ผลการค้นหา :
สวทช. นำของเล่นเด็ก ‘พาราเพลิน’ นวัตกรรมยางพารา ร่วมกิจกรรมรักชาติเฟสติวัล 25-27 มิถุนายน 2568 ณ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ
(25 มิถุนายน 2568) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย NSTDA SHOP นำตัวอย่างผลงานวิจัย ‘พาราเพลิน’ นวัตกรรมยางพารา เข้าร่วมแสดงผลงานและจัดกิจกรรมในงาน “รักชาติ Festival” ครั้งที่ 8 จัดโดยสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ณ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ซึ่ง พลเอก ธิติชัย เทียนทอง รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานเปิดงาน โดยมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมในพิธีพร้อมเยี่ยมชมกิจกรรม นวัตกรรมยางพารา ‘พาราเพลิน’ ซึ่งเป็นผลงานวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.
ภายในงานดังกล่าว NSTDA SHOP ได้ออกแบบและจัดกิจกรรม “สนามเด็กเล่นพาราเพลินกับลานเล่นอิสระ” ร่วมกับกลุ่มไม้ขีดไฟ โดยนำผลงานวัตกรรมจากยางพารา ‘พาราเพลิน’ มาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเล่นที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดให้เด็ก ๆ ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป เล่นฟรีตลอดงาน ทั้งนี้“สนามเด็กเล่นพาราเพลินกับลานเล่นอิสระ” ประกอบด้วย กิจกรรมเล่นสำหรับเด็กมากมาย ได้แก่ การฝึกสมองและสองมือน้อย ๆ กับเกมพากันวาด พากันขีด พากันจำ พากันนับ และพากันปั้น และกิจกรรมเล่นอิสระ ได้แก่ ปีนป่าย ฟองสบู่ มุมเทน้ำ ตัวต่อบล็อกไม้ นิทานบ้านแฟนซี พินบอล โยนถุงถั่ว และเกมลูกข่าง
สำหรับผู้สนใจ ‘พาราเพลิน’ ชุดของเล่นนวัตกรรมจากยางพารา ประกอบด้วย 3 ประเภท ได้แก่
พาราโน้ต (Para Note) ของเล่นจากงานวิจัย ผลิตจากยางพาราชนิดยางแท่งและยางแผ่น ผ่านกระบวนการปรับลักษณะทางกายภาพ ด้วยการปรับสมบัติความแข็ง-อ่อนของยางธรรมชาติให้มีความเหมาะสม และนำมาผสานรวมกับสารจากธรรมชาติอื่น ๆ ใช้เป็นวัสดุสำหรับขีดเขียนบนแผ่นกระดานหยาบได้ ไม่เลอะมือ ไม่มีฝุ่นฟุ้งกระจายขณะใช้งาน สามารถขึ้นรูปเป็นรูปแบบต่าง ๆ ได้ตามแม่พิมพ์ มีหลากสี และลบออกได้สะอาดด้วยยางลบที่แนบมาพร้อมกัน
พาราแซนด์ (Para Sand) ของเล่นจากงานวิจัย มีลักษณะเป็นผงเหมือนทราย แต่มีความหนืดไม่แตกตัว ลักษณะคล้ายสไลม์แบบผง มีรูปแบบการพัฒนาเช่นเดียวกับพาราโด แต่มีการผสมวัตถุดิบในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน สามารถนำผงยางพารามาปั้นหรืออัดขึ้นรูปเป็นรูปทรงต่าง ๆ และเปลี่ยนรูปให้กลับมาเป็นผงเช่นเดิมได้ โดยนำกลับมาปั้นขึ้นรูปใหม่ได้มากกว่า 10 ครั้ง รวมทั้งเติมสีและกลิ่นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกัน
พาราโด (Para Dough) ของเล่นแป้งปั้นหรือโด (dough) ผลิตขึ้นจากยางพาราชนิดยางแท่งและยางแผ่น ผ่านกระบวนการปรับลักษณะทางกายภาพให้มีสมบัติความหนืดที่เหมาะสม ก่อนนำมาผสานรวมเข้ากับสารจากธรรมชาติอื่นๆ อาทิ แป้งประกอบอาหาร น้ำมันพืช สี ปัจจุบัน สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตพาราโดให้แก่บริษัท Good Rubber Creation จำกัด เพื่อผลิตและจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์สู่ตลาดแล้ว
สอบถามข้อมูลเพิ่มกิจกรรมและผลิตภัณฑ์พาราเพลิน
ติดต่อ NSTDA Shop (นาสด้าช็อป) shop@nstda.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ถอดรหัสอนาคตพลังงานไทย: เมื่อนวัตกรรม นโยบาย และระบบนิเวศต้องเดินไปด้วยกัน
ในยุคที่เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนก้าวหน้าไปไกลจนต้นทุนต่ำลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน และนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นรายวัน แต่เหตุใดโครงสร้างพลังงานของไทยจึงดูเหมือนยังคงเผชิญกับความท้าทายเดิม ๆ ทั้งในเชิงราคา นโยบาย และการแข่งขัน ความย้อนแย้งที่น่าขบคิดนี้ คือ แก่นกลางของเวทีเสวนาครบรอบ 5 ปี ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ซึ่งได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญในการเปิดมุมมองต่อปัญหาที่หยั่งรากลึกของประเทศ
บทความนี้จะพาไปสำรวจเนื้อหาทั้งหมดจากงานเสวนา ตั้งแต่เทคโนโลยีด้านพลังงานที่ ENTEC กำลังพัฒนา ไปจนถึงการวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ จากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า เหตุใดเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจึงยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาค่าครองชีพด้านพลังงานได้อย่างเต็มที่ และนวัตกรรมไทยจะก้าวข้ามอุปสรรคไปได้อย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ ENTEC: 5 ปีแห่งความสำเร็จและ 5 เทรนด์พลังงานแห่งอนาคต
ในงานประชุมยุทธศาสตร์เครือข่ายพันธมิตรฯ เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปี ENTEC ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของ ENTEC ว่าเป็นการรวมความเชี่ยวชาญของสองศูนย์วิจัยชั้นนำอย่างเอ็มเทคและเนคเทค เพื่อเป็นแกนหลักในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ โดยมีพันธกิจสำคัญคือการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ตลอด 5 ปี ENTEC ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่ใช้งานได้จริงมากมาย เช่น น้ำมันหม้อแปลงชีวภาพ "EnPAT" , ไบโอดีเซลเกรดพรีเมียม "Premium H-FAME" จากน้ำมันปาล์ม, ไปจนถึง แพลตฟอร์ม "Solar Sure" สำหรับบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์หมดอายุ และโครงการ "Thailand BattSwap" ที่มุ่งสร้างระบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้จากวัสดุในประเทศ
จากความสำเร็จดังกล่าว ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ได้ฉายภาพอนาคตที่ท้าทายยิ่งขึ้น โดยชี้ว่าเทคโนโลยีพลังงานสะอาดคือหัวใจสำคัญที่จะนำพาประเทศบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608 โดยเปิดเผย 5 เทรนด์เทคโนโลยีพลังงานแห่งอนาคตที่ ENTEC กำลังมุ่งวิจัยเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเป็นคำตอบสำหรับประเทศ ซึ่งประกอบด้วย เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF), เซลล์แสงอาทิตย์เพอรอฟสไกต์-ซิลิคอน (Perovskite-Silicon Tandem Solar Cell), พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen Energy), โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMRs) และหัวใจสำคัญอย่าง ระบบกักเก็บพลังงานเชื่อมต่อโครงข่าย (Grid-scale Energy Storage)
