หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เพิ่มมูลค่าสารสกัด “กระชายดำ” ยกระดับสมุนไพรไทยสู่เวทีโลก
นาโนเทค สวทช. ร่วมกับ บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) (SNPS) แถลงข่าวความร่วมมือการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อผลักดันสารสกัดมูลค่าสูงสู่การใช้ประโยชน์ พร้อมร่วมกันลงนามในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิงานวิจัย หลังจากประสบความสำเร็จในการร่วมกันพัฒนาสารสกัดจากสมุนไพร "กระชายดำ" สู่การเป็นสารสกัดมูลค่าสูงภายใต้ชื่อทางการค้า "B GOLD"
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
แกะกล่องงานวิจัย : ‘TTRS’ ระบบบริการล่ามภาษามือไทยทางไกล
  📌 1) เกี่ยวกับอะไร ? เนื่องในวันที่ 23 กันยายน เป็นวันภาษามือสากลหรือ International day of sign languages คอลัมน์แกะกล่องงานวิจัยจึงขอนำเสนอระบบบริการถ่ายทอดการสื่อสารสำหรับคนพิการทางการได้ยิน (Thai telecommunication relay service system) หรือระบบบริการ call center ที่มีล่ามภาษามือไทยเป็นผู้ช่วยแปลงสาร หนึ่งในเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารให้แก่คนพิการทางการได้ยินหรือคนหูหนวกเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารกับคนหูดี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเปิดเผยข้อมูลว่า ในประเทศไทยมีคนพิการทางการได้ยินมากถึง 416,488 คน ซึ่งมีทั้งคนหูหนวกที่ใช้ภาษามือในการสื่อสาร คนหูตึงที่ต้องใส่เครื่องช่วยฟัง และผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยิน โดยคนหูหนวกคือกลุ่มคนที่ประสบปัญหาด้านการสื่อสารมากที่สุดเพราะเป็นกลุ่มที่ต้องใช้ภาษามือในการสื่อสาร และต้องอาศัยล่ามภาษามือเพื่อช่วยสื่อสารกับคนหูดี โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารทางไกลที่การใช้ภาษามือเพื่อการสื่อสารเป็นเรื่องยากลำบาก อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังคงขาดแคลนล่ามภาษามืออย่างหนัก มีล่ามภาษามือที่จดแจ้งอยู่เพียง 178 คนเท่านั้น โดยแบ่งเป็นล่ามหูดี 170 คน และล่ามหูหนวก 8 คน นอกจากนี้ยังมีล่ามภาษามือกระจายอยู่ในเพียง 41 จังหวัด ส่วนใหญ่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ พัฒนาระบบบริการล่ามภาษามือไทยทางไกล และให้บริการผ่าน ศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือ Thai Telecommunication Relay Service (TTRS) เพื่อช่วยให้การสื่อสารระหว่างคนหูหนวกกับคนหูดีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยได้เปิดให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมงใน 2 รูปแบบ คือ สนทนาข้อความ โดยใช้แอปพลิเคชัน TTRS Live Chat และสนทนาวิดีโอ โดยใช้แอปพลิเคชัน TTRS Video, TTRS VRI และตู้ TTRS ที่ปัจจุบันมีให้บริการ 180 จุด ในสถานที่ที่มีผู้ใช้บริการมาก เช่น โรงเรียน รถไฟฟ้า โรงพยาบาล ทั้งนี้ศูนย์ TTRS เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2555 หรือเป็นเวลา 12 ปีแล้ว โดยมีการพัฒนาให้ทันสมัยมาโดยตลอด ปัจจุบันให้บริการไปแล้วมากกว่า 2.7 ล้านครั้ง มีสมาชิกที่ใช้บริการมากกว่า 51,000 คน   📌 2) ดีอย่างไร ? ระบบ Call center ของ TTRS ช่วยอำนวยความสะดวกให้คนหูหนวกกับคนหูดีสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยหลักการ total conversation หรือรองรับการสนทนาทั้งรูปแบบภาพ เสียง วิดีโอ และข้อความ สามารถใช้บริการได้จากทุกที่ทั่วประเทศตลอด 24 ชั่วโมง เป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางการเรียนรู้ การทำงาน และการใช้ชีวิต ช่วยให้พวกเขาสื่อสารความรู้สึก ความต้องการ และสิ่งที่นึกคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียม   📌 3) ตอบโจทย์อะไร ? ศูนย์ TTRS ช่วยเพิ่มความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบบริการดิจิทัล (digital inclusion) และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนหูหนวกในประเทศไทย   📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ? ‘ระบบบริการล่ามภาษามือไทยทางไกล’ ให้บริการแล้วตั้งแต่ปี 2555 โดย ‘ศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย’ โดยได้รับทุนสนับสนุนการให้บริการจาก กสทช. รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย :  สวทช. ร่วมพันธมิตร พัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุน ‘คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงบริการดิจิทัลอย่างเท่าเทียม (Digital inclusion)’
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ล้ำไปอีกขั้น ! Traffy Fondue ดึง AI เพิ่มประสิทธิภาพการรับแจ้งและจัดการปัญหา
  ความล้ำสมัยของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กำลังสร้างความพลิกผันและแรงสั่นสะเทือนในแทบทุกอุตสาหกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ไม่พลาด เร่งดำเนินการนำ AI มาต่อยอดพัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ให้สามารถรับเรื่องแจ้งและบริหารจัดการปัญหาได้อย่างอัจฉริยะมากขึ้น ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงาน สวทช. สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ขณะนี้ทีมวิจัยหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมืองได้นำเทคโนโลยี AI ขยายผลเพิ่มประสิทธิภาพ Traffy Fondue ใน 4 เรื่อง ได้แก่ 1) AI Summarize ให้ AI ปรับข้อความยาว ๆ ให้สั้นและเข้าใจง่ายได้อัตโนมัติ ยกตัวอย่าง มีประชาชนแจ้งเข้ามาว่า “มีซากรถมอเตอร์ไซค์มาจอดริมถนนจำนวนมาก เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นร้านมอเตอร์ไซค์ ทำให้รถสัญจรลำบากมากเพราะถนนแคบลงมาก” ระบบ AI จะวิเคราะห์สรุปความเหลือเพียงว่า “รถจอดถนนแคบ” ซึ่งช่วยจับใจความถึงปัญหาที่แจ้งได้อย่างรวดเร็ว   2) AI วิเคราะห์ประเภทปัญหาจากข้อความและรูปภาพ จากเดิมที่ผู้แจ้งต้องเลือกประเภทปัญหาของเรื่องแจ้ง เช่น ทางเท้า ประปา ถนน ขยะ สัตว์ ต้นไม้ ต่อไป AI จะวิเคราะห์คัดแยกประเภทของปัญหาให้อัตโนมัติ ยกตัวอย่าง ประชาชนพิมพ์แจ้งว่า “ที่สวนสาธารณะริมถนนเลียบคลองบางเขน มีต้นไม้ที่ กทม. ปลูกไว้หลายต้นโค่นล้มเนื่องจากฝนตกหนัก” พร้อมทั้งแนบไฟล์ภาพภาพต้นไม้โค่นล้ม ระบบ AI จะวิเคราะห์และสรุปประเภทปัญหาว่าเป็น “ต้นไม้” ได้ทันที   3) AI ตรวจสอบคำหยาบ เสนอปรับใช้ข้อความสุภาพ บางครั้งประชาชนผู้แจ้งอาจจะมีความหงุดหงิดใจจากสภาพปัญหาที่เจอ ทำให้พิมพ์แจ้งด้วยข้อความที่ไม่สุภาพ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจหรือบั่นทอนให้เจ้าหน้าที่หมดกำลังใจในการปฏิบัติงาน Traffy Fondue มุ่งสร้างการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ นำ AI มาช่วยตรวจสอบคำหยาบ พร้อมทั้งปรับข้อความให้สุภาพมากขึ้น โดยที่ไม่เปลี่ยนใจความสำคัญของเนื้อหา แต่ทั้งนี้การปรับข้อความจะไม่เป็นการบังคับ แต่จะมีปุ่มตัวเลือกให้ว่าจะส่ง ‘ข้อความตามเดิม’ หรือเลือก ‘ข้อความที่ AI ปรับให้’ เพื่อให้เกิดระบบนิเวศของการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้แจ้งและเจ้าหน้าที่   4) AI ตรวจสอบข้อมูลส่วนตัว หากในการแจ้งเรื่องมีข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวหรือละเมิด พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act: PDPA) เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ AI จะช่วยคัดกรองและปรับข้อความให้เข้าใจง่ายโดยละเว้นข้อมูลส่วนตัวโดยอัตโนมัติ   ดร.วสันต์ กล่าวว่า การนำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของประชาชนและช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องฉับไว เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล “เราอยากให้ Traffy Fondue เป็นสื่อกลางที่ช่วยให้ประชาชนแจ้งปัญหาไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ได้ง่ายไม่ต่างจากการใช้แอปพลิเคชันในการเรียกรถหรือสั่งอาหาร เพราะที่ผ่านมาเราเจอปัญหาเมือง เช่น รถขยะไม่มาเก็บ ทางเท้าพัง ฟุตบาทไม่ดี ก็ไม่รู้จะไปแจ้งปัญหากับใคร ดังนั้นอยากเชิญชวนประชาชนให้มาใช้ Traffy Fondue เป็นเสมือนเลขาคู่ใจในการแจ้งปัญหา เพื่อช่วยกันยกระดับการมีส่วนร่วมและสร้างสังคมเมืองให้น่าอยู่ ขณะเดียวกันเรามุ่งหวังอยากขยายผล Traffy Fondue ไปยังจังหวัดและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ทุกส่วนราชการแก้ปัญหาและดูแลประชาชนได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น” เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“สวทช. เปิดตัวฐานข้อมูล CO2, CE, SDGs เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ”
(20 กันยายน 2567) ที่ห้องแถลงข่าว กระทรวง อว. ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.): สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) จัดกิจกรรม NSTDA Meets the Press นักวิจัยพบปะสื่อมวลชน เพื่อสัมภาษณ์พูดคุยในหัวข้อ "ชวนรู้จัก ฐานข้อมูลด้าน CO2, CE, SDGs เพื่อการค้าและความยั่งยืน นำประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ" โดยมี ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อานวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. ดร.เอนกประชา แก้วมณี ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจโรงกลั่น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ นายวิชัย รายรัตน์ Sustainable Development Director บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ร่วมให้สัมภาษณ์พูดคุย เพื่อให้เห็นความสำคัญของฐานข้อมูล CO2, CE, SDGs : กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย ภายใต้การดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. และพันธมิตรภาคเอกชน ซึ่งสถาบัน TIIS ถือเป็นหน่วยงานที่ให้บริการครบวงจร (One stop Service) ด้านข้อมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การค้าและความยั่งยืน ตลอดจนเพื่อให้สาธารณชนภาคส่วนต่าง ๆ เข้าใจบทบาทสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและปรับปรุงฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเชื่อว่าการใช้ข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุมจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งเปิดเผยถึงความก้าวหน้าล่าสุดของฐานข้อมูล CO2, CE, SDG ว่า สถาบัน TIIS ได้พัฒนาชุดข้อมูลค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor: EF) ที่ครอบคลุม 22 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการออกแบบและรับรองฉลากสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ ดัชนีการหมุนเวียนวัสดุ (Material Circularity Index, MCI) ในผลิตภัณฑ์เป้าหมาย 12 ประเภทของอุตสาหกรรมก่อสร้าง เพื่อสนับสนุนการประเมินและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  ฐานข้อมูลเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน BCG Economy และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย โดยช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เกิดการใช้วัตถุดิบรอบสอง ส่งเสริมโมเดลธุรกิจหมุนเวียน รวมทั้งลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก “ดังตัวอย่างกรณีของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ได้นำค่า EF จากฐานข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงจำนวน 5 ชนิด จนได้รับการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ในปี 2556 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีค่าการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต่ำกว่ามาตรฐานทั้งในและต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ได้นำดัชนี MCI มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ โดยนำวัสดุหมุนเวียนมาใช้ทดแทน โดยยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและมาตรฐานของ เอสซีจี” ฉลากคาร์บอน (CO2) เปิดทางให้สินค้าไทยก้าวสู่ตลาดโลก  ฉลากคาร์บอนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับสินค้าไทยในตลาดโลก ดร.นงนุช ได้อธิบายว่า “ฉลากคาร์บอน” เป็นเครื่องมือสำคัญที่แสดงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การกระจายสินค้า การใช้งาน ไปจนถึงการจัดการของเสีย ฉลากคาร์บอนไม่เพียงช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว สถาบัน TIIS ได้จัดทำชุดข้อมูลค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่พร้อมให้บริการ ประกอบด้วยค่ากลางจาก 22 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญของประเทศ โดยได้แปลงค่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในหน่วย "กิโลกรัมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า" หรือ "kgCO2eq." ทั้งนี้ค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการออกแบบและรับรองฉลากสิ่งแวดล้อมสำหรับผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดร.เอนกประชา แก้วมณี ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจโรงกลั่น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แบ่งปันประสบการณ์ของบริษัท ว่า "บางจากฯ ตระหนักถึงประเด็นเรื่องวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการตอบสนองประเด็นนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2030 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ในปี 2050 โดยผ่านแผนงาน BCP 316 NET ครอบคลุมการดำเนินงาน 4 แนวทาง ได้แก่ Breakthrough Performance (30%)  Conserving Nature and Society (10%) Proactive Business Growth and Transition (60%) และ Net Zero Ecosystem ตัวอย่างเช่น โรงกลั่นพระโขนงมีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานในการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งเพื่อจะสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ ทั้งนี้การประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product) นั้นเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้บริษัทฯ สามารถวิเคราะห์ถึง hotspot ที่มีการใช้พลังงานมากและนำไปพัฒนาในการลดการใช้พลังงานต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ขอการรับรองฉลากคาร์บอนทั้ง 5 ผลิตภัณฑ์ได้แก่ 1. น้ำมันเตา (Fuel Oil) 2. ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas (LPG)) 3. น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (High Speed Diesel) 4. น้ำมันแก๊สโซลีนพื้นฐาน (Gasoline based) 5. น้ำมันก๊าดหรือน้ำมันเครื่องบิน (Illuminating or Industrial Kerosene (IK)) มีค่าการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภายในและภายนอกประเทศ  ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำส่งผลช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกในปัจจุบัน เนื่องจากในปัจจุบันในหลายประเทศเริ่มมีการนำคาร์บอนฟุตพรินต์มาใช้กันแล้วอย่างเช่นใน อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา ญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นต้น ที่เห็นได้ชัดเจนคือสหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนหรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) เป็นกลไกการเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง เช่น ซีเมนต์ ปุ๋ย เหล็ก อะลูมิเนียม ไฮโดรเจนและไฟฟ้า ซึ่งจะเก็บค่าธรรมเนียมหากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยเกินกว่าข้อกำหนด ดังนั้นการเลือกใช้วัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำตั้งแต่ต้นทางจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการของประเทศไทย” สำหรับมุมมองและแนวทางการพัฒนาการใช้ฉลากคาร์บอนในอนาคต ดร.นงนุช มองว่า "ภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุนในการส่งเสริมการใช้ฉลากคาร์บอนอย่างแพร่หลายมากขึ้นในทุกภาคส่วน พร้อมทั้งให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" ด้าน ดร.เอนกประชา กล่าวเสริมว่า "ผู้ประกอบการไทยควรศึกษาข้อมูลและแนวทางการขอรับฉลากคาร์บอน เพื่อนำไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง และร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" MCI ดัชนีสำคัญ ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่จำกัด สู่เศรษฐกิจหมุนเวียน ดร.นงนุช ได้อธิบายว่า  “ค่าประสิทธิภาพหมุนเวียนของวัสดุก่อสร้าง (Material Circularity Indicator: MCI) หรือที่เรียกว่า ดัชนี MCI” คือ ตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงระดับการหมุนเวียนของวัสดุในผลิตภัณฑ์หนึ่ง ๆ โดยเปรียบเทียบกับวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน จนถึงการจัดการของเสีย หากผลิตภัณฑ์ใดมีค่า MCI สูง แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวสถาบัน TIIS ได้จัดทำข้อมูล MCI ของวัสดุก่อสร้าง 12 ประเภท ได้แก่ คอนกรีตผสมเสร็จ ปูนซีเมนต์สำเร็จรูป ประตููและหน้าต่าง อิฐ กระเบื้องปูพื้น วัสดุปิดผนัง สุขภัณฑ์ ท่อประปา ฝ้าเพดาน หลังคา และฉนวนกันความร้อน โดยร่วมกับผู้ประกอบการในการปรับปรุงข้อมูล MCI ของวัสดุทุกชนิดให้เป็นปัจจุบันตลอดทุกปี (เปิดรับข้อมูลจากทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แสดงถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของวัสดุก่อสร้างที่มีการใช้งานในประเทศไทย” นายวิชัย รายรัตน์ Sustainable Development Director บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ได้แบ่งปันประสบการณ์ในการนำดัชนี MCI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตของบริษัท ว่า  “SCG ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกๆด้าน ทั้งการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ทดแทนถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ การลดการใช้ทรัพยากรน้ำ และรวมถึงการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (Nonrenewable resources) โดยนำวัสดุหมุนเวียนมาใช้ทดแทน ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ เอสซีจีใช้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักควบคู่กับการมุ่งไปสู่ Net Zero การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน เอสซีจีได้มีการตั้งเป้าหมายให้แต่ละธุรกิจต้องมีการนำวัสดุทดแทนมาใช้ โดยตั้งเป้าหมายในปี 2030 ให้มีการนำวัสดุหมุนเวียนมาใช้ทดแทนวัตถุดิบธรรมชาติให้ได้ 10% ซึ่งในปี 2023 เอสซีจีสามารถใช้วัสดุหมุนเวียนได้ 6.64% ซึ่งแนวทางสำคัญคือการนำวัสดุที่เป็นของเสียที่ไม่เป็นอันตรายทั้งจากภายในและภายนอกเอสซีจีหรือสินค้าที่หมดอายุการใช้งาน กลับมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน ในสัดส่วนที่สินค้ายังได้คุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐาน นอกจากนี้ยังพัฒนาวิจัยที่จะนำวัสดุธรรมชาติที่สามารถทดแทนใหม่ได้ (Renewable resources) มาทดแทนเพิ่มเติมอีกด้วย โดยใช้ดัชนี MCI มาเป็นเครื่องมือในการประเมินประสิทธิผลของการหมุนเวียนวัสดุทดแทนของสินค้าแต่ละประเภท เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า MCI สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ มีการนำเถ้าลอย (Fly ash) มาทดแทนหินปูน และใช้ยิบซั่มสังเคราะห์มาทดแทนแร่ยิบซั่มธรรมชาติ” นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี ผลิตจากแก้วรีไซเคิล 100% และ ฝ้าสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ใช้เส้นใยเซลลูโลส ทดแทนแร่ใยหิน ซึ่งนอกจากจะทดแทนวัตถุดิบธรรมชาติแล้วยังปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้ใช้งานอีกด้วย” นายวิชัยกล่าวต่อว่า “ผลลัพธ์ที่ได้จากการนำดัชนี MCI มาใช้ เป็นข้อมูลในการประเมินประสิทธิผลการหมุนเวียนวัสดุของสินค้าวัสดุก่อสร้างของเอสซีจีแต่ละประเภท ทำให้กรอบการดำเนินงานด้านเศรษกิจหมุนเวียนของเอสซีจีมีความชัดเจนมากขึ้น และอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการวัดค่าดัชนี MCI คือการหมุนเวียนสินค้าที่หมดอายุการใช้งานหรือเป็นของเสียในระหว่างติดตั้งให้มีการนำกลับมาสู่ระบบการหมุนเวียน ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เอสซีจีให้ความสำคัญและดำเนินการ เช่น การนำเศษคอนกรีตจากการก่อสร้างหรือทุบทำลายมาย่อยและนำกลับมาใช้ทดแทนหินปูนในการทำคอนกรีต การนำโถสุขภัณฑ์ที่ไม่ใช้แล้วซึ่งทำงานร่วมกันกับโฮมโปร นำมาย่อยและนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทนดินในการทำกระเบื้อง การนำเศษอิฐมวลเบาหรือเศษกระเบื้องหลังคาคอนกรีต มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หรือนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงาน เป็นต้น” ส่วน ดร.นงนุช กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการใช้ฐานข้อมูลในการพัฒนากระบวนการผลิต ว่า “ฐานข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับดัชนี MCI จะช่วยให้นักวิจัยและภาคธุรกิจสามารถวิเคราะห์และเปรียบเทียบผลการดำเนินงานได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น” อย่างไรก็ดีการพัฒนาฐานข้อมูล CO2, CE, SDG โดย สวทช. และพันธมิตร เป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ผ่านการใช้ฉลากคาร์บอนและดัชนี MCI ซึ่งไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและสร้างโอกาสทางการค้า การดำเนินงานนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ สวทช. ในการสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมผ่านนวัตกรรมและความร่วมมือ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ผนึกทุกภาคส่วน เร่งเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชนรองรับ 30 บาท รักษาทุกที่ทั่วกรุง เตรียมพร้อมเปิดตัว 27 ก.ย.นี้ ให้ครบ 100%
(19 กันยายน 2567) ณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แถลงความพร้อมการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบ Health Link ในพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมรองรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ คืบหน้าไปแล้ว 94% เร่งเดินหน้าให้ครบ 100% ภายในวันที่ 27 กันยายน 2567 ซึ่งจะมีการเปิดตัวให้บริการประชาชนเข้าถึงการรักษาแบบไร้รอยต่อโดยได้รับเกียรติจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิด ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ได้มีส่วนร่วมในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากแพลตฟอร์มกลุ่มงาน AMED Care ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลังบ้านในการให้บริการการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่เข้าร่วม 30 บาทรักษาทุกที่ ทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ แพลตฟอร์มกลุ่มงาน AMED Care ที่ให้บริการมี 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่ เชื่อมร้านยาดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง 32 อาการ ระบบบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน ระบบบริการคลินิกพยาบาลสำหรับตรวจรักษาโรคเบื้องต้น ระบบบริการคลินิกเวชกรรมสำหรับรักษาโรคทั่วไป และระบบบริการคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญในการให้บริการการรักษาแก่ประชาชนในทุกที่ เพราะความเจ็บป่วยไม่อาจรอสถานที่และเวลาได้ สวทช. จึงมีความยินดีที่การพัฒนาแพลตฟอร์ม AMED Care สามารถสร้างประโยชน์การบริการสาธารณสุขให้กับประชาชนและสามารถต่อยอดผลการดำเนินงานไปสู่ระบบฐานข้อมูลสุขภาพที่จะขยายการบริการไปได้อย่างกว้างขวาง รองรับการให้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่ รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กล่าวว่า ตามที่ BDI ได้ร่วมมือกับ กทม. และ สปสช. ในการดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพหน่วยนวัตกรรมที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. ผ่านโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ (Health Link) ขณะนี้ได้ดำเนินการแล้วเสร็จมากกว่า 1,500 แห่งทั่วกรุง โดยครอบคลุมทั้ง โรงพยาบาลศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น ร้านยาคุณภาพ คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ คลินิกทันตกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกเวชกรรม ซึ่งช่องทางในการเปิดดูประวัติการรักษาได้ทั้งจากระบบ HIS ของหน่วยบริการและผ่าน HIE Web portal (https://hie.healthlink.go.th/) ของ Health Link ซึ่งมีความพร้อมในการรองรับการให้บริการประชาชนตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ รศ. ดร.