หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ผู้อำนวยการสวทช. พร้อมทีมนักวัสดุคำนวณไทยเข้าร่วมการประชุม ACCMS-11 ณ ประเทศญี่ปุ่น
วันที่ 1 มิถุนายน 2568 - เมืองโยโกฮามะ ประเทศญี่ปุ่น - ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้รับเกียรติเป็นผู้กล่าวปาฐกถาเปิดการประชุมวิชาการ The 11th General Conference of the Asian Consortium on Computational Materials Science (ACCMS-11) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2568 ณ เมืองโยโกฮามะ ประเทศญี่ปุ่น การประชุม ACCMS-11 มีหน่วยงานหลักที่ร่วมจัดคือ ACCMS Global Research Centre, Yokohama National University และ Tohoku University โดยภายในงานมีการบรรยายจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ การนำเสนอผลงานวิจัยทั้งในรูปแบบการบรรยายและโปสเตอร์ ครอบคลุมหัวข้อที่หลากหลายในวัสดุศาสตร์เชิงคำนวณ เช่น การพัฒนาวิธีการคำนวณใหม่ ๆ การประยุกต์ใช้ในวัสดุประเภทต่าง ๆ อาทิ วัสดุสำหรับพลังงาน วัสดุอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุชีวภาพ และวัสดุโครงสร้าง รวมถึงการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการวิจัยวัสดุ การประชุมครั้งนี้ มีนักวิจัยเข้าร่วมงานกว่าสองร้อยคน จากทั่วโลก โดยได้รับเกียรติจาก Steven G. Louie, Distinguished Professor of the Graduate School at the University of California at Berkeley (UC Berkeley), Talk Title: "Novel States in 2D Materials and Moire Structures: Many-Electron Interactions and Topological Effects" เป็น Plenary Speaker และมี Keynote Speaker ที่มีชื่อเสียงดังนี้ 1. Dr. Mohammad Khazaei, Assistant professor in the Department of Physics at the University of Tehran, Iran. Talk Title: From MAX phases to MXenes: A First-Principles Exploration 2. Prof. Umesh Waghmare, Professor, Jawaharlal Nehru Centre for Advanced Scientific Research, India, Talk Title: "Sensing Vibrations Using Quantum Geometry of Electrons" 3. Dr. Kwang-Ryeol Lee, Tenured fellow and Principal Research Scientist, Computational Science Research Center, Korea Institute of Science and Technology (KIST), Korea, Talk Title: "Standardization of AI Ready Materials Research Data Schema and Vocabulary" สำหรับนักวิจัยไทยที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย อาจารย์ นักวิจัย และ นักศึกษาปริญญาเอก จากหน่วยงานวิจัย และ มหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ รวมกว่า 20 คน ในการเข้าร่วมการประชุมวิชาการครั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้สร้างเครือข่าย หารือการนำผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์จริง สามารถตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาจริงให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและประชาคมโลกได้ ซึ่งการวิจัยและพัฒนาด้านวัสดุศาสตร์และวัสดุศาสตร์เชิงคำนวณ มีส่วนสำคัญในการวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเป็นอย่างมากตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา ทำให้คุณภาพชีวิตได้ถูกพัฒนาและยกระดับขึ้นตามความก้าวหน้าของวิทยาการขั้นสูงที่เกิดขึ้น และ ยังได้มีการชักชวนให้นักวิจัยให้มาร่วมใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC หรือ LANTA) ที่สามารถรองรับงานวิจัยเชิงคำนวณขนาดใหญ่ ซึ่ง สวทช. บริหารจัดการ โดยได้รับความสนใจจากนักวิจัยทั้งในส่วนของนักวิจัยไทยและต่างประเทศ ในงานเลี้ยงอาหารเย็นของการประชุม ACCMS-11 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ได้รับการประกาศเป็นผู้รับรางวัลเกียรติยศ ACCMS Lifetime Achievement Award โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ โยชิยูกิ คาวาโซเอ (Prof. Emeritus Yoshiyuki Kawazoe) ผู้ก่อตั้งและประธานคนแรกของ ACCMS เป็นผู้มอบรางวัล ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน ACCMS และมีความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องยาวนานกับการประชุม ACCMS ทั้งในส่วนของการประชุมหลัก และการประชุมย่อยต่างๆ รวมทั้งเคยเป็นผู้นำในจัดการประชุม ACCMS General Meeting ครั้งที่ 7 (ACCMS-7) ที่ประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 พร้อมจัดทำ Special Issue: Proceedings of The Seventh Conference of the Asian Consortium on Computational Materials Science (ACCMS-7)" ตีพิมพ์เมื่อปี 2557 อีกด้วย การประชุม ACCMS-11 เป็นการประชุมวิชาการหลักที่จัดแบบปีเว้นปีเวียนไปในประเทศสมาชิกต่างๆ โดย Asian Consortium on Computational Materials Science (ACCMS) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ซึ่ง ACCMS เป็น consortium ที่ก่อตั้งขึ้นโดยนักวิจัยด้านวัสดุศาสตร์เชิงคำนวณและนักเคมีคำนวณจากสถาบันชั้นนำต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นเวทีสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัยล่าสุด เสริมการเรียนรู้การใช้โปรแกรมคำนวณใหม่ๆ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือในสาขาการคำนวณทางวัสดุศาสตร์ ซึ่งเป็นสหวิทยาการที่ประยุกต์ใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์และการจำลองสถานการณ์เพื่อทำความเข้าใจ ออกแบบ และค้นพบวัสดุใหม่ ๆ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Solar Sure แพลตฟอร์มตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์ปลดระวาง สร้างความคุ้มค่าแผงโซลาร์ฯ มือสอง