โจทย์ใหญ่เชิงนโยบาย เมื่อ ‘ราคา’ และ ‘โครงสร้าง’ กลายเป็นความท้าทายหลัก
แม้ภาพอนาคตทางเทคโนโลยีจะมีความหวัง แต่เวทีเสวนาได้ดึงทุกคนกลับสู่โจทย์ปัจจุบันที่ยังคงรอการแก้ไข ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้เปิดประเด็นไว้อย่างน่าสนใจว่า การสะท้อนพฤติกรรมการบริโภคพลังงานที่สูง ควบคู่ไปกับความคาดหวังว่าราคาต้องไม่แพง ทัศนคตินี้ได้สร้างแรงกดดันทางการเมือง และนำมาซึ่งนโยบายพยุงราคาที่อาจสวนทางกับกลไกตลาด
ด้าน ดร.สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ให้ความเห็นว่า ใน 4 เสาหลักของนโยบายพลังงาน ได้แก่ ความมั่นคง พลังงานทดแทน ประสิทธิภาพ และราคา นั้น เสาหลักด้านราคาเป็นประเด็นที่อ่อนไหวที่สุด และการชดเชยราคาถือเป็นศัตรูของการอนุรักษ์พลังงาน แม้การชดเชยเป็นสิ่งจำเป็นในบางสถานการณ์ แต่ก็ไม่ควรทำแบบหน้ากระดาน
ในเชิงโครงสร้าง รองศาสตราจารย์สุธรรม อยู่ในธรรม ประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ได้ให้ทรรศนะว่า โครงสร้างตลาดพลังงานของไทยนั้นแทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาหลายสิบปี และยังคงมีลักษณะเป็นผู้ซื้อรายเดียว (Single buyer) ที่ไม่มีผู้ซื้อที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ทำให้เกิดสภาวะที่มีการแข่งขันเพื่อเข้าสู่ตลาด แต่กลับไม่มีการแข่งขันภายในตลาดเลยแม้แต่น้อย ท่านยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เคยมีมติคณะรัฐมนตรีมาเกือบ 10 ปีแล้วให้จัดตั้งองค์กรคุมระบบไฟฟ้าที่เป็นอิสระ (ISO) เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง
ความท้าทายยุคเปลี่ยนผ่าน เมื่อเทคโนโลยีก้าวนำและความซับซ้อนเพิ่มขึ้น
รองศาสตราจารย์ ดร.วิจารณ์ หวังดี ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ฉายภาพการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว โดยชี้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่ผู้ใช้ไฟฟ้ากลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอง (Prosumer) ผ่านโซลาร์รูฟท็อป เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้มาก แต่ความก้าวหน้านี้ก็นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ "ปฏิสัมพันธ์" ระหว่างเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีใหม่อย่างอินเวอร์เตอร์ ซึ่งมีพฤติกรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และต้องอาศัยการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้ ENTEC จึงเป็น Partner ที่แข็งแกร่งในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์เข้ากับวิศวกรรมไฟฟ้า
จากห้องแล็บสู่ตลาด เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการถึง ‘ช่องว่าง’ ของนวัตกรรมไทย
แม้เทคโนโลยีจะดีเพียงใด แต่การนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ยังคงเป็นโจทย์ที่ยากที่สุด ดร.สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ได้เล่าถึงบทเรียนในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน ที่ค่ายรถยนต์เคยคาดการณ์ว่าอนาคตจะเป็นของ "พลังงานไฮโดรเจน" แต่ท้ายที่สุด "แบตเตอรี่" กลับเข้ามามีบทบาทสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอนาคตทางเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ต้องปรับตัวตามเสมอ นอกจากนี้ ดร.สราวุธ ยังชี้ให้เห็นถึง ‘Missing link’ หรือช่องว่างสำคัญระหว่างงานวิจัยกับการนำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ และมองว่า ENTEC สามารถเข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ได้
ช่องว่างนี้ถูกฉายภาพให้ชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านประสบการณ์ของ นายบุญศักดิ์ เกียรติจรูญเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คัมเวล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ได้พยายามนำนวัตกรรมน้ำยาฆ่าเชื้อประสิทธิภาพสูงที่พัฒนาร่วมกับ ENTEC ไปเสนอให้กับโรงพยาบาล แต่กลับได้รับคำตอบว่าทางโรงพยาบาลสามารถผสมใช้เองได้ เรื่องราวนี้สะท้อนถึงอุปสรรคสำคัญในการสร้างการยอมรับและตลาดให้กับนวัตกรรมที่ผลิตโดยคนไทย แม้จะมีคุณสมบัติที่ดีและปลอดภัยกว่าก็ตาม อย่างไรก็ตาม นายบุญศักดิ์ยังมองเห็นโอกาสสำคัญว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงที่จะเป็นผู้นำในอาเซียนด้านมาตรฐานไฟฟ้า โดยหลายประเทศในภูมิภาคได้นำคู่มือที่พัฒนาโดยคนไทยไปปรับใช้แล้ว
ก้าวต่อไปของพลังงานไทย เมื่อเทคโนโลยีต้องเดินคู่ไปกับวิสัยทัศน์
ในช่วงท้ายของเวทีเสวนา ผู้ร่วมเสวนาได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่เปี่ยมด้วยความหวัง โดย ดร.คุรุจิต ได้ให้กำลังใจนักวิจัยว่าต้อง "ยืนหยัดในสิ่งที่ทำ" แม้นโยบายการเมืองอาจเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.สุธรรม เสนอให้ ENTEC ยกระดับสู่การเป็นศูนย์กลางเครือข่ายพลังงานของภูมิภาค (Regional Networking Hub) เพื่อดึงดูดเงินทุนและความร่วมมือจากทั่วโลก
มุมมองและข้อเสนอแนะจากเวทีเสวนาในครั้งนี้ ตอกย้ำให้ภารกิจของศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) มีความชัดเจนยิ่งขึ้นว่าการพัฒนานวัตกรรมที่ล้ำสมัยเพียงอย่างเดียวไม่อาจนำพาประเทศไปสู่ความยั่งยืนทางพลังงานได้ หากปราศจากระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยและการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่เดินหน้าไปพร้อมกัน
ENTEC จึงไม่ได้วางบทบาทเป็นเพียงผู้สร้างเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นสะพานเชื่อมโยงความรู้ความเข้าใจจากห้องปฏิบัติการไปสู่ผู้กำหนดนโยบายและภาคอุตสาหกรรม เพื่อลดช่องว่างและเร่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ENTEC พร้อมที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้ งานวิจัยไทย สามารถเติบโตและเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืนให้กับประเทศต่อไป
รับชมบันทึกกิจกรรม ENTEC สวทช. ชู 5 เทรนด์พลังงานอนาคต ฉลองก้าวสำคัญ 5 ปีวิจัยเพื่อชาติ
ได้ที่ https://youtu.be/QSuW5Ge6Kxw?si=Eu39RyOIBDTUXSue
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ต้นแบบนวัตกรรม ‘N-sense’ ตรวจสารตกค้าง BY2 ในทุเรียน
นาโนเทค สวทช. พัฒนาต้นแบบนวัตกรรม “N-sense” อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow2) ในทุเรียนแบบพกพา ตอบโจทย์เกษตรกรและผู้ส่งออกทุเรียนไทย ด้วยการใช้งานง่าย สะดวก มีความแม่นยำสูง และรู้ผลเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและลดเวลาให้กับเกษตรกรในการคัดกรองผลผลิตเบื้องต้น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานความปลอดภัยทุเรียนส่งออกของไทยในตลาดโลก
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ผนึกกำลังพันธมิตร นักวิเคราะห์ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เสริมแกร่งภาคอุตสาหกรรมไทย ในงาน NEPCON Thailand 2025
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร และ RX Tradex จัดสัมมนา “การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับองค์กรสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล” ภายในงาน NEPCON Thailand 2025 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
สัมมนาในครั้งนี้มุ่งนำเสนอแนวทางการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และยกระดับองค์กรสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) ด้วยดัชนีชี้วัดความพร้อมองค์กร หรือ Thailand i4.0 Index และการวางแผนลงทุนและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติและดิจิทัล ด้วย กระบวนการวิเคราะห์ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Automation and robotic System Analysis : ASA) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตไทยสู่ความยั่งยืน
ภายในงานยังมีการบรรยายและเวทีเสวนาจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมาร่วมแบ่งปันมุมมอง กลยุทธ์ และกรณีศึกษาจากประสบการณ์จริงที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่
การประเมินความพร้อมขององค์กรด้วย Thailand i4.0 Index ซึ่งถือเป็นก้าวแรกสำคัญของการวิเคราะห์และวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดย ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. ที่ได้นำเสนอเครื่องมือเชิงวิเคราะห์เพื่อประเมินสถานะองค์กร พร้อมแนวทางวางแผนพัฒนาสู่ระบบอัตโนมัติอย่างเป็นระบบ รวมถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนและภาษีของภาครัฐ
แนวทางการนำ Automation and Robotic มาใช้ในองค์กร (Industry Transformation) โดย คุณศักดา สารพัดวิทยา กรรมการผู้จัดการบริษัท ทรอปปิคอลเทค จำกัด, คณะกรรมการสมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) และ สมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย (TIA) ที่ได้ถ่ายทอดแนวคิดเชิงกลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ระบบอัตโนมัติ พร้อมนำเสนอกรณีศึกษา (Use Cases) ที่สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Automation และ Robotics ในโรงงาน
การเสวนาเชิงวิเคราะห์ในหัวข้อ “การกำหนดแผนลงทุนระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เทคโนโลยีดิจิทัล และการเลือกสิทธิประโยชน์สนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ” ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญจากภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง วิเคราะห์แนวทางการลงทุน พร้อมสาธิตการวางแผนการลงทุนโดยอ้างอิงจากผลประเมิน Thailand i4.0 Index เวทีเสวนานี้ประกอบด้วยวิทยากรผู้มีประสบการณ์ตรงในภาคการผลิตและการปรับใช้ระบบอัตโนมัติในโรงงาน (SI) อีกทั้งยังเป็น นักวิเคราะห์ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Automation and robotic System Analyst : ASA) ผู้ความเชี่ยวชาญในการวางแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในโรงงาน ซึ่งได้นำเสนอภาพรวมของกระบวนการวางแผนการลงทุน พร้อมแนะแนวทางการเลือกใช้สิทธิประโยชน์จากภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านกรณีศึกษาโรงงาน 3 โรงงาน ได้แก่
กรณีตัวอย่างโรงงาน SME ฉีดพลาสติก ซึ่งใช้กระบวนการ ASA กำหนดแผนลงทุนปรับปรุงสายการผลิตใหม่ เริ่มจาก (1) ทำความเข้าใจธุรกิจ และกำหนดเป้าหมาย (2) Fact Finding มองหาจุด Improvement และประเมินด้วย i4.0 index (3) Conceptual Design ระบบอัตโนมัติ (4) Finance Analysis (5) SI Matching และการเลือกสิทธิประโยชน์และทุนสนับสนุนจากภาครัฐ (6) Scheduling and Consulting จนได้โครงการปรับปรุงที่เพิ่ม Productivity ได้มากกว่า 10% ลดต้นทุนการผลิต 10% (จากแบบจำลองการผลิต และการทำ Feasibility Study) และได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของรัฐที่เหมาะสมกับโครงการ
กรณีศึกษา บริษัท น่ารัก - เทียร่า จำกัด บริษัท SME ที่ประสบความสำเร็จจากการนำกระบวนการ ASA มาใช้อย่างจริงจัง และเคยผ่านการประเมิน Thailand i4.0 ด้วยระบบประเมินตนเอง ของ สวทช. จนทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้เกือบ 1 ล้านบาทในปีแรกของการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ และกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่าต่อวัน บอกเล่าโดย คุณภัตธนสันต์ แก้วยินดี Process Engineer บริษัท น่ารัก - เทียร่า จำกัด คุณศักดา สารพัดวิทยา ที่ปรึกษาโครงการ และคุณรุ่งโรจน์ นิติรสสุคนธ์ นักวิเคราะห์ ASA บริษัท จีเอ็มซี จีเนียส เมคคาทรอนิกส์ จำกัด หนึ่งในผู้ออกแบบและวางระบบอัตโนมัติ (SI) ให้กับบริษัทฯ ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามแผนลงทุนที่นักวิเคราะห์ ASA ได้แนะนำ และยกระดับ Production Automation ให้อยู่ในสถานะอุตสาหกรรม 2.0 ช่วงต้น (Score 2.1)
กรณีโจทย์การวางแผนจากผลประเมิน Thailand i4.0 Index โรงงานผลิตเครื่องดื่ม ซึ่งมีเป้าหมายทำแผนการลงทุนเพื่อขอสิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI (หักภาษีได้ 100%) ร่วมวางแผนลงทุนเบื้องต้นและสรุปแนวทางการปรับปรุง Production Network ให้อยู่ในสถานะอุตสาหกรรม 3.0 ช่วงต้น (Score 3.1) โดย คุณชลิกา จันทรวัต ผู้เชี่ยวชาญการประเมินองค์กรด้วย Thailand i4.0 Index จาก สวทช. และคุณสิริฤกษ์ กลิ่นบุปผา นักวิเคราะห์ ASA บริษัท ไอดับบลิว พาวเวอร์ จำกัด พร้อมแนะนำผู้ประกอบการที่ต้องการวางแผนลงทุนการยกระดับองค์กรสู่อุตสาหกรรมที่สูงขึ้นไป (3.0 หรือ 4.0) โดย SMEs แนะนำให้ปรึกษานักวิเคราะห์ ASA เพื่อเริ่มต้นโครงการปรับปรุงให้ถูกจุดและตอบสนองเป้าหมายทางธุรกิจก่อน ส่วนโรงงานขนาดใหญ่ แนะนำให้ประเมิน Thailand i4.0 index โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำแผนลงทุนระยะยาว แล้วเข้าสู่กระบวนการ ASA เพื่อกำหนดโครงการลงทุนรายปีต่อไป
