ผลการค้นหา :

‘KidBright μAI’ ฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว
รู้หรือไม่ ทุกวันนี้นอกจากคนรุ่นใหม่จะต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว การเรียนรู้วิธีสร้างโมเดล AI เพื่อประมวลผลข้อมูลก็ขยับเข้ามาเป็นหนึ่งในหลักสูตรการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าของประเทศไทยแล้วด้วย เพราะการที่เยาวชนมีทักษะความรู้ด้านนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเฉพาะทางในระดับชั้นที่สูงขึ้น แต่ยังช่วยฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ฝึกประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทำงานหรือการแก้ไขปัญหา และยังเป็นการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทักษะเหล่านี้ล้วนจำเป็นต่อการทำงานในทุกสายอาชีพและการใช้ชีวิต
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘KidBright μAI (คิดไบรท์ ไมโครเอไอ)’ แพลตฟอร์มสำหรับให้เยาวชนใช้ฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT (Artificial Intelligence of Things) แบบครบจบในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อการเรียนรู้ที่เป็นระบบ ง่าย และสนุก
‘KidBright μAI’ เรียนรู้วิธีสร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT อย่างเป็นระบบ
[caption id="attachment_63477" align="aligncenter" width="750"] ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. อธิบายว่า แพลตฟอร์ม KidBright μAI ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือบอร์ดสมองกลฝังตัวทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ AIoT และส่วนที่สองคือเว็บแอปพลิเคชัน KidBright μAI IDE โดยตัวบอร์ดจะมาพร้อมอุปกรณ์รับสัญญาณภาพและเสียง ตัวรับสัญญาณไวไฟ อุปกรณ์แสดงผลข้อมูลอย่างจอและลำโพง และพอร์ตสำหรับต่อเซนเซอร์จากภายนอก โดยผู้เรียนจะใช้งานบอร์ดตัวนี้ร่วมกันเว็บแอปพลิเคชัน KidBright μAI IDE ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับสร้างโมเดล AI และเขียนโค้ดเพื่อสั่งการทำงาน ปัจจุบัน KidBright μAI IDE ใช้สร้างโมเดล AI ได้ 3 ประเภท คือ ‘image classification’ จำแนกประเภทวัตถุภายในภาพ ‘object detection’ ระบุตำแหน่งวัตถุภาพในภาพ และ ‘voice classification’ ระบุคำสั่งเสียง ซึ่งโมเดลเหล่านี้ล้วนมีการใช้ประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม เช่น สมาร์ตโฟน ยานยนต์ การแพทย์ รวมถึงนำไปใช้ควบคุมสายการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ด้วย
“การฝึกสร้างโมเดล AI ด้วย KidBright μAI IDE ทำได้ง่ายเพียง 3 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกให้จัดเก็บข้อมูลภาพหรือเสียง ด้วยกล้องและไมโครโฟนที่ติดมากับบอร์ด KidBright μAI หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ผู้เรียนมี ขั้นตอนที่สองติดป้ายกำกับเพื่อระบุประเภทของข้อมูล ขั้นตอนที่สามกดสั่งการให้ระบบเทรน AI แบบอัตโนมัติ เพียงเท่านี้ก็จะได้โมเดล AI มาใช้งานแล้ว หลังจากนั้นผู้เรียนสามารถนำโมเดลไปประยุกต์ใช้สั่งการทำงานบอร์ด KidBright μAI ได้โดยการเขียนโค้ดด้วยชุดคำสั่งแบบบล็อก (Blockly) เพื่อให้บอร์ดประมวลผลและทำงานตามที่กำหนด เช่น หากผู้เรียนเทรนให้โมเดล AI แยกวัตถุในภาพว่าเป็นสุนัขหรือแมว ก็อาจนำไปเขียนโค้ดสั่งการทำงานต่อว่าหากกล้องของบอร์ดจับภาพสุนัขได้ให้เล่นเสียงโฮ่งเลียนแบบเสียงสุนัขออกมาทางลำโพง แต่หากจับภาพแมวได้ให้เล่นเสียงเหมียวแทน”
จุดเด่นของแพลตฟอร์ม KidBright μAI คือ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้กระบวนการผลิตโมเดล AI และเขียนโค้ดเพื่อสั่งการทำงานอุปกรณ์ AIoT แบบครบทุกขั้นตอนด้วยแพลตฟอร์มเดียว ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นระบบและต่อเนื่อง ใช้เวลาในการเรียนรู้สั้น ที่สำคัญคือช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมให้แก่สถาบันการศึกษาหรือผู้ปกครองได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้หากผู้เรียนไม่มีบอร์ด KidBright μAI ก็สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ทุกขั้นตอนได้ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน KidBright AI ซึ่งภายในแอปพลิเคชันจะมีระบบจำลองสถานการณ์ (simulation) ที่มีหุ่นยนต์ ‘น้องขนมชั้น’ รอรับคำสั่งและแสดงผลให้ผู้เรียนได้เห็น ทดแทนการแสดงผลโดยบอร์ด KidBright μAI ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนไทยเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยีแห่งอนาคตได้อย่างทั่วถึง
[caption id="attachment_63478" align="aligncenter" width="750"] บอร์ด KidBright μAI[/caption]
รวมพลสร้างคนรุ่นใหม่เชี่ยวชาญ AI
ดร.เสาวลักษณ์ เล่าว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ KidBright (เทคโนโลยี KidBright Coding และ KidBright μAI) ทีมวิจัยและพันธมิตรได้ถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการจัดกระบวนการสอนให้แก่ครูและอาจารย์ไปแล้วมากกว่า 10,000 คน จากมากกว่า 7,000 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และมีนักเรียนเข้าใช้งานแพลตฟอร์มแล้วมากกว่า 1 ล้านครั้ง ตัวอย่างการนำ KidBright μAI ไปใช้จัดกิจกรรมให้แก่เยาวชน เช่น ในงานรวมพลคน KidBright ที่ผ่านมาได้จัดการแข่งขันให้เยาวชนพัฒนาโมเดล AI และเขียนโค้ดเพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่มีส่วนประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ การจัดกิจกรรมครั้งนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกฝนเพิ่มพูนทักษะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AIoT ในการแก้ไขปัญหาโจทย์จริง ภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนานและเป็นกันเอง และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ร่วมกันกับเพื่อนและอาจารย์จากต่างสถาบันการศึกษา รวมถึงนักวิจัยผู้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
“การที่แพลตฟอร์ม KidBright ขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วเป็นผลมาจากการได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคมมาโดยตลอด ทั้งด้านการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาและการจัดอบรม การรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตบอร์ด KidBright μAI เพื่อให้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ได้ทันความต้องการของทั้งครู อาจารย์ และนักเรียนจากทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีเมกเกอร์ภายในประเทศไทยและบุคลากรจากสถานบันการศึกษาต่าง ๆ ร่วมนำ open source ของแพลตฟอร์มไปใช้พัฒนาฟังก์ชันเสริม เพื่อให้เยาวชนได้มีเครื่องมือสำหรับเรียนรู้และพัฒนาระบบอัตโนมัติที่มีฟังก์ชันการทำงานหลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้อีกส่วนที่ขาดไม่ได้เลยคือการสนับสนุนงบประมาณในการขับเคลื่อนกิจกรรม เพื่อให้โอกาสทางการเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เพียงผู้ที่มีความพร้อมเท่านั้น” ดร.เสาวลักษณ์ กล่าวทิ้งท้าย
แพลตฟอร์ม KidBright คือหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการสร้างรากฐานของประเทศ เพราะการที่เยาวชนได้เรียนรู้เทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้น จะช่วยให้พวกเขาต่อยอดการเรียนรู้สู่ช่วงชั้นที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ถือเป็นการลงทุนที่จะออกดอกออกผลต่อไปในระยะยาว และทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมด้านบุคลากรซึ่งเป็นแต้มต่อสำคัญของการแข่งขันในเวทีโลก สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kid-bright.org
ผู้ให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม KidBright μAI
กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) สนับสนุนด้านการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้และการจัดอบรม
หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) กองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และธนาคารกรุงเทพ สนับสนุนงบประมาณเพื่อขยายผลการใช้งานแพลตฟอร์มให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด
