ผลการค้นหา :

หลักสูตรมาตรฐานระบบราง รุ่นที่ 4 | Railway Engineering Standards: RES
📍หลักสูตรมาตรฐานระบบราง รุ่นที่ 4 (Railway Engineering Standards: RES)
วันที่ 22 - 24 มกราคม 2568 โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
Key Highlights
▶️ เจาะลึกมาตรฐานระบบรางทั้งในระดับประเทศและระดับสากล เพื่อนำไปปฏิบัติและปรับใช้ได้จริง
▶️ เรียนรู้การทดสอบและรับรองคุณภาพชิ้นส่วนระบบรางตามมาตรฐาน เพื่อสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)
▶️ ฝึกปฏิบัติการทดสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของระบบราง ณ ศูนย์วิจัยและบริการวิศวกรรมงานเชื่อม มจธ.
▶️แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยตรงกับวิทยากรผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญ ด้านมาตรฐานระบบราง
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.career4future.com/res
ปฏิทินกิจกรรม

หลักสูตรศึกษาดูงาน “ความสำเร็จของธุรกิจอย่างยั่งยืนและโอกาสการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษลาวใต้” (Study Visit on Sustainable Business Success and Investment Opportunities in the Special Economic Zone of Southern Laos: BSO)
หลักสูตรศึกษาดูงาน “ความสำเร็จของธุรกิจอย่างยั่งยืนและโอกาสการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษลาวใต้” (Study Visit on Sustainable Business Success and Investment Opportunities in the Special Economic Zone of Southern Laos: BSO)
.
เก็บเกี่ยว Best practices เสริมวิสัยทัศน์การพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืน ด้วยประสบการณ์ตรงและ สถานที่จริง!! เห็น โอกาสและมุมมองใหม่ ๆ ขยายผลการลงทุน สู่ความร่วมมือในระดับประเทศและระดับสากล
.
Key Highlights
ได้รับความรู้และประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ศึกษาดูงานองค์กรชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
เห็นนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศไทย-ลาว รวมถึงศักยภาพและโอกาสในการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษลาวใต้ และชายแดนไทย-ลาว
ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
.
เยี่ยมชมและศึกษาดูงาน
เขตนิคมอุตสาหกรรมจำปาสัก แขวงจำปาสัก สสป. ลาว
บริษัท เบียร์ลาว จำกัด สสป. ลาว
โรงงานผลิตกาแฟดาวเรือง "ดาวเฮือง" สปป. ลาว
AGRO VEGE FARM สปป. ลาว
โรงผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ ณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) จังหวัดอุบลราชธานี
.
ระหว่างวันที่ 20, 25 – 28 กุมภาพันธ์ 2568
ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และจังหวัดอุบลราชธานี
.
ดูรายละเอียดได้ที่: https://www.career4future.com/bso
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 2644 8150 ต่อ 81901 (คุณปานทิพย์)
E-Mail : bas@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

การสร้างแบรนด์ให้เป็นเลิศอย่างชาญฉลาด (Brand Mastery: Strategy, Design, and Protection: BSDP)
ห้ามพลาด หลักสูตรที่ถ่ายทอดความรู้จากวิทยกรผู้ทรงคุณวุฒิ และเจ้าของแบรนด์ตัวจริง
หลักสูตร “การสร้างแบรนด์ให้เป็นเลิศอย่างชาญฉลาด (Brand Mastery: Strategy, Design, and Protection: BSDP)”
Key Highlights
เข้าใจกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ (Brand Strategy)
การออกแบบแบรนด์ (Brand Design)
การรีแบรนด์ (Rebranding)
การป้องกันการละเมิดแบรนด์ (Brand Protection)
.
ระหว่างวันที่ 3 – 5 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.00 – 16.00 น.
ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ ถนนศรีอยุธยา แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
.