ธีรณี กล่าวต่อว่า การเชื่อมโยงข้อมูลในครั้งนี้ BDI ได้ทำงานร่วมกับสภาวิชาชีพต่าง ๆ ในการกำหนด ตรวจสอบ ยืนยันตัวตนผู้ให้บริการ และการกำหนดข้อมูลที่สามารถเปิดดูประวัติการรักษาให้สอดคล้องกับการให้บริการและมาตรฐานวิชาชีพ และเพื่อให้การบริการครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม BDI ยังร่วมกับแอปพลิเคชันเป๋าตัง และหมอ กทม. ในการส่งข้อมูลสุขภาพคืนให้กับประชาชน ซึ่งสำหรับหน่วยบริการที่อาจจะยังไม่ได้เชื่อมข้อมูลผ่านระบบ Health Link ผู้ให้บริการก็ยังสามารถเปิดดูประวัติการรักษาของผู้ป่วยผ่าน PHR (Personal Health Record – ระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล) ได้ นอกจากนี้ BDI ยังร่วมกับ สปสช. ในการพัฒนาระบบ AI เพื่อช่วยตรวจสอบความผิดปกติของการเบิกจ่าย รวมทั้งเชื่อมข้อมูลจากระบบ Health Link เข้ากับระบบตรวจสอบของ สปสช. เพื่อเพิ่มความเร็วในการตรวจสอบ ส่งผลให้หน่วยบริการสามารถเบิกจ่าย (Claim) ได้เร็วขึ้น พร้อมเตรียมการเพื่อขยายการเชื่อมข้อมูลสุขภาพให้รองรับการส่งต่อผู้ป่วย (Refer) ซึ่งหน่วยบริการสามารถส่งต่อการรักษาและประวัติการรักษาได้อย่างสะดวกมากขึ้น ขณะนี้ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ กทม. มีความพร้อมรองรับ 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่จะมีการเปิดตัวในวันที่ 27 กันยายนนี้ นพ.สุนทร สุนทรชาติ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเพื่อรองรับ 30 บาทรักษาทุกที่ในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น กทม. พยายามที่จะทำให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของประชาชนอยู่ที่ตัวประชาชนจริง ๆ ไม่ว่าประชาชนจะไปรักษาพยาบาลที่ใด ทั้งโรงพยาบาลหรือระดับปฐมภูมิ เช่น ศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น คลินิกเอกชน รวมถึงร้านยา หน่วยบริการจะสามารถเห็นข้อมูลประวัติการรักษา ประวัติการแพ้ยา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับความยินยอมจากประชาชน ซึ่งขณะนี้ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชนของหน่วยบริการในพื้นที่กรุงเพทฯ ประกอบด้วย โรงพยาบาลในสังกัด กทม. ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง ได้เชื่อมโยงระบบข้อมูลครบทุกแห่งแล้ว และได้อัปเดตพร้อมนำเข้ารายชื่อแพทย์ในระบบ Health Link แล้ว โดยแพทย์ที่ทำการตรวจรักษาที่ต้องการดูประวัติคนไข้ในระบบ Health Link สามารถเรียกดูประวัติผ่านระบบ HCIS และระบบ e-PHIC ได้โดยอัตโนมัติ รวมทั้งได้ทดสอบการแสดงตนยืนยันสิทธิเมื่อสิ้นสุดการรับบริการ (ปิดสิทธิ) ด้วย Smart card และการส่งเบิกค่าบริการ 13 แฟ้ม เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเป็นส่วนที่สนับสนุนการให้บริการสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพฯ ทำให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท เข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น ยกระดับสุขภาพปฐมภูมิและเครือข่ายสาธารณสุข เพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เชื่อมโยงไร้รอยต่อ นายประเทือง เผ่าดิษฐ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า หัวใจหลักสำคัญอย่างหนึ่งของ 30 บาทรักษาทุกที่ คือ การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของผู้รับบริการในหน่วยบริการ โดยการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชนที่เข้ารับบริการ ระหว่างหน่วยบริการ สปสช. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลและเข้าถึงฐานข้อมูลตามสิทธิได้โดยสะดวก โดยมีการจัดเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลตามมาตรฐานและกฎหมายอย่างครบถ้วนและปลอดภัย สำหรับการดำเนินการ 30 บาทรักษาทุกที่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง สปสช. กับหน่วยบริการ เช่น เชื่อมข้อมูลหน่วยบริการ ที่อัพโหลดไว้บน Cloud ทุกแหล่ง cloud หมอพร้อม, กลาโหม, UHOSNET และสุดท้าย คือ การเชื่อมข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลและคลินิกนวัตกรรมผ่านระบบ Health Link โดย BDI เช่น คลินิกเทคนิคการแพทย์, คลินิกกายภาพบำบัด เป็นต้น ทั้งนี้ สปสช. มีเป้าหมายในการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยบริการในพื้นที่ กทม. ทั้งหมด 1,619 แห่ง ซึ่งดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสำเร็จแล้ว 94 % หรือจำนวน 1,535 แห่ง และอยู่ระหว่างการเชื่อมโยงข้อมูลอีก 84 แห่ง ซึ่งจะเรียบร้อยภายในวันที่ 27 กันยายนนี้
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช.-กวก.-ม.เกษตรฯ ประสานความร่วมมือวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีด้านการเกษตร พร้อมหนุนเสริมต่อยอดใช้งานวงกว้าง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและรายได้เกษตรกรไทย
(19 กันยายน 2567) ณ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จ.นนทบุรี - 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กรมวิชาการเกษตร โดย นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ศาสตราจารย์ ดร.ดอกรัก มารอด รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและความเป็นสากล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง “การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตร และส่งเสริมการต่อยอดใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย” เพื่อร่วมมือทางวิชาการในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตร โดยเฉพาะเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตรของไทย โดยใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และจะช่วยกันสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการเกษตรสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้างในทุกมิติ โดยเฉพาะในเรื่องของการรับมือกับภาวะโลกร้อนหรือโลกรวนที่เป็นปัญหาสำคัญของภาคการเกษตรทุกวันนี้ เพื่อเป้าหมายที่สำคัญที่ไม่ใช่เพียงแค่ให้เกษตรกรไทยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเท่านั้น แต่ยังสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นได้ด้วย  ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่อง การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตร และส่งเสริมการต่อยอดใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย ระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ทั้ง 3 หน่วยงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการเกษตร รวมถึงการพัฒนาบุคลากรการวิจัยและพัฒนาในด้านการเกษตร โดยเฉพาะเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สวทช. ได้มีความร่วมมือกับ กรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง ผลงานที่เด่นชัดในด้านการเกษตร ได้แก่ 1) งานวิจัยด้านเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์พืช ในเรื่องนี้ ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช. ได้มีความร่วมมือในการปรับปรุงพันธุ์พืช 2 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพด และมะเขือเทศ โดยข้าวโพด ทางไบโอเทค ร่วมกับศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวบรวมประชากรข้าวโพดเพื่อใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมที่มีความหลากหลายและนำมาใช้ค้นหายีนที่มีความสัมพันธ์และเหมาะสม พร้อมพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลสนิป (SNP) ที่จำเพาะ เพื่อใช้ในการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดให้มีความต้านทานโรคใบไหม้แผลใหญ่ เป็นต้น  ขณะที่มะเขือเทศ ทางไบโอเทค ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีแผนพัฒนาการปรับแต่งพันธุกรรมอย่างจำเพาะเพื่อพัฒนาพันธุ์มะเขือเทศทนร้อนและมีความหวานพิเศษ และพัฒนาบุคลากรของกรมวิชาการเกษตรให้มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีการปรับแต่งพันธุกรรมอย่างจำเพาะ 2) เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม ไบโอเทค โดยงานความปลอดภัยทางชีวภาพ ฝ่ายศึกษานโยบายและความปลอดภัยทางชีวภาพ มีความร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตร จัดทำแนวทางการพิจารณาเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้นำไปใช้เป็นประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง “การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ. 2567” และประกาศของกรมวิชาการเกษตร เรื่อง “หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรองพืชที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม พ.