  ปัจจุบันเทรนด์การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย โดยเฉพาะโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากประชาชนและภาคธุรกิจหันมาพึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดผลกระทบจากราคาค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดีแม้โซลาร์เซลล์จะเป็นทางเลือกด้านพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญ แต่หากไม่มีการวางแผนการบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์ที่ปลดระวางแล้วอย่างเหมาะสม โซลาร์เซลล์จะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่หวนกลับมาทำร้ายโลกอีกครั้ง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา "Solar Sure (โซลาร์ ชัวร์)" แพลตฟอร์มจัดการข้อมูลและคัดกรองคุณภาพโซลาร์เซลล์ เพื่อเป็นตัวช่วยในการนำแผงโซลาร์เซลล์ที่ใช้งานแล้วแต่ยังมีสมรรถนะสูงให้กลับมาใช้ซ้ำได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสม   [caption id="attachment_69759" align="aligncenter" width="750"] ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีปริมาณการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ประมาณ 8 กิกะวัตต์ คิดเป็นจำนวนแผงไม่น้อยกว่า 40 ล้านแผง น้ำหนักไม่น้อยกว่า 600,000 ตัน  เมื่อแผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้ถูกปลดระวางด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น ชำรุด เสื่อมสภาพ ประสบเหตุการณ์ภัยพิบัติ พื้นที่ถูกนำไปใช้งานอื่น หรือผู้ประกอบการขายไฟฟ้าคุ้มทุนแล้ว แผงโซลาร์เซลล์บางส่วนจะถูกนำไปขายต่อเป็นแผงมือสอง “แผงโซลาร์เซลล์มือสองที่มีการซื้อ-ขายกันในปัจจุบัน ยังไม่มีเกณฑ์ตรวจสอบแบ่งเกรดแผงที่ยังใช้ได้ ทำให้แผงโซลาร์เซลล์มีหลายระดับคุณภาพ ราคามีความหลากหลาย ไม่มีการกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจน ซึ่งบางครั้งผู้ซื้อก็ประสบปัญหาถูกหลอกลวง ได้รับสินค้าที่ใช้งานไม่ได้หรือเป็นของที่มีคุณภาพไม่คุ้มกับราคาที่จ่าย รวมทั้งไม่ปลอดภัยต่อการใช้งาน ส่วนแผงที่แตกหักเสียหายอย่างชัดเจนจะถูกนำไปฝังกลบ เนื่องจากเป็นวิธีกำจัดที่ต้นทุนต่ำสุด”   [caption id="attachment_69764" align="aligncenter" width="750"] โซลาร์ฟาร์ม[/caption] [caption id="attachment_69763" align="aligncenter" width="750"] โซลาร์เซลล์ที่ปลดระวางแล้ว[/caption]   ทุกวันนี้เริ่มมีการปลดระวางแผงโซลาร์เซลล์จากโซลาร์ฟาร์ม และในไม่ช้าจะมีปริมาณแผงโซลาร์เซลล์ที่ถูกปลดระวางจำนวนมาก ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแพลตฟอร์มการจัดการแผงโซลาร์เซลล์มารองรับสถานการณ์ เพื่อส่งเสริมการใช้ซ้ำแผงโซลาร์เซลล์ให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด     ดร.อมรรัตน์ กล่าวว่า Solar Sure เป็นแพลตฟอร์มตรวจคัดกรองโซลาร์เซลล์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว โดยแพลตฟอร์มจะมีซอฟต์แวร์ประเมินระดับคุณภาพและเก็บข้อมูลว่าแผงโซลาร์เซลล์นั้นยังมีประสิทธิภาพเหลืออยู่เท่าใด ปลอดภัยต่อการนำกลับมาใช้งานหรือไม่ พร้อมทั้งคาดการณ์อายุการใช้งานที่เหลืออยู่ เพื่อสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในการนำไปใช้งานต่อ “Solar Sure สามารถบันทึกข้อมูลสถานที่ สเปกยี่ห้อรุ่นของแผง สแกนบาร์โค้ด บันทึกภาพถ่าย ให้คะแนนการตรวจ ใส่ข้อมูลจำเพาะของแผงที่ได้จากการวัดคุณสมบัติทางไฟฟ้า ประมวลผลคำนวณค่ากำลังไฟฟ้าสูงสุด และอัตราการเสื่อมสภาพ จากนั้นจะแบ่งระดับคุณภาพแผงออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ A+, A, B, C, D, และ F ทั้งนี้ยังสามารถเลือกให้ประเมินตามเกณฑ์ของมาตรฐานการตรวจสอบความพร้อมใช้ของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว คือ มศอ. 1011-2565 พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ออกฉลาก และรายงานสอดคล้องตามมาตรฐาน” นอกจากนี้ Solar Sure ยังใช้บันทึกข้อมูลตรวจแบ่งเกรดแผงได้ทุกประเภท ประมวลผลได้รวดเร็ว จัดเก็บข้อมูลแผงได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ สะดวกในการใช้เก็บข้อมูลหน้างานจริง สามารถนำเข้าข้อมูลแผงได้ทั้งทาง Mobile application บนระบบปฏิบัติการ Android และ iOS หรือทาง Website     ดร.อมรรัตน์ กล่าวว่า Solar Sure ผ่านการทดสอบฟังก์ชันการใช้งาน การทดสอบความเค้น การทดสอบปริมาณ การทดสอบความปลอดภัย และการทดสอบการใช้งานในสภาวะแวดล้อมจริง อีกทั้งได้ทดสอบเก็บข้อมูลแผงเซลล์แสงอาทิตย์ใช้แล้วทั้งชนิดผลึกซิลิคอนและฟิล์มบางแบบต่าง ๆ ที่มีการใช้งานในประเทศไทย จำนวนรวม 1,350 แผง พบว่า สามารถเก็บข้อมูลที่หน้างานได้ครบถ้วน ถูกต้อง และรวดเร็ว ปัจจุบันมีการนำSolar Sure ไปใช้ตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์ในโซลาร์ฟาร์มแล้ว 10 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี อยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี สระแก้ว ชัยภูมิ และหนองคาย “สำหรับตัวอย่างการนำแผงโซลาร์เซลล์ไปใช้ซ้ำ เช่น แผงที่ยังมีสมรรถนะเกิน 70% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบของระบบโซลาร์เซลล์แบบออฟกริด (Off-grid) คือ ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่เชื่อมต่อกับสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า เช่น ระบบโซลาร์ปั๊มน้ำในการเกษตร ส่วนกรณีที่แผงมีสมรรถนะต่ำกว่า 50% แต่กายภาพยังดีอยู่สามารถนำไปใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นโต๊ะทำงานในออฟฟิศ หรือแผงกั้นห้องประชุมได้ ถือเป็นแนวทางการนำแผงโซลาร์เซลล์ปลดระวางมาใช้ซ้ำอย่างคุ้มค่า ช่วยลดซากขยะแผงโซลาร์ก่อนเวลาอันควร”     นอกจากการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยคัดกรองและยืดอายุการใช้งานแผงโซลาร์เซลล์แล้ว คณะวิจัยยังร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงาน และสำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) จัดทำและผลักดัน “มาตรฐานการตรวจสอบความพร้อมใช้ของแผงโซลาร์เซลล์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว” ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐมีแนวทางการจัดการซากแผง ยืดอายุการใช้งาน เพิ่มความคุ้มค่า ชะลอปริมาณขยะจากซากแผงโซลาร์เซลล์ รวมถึงมีมาตรการรองรับการส่งซากแผงมาทิ้งจากต่างประเทศได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบอร์ด สมอ. ได้มีมติเห็นชอบมาตรฐาน “แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว” หรือ “แผงโซลาร์เซลล์มือสอง” มอก. 4410-2568  เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา” Solar Sure นับเป็นเครื่องมือที่ช่วยควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในการนำแผงปลดระวางจากโซลาร์ฟาร์มไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อนการทิ้งทำลาย ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดโซลาร์เซลล์ของไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดในประเทศอย่างยั่งยืน สำหรับผู้ที่สนใจแพลตฟอร์ม Solar Sure ติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 2711 หรืออีเมล amornrat.lim@entec.or.th เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์​ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย วัชราภรณ์​ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. และฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. ภาพประกอบโดย เอ็นเทค สวทช. และจาก Shutter Stock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. จับมือ ม.