ดูรายละเอียดได้ที่: https://www.career4future.com/bsdp
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 2644 8150 ต่อ 81901 (คุณปานทิพย์)
E-Mail : bas@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

อว. ชวนดูดาวกลางกรุง ฟรี! ที่สวนเบญจกิติ คืนดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบปี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) เนรมิตกรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งดวงดาวอีกครั้งจัด “ดูดาวกลางกรุง” Starry Night over Bangkok 2024 ในคืน “ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบปี” สัมผัสความงดงามของดาวบนฟ้าผ่านคาราวานกล้องโทรทรรศน์กว่าร้อยตัว และหลากหลายกิจกรรมดาราศาสตร์ นำโดย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิภู รุโจปการ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ผู้บริหาร กระทรวง อว. โดยโอกาสนี้ ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้แทน สวทช. ร่วมกิจกรรม ณ ลานอัฒจันทร์ สวนเบญจกิติ กรุงเทพฯนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า กระทรวง อว. มีนโยบายที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดยเชื่อว่าการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม คือรากฐานสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการทำให้ อว. เป็นกระทรวงที่ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศผ่านการวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และบริการ สร้างความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ นับเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักของกระทรวง อว. ที่ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กิจกรรมดูดาวเป็นเสมือนประตูที่เปิดกว้าง ดึงดูดให้ผู้คนใช้จินตนาการกับภาพที่มองเห็นบนท้องฟ้า กระตุ้นให้เกิดความคิด วิเคราะห์ ผ่านกิจกรรมดูดาว ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความตระหนักและความตื่นตัวทางด้านดาราศาสตร์ให้กับเยาวชนและผู้คนมากมาย ให้หันมาสนใจในวิทยาศาสตร์มากขึ้น
กิจกรรมดูดาวครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นเดือนธันวาคมนี้ เป็นกิจกรรม “ดูดาวกลางกรุง”ในคืนวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 17.00 -22.00 น.ณ ลานอัฒจันทร์ สวนเบญจกิติ
เป็นความร่วมมือระหว่าง สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นกิจกรรมที่น่าจะสร้างความตื่นตา ตื่นใจให้กับชาวกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก เพราะกิจกรรมดูดาวที่ยิ่งใหญ่กลางกรุงเทพฯ เช่นนี้ มีขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้น
ความพิเศษในปีนี้คือตรงกับคืนที่มีปรากฏการณ์ “ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบปี”ดาวพฤหัสบดีจะปรากฏสว่างเด่นทางทิศตะวันออก ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ หากสังเกตการณ์ผ่านกล้องโทรทรรศน์จะสามารถชมลวดลายของแถบเมฆ และพายุ รวมถึงจุดแดงใหญ่ และดวงจันทร์กาลิเลียนทั้ง 4 ดวงของดาวพฤหัสบดีได้ วันงานจะมีคาราวานกล้องโทรทรรศน์กว่าร้อยตัวจาก สดร. โรงเรียนเครือข่ายดาราศาสตร์รวมถึงหน่วยงานพันธมิตร และนักดาราศาสตร์สมัครเล่น พร้อมให้บริการเต็มพื้นที่ลานอัฒจันทร์กลางในคืนดังกล่าวยังสามารถชมวัตถุท้องฟ้าอื่น ๆ เช่น ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดาวอังคาร ฯลฯ ได้อีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

มาแล้ว!!!!! อบรมฟรี 4 หลักสูตรจ้าาา Online และ Onsite มาเรียนกันๆ จัดโดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช.
📢📢มาแล้ว!!!!! 💥 อบรมฟรี 4 หลักสูตรจ้าาา🎉🎉🎉
🌎 Online และ Onsite มาเรียนกันๆ จัดโดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. 🧑🏻💻
🌎Online ผ่าน ZOOM 💻
📌🗓วันศุกร์ที่ 13 ธ.ค. 67 เวลา 09.00-12.00 น. (online) 🛜
🟢เคล็ด(ไม่)ลับ ปลูกหอมแขก ใช้พื้นที่น้อย รายได้งาม🧅
🧑🏻💻วิทยากร คุณลิขิต มณีสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญการผลิตเมล็ดพันธุ์
📌🗓วันศุกร์ที่ 17 ม.ค. 68 เวลา 09.00-12.00 น. (online) 🛜
🟢เทคนิคการวางระบบน้ำอย่างง่ายและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Smart Farm (ระบบฟาร์มรักษ์น้ำ)🌱
🧑🏻💻วิทยากร คุณเฉลิมชัย เอี่ยมสอาด ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบระบบน้ำและระบบสมาร์ทฟาร์ม
📍Onsite ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี (หลักสูตรละ 40 คน)
📌🗓วันที่ 20 ธ.ค. 67 เวลา 09.00-12.30 น. (onsite)
🟢เทคนิคการวางระบบน้ำอย่างง่ายและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Smart Farm (ระบบฟาร์มรักษ์น้ำ) 🌱
🧑🏻💻วิทยากร คุณเฉลิมชัย เอี่ยมสอาด ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบระบบน้ำและระบบสมาร์ทฟาร์ม
📌🗓วันที่ 24 ม.ค. 68 เวลา 09.00-12.00 น. (onsite)
🟢การผลิตผักและการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง🌱 🥬🍅🥕🌽🥦🌶️🥒🍆
🧑🏻💻วิทยากร คุณลิขิต มณีสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญการผลิตเมล็ดพันธุ์
🚩ใบสมัครและกำหนดการ https://forms.gle/cTBjPJCC22xcgEs78
