หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
Rachel รุ่น Everyday บอดีสูทเสริมการเคลื่อนไหวสำหรับผู้สูงอายุ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกอิริยาบถ
  ทุกวันนี้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ แต่คำว่า ‘สูงอายุ’ ไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองที่ลดลงอย่างมากเหมือนแต่ก่อน เพราะปัจจุบันผู้สูงอายุส่วนใหญ่ใส่ใจดูแลสุขภาพตั้งแต่วัยหนุ่มสาวมากขึ้น แม้จะอยู่ในวัยเกษียณแล้วก็ยังคงดูแลกิจวัตรประจำวันของตัวเองได้เป็นอย่างดี และสนุกกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ต่างจากวัยทำงาน ด้วยเหตุนี้นักวิจัยจากหลายประเทศทั่วโลก​จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยืดช่วง active aging หรือช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยยังมีความสุขกับการใช้ชีวิตด้วยตนเองให้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสร้างสรรค์นวัตกรรมเสริมความมั่นใจในการเคลื่อนไหวและช่วยลดความเสี่ยงการพลัดตกหกล้ม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัทไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) พัฒนา Rachel (เรเชล) รุ่น Everyday ชุดชั้นในทรงบอดีสูท (bodysuit) ช่วยกระตุ้นการปรับท่าทางให้อยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสม เสริมแรงการเคลื่อนไหว ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูก   [caption id="attachment_70298" align="aligncenter" width="750"] ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า Rachel รุ่น Everyday เป็นผลงานที่วิจัยและพัฒนาโดยนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. และบริษัทไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) โดยบูรณาการเทคโนโลยีการออกแบบ เลือกใช้เนื้อผ้า และตัดเย็บ เพื่อให้ได้ชุดบอดีสูทที่ช่วยปรับท่าทางของไหล่ หลัง สะโพก และต้นขาให้อยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสม เพื่อลดสาเหตุการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูก เช่น เมื่อผู้สวมใส่นั่งห่อไหล่และหลังค่อมจะเกิดแรงต้านที่ชุด และเกิดแรงย้อนกลับ (rebound force) เป็นแรงผลักเบา ๆ ช่วยให้ร่างกายยืดไหล่และหลังให้เหยียดตรง ฝึกให้ร่างกายปรับสู่ท่าทางที่ถูกต้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ “ชุด Rachel ได้รับการออกแบบให้ช่วยเสริมแรงการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุได้ โดยความตึงของชุดที่พอเหมาะในแต่ละจุดจะช่วยให้ผู้สวมใส่รับรู้ถึงตำแหน่งของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้สวมใส่ปรับเปลี่ยนอิริยาบถได้มั่นคงขึ้นกว่าเดิม ช่วยเสริมความมั่นใจในการลุกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อชะลอการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อด้วย จากการทดสอบใช้งานจริง กลุ่มผู้ทดลองสะท้อนว่า พวกเขาเริ่มนั่งหลังตรงได้อัตโนมัติและลุก-นั่งสะดวกขึ้น”   [caption id="attachment_70297" align="aligncenter" width="450"] Rachel รุ่น Everyday[/caption]   Rachel รุ่น Everyday เป็นผลงานที่บูรณาการเทคโนโลยีหลายศาสตร์ นอกจากการออกแบบ คัดเลือกเนื้อผ้า และตัดเย็บดังที่กล่าวถึงข้างต้น ยังมีเทคโนโลยีอีก 3 ศาสตร์สำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ คือ Biomechanics (ไบโอเมคานิกส์) ศาสตร์การเคลื่อนไหวร่างกายของมนุษย์ Ergonomics (เออร์โกโนมิกส์) ศาสตร์การออกแบบของใช้ให้เหมาะกับการใช้งาน และ Electromyography (อิเล็กโทรไมโอกราฟี) ศาสตร์การทดสอบไฟฟ้ากล้ามเนื้อ เพื่อวัดว่าอุปกรณ์ที่สวมใส่ช่วยลดภาระการใช้งานกล้ามเนื้อในระดับที่เหมาะสมได้จริงหรือไม่     ในการวิจัยและพัฒนา เอ็มเทค สวทช. ยังได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในการทดสอบเชิงคลินิกเพื่อพัฒนาชุดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับนำผลงาน Rachel รุ่นอื่น ๆ เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ ดร.วรวริศ เล่าว่า ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนา Rachel รุ่น Everyday ประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดย Rachel รุ่นที่จะวางจำหน่ายในอนาคตอันใกล้ผ่านการออกแบบให้มีรูปทรงหลากหลายเพื่อรองรับสรีระผู้หญิงและผู้ชาย มีให้เลือกถึง 7 ขนาด ชุดสวมใส่ได้ง่าย ระบายอากาศดี ไม่ร้อน ไม่อับชื้น มีช่องเปิดสำหรับทำธุระในห้องน้ำสะดวก และซักด้วยเครื่องซักผ้าได้เหมือนชุดชั้นในทั่วไป ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สูงอายุใส่ได้อย่างมีความสุขและสะดวกสบายในทุกวัน Rachel รุ่น Everyday เตรียมวางจำหน่ายโดยบริษัทไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ช่วงปลายปี 2568 ผู้ที่สนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เร็ว ๆ นี้ ทางเว็บไซต์ www.wacoal.co.th และช่องทางโซเชียลมีเดียของบริษัท     ผู้ให้การสนับสนุนในการวิจัยและพัฒนา นายกนกลักษณ์ ดูการณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์อบรมแพ็ทเทิร์นอุตสาหกรรม แพ็ทเทิร์น ไอที รศ. ดร.วีรวัฒน์ ลิ้มรุ่งเรืองรัตน์ อาจารย์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล ผศ. นพ.บวรรัฐ วนดุรงค์วรรณ ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล นายพิชิตพล เกิดสมนึก นักวิทยาศาสตร์การกีฬา ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพถ่ายโดย ชุมพล พินิจธนสาร และคุณากร เจริญวงศ์ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. และภาพจาก shutterstock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สร้างสรรค์สื่อวิดีโอ Infographic อย่างมืออาชีพด้วย Canva (รุ่นที่ 5)
🎯 หลักสูตรที่พลาดไม่ได้: สร้างสรรค์สื่อวิดีโอ Infographic อย่างมืออาชีพด้วย Canva (รุ่นที่ 5) 🎯 สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (CFA) สวทช. ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมพัฒนาทักษะการสร้างสรรค์สื่อวิดีโอ Infographic เพื่อการนำเสนอที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วย Application Canva ในยุคที่ AI Generative เข้ามามีบทบาทสำคัญ การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่เข้าถึงและโดนใจกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งจำเป็น หลักสูตรนี้จะพาคุณเจาะลึกกระบวนการคิดและการสร้างสรรค์ ตั้งแต่การวาง Direction Concept ไปจนถึงการผลิตสื่อวิดีโอคุณภาพสูงในรูปแบบ Infographic ด้วย Canva Pro ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างสูง สิ่งที่คุณจะได้รับจากหลักสูตรนี้: ✅ เรียนรู้การใช้ Canva Pro เพื่อสร้างสรรค์การนำเสนอที่ทันสมัยและมีคุณภาพ ✅ ทำความเข้าใจกระบวนการสร้าง Content ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ✅ สัมผัสประสบการณ์การใช้ เครื่องมือ AI ที่จะช่วยให้การสร้างวิดีโอเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้น ✅ โอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานจริง และพัฒนาทักษะการนำเสนอในยุคดิจิทัล รายละเอียดหลักสูตร: วันที่: 26 - 27 มิถุนายน 2568 เวลา: 09.00 – 16.00 น. สถานที่ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ หรือเทียบเท่า ค่าลงทะเบียน:บุคคลทั่วไป: 9,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หน่วยงานภาครัฐ: 9,252.34 บาท ราคารวม: อาหารว่าง อาหารกลางวัน เอกสารประกอบการเรียน และคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการฝึกอบรม 🔥 จำนวนจำกัดเพียง 9 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น! 🔥 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ตัวอย่างผลงานผู้เข้าร่วม และลงทะเบียนได้ที่: https://www.career4future.com/vinfo/    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: คุณใหม่: 08 5289 2669 อีเมล: bas@nstda.or.th มาร่วมยกระดับทักษะการนำเสนอของคุณไปอีกขั้นกับ สวทช. นะคะ!