ศ. 2567” และมีแผนการดำเนินงานร่วมกันในระยะต่อไป เช่น 1) การพัฒนาฐานข้อมูล Plant v-STORE โดยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT)  พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารคลังจัดเก็บเชื้อพันธุกรรมพืช (Plant v-STORE) มุ่งสนับสนุนกิจกรรมการดูแลเชื้อพันธุกรรมพืชที่อนุรักษ์อยู่ในคลังที่กระจายอยู่ที่ต่าง ๆ ในระดับองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายด้านการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เชื้อพันธุกรรมพืชระหว่างองค์กร ลดความเสี่ยงในการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการดูแลด้วยการปลูกและเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่ต้องจัดเก็บเพื่อความมั่นคงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ v-STORE ถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบ Online platform service โดยจะเป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์เชื้อพันธุกรรมพืชในภาพรวมของประเทศได้ 2) งานวิจัยด้านเทคโนโลยีการประเมินสรีรวิทยาและรูปลักษณ์ขั้นสูงของพืช หรือ Plant Phenomics โดยทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช. ซึ่ง Plant Phenomics จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินเชื้อพันธุกรรม ด้วยการประเมินลักษณะทางฟีโนไทป์ของพืชที่ละเอียดสูง แม่นยำ ไม่ทำลายต้นพืช ข้อมูลที่ประเมินได้จะมีประโยชน์ต่อการค้นหายีนและพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่ควบคุมลักษณะต่าง ๆ สำหรับใช้ในการปรับปรุงพันธุ์และระบบเกษตรแม่นยำ โดยไบโอเทค มีแผนจะร่วมกับกรมวิชาการเกษตรในการใช้ฐานพันธุกรรมทั้งในกลุ่มพืชไร่พืชสวนของกรมวิชาการเกษตร เพื่อคัดเลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมและทนทานต่อการเพาะปลูกในสภาพโลกร้อนหรือโลกรวนต่อไป “ภายใต้ความร่วมมือทางวิชาการของ 3 หน่วยงาน ทาง สวทช. จะร่วมดำเนินงานวิจัยและพัฒนา ตั้งแต่ด้านการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรฐานพันธุกรรมพืชอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาพันธุ์พืชโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ รวมถึงนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการเขตกรรม การผลิตแบบเกษตรแม่นยำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแปรรูปผลผลิตและของเหลือจากการเกษตรตลอดห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม (Value chain) เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือในทุกภาคส่วน รวมทั้งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้ประโยชน์โดยตรง ในทุกระดับ” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
5 กระทรวงหลัก กรุงเทพมหานคร UNFPA และ สสส. ผลึกกำลัง เปิดตัวโครงการเมืองใจดี ปักหมุดเพื่อคนที่คุณรัก: ร่วมสร้างฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อทุกคน
(19 กันยายน 2567) ณ ห้องแถลงข่าว (ชั้น 1) อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.): กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กระทรวงมหาดไทย(มท.) กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) และกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย หรือ UNFPA  โดยได้รับการสนับสนุนทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “เมืองใจดี ปักหมุดเพื่อคนที่คุณรัก: ร่วมสร้างฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อทุกคน” ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงแนวคิดการจัดโครงการฯ ว่า “โครงการเมืองใจดี ปักหมุดเพื่อคนที่คุณรัก เป็นโครงการที่ร่วมสร้างฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อทุกคน มุ่งเน้นขยายฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทุกคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ใช้รถเข็น ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยมีเป้าหมายในการสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากบริการสาธารณะได้อย่างเท่าเทียม ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในด้านความเท่าเทียมและการใส่ใจผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม ทั้งนี้โครงการได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมีหน่วยงานพันธมิตรร่วมดำเนินการ ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สวทช. UNFPA Thailand และประชาคมคนพิการ กรุงเทพมหานคร การมีส่วนร่วมของประชาคมคนพิการ กทม. ช่วยเพิ่มมุมมองและความเข้าใจในความต้องการที่แท้จริงของคนพิการในการออกแบบและดำเนินโครงการ “แต่ละหน่วยงานมีบทบาทในการขับเคลื่อนโครงการเมืองใจดี ปักหมุดเพื่อคนที่คุณรัก โดย สสส. มีส่วนในการระดมพลังสื่อสร้างกระแส พม. มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนพิการ อว. วางแผนสานพลังนักศึกษา มท. ตั้งเป้าให้ทุกภูมิภาคร่วมพัฒนาเมืองน่าอยู่ ศธ. จะปลุกพลังเยาวชน สธ. มุ่งมั่นให้สถานพยาบาลทั่วไทยร่วมปักหมุด กทม. วางแผนสู่ต้นแบบเมืองแห่งความเท่าเทียม UNFPA Thailand มุ่งสร้างประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และประชาคมคนพิการ กทม. ร่วมให้คำแนะนำและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของคนพิการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” โครงการฯ ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการ "ปักหมุด" และเพิ่มข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ผ่านไลน์แชทบอท "เมืองใจดี" ผ่าน 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ได้แก่ (1) เพิ่มเพื่อนในไลน์ @jaideecity (2) เลือกเมนูเพิ่มข้อมูล (3) เลือกบริเวณที่ตั้งของสิ่งอำนวยความสะดวก (4) ถ่ายภาพตำแหน่งของสิ่งอำนวยความสะดวก (5) รับการ์ดขึ้นทะเบียน โดยแชทบอท "เมืองใจดี" เป็นแพลตฟอร์มที่ต่อยอดมาจากทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Foudue) เพื่อใช้รวบรวมข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ทางลาด ห้องน้ำสำหรับคนพิการ ที่จอดรถสำหรับคนพิการ และอื่น ๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถค้นหาและเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น การมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคนในโครงการนี้จะช่วยสร้างฐานข้อมูลเมืองใจดีให้มีความครอบคลุมและเป็นประโยชน์ต่อทุกคนอย่างแท้จริง” นอกจากนี้โครงการเมืองใจดี ปักหมุดเพื่อคนที่คุณรัก: ร่วมสร้างฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อทุกคน ได้จัดให้มีการแข่งขันเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่ม เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเมืองที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่า 200,000 บาท จาก 107 รางวัล จำนวน 3 ประเภทการแข่งขัน ได้แก่ 1. ร่วมสร้างเมืองใจดี: ปักหมุด แชร์ข้อมูล ร่วมกันปักหมุด เพิ่มข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บนแผนที่ เช่น ทางลาด ที่จอดรถ ห้องน้ำ ศูนย์บริการ ป้ายสัญลักษณ์ ลิฟต์ ทางเดินโดยตัดสินจากจำนวนจุดสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มเข้าสู่ฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวก “เมืองใจดี” โดยออกเป็น 2 ประเภทการแข่งขัน ได้แก่ ประเภทบุคคล 45 รางวัล (บุคคลทั่วไป, ผู้สูงอายุและคนพิการ, นักเรียนนักศึกษา) และ ประเภทกลุ่ม 27 รางวัล (สถานศึกษา, ระดับเขตกรุงเทพฯ, ระดับจังหวัด) จำนวนรางวัลรวม 72 รางวัล 2. Influencer หน้าใหม่ หัวใจอินคลูซีฟ ผลิตสื่อสร้างสรรค์ สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ การประกวดผลิตสื่อสร้างสรรค์ในรูปแบบวิดีโอสาธิตการใช้งานฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวก “เมืองใจดี” เช่น สาธิตการเพิ่มข้อมูล การค้นหา การแจ้งปัญหาสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น หรือ หัวข้ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “เมืองใจดี” ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมแข่งขันได้ในรูปแบบทีม ทีมละไม่เกิน 3 คน จำนวนรางวัลรวม 20 รางวัล 3. ประกวดไอเดียใหม่ผ่านคลิปวิดีโอ: พัฒนาแอปพลิเคชันเจ๋ง ๆ ที่จะช่วยคนพิการและผู้สูงอายุได้จริง การประกวดผลิตคลิปวิดีโอความยาวไม่เกิน 10 นาที เพื่อนำเสนอไอเดียการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนพิการและผู้สูงอายุ ทั้งในมุมการต่อยอดพัฒนาฟีเจอร์ใหม่บนแพลตฟอร์ม "เมืองใจดี" หรือสร้างแอปฯ ใหม่ที่เชื่อมต่อกับระบบเมืองใจดี หรือ นำเสนอแนวคิดแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ที่จะช่วยแก้ปัญหาและอำนใวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน การเดินทาง การเข้าถึงข้อมูล และการสื่อสารของคนพิการและผู้สูงอายุ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมแข่งขันได้ในรูปแบบทีม ทีมละไม่เกิน 3 คน จำนวนรางวัลรวม 15 รางวัล โดยการแข่งขัน หมดเขตส่งผลงานเข้าประกวด วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 โดยติดตามรายละเอียดการแข่งขันเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ http://jaideecity.traffy.in.th/pin67 ทั้งนี้ขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "เมืองใจดี" ด้วยการปักหมุดสิ่งอำนวยความสะดวก ค้นหาข้อมูล แจ้งขอเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก หรือแจ้งซ่อมผ่านแพลตฟอร์ม LINE โดยการเพิ่มเพื่อน @jaideecity สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการและวิธีการมีส่วนร่วมได้ที่ jaideecity.traffy.in.th/pin67 นอกจากนี้ประชาชนสามารถเข้าชมแผนที่แสดงสิ่งอำนวยความสะดวกทั่วประเทศได้ที่ jaideecity.traffy.in.th สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. ที่ Line ID: @fonduehelp
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ศุภมาส” เปิดงาน Top Executive Meeting : Innovation Thailand Alliance x Global เชื่อมโยงความร่วมมือทางด้านนวัตกรรมระหว่างผู้บริหารระดับสูง ย้ำ นโยบาย “อว. For EV” ผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2573
วันที่ 18 ก.ย. 67 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน Top Executive Meeting : Innovation Thailand Alliance x Global เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือทางด้านนวัตกรรมระหว่างผู้บริหารระดับสูง (Top Executive) จากหน่วยงานชั้นนำทุกภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศไทย ผ่านการสร้างความรู้จักและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านนวัตกรรมระหว่างกัน ผ่านหัวข้อ “EV-Innovation towards Innovation Nation” พร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อว. For Ev: EV-HRD, EV-Transformation, EV-Innovation” โดยมี ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวรายงาน และมี ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รศ.ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานชั้นนำในระบบนิเวศนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า จากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมต่าง ๆ เข้าร่วม ณ ห้อง The Lawn ชั้น 19 เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท เกษรทาวเวอร์ นางสาวศุภมาส กล่าวว่า กระทรวง อว. เล็งเห็นถึงโอกาสและความสำคัญในการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ โดยคาดหวังให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก จึงได้ประกาศนโยบาย “อว. for EV” เพื่อเดินหน้าแผนพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ นำไทยสู่ EV HUB ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยประกอบด้วย 3 แผนงาน คือ 1) EV-HRD: การพัฒนาทักษะกำลังคนด้านยานยนต์ไฟฟ้า รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เช่น ด้านการออกแบบ พัฒนาซอฟแวร์ การผลิตและซ่อมบำรุง สถานีบรรจุไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายในการผลิตกำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรม EV 150,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี โดย อว. จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทางด้าน EV ร่วมกับบริษัทเอกชนชั้นนำ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีทักษะตรงความต้องการของอุตสาหกรรม โดยเน้นการปฏิบัติจริงร่วมกับเทคโนโลยีล่าสุดรวมถึงส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา 2) EV-Transformation: การเปลี่ยนจากใช้รถยนต์ระบบสันดาปภายใน (ICE) มาเป็นยานยนต์ไฟฟ้าในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานในกระทรวง รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยมีเป้าหมายให้หน่วยงานในสังกัด อว. เปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อยร้อยละ 30 ของยานยนต์ที่ใช้งานของหน่วยงานภายในระยะเวลา 5 ปี และจัดทำระบบต้นแบบการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของกระทรวง อว. เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของ Green campus ขณะเดียวกัน เราก็ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ และ 3) EV-Innovation: สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมยานยนต์ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรม EV ในประเทศ และทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม EV โดยปรับปรุงแผนด้าน ววน. ให้มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาด้านยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ โดยมี สกสว. บพข. และ NIA มาร่วมดำเนินงานในส่วนนี้ นางสาวศุภมาส กล่าวต่อว่า NIA ได้ให้การสนับสนุนทุนโครงการ MANDATORY INNOVATION ธุรกิจนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้ 5 กลไกการสนับสนุน ได้แก่ 1) Thematic Innovation กลไกทุนโครงการนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า 2) Zero Loan Interest กลไกนวัตกรรมดี...ไม่มีดอกเบี้ย 3) Matching Interest for Working Capital กลไกสนับสนุนดอกเบี้ยบางส่วนเพื่อเสริมสภาพคล่อง 4) MIND กลไกการสนับสนุนที่ปรึกษาเพื่อพัฒนานวัตกรรม และ 5) Standard Testing กลไกการสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานสำหรับธุรกิจนวัตกรรม โดยในปีนี้ NIA ได้ให้การสนับสนุนไปแล้ว 20 โครงการ งบประมาณ 46.5 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าโครงการกว่า 91.7 ล้านบาท ผลสัมฤทธิ์ จากโครงการเหล่านี้จะส่งเสริมให้เกิดการขยายผลทางธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรมยานยนต์ให้เกิดขึ้นมากมาย พร้อมนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีเกี่ยวเนื่อง “ดิฉันเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลกประกอบกับพลังความร่วมมือของทุกท่านในวันนี้ จะสามารถร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรม EV ให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นชาตินวัตกรรมได้อย่างแน่นอน” รมว.อว. กล่าว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
10 Technologies to Watch 2024: ไฮโดรเจนเพื่อการขับเคลื่อน (H2 for Mobility)
  การใช้งานรถยนต์ของผู้คนในหลายประเทศทั่วโลกกำลังทยอยปรับเปลี่ยนจากรถสันดาปภายในสู่รถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นก็เริ่มลงทุนวิจัย 'รถพลังงานไฮโดรเจน' เพื่อมุ่งสู่การผลิตยานยนต์ทางเลือกแห่งอนาคตแล้ว   ปัจจุบันยานยนต์ที่ใช้งานอยู่ทั่วไปมี 2 รูปแบบหลัก รูปแบบแรกคือรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine, ICE) หรือรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน รูปแบบที่สองคือยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle, EV) หรือรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งการใช้พลังงานทั้ง 2 รูปแบบก็มีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป การใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจะทำเกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หนึ่งในสาเหตุสำคัญของปัญหาโลกร้อน รวมถึงยังปล่อยมลพิษทางอากาศ เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx), คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) สารอินทรีย์ระเหยง่ายหรือ VOCs ส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นเชื้อเพลิง แม้จะมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่ระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็ขึ้นอยู่กับที่มาของพลังงานไฟฟ้าด้วยว่าเป็นพลังงานสะอาดหรือพลังงานที่ผลิตจากเชื้อเพลิงประเภทถ่านหิน