📲สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณณัฐชยา โทร. 097 1979009
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. ร่วมใจถวายสักการะ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่อำเภอคลองหลวง
5 ธันวาคม 2567 ณ อาคารศรัทธา 2 วัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. มอบหมายให้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เป็นผู้แทนหน่วยงาน เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 ซึ่งจัดโดยอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยมีนางสาวอภิสรา เกษอินทร์ นายอำเภอคลองหลวง เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และประชาชนในพื้นที่อำเภอคลองหลวง เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ศุภมาส” นำทีมผู้บริหารกระทรวง อว.ร่วมกับประชาชนขับร้องเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชา เพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งแสดงความจงรักภักดี
เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงาน "ดนตรีในสวน : H.M. Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ” ประจำปี 2567 เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระอัฉริยภาพทางดนตรีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันพ่อแห่งชาติ และวันชาติ ณ อุทยาน 100 ปีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.กระทรวง อว. เป็นประธานและมีผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวง อว. พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ตลอดจนประชาชนที่พร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
น.ส.ศุภมาส กล่าวเปิดงานว่า งาน "ดนตรีในสวน : H.M. Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ” ประจำปี 2567 จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระอัฉริยภาพทางดนตรีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเป็นการนำ Soft power พลังด้านดนตรี ที่มีศักยภาพอันโดดเด่นของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ นำมาถ่ายทอดความจงรักภักดี ต่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีพระอัจฉริยภาพทางดนตรี ทรงเป็นสังคีตกวี และนักดนตรีที่ชาวโลกยกย่อง ทรงพระปรีชาสามารถในการทรงดนตรี ทรงพระราชนิพนธ์เพลง แยกและเรียบเรียงเสียงประสาน ทรงเป็นครูสอนดนตรี ตลอดจนทรงเชี่ยวชาญในศิลปะแขนงต่าง ๆ อย่างแท้จริง สมกับที่พสกนิกรชาวไทยน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “อัครศิลปิน”
“ความสำเร็จของงานดนตรีในสวน : H.M. Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากนักดนตรี และผู้แสดงทุกท่าน ที่พร้อมเพรียงกันแสดงดนตรีบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่าน ทั่วประเทศ ในทุกรูปแบบวงดนตรี ไม่ว่าจะเป็น ซิมโฟนี ออร์เคสตรา ดนตรีคลาสสิก ดนตรีสากล ดนตรีไทย วงดุริยางค์ วงโยธวาทิต วงดนตรีโฟล์คซอง การแสดงนาฏศิลป์ท้องถิ่น การขับร้อง และการแสดงนาฏยลีลาร่วมสมัย โดย อว. ส่วนหน้า ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ทั้ง 63 จังหวัด ทั่วประเทศ” น.ส.ศุภมาส กล่าว
จากนั้นเวลา 18.00 น. น.ส.ศุภมาสร่วมกับผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวง อว.และประชาชน ร่วมร้องเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชาและเพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่ง บรรเลงโดยวง Wind Symphony จากมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) วไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วอุทยาน 100 ปีจุฬาฯ
ต่อมามีการแสดงโขนเทิดพระเกียรติโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ตอน “พระรามตรวจพลยกรบ” และการแสดงโดรนเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 500 ลำโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) และสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับเป็นการแปรอักษรพระบรมสาทิสลักษณ์ สวยงามและเรียกเสียงฮือฮา เสร็จแล้วเป็นการแสดงดนตรีจากวง Kasetsart Winds มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และวง Jazz Ensemble จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)ธัญบุรี
ขณะที่ในส่วนภูมิภาค สถาบันอุดมศึกษาในสังกัดกระทรวง อว. โดย อว. ส่วนหน้า จำนวน 63 จังหวัดทั่วประเทศ ได้ร่วมร้องเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชา และเพลงพระราชนิพนธ์ “ใกล้รุ่ง” พร้อมกับเวทีอุทยาน 100 ปี จุฬาฯ เพื่อเทิดพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อเหล่าปวงชนชาวไทย
สำหรับงาน "ดนตรีในสวน : H.M. Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ” ประจำปี 2567 เวทีอุยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมีอีก 2 วันคือวันที่ 6 ธ.ค.และวันที่ 7 ธ.ค. โดยในวันที่ 6 ธ.ค.พบกับวง Percussion Ensembles จากสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา วงดนตรีสากลจากมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วงดนตรีสากลแนวลูกทุ่งจาก มทร.กรุงเทพ และวันที่ 7 ธ.ค.พบกับวง Labha Land Symphonic Band จาก มรภ.เทพสตรี วง Wind Orchestra จากมหาวิทยาลัยศิลปากร และวง Brass Band จากมหาวิทยาลัย มหิดล นอกจากการแสดงดนตรีแล้วยังมีการแสดงนิทรรศการช่าง 10 หมู่ นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทยหรือ Digital Gallery การออกร้านอาหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. บูธจำหน่ายสินค้าของนิสิตนักศึกษา เป็นต้น