มหิดล ร่วมวิจัย พัฒนา และส่งเสริมการให้บริการสุขภาพและการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดแบบองค์รวมสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2568 มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา : คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.กภ.จารุกูล ตรีไตรลักษณะ คณบดี และ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เรื่องโครงการวิจัย พัฒนา และส่งเสริมการให้บริการสุขภาพและการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดแบบองค์รวมสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย โดยพิธีลงนามในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันวิจัย บริการวิชาการ และบริการสุขภาพผ่านการพัฒนา และเพิ่มศักยภาพนวัตกรรมให้บริการทางกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดทางไกลสำหรับประชาชน, เพื่อร่วมกันวิจัยสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีสำหรับประชาชน, ส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงบริการสุขภาพแบบองค์รวมของผู้สูงอายุรวมถึงเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ณ ห้อง 505 คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ขอขอบคุณ ภาพ/ข่าว โดย คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. โชว์ระบบไบโอรีแอคเตอร์ (Bioreactor) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตต้นพันธุ์ของพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
  วันที่ 4 มิ.ย. นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ด้วยนวัตกรรมเกษตรมูลค่าสูง พร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อน อววน. โดยมี รศ.ดร.ประยุกต์ ศรีวิไล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ศ.ดร.ไพโรจน์ ประมวล รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนานวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวรายงาน นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม กล่าวต้อนรับ และมีนายโฆษิต เหล่าสุวรรณ ประธานหอการค้าจังหวัดมหาสารคาม ดร.อภิรชัย วงษ์ศรีวรพล ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด อว. เข้าร่วม ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยมหาสารคาม   โอกาสนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ได้จัดแสดงนิทรรศการวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อโดยใช้ระบบอาหารเหลว และนำเอาระบบไบโอรีแอคเตอร์ (Bioreactor) มาเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตต้นพันธุ์ของพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อลดต้นทุน แรงงาน และระยะเวลาในการพัฒนาต้นกล้าพันธุ์ดี ให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร อาทิ กระชายดำ ขมิ้นชัน เป็นต้น โดยมี ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. ให้การต้อนรับและบรรยายให้คณะผู้บริหารและประชาชนที่มาเยี่ยมชมนิทรรศการของ สวทช.ได้รับทราบ   นายศุภชัย กล่าวในโอกาสการลงพื้นที่ว่า กระทรวง อว. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดงาน จึงออกนโยบายและกลไกดำเนินการต่าง ๆ ในการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะสูง โดยเชื่อมโยงระหว่างภาคการศึกษาซึ่งเป็นผู้สร้างและพัฒนากำลังคน ทั้งระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา รวมถึงบุคคลทั่วไปที่กำลังหางาน และภาคการผลิตและบริการซึ่งเป็นผู้จ้างงานผ่านกลไกการจับคู่จ้างงาน การเชื่อมต่อภาคการศึกษา การพัฒนาทักษะระยะสั้นและระยะยาว การออกแบบหลักสูตรเฉพาะ ไปจนถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและเชื่อมโยงไปยังมาตรการต่าง ๆ ในการสนับสนุนการพัฒนากำลังคน โดยการจัดตั้งศูนย์กลางการศึกษาและกำลังคนระดับสูง (Education & Talent Hub) ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศเข้ามาจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาและร่วมจัดการศึกษากับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพการศึกษาและการผลิตบัณฑิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในประเทศ (University consortium) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อาจารย์ผู้สอน นักศึกษา ทุนการศึกษาและทุนฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากร รวมถึงแบ่งปันระบบนิเวศเครื่องมือวิจัยโดยเฉพาะเครื่องมือระดับสูง และเครื่องมือเทคนิคเฉพาะทาง เพื่อดึงดูดนักศึกษาและกำลังคนระดับสูงจากต่างประเทศ   ผู้ช่วย รมว.อว. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กระทรวง อว. ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนระบบนิเวศด้านการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วยอุทยานวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นนิคมวิจัยและนวัตกรรม ที่เชื่อมโยงระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับภาคอุตสาหกรรมการส่งเสริมการร่วมลงทุนของสถาบันอุดมศึกษา/สถาบันวิจัย กับภาคเอกชน (University Holding Company) และระเบียบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (TLO) และการส่งเสริมบุลากรให้มีการพัฒนานวัตกรรมและการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การส่งเสริมเส้นทางอาชีพอาจารย์โดยนโยบายตำแหน่งวิชาการด้านนวัตกรรม และการส่งเสริมอาจารย์ นักวิจัย ให้ไปปฏิบัติงานภาคเอกชน (Talent Mobility) โดยการนำงานวิจัยและองค์ความรู้ในสถาบันอุดมศึกษาไปใช้ประโยชน์หรือร่วมวิจัยกับภาคเอกชน โดยในยุคที่โลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว มหาวิทยาลัยไทยจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่สอนแบบทั่วไป