรึกษาติดตามผลการพัฒนาผลงาน และติดตามการฝึกงานในสถานประกอบการของนักศึกษา “เนคเทค ต้องขอขอบคุณสถานประกอบการทั้ง 15 แห่ง เช่น บริษัทสยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด (STM), บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด (น้ำมันพืชกุ๊ก) และ บริษัท อีสเทิร์น ไทย คอนซัลติ้ง 1992 จำกัด ที่เปิดโอกาสรับน้อง ๆ ในโครงการฯ ได้เข้าไปฝึกงาน และมีโจทย์จริงให้น้อง ๆ ได้ฝึกปฏิบัติ ถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับน้อง ๆ ให้พร้อมสู่การทำงาน” ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าว สำหรับตัวอย่างผลงานนวัตกรรม IoT ที่นักศึกษาอาชีวะสามารถนำทักษะจากโจทย์ปัญหาจริงของบริษัทต่าง ๆ ในภาคอุตสาหกรรมไปออกแบบเป็นนวัตกรรม และเริ่มมีการใช้งานจริงในบริษัท แล้ว เช่น นวัตกรรม การพัฒนาระบบ Data Transmission ในไลน์การผลิตเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี IoT เพื่อแก้ปัญหาข้อมูลสูญหายซึ่งเป็นข้อมูลที่นำมาใช้พัฒนาระบบตรวจเช็คประสิทธิภาพของเครื่องจักร และการแก้ปัญหาข้อมูลซ้ำ รวมถึงเพื่อพัฒนาระบบตรวจเช็คประสิทธิภาพของเครื่องจักรเดิมให้เป็นระบบ OEE ให้กับ บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด จากการเก็บข้อมูลสำหรับทดสอบในโครงการพบว่าระบบใหม่สามารถลดปัญหาข้อมูลซ้ำได้ 99% และลดข้อมูลสูญหายได้สูงถึง 100% นวัตกรรม Smart Water Meter ระบบอ่านค่ามิเตอร์น้ำที่นำระบบเทคโนโลยี AIoT เข้ามาช่วยในการพัฒนาระบบอ่านค่าเลขมิเตอร์น้ำ โดยมีการนำอุปกรณ์ไปติดตั้งบนหน้ามิเตอร์น้ำ ซึ่งอุปกรณ์มีคุณสมบัติในการถ่ายภาพและส่งไปยัง Server เพื่อทำการประมวลผลและบันทึกข้อมูลลงใน Database สามารถดูค่าผ่านหน้า Web Application เพื่อแก้ปัญหาให้กับ บริษัท อีสเทิร์นไทย คอนซัลติ้ง 1992 จำกัด สถานประกอบการลดการใช้ทรัพยากร ลดจำนวนแรงงาน และลดเวลาที่ใช้ในกระบวนการ พร้อมทั้งสามารถเก็บข้อมูลที่มีความแม่นยำซึ่งนำไปใช้ในการวิเคราะห์ได้ นวัตกรรม ระบบเฝ้าระวังภัยน้ำท่วมด้วย COOK_SPTC_IoT จากการลงพื้นที่และการรับฟังปัญหาของสถานประกอบการ บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์นํ้ามันพืช จ้ากัด พบว่าอิทธิพลของระดับน้ำในทะเลส่งผลต่อการระบายนํ้าในโรงงาน ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม และอาจจะทำให้เครื่องจักรเสียหายเป็นจำนวนมาก โครงการจึงได้เกิดแนวคิดในการสร้างระบบเฝ้าระวังภัยนํ้าท่วมด้วย COOK_SPTC_IoT) มาช่วยแก้ไขปัญหาให้กับบริษัท เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลและป้องกันภัยน้ำท่วม ที่สามารถดูค่าระดับนํ้าที่จุดต่างๆ ที่ห่างกันที่จอมอนิเตอร์ และสามารถสั่งการแบบ IoT ได้เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ควบคุม นวัตกรรม ระบบตรวจวัดและแสดงผลข้อมูลสภาพแวดล้อมภายในอาคาร พัฒนาร่วมกับ บริษัท ออโต้เทค โกลบอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท System Integrator (SI) พัฒนาระบบตรวจสอบและควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคารที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีการใช้งานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ระบบนี้ใช้เทคโนโลยี IoT ในการวัดค่าต่างโดยเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์และแสดงผลผ่านแดชบอร์ดออนไลน์และ LINE Notify เพื่อติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ ปัจจุบันได้นำไปใช้งานและขยายผลเพิ่มเติม ติดตั้งระบบให้กับโรงพยาลบาลในจังหวัดนครสวรรค์ และโรงพยาบาลยินดีรับนักศึกษาของวิทยาลัยเพื่อเข้าไปฝึกงานในปีต่อ ๆ ไปได้ด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ใช้คลาวด์แบบไม่ต้องกลัวโดนแฮ็กด้วย ‘CYBLION’
  ปัจจุบันเริ่มมีการใช้งานระบบ cloud computing หรือการประมวลผลข้อมูลบนคลาวด์อย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากจะช่วยลดเวลาทำงานได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมของธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ยังมีจุดอ่อนหนึ่งที่ค่อนข้างสร้างความกังวลใจให้แก่ผู้ใช้งาน คือ ‘ความปลอดภัยของข้อมูล’ เพราะหากเกิดข้อมูลรั่วไหลไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจเสียหายใหญ่หลวงถึงขั้นเสียเปรียบทางการแข่งขันหรือถูกดำเนินคดีได้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘CYBLION (ไซบีเลียน)’ แพลตฟอร์มคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่ส่งขึ้นไปประมวลผลบนคลาวด์ ด้วยเทคโนโลยี Fully Homomorphic Encryption (FHE) เพื่อให้คลาวด์ประมวลผลข้อมูลได้โดยไม่ต้องถอดรหัส ปิดช่องโหว่ความปลอดภัยของเทคโนโลยีการประมวลผลที่ใช้งานอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ทั้งนี้การวิจัยและพัฒนาได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)   CYBLION เพิ่มความปลอดภัย ไม่กลัวโดนแฮ็ก [caption id="attachment_62975" align="aligncenter" width="750"] ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ (กลาง) และทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ เนคเทค สวทช.