ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – ปฏิทินกิจกรรม
"Service Innovation: The Future of Value creation" นวัตกรรมบริการ กลยุทธ์เพื่อการสร้างคุณค่าเชิงธุรกิจยุคใหม่ สถาบันวิทยาการ สวทช. โดยโปรแกรมฝึกอบรมด้านนวัตกรรมเชิงปฏิบัติ (Innovation Practices Program: IPP) ขอแนะนำหลักสูตรในกระแสยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของ Business Transformation Customer Experiences and Value Creation ที่จะช่วยสรรค์สร้างการบริการใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมให้กับองค์กรนำพาองค์กรก้าวเข้าสู่ Digital Economy ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนให้พัฒนาเติบโตด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศได้ หากหน่วยงานของท่านกำลังมองหา กระบวนการ/เครื่องมือ ที่จะนำไปปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ไหลลื่นขึ้น Service Innovation เป็นการสอนให้ใช้เครื่องมือต่างๆ (Canvas, Service Blueprinting, Bizagi) จากกรณีศึกษาจริงเพื่อตอบโจทย์การทำงาน-ลูกค้า เพื่อให้เห็นถึงปัญหา นำไปลดช่องโหว่ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในที่สุด" Service Innovation เหมาะกับใคร… ► ผู้บริหารหน่วยงาน, เจ้าของกิจการ, เจ้าหน้าที่ทำงานด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์และนโยบายขององค์กร ► ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสายงานการตลาด การพัฒนาความร่วมมือกับคู่ค้า Supply Chain Management และ Corporate Communication ด้านพัฒนาธุรกิจและองค์กร ► ผู้สนใจทั่วไปที่ต้องการศึกษานวัตกรรม บริการ และแสวงหาโอกาสใหม่เพื่อตอบโจทย์เชิงธุรกิจ Service Innovation ให้อะไร… ► รู้และเข้าใจตรรกของวิทยาการบริการ และสามารถนำหลักคิดของ Value Co-creation ไปสร้างนวัตกรรมบริการ (Service Innovation) ได้ ► เข้าใจกรอบแนวคิดการสร้างนวัตกรรม บริการ ด้วยรูปแบบธุรกิจในเชิงบริการ (Service Dominant Business Model Canvas) เพื่อสร้าง นวัตกรรมบริการได้ ► ใช้ Service Blueprinting ออกแบบเชิงแนวคิด (Conceptual design) ของระบบบริการได้ ► ใช้เครื่องมือสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมบริการได้ ระยะเวลาหลักสูตร: วันที่ 15-16, 22-24 มีนาคม 2559 เวลา 9.00 - 16.00 น. (รวมระยะเวลาอบรม 5 วัน) ณ โรงแรมเมอร์เคียว กรุงเทพฯ สยาม ค่าลงทะเบียน: ท่าน ละ 25,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) พิเศษ!! รับส่วนลด 10% เหลือเพียงท่านละ 22,500 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstdaacademy.com/sim2016 Call Center: 0 2644 8110 ต่อ 81898 (คุณฉวีวรรณ) email: innovation.training@nstda.or.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – สัมภาษณ์ ดร.สันติ เลิศพลังสันติ