ปฏิทินกิจกรรม
 
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง และ บพท. ผนึกกำลังจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วม แปรรูปและใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่
18 มิถุนายน 2568: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้างจากไม้ไผ่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ระหว่าง เอ็มเทค สวทช. และ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง จัดขึ้นภายในงาน “สัมมนาไทย - จีนด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน: การถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม การแปรรูปไม้ไผ่และการประยุกต์ใช้งาน "Thailand - China Symposium on Innovation and Sustainability: Technology and Innovation Transfer on Bamboo Processing and Its Applications” ภายใต้งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.พสุภา ชินวรโสภาค อัครราชทูตที่ปรึกษา ฝ่ายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม นายหม่า หมิงเกิง ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Counselor (Science and Technology) สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย  และศาสตราจารย์ ดร.ซรู่ว จาง รองคณบดีวิทยาลัยวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง ดร.ปุ่น เที่ยง บูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และ ดร.ลักษมณ สมานสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องโลตัส 5-6 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง (Nanjing Forestry University) ในครั้งนี้เป็นความร่วมมือในการแสวงหาและถอดบทเรียนว่าประเทศไทยและจีนสามารถร่วมมือกันอย่างไร ในการปลดล็อกศักยภาพของไม้ไผ่ ทั้งในมิติด้านงานวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการประยุกต์ใช้ในบริบทจริง ซึ่ง “ไม้ไผ่” ในมุมมองที่เป็นวัสดุชีวภาพที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกทดแทนได้ และมีความหลากหลายในการใช้งาน นับเป็นวัสดุทางเลือกที่มีศักยภาพเป็นอย่างมากและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีส่วนสำคัญในการช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเป็นแหล่งวัตถุดิบตั้งต้นในการพัฒนานวัตกรรมวัสดุชีวภาพ โดย สวทช. มีความยินดีและภาคภูมิใจที่ได้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นการบูรณาการแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ผ่านกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดนเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ต่อไป” รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า “การลงนามครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง เอ็มเทค สวทช. กับ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง (Nanjing Forestry University) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้างจากไม้ไผ่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในการแลกเปลี่ยนทรัพยากรและดำเนินงานวิจัยที่เสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะด้านการแปรรูปและใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นไปปรับใช้ในบริบทพื้นที่จริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ใช้งานได้จริงและเกิดผลกระทบอย่างยั่งยืน” สำหรับวัตถุประสงค์ของการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและร่วมอภิปรายแนวโน้มงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมวัสดุและความยั่งยืนในปัจจุบัน ตลอดจนการประยุกต์ใช้และต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้มีความยั่งยืนในอนาคต และเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม ผ่านการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรและดำเนินงานวิจัยร่วมกันที่เสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะในด้านการแปรรูปและใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่พัฒนานำไปสู่การใช้จริงในบริบทพื้นที่จริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ใช้งานได้จริงและเกิดผลลัพธ์ผลกระทบอย่างยั่งยืนในระยะยาว อย่างไรก็ตามความร่วมมือระหว่างสวทช. และ จีนในครั้งนี้ ที่ผ่านมาทาง เอ็มเทค สวทช. มีการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ (Technology Localization) โดยใช้กลยุทธ์การจัดหาเทคโนโลยีและเครื่องจักรจากต่างประเทศที่มีการพัฒนาไปไกลมาก ผ่านการออกแบบ พัฒนาและต่อยอดโดยคนไทย จึงเป็นแนวทางที่ทำให้เกิดการใช้งานจริงในระดับผู้ประกอบการไทยและกลุ่มลูกค้าปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยการสนับสนุนที่แข็งแกร่งของหน่วยงานพันธมิตรจีนและไทย โดยเฉพาะโครงการในลุ่มแม่น้ำโขงของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่เชื่อมโยงทั้ง 2 หน่วยงานนำมาสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ทำให้ เอ็มเทค สวทช. ได้มีโอกาสได้รู้จักกับคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์วัสดุ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง (College of Materials and Engineering, Nanjing Forestry University (NJFU)) นอกจากนี้จากการเยือน NJFU ของคณะจาก เอ็มเทค สวทช. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจของทั้งสองฝ่ายที่จะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการแปรรูปไม้ไผ่ระหว่างจีนและไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของทั้งสองประเทศที่จะได้มีความร่วมมือในด้านใหม่ ๆ อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 50 ปี ซึ่งสะท้อนถึงมิตรภาพและความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมลงนามความร่วมมือส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพฯ กับกรมส่งเสริมการเกษตร และพันธมิตร รวมกว่า 36 หน่วยงาน
(18 มิ.ย. 2568) ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมลงนามความร่วมมือใน “พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ในการส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพ การวิจัย และพัฒนาตลอดห่วงโซ่อุปทานกาแฟอย่างยั่งยืน" ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 36 หน่วยงาน เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนห่วงโซ่คุณค่ากาแฟไทย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มุ่งยกระดับการผลิตกาแฟคุณภาพ เสริมความเชื่อมั่นด้านตลาด และสร้างรายได้ที่เป็นธรรมแก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟทั่วประเทศ โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วย นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และผู้บริหารหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมงานอย่างคับคั่ง ภายใต้การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) จะร่วมเป็นเครือข่ายส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพ การวิจัยและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานกาแฟอย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้มีสาระสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ การส่งเสริมการวิจัยและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การพัฒนาระบบการตลาดที่เป็นธรรม การรับซื้อผลผลิตในราคายุติธรรม ลดการเผาในพื้นที่เกษตร ส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ ภายใต้กรอบ MOU จะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อกำกับติดตามผลการดำเนินงาน พร้อมตั้งเป้าหมายพัฒนาเกษตรกรกว่า 12,000 ครัวเรือน เข้าสู่ระบบกาแฟคุณภาพภายใน 3 ปี โดยนำร่องในพื้นที่ 1,000 ไร่ พร้อมเปิดโอกาสให้เกษตรกรและยุวเกษตรกร เข้าสู่เวทีการแข่งขันในระดับสากล พร้อมส่งเสริมการวิจัย เทคโนโลยี ตลาดที่โปร่งใส และการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดัน “กาแฟไทย” ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นธรรม และมีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกอย่างแท้จริง     