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช.พัฒนา “น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพ” จากปาล์มน้ำมัน มุ่งผลักดันโอเลโอเคมีมูลค่าสูง
ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตปาล์มน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยผลผลิตส่วนใหญ่ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารและพลังงานทดแทน แต่ทุกวันนี้เกษตรกรไทยกำลังเผชิญกับปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด ภาครัฐจึงเร่งหาทางออกด้วยการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ปาล์มน้ำมันและผลักดันอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่น่าจับตามองและมีโอกาสเติบโตอย่างมากในอนาคต เนื่องจากผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีเป็นที่ต้องการสูงในตลาดโลกและยังเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน (biolubricant base oil) เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจากปิโตรเลียม เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันพร้อมทั้งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูงของประเทศตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีเป้าหมายรวม 8 ผลิตภัณฑ์ หนึ่งในนั้นคือผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นพื้นฐาน (base oil) หรือน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานเพิ่มเติมสารเติมแต่งเพื่อการเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเฉพาะทาง ซึ่งปัจจุบันตลาดโลกมีความต้องการน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมากถึง 14 ล้านตันต่อปี และน้ำมันหล่อลื่นและจาระบี 36 ล้านตันต่อปี (ข้อมูลจาก สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, 2564)
[caption id="attachment_63918" align="aligncenter" width="750"] ดร.พรประภา พิทักษ์จักรพิภพ นักวิจัยเอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.พรประภา พิทักษ์จักรพิภพ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน น้ำมันหล่อลื่นส่วนใหญ่ผลิตจากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ไม่หมุนเวียนและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยประกอบด้วยน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานประมาณร้อยละ 90 และอีกร้อยละ 10 เป็นสารเติมแต่งเพื่อปรับคุณสมบัติให้เหมาะสมต่อประเภทการใช้งาน อย่างไรก็ตาม การนำน้ำมันปาล์มมาใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพมีข้อเสียคือน้ำมันปาล์มมีสภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลวที่อุณหภูมิห้อง และมีเสถียรภาพต่ำ ดังนั้นทีมวิจัยจึงพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากน้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ โดยผ่านกระบวนการสังเคราะห์เพื่อปรับโครงสร้างทางเคมี ให้มีคุณสมบัติด้านการไหลเทที่ดีขึ้น คือไม่เกิดการแข็งตัวในช่วงอุณหภูมิที่ใช้งาน และมีเสถียรภาพสูงขึ้น ทำให้ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี
[caption id="attachment_63920" align="aligncenter" width="750"] น้ำมันปาล์ม วัตถุดิบผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพ[/caption]
“น้ำมันปาล์มรีไฟน์ที่กลั่นได้จากน้ำมันปาล์มดิบมีจุดไหลเทประมาณ 23 องศาเซลเซียส แต่เมื่อผ่านกระบวนการดัดแปลงโครงสร้างทางเคมีแล้วจะมีจุดไหลเทที่ต่ำลง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตจนได้น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพที่มีจุดไหลเทลดต่ำลงเท่ากับ -33 ถึง -9 องศาเซลเซียส นำไปใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพได้โดยไม่เกิดปัญหาการแข็งตัวที่อุณหภูมิต่ำ นอกจากนี้น้ำมันจากพืชยังมีโครงสร้างที่เสื่อมสภาพได้ง่ายเมื่อเจอปฏิกิริยาออกซิเดชันและความร้อน แต่เมื่อนำมาผ่านการแปลงโครงสร้างทางเคมีแล้ว ทำให้มีเสถียรภาพต่อปฏิกิริยาออกซิเดชันและความร้อนสูงขึ้นมากกว่าน้ำมันจากพืชทั่วไปถึง 4 เท่า”
ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานตามมาตรฐานเดียวกับน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจากปิโตรเลียม เพื่อเปรียบเทียบสภาวะแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับการใช้งานจริง ซึ่งผลการทดสอบพบว่าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพที่ได้มีคุณสมบัติด้านการหล่อลื่นที่ดีกว่าน้ำมันจากปิโตรเลียม ค่าดัชนีความหนืดสูง มีเสถียรภาพดีกว่าน้ำมันจากพืช และมีจุดไหลเทต่ำเทียบเท่ากับน้ำมันจากปิโตรเลียม
[caption id="attachment_63921" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน[/caption]