NEPCON Thailand 2025 งานแสดงเทคโนโลยีการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อันดับ 1 ของอาเซียน จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 23 ระหว่างวันที่ 18 – 21 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยมีนักอุตสาหกรรมกว่า 10,000 รายจากทั่วภูมิภาคเข้าร่วม ภายในงานนำเสนอโซลูชันด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พร้อมสัมมนาให้ความรู้และสร้างโอกาสเชื่อมโยงธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ยุค 4.0 อย่างยั่งยืน
สนใจรับบริการประเมินองค์กรสู่ Industry 4.0 และขอคำปรึกษาจากนักวิเคราะห์ ASA กรอกแบบฟอร์มที่ https://forms.gle/RvKWVisMVikWPL3p8
ตรวจวัดระดับความพร้อม Industry 4.0 ด้วยตนเอง (Thailand i4.0 Checkup) ที่ https://www.nstda.or.th/i4platform/i4-0-checkup/pages
สนใจขอเอกสารประกอบการสัมมนาฯ ติดต่อ BRC@nstda.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. คว้ารางวัลเครือข่ายภาคประชาชนดีเด่นจาก อย. ประจำปี 2568
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบรางวัล "Best of the Best" สำหรับผลงานเครือข่ายดีเด่นด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข
พิธีมอบรางวัลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาระบบสาธารณสุขให้เข้มแข็งและมีความมั่นคงทางสุขภาพยิ่งขึ้น ภายใต้เป้าหมาย "ยกระดับการสาธารณสุขไทย สุขภาพแข็งแรงทุกวัย เศรษฐกิจสุขภาพไทยมั่นคง" ทั้งนี้ การสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายสุขภาพภาคประชาชนถือเป็นหนึ่งใน 7 นโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขประจำปี พ.ศ. 2568 ซึ่งมุ่งส่งเสริมงานสุขภาพเชิงรุกในชุมชนและการส่งเสริมสิทธิด้านสุขภาพของประชาชนทุกกลุ่ม การมอบรางวัลในครั้งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว เพื่อเป็นกำลังใจแก่เครือข่ายที่ได้ร่วมขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ
ในพิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ได้ขึ้นรับมอบโล่รางวัล "ORYOR Best Network Award" ในฐานะผู้แทนจาก สวทช. ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่เครือข่ายภาคประชาชนที่มีผลงานโดดเด่น ซึ่ง สวทช. ได้แสดงบทบาทสำคัญในฐานะภาคีเครือข่ายที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแพร่ความรู้ผ่านนิตยสารสาระวิทย์ของ สวทช.
นอกจากนี้ นายปริทัศน์ เทียนทอง นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณในการร่วมดำเนินงานโครงการส่งเสริมความร่วมมือภาคประชาชนด้านคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ซึ่งได้ร่วมคณะทำงานภาคประชาชนร่วมกับ อย. มาอย่างต่อเนื่อง
การได้รับรางวัลและใบประกาศเกียรติคุณครั้งนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นและความร่วมมือของ สวทช. ในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชนอย่างแท้จริง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ผนึกกำลัง กรุงเทพมหานคร และ สสวท. เปิด “โรงเรียนภาษาที่สาม” พลิกโฉมการศึกษาไทย เพิ่มสกิล ‘ภาษาเทคโนโลยี’ สร้างเยาวชนเป็น ‘นวัตกร’ รับโลกอนาคต
(วันที่ 20 มิถุนายน 2568) ณ ห้องบางกอก ชั้น B2 อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง) :กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ผนึกกำลังกับกรุงเทพมหานคร และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดโครงการ "ส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0 (โรงเรียนภาษาที่สาม)" ขึ้น เพื่อวางรากฐานสำคัญในการบ่มเพาะเยาวชนไทยให้เป็น "นักคิด นักสร้าง และนักเปลี่ยนแปลงแห่งศตวรรษที่ 21" เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัลในโลกยุคปัจจุบัน ทั้ง 3 หน่วยงานจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญนี้ ทำให้ "ภาษาที่สาม" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาษาต่างประเทศอีกต่อไป แต่ยังรวมถึง "ภาษาเทคโนโลยี" อย่างโค้ดดิ้ง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างนวัตกรรุ่นใหม่ ให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต
นายชนินทร์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกองเทคโนโลยีการศึกษา สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงที่มาของโครงการว่า โครงการนี้เกิดขึ้นจากแนวคิดในการสร้างพื้นที่เรียนรู้แห่งนวัตกรรมในสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะกลุ่มโรงเรียนภาษาที่สาม ที่มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ข้ามศาสตร์ เพื่อหล่อหลอมเยาวชนให้เติบโตเป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ และบ่มเพาะ "นวัตกร" ที่มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิด กล้าทำ และสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีวิจารณญาณ กิจกรรมในวันนี้จึงเป็นหมุดหมายสำคัญในการปลุกพลังแห่งการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) การประดิษฐ์คิดค้น และการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ สวทช. มุ่งหวังที่จะปลูกฝังและส่งเสริมทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้กับเยาวชนไทยในระดับพื้นฐานอย่างทั่วถึง โครงการนี้มุ่งเน้นการสร้าง “นักคิด นักสร้าง และนักนวัตกรรม” ผ่านการบูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ควบคู่กับการส่งเสริมทักษะภาษาที่สาม ตลอดระยะเวลา 9 เดือนของการดำเนินโครงการ เนคเทค สวทช. ได้ติดตามความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด และรู้สึกประทับใจกับพัฒนาการของคุณครูในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตร การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ต้นแบบ การคิดวิเคราะห์เชิงระบบ การทำงานเป็นทีม ตลอดจนการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์
“การที่คุณครูได้ลงมือริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมภายในพื้นที่ Maker Space ของโรงเรียน สะท้อนถึงศักยภาพ ความมุ่งมั่น และจิตวิญญาณของความเป็นนักพัฒนาด้านการศึกษาอย่างแท้จริง เชื่อมั่นว่า เมล็ดพันธุ์แห่งนวัตกรรมที่เราได้ร่วมกันปลูกไว้ในวันนี้ จะเติบโตเป็นต้นกล้าแห่งความคิดสร้างสรรค์และเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน” ดร.ชัย กล่าว