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
วช. – สวทช. เปิดตัว 3 นักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568
(18 มิถุนายน 2568) ณ ห้อง Lotus Suite 9 ชั้น 22 บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัด “งานเปิดตัวนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568” โดย นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์กิตติคุณพีระศักดิ์ จันทร์ประทีป ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว 3 นักวิจัยศักยภาพสูง ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 และแถลงความสำคัญของโครงการวิจัยที่จะดำเนินการ รวมถึงผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยมีคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ผู้บริหาร วช. ผู้บริหาร สวทช. ผู้บริหารต้นสังกัดนักวิจัย นักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของ วช. โดยมุ่งเน้น 4 ด้าน ได้แก่ 1) ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยไทย เพื่อให้เกิดกลุ่มวิจัยที่เข้มแข็ง ทำงานเป็นทีม และมีโครงสร้างการพัฒนานักวิจัยอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับนักศึกษา นักวิจัยรุ่นใหม่ นักวิจัยรุ่นกลาง จนถึงนักวิจัยอาวุโส 2) สร้างและบูรณาการองค์ความรู้ เพื่อสร้างผลกระทบ และความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของประเทศ 3) สร้างโอกาสการวิจัยและการใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและชุมชน ด้านนโยบาย และ 4) สร้างเครือข่ายการวิจัยระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อผลักดันผลผลิตงานวิจัย รวมถึงการสื่อสารข้อค้นพบทางวิชาการให้กับสังคมและชุมชน และการตอบสนองต่อปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ โดยในปี 2568 วช. ร่วมกับ สวทช. เปิดรับข้อเสนอการวิจัยและนวัตกรรม “ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือด้านสังคมศาสตร์ หรือด้านมนุษยศาสตร์ และได้ให้การสนับสนุนนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุล จากสาขาวิศวกรรมและเทคโนโลยี ศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงณัฎฐิยา หิรัญกาญจน์ จากสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ และศาสตราจารย์ ดร.สุวบุญ จิรชาญชัย จากสาขาวิศวกรรมและเทคโนโลยี งบประมาณรวมไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อโครงการ ระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี ปัจจุบันทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงนี้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 ให้การสนับสนุนไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 12 โครงการ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานที่ดูแลและบริหารจัดการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง โดยอาศัยกระบวนการบริหารจัดการงานวิจัยและกลไกบริหารโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่ สวทช. มีอยู่ รวมถึงการใช้ทรัพยากรและกระบวนการของ สวทช. ไม่ว่าจะเป็นฐานนักวิจัย โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือกลไกบริหารโครงการวิจัย โดยความร่วมมือระหว่าง วช. และ สวทช. จะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ วช. และ สวทช. ร่วมดำเนินการพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัย โดยใช้เกณฑ์ครอบคลุมศักยภาพของบุคลากรและคุณค่าของโครงการ ผ่านคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อคัดเลือกโครงการที่มีความโดดเด่นและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศอย่างแท้จริง ศาสตราจารย์กิตติคุณพีระศักดิ์ จันทร์ประทีป ผู้แทนคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง กล่าวแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับนักวิจัยทั้ง 3 ท่านและทีมวิจัย ที่ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ซึ่งล้วนเป็นนักวิจัยระดับแนวหน้าของประเทศที่มีผลงานวิจัยโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ ทุนวิจัยนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างทีมวิจัยที่เข้มแข็งที่มีศักยภาพระดับในและต่างประเทศ ซึ่งการทำงานเป็นทีมย่อมสร้างผลงานที่มีผลกระทบสูงและสามารถขยายผลได้อย่างกว้างขวางมากกว่าการทำงานเพียงลำพัง และการสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักวิจัยก้าวข้ามอุปสรรค บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังให้ทีมวิจัยเหล่านี้เป็นคลังสมองของประเทศ เพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ ๆ ขยายบทบาทสู่เวทีนานาชาติ และเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ภายในงาน ยังมีการแถลงงานวิจัยของนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 และแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการวิจัยดังกล่าว โดยผู้ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ 1. ศาสตราจารย์ ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุล สังกัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โครงการ “เทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นแนวหน้าในอุตสาหกรรมก่อสร้างเพื่อรองรับการพัฒนาเมกะซิตี้แห่งอนาคต” ผลผลิตที่ได้จากโครงการนี้จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาเมกะซิตี้แห่งอนาคตของประเทศไทยในทุกมิติ ทั้งด้านกำลังคนทักษะสูง ด้านนวัตกรรมวัสดุสมัยใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านบริหารจัดการเมืองและการประเมินความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเศษฐกิจและนโยบายเพื่อการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน” 2. ศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงณัฎฐิยา หิรัญกาญจน์ สังกัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการ “แนวทางใหม่ในภูมิคุ้มกันบำบัด: ผสานการวิศวกรรมเซลล์ขั้นสูง การปรับโปรแกรมเซลล์ และการรักษาเสริมเพื่อโรคมะเร็งและโรคอักเสบที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน” จุดเด่นของโครงการนี้คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานจริงในโรงพยาบาลไทย ผ่านแพลตฟอร์มหลากหลาย รวมถึงแนวทาง Combination Therapy ที่ปรับระบบภูมิคุ้มกันหลายระดับพร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคที่ซับซ้อน เช่น มะเร็ง โรคอักเสบเรื้อรัง และโรคภูมิต้านตนเอง การวิจัยครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบเซลล์รักษาเฉพาะบุคคล (CAR T cells) การพัฒนาแอนติบอดีรูปแบบใหม่ (BiTEs และ TriKEs) การใช้ข้อมูลพันธุกรรมเพื่อเพิ่มความแม่นยำไปจนถึงการปรับเมตาบอลิซึมของเซลล์ด้วยโปรไบโอติกที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในกลุ่มโรคอ้วน ซึ่งสัมพันธ์กับการอักเสบเรื้อรังและความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระยะยาว โครงการนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการแพทย์เฉพาะบุคคล 3. ศาสตราจารย์ ดร.