“เรายังต้องทดสอบน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพกับสารเติมแต่งทางการค้าต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานที่ผลิตจากปาล์มสามารถใช้สารเติมแต่งทางการค้าที่มีอยู่เดิมได้ โดยเราคำนึงถึงการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นสารเติมแต่งที่เราเลือกนำมาใช้จึงเป็นสารกลุ่มที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพด้วย และในเฟสถัดไปทีมวิจัยตั้งเป้าที่จะร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ร่วมวิจัยพัฒนายกระดับการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดการนำไปใช้งานจริง หากการพัฒนาประสบความสำเร็จ น้ำมันหล่อล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจะเป็นอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีใหม่ของไทย เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีอุตสาหกรรมประเภทนี้ และต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจากต่างประเทศ การผลิตเองภายในประเทศจะช่วยลดการนำเข้า เกิดการจ้างงาน และสร้างเสถียรภาพให้กับราคาปาล์มน้ำมันได้ ซึ่งเพียงแค่ผลิตจากวัตถุดิบจากภาคการเกษตรสำหรับใช้ในประเทศทดแทนการนำเข้าก็สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นกลุ่มที่เราสนใจ ได้แก่ กลุ่มน้ำมันตัดกลึงโลหะ น้ำมันไฮดรอลิก น้ำมันเครื่อง และน้ำมันหล่อลื่นอุตสาหกรรมต่างๆ” ดร.พรประภา กล่าว
[caption id="attachment_63919" align="aligncenter" width="750"] คณะผู้วิจัย และ ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ[/caption]
โครงการพัฒนาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากน้ำมันปาล์มนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้นและรักษาเสถียรภาพของราคาปาล์มน้ำมัน เป็นผลดีทั้งต่อภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของประเทศในภาพรวม
[caption id="attachment_63922" align="aligncenter" width="750"] นักวิจัยเอ็นเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมัน[/caption]
ปัญหาภาวะโลกร้อนที่เป็นผลมาจาการใช้น้ำมันปิโตรเลียมเป็นปัจจัยหนุนให้อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีเติบโตและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่ผลิตพืชน้ำมันเป็นจำนวนมาก การนำพืชน้ำมันเหล่านี้มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรเท่านั้น ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ผู้ประกอบการหรืออุตสาหกรรมที่สนใจร่วมวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน ติดต่อได้ที่ ดร.พรประภา พิทักษ์จักรพิภพ เอ็นเทค สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4690 หรืออีเมล pawnprapa.pit@entec.or.th
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรกร กลิ่นหอม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ออสเตรเลีย-ไทย ลงนามสัญญาโครงการร่วมพัฒนาขีดความสามารถการผลิตยาและวัคซีนในประเทศไทย
สำนักงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติของออสเตรเลีย (Commonwealth Scientific and Industrial Research Organisation: CSIRO) ร่วมกับ ไบโอเทค สวทช. องค์การเภสัชกรรม (อภ.) โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จับมือร่วมดำเนินโครงการ การผลิตชีววัตถุและชีวเภสัชภัณฑ์ในประเทศไทย (Biologics and Pharmaceuticals Manufacturing in Thailand) โดย CSIROได้รับสนับสนุนทุนจากกระทรวงการต่างประเทศและการค้าแห่งออสเตรเลีย (Department of Foreign Affairs and Trade (DFAT) เพื่อดำเนินโครงการร่วมกับพันธมิตรฝ่ายไทยเป็นระยะเวลา 3 ปี
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ Prof. Dr. Susie Nilsson, Research Director, Biomedical Manufacturing Program, CSIRO ร่วมลงนามสัญญาโครงการร่วมผลิตชีววัตถุและชีวเภสัชภัณฑ์ในประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.แอนเจลา แมคโดนัลด์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย และศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ไบโอเทค ร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมกันนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค และคณะผู้บริหาร นักวิจัย สวทช. เข้าร่วมในงานด้วย ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูต สถานทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย
โครงการความร่วมมือนี้จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าถึงยาและวัคซีนที่จำเป็นได้มากขึ้นโดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างขีดความสามารถของบุคลากรผ่านการฝึกอบรมภาคปฏิบัติแบบครบวงจร (end-to-end) ที่ห้องปฏิบัติการ สถาบัน CSIRO ประเทศออสเตรเลีย เพื่อผลิตยารักษาโรคมะเร็งและยาต้านไวรัส
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สดร. ร่วมกับกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานพันธมิตร แถลงข่าวจัดกิจกรรม “เทศกาลส่งความสุข อว. บรรเลงเพลงพ่อเคล้าคลอหมู่ดาว”