จากเหตุผลนี้ผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ของโลกจึงเริ่มหันมาลงทุนวิจัยด้านการผลิตยานยนต์พลังงานไฮโดรเจน เพราะสิ่งที่ยานยนต์ประเภทนี้จะปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมขณะขับเคลื่อนมีเพียงไอน้ำเท่านั้น     ด้วยความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูง ทำให้มีผู้คนจำนวนมากคาดหวังว่าพลังงานไฮโดรเจนจะเป็นทางเลือกที่ช่วยปิดช่องว่างร้อยละ 20 ของการก้าวสู่ Net-Zero ของภาคการขนส่งขนาดใหญ่และการป้อนไฟฟ้าให้ภาคอุตสาหกรรมได้     โดยหากพิจารณาทางด้านศักยภาพการผลิตของประเทศไทย จะพบว่าไทยมีศักยภาพอย่างยิ่งในการผลิตไบโอไฮโดรเจน (Biohydrogen) เพราะมีฐานด้านเกษตรกรรมและมีสารตั้งต้นจากก๊าซมีเทนในมูลสัตว์หรือชีวมวลปริมาณมาก การผลิตด้วยสารตั้งต้นเหล่านี้จะทำให้ได้บลูไฮโดรเจน (Blue Hydrogen) หรือไฮโดรเจนที่ผลิตจากวัสดุเหลือใช้ ซึ่งมีราคาถูกกว่าการผลิตกรีนไฮโดรเจน (Green Hydrogen) ซึ่งใช้วิธีการแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้หากประเทศไทยใช้เทคโนโลยีบลูไฮโดรเจนร่วมกับการกักเก็บคาร์บอนหรือ CCS (Carbon Capture and Storage) ก็จะช่วยให้กระบวนการผลิตมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้มากยิ่งขึ้นอีก ทั้งนี้ประเทศไทยยังมีปัจจัยเสริมด้านอื่น ๆ ที่จะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ประสบความสำเร็จได้อีก  เช่น มีความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งก๊าซ มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ และมีมาตรการความปลอดภัยระดับอุตสาหกรรมที่ชัดเจน ส่วนปัจจัยเสริมระดับโลกที่จะผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานไฮโดรเจนมากขึ้น คือ การคิดค่าปรับคาร์บอนหรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรปที่เริ่มบังคับใช้ในบางกลุ่มอุตสาหกรรมแล้ว ดังนั้นหากไทยผลิตพลังงานไฮโดรเจนเพื่อใช้งานภายในประเทศได้ก็จะมีส่วนช่วยลดค่าปรับ     หากมองในภาพรวมจะพบว่าพลังงานไบโอไฮโดรเจนมีจุดแข็งถึง 3 ด้าน คือ ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ และใช้ขายเป็นคาร์บอนเครดิตได้   เมื่อปลายปี 2022 (พ.ศ. 2565) มีอีกหนึ่งก้าวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ที่น่าจับตา คือ การประกาศความร่วมมือระหว่าง PTT–OR–Toyota–BIG ที่จะเปิดสถานีนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle, FCEV) ขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย
ข่าว
 
บทความ
 
“ไทยสุข” แอปฯ คู่ใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยให้มี “สุขภาพดี”
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) ได้กลายเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของประชากรทั่วโลก โรคเหล่านี้มักเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารและวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานที่มักต้องทำงานเร่งรีบและแข่งกับเวลา ตัวอย่างโรค NCDs เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคไต ซึ่งล้วนเป็นภัยสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าโรค NCDs จะเป็นภัยที่น่ากลัว แต่เรายังสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “ไทยสุข (ThaiSook)” เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดความเสี่ยงการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยกิจกรรมการแข่งขันแบบออนไลน์ และระบบการโค้ชแบบไฮบริด ทำให้ผู้ใช้สามารถดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น “ไทยสุข” ช่วยให้การดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องสนุก เราจะเห็นได้ว่าโรค NCDs แทบทุกโรค ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการกินยา และต้องรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต อีกทั้งบางโรคยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก เช่น ผู้ป่วยโรคไตที่ต้องฟอกไตมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยถึง 200,000 บาทต่อคนต่อปี อย่างไรก็ตาม สาเหตุของโรคเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ และการรักษาให้หายขาดก็ยังมีความเป็นไปได้จากการค้นหาพฤติกรรมต้นเหตุ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคเหล่านี้ตั้งแต่แรก ซึ่งหลายคนมักล้มเหลวในการดูแลสุขภาพเพราะคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก น่าเบื่อ และขาดแรงจูงใจ แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเมื่อใช้แอปพลิเคชัน “ไทยสุข” [caption id="attachment_61406" align="aligncenter" width="800"] ดร.เดโช สุรางค์ศรีรัฐ[/caption] ดร.เดโช สุรางค์ศรีรัฐ นักวิจัยจากกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. และทีมวิจัยได้พัฒนาและออกแบบแอปพลิเคชัน ‘ไทยสุข’ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติ ให้ผู้ใช้สามารถติดตามและบันทึกพฤติกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน เช่น การออกกำลังกาย ปริมาณการรับประทานผักและผลไม้ ปริมาณน้ำดื่ม ระยะเวลาการนอนหลับ เป็นต้น พร้อมกับสามารถดูรายงานผลการใช้ชีวิตในแต่ละสัปดาห์ และคำแนะนำที่เหมาะสมกับเราโดยอ้างอิงจากข้อมูลสุขภาพที่เราบันทึกไว้เพื่อให้เราดูแลสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ แอปฯ ยังมีระบบการแข่งขันออนไลน์ที่เพิ่มความท้าทายในการดูแลสุขภาพ ทำให้กลายเป็นเรื่องสนุก ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มต่าง ๆ ภายในแอปฯ กับเพื่อนหรือกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกันในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสร้างแรงจูงใจ และสนับสนุนซึ่งกันและกันในการดูแลสุขภาพ  ที่สำคัญ แอปฯ ไทยสุขยังมีระบบการโค้ชแบบไฮบริด ที่จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ ให้คำแนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ตรงจุด ติดตามความก้าวหน้า และรายงานความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายสุขภาพของเรา ทำให้ผู้ใช้เห็นพัฒนาการของตัวเอง และมีกำลังใจในการดูแลสุขภาพจนบรรลุเป้าหมายได้ ขั้นตอนง่าย ๆ เริ่มต้นใช้งานแอปฯ ไทยสุข แอปฯ ไทยสุขได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน ใคร ๆ ก็สามารถใช้ได้ แม้จะไม่เคยใช้งานแอปฯ สุขภาพมาก่อนก็ตาม นอกจากนี้ แอปฯ ยังมีฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยให้เข้าใจสุขภาพของตัวเองได้มากขึ้น ตั้งเป้าหมายและติดตามความก้าวหน้า ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการดูแลสุขภาพ พร้อมอัปเดตเคล็ดลับสุขภาพดี ๆ อยู่เสมอ ขั้นตอนแรกเริ่มจากการดาวน์โหลดแอปฯ ไทยสุขจาก App Store หรือ Google Play Store  ค้นหาคำว่า ไทยสุข หรือ ThaiSook จากนั้นลงทะเบียนเข้าใช้งานแอปฯ ไทยสุข ตามด้วยกรอกข้อมูลสุขภาพของเราในแต่ละวัน เช่น อาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย น้ำหนัก และการนอนหลับ เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว แอปฯ จะวิเคราะห์และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับเราโดยอ้างอิงจากข้อมูลสุขภาพที่เราบันทึกไว้ สำหรับผู้ที่สวมใส่สมาร์ตวอตช์ ไทยสุขจะมีระบบเชื่อมต่อเพื่อดึงข้อมูลอัตโนมัติได้จาก iOS Health, Google Fit, Garmin Connect และยังมี “ไทยสุขวอตช์” ซึ่งเป็นสมาร์ตวอตช์ที่ทีมวิจัยออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกับแอปฯ ไทยสุขได้โดยตรงไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อให้โค้ชดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ง่าย ในการพัฒนามุ่งเน้นราคาไม่แพง เพียง 1,000 บาท สามารถตรวจวัดข้อมูลสุขภาพ เช่น นับก้าวเดิน วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ข้อมูลการนอน หากคุณกำลังมองหาแอปฯ ที่จะช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายและสนุก “ไทยสุข” เป็นคำตอบที่ “ใช่” ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือเคยใช้แอปฯ ดูแลสุขภาพมาก่อน ลองดาวน์โหลดแอปฯ ไทยสุขมาใช้ แล้วคุณจะพบว่าการมีสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด โดยสามารถดาวน์โหลดแอปฯ Thaisook ได้ทั้งระบบ Android และ iOS สำหรับหน่วยงานที่สนใจใช้แอปฯ ไทยสุขเป็นเครื่องมือช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคลากรในองค์กร สามารถติดต่อได้ที่ Facebook: Thaisook ไทยสุข หรือ Line ID: @thaisook เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