สุวบุญ จิรชาญชัย สังกัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการ “บนความท้าทายของไบโอรีไฟเนอรี่อุตสาหกรรมขั้นปลาย: การพัฒนาวัสดุขั้นสูง วัสดุกลไกพิเศษ และวัสดุนวัตกรรมจากพอลิเมอร์ สีเขียวเพื่อการแข่งขันได้อย่างยั่งยืนของประเทศไทย” มุ่งเปลี่ยนผ่านจากการใช้ทรัพยากรปิโตรเลียมสู่การใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างชาญฉลาด ด้วยองค์ความรู้ด้านเคมีพอลิเมอร์ในการพัฒนาโครงสร้างวัสดุใหม่ เช่น ตัวเร่งปฏิกิริยาเปิดปิดตนเองได้ อุปกรณ์ขยายหลอดเลือดจดจำรูปร่างได้ อีลาสโตเมอร์ชีวภาพย่อยสลายได้ พลาสติกจากแป้งซ่อมแซมตัวเองได้ พลาสติกจากเมล็ดยางซ่อมแซมตัวเองได้ เจลชีวภาพเคลื่อนไหวได้ บรรจุภัณฑ์นำไฟฟ้าจากพลาสติกชีวภาพ ถุงร้อนถุงเย็นจากพลาสติกชีวภาพ นวัตกรรมดึงยืดเพื่อเพิ่มความเหนียวพลาสติกชีวภาพ นวัตกรรมควบคุมการย่อยสลายพลาสติกชีวภาพ และวัสดุขั้นสูงทางการแพทย์ สะท้อนภาพอนาคตของอุตสาหกรรมไทยภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจชีวภาพ” (Bioeconomy) และ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” (Sustainable Development Goals) ทั้งนี้ผลงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของนักวิจัยศักยภาพสูงทั้ง 3 ท่าน มุ่งเน้นผลสำเร็จ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ และด้านนโยบาย เพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาและแก้ปัญหาเร่งด่วนสำคัญของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนากำลังคนและสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้เป็นฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศแบบก้าวกระโดดและอย่างยั่งยืน โดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือพันธมิตร เฟ้นหา ‘สุดยอดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ’ สู่เวที gSIC
(วันที่ 13 มิถุนายน 2568) อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ จัดกิจกรรมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ครั้งที่ 17 (Student Innovation Challenge: SIC Thailand 2025) เพื่อคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยสู่การประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุของนักศึกษาระดับนานาชาติ (Global Student Innovation Challenge: gSIC 2025) ซึ่งจะจัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับการจัดกิจกรรม SIC Thailand 2025 ในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ประธานกลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย (i-CREATe Asia) กล่าวเปิดงาน พร้อมกันนี้ ผู้เชี่ยวชาญจาก Nanyang Technological University ประเทศสิงคโปร์ สภากาชาดไทย สภากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ทีมวิจัยจากกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ และ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. ร่วมเป็น คณะกรรมการตัดสินการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ทั้งนี้ สวทช. ได้ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยมหิดล และ กลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย (Coalition on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology of Asia: CREATe Asia) เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติเรื่องวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกครั้งที่ 18 (The 18th International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology: i-CREATe 2025) เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา ระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล กรุงเทพมหานคร โดยการสนับสนุนจาก บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) งานประชุมวิชาการ i-CREATe 2025 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านวิศวกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ในงานประชุมวิชาการฯ และกำหนดให้มีการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (gSIC) เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาได้คิดและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นนวัตกรรมช่วยเหลือคนพิการและผู้สูงอายุ โดย สวทช. เป็นผู้คัดเลือกสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียน นิสิต นักศึกษาตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประกวดดังกล่าว  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดตัวฐานข้อมูลจีโนไทป์-ฟีโนไทป์มันสำปะหลัง หนุนการพัฒนาพืชเศรษฐกิจของไทยด้วยความร่วมมือไทย-เยอรมนี
กรุงเทพฯ, 16 มิถุนายน 2568 - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบัน Institute of Bio- and Geosciences (IBG-2), Forschungszentrum Jülich เยอรมนี และพันธมิตร เปิดตัวฐานข้อมูลจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของมันสำปะหลัง หนึ่งในฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากความร่วมมือวิจัยระหว่างประเทศไทยและเยอรมนี เพื่อเป้าหมายสนับสนุนการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว โดยได้รับเกียรติจาก Mr. Johannes Kerner, Economic and Commercial Counsellor, German Embassy in Bangkok กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหาร นักวิจัย จากไบโอเทค และ Forschungszentrum Jülich เยอรมนี โครงการ CASSAVASTORE หรือโครงการการศึกษาข้อมูลฟีโนไทป์ จีโนไทป์ และสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง (Manihot esculenta Crantz) เพื่อประโยชน์สำหรับงานปรับปรุงพันธุ์เพื่อเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังของประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนงบประมาณรวมกว่า 62 ล้านบาท ดำเนินการโดย สวทช. และ สถาบัน Forschungszentrum Jülich สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยในส่วนของงบประมาณสนับสนุนการวิจัยสถาบัน Julich โดยการดำเนินงานวิจัยของทีมนักวิจัยเยอรมันได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลเยอรมัน จำนวนเงิน 803,356 ยูโร หรือประมาณ 32 ล้านบาท ส่วนงบประมาณสนับสนุนการวิจัยของทีมนักวิจัยไทยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก สวทช. ประมาณ 30 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี ระหว่างปี 2560-2562หน่วยงานหลักที่ร่วมดำเนินโครงการจากทั้งสองประเทศ ได้แก่ Forschungszentrum Jülich ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง กรมวิชาการเกษตร ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า “ผลสำเร็จของโครงการหลังจากสิ้นสุดระยะเวลาโครงการคือประเทศไทยได้ข้อมูลที่สำคัญของลักษณะทางฟีโนไทป์ จีโนไทป์ และสรีรวิทยา ของการเจริญพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลังทั้งพันธุ์ไทยและพันธุ์จากต่างประเทศกว่า 600 พันธุ์/สายพันธุ์ ที่เก็บรวมรวมไว้ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง กรมวิชาการเกษตร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในอนาคต” Prof. Dr. Uwe Rascher  ผู้แทนสถาบัน Institute of Bio- and Geosciences (IBG-2), Forschungszentrum Jülich กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับนักวิจัยไทยในการนำเทคโนโลยี Magnetic Resonance Imaging (MRI) จากสถาบัน Julich มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ฟีโนไทป์และสรีรวิทยาร่วมกับการพัฒนา VDO box โดยเนคเทคเพื่อถ่ายภาพการเจริญพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลังทั้ง 