เมกเกอร์ภายในประเทศไทย เช่น เชียงใหม่เมกเกอร์ ขอนแก่นเมกเกอร์ สมาคมเมกเกอร์ประเทศไทย รวมไปถึงมหาวิทยาลัยเครือข่าย เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ภาคเหนือ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ภาคกลาง) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มหาวิทยาลัยศิลปากร (ภาคตะวันตก) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (ภาคใต้) ร่วมนำ open source ของแพลตฟอร์มไปพัฒนาฟังก์ชันเสริมใหม่ ๆ เพื่อให้เยาวชนมีเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้และนำไปใช้พัฒนาระบบอัตโนมัติที่มีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนการขยายผลการใช้งานแพลตฟอร์มเพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาของเยาวชนไทยทั่วประเทศ
ครูและอาจารย์พันธมิตรจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สนับสนุนการนำแพลตฟอร์มไปใช้จัดการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนในสังกัด และช่วยพัฒนาสื่อการเรียนรู้ทั้งวิธีการใช้งานแพลตฟอร์ม เทคนิคการสร้างโมเดล AI และเทคนิคการเขียนโค้ดเพื่อสั่งการอุปกรณ์ AIoT สำหรับเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้คนในชุมชนได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
บริษัทอินโนเวตีฟ เอ็กเพอริเมนต์ จำกัด สนับสนุนผ่านการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตบอร์ด KidBright Coding และ KidBright μAI จำหน่ายภายใต้แบรนด์ INEX เพื่อให้ผู้ที่สนใจใช้งานเข้าถึงเทคโนโลยีได้สะดวกยิ่งขึ้น
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย เนคเทค สวทช. และ ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

รองปลัดกระทรวง พม. เป็นประธานเปิดโครงการ “รักษ์อาหารต่อยอดสู่การจัดตั้งธนาคารอาหาร (Food Bank)” มุ่งแก้ปัญหาขยะอาหารและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน
วันที่ 17 ธันวาคม 2567 ณ ชุมชนแหลมตุ๊กแก ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต : นางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดโครงการ “รักษ์อาหารต่อยอดสู่การจัดตั้งธนาคารอาหาร (Food Bank)” ซึ่งจัดขึ้นโดย มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ นำโดย นายทวี อิ่มพูลทรัพย์ ผู้จัดการประจำสาขาประเทศไทย
โดยมี ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบาย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะหัวหน้าโครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย ผู้แทน หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้แทนเทศบาลตำบลรัษฎา ประธานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต ประธานศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (ศพค.) ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน
โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาขยะอาหารที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหารของกลุ่มประชาชนเปราะบาง โดยเน้นการลดความสูญเสียอาหารตั้งแต่ต้นทาง สอดคล้องกับผลการศึกษาที่ระบุว่า ประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ขณะที่ยังมีประชากรที่มีรายได้น้อยและมีแนวโน้มประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารสูงถึง 3.8 ล้านคน
นางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงความสำคัญของโครงการว่า การบริหารจัดการอาหารส่วนเกินผ่านการจัดตั้งธนาคารอาหาร (Food Bank) จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ในประเด็นขยะอาหาร ลดการสูญเสียทรัพยากรอาหาร และเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประชาชนที่ขาดแคลน ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยื
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. มอบถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้แทนในการส่งมอบถุงยังชีพ 100 ชุด ให้กับ นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. ซึ่งจะมีการนำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ในวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ต่อไป
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำเงินที่ได้รับบริจาคจากโครงการ “สวทช. รวมใจ เพื่อนช่วยเพื่อนผู้ประสบอุทกภัย 2567” จำนวน 41,978 บาท จัดทำถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค และยา 100 ชุด ส่งมอบให้กับ ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว. เพื่อประชาชน” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ทั้งนี้ หากท่านใดมีความประสงค์จะร่วมสนับสนุนปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม สามารถติดต่อนำสิ่งของมาร่วมบริจาคได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว.เพื่อประชาชน” อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. โทรศัพท์ Call center 1313
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นาโนเทค สวทช.-สภาเภสัชกรรม-สปสช. ร่วมนำร่องผลักดันชุดตรวจคัดกรองโรคไตในร้านยา
วันที่ 18 ธันวาคม 2567 ณ สภาเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับสภาเภสัชกรรม และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมมือผลักดัน “ชุดตรวจคัดกรองโรคไต” ที่พัฒนาและผลิตในไทยเข้าสู่ระบบ สปสช. ผ่านร้านขายยาในโครงการ การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิเพื่อป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังแบบครบวงจรโดยเภสัชกร เครือข่ายร้านยาในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประเทศไทย นำร่อง 3,000 ชุดในพื้นที่ สปสช. เขต7 ขอนแก่น หวังรณรงค์ตรวจคัดกรองโดยสมัครใจเพื่อ “รู้ให้เร็วว่าเสี่ยง สร้างความตระหนักเพื่อชะลอการเกิดโรคไตเรื้อรัง และลดค่าใช้จ่าย” พร้อมส่งเสริมความเข้มแข็งนวัตกรรมด้านชุดตรวจทางการแพทย์ของไทย ยกระดับสุขภาวะคนไทยด้วยนวัตกรรมของไทย เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า
ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า นาโนเทคเป็นองค์กรวิจัยชั้นนำที่ตั้งมั่นใช้ประโยชน์นาโนเทคโนโลยีขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ภารกิจหนึ่งของเราคือ การต่อยอดผลงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมไทยด้านเครื่องมือแพทย์ที่มูลค่าตลาดสูงเพื่อเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกับพันธมิตรภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคสังคมขับเคลื่อนงานทางด้านชุดตรวจทางการแพทย์ไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข
“ชุดตรวจคัดกรองโรคไตนี้ เป็นหนึ่งใน S&T implementation for Sustainable Thailand นวัตกรรมชุดตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) ที่มีดร. เดือนเพ็ญ จาปรุง เป็น Driver โดยต่อยอดงานวิจัย ‘AL-Strip’ โดย ดร. สาธิตา ตปนียากร ซึ่งเป็นชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพที่ประชาชนทั่วไปใช้ตรวจคัดกรองโรคได้ด้วยตัวเอง ทราบผลตรวจได้ภายใน 5 นาที ที่สำคัญ นอกจากมีราคาจับต้องได้จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการแล้ว โครงการนี้ ยังช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจคัดกรองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านร้านยาในโครงการ การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิเพื่อป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังแบบครบวงจรโดยเภสัชกร เครือข่ายร้านยาในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประเทศไทย นำร่องในพื้นที่ สปสช. เขต7 ขอนแก่น” ผู้อำนวยการนาโนเทค สวทช. เผย
ทันตแพทย์หญิงน้ำเพชร ตั้งยิ่งยง ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายสนับสนุนบริการปฐมภูมิและการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมมือกับสภาเภสัชกรรม จัดบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคในร้านยาสำหรับคนไทยทุกคน ครอบคลุมทุกสิทธิการรักษา ไม่เฉพาะเพียงผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น ซึ่งบริการดังกล่าวประกอบด้วย 1. บริการยาเม็ดคุมกำเนิด 2. บริการยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน 3. บริการถุงยางอนามัย 4. บริการชุดทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง 5. บริการยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กและกรดโฟลิก โดยในปี 2567 นี้ สปสช. ได้เพิ่มนวัตกรรมชุดตรวจสุขภาพด้วยตนเองที่มีประสิทธิภาพเข้ามาเสริมในชุดสิทธิประโยชน์ ได้แก่ ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ชุดเก็บสิ่งส่งตรวจด้วยตนเองเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และชุดตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับจากปัสสาวะด้วยตนเอง โดยประชาชนสามารถเข้ารับบริการเหล่านี้ได้ที่ร้านยาที่มีสัญลักษณ์ “ร้านยาของฉันให้บริการสร้างเสริมสุขภาพ” หรือสัญลักษณ์ “30 บาทรักษาทุกที่” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