รองศาสตราจารย์ธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กล่าวว่า ความร่วมมือภายใต้โครงการส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0 หรือที่เรียกว่า “โรงเรียนภาษาที่สาม” สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรวิชาการ และสถานศึกษา ในการเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนไทยเข้าสู่โลกแห่งการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท. มีบทบาทหลักในการพัฒนาหลักสูตรและทรัพยากรการเรียนรู้ โดยเน้นการบูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) เข้ากับการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรต้นแบบที่สามารถนำไปปรับใช้ในสถานศึกษาทั่วประเทศโดยมุ่งหวังให้เป็นหลักสูตรที่ไม่เพียงแต่ทันสมัย แต่ยังสอดคล้องกับบริบทของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 และตอบโจทย์ของตลาดแรงงานในอนาคต สสวท.ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรและโรงเรียนต้นแบบในกรุงเทพมหานคร ที่ได้ทดลองและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนภายใต้กรอบหลักสูตรนี้อย่างเป็นระบบ โดยมีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดพื้นที่ Maker Space รวมถึงการส่งเสริมให้ครูมีบทบาทเป็นโค้ชที่สามารถชี้นำการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“สสวท. ไม่ได้ทำแค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังทำเรื่อง STEM มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดการพัฒนานักเรียนสู่การใช้ AI จึงอยากให้นักเรียนและครูผู้สอนให้ความสำคัญในการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ในทุกเรื่อง ตัวอย่างจากโครงการภาษาที่สาม หรือภาษาเทคโนโลยีในครั้งนี้ สสวท. กทม. และ สวทช. มุ่งมั่นร่วมกันพัฒนาให้เยาวชนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เกิดการเรียนรู้และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาตนเอง อีกทั้งยังเป็นสร้างเยาวชนคุณภาพให้ทันโลกดิจิทัล เพื่อก้าวสู่การเป็นนักนวัตกรที่มีทักษะที่เหมาะสมกับยุคดิจิทัลและโลกอนาคต”
ด้านนางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การดำเนินงานโครงการฯ ซึ่งเป็นความร่วมมืออย่างเข้มแข็งระหว่างสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) รวมถึงภาคีเครือข่ายด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา และครูแกนนำจากทั่วประเทศ ที่ร่วมออกแบบและพัฒนาหลักสูตรภาษาที่สาม หรือ “ภาษาเทคโนโลยี” โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ให้แก่นักเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยเน้นการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง (Hands-on Learning) และการเรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหา (Problem-Based Learning) ผ่านกิจกรรมที่หลากหลายและต่อเนื่อง อาทิ การออกแบบและพัฒนา "Digital Innovation Maker Space" ในโรงเรียนต้นแบบ การจัดทำหลักสูตรภาษาที่สาม (ภาษาเทคโนโลยี) ครอบคลุมทุกช่วงชั้น ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาตอนต้นถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย การอบรมและพัฒนาครูแกนนำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการจัดทำและทดลองใช้หลักสูตรภาษาที่สาม เช่น Coding, AI, Digital Tools ผ่านกิจกรรมการประกวดพื้นที่ Maker Space ระดับโรงเรียน มีคุณครูเข้าร่วมจำนวน 60 ท่าน และการจัดประกวดผลงานนวัตกรรมดิจิทัลของนักเรียน ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี โดยมีนักเรียนเข้าร่วมจำนวน 60 คน คุณครูที่ปรึกษาจำนวน 40 ท่าน และยังได้รับความร่วมมือจากผู้บริหาร คณะกรรมการ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และทีมงานรวมกว่า 90 ท่าน ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมในครั้งนี้อย่างเข้มแข็ง
การส่งเสริม “ภาษาที่สาม” ไม่ได้หมายถึงเพียงภาษาต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “ภาษาเทคโนโลยี” เช่น โค้ดดิ้ง ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างนวัตกรรุ่นใหม่ ที่มีทั้งทักษะและจิตใจพร้อมเผชิญความท้าทายของโลกยุค 4.0 โครงการนี้สอดคล้องกับแนวทางในการจัดการศึกษาของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เด็กทุกคนในกรุงเทพฯ เข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ที่เท่าเทียม พัฒนาครูเป็นโค้ชด้านนวัตกรรมผ่านการอบรมและเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร สนับสนุนการจัดพื้นที่ Maker Space ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละโรงเรียน สร้างความร่วมมือกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน กรุงเทพมหานครมุ่งหวังให้ภารกิจนี้ไม่เป็นเพียงแค่การจัดกิจกรรมแต่เป็นภารกิจถาวรที่ช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของกรุงเทพมหานคร และเตรียมพร้อมเยาวชนให้สามารถใช้ความรู้และนวัตกรรมในการพัฒนาตนเอง ชุมชน และประเทศชาติในอนาคต บุคลากรทางการศึกษาของกรุงเทพมหานครหลายภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร “โรงเรียนภาษาที่สาม” หรือ ภาษาเทคโนโลยี รวมถึงการออกแบบห้อง Digital Innovation Maker Space และคู่มือการเรียนรู้ 4 ช่วงชั้น เพื่อขับเคลื่อนการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล
ภายในงานมีการจำลองห้องเรียน Digital Innovation Maker Space จัดแสดงชุดสื่อการเรียนรู้ "ภาษาที่สาม" ทั้ง 4 ช่วงชั้น นิทรรศการแสดงผลงานจากโรงเรียนนำร่องทั้ง 20 แห่ง และกิจกรรม Workshop เช่น การต่อวงจรไฟฟ้าเบื้องต้นและการประกอบหุ่นยนต์พื้นฐาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่บรรจุในคู่มือสื่อการสอนของหลักสูตรโรงเรียนภาษาที่สาม นอกจากนี้ยังมีการประกวดพื้นที่ Digital Innovation Maker space ระดับโรงเรียน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ Maker Space ในโรงเรียนอย่างสร้างสรรค์ และการประกวดผลงาน Digital Innovation จากการใช้เครื่องมือในพื้นที่ Maker Space ระดับนักเรียน เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความสามารถในการคิดออกแบบและสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอีกด้วย
โครงการ "โรงเรียนภาษาที่สาม" ถือเป็นการวางรากฐานสำคัญเพื่อปลุกปั้นเยาวชนไทยให้เป็นนักคิด นักสร้าง และนักเปลี่ยนแปลงแห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณครูผู้เปี่ยมด้วยพลังศรัทธาในศักยภาพของผู้เรียนและนักเรียนทุกคนที่ลุกขึ้นมาเรียนรู้และลงมือสร้างด้วยหัวใจของนักนวัตกรตัวจริง เมล็ดพันธุ์แห่งนวัตกรรมที่ได้ร่วมกันปลูกไว้ในวันนี้ จะเติบโตเป็นต้นกล้าแห่งความคิดสร้างสรรค์และเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
แกะกล่องงานวิจัย : ชีวภัณฑ์ ‘ไวรัส NPV’ ชนิดกำจัดหนอนเจาะฝักถั่ว
📌 เกี่ยวกับอะไร ?