600 พันธุ์/สายพันธุ์ สามารถตรวจสอบปัจจัยและกระบวนการสำคัญที่มีผลในการเจริญเติบโตและการพัฒนารากสะสมอาหารของมันสำปะหลังได้อย่างแม่นยำ ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในงานวิจัยด้านการเกษตรไทยและภูมิภาค” ด้าน ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ไบโอเทค สวทช. เสริมว่า “ข้อมูลที่ได้จากโครงการนี้ ได้รับการจัดเก็บอย่างเป็นระบบไว้ที่ NBT และพร้อมเปิดให้เข้าถึงสำหรับนักวิจัยและผู้พัฒนาพันธุ์พืชทั่วโลกเร็วๆนี้ โดยตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลพันธุกรรมมันสำปะหลังที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก” Dr. Tobias Wojciechowski นักวิจัยอาวุโสจาก สถาบัน IBG-2 at Forschungszentrum Jülich กล่าวว่า ”ความร่วมมือระหว่างนักวิจัยไทยและเยอรมันในโครงการ CASSAVASTORE ไม่เพียงสร้างฐานข้อมูลฟีโนไทป์และจีโนไทป์ของมันสำปะหลังขนาดใหญ่ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการวิจัยข้ามพรมแดนที่สามารถยกระดับการเกษตรของไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาพันธุ์พืชอย่างยั่งยืน” ฐานข้อมูลที่พัฒนาในโครงการนี้จะเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับนักวิจัย นักปรับปรุงพันธุ์ และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการเกษตรทั่วโลกในการขับเคลื่อนการผลิตมันสำปะหลังที่มีประสิทธิภาพ ทนทานต่อโรค และปรับตัวได้ในหลากหลายสภาพแวดล้อม เพื่อรองรับความมั่นคงทางอาหารของโลกในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สกพอ. กนอ. และ สวทช. ตั้งทีมไทยแลนด์ มุ่งเป้าดึงดูดภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ ลงทุนในพื้นที่อีอีซี
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี ศ.ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กำกับดูแลเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation หรือ EECi) ร่วมคณะเดินทางและจัดกิจกรรมชักชวนการลงทุน ณ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 9 – 14 มิถุนายน 2568 เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจริงในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และสร้างโอกาสในการหารือการลงทุนของภาคเอกชนเป้าหมายในราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ โดยประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1. การประชุมหารือกับหน่วยงานและภาคเอกชนเป้าหมาย เพื่อส่งเสริมการลงทุนพัฒนาระบบนิเวศการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เคมีชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพในพื้นที่อีอีซี ด้าน Smart Agriculture Solution (Rijk Zwaan, Priva, Van Der Hoeven, Koppert Biologicals Systems) ด้าน Food Ecosystem/Food Valley (FoodX, Hydrosat, Starlife, Unilever Foods Innovation Centre, Thai Union Innovation Hub) ด้าน Biorefinery, Bioplastic, Biochemical (Avantium, Corbion Manufacturing Facility) ด้าน Green Technology/Recycle (Oryx Stainless Holding B.V.) และ บริษัท Invest NL ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เพื่อสนับสนุนการลงทุนและธุรกิจนวัตกรรมในเนเธอร์แลนด์มีหน้าที่ในการรวบรวมและจัดสรรเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ พลังงานสะอาด และธุรกิจที่มีนวัตกรรม  นอกจากนี้ คณะเดินทางได้มีโอกาสพบปะนักวิจัยและนักเรียนทุนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มหาวิทยาลัย Wageningen ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงด้านการเกษตร ชีววิทยา และเทคโนโลยีชีวภาพ แห่งหนึ่งของโลก 2. การเข้าร่วมงาน Green Tech Global / Amsterdam 2025 เพื่อหารือนักลงทุนเนเธอร์แลนด์ด้านเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ อาหาร และเคมีชีวภาพ รวมถึงการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจแบบ one on one (Protix, Invest International, TDD-International on Geothermie) อนึ่ง งานดังกล่าวเป็นแพลตฟอร์มสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเพาะปลูก(horticulture) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมต่อ สร้างเครือข่าย แลกเปลี่ยนความรู้ และทำธุรกิจ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ที่เข้าร่วมงานได้รู้จักผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทชั้นนำและผู้สร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรมนี้ โดยในปี 2568 งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 12 มิ.ย. 2568 ณ RAI Amsterdam เมืองอัมสเตอร์ดัม ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ 3. การจัดกิจกรรมสัมมนาเชิงธุรกิจร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก และหอการค้าเนเธอร์แลนด์ - ไทย (NTCC) เพื่อส่งเสริมการจับคู่ธุรกิจใหม่ และสนับสนุนโครงการและความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์และภาคเอกชนไทยในพื้นที่อีอีซี ในวันที่ 13 มิ.ย. 2568 ณ โรงแรม nhow Amsterdam RAI โดย ศ.ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนางานเชิงธุรกิจ “Thailand Meets Netherlands – Forging Stronger Business Partnerships on Bio-Circular-Green Economy in the Eastern Economic Corridor of Thailand” บรรยายพิเศษในหัวข้อ EECi: Biotechnology and Innovation Ecosystem in EEC, Thailand สาระสำคัญกล่าวถึงการส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศที่ช่วยส่งเสริมและต่อยอดงานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ “เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation หรือ EECi)” ซึ่งดำเนินการโดย สวทช. เมืองนวัตกรรม EECi เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะเพื่อรองรับการขยายขนาดงานวิจัยและปรับแปลงเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เข้ากับบริบทของไทยด้วยโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในการสนับสนุนการต่อยอดผลงานวิจัยและนวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการไปสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ นวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ เทคโนโลยีชีวกระบวนการ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงและการขนส่งสมัยใหม่ การบิน ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ตั้งอยู่บนพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง โดยมีวิทยากรร่วมบรรยายจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) บริษัท Oryx Stainless Holding B.V. บริษัท Thai Union บริษัท Priva SE Asia และ บริษัท East-West Seed ในการนี้ได้รับเกียรติกล่าวเปิดงานโดย นายอสิ ม้ามณี เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประจำราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และ นาย Hans van den Born กรรมการบริหาร สภาหอการค้าเนเธอร์แลนด์-ไทย และ นางเปรมฤดี โลทารักษ์พงศ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา ณ กรุงเฮก ประจำราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ให้เกียรติกล่าวปิดงาน ทั้งนี้หลังการบรรยายพิเศษแล้วเสร็จ ภายในงานจัดให้มีกิจกรรมการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (Business Networking Reception) เพื่อเปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ให้ผู้เข้าร่วมได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลหรือธุรกิจต่อกัน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สภานโยบาย อววน. เดินหน้านโยบายรับอนาคต: หนุน AI ช่วยเกษตรกร