(4 ธันวาคม 2567) ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรุงเทพฯ:สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานพันธมิตร แถลงข่าวจัดกิจกรรม “เทศกาลส่งความสุข อว. บรรเลงเพลงพ่อเคล้าคลอหมู่ดาว” พร้อมรับฟัง “ดนตรีในสวน : H.M. Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ” ในวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “เปิดประสบการณ์ดูดาวกลางกรุง Starry Night over Bangkok 2024” ซึ่งตรงกับปรากฏการณ์ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบปี จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม 2567 ณ อัฒจันทร์กลางแจ้ง สวนป่าเบญจกิติ เวลา 17.00-22.00 น. นำโดย ดร.วิภู รุโจปการ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ พร้อมด้วย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม (อว.) ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ศาสตราจารย์ ดร. วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมแถลงข่าว
สำหรับกิจกรรม “เทศกาลส่งความสุข อว. บรรเลงเพลงพ่อ เคล้าคลอหมู่ดาว” ประกอบไปด้วยกิจกรรมดนตรีในสวน H.M.Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เนื่องในวันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและพระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร โดยมีการแสดงดนตรีและกิจกรรมต่างๆจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ทั้งใน อว.ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ร่วมบรรเลงเพลงของพ่อ รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ ภายในงาน ได้แก่ การแสดงดนตรีเทิดพระเกียรติ รัชกาลที่ 9 การแสดงโขนเทิดพระเกียรติ นิทรรศการช่าง 10 หมู่ การแสดงโดรนเฉลิมพระเกียรติการออกร้านแสดงผลงานของนิสิต นักศึกษา และผู้ประกอบการ ซุ้มอาหาร และเครื่องดื่ม พร้อมกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ มีกิจกรรม “ดูดาวกลางกรุง Starry Night over Bangkok 2024” อีกด้วย ซึ่งความพิเศษในปีนี้คือตรงกับคืนที่มีปรากฏการณ์ “ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบปี” ดาวพฤหัสบดีจะปรากฏสว่างเด่นทางทิศตะวันออก ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ หากสังเกตการณ์ผ่านกล้องโทรทรรศน์ จะสามารถชมลวดลายของแถบเมฆ และพายุ รวมถึงจุดแดงใหญ่ และดวงจันทร์กาลิเลียนทั้ง 4 ดวงของดาวพฤหัสบดีได้ ในวันงานจะมีคาราวานกล้องโทรทรรศน์กว่าร้อยตัวจาก สดร. โรงเรียนเครือข่ายดาราศาสตร์ รวมถึงหน่วยงานพันธมิตร และนักดาราศาสตร์สมัครเล่น พร้อมให้บริการเต็มพื้นที่ลานอัฒจันทร์กลาง ในคืนดังกล่าวยังสามารถชมวัตถุท้องฟ้าอื่น ๆ เช่น ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดาวอังคาร ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมายภายในงาน อาทิ ถ่ายภาพดวงจันทร์ดาวเสาร์ และดาวพฤหัสบดีผ่านโทรศัพท์มือถือ รู้จักท้องฟ้าและกลุ่มดาวที่น่าสนใจผ่านแอปพลิเคชันดูดาว “NAPA” เรียนรู้ดูดาวด้วยตาเปล่า เก็บภาพความประทับใจกับบอลลูนดาวเคราะห์ รู้จักกลุ่มดาวผ่าน Stellar Light Box สนุกกับ Glow in the Dark ฟังทอล์ก “มหัศจรรย์ดาวพฤหัสบดี” และกิจกรรมพิเศษ Night Nature Walk สำรวจธรรมชาติยามค่ำคืนกลางสวนเบญจกิติ
“งานดูดาวกลางกรุง” จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคมปี 2566 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียง ในปี 2567 นี้ สดร. จึงร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานพันธมิตร เตรียมเนรมิตกรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งดวงดาวอีกครั้ง ณ บริเวณลานอัฒจันทร์กลาง สวนเบญจกิติ กรุงเทพฯ ชวนค้นหาดวงดาวที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ในพื้นที่มืดของสวนป่าใจกลางเมืองที่มีมลภาวะทางแสงรบกวนไม่มาก ผู้สนใจเข้าร่วมงานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ลงทะเบียนออนไลน์ พิเศษสำหรับผู้ลงทะเบียนออนไลน์ รับของที่ระลึกบริเวณจุดลงทะเบียนหน้างานได้ก่อน 20.00 น. หรือจนกว่าของจะหมด
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

กระทรวง อว. รวมพลังปลูกต้นไม้ถวายในหลวง 72,000 ต้นไม้แห่งความจงรักภักดี
วันที่ 4 ธันวาคม 2567 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการปลูกต้นไม้ 72,000 ต้น เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี กระทรวง อว. (ส่วนกลาง) ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง (อว.) นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง (อว.) รักษาการในตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (อว.) นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (อว.) ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวง (อว.) พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สายงานกลยุทธ์องค์กร (สวทช.) เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมทั้งข้าราชการ พนักงานเจ้าหน้าที่ นิสิตนักศึกษา ประชาชนทั่วไป ณ เทคโนธานี ต.ตลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