แต่ต้องสร้างงานวิจัยที่ลึก ชัด และมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ การวิจัยของมหาวิทยาลัยไทยไม่ใช่แค่ ‘ตีพิมพ์’ แต่ต้อง ‘ใช้ได้’ กับโจทย์ของประเทศในอนาคตอย่างแท้จริง “หน้าที่ของมหาวิทยาลัยยุคใหม่ไม่ใช่แค่การผลิตบัณฑิตหรือทำวิจัยในห้องแล็บ แต่ต้องทำ 3 เรื่องควบคู่กันอย่างเชื่อมโยง คือ 1. พัฒนาคนผ่านการศึกษาแบบยืดหยุ่นและทันโลก 2. พัฒนานวัตกรรมด้วยการวิจัยที่ตอบโจทย์พื้นที่ และ 3. พัฒนาท้องถิ่นเพื่อให้ชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยจึงต้องร่วมมือกับชุมชน โดยเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้ความรู้เป็นผู้ร่วมสร้างความรู้ เปลี่ยนจากแหล่งผลิตบัณฑิตเป็นพี่เลี้ยงของชุมชน และเปลี่ยนจากหน่วยงานทางวิชาการเป็นพลังเปลี่ยนพื้นที่ ตนคาดหวังว่าการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยจะไม่ใช่แค่การผลิตบัณฑิตแต่คือการผลิต ‘คน’ ที่พร้อมจะอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและต้องการให้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ที่สร้างนวัตกรรมที่ใช้ได้จริง เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เปิดกว้างสำหรับทุกวัยและเป็นระบบการศึกษาที่เปิดให้คนเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตจากทุกที่ทุกเวลาต่อไป” ผู้ช่วย รมว.อว. กล่าว   #อว #กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #MHESI #NSTDA #สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ กรมป่าไม้ นำวิทย์และนวัตกรรม ลุยวิจัยพัฒนาพันธุกรรมและความหลากหลายชีวภาพ
สวทช. ร่วมมือกับ กรมป่าไม้ เซ็น MOU ผนึกกำลัง 5 ปี ร่วมวิจัย และพัฒนา ขับเคลื่อนภารกิจแบบบูรณาการรวมทั้งองค์ความรู้และนวัตกรรม พร้อมพัฒนาศักยภาพนักวิจัยและนักวิจัยรุ่นใหม่ ก้าวหน้างานวิชาการด้านพันธุกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้ วันนี้ (4 มิถุนายน 2568) ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การวิจัย และพัฒนาวิชาการด้านพันธุกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้ ระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ กรมป่าไม้ โดย นายสุรชัย อจลบุญ  อธิบดีกรมป่าไม้ ในการนี้ ดร.สุวรรณ ตั้งมิตรเจริญ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้ ได้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ โดยมีผู้บริหารกรมป่าไม้ และ สวทช. เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารเทียมคมกฤส กรมป่าไม้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และกรมป่าไม้ ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือเพื่อบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ในการอนุรักษ์พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้ของประเทศไทย เพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจในระดับพันธุกรรมและระบบนิเวศ สนับสนุนการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยจะมุ่งเน้นการสำรวจและศึกษาความหลากหลายของไม้มีค่า เช่น มะค่าโมง ประดู่แดง และกลุ่มเห็ดรา ทั้งในระดับสปีชีส์และพันธุกรรม การขยายฐานข้อมูล และการเก็บรักษาพันธุกรรมไม้มีค่าที่ปรับปรุงแล้ว เช่น ไม้พะยูง ที่มีคุณลักษณะที่ดีในธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ เพื่อจัดเก็บรักษาในระยะยาว  ซึ่งบทบาทหน้าที่สำคัญของ สวทช. โดยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ จะวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรม และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ จะศึกษาวิธีการอนุรักษ์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ และการจำแนกเห็ดรา ขณะที่กรมป่าไม้จะดำเนินการสำรวจและรวบรวมพันธุ์ไม้หายาก รวมถึงเห็ดและเชื้อรา นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนด้านการวิจัย พัฒนา สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมการแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้ และประสบการณ์ เพื่อใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ สนับสนุนการอนุรักษ์ด้านพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้ ให้เกิดการสร้างความรู้ความเข้าใจในระดับพันธุกรรม ความสัมพันธ์กับระบบนิเวศ การเก็บรักษาตัวอย่างที่ได้จากการศึกษาวิจัยในระยะยาว  รวมถึงเพื่อบริหารจัดการข้อมูลและตัวอย่างที่ได้จากการศึกษาวิจัยให้เป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2573 อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวต่อว่า กรมป่าไม้ขอขอบคุณ สวทช. ในการประสานความร่วมมือ และพัฒนากลไกหรือเครื่องมือในการสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการพัฒนางานวิชาการ วิจัย และนวัตกรรมด้านการป่าไม้ในระดับชาติ ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ของความร่วมมือ การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้หลากหลายสาขา เช่น กลุ่มไม้มีค่า กลุ่มเห็ดและรา ที่ทาง สวทช. มีความเชี่ยวชาญ ทั้งในระดับชนิด (species) และระดับโมเลกุล (พันธุกรรม DNA) ความร่วมมือนี้จะเพิ่มฐานข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งในรูปแบบขององค์ความรู้และตัวอย่างเพื่อการศึกษาวิจัยในพิพิธภัณฑ์เห็ดรา ในธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ หรือ National Biobank of Thailand รวมทั้งการเก็บรักษาพันธุกรรมแบบระยะยาวของไม้มีค่าที่ได้จากการปรับปรุงพันธุ์ โดยเฉพาะไม้พะยูง สวทช. และ กรมป่าไม้ มีความมุ่งมั่นในการร่วมมือกันครั้งนี้โดยจะได้ร่วมกันพัฒนาศักยภาพการวิจัยด้านป่าไม้ โดยใช้กลไกการบูรณาการ สนับสนุนเครื่องมือและเทคโนโลยีการวิจัยให้เหมาะสม และทันสมัย รวมทั้งพัฒนาศักยภาพนักวิจัยและนักวิจัยรุ่นใหม่ ให้สามารถดำเนินการวิจัยและสร้างนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือในครั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นการส่งเสริมการนำความรู้ด้านพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้ ไปสู่การพัฒนางานวิชาการร่วมกัน ควบคู่ไปกับการรักษาและเพิ่มพื้นที่สีเขียว การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระดับชาติต่อไป         