วันนี้ (16 มิถุนายน 2568) เวลา 14.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  เป็นประธานในการประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลายวาระสำคัญ ซึ่งเป็นการนำศักยภาพด้านการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่าง ยั่งยืน เตรียมพร้อมสำหรับการวางรากฐานอนาคต ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน นางสาวศุภมาสฯ  กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม และให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งถือเป็นการลงทุนเพื่อวางรากฐานอนาคตของประเทศ ผ่านการพลิกโฉมภาคการเกษตรด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างบุคลากรครูที่มีคุณภาพสูงเพื่อพัฒนาการศึกษาของเยาวชน และผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้น สูง พร้อมเตรียมพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมดังกล่าว สิ่งเหล่านี้คือหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประเด็นสำคัญที่ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ได้แก่ การปฏิรูปภาคการเกษตรด้วย Al และนวัตกรรม: ที่ประชุมได้อนุมัติข้อเสนอการบูรณาการและใช้ประโยชน์ข้อมูลเพื่อพัฒนาการเกษตรด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมอบหมายให้กระทรวง อว. เป็นกระทรวงหลัก ในการบูรณาการฐานข้อมูลกับกระทรวงต่าง ๆ ให้มีเอกภาพ เพื่อ พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลกลางด้านการเกษตร และพัฒนาต่อยอดไปเป็นเครื่องมืออย่าง “AI Chatbot” เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น อาทิ การพยากรณ์โรคระบาดในพืช การคาดการณ์ภาวะน้ำท่วม-ภัยแล้ง และข้อมูลราคาผลผลิต เพื่อการวางแผนการเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพและสร้างรายได้ที่ดีขึ้น โดยจะนำร่องในพืชเศรษฐกิจอย่างข้าวและพืชสำหรับเลี้ยงสัตว์ การสร้างครูคุณภาพเพื่อพัฒนาท้องถิ่น: เห็นชอบ 'โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2569 - 2582) เพื่อผลิตบัณฑิตครูคุณภาพสูงในสาขาที่ขาดแคลนและตรงตามความต้องการของพื้นที่ โดยมีเป้าหมายในการบรรจุข้าราชการครูจำนวน 17,392 คน โครงการนี้จะเน้นการสร้างครูที่มีทักษะและสมรรถนะสูงผ่านหลักสูตรที่เน้นการปฏิบัติจริงใน "โรงเรียนฝึกหัดครูเพื่อร่วมพัฒนา วิชาชีพ (TTS) ซึ่งจะช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของผู้เรียนให้ทัดเทียมนานาชาติ การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับงานวิจัยและนวัตกรรม: อนุมัติหลักการให้ 7 สถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศ อาทิ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์กรมหาชน) (สดร.) และ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) สามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาไปร่วมลงทุนต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกศักยภาพของงานวิจัยไทยให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและเกิดการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนด้านเทคโนโลยีได้ นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของโครงการสำคัญต่าง ๆ ที่จะตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เช่น กำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์: ความก้าวหน้าโครงการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งมีเป้าหมายผลิตกำลังคนสมรรถนะสูงกว่า 84,900 คน ภายในปี 2573 รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ (National Semiconductor Training Centers) การพัฒนาทักษะด้าน Al: ความร่วมมือระหว่างกระทรวง อว. กับบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ในการพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับคนไทย โดยตั้งเป้าสร้างนักพัฒนา (Developer) 50,000 คนและผู้ใช้งานขั้นพื้นฐานอีกอย่างน้อย 100,000 คน ซึ่งขณะนี้ได้บรรจุหลักสูตรไมโครซอฟท์เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาศึกษาทั่วไป (General Education) ในมหาวิทยาลัยด้วย และรับทราบรายงานผลกระทบของนโยบายต่างประเทศต่อแวดวงการศึกษาและ วิทยาศาสตร์ของไทย เพื่อเตรียมมาตรการเชิงรุกในการดูแลนักเรียนและนักวิจัยไทยในต่างประเทศ และ รับทราบความก้าวหน้าในการเตรียมจัดงานประชุมวิชาการเพื่อเฉลิมฉลองความร่วมมือ 50 ปี ไทย - จีน ซึ่งเน้นย้ำความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างสองประเทศ ผ่านการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือหรือศูนย์วิจัย Joint Lab) ไทย-จีน โดยเฉพาะในด้านอวกาศและปัญญาประดิษฐ์ เช่น Remote Sensing Data Center ระหว่าง China National Space Administration (CNSA) และ GISTDA และการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้าน AI เป็นต้น “การตัดสินใจในวันนี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลพร้อมจะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและ ยั่งยืนด้วยงานวิจัย นวัตกรรม และกำลังคนที่มีคุณภาพ เป็นกลไกหลักในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง”
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ทางเลือกใหม่เกษตรกร ‘ไวรัส NPV ปราบหนอนเจาะฝักถั่ว’
กระทรวง อว. โดย ไบโอเทค สวทช. จัดกิจกรรม NSTDA x Press Interviews เปิดตัวการค้นพบไวรัส NPV ใหม่ ที่ช่วยควบคุมหนอนเจาะฝักถั่ว ศัตรูตัวร้ายของถั่วฝักยาวและพืชตระกูลถั่ว สามารถใช้ทดแทนสารเคมีได้อย่างปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมพาชมโรงงานต้นแบบผลิต NPV เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช ซึ่งอยู่ระหว่างเปิดรับเกษตรกรผู้ปลูกถั่วฝักยาวที่สนใจเข้าร่วมทำแปลงทดสอบการใช้สารชีวภัณฑ์ NPV หนอนเจาะฝักถั่ว สอบถามรายละเอียดได้ที่โรงงานต้นแบบฯ โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3781 หรือฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3310
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
มจธ. สวทช. พร้อมพันธมิตร เดินหน้ายกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังสู่ความยั่งยืน ผนึกความร่วมมือระดับโลกผ่านเวที Global Cassava Sustainability Forum 2025
กรุงเทพฯ, 16 มิถุนายน 2568 - ประเทศไทยตอกย้ำบทบาทผู้นำอุตสาหกรรมมันสำปะหลังระดับโลกในงาน Global Cassava Sustainability Forum 2025 ซึ่งจัดขึ้นในวันนี้ ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ โดยความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) หน่วยงานภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยงานนี้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ผู้แทนจากภาคอุตสาหกรรม และผู้กำหนดนโยบายจากหลากหลายประเทศทั่วโลก เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เสริมสร้างเครือข่าย และผลักดันความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเกษตร โดยใช้มันสำปะหลังเป็นต้นแบบห่วงโซ่มูลค่า การจัดงาน Cassava Sustainability Forum 2025 ถือเป็นกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการ Reinventing University ที่ได้รับทุนจากกระทรวง อว. ซึ่งมีเป้าหมายยกระดับความสามารถในการแข่งขันของมหาวิทยาลัยไทยในระดับโลก และเสริมสร้างบทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในการขับเคลื่อนประเทศ ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า มันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สะท้อนศักยภาพด้านการเกษตรของไทย และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของประเทศ ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอันดับหนึ่งของโลก โดยในปี 2567 มีมูลค่าการส่งออกกว่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อรวมกับกัมพูชาและเวียดนาม เราครองตลาดโลกรวมกันถึง 90% ซึ่งมันสำปะหลังมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พลังงานชีวภาพ เคมีชีวภาพ อาหาร และเภสัชภัณฑ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. ยังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นด้านการสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย โดยกล่าวว่า “ในปี 2566 ไบโอเทค มจธ. และพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม ได้ประกาศเจตจำนงร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังลง 30% ภายในปี 2573 และตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 ซึ่งเป็นตัวอย่างของความร่วมมือภาครัฐและเอกชนเพื่อความยั่งยืน” รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. กล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยภายใต้โครงการ Reinventing University ว่า มจธ. มุ่งพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้จริง โดยใช้มันสำปะหลังเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ ทั้งในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานทดแทน และการจัดการของเสีย ซึ่ง มจธ. และไบโอเทค สวทช. มีความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงงานต้นแบบผลิตเอทานอล การสร้างองค์ความรู้และปรับปรุงกระบวนการผลิต และการประยุกต์ใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนกับภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง พร้อมระบุว่า “การจัดงาน Global Cassava Sustainability Forum 2025 ครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญสำหรับการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ผ่านศูนย์มันสำปะหลังเพื่อความยั่งยืนอาเซียน (ASEAN Cassava Centre) ซึ่งมีบทบาทในการประสานความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของห่วงโซ่อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง โดยมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ และการวางรากฐานของอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ งานดังกล่าวยังสะท้อนเจตนารมณ์ของ มจธ. ในการขยายความร่วมมือระดับนานาชาติ และร่วมกันสร้างองค์ความรู้เพื่อยกระดับห่วงโซ่คุณค่ามันสำปะหลังอย่างยั่งยืน โดยเรามีเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็งจากทุกทวีปทั่วโลกที่มาร่วมงานครั้งนี้ รวมถึงหน่วยงานและสมาคมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังตลอดห่วงโซ่มูลค่า และภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนการจัดงาน ได้แก่ บริษัท อินกริดิออน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท พูนผล จำกัด และบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงผลสำเร็จของการวิจัยและพัฒนาในภาคมันสำปะหลังว่า “ความร่วมมือที่มีมายาวนานระหว่าง ไบโอเทค สวทช. และ มจธ. นำไปสู่งานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงมากมาย อาทิ ส่วนต้นน้ำ มีการพัฒนาสายพันธุ์มันสำปะหลังที่ให้ผลผลิตสูง ไซยาไนด์ต่ำ เช่น พันธุ์พิรุณ 1, 2 และ 4 ชุดตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลังและการประยุกต์ใช้เพื่อเฝ้าระวังและจัดการควบคุมโรค ส่วนกลางน้ำ มีการดำเนินงานวิจัยกลางน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมันสำปะหลัง รวมถึงการจัดการของเสีย (waste management) ที่เกิดขึ้น เช่น เทคโนโลยีในการเพิ่มความเข้มข้นและทำความสะอาดแป้งโดยเทคโนโลยีไฮโดรไซโคลนประสิทธิภาพสูง และเทคโนโลยีการผลิตก๊าซชีวภาพประสิทธิภาพสูงจากกากมันสำปะหลัง ส่วนปลายน้ำ มีการพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิตทรีฮาโลสจากมอลโตสโดยใช้เอนไซม์ Trehalose synthase แบบขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นกระบวนการที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และให้ผลผลิตสูง โดยใช้วัตถุดิบคือแป้งมันสำปะหลังในการนำมาเปลี่ยนเป็นน้ำเชื่อมมอลโตส ด้าน ดร.วรินธร สงคศิริ รักษาการรองผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. กล่าวปิดท้ายว่า เวที Global Cassava Sustainability Forum 2025 มีเป้าหมายในการจัดตั้งเครือข่ายระดับโลกด้านเศรษฐกิจชีวภาพอย่างยั่งยืนในภาคเกษตร (Global Network on Sustainable Bioeconomy in Agri-Business) โดยใช้มันสำปะหลังเป็นต้นแบบความยั่งยืนในการพัฒนาอุตสาหกรรมตลอดห่วงโซ่มูลค่าเพื่อบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ โดยสามารถขยายผลสู่สินค้าเกษตรอื่น ๆ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนทางการเกษตรระดับโลก และเป็นผู้ขับเคลื่อนความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก งาน Global Cassava Sustainability Forum 2025 ตลอดการประชุม 3 วัน ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับการนำเสนอกลยุทธ์เพื่อการสร้างห่วงโซ่คุณค่ามันสำปะหลังโลกที่เข้มแข็งและยั่งยืน ครอบคลุมตั้งแต่เทคโนโลยีการเพาะปลูกสมัยใหม่ ระบบบริหารจัดการโรคพืช การผลิตแป้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการของเสีย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมการประยุกต์ใช้แป้งมันสำปะหลังในการทำอาหาร และการแสดงผลิตภัณฑ์ล่าสุดจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม พร้อมทั้งกิจกรรมศึกษาดูงาน ณ โรงงานผลิตผงชูรส โรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง และศูนย์ไบโอเทค การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกภูมิภาคทั่วโลกกว่า 40 ท่าน อาทิ Prof. Dr. Lene Lange ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชีวภาพระดับนานาชาติจากเดนมาร์ก Prof. em. Dr. Wilhelm Gruissem นักวิจัยผู้มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงพันธุกรรมของมันสำปะหลัง Prof. Dr. Ulrich Schurr ผู้นำศูนย์วิทยาศาสตร์เศรษฐกิจชีวภาพจากเยอรมนี และ Prof. Dr. Hidenari Yasui ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการจัดการน้ำเสียในอุตสาหกรรมเกษตร   นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน สวทช. และ สถาบัน Forschungszentrum Jülich ประเทศเยอรมนี ได้แถลงข่าวเปิดตัว “ฐานข้อมูลฟีโนไทป์ จีโนไทป์ แหล่งข้อมูลทางพันธุกรรมของการเจริญพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง (Manihot esculenta Crantz) ภายใต้โครงการ CASSAVASTORE” แก่สื่อมวลชน นักวิจัย และผู้ที่สนใจ โดยหลังจากโครงการสิ้นสุด ประเทศไทยได้ข้อมูลที่สำคัญของมันสำปะหลังทั้งพันธุ์ไทยและพันธุ์จากต่างประเทศกว่า 600 พันธุ์/สายพันธุ์ ที่เก็บรวมรวมไว้ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง กรมวิชาการเกษตร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในอนาคต เทคนิค Magnetic Resonance Imaging (MRI) ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ฟีโนไทป์และสรีรวิทยาร่วมกับการพัฒนา VDO box เพื่อถ่ายภาพการเจริญพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลังทั้ง 600 พันธุ์/สายพันธุ์โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สามารถตรวจสอบปัจจัยและกระบวนการสำคัญที่มีผลในการเจริญเติบโตและการพัฒนารากสะสมอาหารของมันสำปะหลังได้อย่างแม่นยำ ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในงานวิจัยด้านการเกษตรไทย มากไปกว่านั้น ข้อมูลจีโนไทป์ของเชื้อพันธุกรรมของมันสำปะหลังได้ถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบที่ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand) ไบโอเทค โดยมุ่งหวังให้เป็นแหล่งข้อมูลทางพันธุกรรมของมันสำปะหลังขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก เพื่อรองรับการเข้าถึงแหล่งข้อมูลของนักปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง รวมทั้งนักวิจัยที่สนใจงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทางด้านมันสำปะหลัง ยกระดับความสามารถของนักปรับปรุงพันธุ์พืชไทย เพิ่มผลผลิตของมันสำปะหลัง และเสริมสร้างความมั่นคงทางการเกษตรทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ศูนย์มันสำปะหลังเพื่อความยั่งยืนอาเซียน (ASEAN Cassava Centre) ดร. รื่นรมย์ เลิศลัทธภรณ์ email: aseancassavacentre@gmail.com ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. Email: prd@nstda.or.th