นางสาวศุภมาส กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2567 นับเป็นปีมหามงคล ที่ปวงชนชาวไทยทุกคน จะได้พร้อมใจกันแสดงความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงเป็นดั่งแสงนำใจของคนไทยทั้งชาติ พระองค์ทรงสืบสานแนวพระราชดำริ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานไว้ เพื่อให้ราษฎรอยู่ดีกินดี แก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมทั้งด้านดิน น้ำ ป่า ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ เป็นการรวมหน่วยงานในสังกัดและกำกับของกระทรวง อว. รวมถึงสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ พร้อมใจกันปลูกต้นไม้ในปีมหามงคลดังกล่าว เพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อม รักการปลูกต้นไม้และรักธรรมชาติ อีกทั้งเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดีอี ผนึก ‘อว.- ศธ.’ ร่วมมือ UNESCO เตรียมเป็นเจ้าภาพ งาน “UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก พร้อมประเมิน “Thailand AI Readiness Assessment” ย้ำบทบาทร่วมเป็นผู้นำด้านจริยธรรม AI ในเวทีโลก
วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ - กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) จัดแถลงข่าวประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการ เตรียมเป็นเจ้าภาพ จัดงานระดับโลก “The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ชูแนวคิด “Ethical Governance of AI in Motion” โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพฯ คาดมีผู้นำและผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสมาชิกยูเนสโก กว่า 194 ประเทศ รวมกว่า 800 คน เข้าร่วมงาน นับเป็นการจัดการประชุมนานาชาติครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก ตอกย้ำความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นผู้นำร่วมขับเคลื่อนจริยธรรม รวมถึงยกระดับการกำกับดูแลการประยุกต์ใช้ AI ของโลก สู่การปฏิบัติจริงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ ในงานแถลงข่าวยังเป็นก้าวสำคัญในการแสดงจุดยืนต่อผู้นำโลก ถึงความพร้อมของการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาลของประเทศไทย ตามกรอบ UNESCO AI Readiness Assessment (UNESCO RAM) ซึ่งเป็นกรอบการประเมินความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ สะท้อนศักยภาพของการพัฒนาและใช้งาน AI อย่างรับผิดชอบ โปร่งใส เป็นธรรม ตามมาตรฐานสากล รวมถึงสนับสนุนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศ ด้านยุทธศาสตร์ การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในด้านสังคม จริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ AI และการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและระบบปัญญาประดิษฐ์
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ผ่านปาฐกถาพิเศษ ถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ที่ควรต้องเป็นไปตามหลักการสำคัญ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยมีแผนและการเตรียมการในการนำ AI มาใช้ในองค์กรเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2567 สูงถึง 73.3% ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 20% (ข้อมูลจากรายงาน
AI Readiness Measurement 2024) ที่จัดทำโดย ETDA และ สวทช. นอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการประกาศ แนวทางการกำกับดูแลโดยมี “แนวทางการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับผู้บริหาร” และ “คู่มือแนวทางการประยุกต์ใช้ Generative AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับองค์กร” เพื่อประโยชน์ในการนำแนวทางและคู่มือไปประกอบการพิจารณาการนำ AI มาใช้ในระดับองค์กรเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น จากศักยภาพของประเทศในมิติต่างๆ จึงได้นำไปสู่ความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพร่วมเพื่อจัดงาน “UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ในปีหน้านี้ จะมีทั้งเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ การส่งเสริมความร่วมมือในระดับพหุภาคี รวมไปถึงการเสริมสร้างความสามารถในการกำกับดูแล AI ในประเทศที่กำลังพัฒนา ที่ถือได้ว่าจะเป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลก ที่ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก และแสดงให้เห็นว่าไทยเองมีความสามารถในการเป็น “แหล่งเรียนรู้” ในด้าน AI Governance ที่พร้อมร่วมมือกับ UNESCO อีกด้วย
ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึง ความพร้อมของประเทศไทยจากบทบาทของ กระทรวง อว. ในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยี AI ไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยไม่เพียงเน้นสร้างนวัตกรรมเท่านั้น ยังให้ความสำคัญกับจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีหน่วยงาน ภายใต้กระทรวง อว. คือ สวทช. ที่ร่วมผลักดันการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม AI ที่จะช่วยตอบโจทย์ระดับประเทศ รวมถึงการมีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนากรอบจริยธรรม AI ที่มุ่งเน้นความสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล ประกอบกับ ประเทศไทยได้มีการส่งเสริมและพัฒนาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ผ่านการเตรียมทำการประเมินความพร้อมด้าน AI