[/caption] ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. อธิบายว่า โดยทั่วไปก่อนจัดส่งข้อมูลไปประมวลผลบนคลาวด์จะมีการเข้ารหัส (encryption) เพื่อป้องกันการดักฟังข้อมูลระหว่างเส้นทางการส่ง เมื่อข้อมูลไปถึงคลาวด์แล้วคลาวด์จะถอดรหัสข้อมูลมาคำนวณ แล้วเข้ารหัสป้องกันอีกครั้งก่อนจัดส่งผลลัพธ์ให้เจ้าของข้อมูล จะเห็นได้ว่าด้วยวิธีการนี้แม้จะมีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลขณะจัดส่ง แต่ก็ยังคงมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยขณะคลาวด์กำลังประมวลผล ซึ่งหากคลาวด์เกิดเหตุรั่วไหล โดนโจรกรรม หรือผู้ให้บริการคลาวด์นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของข้อมูลก็อาจได้รับความเดือดร้อนอย่างมหาศาล ดังที่เคยเกิดเหตุการณ์กับบริษัทในอุตสาหกรรมการเงิน การแพทย์ ผู้ผลิตอุปกรณ์ดิจิทัล รวมไปถึงการทหาร “เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว ทีมวิจัยได้พัฒนาแพลตฟอร์ม CYBLION ขึ้นด้วยเทคนิค FHE ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี Privacy-Enhancing Computation (PEC) เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทย กลไกการทำงานของ CYBLION คือ การเข้ารหัสแบบพิเศษที่ส่งข้อมูลไปประมวลบน PEC-Cloud ได้โดยไม่จำเป็นต้องถอดรหัสเพื่อคำนวณข้อมูล ผู้เดียวที่จะมีกุญแจถอดรหัสข้อมูลทั้งข้อมูลดิบและข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้วคือเจ้าของข้อมูลเท่านั้น ทำให้วิธีการนี้มีความปลอดภัยสูงกว่าเดิมมาก แม้เกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ผู้ที่ได้รับข้อมูลไปจะไม่สามารถเปิดดูข้อมูลได้” ปัจจุบันทีมวิจัยเปิดให้ใช้งานระบบ CYBLION แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย ระบบนี้เหมาะกับ SI (System Integrator) รวมถึงผู้ออกแบบและพัฒนาระบบ IoT (Internet of Things) และ IIoT (Industrial Internet of Things) ที่สนใจใช้งาน PEC-Cloud “ทีมวิจัยออกแบบระบบ CYBLION ให้ใช้งานง่ายทุกขั้นตอน โดยปรับแต่งฟังก์ชันการคำนวณ (โจทย์ที่ต้องการประมวลผลข้อมูลบนคลาวด์) เป็นแบบการเชื่อมต่อโหนด (node) หรือไม่ต้องเขียนโคด ทำให้ผู้ใช้งานที่ไม่เชี่ยวชาญด้านการเขียนโคดเพื่อการคำนวณผ่านคลาวด์มาก่อนสามารถเรียนรู้เพื่อใช้งานระบบนี้ได้” ดร.กลิกากล่าว     คลาวด์ปลอดภัยเอื้อเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโต ดร.กลิกา อธิบายเสริมว่า การที่เทคโนโลยีคลาวด์มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยโดยเฉพาะด้านธนาคารและการแพทย์ เพราะจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการยกระดับการให้บริการ โดยยังคงรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่เป็นความลับ เช่น ในอนาคตสถานพยาบาลแต่ละแห่งอาจเข้าถึงประวัติการรักษาของผู้ป่วยที่เคยเข้ารักษาจากสถานพยาบาลอื่นได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น นอกจากนี้ยังนำเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยของระบบคลาวด์ไปใช้สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี AI ด้านการแพทย์ประเภทต่าง ๆ เช่น  AI ช่วยวินิจฉัยโรคเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการรักษา ระบบแฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (digital twin in healthcare) ส่วนทางด้านอุตสาหกรรมการเงิน ตัวอย่างเด่นเช่นการที่แต่ละธนาคารแลกเปลี่ยนข้อมูลรูปแบบการโดนลอบโจรกรรมแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ธนาคารอื่น ๆ รู้เท่าทันและป้องกันภัยล่วงหน้าได้อย่างทันท่วงที     “อีกหนึ่งภาคส่วนของประเทศไทยที่จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งจากเทคโนโลยี PEC คือ อุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ เพราะเทคโนโลยีนี้จะเอื้อให้ผู้ประกอบการระดับ SMEs ก้าวกระโดดจากอุตสาหกรรรม 2.0 ไป 4.0 ได้ง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมาแม้ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่จะทราบแล้วว่าการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรือการนำระบบ IIoT มาใช้งานจะเป็นประโยชน์ทั้งด้านการลดเวลา