‘หนอนเจาะฝักถั่ว’ หรือ ‘หนอนเจาะฝักลายจุด’ เป็นปัญหาภัยคุกคามที่เกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชตระกูลถั่วในประเทศไทยกำลังเผชิญ โดยเฉพาะถั่วฝักยาว ที่โดนหนอนเจาะฝักถั่วกัดกินดอกและเมล็ดในฝักจนเสียหาย ทำให้ผลผลิตต่อรอบลดลงถึงร้อยละ 25 ที่ผ่านมาเกษตรกรต้องหันมาใช้สารเคมีปริมาณมากเพื่อกำจัดหนอน กระทั่งปี 2559 เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN ได้ออกรายงานเตือนผู้บริโภคว่า ร้อยละ 66.7 ของถั่วฝักยาวที่จำหน่ายทั่วไปในไทยมีสารเคมีตกค้างมากเกินกำหนด
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการผลิตไวรัส NPV สำหรับกำจัดหนอนเจาะฝักถั่ว หรือ MaviMNPV (Maruca vitrata multi-nucleopolyhedrovirus) เพื่อเป็นทางเลือกในการลดใช้สารเคมี และจัดการปัญหาศัตรูพืชอย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_70389" align="aligncenter" width="750"] หนอนเจาะฝักถั่ว[/caption]
[caption id="attachment_70390" align="aligncenter" width="750"] ไวรัส NPV สำหรับกำจัดหนอนเจาะฝักถั่ว[/caption]
📌 ดีอย่างไร ?
เมื่อหนอนเจาะฝักถั่วกินไวรัส NPV เข้าไป จะเกิดความเสียหายบริเวณกระเพาะอาหาร สังเกตได้จากสีตัวที่เปลี่ยนจากสีขาวนวลไปเป็นสีชมพูเข้ม หนอนป่วยจะกินอาหารน้อยลง เคลื่อนไหวช้าลง และตายภายใน 3-4 วัน (ขึ้นอยู่กับขนาดตัวหนอนและปริมาณของสาร NPV ที่หนอนกินเข้าไป) โดยไม่ทำให้หนอนดื้อยา ที่สำคัญไวรัส NPV ชนิดนี้มีกลไกการออกฤทธิ์ที่จำเพาะต่อหนอนชนิดนี้เท่านั้น จึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม
📌 ตอบโจทย์อะไร ?
การฉีดพ่นไวรัส NPV สามารถปรับเพิ่มหรือลดอัตราการใช้สารตามระดับความรุนแรงของการระบาดได้ ซึ่งแตกต่างจากการใช้สารเคมีทั่วไป จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการกำจัดและควบคุมการระบาดด้วยไวรัส NPV ถูกลงในภาพรวม นอกจากนี้ยังตอบโจทย์เรื่องการลดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก เพื่อยกระดับสู่การผลิตผักปลอดสารได้ด้วย
📌 สถานะของเทคโนโลยี ?
ปัจจุบัน ไบโอเทค สวทช. กำลังเปิดรับเกษตรกรผู้ผลิตถั่วฝักยาวที่สนใจใช้งานผลิตภัณฑ์ NPV หนอนเจาะฝักถั่วเข้าร่วมจัดทำแปลงสาธิต โดยทีมวิจัยจะสนับสนุนด้านการวางแผนควบคุมศัตรูพืชภายในพื้นที่เพาะปลูก ตั้งแต่ระยะการระบาดจนถึงระยะควบคุมการกลับมาระบาดซ้ำ ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โรงงานต้นแบบผลิตไวรัสเอ็นพีวีเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3781 หรือฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3310 ส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงต้นปี 2569
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : สวทช. เปิดตัว “NPV หนอนเจาะฝักถั่ว” นวัตกรรมชีวภาพปราบหนอนร้ายในถั่วฝักยาว หนุนพืชเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ร่วมยินดีในพิธีมอบโล่ องค์กรนำผลงานเสนอในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568
(20 มิถุนายน 2568) ณ บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอด เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) : ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีปิดงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025)” พร้อมมอบรางวัล Thailand Research Expo 2025 Award และมอบโล่แสดงความขอบคุณแก่หน่วยงานที่นำผลงานร่วมนำเสนอในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ผู้บริหาร วช. ผู้บริหารหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัย และผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. เข้าร่วม โดยในโอกาสนี้ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นผู้แทน สวทช. เข้ารับรางวัล
ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า ขอขอบคุณหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทุกหน่วยงาน เครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย หรือ Research University Network (RUN) หน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม หรือ Program Management Unit, PMU และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ได้นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมเข้าร่วมนำเสนอในภาคนิทรรศการ ภาคการประชุม และกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยในส่วนต่าง ๆ ภายในงาน "มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568" ทำให้การจัดงานเป็นไปด้วยความสำเร็จ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย พร้อมกันนี้ขอแสดงความยินดีกับหน่วยงานที่ได้รับรางวัล Thailand Research Expo 2025 Award ซึ่งได้แสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมอันมีศักยภาพ และสร้างสีสันการนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมได้อย่างโดดเด่น รวมถึงขอแสดงความยินดีแก่นักวิจัยศักยภาพสูง ศาสตราจารย์วิจัยดีเด่น และเมธีวิจัยอาวุโส รวมทั้งทุกรางวัลผลงานในงานครั้งนี้ด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศ กองทัพอากาศ เข้าศึกษาเยี่ยมชมงานทดสอบยุทโธปกรณ์ทางทหาร สวทช.
18 มิถุนายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับ ศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศ กองทัพอากาศ นำโดย พลอากาศตรี กาลิทัส กมุทชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัย ศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศ พร้อมคณะข้าราชการ เข้าศึกษาเยี่ยมชมด้านมาตรฐานการทดสอบยุทโธปกรณ์ทางทหารตามมาตรฐาน Military Standard เพื่อสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านมาตรฐานการทดสอบ ในแนวทางการพัฒนาระบบวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพอากาศ สำหรับการเข้าสู่สายการผลิตในระดับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
โดย คุณอรรถกร ศิริสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. เป็นผู้แทนผู้บริหารในการให้การต้อนรับ และได้รับเกียรติ จาก ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. บรรยายเรื่องมาตรฐาน Military Standard Mil-STD 461, Mil-STD810 และ RTCA DO 160 พร้อมนำคณะเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ห้องทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สำนักงานศาลปกครอง จับมือ เนคเทค สวทช. พลิกโฉม “ศาลอัจฉริยะ” ดันใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับให้บริการกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน
19 มิถุนายน 2568 สำนักงานศาลปกครอง ผนึกกำลัง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล หวังใช้พลังเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เสริมภารกิจ พลิกโฉมการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ที่สะดวกรวดเร็ว เที่ยงตรง และเป็นธรรม โดยมีนายจำนงค์ ถาวรวิสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง และดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. เป็นประธานในพิธีลงนาม พร้อมด้วยผู้บริหารจากทั้งสองหน่วยงาน ได้แก่ นายชำนาญ ทิพยชนวงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง และดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายจำนงค์ ถาวรวิสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง กล่าวว่า สำนักงานศาลปกครอง โดยศูนย์วิทยาการสารสนเทศ และเนคเทค สวทช. มีความร่วมมือในการนำ AI คือ Speech to text มาประยุกต์ใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ซึ่งได้ร่วมกันพัฒนาและใช้งานถอดความเสียงจนประสบความสำเร็จมาเป็นลำดับ ต่อยอดมาสู่ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะ AI มาใช้เพื่อให้บริการแก่ประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมการปกครอง โดยสำนักงานศาลปกครองมีภารกิจหน้าที่ในการสนับสนุนกระบวนงานพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการองค์กร การบริการให้แก่ประชาชนด้วยระบบดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อขับเคลื่อนการเป็นศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์ ในปีพ.ศ. 2570 และเป็นศาลปกครองอัจฉริยะ (Smart Admin Court) ในปี พ.ศ. 2575 ที่จะอำนวยความยุติธรรม สร้างระบบในการพิจารณาคดีด้วยความเป็นธรรม รวดเร็ว ทันสมัย เสริมสร้างธรรมาภิบาลในสังคมด้วยมาตรฐานที่เป็นสากล เพื่อส่งมอบบริการที่ดี และสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน AI นอกจากจะเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานส่วนบุคคลได้เป็นอย่างดีแล้ว กำลังจะกลายเป็นพลังที่ถูกนำมาใช้ในหน่วยงานอย่างเป็นระบบเพื่อยกระดับบริการภาครัฐ สำนักงานศาลปกครอง ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่สามารถเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านนี้ พร้อมย้ำถึงบทบาทของ สวทช. ในการผลักดันแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติ (พ.ศ. 2565 – 2570) ที่มี 5 ยุทธศาสต์หลักทั้งการใช้งาน AI อย่างถูกต้อง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนากำลังคน พัฒนานวัตกรรม และการประยุกต์ใช้งานจริงในภาคส่วนต่าง ๆ โดยเนคเทค สวทช. เปรียบเสมือนเป็น “เครื่องจักรสำคัญในการสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีให้ประเทศ” พร้อมนำความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญของทีมนักวิจัยด้าน AI ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ร่วมมือสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ หรือ Generative AI และ LLM โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่เป็นหัวใจอยู่เบื้องหลัง ที่เนคเทค สวทช. ได้พัฒนา “Pathumma LLM” ที่สามารถเข้าใจภาษาไทยได้เป็นอย่างดี และเป็น Opensource ให้กับประเทศไทย ซึ่งจะนำมาใช้พัฒนาให้ตอบโจทย์ในบริบทของสำนักงานศาลปกครองที่มีเนื้อหาข้อมูลเฉพาะเจาะจงทางด้านข้อกฎหมาย และการพิจารณาคดี ยังรวมถึง AI อื่น ๆ เพื่อพัฒนากระบวนพิจารณาพิพากษาคดี ตลอดจนการให้บริการต่างๆ ตามภารกิจของสำนักงานศาลปกครอง
5 มิติสำคัญของความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลงฯ ฉบับนี้ ได้แก่
การพัฒนาและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) ที่เข้าใจภาษากฎหมายไทย ผนวกกับชุดข้อมูลศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง เพื่อช่วยตรวจวิเคราะห์ข้อมูลคดี ในรูปแบบที่แม่นยำ และรวดเร็ว
การนำเทคโนโลยี OCR ที่เหมาะสมกับเอกสารคดีปกครอง เสริมการแปลงข้อมูลจากเอกสารกระดาษเป็นดิจิทัล เพื่อให้บริการประชาชนและการพิจารณาพิพากษาคดี ช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานของเจ้าหน้าที่
การพัฒนาแพลตฟอร์มด้าน NLP และ Speech & Text Understanding ที่เกี่ยวข้องกับภาษาพูดและภาษาเขียน รองรับในบริบทข้อมูลของศาลปกครอง เพื่อช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลและความรู้ทางกฎหมายสำหรับประชาชนง่ายและเข้าใจได้มากขึ้น
การทดสอบและใช้งานเทคโนโลยีต้นแบบจากเนคเทค สวทช. สำหรับการประยุกต์ใช้กับข้อมูลของศาลปกครองในการให้บริการประชาชน หน่วยงานของรัฐ และสนับสนุนการพิจารณาพิพากษาคดีของตุลาการศาลปกครอง
การพัฒนาทักษะ ศักยภาพบุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีประสิทธิภาพ
ความร่วมมือครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวแรกของการสร้าง “ศาลปกครองอัจฉริยะ” ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลอย่างแท้จริง พร้อมสร้างให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีเหล่านั้น อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความยุติธรรมการปกครอง ยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชน และยังถือเป็นก้าวสำคัญของการสร้างต้นแบบที่สามารถขยายผลไปสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรม หรือกระบวนการทำงานในหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ให้ก้าวทันยุคดิจิทัลได้ในอนาคต
ภายหลังพิธีลงนามฯ ท่านเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ได้นำคณะผู้บริหาร และทีมงานจากเนคเทค สวทช. เข้าเยี่ยมชมพื้นที่การให้บริการของศาลปกครอง อาทิ ห้องพิจารณาคดี พื้นที่ให้คำปรึกษาทางคดี รวมถึงหอสมุดกฎหมายมหาชน ที่มีบริการยืม-คืน หนังสือกฎหมายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และพิพิธภัฑณ์ศาลปกครอง ซึ่งได้รวบรวมเรื่องราววิวัฒนาการขององค์กรวินิจฉัยคดีปกครอง เปิดบริการในวัน/ เวลาราชการ ให้แก่ประชาชนทั่วไปเข้าไปศึกษาค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับข้อกฎหมาย การพิจารณาคดี และประวัติความเป็นมาของศาสปกครองในประเทศไทย ท่านที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.admincourt.go.th/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ผ่านการรับรองคุณภาพคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ NECAST ระดับ 3
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผ่านการรับรองคุณภาพคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (National Ethics Committee Accreditation System of Thailand: NECAST) ระดับ 3 โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โอกาสนี้ นางฐิติวรรณ เกิดสมบุญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาคุณภาพและจริยธรรมการวิจัย สวทช. และ เลขานุการคณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ของ สวทช. (NSTDA-IRB) เป็นผู้แทนเข้ารับโล่และใบประกาศเกียรติคุณ จาก นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ในงานมหกรรมการวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025) ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร
ระบบการรับรองคุณภาพคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (National Ethics Committee Accreditation System of Thailand: NECAST) เป็นระบบที่จัดทำขึ้นเพื่อประเมินและรับรองคุณภาพของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ในประเทศไทย โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่าการวิจัยในมนุษย์ได้รับการดำเนินการอย่างมีจริยธรรม คุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมการวิจัย และสร้างความน่าเชื่อถือของผลงานวิจัย ซึ่งสามารถแบ่งระดับของการรับรองคุณภาพเป็น 3 ระดับ โดย NECAST ระดับ 3 คือ การรับรองคุณภาพสำหรับคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ประจำสถาบัน ที่พิจารณาโครงการวิจัยทุกประเภท รวมถึงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนอาหาร ยา และเครื่องมือแพทย์ และการวิจัยที่อาจเกิดภยันตรายต่อสังคมในวงกว้าง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. และ IRD ต่ออายุความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ ร่วมขับเคลื่อนการวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ภูมิอากาศ และการศึกษาสิ่งแวดล้อม