สปสช. เล็งเห็นว่า การเพิ่มชุดตรวจสุขภาพด้วยตนเองถือเป็นก้าวสำคัญในการดูแลสุขภาพของประชาชน ช่วยส่งเสริมการตรวจพบและป้องกันโรคตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และสาธารณสุขของประชาชน ตลอดจนเพิ่มผลลัพธ์ด้านสุขภาพโดยรวม สำหรับ “ชุดตรวจคัดกรองโรคไตด้วยตนเอง” ถือเป็นนวัตกรรมบริการที่สนับสนุนระบบบริการปฐมภูมิ ช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรคไตเสื่อม อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ สปสช. จะนำบริการด้านสุขภาพเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของคนไทย จะต้องผ่านกระบวนการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HTA) อย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ผลกระทบด้านงบประมาณ ความสอดคล้องกับแนวทางเวชปฏิบัติ ความพร้อมของระบบบริการ รวมถึงประเด็นด้านจริยธรรมและสังคม ทั้งนี้ สปสช. ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำนวัตกรรมด้านสุขภาพมาต่อยอด และยกระดับบริการทางด้านสาธารณสุขให้กับคนไทยทุกคน ซึ่งความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและการมีส่วนร่วมของประชาชน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพของไทยให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และยั่งยืน ภก. ปรีชา พันธุ์ติเวช นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวว่า สภาเภสัชกรรมสนับสนุนให้ร้านยาเป็นหน่วยปฐมภูมิของประเทศ เพราะมีความใกล้ชิดชุมชน ประชาชนเชื่อถือ และกระจายตัวทั่วประเทศประมาณ 17,000 ร้านยา การผลักดันการใช้ประโยชน์“ชุดตรวจคัดกรองโรคไต”ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ของไทยนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคไตก็เพื่อนำมาพัฒนาระบบบริการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังแบบครบวงจร โดยเภสัชกรเครือข่ายร้านยา ในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเภสัชกรจะนำผลการตรวจคัดกรองมาสร้างการตระหนักรู้ในการดูแลตนเองเพื่อป้องกันและชะลอโรคไตแก่ประชาชน โครงการ “การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิเพื่อป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังแบบครบวงจร” โดยเภสัชกรเครือข่ายร้านยาในหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินี้ เป็นโครงการวิจัยที่ดำเนินอยู่คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568 และจะผลักดันเข้าเป็นสิทธิประโยชน์ในหลักประกันสุขภาพต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

NSTDA Micro-Mouse Contest ครั้งที่ 1
ร่วมท้าประลองความสามารถใน NSTDA Micro-Mouse Contest ครั้งที่ 1 (ฟรี! )
.
โอกาสพิเศษสำหรับทีมนักเรียนมัธยมปลายหรือเทียบเท่า ที่สนใจในวิศวกรรมและเทคโนโลยี ร่วมพัฒนาทักษะการออกแบบหุ่นยนต์ การแก้ปัญหา และการคิดวิเคราะห์ พร้อมลุ้นรางวัล และประสบการณ์สุดพิเศษ!
.
กำหนดการสำคัญ:
สมัครได้ถึง: 10 มกราคม 2568
ประกาศผลทีมที่มีสิทธิ์สัมภาษณ์: 20 มกราคม 2568
สัมภาษณ์ออนไลน์: 24 มกราคม 2568
ประกาศผลทีมที่มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม: 28 มกราคม 2568
กิจกรรมค่ายและแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ: 15-18 กุมภาพันธ์ 2568 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ปทุมธานี
พิธีมอบรางวัล: 27 มีนาคม 2568 (ในงาน NAC 2025)
.
ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งค่าวัสดุอุปกรณ์ อาหาร และที่พัก ตลอดกิจกรรม
สมัครเลย! สแกน QR Code ในโปสเตอร์
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0 2564 7000 ต่อ 77259
ปฏิทินกิจกรรม

SMC เผยผลลัพธ์ยกระดับโรงงานด้วยเทคโนโลยี ลดต้นทุน-พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำเร็จใน 1 ปี พร้อมหนุนใช้ดิจิทัลปั้นอุตสาหกรรม 4.0 อย่างยั่งยืน
17 ธันวาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่ EECi จังหวัดระยอง: ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ SMC (Sustainable Manufacturing Center) ภายใต้เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติหุ่นยนต์และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (ARIPOLIS) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) หน่วยงานภายใต้สังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ พันธมิตรภาคอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมเปิดบ้านศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC Open House 2024) ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีดิจิทัล เปลี่ยนอุตสาหกรรมสู่อนาคตที่ยั่งยืน (Sustainable Digital Transformation) พร้อมรายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินงานที่ผ่านมา แผนงานที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 ของ SMC และรายงานผลการสำรวจความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ของไทยปี 2567 นอกจากนี้ภายในงานยังมีสัมมนา นิทรรศการ จากสมาชิก พันธมิตร และคณะนักวิจัยของ SMC ที่เจาะลึกเรื่องราวเทคโนโลยีดิจิทัล โซลูชัน และนวัตกรรมเพื่อยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมการนำ Digital Transformation ขับเคลื่อนโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รวมทั้งกิจกรรมเยี่ยมชม SMC Testbed และ Business Matching ช่วยต่อยอดเครือข่ายธุรกิจ และความร่วมมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของโรงงานอีกด้วย
โอกาสนี้ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน โดยกล่าวว่า เนคเทค สวทช. มีพันธกิจสำคัญในการนำงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีมาสนับสนุนการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล เนคเทคมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีในหลากหลายด้าน เช่น AI ระบบอัตโนมัติ และ IoT เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ประกอบการขนาดเล็กไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผลิต เรายังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน SMC ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสู่การใช้งานจริง SMC ช่วยเชื่อมโยงงานวิจัยไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมไทย
ยกระดับการผลิต สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 3,636 ล้านบาท: ผลการดำเนินงาน SMC ปี 2567
ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) และ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า เป้าหมายหลักของ SMC คือ การผลักดันอุตสาหกรรมไทยก้าวเข้าสู่ Industry 4.0 โดยส่งเสริมและพัฒนาให้กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมสามารถนําเทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตของโรงงานได้อย่างยั่งยืน การดำเนินงานในปี 2567 SMC สนับสนุนการยกระดับการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยี ARI (Automation Robotic and Intelligent System) รวม 131 โรงงาน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่า 3,636 ล้านบาท ผ่านบริการด้านต่าง ๆ ของ SMC เช่น การให้คำปรึกษาและช่วยขอรับการสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์ BOI คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 1,036 ล้านบาท การประเมินความพร้อมอุตสาหกรรมตามแนวทาง Thailand i4.0 Index ทั้งแบบ Full Assess และ Self Assess รวมกว่า 400 โรงงาน,การพัฒนายกระดับศักยภาพของบุคลากรในภาคการผลิตผ่านโครงการ SMC Academy 1,138 ราย จาก 35 บริษัท ใน 14 หลักสูตรด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานโครงการ IDA Platform ในปี พ.ศ. 2565 - 2566 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 132 ล้านบาท และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่า 19 ล้านบาท โดยยังมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม ยกตัวอย่าง กรณีของบริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด ซึ่งได้เชื่อมต่อข้อมูลเข้าสู่ IDA Platform พร้อมทั้งปรับแต่ง Dashboard ให้สามารถแสดงข้อมูลการใช้พลังงานของโรงงานได้อย่างครบถ้วน โดยข้อมูลดังกล่าวถูกนำมาวิเคราะห์และออกแบบเป็นมาตรการประหยัดพลังงานที่สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 18,850 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 226,200 บาทต่อปี อีกตัวอย่างหนึ่งคือ บริษัท ศรีแก้วหล่มเก่า จำกัด จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ได้ติดตั้ง IDA Platform เพื่อใช้ในการจัดการควบคุมอุณหภูมิ การจัดคิวการผลิต และการแสดงสถานะอุณหภูมิในสายการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ การติดตั้งดังกล่าวช่วยลดการใช้แรงงานคน ลดการใช้กระดาษในการบันทึกข้อมูล ลดเวลาสูญเสียในกระบวนการผลิตจากการจัดการเวลาได้อย่างเหมาะสม รวมถึงลดการสูญเสียของเสียในกระบวนการผลิตผ่านการควบคุมอุณหภูมิการอบให้เหมาะสม ผลลัพท์ของโครงการ IDA Platform สะท้อนถึงศักยภาพในการยกระดับความสามารถทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืนผ่านการลดการใช้ทรัพยากรและการสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางอุตสาหกรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