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญผู้ประกอบการและผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาสุดเข้มข้น “MAKE SMEs GREAT AGAIN ด้วย AI: เครื่องมือเปลี่ยนเกมการขายและการตลาดยุคใหม่”
🔥 โอกาสทอง SMEs ไทย! พลิกเกมธุรกิจด้วย AI ในงานสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก อวท. และพันธมิตร! 🔥 หมดกังวลกับความท้าทายของ SMEs: "จะเพิ่มยอดขายโดยไม่ต้องตัดราคาได้อย่างไร?" และ "จะลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพได้อย่างไร?" เมื่อ AI คือคำตอบที่ใช่! อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด, บริษัท เอซิฟท์ จำกัด และ Microsoft Thailand ขอเชิญผู้ประกอบการและผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาสุดเข้มข้น "MAKE SMEs GREAT AGAIN ด้วย AI: เครื่องมือเปลี่ยนเกมการขายและการตลาดยุคใหม่" 🗓️ วันที่: 24 มิถุนายน 2568 ⏰ เวลา: 13.00 - 16.30 น. 📍 สถานที่: โถง C ชั้น 1 อาคาร INC2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย งานนี้มีคำตอบ พร้อมเทคนิคใช้งานได้จริง! ไฮไลต์สำคัญที่คุณไม่ควรพลาด: ถอดบทเรียนเคสจริง: พบกับเรื่องราวธุรกิจที่รอดและพลิกฟื้นด้วยพลังของ AI พร้อมแนวทางการบริหารความเสี่ยงและการวัดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แนะนำ AI Tools ใช้ได้ทันที: เปิดโลก AI ยอดนิยมที่ทีมขายและการตลาดต้องรู้! ตั้งแต่ ChatGPT, Bitrix24 ไปจนถึง Generative AI พร้อมสาธิตการใช้งานจริง และเทคนิคที่ใช้แล้ว "เวิร์ก" แน่นอน สร้างความปลอดภัยก่อนเริ่มใช้ AI: เรียนรู้วิธีวางรากฐานความปลอดภัย (Security First) สำหรับการนำ AI มาใช้ในธุรกิจ สิทธิ์เข้าร่วม Workshop สุด Exclusive: โอกาสพิเศษที่จะได้ลงมือปฏิบัติจริงและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ (รายละเอียดเพิ่มเติมในงาน)   พบกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ: คุณสุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล อุปนายกฝ่ายการตลาดดิจิทัลและเทคโนโลยี สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย คุณพิมพ์สิรี รัตนสุนทร จาก Microsoft Thailand คุณนาวิก นำเสียง, CEO, บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด   สัมมนานี้เหมาะสำหรับ: เจ้าของกิจการ SMEs ทีมขายและการตลาด ผู้บริหารยุคใหม่ นักธุรกิจที่อยากโตไวด้วย AI   เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อ "เปลี่ยนเกม" ธุรกิจของคุณสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ดร.ประภัสสร เวชชประสิทธิ์ (หนิง) โทร. 081 854 1844 อีเมล bcd@nstda.or.th ไม่มีค่าใช้จ่าย! (รับจำนวนจำกัด) รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.sciencepark.or.th/th/seminar-event/343/make-smes-great-again ลงทะเบียน: https://tsp.hubmember.com/event/make-smes-great-again/
ปฏิทินกิจกรรม
 
ปลัดกระทรวง อว. นำคณะผู้บริหาร ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2568
วันที่ 3 มิถุนายน 2568 ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม รองปลัดกระทรวง อว. นำคณะผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง อว. ร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2568 ณ ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง ในโอกาสนี้ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และ นางสาวสิรินทร อินทร์สวาท รองผู้อำนวยการศูนย์ เนคเทค เป็นผู้แทนของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. เข้าร่วมในพิธี  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Thai LLM และความท้าทายของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประเทศไทย
✨ร่วมเปิดมุมมองการพัฒนา ThaiLLM โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญ พร้อมประเด็นความก้าวหน้า ความท้าทาย สู่ความร่วมมือ เพื่อสร้างอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของประเทศไทย🚀 . 🚨สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร ขอเชิญทุกท่านร่วมงานสัมมนา “Thai LLM และความท้าทายของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประเทศไทย” พบผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าในแวดวง AI มาร่วมนำเสนอมุมองความก้าวหน้า และความท้าทายในการพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่ (Thai Large Language Model: ThaiLLM) เพื่อรองรับการพัฒนา AI ที่เข้าใจภาษาไทย บริบท และวัฒนธรรมของคนไทยโดยเฉพาะ . 🎯ไฮไลท์กิจกรรมภายในงาน ✅การบรรยาย และเสวนา โดยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา นำเสนอการพัฒนา LLM ภาษาไทย รวมถึงบทบาทของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (HPC), ระบบคลาวด์ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต พร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์การนำ LLM ไปใช้ประยุกต์งานจริง ✅Workshop สุด Exclusive เจาะลึกเบื้องหลัง “Pathumma LLM” LLM ภาษาไทยที่พัฒนาขึ้นโดยทีมนักวิจัย เนคเทค สวทช. พร้อมทดลองใช้เครื่องมือ AI ต่างๆ *เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียน Onsite และได้สำรองที่นั่งล่วงหน้าเท่านั้น ✅บูธนิทรรศการ ผลงานวิจัยนวัตกรรม โซลูชันด้าน AI จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน และบริการให้คำปรึกษาสำหรับผู้สนใจพัฒนา AI เพื่อใช้งานภายในองค์กร . 📅ในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 🕘 9.00 - 15.00 น. 📌Onsite + Workshop: รับจำนวนจำกัด 📍ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถนนโยธี กรุงเทพฯ 🌍Online: ไม่จำกัดจำนวน ผ่าน Webex Event Platform 👉ลงทะเบียนได้ที่ https://www.nstda.or.th/r/4wqQM 🆓(ไม่มีค่าใช้จ่าย) . 📢ห้ามพลาด! เพราะงานนี้คือโอกาสดีที่คุณจะได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนความคิด และสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อช่วยขับเคลื่อนอนาคต ThaiLLM และการพัฒนา AI ของประเทศไทยได้อย่างมั่นคง
ปฏิทินกิจกรรม
 
ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนา “ลุยวิกฤตการค้าโลกใหม่ด้วยระบบวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล: บทบาท NQI โดย สวทช.”
ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนา “ลุยวิกฤตการค้าโลกใหม่ด้วยระบบวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล: บทบาท NQI โดย สวทช.” จัดโดย: สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STIS) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วัน-เวลา: วันที่ 11 มิถุนายน 2568 เวลา 08.30 – 15.30 น. สถานที่: ห้องประชุม CC-405 ชั้น 4 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี เนื้อหาสำคัญ: ระบบวิเคราะห์ทดสอบเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้า การประเมินความปลอดภัย อาหาร เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์นวัตกรรม มาตรฐานสากล เช่น ISO/IEC17025 เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการจริงของหน่วยงานภายใต้ สวทช. รับจำนวนจำกัดเพียง 90 ท่านเท่านั้น ลงทะเบียนฟรีได้ที่: 👉 https://forms.gle/jukQx5MUzWwJFJfg7 สอบถามเพิ่มเติม: โทร. 02-564-7000 ต่อ 71578 (คุณมนัสนันท์) อีเมล: manutsanan@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. และ สถาบันพฤกษศาสตร์คุนหมิง (KIB) สาธารณรัฐประชาชนจีน ลงนามความร่วมมือวิจัยเกษตรและชีวภาพ เพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากร
ปทุมธานี - 30 พฤษภาคม 2568 : 2 หน่วยงานวิจัยระดับประเทศของไทยและจีน ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) และ สถาบันวิจัยพฤกษศาสตร์คุนหมิง (Kunming Institute of Botany: KIB) สถาบันวิจัยด้านพฤกษศาสตร์ชั้นนำของสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences: CAS) ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยทางการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การผนึกกำลังครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อนำจุดเด่นของแต่ละหน่วยงานมาร่วมกันสร้างองค์ความรู้และงานวิจัยด้านการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนของจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีนายหม่า มิงเกิง ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดี พร้อมด้วยผู้บริหาร และนักวิจัยจากทั้งสองหน่วยงานร่วมในงาน   ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. และ KIB มีกรอบความร่วมมือเรื่อง international cooperation in education and research ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ถึง 29 พฤษภาคม 2573 โดยจะร่วมมือกันในหลายสาขา เช่น การพัฒนาผ้าแห่งอนาคต (next generation) จากวัสดุลูกผสมที่รวมไมซีเลียม (เห็ดรา) และเส้นใยจากพืชเข้าด้วยกัน และการศึกษาห่วงโซ่มูลค่าอย่างครบวงจรของพืชเศรษฐกิจ เช่น มะม่วง ทุเรียน และอะโวคาโด ตั้งแต่งานวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการ งานภาคสนาม การใช้ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช งานวิจัยโรคพืช งานวิจัยราทำลายแมลง งานด้านเห็ดรา ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า และเทคนิคการเก็บรักษาเมล็ดระยะยาว (มากกว่า 50 ปี) รวมถึงการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ และมีแผนในการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างกันอีกด้วย “ไบโอเทค สวทช. มีการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในหลายส่วนงาน อาทิ เห็ด รา ชีวภัณฑ์ จุลินทรีย์ทางการเกษตร คลังเก็บจุลินทรีย์ และธนาคารทรัพยากรชีวภาพ ขณะที่ KIB ของจีน มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พื้นที่ตั้ง KIB ในเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะพืชในเขตร้อนและกึ่งร้อน ซึ่งโดดเด่นอย่างมากในการวิจัยการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชหายากและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืนทั้งในระดับภูมิภาคและนานาชาติ ความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงานวิจัยที่มีองค์ความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ครั้งนี้ จึงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการร่วมกันอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพของภูมิภาค” Prof. Dr. Punuo Baimadanzeng (ศ.ดร.ผูหนัว ไป่มาตันเจิง) ผู้อำนวยการสถาบันพฤกษศาสตร์คุนหมิง (KIB) กล่าวว่า สถาบันวิจัยพฤกษศาสตร์คุนหมิง (Kunming Institute of Botany - KIB) เป็นสถาบันวิจัยชั้นนำด้านพฤกษศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน สังกัดโดยตรงกับสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences - CAS) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2481 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความหลากหลายของพืชและการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยสถาบัน KIB ตั้งอยู่ในเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะพืชในเขตร้อนและกึ่งร้อน KIB มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช โดยมี Southwest China Germplasm Bank of Wild Species (GBOWS) ซึ่งเป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2550 เพื่อรวบรวม เก็บรักษา และศึกษาทรัพยากรชีวภาพของพืช สัตว์ และจุลินทรีย์สายพันธุ์ป่า โดยเฉพาะในพื้นที่จีนตอนใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีการจัดเก็บเมล็ดพันธุ์พืชป่ากว่า 94,000 ตัวอย่าง จากกว่า 11,000 สายพันธุ์ พร้อมทั้งมีหน่วยงานรองรับการอนุรักษ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ธนาคารดีเอ็นเอ หน่วยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และธนาคารจุลินทรีย์ ทั้งหมดนี้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืชหายาก และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืนทั้งในระดับภูมิภาคและนานาชาติ รวมถึง KIB ยังมีสวนพฤกษศาสตร์คุนหมิง ซึ่งรวบรวมพืชมากกว่า 5,000 สายพันธุ์ รวมถึงพืชหายากและใกล้สูญพันธุ์ด้วย นอกจากนี้ KIB ยังมีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ โดยร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ อย่าง Centre for Mountain Futures และมีโครงการวิจัยร่วมกับหลายหน่วยงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่หลากหลาย KIB จึงเป็นศูนย์กลางการวิจัยพฤกษศาสตร์ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย และมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้าน ดร.นัฐวุฒิ บุญยืน หัวหน้าทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร BIOTEC สวทช. เปิดเผยถึงแผนการในอนาคตว่า หลังจากลงนามความร่วมมือในวันนี้ ทีมนักวิจัยทั้งสองหน่วยงานมีแผนจะขอทุนร่วมกัน เช่น กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Special Fund: MLCSF) ซึ่งมุ่งส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และทุนวิจัยร่วมระหว่างโครงการ CAS-NSTDA Joint Research Program ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) และ สวทช. เพื่อส่งเสริมการวิจัยร่วมกันระหว่างนักวิจัยไทยและจีนจาก KIB เป็นต้น