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. โดย นาโนเทค นำต้นแบบ “N-sense” ลงพื้นที่จังหวัดระยอง ทดสอบวิเคราะห์ BY2 ในทุเรียน
วันที่ 13 มิถุนายน 2568 ณ จังหวัดระยอง - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ตอกย้ำความเป็น “ขุมพลังหลักด้าน วทน.” ยกห้องแล็บมาใกล้ตัวด้วยต้นแบบนวัตกรรม "N-sense" อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ในทุเรียนแบบพกพา ตอบโจทย์เกษตรกร/กลุ่มผู้ส่งออกทุเรียน ชูจุดเด่น ใช้งานง่าย-เร็ว ลดเวลารอผลการตรวจวัดแบบมาตรฐานจาก 48 ชม. เหลือเพียง 20 นาที ลดต้นทุน แต่แม่นยำสูง โดยสามารถตรวจจับสาร BY2 ในปริมาณที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่จีนกำหนดไว้ สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสาร BY2 ที่ปนเปื้อนอยู่ในทุเรียนไทย เพิ่มโอกาสของเกษตรกรรมไทยในเวทีโลกอย่างยั่งยืน ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล รองผู้อำนวยการ (ด้านการวิจัย) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ทุเรียน นับเป็นพืชผลเศรษฐกิจของไทยที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ การต่อยอดใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของไทย นับเป็น 1 ในพันธกิจหลักของ สวทช. “ขุมพลังหลัก” ของประเทศในการใช้ประโยชน์จาก วทน. เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงานวิจัยของนาโนเทค ภายใต้ SF เกษตรและอาหาร ที่มุ่งเน้นการนำนาโนเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ การมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability), การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization), การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability) และการเข้าถึงอาหาร (Food Access) ซึ่งชุดตรวจ BY2 จะอยู่ในมิตินี้ ที่เป็นการเข้าถึงอาหารอย่างปลอดภัย โดยนาโนเทคเอง มุ่งเน้นเรื่องแพลตฟอร์มตรวจการปนเปื้อน เพื่อความปลอดภัย และความมั่นคงทางด้านอาหาร และอาหารสัตว์ (Integrated Nano Sensor & Testing Platforms) “ทุเรียน ถือเป็นผลไม้ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สร้างมูลค่าการส่งออกให้กับไทยอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดจีน ข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตรชี้ว่า ปี 2566 สถิติการส่งออกทุเรียนสดจากภาคตะวันออกของไทยไปยังประเทศจีนอยู่ที่ 6.5 แสนตัน มูลค่ามากกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อเจอวิกฤตเรื่องสาร BY2 ส่งผลกระทบต่อการส่งออกทุเรียนสดจากภาคตะวันออกของไทยอย่างมาก” ดร.วิยงค์กล่าวพร้อมชี้ว่า นาโนเทค คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ต้นแบบชุดตรวจนี้ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาของเกษตรกร ตัวอย่างที่ผ่านการคัดกรองด้วยวิธีนี้ สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสาร BY2 ที่ปนเปื้อนอยู่ในทุเรียนไทย เพิ่มโอกาสให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนไทย ดร.อรรณพ คล้ำชื่น ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูง ความปลอดภัยและสารสนเทศ นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า ต้นแบบนวัตกรรม "N-sense" อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ในทุเรียนแบบพกพา เกิดจากการต่อยอดองค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยี เซ็นเซอร์และการตรวจวัดที่ทีมวิจัยมีศักยภาพอยู่แล้ว สู่เครื่องมือที่จะช่วยตรวจคัดกรองให้เกิดความรวดเร็วในการตรวจสอบ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาของเกษตรกร "N-sense" ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ ขั้วเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าที่จำเพาะกับสาร BY2 และเครื่องอ่านและประมวลผลแบบพกพา โดยมีจุดเด่นเรื่องของการใช้งานสะดวก สามารถนำไปใช้ได้ทุกที่ เสมือนยกห้องแล็บมาไว้ในมือ ย่นระยะเวลาในการตรวจจากวิธีในการตรวจวัดแบบมาตรฐานที่ทางเกษตรกรหรือโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ใช้อยู่ ซึ่งต้องส่งตัวอย่างเพื่อตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ใช้เวลา 48 ชั่วโมง เหลือเพียง 20 นาทีเมื่อตรวจคัดกรองด้วย "N-sense" ค่าใช้จ่ายน้อยลงกว่า 10 เท่า แต่ความแม่นยำสูง สามารถรายงานค่าความเข้มข้นต่ำสุดได้ต่ำถึง 0.56 ppb อย่างแม่นยำ ซึ่งดีกว่ามาตรฐานการส่งออกของจีนที่กำหนดให้มีปริมาณสาร BY2 ไม่เกิน 2.0 ppb “นวัตกรรมนี้ไม่ได้ไปทดแทนวิธีการตรวจแบบมาตรฐานจากห้องปฏิบัติการกลาง แต่จะช่วยในการคัดกรอง เพื่อลดภาระให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนไทย ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและระยะเวลา สร้างความเชื่อมั่นให้ผลผลิตทางการเกษตรของไทย และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการส่งออกสู่ตลาดโลก ซึ่งนอกจากทุเรียนแล้ว ทีมวิจัยยังสามารถพัฒนาต่อยอดในการตรวจวัดสารปนเปื้อนชนิดอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการส่งออกได้อีกด้วย” ดร.อรรณพกล่าว   ล่าสุด สวทช. โดย นาโนเทคยกทีมวิจัยลงพื้นที่ทดสอบภาคสนามพร้อมต้นแบบ "N-sense” ตรวจตัวอย่างทุเรียนจากเกษตรกรในพื้นที่วังจันทร์ จ.ระยอง ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีไอ (Eastern Economic Corridor of Innovation: (EECi) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผลผลิตทุเรียนในพื้นที่ นายสมาน พรหมมา ประธานกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียนวังจันทร์ จ.ระยอง กล่าวว่า ปัจจุบัน อ.วังจันทร์ มีพื้นที่มีเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียน 4 กลุ่มโดยกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียนวังจันทร์เป็นการรวมตัวของเกษตรกรมากกว่า 30 รายในพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 300 ไร่ ที่มุ่งเน้นเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานการปลูกทุเรียนให้สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยเชื่อมั่นว่า การใช้นวัตกรรมจากการวิจัยและพัฒนาของหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึง สวทช. จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับทุเรียนวังจันทร์ให้มีคุณภาพ และเชื่อถือได้ โดยเฉพาะชุดตรวจสาร BY2 ที่กำลังเป็นที่ต้องการในกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายทุเรียนเพื่อการส่งออกในขณะนี้
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์