SMC ยังสนับสนุนการประยุกต์ใช้ AI ในโรงงาน โดยเปิดให้บริการเครื่องมือช่วยพัฒนา Edge IoT และ Machine Learning โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม ผ่าน 2 แพลตฟอร์ม ได้แก่ “Daysie” แพลตฟอร์มที่ช่วยในการสร้างและกระจายซอฟต์แวร์ IoT/Edge Computing ไปยังอุปกรณ์ของท่านผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมและนำอุปกรณ์มาติดตั้งซอฟต์แวร์ทีละตัว และ “NoMadML” แพลตฟอร์ม AI ที่พัฒนาขึ้นสำหรับงานทางด้าน Computer vision นำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่มีความต้องการในการตรวจสอบการผลิต ใช้งานง่าย เทรนโมเดลเองได้ ไม่ต้องเขียนโค้ด สามารถเลือกพารามิเตอร์ที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
“SMC มุ่งเป้าความยั่งยืนทางสังคม เศรษฐกิจ ควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อม ในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก SMC ให้บริการศูนย์ทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้าแห่งเดียวในประเทศที่สามารถทดสอบมอเตอร์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดสูงสุด 380 kW ได้ตามมาตรฐานนานาชาติ เช่น ISO-21782 และ UNECE-R85 โดยมีบริษัทชั้นนำร่วมทดสอบ เช่น Toyota Daihatsu Engineering and Manufacturing (TDEM) , บจก.เด็นโซ่ (ประเทศไทย), TÜV SÜD ประเทศไทย,บริษัท จีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (GPX), บริษัท Innopower โดย EGAT เป็นต้น และร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับใช้เป็นระบบคำนวณและทวนสอบ เพื่อให้สามารถรองรับภายใต้ข้อกำหนดของมาตรการการปรับภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM)” ดร.พนิตา อธิบาย
เผยผลการสำรวจความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ของไทย ปี 2567
ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. เผยผลการสำรวจ ระดับความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทยประจำปี 2567 ด้วยดัชนี้ชี้วัด Thailand i4.0 Index โดยสำรวจบริษัทในภาคการผลิตจำนวน 350 บริษัท และในปีนี้ขยายผลสู่ 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งได้จำแนกระดับความพร้อมใน 3 ด้านประกอบด้วย 1) ด้านความพร้อมของเทคโนโลยีในสายการผลิตและสาธารณูปโภคในสถานประกอบการ 2) ด้านความพร้อมของระบบสารสนเทศในองค์กร และ 3) ด้านความพร้อมขององค์กรและบุคลากร โดยค่าเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1 ถึง 6 ซึ่งเทียบเคียงได้กับระดับอุตสาหกรรม 1.0 ถึง อุตสาหกรรม 4.0 โดยผลสำรวจมีรายละเอียด ดังนี้
เทคโนโลยีในสายการผลิต
ระบบสารสนเทศ
ความพร้อมองค์กร
1.
กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน
1.81
2.62
3.0
2.
กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
1.92
2.53
3.19
3.
กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
1.92
2.62
3.06
4.
กลุ่มเหล็กและอลูมิเนียม
1.56
1.99
1.99
5.
กลุ่มการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์
1.68
2.37
1.92
6.
กลุ่มพลาสติกและเคมีภัณฑ์
1.44
2.57
2.22
7.
กลุ่มเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ
1.69
2.24
2.68
8.
กลุ่มยาและเครื่องสำอาง
1.86
2.23
2.46
9.
กลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
1.48
2.47
2.04
ในปี 2567 มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การผลักดันให้ดัชนีชี้วัดระดับความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทยหรือ Thailand i4.0 Index เกิดการขยายผลในระดับชาติ โดยคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นชอบในวันที่ 2 เม.ย. 67 ให้นำเข้า ครม. เพื่อเห็นชอบให้Thailand i4.0 Index เป็นมาตรฐานในการยกระดับความพร้อมอุตสาหกรรมของไทยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ออกมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมโดยใช้ผลการประเมิน Thailand i4.0 Index เป็นเกณฑ์การพิจารณา ผู้ประกอบการสามารถนำเงินลงทุน 100% ไปหักจากภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นเวลา 3 ปี และกรมโรงงานอุตสาหกรรมใช้เป็นเงื่อนไขในการขอรับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 โดยให้ผู้ประกอบการประเมินอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยตัวเองผ่านระบบ Thailand i4.0 CheckUp โดยผู้ประกอบการสามารถใช้งานได้แล้ววันนี้ ผ่านเว็บไซต์ www.nstda.or.th/i4platform และเข้าไปยังi4.0 Checkup ซึ่งเป็นระบบ Online Self-Assessment โดยสามารถป้อนข้อมูลและรับผลการประเมิน ได้ทันที ส่วนผู้ประกอบการที่ต้องการรับการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญภายนอก สามารถสมัครเป็นสมาชิกของศูนย์SMC เพื่อรับการประเมินได้ฟรี
ก้าวต่อไปของ SMC: เป้าหมาย แผนงาน และกิจกรรม ในปี 2568
ในปี 2568 SMC มีเป้าหมายสำคัญในการต่อยอดผลการประเมินพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยดัชนี้ชี้วัด Thailand i4.0 Indexเพื่อการพัฒนาไปสู่ แผนการและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) อย่างเป็นระบบ ได้แก่
การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (DX Roadmap) SMC จะใช้ข้อมูลการประเมินพร้อมอุตสาหกรรม 0 ด้วยดัชนี้ชี้วัด Thailand i4.0 Index มาเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการออกแบบแผนในการทำ Digital Transformation สู่อุตสาหกรรรม 4.0 อย่างเป็นขั้นตอนครอบคลุมทุกกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งแต่ การบูรณาการระบบและการจัดการภายในองค์กร การจัดการทรัพยากร การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น
การนำแผนไปปฏิบัติจริง (Implementation) เป้าหมายไม่ได้หยุดอยู่แค่การวางแผน แต่จะเน้นไปที่การนำแผนดังกล่าวไปปฏิบัติจริงในโรงงาน โดย SMC มุ่งเน้นสนับสนุนการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในโรงงาน เช่น IoT, AI, และระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน การผลิต ลดของเสีย และลดการใช้พลังงาน
การพัฒนาศักยภาพบุคลากร หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการทำ Digital Transformation ในภาคอุตสาหกรรมให้สำเร็จ คือ การสร้างความพร้อมให้กับบุคลากรในอุตสาหกรรม โดย SMC มุ่งพัฒนาหลักสูตรและจัดอบรมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมผ่าน SMC Academy เพื่อให้บุคลากรสามารถปรับตัวและเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 0
การสนับสนุนแนวคิดการผลิตที่ยั่งยืน แผนงาน DX Roadmap & Implementation จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้างความยั่งยืน โดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก SMC พัฒนา ACAMP หรือ Automated Carbon Accounting Management Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการคาร์บอนแบบอัตโนมัติ สามารถติดตามข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรแบบเรียลไทม์ บันทึกและจัดเก็บข้อมูลปีฐาน ช่วยให้เห็นภาพรวมและผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ในทันที สามารถใช้ในการวางแผน การลดต้นทุนการผลิตและติดตามการใช้ทรัพยากรอย่างใกล้ชิด
……………………………………….
ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน
ศููนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ Sustainable Manufacturing Center (SMC) อยู่ภายใต้การดูแล ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ภายในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ตั้งอยู่ในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ผู้พัฒนาระบบ นวัตกร นักวิจัยตลอดจนนักศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ผ่านกิจกรรมต่างๆ ทั้งในรูปแบบการสาธิต การเรียนรู้และการทดลองปฏิบัติจริง รวมไปถึงกิจกรรมวิจัย เพื่อการสร้างนวัตกรรม SMC ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการ พัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย เพื่อมุ่งไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) และส่งแรงขับเคลื่อนถึงการ เป็นประเทศเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (Thailand 4.0) ตั้งขึ้นตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563
ช่องทางการติดต่อ
Web https://www.nectec.or.th/smc
Facebook smcci
Line @smceeci
Email smc-business@nectec.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

กระทรวง อว. โดย สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมสอยดาวชิงโชครางวัลในบูธกระทรวง อว. งานกาชาด 2567 พร้อมชวนชิม Ve-Chick ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลือง
วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ณ สวนลุมพินี กรุงเทพฯ ในงานกาชาด ประจำปี 2567 : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำคณะผู้บริหาร ได้แก่ ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ดร.ปวีณ นราเมธกุล ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ และ นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมพนักงาน สวทช.
ร่วมกันจัดกิจกรรมสอยดาวกัลปพฤกษ์ภายในบูธกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมสอยดาวอย่างคึกคักเพื่อชิงโชคลุ้นของรางวัลมากมาย
โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมด้วย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เข้าเยี่ยมชมกิจกรรมพร้อมมอบของรางวัลให้กับผู้ที่ได้รับรางวัล
ภายในงาน สวทช. ยังได้นำ Ve-Chick ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลือง มาจัดแสดงและสาธิตการทำอาหารเมนูนักเก็ตไก่ทอดจาก Ve-Chick มีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจมาร่วมทดลองชิม โดย Ve-Chick เป็นผลงานวิจัยพัฒนาโดยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ที่ใช้ความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์อาหารมาประยุกต์ในการพัฒนาเนื้อสัมผัสอาหาร จนได้ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Plant-based chicken) มีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงกับเนื้อไก่จริงมากที่สุด สามารถนำมาปรุงเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายตามความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่แพ้เนื้อสัตว์หรือกลุ่มคนรักสุขภาพ
นอกจากนี้ บูธกระทรวง อว. ยังมีกิจกรรมการแสดงรำโบราณคดีร่วมสมัย เช่น เซิ้งโปงลาง รำตากีปัส รำมโนราห์ รำจตุรภาคนาฏลีลา และเซิ้งกะโป๋ จากนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และการแสดงดนตรีจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ทั้งนี้ งานกาชาด ประจำปี 2567 กระทรวง อว. ร่วมจัดกิจกรรมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ภายใต้ธีม “ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ” สัมผัสประสบการณ์การดูภาพยนตร์เสมือนจริง กับ “9D Cinema” สนุกสนานกับกิจกรรมสอยดาวกัลปพฤกษ์ร่วมลุ้นรับของรางวัลพิเศษมากมาย พร้อมเลือกซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์คุณภาพจากร้านค้าหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. และพิเศษสุดเมื่อซื้อสลากกาชาด อว. มีสิทธิ์ลุ้นรับ “รถยนต์ไฟฟ้า” และของรางวัลมากมายรวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ขอเชิญชวนประชาชนมาเยี่ยมชมและร่วมกิจกรรมที่บูธกระทรวง อว. (บูธ3.22) ในงานกาชาดประจำปี 2567 โซน A (ตรงข้ามศาลาจีน) ณ สวนลุมพินี กรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 11-22 ธันวาคม 2567 เวลา 11.00-22.00 น. และบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ http://www.iredcross.org ตลอด 24 ชั่วโมง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช.พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสุขภาพ “A-MED Care” ระบบหลังบ้านสนับสนุนโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่”
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านระบบสุขภาพ โดยเฉพาะปัญหาความแออัดในโรงพยาบาลและหน่วยบริการสาธารณสุข เนื่องมาจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ส่งผลให้จำนวนผู้เข้ารับบริการล้นโรงพยาบาล คนไข้ต้องรอคิวนานกว่าจะได้ตรวจรักษา บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาดูแลผู้ป่วยน้อยลงและเหนื่อยล้าจากภาระงานที่มากเกินกว่าจะรองรับได้
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยพัฒนาแพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์เอเม็ด หรือ A-MED Care Platform ระบบหลังบ้านให้บริการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ช่วยสนับสนุนการทำงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานด้านสาธารณสุขในประเทศ เพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพผ่านโครงการ "30 บาทรักษาทุกที่"
[caption id="attachment_64192" align="aligncenter" width="750"] ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. และผู้บริหาร สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “30 บาท รักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร” เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา[/caption]
ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพและการแพทย์ สวทช. กล่าวว่า สวทช.ให้ความสำคัญกับงานวิจัยด้านการแพทย์และสุขภาพมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงสถานการณ์โควิดทีมวิจัยได้พัฒนาแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ทางไกล หรือ A-MED Telehealth ซึ่งมีการนำไปใช้ดูแลผู้ป่วยโควิดที่แยกกักตัวที่บ้านในลักษณะโรงพยาบาลเสมือน เพื่อบรรเทาปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาลในช่วงวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 ต่อมาได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พัฒนาต่อยอดเป็นระบบที่ดูแลข้อมูลการเบิกจ่ายในโครงการ "เจอ แจก จบ" เพื่อดูแลผู้ป่วยโควิดที่มีสิทธิบัตรทองและมีอาการไม่รุนแรงสามารถรับยารักษาจากร้านยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการ
ล่าสุดในปี 2567 สปสช.ได้ขับเคลื่อนโครงการ "30 บาทรักษาทุกที่" เพื่อยกระดับการดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทองให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึงและลดปัญหาความแออัดในโรงพยาบาล โดย สวทช.ได้มีส่วนร่วมในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากแพลตฟอร์มกลุ่ม AMED Care ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลังบ้านในการให้บริการการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
[caption id="attachment_64194" align="aligncenter" width="561"] ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพและการแพทย์ สวทช.[/caption]
"A-MED Care เป็นแพลตฟอร์มที่ สวทช.พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำงานของหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ ที่ สปสช. ร่วมกับสภาวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งมีหน่วยบริการนวัตกรรมฯ รวม 7 ประเภทด้วยกัน ซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมอย่างแท้จริงเพราะมีสถานพยาบาลเอกชนและคลินิกเอกชนเข้ามาร่วมให้บริการประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองด้วย โดยแพลตฟอร์ม A-MED Care เป็นระบบหลังบ้านที่ช่วยสนับสนุนหน่วยนวัตกรรมฯ ในการให้บริการคนไข้และจัดทำข้อมูลการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ปัจจุบันได้นำแพลตฟอร์ม A-MED Care ไปใช้กับหน่วยบริการนวัตกรรมฯ แล้ว 4 ประเภท ได้แก่ ร้านยาคุณภาพ คลินิกพยาบาล คลินิกเวชกรรม และคลินิกแพทย์แผนไทย และเร็ว ๆ นี้จะขยายการใช้งานไปยังหน่วยบริการนวัตกรรมฯ ที่เหลือให้ครอบคลุมทุกประเภท" ดร.กิตติ กล่าว