อว. จัดพิธีประกาศเกียรติคุณและแสดงมุทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการ ปี 2567 ปลัด อว.-รองปลัด อว.-รองอธิบดี ข้าราชการ-พนักงาน-จนท. เกษียณอายุรวม 96 คน จาก 11 หน่วยงาน
(วันที่ 18 กันยายน 2567) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานใน "พิธีประกาศเกียรติคุณและแสดงมุทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567" เพื่อยกย่องคุณงามความดีของผู้เกษียณอายุราชการ อีกทั้งเป็นการแสดงความขอบคุณที่ทุกท่านได้ใช้ความรู้เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับหน่วยงานและประเทศชาติมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยมี นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผศ. ดร.วีรชัย อาญหาญ รอง ผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารกระทรวง อว. รวมทั้งผู้เกษียณอายุราชการ เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมภูมิบดินทร์ ชั้น 6 อาคารสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ นางสาวศุภมาส กล่าวว่า ผู้ปฏิบัติหน้าที่จนครบวาระเกษียณอายุราชการ ถือได้ว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน เพราะได้อุทิศแรงกาย แรงใจ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ อดทน เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับหน่วยงานและประเทศชาติมาเป็นระยะเวลายาวนาน ขณะเดียวกัน ดิฉันก็รู้สึกเสียดายที่กระทรวง อว. จะต้องขาดบุคลากรที่ได้สั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เพราะทุกท่านยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่หน่วยงานและชาติบ้านเมืองได้ ถ้ามีโอกาสขอให้กลับมาช่วยงานหรือกลับมาเยี่ยมเยียน และถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับน้อง ๆ ในหน่วยงาน ซึ่งพวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่ง และจากวันนี้ไปถือเป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้วางแผนการใช้ชีวิตอย่างอิสระตามความประสงค์ ขอให้ดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ ให้แข็งแรง และเสริมสร้างความสุขให้กับชีวิตและครอบครัวอย่างเต็มที่ภายหลังเกษียณอายุราชการตลอดไป ขณะที่ นายเพิ่มสุข ในฐานะผู้แทนผู้เกษียณอายุราชการ กล่าวว่า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาการเดินทางของพวกเราที่นี่เต็มไปด้วยประสบการณ์ เราต่างเผชิญกับความท้าทาย ร่วมฝ่าฟันปัญหา และแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ ทุกมิตรภาพที่เกิดขึ้นได้สร้างคุณค่าอันทรงพลังให้กับพวกเราผู้เกษียณอายุราชการทุกคน และรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระทรวง อว. ที่ที่ทำให้พวกเราได้เรียนรู้ เติบโต และร่วมสร้างสรรค์ผลงานที่มีความหมาย ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อทุกโอกาสอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ที่ได้รับและขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกท่านจากใจจริงที่ร่วมมือร่วมใจสร้างความสำเร็จและดำเนินภารกิจร่วมกันมา แม้วันนี้จะเป็นวันแห่งการสิ้นสุดของเส้นทางการทำงานสำหรับพวกเรา ณ ที่แห่งนี้ แต่ก็เป็นการเปิดประตูเริ่มต้นสู่ช่วงเวลาใหม่ที่พวกเราจะได้ใช้เวลาทุ่มเททำสิ่งที่รักหรือสิ่งที่ไม่ได้ทำในช่วงที่ผ่านมาสร้างสรรค์งานอื่น ๆ เพื่อสังคมต่อไป “สำหรับคนที่ยังคงเดินหน้าทำงานสานต่อภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศและสังคมสู่ความเจริญก้าวหน้า ผมขอส่งความปรารถนาดีจากใจและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเส้นทางการทำงานที่ทอดยาวเบื้องหน้านี้ จะเปิดกว้างและเต็มไปด้วยโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่เปี่ยมด้วยคุณประโยชน์และยั่งยืน นำพาทุกคนก้าวต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจไม่สิ้นสุด เพื่อให้ทุกก้าวที่เดินไปนั้นเต็มไปด้วยความสำเร็จและความภาคภูมิใจในหน้าที่การงานและการใช้ชีวิตต่อไป” สำหรับในปีนี้ มีข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ที่เกษียณอายุรวมทั้งสิ้น 96 คน จาก 11 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1. สำนักงานปลัดกระทรวง อว. 15 คน 2. สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวง อว. 1 คน 3. กรมวิทยาศาสตร์บริการ 10 คน 4. สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ 9 คน 5. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 11 คน 6. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย 19 คน 7. องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 3 คน 8. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 20 คน 9. สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ 2 คน 10. สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 5 คน และ 11. ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) 1 คน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวี เอ็นจิเนียริ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด มอบเงินสนับสนุน 69 ลบ. เข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของ สวทช.
(วันที่ 18 กันยายน 2567) ณ ห้องประชุม อาคารสำนักงานกลาง ชั้น 1 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ให้การต้อนรับ Mr.Koichi  Tsuyama ประธานบริษัท บริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวี เอ็นจิเนียริ่ง เซ็นเตอร์ จำกัดและคณะเนื่องในโอกาสมอบเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. จำนวน 69,000,000 บาท ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนงานด้านการวิจัย พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ให้ก้าวสู่การเป็นประเทศทันสมัยทันเทียมนานาประเทศ ทั้งนี้บริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวีฯ จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเพิ่มเติมตามมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI ) อีกด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ขอขอบคุณบริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวี เอ็นจิเนียริ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดย สวทช. จะนำเงินสนับสนุนไปใช้กับพันธกิจหลักในกิจกรรมการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรทางเทคนิค สนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมต่อไป ทั้งนี้คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ บริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวี เอ็นจิเนียริ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด ได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัย: Lightweight Engineering Research Lab ของศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. โดยมี ดร.ชินะ เพ็ญชาติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยกระบวนการทางวัสดุและการผลิตอัตโนมัติ พร้อมด้วย คุณปิยพงศ์ เปรมวรานนท์ หัวหน้าทีมวิจัยวิศวกรรมน้ำหนักเบา ร่วมแนะนำศูนย์เอ็มเทค และบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัยพัฒนาการออกแบบด้านยานยนต์สมัยใหม่และความปลอดภัย ณ ห้อง MP140 อาคาร MTEC Pilot Plant สำหรับภาคเอกชนและผู้ที่สนใจ สวทช. ขอเชิญชวนท่านร่วมมีส่วนในการสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยร่วมบริจาคเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของ สวทช. และผู้บริจาคจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันจาก BOI ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจะเป็นไปตามการสนับสนุนเงินซึ่งคำนวณจากรายได้ 3 ปีแรก (1-5%) โดยได้ยกเว้นวงเงินภาษีเงินได้เพิ่มเติม 200%ของเงินสนับสนุน และได้รับระยะเวลายกเว้นเงินภาษีเพิ่มเติม 1-5 ปี (รวมสิทธิเดิมแล้วสูงสุดไม่เกิน 13 ปี)
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์