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ศุภมาส” นำคณะผู้บริหาร อว. จัดพิธีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2568
(วันที่ 30 พฤษภาคม 2568) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และ แพทย์หญิง เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นำคณะผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง อว. จัดพิธีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2568 พร้อมลงนามถวายพระพรชัยมงคล ณ ห้องแถลงข่าวชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มอบหมายให้ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. และ นางสาววสิรินทร อินทร์สวาท รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. เป็นผู้แทนเข้าร่วมในพิธี #เฉลิมพระเกียรติ #วันเฉลิมพระชนมพรรษา #สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี #ถวายพระพรชัยมงคล #กระทรวงอว #อว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. โชว์ต้นแบบฟาร์ม “ไข่ผำพรีเมียม” ด้วยเทคโนโลยี IoT พร้อมองค์ความรู้โรงงานผลิตพืชอัจฉริยะ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต
(วันที่ 29 พฤษภาคม 2568) ณ Pro-t Farm อ.พานทอง จังหวัดชลบุรี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) จัดกิจกรรม "NSTDA x Press Interviews: ต้นแบบการเลี้ยงไข่ผำ ด้วยเทคโนโลยี IoT พร้อมองค์ความรู้โรงงานผลิตพืชอัจฉริยะ" ผนึกกำลังสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย นำคณะสื่อมวลชน ชมต้นแบบการเพาะเลี้ยง “ไข่ผำ” พืชน้ำโปรตีนสูง สู่การผลิต “ผำพรีเมียม” ด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ ระบบการจัดการฟาร์มแบบครบวงจร ซึ่งเป็นความร่วมมืองานวิจัยเพื่อขยายผลสู่ชุมชนพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม ไข่ผำเป็นพืชน้ำพื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย มีปริมาณโปรตีนและคุณค่าทางอาหารสูง อย่างไรก็ตามการผลิตไข่ผำแบบดั้งเดิมยังประสบปัญหาความไม่สม่ำเสมอของผลผลิต การปนเปื้อน และขาดมาตรฐาน ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่กำลังเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตและอาหารเฉพาะบุคคล Functional Food โดยความร่วมมืองานวิจัยเพื่อขยายผลสู่ชุมชนนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมาตรฐานการผลิตผำที่แตกต่างจากผำทั่วไปในท้องตลาด นำไปสู่การแบ่งเกรดและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี สวทช. หัวใจสำคัญในการยกระดับการผลิต ‘ผำพรีเมียมปลอดภัย’ โตไวได้โปรตีนสูงภายใน 7 วัน ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ได้นำองค์ความรู้เชิงลึกทางด้านสรีรวิทยาของพืชและความต้องการปัจจัยแวดล้อมที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต มาสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกับเนคเทค สวทช. อย่างใกล้ชิด โดยได้กำหนดขอบเขตของปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างละเอียด ครอบคลุมทั้งด้านแสงสว่าง อุณหภูมิ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสูตรปุ๋ยธาตุอาหารที่แม่นยำ ด้าน เนคเทค สวทช. เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT และระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ HandySense มาใช้ในกระบวนการผลิตให้ได้ปริมาณ คุณภาพ และมีความปลอดภัย ตลอดจนนวัตกรรมหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อรักษาคุณภาพของไข่ผำ ดร.ศุภนิจ พรธีระภัทร นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล เนคเทค สวทช. กล่าวว่า เนคเทค สวทช. ผสานองค์ความรู้ด้านความต้องการของพืชจากไบโอเทค สวทช. มาผนวกกับข้อมูลการตรวจวัดจาก HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อให้ได้มาซึ่งสูตรการผลิตเฉพาะ (Growth Recipe) ที่เหมาะสมสำหรับการเพาะเลี้ยงไข่ผำในแต่ละรอบการผลิต โดยสามารถประมาณปริมาณผลผลิต ปริมาณโปรตีน และสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตได้ตามเป้าหมาย จากการติดตามการตรวจวัดสภาพอากาศและสภาพน้ำในบ่อเพาะเลี้ยงตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา ทำให้สามารถจัดการกระบวนการเพาะเลี้ยงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปตลอดช่วงปี โดยสามารถจะเก็บเกี่ยวไข่ผำได้ในทุก ๆ 7 วัน โดยได้ปริมาณและโปรตีนอยู่ในช่วงประมาณ 40% ต่อ 100 กรัมไข่ผำแห้ง นายนริชพันธ์ เป็นผลดี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล เนคเทค สวทช.  ให้ข้อมูลว่า HandySense ที่ติดตั้ง ณ Pro-T Farm ประกอบด้วยชุดเซนเซอร์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจวัดสภาพน้ำและสภาวะอากาศที่เหมาะสมแบบเรียลไทม์ โดยวัดค่าออกซิเจนละลายในน้ำ (DO) ค่าอุณหภูมิอากาศ ค่าความชื้น   ค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ค่าความเข้มข้นของปุ๋ย (EC) ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5 – 6.5 ค่าอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมอยู่ที่ 25-30 องศาเซลเซียส และค่าความเข้มแสง 200 ไมโครโมลต่อวินาทีต่อตารางเซนติเมตร โดยได้มีการกำหนดค่าต่าง ๆ  พร้อมระบบควบคุมที่สอดคล้องตามสูตรการผลิตเฉพาะ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและควบคุมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชดำเนินไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างสะดวกผ่านสมาร์ตโฟน ที่ใช้งานและเข้าใจง่าย    ทำให้สามารถรับทราบสถานการณ์และปรับปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้ทันท่วงที ตัวอย่างเช่น เมื่อเกษตรกรรับทราบข้อมูลจาก HandySense ว่าปริมาณแสงในระหว่างวันน้อยกว่าค่าที่เหมาะสม อาจพิจารณาใช้แสง LED เปิดเสริมในช่วงเวลากลางคืนได้ หรือหากปริมาณน้ำน้อยไปจนมีอุณหภูมิสูง ให้เพิ่มปริมาณน้ำเข้าไปในบ่อ เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นต้น   อีกทั้ง สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ทีเมค) ยังได้พัฒนาเครื่องมือในการตรวจวัดปริมาณไนเตรท (Nitrate Meter) ในผลผลิตไข่ผำจากฟาร์มวิจัย เพื่อให้ทราบว่าควรบริโภคผักผลไม้หรือแหล่งอาหารที่มีไนเตรทได้ปริมาณเท่าไรต่อวันจึงเหมาะสมตามมาตรฐาน CODEX ทั้งนี้เพื่อให้องค์ความรู้กับประชาชนในการบริโภคอาหารแบบปลอดภัยต่อสุขภาพ ดร.