ความสิ้นเปลือง และยังช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจจากการมีสายการผลิตที่มีคุณภาพ แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยของระบบคลาวด์ และขาดความพร้อมที่จะลงทุนเทคโนโลยีเซิร์ฟเวอร์เพื่อใช้ประมวลผลข้อมูลจากอุปกรณ์ IIoT ด้วยตัวเอง ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงตัดสินใจชะลอการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี เพราะมองว่าแทนที่จะเกิดประโยชน์หากเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลอาจกลายเป็นภัยร้ายแรงต่อธุรกิจแทนได้ ดังนั้นระบบ PEC ที่ได้มาตรฐานในราคาค่าบริการที่จับต้องได้ จึงถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้อุตสาหกรรมการผลิตไทยเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว     “ณ ขณะนี้ นอกจากประเทศไทยที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี PEC เป็นของตัวเองและกำลังอยู่ในช่วงทดสอบการให้บริการแล้ว หลายประเทศที่เป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกก็เริ่มให้บริการเทคโนโลยี PEC อย่างเป็นรูปธรรมแล้วเช่นกัน เช่น Zama บริษัทสัญชาติฝรั่งเศสและ TripleBlind บริษัทสัญชาติอเมริกัน ที่ให้บริการเทคโนโลยี PEC แก่อุตสาหกรรมการแพทย์ การเงิน และอุตสาหกรรมการผลิต อีกหนึ่งตัวอย่างเด่น คือ Tune Insight บริษัทสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่ให้บริการเทคโนโลยี PEC ด้านระบบความมั่นคงไซเบอร์ (cybersecurity) เพิ่มเติมอีกด้านหนึ่งด้วย” แม้เทคโนโลยี PEC จะถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังมีการพัฒนาและใช้งานไม่แพร่หลายนัก แต่ด้วยแนวโน้มการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีความปลอดภัยของระบบคลาวด์และข้อมูลดิจิทัลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังที่หลายประเทศเริ่มมีการออกกฎหมายหรือนโยบายสนับสนุนแล้ว ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเทคโนโลยี PEC จะก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในไม่ช้า ดังนั้นการที่ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาและให้บริการระบบเหล่านี้ด้วยตัวเอง จะเป็นหนึ่งในกลไกสนับสนุนสำคัญที่ทำให้คนไทยก้าวกระโดดสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้แบบไม่ตกขบวน สำหรับผู้ที่สนใจทดลองใช้งานแพลตฟอร์ม CYBLION ติดต่อสอบถามได้ที่คุณจิรัฐติกาล ทรัพย์สมบูรณ์ ฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประมวลผล เนคเทค สวทช. อีเมล business@nectec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. เดินหน้ายกระดับเกษตรกร พร้อม Train the Trainer เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML พืชทางเลือกหลังนา พร้อมใช้ ‘ตลาดนำการผลิต’ สร้างรายได้ยั่งยืน
     (วันที่ 12 - 13 พฤศจิกายน 2567) ณ โรงแรมเจพี เอมเมอรัลด์ (JP Emerald Hotel) จังหวัดยโสธร: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) จัดอบรม เชิงปฏิบัติการเทคโนโลยีการผลิตพืชหลังนาแบบครบวงจร: ถั่วเขียวพันธุ์ KUML ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ (1) กลุ่ม Train the trainer ได้แก่ กลุ่มเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร และเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในจังหวัดยโสธร และ (2) กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ จ.ยโสธร เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการปลูกถั่วเขียว KUML อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมถึงยกระดับเกษตรกรให้สามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์จริง สร้างรายได้เสริม อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการเผาฟางข้าวและเศษวัสดุทางการเกษตร ซึ่งส่งผลดีต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ภายในงานได้มีการมอบปัจจัยการผลิตให้กับเกษตกร โดย สวทช. สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML เบอร์ 4 และปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียม และสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธรสนับสนุนเชื้อราไตรโคเดอร์มาให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเพื่อใช้ในการปลูกหลังฤดูทำนาปีนี้อีกด้วย          นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร กล่าวว่า จังหวัดยโสธรมีความพร้อมในการขับเคลื่อนการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรหลังฤดูทำนา โดยการร่วมมือกันของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร และภาคเอกชน ในการเป็นตลาดรับซื้อถั่วเขียวพันธุ์ KUML สำหรับถั่วเขียวพันธุ์ KUML นอกจากจะเป็นพืชที่สร้างรายได้แก่เกษตรกรหลังฤดูทำนาแล้ว ยังช่วยในการบำรุงดินด้วย พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรลดการเผาฟางข้าวหลังฤดูทำนา หันมาปลูกพืชอายุสั้น สร้างรายได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้การอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการมีองค์ความรู้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถส่งเสริมให้พี่น้องเกษตรกรปลูกถั่วเขียวพันธุ์ KUML ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถกระจายสู่ทุกอำเภอภายในจังหวัดยโสธร เกิดการสร้างอาชีพที่ยั่งยืนในชุมชน พร้อมทั้งเป็นการรณรงค์งดการเผาตอซัง หันมาสร้างรายได้หลังการทำนาแก่พี่น้องเกษตรกร          นายนพดล ผุดผ่อง เกษตรจังหวัดยโสธร กล่าวว่า วัตถุประสงค์การจัดอบรมครั้งนี้เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML ให้กับนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรระดับอำเภอ, ระดับจังหวัด, เกษตรอำเภอของสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร และเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รวม 100 คน ให้มีองค์ความรู้การปลูกถั่วเขียวพันธุ์ KUML ตามหลักวิชาการ สามารถนำความรู้ไปส่งเสริมการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ รวมถึงเกษตรกรที่ผ่านการประเมินคัดเลือกของ สวทช. ร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอและจังหวัด จำนวน 350 ราย เพื่อให้เกษตรกรมีองค์ความรู้ทั้งเทคนิคการปลูก การเก็บเกี่ยว และการรักษาเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวพันธุ์ KUML อย่างมีประสิทธิภาพ          นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) กล่าวว่า ถั่วเขียวถือเป็นพืชทางเลือกที่สำคัญสำหรับเกษตรกรไทยในช่วงหน้าแล้งหลังการทำนา เนื่องจากเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย เก็บเกี่ยวได้เร็ว และยังช่วยบำรุงดิน สวทช. ในฐานะหน่วยงานในกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พัฒนาถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML จำนวน 6 สายพันธุ์ ที่ให้ผลผลิตสูงถึง 300 กิโลกรัมต่อไร่ มีเมล็ดขนาดใหญ่ และต้านทานต่อโรคราแป้งและใบจุด เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ขาดแคลนน้ำช่วงฤดูแล้ง โครงการขยายผลการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ได้รับการสนับสนุนจาก ธ.ก.ส. โดยใช้กลไก "ตลาดนำการผลิต" ผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนในการรับซื้อผลผลิต ได้แก่ บริษัท กิตติทัต จำกัด รับซื้อถั่วเขียวปลอดภัยในจังหวัดสุพรรณบุรี สุรินทร์ และศรีสะเกษ เพื่อแปรรูปเป็นถั่วกะเทาะซีกปีละ 4,000 ตัน และบริษัท ข้าวดินดี จำกัด รับซื้อถั่วเขียวอินทรีย์ในจังหวัดอำนาจเจริญเพื่อแปรรูปเป็นพาสต้าปีละ 20 ตัน          ในปี พ.ศ. 2566 ได้นำร่องในจังหวัดยโสธร 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทาและไทยเจริญ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตา ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้ให้เกษตรกร โดยกลุ่มแรกมีรายได้สุทธิ 28,650 บาท และกลุ่มที่สองมีรายได้สุทธิ 31,175 บาท โดยหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตเกษตรกรยังสามารถไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดินได้ ทำให้ลดการใส่ปุ๋ยในนาข้าวลงได้ ล่าสุดปี พ.ศ. 2567 สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจาก ธ.ก.ส. ในการขยายผลสู่ 17 กลุ่มใน 8 อำเภอของจังหวัดยโสธร แบ่งเป็นกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ 2 กลุ่ม และกลุ่มผลิตเพื่อการค้า 15 กลุ่ม โดย สวทช. สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ 1,750 กิโลกรัม พร้อมปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียม และจัดอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบครบวงจร การดำเนินงานนี้นอกจากจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรแล้ว ยังช่วยปรับปรุงบำรุงดินสำหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลถัดไปอีกด้วย ภายในการอบรมฯ ผู้เข้าอบรมทุกท่านได้เรียนรู้ตั้งแต่ภาคทฤษฎีการผลิตอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคการปลูกถั่วเขียวเพื่อยกระดับคุณภาพและปริมาณผลผลิต การเก็บเกี่ยว การบริหารจัดการหลังเก็บเกี่ยว การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ บรรยายโดย รองศาสตราจารย์ประกิจ สมท่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน อีกทั้งยังได้ทราบแนวทางของตลาดรับซื้อถั่วเขียว KUML จากนางสาวเนาวลักษณ์ แสงสุวรรณ สหกรณ์เกษตรอินทรีย์นกทาและไทยเจริญ จำกัด ไปจนถึงแนวทางการพิจารณาสินเชื่อบุคคลและวิสาหกิจชุมชนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดยโสธร นอกจากนี้นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาสุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. ยังได้จัดกิจกรรมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าอบรมกลุ่ม Train the trainer ได้ลงมือปฏิบัติจริงในการจัดทำสื่อการสอนและทดลองนำเสนอให้กับกลุ่มเกษตรกรอีกด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กพร. จับมือ เอ็มเทค สวทช. จัดสัมมนาสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยการออกแบบสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ประกอบการไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
(วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567) ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี:กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.)  กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดสัมมนาสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยการออกแบบสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Creating Business Opportunities through Circular Economy Design)  ย้ำความสำเร็จของโครงการฯ การประยุกต์ใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)  ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ และกระบวนการของสถานประกอบการเพื่อลดใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ดร.ธีรวุธ  ตันนุกิจ ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.)  กล่าวว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)  ถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือที่เรียกว่า BCG Model โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่จำกัดให้น้อยที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มสัดส่วนการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้มากขึ้น รักษาคุณค่าของทรัพยากรในระบบและหมุนเวียนใช้ให้นานที่สุด และลดการปลดปล่อยของเสียออกจากระบบให้น้อยที่สุด เพื่อก่อให้เกิดรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน กพร. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดหาและบริหารจัดการวัตถุดิบ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ทั้งวัตถุดิบจากแหล่งแร่ธรรมชาติ และวัตถุดิบทดแทนที่ได้จากการรีไซเคิลขยะหรือของเสียเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย โดยคำนึงถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเกิดประโยชน์และมูลค่าเพิ่มสูงสุดตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน อีกทั้งได้รับมอบหมายให้เป็น Focal Point ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน Circular Economy ของประเทศ โดยมี เอ็มเทค เป็นที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการในปีที่ 3 ภายหลังจากผลการดำเนินโครงการในช่วงปี 2565 – 2566 ที่ผ่านมานั้นประสบผลสำเร็จในการดำเนินงานเป็นอย่างมาก ในการส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้ประกอบการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ (Design for Circular Economy)  ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัตถุดิบ การใช้งาน การจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งานหรือไม่ใช้แล้ว ซึ่งรวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการซ่อมแซม ยืดอายุการใช้งาน หรือรีไซเคิล ซึ่งในปีนี้ผลของการดำเนินโครงการได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน และมีตัวอย่างผลสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการและได้รับคำปรึกษาแนะนำเชิงลึกจาก เอ็มเทคจำนวน 3 ราย โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากต้นทุนที่ลดลงหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมไม่ต่ำกว่า 142.45 ล้านบาทต่อปี และหากมีการนำต้นแบบที่ได้พัฒนาตามแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ จะสามารถ ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ไม่ต่ำกว่า 880 ตันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (เทียบเท่า)  ต่อปี ยังไม่นับรวมมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และจากผลสำเร็จที่เกิดขึ้นประกอบกับยังมีผู้ประกอบการอีกเป็นจำนวนมากให้ความสนใจ กพร. จึงได้พิจารณาขยายผลการดำเนินโครงการไปสู่ปีที่ 4 ในปีงบประมาณ 2568 เพื่อขยายเครือข่ายผู้ประกอบการที่นำหลักการ Circular Economy ไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมคาร์บอนต่ำที่มีการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า การจัดสัมมนา สร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยการออกแบบสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Creating Business Opportunities through Circular Economy Design) ในวันนี้ เป็นกิจกรรมหนึ่งภายใต้ “โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยได้รับการสนับสนุนจาก กองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ Circular Economy ที่มีการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับนโยบายและทิศทาง การพัฒนาประเทศของรัฐบาล ถ่ายทอดประสบการณ์การประยุกต์ใช้แนวทาง Design for Circular Economy ของอุตสาหกรรมไทย  เพื่อพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมให้มีการประยุกต์หลักคิด Circular Economy ในการออกแบบ โดยเอ็มเทค ได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ของกลุ่มวิจัย ผนวกกับการใช้กลไกเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของเอ็มเทคที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศ เป็นพี่เลี้ยงให้แก่ผู้ประกอบการโดยถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้องในรูปแบบการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกผ่านการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัตถุดิบ การใช้งาน การจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งานหรือไม่ใช้แล้ว ตามหลักคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน “เอ็มเทค สวทช. เป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยและพัฒนาที่พร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีวัสดุและการผลิตด้วยพันธกิจและความเชี่ยวชาญของทีมวิจัยในการพัฒนาและสร้างขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีวัสดุให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชน ต้องขอขอบคุณ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้ให้ความไว้วางใจเอ็มเทค เป็นที่ปรึกษาในการดำเนินงาน“โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy)  เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และขอขอบคุณบริษัทผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรมของโครงการ รวมทั้งผู้ที่ได้ร่วมกันผลักดันโครงการนี้ให้เกิดผลสำเร็จในการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการให้มีการประยุกต์หลักคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในการออกแบบ และมีตัวอย่างผลสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างยั่งยืน” ดร.อศิรา กล่าว สำหรับตัวอย่างความสำเร็จของผู้ประกอบการที่เข้าร่วม “โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน” ขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในขับเคลื่อน Circular Economy ของประเทศ และมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามนโยบายรัฐบาล โดยมี เอ็มเทค เป็นที่ปรึกษาโครงการ เช่น บริษัท คอทโก้ พลาสติกส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หนังเทียม และแผ่นพลาสติกพีวีซี ชั้นนำ ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ได้วิจัยพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบริษัทฯได้ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการต้นแบบของโครงการฯ เพื่อพัฒนาหนังเทียมพีวีซีคุณภาพสูงที่ปราศจากสารอันตราย เพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และมาตรการของประเทศที่บังคับไม่ให้มีสาร Phthalate และ CPs และสามารถเข้าสู่กระบวนการหมุนเวียนเป็น “วัสดุรอบสอง (Secondary Materials) ได้อย่างปลอดภัย ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. และบริษัทฯ ร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลและประเมินหาโซลูชันที่เหมาะสม ซึ่งนำมาสู่แนวคิดการพัฒนาหนังเทียมพีวีซีสูตรใหม่ที่ไม่ใช้สารอันตรายอย่าง Phthalate และ Chlorinated Paraffins  พบว่าการผลิตหนังเทียมสูตรใหม่นี้ ผ่านเกณฑ์การทดสอบการลามไฟ มีสมบัติเชิงกลที่ใกล้เคียงกับสูตรเดิม และไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์โดยรวมแสดงให้เห็นว่าสูตรการผลิตใหม่สามารถนำมาใช้ทดแทนสูตรเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาการผลิตหนังเทียมที่ปราศจากสารอันตรายนี้ สะท้อนถึงการสร้างคุณค่า (Value Creation) และ การคงคุณค่า (Value Retention)  เพื่อนำทรัพยากรหมุนเวียนมาใช้ให้นานที่สุดตั้งแต่ต้นทาง ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและทิศทางของการพัฒนาประเทศที่มุ่งสู่ความยั่งยืนโดยทางบริษัทฯ ทั้งนี้ภายในงานยังมีตัวอย่างความสำเร็จของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการอีกมากมาย เช่น บริษัท ยูเนี่ยนไพโอเนียร์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท กรีนสปอต จำกัด และบริษัทอื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการในปีที่ 1 และ 2 เป็นต้น  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เยาวชนไทยทีมแอสโทรนัตเข้าคารวะเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว หลังคว้าแชมป์นานาชาติ The 5th Kibo-RPC
  วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พา 4 เยาวชนไทยทีมแอสโทรนัต เข้าพบ นายวิชชุ เวชชาชีวะ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว เพื่อรายงานผลการแข่งขันโครงการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์นานาชาติ ซึ่งเยาวชนไทยสามารถคว้าแชมป์ระดับนานาชาติ สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ นายวิชชุ เวชชาชีวะ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ได้กล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีกับเยาวชนทีมแอสโทรนัต โดยเน้นย้ำให้เยาวชนนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือและสนับสนุนในทุกมิติของสังคมไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ด้าน นายธรรญธร ไชยกายุต นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า หัวหน้าทีมแอสโทรนัต กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้ทุ่มเทฝึกฝนและใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์ที่ใช้งานจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งจากการได้เข้าร่วมแข่งขันครั้งนี้ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีมาก ตั้งใจนำความรู้ด้านเทคโนโลยีขั้นสูงที่ได้รับกลับไปพัฒนาตนเองและประเทศชาติต่อไป เยาวชนทีมแอสโทรนัตทั้ง 4 คน ประกอบด้วย นายธรรญธร ไชยกายุต ชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นายชิษณุพงศ์ ประทีปพงศ์ ชั้นปีที่ 1 สาขากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล นายชยพล เดชศร ชั้นปีที่ 1 สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล นายสิรวิชญ์ แพร่วิศวกิจ ชั้นปีที่ 1 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผู้สนับสนุนการเดินทางเข้าร่วมแข่งขัน : บริษัท เดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และ บริษัท 168 ลัคกี้เทรด จำกัด
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไทยสุข : ThaiSook แอปฯ เพื่อสุขภาพคนไทย
ไทยสุข (ThaiSook) แอปพลิเคชันเพื่อสุขภาพสำหรับคนไทย สร้างแรงบันดาลใจในการดูแลตัวเอง เชื่อมต่อสมาร์ตวอทช์ พร้อม AI ตรวจสอบ แม่นยำ โหลดเลย! ทั้ง Android และ iOS
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เยาวชนไทยคว้าแชมป์นานาชาติ การแข่งขันเขียนโปรแกรม ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ผู้ช่วยนักบินอวกาศ ของ NASA
  เยาวชนตัวแทนประเทศไทย ‘ทีมแอสโทรนัต" จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คว้ารางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศแอสโตรบี (Astrobee) ของ NASA ที่ปฏิบัติงานอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ในโครงการคิโบะ โรบอต โปรแกรมมิง ชาเลนจ์ ครั้งที่ 5 (The 5th Kibo Robot Programming Challenge) ซึ่งมีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันจาก 12 ชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ดำเนินการจัดแข่งขันโครงการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์ประเทศไทย โดยทีมแอสโทรนัต (Astronut) เป็นทีมชนะเลิศ และเป็นทีมตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันในรอบชิงแชมป์นานาชาติ ณ ศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการเดินทางจากบริษัท เดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และ บริษัท 168 ลัคกี้เทรด จำกัด   [caption id="attachment_62911" align="aligncenter" width="750"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]   ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ทีมแอสโทรนัต ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ได้แก่ นายธรรญธร ไชยกายุต ชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นายชิษณุพงศ์ ประทีปพงศ์ ชั้นปีที่ 1 สาขากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล นายชยพล เดชศร ชั้นปีที่ 1 สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล และนายสิรวิชญ์ แพร่วิศวกิจ ชั้นปีที่ 1 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้เข้าร่วมการแข่งขัน The 5th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์นานาชาติ เมื่อวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดยองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือแจ็กซา (JAXA) และถ่ายทอดสดทาง YouTube ช่อง JAXA จากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนักบินอวกาศนาซา เจเน็ต เอปส์ (Janet Epps) ทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขันอยู่บนห้องทดลองคิโบะโมดูล สถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อค้นหาสุดยอดทีมเยาวชนจากทั่วโลก ที่สามารถทำคะแนนได้สูงสุดในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ให้ปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมสถานีอวกาศ ซึ่งมีตัวแทนเยาวชนจาก 12 ชาติ เข้าร่วมการแข่งขัน เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย “ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมแอสโทรนัต จากประเทศไทย คว้ารางวัลชนะเลิศมาครองได้สำเร็จ ถือเป็นการแสดงความสามารถในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษา JAVA ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ที่อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติให้เคลื่อนที่ไปอ่าน QR Code และยิงแสงเลเซอร์เข้าเป้าหมายทำคะแนนได้สูงเป็นอันดับที่ 1 ของการแข่งขัน สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในเวทีระดับนานาชาติ จากความสำเร็จของเยาวชนไทยในครั้งนี้ สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยาวชนทั้งสี่คนจะได้เรียนรู้ และได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่า สามารถนำมาแบ่งปัน ต่อยอด รวมทั้งถ่ายทอดให้แก่เพื่อน ๆ เยาวชนไทยรุ่นต่อไป”   ด้าน นายธรรญธร ไชยกายุต นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า หัวหน้าทีมแอสโทรนัต กล่าวถึงความรู้สึกหลังทราบผลการแข่งขันว่า พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่คว้าชัยชนะครั้งนี้มาได้ ต้องขอบคุณความตั้งใจและความพยายามของทุกคนในทีม แม้จะเจออุปสรรคจากสภาพแวดล้อมจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ แต่เราก็เตรียมตัวรับมือไว้ล่วงหน้า ทำให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แถมยังทำเวลาได้ยอดเยี่ยมอีกด้วย การได้นำโค้ดที่เราพัฒนาไปใช้จริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่จะนำไปปรับใช้และต่อยอดต่อไปในอนาคตได้อย่างแน่นอน   “นอกจากการแข่งขัน พวกเรายังได้เยี่ยมชมองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นที่เมืองสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น รู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นการทำงานของห้องควบคุมปฏิบัติการ (Mission Control Room) ที่คอยติดต่อสื่อสารกับสถานีอวกาศนานาชาติ ได้เห็นศูนย์ฝึกนักบินอวกาศ (Astronaut Training Center) และได้รับประโยชน์มากมายในด้านองค์ความรู้ที่ใช้ในการปฏิบัติการในอวกาศ ที่สำคัญตลอดการทำกิจกรรมยังได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ต่างชาติมากมาย ทั้งญี่ปุ่น เนปาล ทำให้ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานซึ่งกันและกัน สุดท้ายต้องขอขอบคุณ สวทช. และ JAXA ที่จัดการแข่งขันนี้ขึ้นมา รวมทั้งขอขอบคุณบริษัทเอกชนและผู้มีส่วนร่วมอื่น ๆ ที่สนับสนุนการเดินทางเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้พวกเราได้สัมผัสใกล้ชิดกับการเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ในอวกาศ และมีโอกาสพูดคุยกับนักบินอวกาศ คุณโนริชิเงะ คะไน (Norishige Kanai) ที่มีประสบการณ์ภารกิจที่สถานีอวกาศนานาชาติมาแล้ว” ทั้งนี้ ทีมแอสโทรนัต สามารถคว้ารางวัลอันดับ 1 มาครอง ด้วยคะแนน 253.09 คะแนน ส่วนรางวัลอื่น ๆ ได้แก่ รางวัลอันดับ 2 ฟิลิปปินส์ 250.88 คะแนน และรางวัลอันดับ 3 บังคลาเทศ 153.92 คะแนน สามารถรับชมการแข่งขันย้อนหลังได้ทาง YouTube ของ JAXA ที่ลิงก์ https://www.youtube.com/live/v-ZtCfUONVU ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวโครงการกิจกรรมวิทยาศาสตร์อวกาศสำหรับเยาวชนได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation และแฟนเพจ NSTDA SPACE Education  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์