ตามกรอบแนวทางของ UNESCO RAM ที่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ไทยได้เข้าใจสถานการณ์ความพร้อม ซึ่งครอบคลุมในมิติต่างๆ อีกทั้งข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ จะพัฒนาไปเป็นข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปสนับสนุนการวางแผนสำหรับประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนการปรับปรุงในมิติที่จำเป็น ภายใต้บริบทของไทยให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การร่วมจัดงาน Global Forum on the Ethics of AI 2025 ในปีหน้านี้ จะช่วยสะท้อนถึงการผนึกกำลังที่เข้มแข็งระหว่างกระทรวง อว. พร้อมด้วยกระทรวงดีอี และกระทรวง ศธ. จากประเทศไทย ในการทำงานร่วมกับ UNESCO เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนสำหรับทุกคน
ขณะที่ นายซิง ฉวี่ รองผู้อำนวยการใหญ่ UNESCO ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยในความเป็นผู้นำด้านการส่งเสริมธรรมาภิบาลจริยธรรม AI และการผลักดันความร่วมมือระดับนานาชาติ พร้อมเน้นย้ำว่าภารกิจของยูเนสโก ในการสร้างสันติภาพผ่านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ และชีวิตของผู้คน พร้อมยังกล่าวถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มาพร้อมกับความก้าวหน้าในโครงสร้างพื้นฐาน AI ของภูมิภาค จนอาจนำมาสู่ความท้าทายที่เกิดขึ้น เช่น ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และผลกระทบต่อการจ้างงานจากระบบอัตโนมัติอย่าง AI เป็นต้น ซึ่งการที่ประเทศไทยได้มีการนำกรอบแนวทางการประเมินความพร้อมด้าน AI ของยูเนสโก (UNESCO RAM) มาใช้นั้น ถือเป็นก้าวสำคัญของกรอบการทำงานในการประเมินความพร้อมด้านการประยุกต์ใช้ AI ของไทย ที่มีความแข็งแกร่งและพร้อมส่งเสริมการใช้ AI ด้วยโปร่งใส ตามกรอบธรรมาภิบาลและจริยธรรมตามมาตรฐานสากล โดย Global Forum on the Ethics of AI 2025 จะเป็นเวทีสำคัญสำหรับการเจรจาระดับโลกในการร่วมพัฒนาจริยธรรมการประยุกต์ใช้ AI ที่เคารพสิทธิมนุษยชน โปร่งใส เป็นธรรม พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาคด้านธรรมาภิบาลจริยธรรม AI อย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ ในการแถลงข่าวความร่วมมือครั้งนี้ ประเทศไทย ยังได้ประกาศจุดยืนต่อผู้นำโลก ถึงความพร้อมของการประยุกต์ใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล ตามกรอบ UNESCO’s AI Readiness Assessment หรือ UNESCO RAM พร้อมเปิดเวทีเสวนาเชิงลึกโดยผู้นำและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง กับการเสวนาใน 2 ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่
"Thailand's Journey in Driving AI Ethics & Governance: Insights from Hosting the Global Forum on the Ethics of AI" เส้นทางของไทยในการขับเคลื่อนจริยธรรมและการกำกับดูแล AI: มุมมองจากการเป็นเจ้าภาพ Global Forum on the Ethics of AI โดย ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผอ. NECTEC,
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส ETDA และ ดร.วีระ วีระกุล รองประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ที่จะมาร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์การใช้การประชุมระดับโลกครั้งนี้เป็นแพลตฟอร์มในการยกระดับบทบาทของไทยสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับสากล
“Policy and Strategic Frameworks”, in the Region Readiness Assessment Methodology (RAM)” นโยบายและกรอบยุทธศาสตร์” ในกรอบแนวทางการประเมินความพร้อมระดับภูมิภาค โดยนายอิราคลี โคเดลี หัวหน้าหน่วยจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ UNESCO ร่วมกับ ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผอ. ETDA, ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผอ. NECTEC ที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็นการวางกรอบการประเมินความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ (UNESCO RAM) ที่จะเป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับประเทศในภูมิภาค พร้อมแนวทางการจัดตั้งหอสังเกตการณ์จริยธรรมและการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ระดับโลก ที่จะช่วยสร้างระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ที่ยั่งยืน
จากสถานการณ์การเตรียมความพร้อมของประเทศ และกระแสการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาลในเวทีระดับโลก ที่สะท้อนจากมุมมองในระดับนโยบายของประเทศ สู่ความร่วมมือจากหน่วยงานสำคัญของไทยและ UNESCO จึงได้นำสู่การร่วมดำเนินงานโครงการสำรวจความพร้อมด้านจริยธรรม AI ของประเทศไทยตามแนวทางแนะนำของ UNESCO (โดยติดตามความคืบหน้าในการจัดงานอย่างต่อเนื่อง ได้ผ่านเพจ https://www.ai.in.th/) รวมถึงการเตรียมจัดการประชุมระดับนานาชาติครั้งแรกในเอเซียแปซิฟิก “The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ในแนวคิด “Ethical Governance of AI in Motion” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพฯ โดยติดตามความคืบหน้าในการจัดงานอย่างต่อเนื่อง ได้ผ่านเพจ ETDA Thailand
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์