ศุภนิจ กล่าวเสริมว่า เนคเทค สวทช. นอกจากการพัฒนาระบบการตรวจวัดและติดตามแบเรียลไทม์เพื่อควบคุมตัวแปรในกระบวนการผลิตแล้ว ยังได้ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา พัฒนากระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว (Post-Harvest) เช่น ระบบการล้างฆ่าเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีที่อาจลอยมากับอากาศเข้ามาในโรงเรือน หรือจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหารในมนุษย์ รวมไปถึงกระบวนการเพิ่มความสดให้กับทุกเม็ดไข่ผำหลังการเก็บเกี่ยว โดยนำเทคโนโลยีนาโนบับเบิลและโอโซนมาประยุกต์ใช้ในการกระบวนการทำความสะอาดไข่ผำ ทำให้ได้ไข่ผำปลอดเชื้อ ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว และสามารถยืดอายุการเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าทั่วไป ในฟาร์มต้นแบบการผลิตไข่ผำปลอดเชื้อโปรตีนสูงนี้ ยังมีการใช้กระบวนการฟรีซดราย (Freeze Dry) เพื่อทำไข่ผำแห้งที่ไม่สูญเสียค่าโปรตีน มีกลิ่นหอม สีสวย เหมาะกับการนำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่าสูง และยังเก็บรักษาได้นานเป็นปี เทคนิคดังกล่าวเป็นนวัตกรรมที่เนคเทคพัฒนาขึ้น และมีความพร้อมในการถ่ายทอดเทคโนโลยี   ปัจจุบันการวิจัยภายใต้ความร่วมมือนี้กำลังเก็บข้อมูลเพื่อสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งจะนำไปพัฒนาแบบจำลองปัญญาประดิษฐ์ (AI Model) ต่อไป โดย AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ชุดข้อมูลที่ซับซ้อน ช่วยปรับปรุงสูตรการผลิตให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้นไปอีก รวมทั้งพยากรณ์ปริมาณและคุณภาพผลผลิต AI ที่จะได้จากต้นแบบนี้ ยังสามารถพัฒนาไปสู่ระบบการจัดการฟาร์มแบบอัตโนมัติในอนาคตสำหรับพืชอื่น ๆ ต่อไปได้อีกด้วย "หัวใจสำคัญของการเลี้ยงไข่ผำในความร่วมมือนี้ คือ ความปลอดภัยและวิธีการตรวจวัดและควบคุมต่าง ๆ เพื่อให้ได้กระบวนการที่เป็นองค์ความรู้และสร้างความเข้าใจอย่างถูกต้องแก่ประชาชนที่จะผลิตไข่ผำและบริโภคไข่ผำเพื่อเป็นอาหาร ให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการควบคุมและจัดการสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ รวมถึงได้ปริมาณโปรตีนในช่วงที่กำหนด สามารถตรวจสอบได้ และมั่นใจว่ามีความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตั้งแต่ไข่ผำสดจนกระทั่งนำไปแปรรูปต่าง ๆ ก็ตาม" ดร.ศุภนิจ กล่าวทิ้งท้าย จากวิกฤตอุตสาหกรรมกุ้ง สู่ทางออกด้วยนวัตกรรมไข่ผำ นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กล่าวถึงที่มาและความสำคัญของความร่วมมือฯ นี้ว่า จากอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายมิติ ทางสมาคมฯ จึงได้พิจารณาแสวงหาสร้างรายได้ให้แก่เพื่อนเกษตรกร การเพาะเลี้ยงไข่ผำแบบพรีเมียมด้วยเทคโนโลยีที่ สวทช.พัฒนาขึ้นนี้ นับเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพสูง ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรเลี้ยงผำได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการเลี้ยงและการขายไข่ผำพรีเมียม ซึ่งที่ผ่านมาผำอาจจะขายกันแบบไม่มีราคาที่ชัดเจน แต่พอเรามีเทคโนโลยีที่ควบคุมคุณภาพได้ จะทำให้สามารถแบ่งเกรดผำได้ โดยผำที่เลี้ยงด้วยระบบนี้ มีความสะอาด ปลอดภัย มีสารอาหารที่ควบคุมได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานและราคาเป็นผำพรีเมียมได้ นายบรรจง กล่าวด้วยว่า  ทั้งนี้ด้วยเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีอยู่แล้วและมีพื้นฐานการจัดการฟาร์มซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ ทำให้การปรับเปลี่ยนมาสู่การเลี้ยงไข่ผำจึงไม่ใช่เรื่องยาก และสามารถปรับใช้อุปกรณ์และบ่อเพาะเลี้ยงที่มีอยู่เดิมจากฟาร์มกุ้งได้ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างใหม่ ซึ่งบ่อเหล่านี้มักมีระบบการจัดการน้ำที่ดีอยู่แล้ว โดยมีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อให้เกษตรกรที่สนใจสามารถเข้ามาเรียนรู้และปรับใช้กับทรัพยากรที่ตนเองมี สำหรับ Pro-t ฟาร์ม เป็นฟาร์มต้นแบบ ภายใต้ความร่วมมือวิจัย ปัจจุบัน มีพื้นที่บ่อไข่ผำ 75 บ่อ สามารถผลิตไข่ผำสดได้เต็มศักยภาพน้ำหนักราว 2 ตันต่อเดือน และจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 100 บาท สามารถสร้างรายได้ถึง 200,000 บาทต่อเดือน โดยปัจจุบันกำลังหาช่องทางตลาดขายไข่ผำ หากมีผู้สนใจรับซื้อสามารถติดต่อได้ที่ นายบรรจง (หมายเลขโทรศัพท์ 081 636 6362 )   มาตรฐาน ความปลอดภัย สู่การผลักดันไข่ผำสู่ตลาด ดร.ศุภนิจ กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันไข่ผำยังไม่มีมาตรฐานเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ การสร้างมาตรฐานการผลิตไข่ผำพรีเมียมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้สามารถแบ่งเกรดและกำหนดราคาได้อย่างชัดเจน โดยการผลิตไข่ผำภายใต้ความร่วมมือฯ ดังกล่าว ผ่านมาตรฐาน COA, GMP และ Halal เรียบร้อยแล้ว รวมถึงผ่านการทดสอบการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย และจุลินทรีย์ก่อโรค อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่ที่ตลาดแม้จะมีผู้สนใจจากต่างประเทศ แต่ประสบปัญหาการสวมรอยใบรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน แต่จัดซื้อผำจากแหล่งอื่นที่ราคาถูกกว่าทำให้ผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานเสียโอกาสทางการตลาด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้ามารับช่วงต่อในส่วนของการตลาดและการแปรรูป เพื่อนำผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพนี้ไปสู่ผู้บริโภคโดยตรงในห้างสรรพสินค้า หรือตลาดเฉพาะทาง เช่น ตลาดอาหารสำหรับผู้ป่วย ตลาดอาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นต้น    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์