ทั้งนี้ แพลตฟอร์มกลุ่ม A-MED Care ประกอบด้วย 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่
1. A-MED Care Pharma แพลตฟอร์มบริหารจัดการการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทองของร้านยา ช่วยให้ประชาชนที่มีสิทธิบัตรทอง และมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ รับยาได้ที่ร้านขายยาที่มีสัญลักษณ์ “ร้านยาคุณภาพของฉัน” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
2. A-MED Care for Nurse Clinics แพลตฟอร์มกลางสำหรับหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่มีสัญญลักษณ์ คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น มุ่งเน้นให้บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค การพยาบาลพื้นฐาน และตรวจรักษาโรคเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง ซึ่งครอบคลุม 10 กลุ่มโรคทั่วไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
3. A-MED Care for Medicine CLINIC แพลตฟอร์มกลางสำหรับหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่มีสัญลักษณ์ คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น ช่วยเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนที่มีสิทธิบัตรทองเข้ารับการตรวจรักษาโรคทั่วไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
4. A-MED Care for Thai Traditional Medical Clinics แพลตฟอร์มกลางสำหรับคลินิกแพทย์แผนไทย ที่มีสัญลักษณ์ คลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น ให้บริการผู้มีสิทธิบัตรทองรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการนวด ประคบ หรืออบสมุนไพร ตามมาตรฐานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ และกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น
5. A-MED Care Home Ward แพลตฟอร์มที่พัฒนาต่อยอดจากระบบ A-MED Telehealth โดยร่วมกับสำนักการแพทย์ดิจิทัล กรมการแพทย์ สำนักสนับสนุนระบบปฐมภูมิ (สสป.) และ สปสช. สำหรับให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยในต่อเนื่องที่บ้าน ครอบคลุมโรคทางกาย 7 กลุ่ม โรคทางจิต และการบำบัดสารเสพติด 3 กลุ่ม ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างมีคุณภาพ และลดอัตราการครองเตียงในโรงพยาบาล
[caption id="attachment_64191" align="aligncenter" width="750"] ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. และผู้บริหาร สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “30 บาท รักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร” เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา[/caption]
การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสุขภาพให้เป็นระบบหลังบ้านสำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ถือเป็นก้าวสำคัญของการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้เพื่อยกระดับบริการสาธารณสุขของไทยให้มีความทันสมัย เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนผู้ใช้บริการ ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดความแออัดในโรงพยาบาล และสร้างความมั่นคงในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างยั่งยืน
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช., วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

“นาโนเทค 2025” ชู 4SF ผลักดันนวัตกรรมกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน
นาโนเทค สวทช. ภายใต้การนำของ “อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย” เดินเกมรุกผ่าน “4SF” หรือกลไกการผลักดันเทคโนโลยียกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน (improve quality of life) ได้แก่ สารสกัดสมุนไพร, ชุดตรวจสุขภาวะ, เกษตรและอาหาร และ น้ำและสิ่งแวดล้อม มุ่งเป้าแก้ปัญหาตามโจทย์ความต้องการของประเทศ พร้อมอวดโฉมนวัตกรรมนาโนเทค 2025 อาทิ ไข่สุขภาพหรือไข่โอเมก้า-3, MOFs ดูดซับ CO2 , เทคโนโลยีเปลี่ยน CO2 เป็นสารเคมีที่มีมูลค่าสูง และอื่นๆ อีกมาก เล็งจัดตั้งบริษัทสตาร์ตอัพ 2 บริษัท ในด้านสมุนไพรและการแพทย์ และขยายการใช้ประโยชน์นวัตกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรมเพิ่ม 5% เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เสริมแกร่งความสามารถในการแข่งขัน รับลูกนโยบายรัฐบาล ยกระดับนวัตกรรมไทยเพื่อคนไทย อุตสาหกรรมไทย
ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า 21 ปีที่ผ่านมา นาโนเทคเติบโตอย่างมั่นคง มีกำลังคนด้านนาโนเทคโนโลยีที่ทำงานวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้ และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับนาโนเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง มีกำลังคนสายงานสนับสนุนที่เป็นกำลังเสริมในด้านต่างๆ เพื่อนำนวัตกรรมส่งถึงมือผู้ใช้
"เสื้อนาโน มุ้งนาโน โลชั่นกันยุงนาโน SOS Water เครื่องผลิตน้ำพลังแสงอาทิตย์ หรือไข่ออกแบบได้" นวัตกรรมในยุคแรกๆ ของนาโนเทค ที่มีการต่อยอดทั้งในเชิงการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคเอกชน รวมถึงเชิงสาธารณประโยชน์ โดยเฉพาะในช่วงภาวะฉุกเฉิน ก่อนขยับสู่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าเดิม เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ต้องการ อาทิ เวชสำอางจากพืชสมุนไพรต่างๆ อาทิ เห็ดหลินจือ หรือกลุ่ม Herbal Champion, แผ่นกรองอากาศต้านเชื้อราแบคทีเรีย หรือการตอบโจทย์ความต้องการเร่งด่วนอย่างการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อาทิ ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 (NANO Covid-19 Antigen Rapid Test), หมวกแรงดันบวก- ลบ ลดการแพร่เชื้อหรือสารฆ่าเชื้อต่างๆ” ดร. อุรชา ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทค กล่าวพร้อมย้ำว่า นาโนเทค2025 เราจะ "รุก" ให้มากขึ้น
นาโนเทค สวทช. ในปี 2568 จะเดินหน้าตามแนวคิด Innovate, Collaborate and Grow ที่จะให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัย คือ นวัตกรรม, ความร่วมมือกับพันธมิตร และการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า 4 Strategic Focus (SF) หรือกลไกการผลักดันเทคโนโลยียกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน (improve quality of life) เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัยนาโนเทค ที่มุ่งเป้าเพื่อแก้ไขปัญหาตามโจทย์ความต้องการของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เสริมแกร่งความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ สารสกัดสมุนไพร, ชุดตรวจสุขภาวะ, เกษตรและอาหาร และ น้ำและสิ่งแวดล้อม
ดร. อุรชาเผยว่า ในระยะเวลา 1 ปีจากนี้ เราจะเห็นผลงานต่างๆ ของแต่ละ SF ถึงมือผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจาก SF สารสกัดสมุนไพรที่สารสกัดกระชายดำสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ 3 บริษัท สร้างรายได้ให้กับประเทศ ยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยสู่ระดับสากล พร้อมตั้งเป้าต่อยอดสู่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่คาดว่าจะใช้สารสกัดสมุนไพรเพิ่มขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับ SF ชุดตรวจสุขภาวะ ที่จับมือพันธมิตรสำคัญอย่างสภาเภสัชกรรมและ สปสช. ผลักดัน “ชุดตรวจคัดกรองโรคไต” เข้าสู่ระบบร้านยาของรัฐ และเตรียมขยายสู่ชุดตรวจทางการแพทย์อื่นๆ รวมไปถึงตลาดใหม่อย่างการวิจัยและพัฒนาไปสู่คุณภาพชีวิตสัตว์เลี้ยง