(19 มิถุนายน 2568) ณ ห้อง แถลงข่าวชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส (IRD) ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับใหม่ ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี เพื่อเดินหน้าสานต่อความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยพิธีลงนามได้รับเกียรติจากผู้แทนระดับสูงของทั้ง สวทช. IRD และสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมืออันแน่นแฟ้นด้านวิทยาศาสตร์ระหว่างสองประเทศ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความท้าทายระดับโลกในยุคปัจจุบัน
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “บันทึกข้อตกลงนี้เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างปี พ.ศ. 2568 - 2573 มุ่งเน้นการวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การกักเก็บคาร์บอน การเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมผ่านเทคโนโลยีโลกเสมือน และสาขาอื่น ๆ เป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของโครงการความร่วมมือที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงความร่วมมือระหว่างพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันของเราต่อโลกและชนรุ่นหลัง โดย สวทช. และ IRD มุ่งมั่นที่จะสร้างองค์ความรู้ พัฒนาเครื่องมือ เทคโนโลยี และทรัพยากรบุคคล เพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก”
นายฌิล เปกาซู (Mr. Gilles Pecassou) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IRD กล่าวเสริมว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ IRD ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2560 เราได้ร่วมมือกับ สวทช. ในโครงการต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง การต่ออายุบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้เป็นเครื่องสะท้อนถึงความไว้วางใจและวิสัยทัศน์ร่วมกันในการผลักดันงานวิจัยสหวิทยาการ ส่งเสริมนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ และสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมผ่านนวัตกรรมและการศึกษาที่เปิดกว้าง”
นางลีส ตาลโบต์ บาเร (Mrs. Lise Talbot- Barré) ที่ปรึกษาฝ่ายวัฒนธรรมและความร่วมมือ สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส บันทึกข้อตกลงฉบับนี้ไม่เพียงเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่าง สวทช. และ IRD หากยังสะท้อนถึงสายใยมิตรภาพอันยาวนานระหว่างสองประเทศ ซึ่งยึดโยงกันด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และเจตจำนงร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ความสำเร็จจากโครงการความร่วมมือระหว่าง 2 สถาบันในระยะแรก ได้แก่
BIMOMS (Biodiversity Modelling at Multiple Scale) – จากระบบนิเวศท้องถิ่นสู่การเปลี่ยนแปลงระดับภูมิภาค
โครงการ JEAI BIMOMS (พ.ศ. 2565–2567) ภายใต้โครงการ Young Teams Associated with IRD ทีมวิจัยนำโดยนักวิจัยไทยรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญในด้านการสร้างแบบจำลองระบบนิเวศ ตั้งแต่พลวัตความหลากหลายทางชีวภาพในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ไปจนถึงรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของป่าไม้และการใช้ที่ดินในระดับภูมิภาค ผ่านการบูรณาการข้อมูลภาคสนาม ภาพถ่ายดาวเทียม เครื่องมือระดับโมเลกุล และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความสำเร็จของโครงการจะได้รับการสานต่อภายใต้ MOU ฉบับใหม่นี้ด้วยการขยายแบบจำลองข้อมูล ไปยังการใช้โดรนติดตามความหลากหลายทางชีวภาพ และการบูรณาการสู่ยุทธศาสตร์ด้านภูมิอากาศในระดับภูมิภาคต่อไป
SIMPLE (Sustainability Issue Metaverse for Building Participatory Learning Environments)– เมตาเวิร์สเพื่อการเรียนรู้และสร้างความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม
โครงการ SIMPLE เป็นโครงการร่วมวิจัยระหว่างหน่วยงานวิจัย 3 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เวียดนาม และไทย โดยผสานเทคโนโลยีการเรียนรู้ผ่านโลกเสมือนจริง (AR/VR) เข้ากับการเรียนรู้เพื่อสร้างความตระหนักในด้านการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพให้กับเยาวชนไทย โดยกิจกรรมนำร่องชื่อ “BiodiVRestorer: Immersive VR Experience for Biodiversity Restoration” ได้เข้าถึงนักเรียนมัธยมศึกษากว่า 219 คน จาก 21 โรงเรียน ในเขตกรุงเทพฯ จังหวัดปทุมธานี และเชียงใหม่
ผลการสำรวจพบว่า นักเรียนมีความเข้าใจในประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้น และจดจำเนื้อหาได้ในระยะยาว ครูผู้สอนระบุว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและการมีส่วนร่วมของนักเรียนในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะถัดไปทีมวิจัย SIMPLE จะพัฒนาเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อพร้อมจัดทำหลักสูตรฉบับสมบูรณ์สำหรับเผยแพร่ภายในต้นปี พ.ศ. 2569
NATURAL FORESTORE – Capture and Storage of Carbon in Natural Tropical Forests การดูดซับและการกักเก็บคาร์บอนในป่าเขตร้อนตามธรรมชาติ
NATURAL FORESTORE ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิ BNP Paribas เป็นโครงการวิจัยสหวิทยาการที่มุ่งศึกษาการกักเก็บคาร์บอนในป่าเขตร้อนธรรมชาติ โดยบูรณาการองค์ความรู้จากหลากหลายสาขา ทั้งเมตาจีโนมิกส์ การสำรวจระยะไกล ปัญญาประดิษฐ์ และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ควบคู่กับมิติทางสังคมและนโยบายสิ่งแวดล้อม สู่เป้าหมายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนเพื่อการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
โครงการเริ่มดำเนินงานในปี พ.ศ. 2567 ในพื้นที่ศึกษาป่าอนุรักษ์ที่หลากหลาย 3 แห่งในประเทศไทย และอีก 1 แห่งใน สปป.ลาว พื้นที่เหล่านี้ถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันเพื่อเป็น “ห้องปฏิบัติการธรรมชาติ” ที่เป็นตัวแทนของสภาพป่าที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านภูมิประเทศ ชนิดพรรณไม้ ระยะการฟื้นตัวของป่าและประวัติการใช้ที่ดินที่หลากหลาย ความหลากหลายของพื้นที่ศึกษาเช่นนี้ทำให้โครงการสามารถรวบรวมข้อมูลที่ครอบคลุมและรอบด้าน นำไปสู่การสร้างองค์ความรู้เชิงลึกที่สามารถอธิบายปัจจัยและกระบวนการที่ส่งผลต่อการกักเก็บคาร์บอนในป่าเขตร้อนได้อย่างถ่องแท้
การวิจัยนี้ขับเคลื่อนด้วยการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาประยุกต์ใช้ อาทิ เมตาจีโนมิกส์ เพื่อทำความเข้าใจบทบาทของจุลินทรีย์ใต้ดิน การสำรวจระยะไกลด้วยดาวเทียมและ Lidar เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างป่าเหนือพื้นดิน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) เพื่อประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และระบุแนวโน้ม รวมถึงการวิเคราะห์ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ผลลัพธ์ที่ได้คือ แบบจำลองการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในป่าเขตร้อนที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนและกำหนดนโยบายเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ NATURAL FORESTORE ยังสนับสนุนการติดตามและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพตาม “ดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพ” ของสหประชาชาติ ซึ่งสะท้อนการบูรณาการความรู้ด้านนิเวศวิทยา ชีววิทยา สังคมเศรษฐศาสตร์ และนโยบายสาธารณะ เพื่อสร้างทางออกที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