ด้าน SF น้ำและสิ่งแวดล้อม นอกจากเรื่องน้ำสะอาดที่นาโนเทควิจัยพัฒนาระบบกรองน้ำอุปโภคและบริโภคสำหรับชุมชน และขยายผลถ่ายทอดองค์ความรู้การจัดการคุณภาพน้ำสู่ผู้ใช้ประโยชน์หลายพื้นที่ในไทย ยังมีเรื่องของ วัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ หรือ Metal Organic Frameworks (MOFs) เป็นวัสดุดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประสิทธิภาพสูง และการแปลงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 conversion) ในภาคอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ โรงไฟฟ้า โรงกลั่นปิโตรเคมี ที่นาโนเทคมีความร่วมมือกับเอกชนยักษ์ใหญ่หลายราย เพื่อสอดรับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
SF เกษตรและอาหาร มุ่งเป้าด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) โดยเฉพาะด้านการขจัดความอดอยาก (SDG 2) และนโยบายของภาครัฐด้านการสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เริ่มจาก “ไข่สุขภาพหรือไข่โอเมก้า-3” เป็นนวัตกรรมยกระดับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง และปุ๋ยคีเลตหรือสารคีเลตจุลธาตุอาหาร เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยหลัก ลดการสูญเสียธาตุอาหารและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“นอกจากผลงานที่จะเห็นจาก 4SF นาโนเทค 1 ปีจากนี้ จะมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับภาคเอกชนและชุมชนด้วยแนวคิด innovation solution ขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์งานวิจัยและนวัตกรรมนาโนเทคให้มากที่สุด, ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ และบัวบก รวมถึงจัดตั้งบริษัทสตาร์ตอัพ 2 บริษัท ในด้านสมุนไพรและการแพทย์ สุดท้ายปลายทางคือ เราคาดหวังจะเพิ่มผู้ที่ได้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรมของเรา ไม่ว่าจะเป็นบริษัท หน่วยงาน หรือชุมชนที่นำผลงานไปใช้ประโยชน์ วางโจทย์ไว้ว่า จะเพิ่ม 5% จากจำนวนผู้ที่นำผลงานไปใช้ประโยชน์ 2580 ราย 67 องค์กรในปี 2567” ดร. อุรชากล่าว
ผู้อำนวยการนาโนเทคย้ำว่า นอกจากการเชื่อมโยงโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคชุมชน ประชาชนแล้ว นาโนเทคยังทำงานสอดรับกับนโยบายรัฐบาลทั้งในแง่ของนโยบายเร่งด่วนด้านของการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย SMEs และการเพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตรและราคาพืชผลเกษตร ยกระดับรายได้เกษตรกร และนโยบายของภาครัฐในระยะกลาง-ยาว ในด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่ การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว และการมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ และบริการทางการแพทย์ และเดินหน้าคู่ขนานกับนโยบายภาครัฐที่ต้องการยกระดับการบริหารจัดการน้ำ และสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

โครงการอบรมการป้องกันความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 23 (CDIC2024) งานสัมมนาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
CDIC2024 เป็นงานสัมมนาประจำปีทางด้าน Cybersecurity ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2567 ณ ห้อง แกรนด์ฮอลล์ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา งานสัมมนาเป็นหนึ่งในการประชุมด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และความปลอดภัยของข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับการสนับสนุนจาก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด สมาคมผู้ตรวจสอบและควบคุมระบบสารสนเทศ-ภาคพื้นกรุงเทพฯ (ISACA Bangkok Chapter) และสมาคม The International Information System Security Certification Consortium (ISC2)
งานสัมมนา CDIC ประสบความสำเร็จในการเป็นเวทีสำหรับเทคโนโลยี แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล การสร้างชุมชนผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ (Cybersecurity) ในประเทศไทยและการรวบรวมผู้ให้บริการ Cybersecurity Solution ชั้นนำกว่า 60 บริษัทจากทั่วโลก ที่มีความยืดหยุ่นการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ และการตลาดในอุตสาหกรรมความปลอดภัยของข้อมูลในระดับสูง อาธิเช่น ผู้สนับสนุนหลัก EC-Council Group, Bitdefender (Thailand), บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ยิบอินซอย จำกัด อีกทั้งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากบริษัทชั้นนำมากมาย เช่น Cisco Systems, ManageEngine, บริษัท ซีเคียว ดี เซ็นเตอร์ จํากัด, บริษัท มายาเซเว่น จำกัด, Thales D I S (Thailand) Ltd., บริษัท เน็ตก้า ซิสเต็ม จำกัด, Imperva, Fortinet Security Network (Thailand) Ltd., SOSECURE Co., Ltd., OffSec Services Limited
ปีนี้ CDIC จัดขึ้นเป็นปีที่ 23 ภายใต้แนวคิด ″Harnessing the Power of Generative AI for Proactive Digital Trust and Cyber Resilience: Opportunities, Challenges, Governance, and Integration Strategies″ โดยการถือกำเนิดของ Generative AI (Gen-AI) ได้ปฏิวัติกระบวนการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ถูกยกระดับให้มีการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์เชิงรุก ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นโดยรวม ดังนั้นการทำความเข้าใจโอกาส ความท้าทาย และกลยุทธ์ในการบูรณาการ Gen-AI เข้ากับกรอบการทำงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ภายในงานสัมมนา CDIC2024 ทำการรวบรวมประเด็นสำคัญไว้มากมาย ทั้ง AI Predicting and Preventing Cyber Threats, The Future of Cyber Resilience, Advanced Threat Intelligence Sharing for Proactive Cyber Defense, Regulatory and Compliance Enhancements, Navigating the Cloud Security Landscape: Understanding CNAPP, CWPP, CSPM, and CIEM และ Leveraging Big Data and AI for Sustainable Economic Growth องค์ความรู้เหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาด และไฮไลท์ของงาน CDIC 2024 Live Show ..สาธิตสด ประเด็นภัยคุกคามใหม่รู้ก่อน..ปลอดภัย
กำหนดการช่วงสำคัญสำหรับงานสัมมนา CDIC2024 ดังนี้
กล่าวต้อนรับเข้าสู่งาน CDIC 2024
ทิศทางอนาคต Generative AI ในประเทศไทย: ขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
โดย ดร.กัลยา อุดมวิทิต
รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA)
กล่าวเปิดงาน CDIC 2024
เสริมพลังประเทศเพื่อก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน: การวางยุทธศาสตร์และนโยบายปัญญาประดิษฐ์ระดับชาติ คือกุญแจสำคัญในการสร้างความไว้วางใจทางดิจิทัลที่สนับสนุน CSA และ PDPA
โดย ดร.ปิยนุช วุฒิสอน
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
Keynote Address:
กลยุทธ์และนโยบายปัญญาประดิษฐ์ระดับชาติของประเทศไทย: นำทางไปสู่กฎหมายปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผลกระทบ การปฏิบัติตาม และทิศทางในอนาคต
โดย พลอากาศตรี อมร ชมเชย
เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)
Keynote Address:
ปลดล็อก PDPA และการใช้งาน Generative AI: คู่มือการกำกับดูแลสำหรับกลยุทธ์และนโยบาย PDPA ของประเทศไทย และการปฏิบัติตามกฎหมายลำดับรอง
โดย ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
Keynote Address:
แนวโน้มด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทิศทางและภัยคุกคามความเป็นส่วนตัวในปี 2568
โดย อ.ปริญญา หอมเอนก
CISSP, CSSLP, SSCP, CFE, CBCI, CASP, ITIL V3 Expert, ISMS Lead Auditor
ประธานกรรมการบริหาร
บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด และ บริษัท ไซเบอร์ตรอน จำกัด
กลุ่มเป้าหมาย
• ผู้บริหารระดับสูง (CEO, COO, CRO)
• ผู้บริหารสารสนเทศระดับสูง (CIO, CTO, CDO)
• ผู้บริหารระบบความปลอดภัยข้อมูลระดับสูง (CSO, CISO)
• ผู้บริหารหรือผู้อำนวยการในสายงานไอทีและสารสนเทศ (Vice President, Assistant Vice President, IT Director, IT Manager)
• ผู้บริหารฝ่ายธุรกิจ ผู้บริหารฝ่ายดิจิทัล ผู้บริหารฝ่ายนวัตกรรม ผู้บริหารฝ่ายการตลาด (CBO, CDO, CIO, CMO)
• ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาทางด้านระบบสารสนเทศและความปลอดภัยทางไซเบอร์ (IT Specialist, Cybersecurity Specialist, IT Consultant)
• บุคลากรด้านไอทีของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน (IT Security Practitioner)
• ผู้ดูแลระบบเน็ตเวิร์คและระบบปฏิบัติการขององค์กร (Network & System Administrator)
• ผู้ตรวจสอบระบบสารสนเทศ (IT Auditor)
• ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer)
• บุคลากรในสายงานกฎหมาย (Law Enforcement)
• บุคลากรในสายงานกำกับดูแล (Compliance / IT Compliance)
• บุคลากรในสายงานบริหารความเสี่ยง (ERM / IT Risk)
• บุคลากรในสายงานนิติวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Cyber Cop / Digital Forensic Investigator)
• บุคลากรของผู้ให้บริการระบบเทคโนโลยี (IT Supplier, IT Outsourcing Provider)
• นักวิศวกรด้านไอที (IT Engineer)
• ประชาชนทั่วไปที่สนใจด้านความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ (IT Smart Users)
Conference Highlights
1. ทิศทางอนาคต Generative AI ในประเทศไทย: ขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
2. เสริมพลังประเทศเพื่อก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน: การวางยุทธศาสตร์และนโยบายปัญญาประดิษฐ์ระดับชาติ คือกุญแจสำคัญในการสร้างความไว้วางใจทางดิจิทัลที่สนับสนุน CSA และ PDPA
3. กลยุทธ์และนโยบายปัญญาประดิษฐ์ระดับชาติของประเทศไทย: นำทางไปสู่กฎหมายปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผลกระทบ การปฏิบัติตาม และทิศทางในอนาคต
4. ปลดล็อก PDPA และการใช้งาน Generative AI: คู่มือการกำกับดูแลสำหรับกลยุทธ์และนโยบาย PDPA ของประเทศไทย และการปฏิบัติตามกฎหมายลำดับรอง
5. การปรับปรุงความเสี่ยงและแนวโน้มด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสำหรับปี 2025 และต่อไปด้วยโมเดลและแผนที่ทางดิจิทัลที่ไว้วางใจ
6. การวางแผนกลยุทธ์: การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ Big Data ของประเทศไทยสำหรับอนาคต
7. อนาคตของการปฏิบัติตามการคุ้มครองข้อมูลในยุค AI: แนวโน้ม ความท้าทาย และแนวทางเชิงกลยุทธ์
8. กลยุทธ์ในการสร้างวัฒนธรรม: ด้านความสามารถในการรับมือและตอบสนองต่อภัยไซเบอร์ คือ หัวใจสำคัญในการส่งเสริมแนวปฏิบัติของการต้านทานภัยคุกคามอย่างมีประสิทธิภาพ
9. ปฏิวัติ Generative AI: ในระบบธนาคารของประเทศไทย จัดทัพให้พร้อมต่อการปฏิบัติตามข้อบังคับ ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย
10. การสนทนาแบบพาเนล: การบริหาร Generative AI และความสามารถในการรับมือและตอบสนองต่อภัยไซเบอร์: การขับเคลื่อนกลยุทธ์ระดับชาติสำหรับมิติทางกฎหมาย การเงิน และเทคโนโลยี
ประโยชน์จากการเข้าร่วมงาน CDIC2024
• รับรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการ Update ความรู้และข่าวสารใหม่ล่าสุด ด้าน Cybersecurity และ Generative AI เพื่อความไว้วางใจทางดิจิทัลและความยืดหยุ่นทางไซเบอร์เชิงรุกจากทั่วโลก ถ่ายทอดประสบการณ์จริงจากผู้บริหารระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญ
• รู้จักและร่วมปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าร่วมงานท่านอื่นๆ จากหลากหลายวงการ รวมทั้งวิทยากรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่าย (Networking) และเปิดมุมมองความคิดใหม่ๆ จากวิทยากรและผู้เข้าร่วมงานด้วยกัน ตลอดจนการรับรู้ข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์โดยผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งเข้าร่วมสนุกกับเกมชิงรางวัลที่บูธแสดงผลิตภัณฑ์
• รู้ทันภัยคุกคามทางไซเบอร์และความเสี่ยงในยุคที่ Generative AI มีบทบาทสำคัญในทุกมิติ อีกทั้งยังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งองค์กรและทุกคนต้องทำความเข้าใจและพร้อมรับมือ เพื่อป้องกัน และลดผลกระทบที่จะเกิดจากความไม่รู้เท่าทัน ขาดการสังเกต และไม่มีแนวปฏิบัติเพื่อส่งเสริมและควบคุมการใช้งานปัญญาประดิษฐ์
• รู้ถึงปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนด้านความมั่นคงปลอดภัยที่ต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้งานทั้งในระดับองค์กรและระดับบุคคล โดยการยกระดับทุก ๆ ด้าน ทั้งยุทธศาสตร์และภาคปฏิบัติในการนำ Generative AI และแพลตฟอร์มต่างๆ มาใช้งานให้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสมที่สุด
• รู้ทันเทคนิคภัยคุกคามใหม่ๆ ของเหล่าอาชญากรไซเบอร์ รวมถึงการถ่ายทอดให้บุคคลรอบข้างได้ตระหนักและป้องกัน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อในยุคแห่งสังคม Generative AI
• เรียนรู้กลยุทธ์ในการตอบสนองต่อเหตุการณ์เชิงรุกด้วย Generative AI ตลอดจนกลยุทธ์ในการป้องกันข้อมูลด้าน Big Data ด้าน Cloud ด้วยเครื่องมือ Generative AI เพื่อตอบโจทย์ความรวดเร็วและแม่นยำ
• รู้ถึงกฎหมายลำดับรอง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Act update) และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA update) พร้อมแนวทางปฏิบัติ
• เรียนรู้แนวทางปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อมให้องค์กรสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่แฝงมากับ Generative AI
• เรียนรู้วิธีปฏิบัติตามแนวทาง NIST CSF 2.0 ซึ่งเป็นกรอบด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลกที่ออกใหม่ล่าสุด
• พบกับการสาธิตเทคนิคการเจาะระบบหลายรูปแบบ (CDIC2024 Live Show) ที่มีโอกาสที่จะถูกนำมาใช้จารกรรมและเจาะระบบ ในชีวิตจริง
ผู้สนใจ สามารถติดตามข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง https://www.cdicconference.com/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผอ.ไบโอเทค สวทช. ร่วมในพิธีเปิดงานประชุมเวทีข้าวไทยปี 2567
วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 6 กรุงเทพฯ - ดร.ณมาณิตา กลับบ้านเกาะ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานการประชุมเวทีข้าวไทยปี 2567 เรื่อง “เมื่อโลกเปลี่ยน ข้าวต้องปรับ (Rice Up Summit)” ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับองค์กรพันธมิตร โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเจ้าภาพร่วม ร่วมในพิธีเปิดงาน พร้อมกับคณะผู้บริหารจากองค์กรพันธมิตรต่าง ๆ ที่ร่วมจัดงาน
โดยงานประชุมเวทีข้าวไทยปี 2567 เน้นเรื่องการทำให้ประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในผู้นำการส่งออกข้าวสู่ตลาดโลกให้ความสนใจในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในช่วงการเพาะปลูกข้าวของชาวนา และให้ผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ชาวนา ผู้แทนจากองค์กรภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับข้าว นักวิชาการจากสถาบันการศึกษา ผู้สนใจทั่วไป และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน และได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นถึงปัจจัยที่เป็นโอกาส ปัญหา และความท้าทายในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้ข้าวไทยสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตลอดไป
ทั้งนี้ ภายในงานประชุมเวทีข้าวไทยปี 2567 มีการปาฐกถาพิเศษด้วยกันในหลายหัวข้อ โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง พร้อมการบรรยายพิเศษ และเสวนาในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ การปาฐกถาพิเศษ “นโยบายการพัฒนาข้าวและชาวนาไทย” โดย ดร.ณมาณิตา กลับบ้านเกาะ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “วิถีเศรษฐกิจพอเพียงสู่ข้าวไทยยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และการเสวนาหัวข้อ “นโยบายข้าวไทย กับเมื่อโลกเปลี่ยน ข้าวต้องปรับ” เป็นต้น ผู้สนใจสามารถรับชมการประชุมย้อนหลังได้ที่แฟนเพจมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://web.facebook.com/ThaiRiceFoundationTh
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

“MTEC Well-living systems” นวัตกรรม AI ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง
ชวนรู้จักนวัตกรรม AI สุดล้ำ! “MTEC Well-living systems” ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง เป็นอุปกรณ์เซนเซอร์สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้สูงอายุได้ พร้อมเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเมื่อพบพฤติกรรมผิดปกติ อีกทั้งสามารถช่วยเตือนกิจกรรมที่สำคัญต่อสุขภาพ เช่น การกินยา หรือการเคลื่อนไหวร่างกาย พัฒนาโดยทีมนักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ MTEC สวทช. ภายใต้การสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
คลิปสั้นทันเหตุการณ์