งานวิจัยพาหนะเพื่อปกป้องชีวิตผู้โดยสาร ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีสถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์บนท้องถนนสูงติดอันดับต้นๆ ของโลก งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับปัญหานี้นั่นก็คือ การสร้างห้องผู้โดยสารของยานพาหนะให้มีความแข็งแรงปลอดภัย เพื่อปกป้องชีวิตหรือบรรเทาความรุนแรงให้แก่ผู้โดยสาร สิ่งนี้จึงถือเป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่งของนักวิจัยรุ่นใหม่อย่าง ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หรือ ดร.ตั้ม จากห้องปฏิบัติการยานยนต์ หน่วยวิจัยการออกแบบและวิศวกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช. สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ จึงพาผู้อ่านไปรู้จักกับ ดร.ตั้ม กันค่ะ ถาม : อยากทราบที่มาของการได้เข้ามาทำงานที่ สวทช. ค่ะ ตอบ : ตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ผมได้สอบชิงทุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งทุนจะระบุไว้เลยว่าจะต้องกลับมาทำงานที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ซึ่งเราทราบตั้งแต่ได้รับทุนแล้วว่าเราจะได้ทำงานด้านไหน กลับมาเราจะได้เป็นนักวิจัย ก็ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี ในระดับปริญญาตรี โท เอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล เน้นการออกแบบวิศวกรรม และก็จบกลับมาทำงานตามที่ได้รับทุนไปครับ ถาม : การเรียนที่เยอรมัน เป็นอย่างไรบ้างคะ ตอบ : ตอนไปเรียนที่เยอรมัน ผมต้องไปเรียนภาษาก่อนประมาณหนึ่งปี และต้องไปเรียนเทียบชั้น ม.6 ของที่โน่นอีกหนึ่งปี จึงจะได้เรียนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทควบกันไปเลย ซึ่งผมเลือกเรียนสายวิศวกรรมเครื่องกล ทางมหาวิทยาลัยจะเน้นพื้นฐานในเทอมแรกๆ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่มีผลต่อรูปแบบการทำงานของคนเยอรมันมาก โดยหลักสูตรจะส่งให้นักศึกษาไปฝึกงานที่บริษัทเอกชนหรือโรงงาน เพื่อหัดใช้เครื่องมือพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมก่อน โดยเริ่มตั้งแต่การตะไบ เจีย กลึง เชื่อม ฯลฯ พอเราเริ่มเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยก็จะเข้าใจการใช้เครื่องไม้เครื่องมือแล้ว ก็จะสามารถเข้าใจทฤษฎีได้ง่ายขึ้น พอเรียนปริญญาโทก็ได้ไปฝึกงานที่ภาคอุตสาหกรรม เค้าจะส่งไปฝึกงานในบริษัทเอกชนเป็นเวลาครึ่งปี ผมได้ไปฝึกงานที่บริษัทรถยนต์ Daimler Chrysler AG ในแผนกที่ทำการวิจัยด้านระบบช่วงล่างของรถตู้ของรถ Mercedes-Benz ที่เมืองสตุตการ์ท และอีกครึ่งปีก็ทำวิทยานิพนธ์จนจบหลักสูตรปริญญาโท จากนั้นก็เรียนต่อปริญญาเอกอีกประมาณสี่ปีครึ่งโดยทำวิทยานิพนธ์ภายใต้โจทย์วิจัยของภาคอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนคลัชต์และระบบส่งกำลัง การเรียนในสมัยปริญญาเอกที่เยอรมันก็จะคล้ายๆ กับงานที่ทีมของพวกเราทำอยู่ที่ สวทช. ในปัจจุบันนี้เลย คือ การสร้างความร่วมมือไม่ว่าจะเป็นกับทางภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม ซึ่งโมเดลของทางเยอรมันก็จะเป็นแบบนี้ คือเราอาจจะไม่ได้เน้นทำวิจัยเชิงลึก หรืองานวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) เพียงอย่างเดียว แต่ทำงานในลักษณะประยุกต์ (Application) หรือค่อนข้างจะเป็นปลายน้ำ สามารถจับต้องเอาไปใช้ได้เลย เป็นงานที่มีแนวโน้มจะสามารถออกสู่ตลาดได้ ถาม : งานแรกที่เริ่มต้นที่ MTEC คืออะไรคะ ตอบ : ผมมาเริ่มที่ห้องปฏิบัติการยานยนต์ครับ งานแรกที่ทำคืองานที่ MTEC ดำเนินการอยู่ในช่วงนั้น คือ การออกแบบชิ้นส่วนของระบบเบรครถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ที่เน้นเรื่องการออกแบบให้ได้ความแข็งแรง ปลอดภัย ถูกต้องตามความต้องการของลูกค้า และอีกงานหนึ่งคือการวิเคราะห์ทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการ Re-Design หรือแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่เค้ามีอยู่แล้วให้ดีขึ้น เพื่อตอบโจทย์บางอย่าง เช่น แข็งแรงขึ้น ต้นทุนลดลง น้ำหนักลดลง เราก็ทำการออกแบบใหม่และทำการวิเคราะห์ทดสอบให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ภาคเอกชนต้องการ ถาม : ผลงานที่เราได้ไปร่วมทำกับหน่วยงานอื่นมีอะไรบ้าง ตอบ : เรื่องรถบรรทุกเพื่อเกษตร ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ บริษัท สามมิตรมอเตอร์สแมนูแฟคเจอริง ประเทศไทย ในส่วนของการทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ ก็จะมีการทดสอบคลัชต์แม่เหล็กไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศรถยนต์ ของบริษัท Valeo Compressor (Thailand) Co., Ltd และออกแบบและพัฒนาโครงสร้างห้องโดยสารรถพยาบาลให้มีความแข็งแรง รองรับการเกิดอุบัติเหตุ ลดอัตราการเสียชีวิต หรือความรุนแรงจากการบาดเจ็บของผู้โดยสาร ซึ่งเป็นความร่วมมือกับบริษัท สุพรีม โปรดัคส์ จำกัด นอกเหนือจากนี้ก็จะมีหน่วยงานของภาครัฐก็คือ กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ก็จะมีการทดสอบการใช้งานน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ในรถจักรยานยนต์ ถาม : ประทับใจผลงานไหนบ้างคะ ตอบ : ความจริงแล้วผมก็ประทับใจในทุกผลงานนะครับ เพราะแต่ละงานกว่าจะเกิดขึ้นได้ ก็เหนื่อยกันมาหลายฝ่ายตั้งแต่ทีมวิจัยไปถึงฝ่ายสนับสนุน โดยเฉพาะฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ในส่วนของเนื้องานที่จะทำให้ผมประทับใจก็คือการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ใช้รถยนต์ ด้วยการสร้างความแข็งแรงและความปลอดภัยให้เกิดขึ้นกับยานพาหนะนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นรถพยาบาล รถเพื่อการเกษตร หรือรถจักรยานยนต์ก็ตาม เพราะเราต้องตอบโจทย์ของผู้ใช้ รถเพื่อการเกษตร ต้องการบรรทุกผลผลิตโดยมีต้นทุนการขนส่งต่ำที่สุด ใช้ระยะเวลาสั้นที่สุด และมีความปลอดภัยที่สูงที่สุด ส่วนรถพยาบาลนี่ยิ่งสำคัญ เพราะต้องรักษาชีวิตคนทั้งคนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ ถ้าผลงานของพวกเรามีคนเอาไปใช้จริง สามารถสร้างความปลอดภัยให้การโดยสารรถพยาบาลได้มากขึ้นจริง ก็จะเป็นความภาคภูมิใจของทีมงานครับ ในส่วนของการออกแบบและพัฒนาโครงสร้างห้องโดยสารรถพยาบาลนั้น เป็นงานวิจัยร่วมกับบริษัท สุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ สุพรีม โปรดัคส์ จำกัด ที่ทำงานทางด้าน R&D เองอยู่แล้ว งานที่เราได้ทำร่วมกับบริษัทคือ การออกแบบและวิเคราะห์โดยใช้ Computer Simulation มาช่วยในการออกแบบ ทั้งนี้ ได้ทำการออกแบบตัวโครงสร้างที่ทำจากวัสดุ Composite ซึ่งเป็นวัสดุทางเลือกที่มีน้ำหนักเบากว่าโลหะแต่มีความแข็งแรงไม่แพ้โลหะ เราจะได้โครงสร้างของห้องโดยสารรถพยาบาลที่มีน้ำหนักเบาลง สามารถลดต้นทุนลง สามารถทำห้องโดยสารรถพยาบาลได้หลากหลาย สามารถผลิตใช้กับรถได้หลายประเภท หลายๆ รุ่นตามความต้องการของผู้ใช้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแรงของตัวรถที่จะลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ หรือ Rollover ห้องโดยสารจะต้องยังคงรูปอยู่ ต้องไม่บุบสลายอย่างรุนแรงและไม่มีชิ้นส่วนใดของห้องโดยสารมากระแทกผู้ป่วยหรือผู้โดยสารให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งเราได้วิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล โดยยึดเอามาตรฐาน UNECE R66 ของรถบัสมาใช้ในการอ้างอิงด้านการออกแบบและทดสอบ และดำเนินโครงการเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี 2557 ในปัจจุบันทางบริษัทก็ได้ดำเนินการผลิตตัวรถนี้ขึ้นมาจำหน่ายแล้ว สำหรับผลตอบรับ ก็มีการสั่งซื้อในพื้นที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด และในพื้นที่ทุรกันดาร เป็นการใช้งานแบบติดตั้งบนรถกระบะ เพราะเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่ใช้ มีลูกค้าสั่งซื้อเรื่อยๆ ก็เป็นความภาคภูมิใจของทีมงาน แม้ว่าเรื่องของความทนทานของห้องโดยสารและการลดอัตราการเสียชีวิตได้จริงหรือไม่นั้น ต้องดูระยะยาว แต่เราก็คาดหวังว่าจะช่วยลดตรงจุดนี้ให้ได้ ถาม : โครงการวิจัยที่ทำ ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนได้อย่างไร ตอบ : ต้องให้เครดิตกับทางฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (BD) ที่ช่วยแนะนำเราให้ภาคเอกชนรู้จัก พาเราไปคุยกับลูกค้า อีกทางหนึ่งก็คือภาคเอกชนเอง เค้ารู้จักเราผ่านทางเว็บไซต์ หรือเห็นในทีวีว่าเรามีผลงานวิจัยต่างๆ ก็โทรเข้ามาติดต่อเพื่อจะทำโครงการร่วมกัน แต่กว่าจะได้ทำเป็นโครงการจริงๆ นั้นไม่ง่ายเลย แรกๆ นั้นการเจรจาประสบความล้มเหลวเสียส่วนใหญ่ ผมทำงานมาเกือบ 6 ปีเต็มแล้ว ได้ไปรับโจทย์พูดคุยกับลูกค้าหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เขียนข้อเสนอโครงการมาไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง เจรจาสำเร็จได้ทำงานเป็นโครงการวิจัยไม่กี่โครงการเท่านั้นเอง หลังๆ มาเครื่องเริ่มติดแล้ว ขึ้นโครงการใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น ต้องเรียนรู้และใช้ประสบการณ์พอสมควรที่จะสร้างงานหรือเริ่มโครงการขึ้นมา ต้องขอบคุณฝ่ายพัฒนาธุรกิจด้วย ถาม : ดร.ตั้ม มีแรงบันดาลใจในการทำงานจากอะไร ตอบ : สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอยากทำงานทุกๆ วัน มันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในความคิดผมก็คือ คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนทุกประเภท ทั้งนี้ เริ่มต้นจากที่ผมศึกษาอยู่ทั้งรถพยาบาล รถเพื่อการเกษตร หรือรถโดยสารสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถตู้และรถบัสก็ตาม สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจก็คือ ถ้าเราได้สร้างสิ่งที่ดี ได้สร้างความปลอดภัย ก้าวกระโดดไปถึงคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้โดยสารด้วยยานพาหนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถอะไรก็ตาม โดยไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง หรืองานวิจัยเชิงลึกเสมอไป แต่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ จับต้องได้จริง ช่วยสร้างความปลอดภัยให้แก่ชีวิตคนที่โดยสารยานพาหนะต่างๆ ได้จริง ก็ยินดีที่จะเข้าไปทำเสมอ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ ถาม : ในการทำงาน พบปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง และแก้ปัญหาอย่างไร ตอบ : ปัญหาและอุปสรรคมีอยู่บ้างพอสมควรครับ ตอนกลับมาใหม่ๆ ก็ยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ ห้องปฏิบัติการยานยนต์รุ่นบุกเบิกก็เหมือนต้องค่อยๆ หาซื้อของที่ต้องใช้งานกันมาเอง งบประมาณในการจัดซื้อก็ค่อนข้างหายาก อุปกรณ์วัดระยะหรือเซ็นเซอร์ก็มีราคาแพงต้องสร้างขึ้นมาเอง หรือต้องขอยืมใช้งานจากแล็บอื่นๆ บ้าง ซึ่งเป็นปัญหาในช่วงแรกๆ ในช่วงนี้ก็ดีขึ้นแล้ว เพราะหลังๆ มา ทีมวิจัยเริ่มพอจะสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนได้มากขึ้น จนสามารถดึงให้ทางภาคเอกชน เป็นผู้ลงทุนในเรื่องอุปกรณ์ต่างๆ เอง อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งตอนที่เรียนจบมาใหม่ๆ เลยก็คือเรื่องของความน่าเชื่อถือ เรายังไม่มีความน่าเชื่อถือ เวลาออกไปพบลูกค้ารู้เลยว่าผิดหวังแน่นอน แต่ก็ออกไปพบเพื่อทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ผมคิดเสมอว่าการได้ออกไปเจอโลกภายนอก โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ที่เงินทุกบาททุกสตางค์ของเขามีค่านั้น ทำให้เราเรียนรู้มากๆ เลย เทคนิคในการแก้ปัญหาความเชื่อมั่นของลูกค้าคือ การเตรียมตัวให้ดีก่อนไปพบ ในตอนเสนอราคาค่าตัวนักวิจัย ก็คิดให้ถูกหน่อย เพื่อสร้างโอกาสให้เราได้งาน พอเขากล้าที่จะจ้างเราแล้ว เราก็ต้องทุ่มเทเยอะๆ ไม่ไปจมกับความคิดว่างานนี้ขาดทุนหรือคิดค่าตัวถูกไป เพราะถ้างานสำเร็จแล้ว เราส่งมอบงานได้ตรงเวลา ความเชื่อมั่นจากลูกค้าก็จะเกิดขึ้นเอง จากนี้เวลาพวกเราไปพบลูกค้าเจ้าใหม่ เอางานเก่าๆ ไปเล่าให้ฟังก็จะน่าเชื่อถือมากขึ้น โอกาสได้งานก็จะมากขึ้นเอง จากความตั้งใจในการทำหน้าที่ของนักวิจัยที่ดี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย เชื่อว่าผลงานที่ปรากฏจะเป็นกำลังใจอย่างดีให้กับ ดร.ตั้มและทีมงาน เพื่อเป็นพลังในการสร้างสรรค์งานที่ดีต่อไปในอนาคต
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – บทความ ไบโอเทคพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนม
ไบโอเทคพัฒนาเทคโนโลยี
เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนม
การเลี้ยงโคนมในประเทศไทยได้รับการส่งเสริม และสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง แต่ปริมาณน้ำนมที่ผลิตได้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการสำหรับการบริโภคในประเทศ จึงจำเป็นต้องนำเข้านมผงและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ แนวทางที่สามารถลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมได้คือ การเพิ่มสัดส่วนการเกิดของลูกโคนมเพศเมีย ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าลูกโคเพศผู้ เพราะถ้าหากสามารถผลิตลูกโคนมเพศเมียที่มีศักยภาพสูงก็จะยิ่งสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำนมดิบได้มากขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรลดลง ส่งผลให้สามารถลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตามในบางกรณีก็มีความต้องการคัดเลือกเฉพาะตัวอ่อนเพศผู้ด้วย เช่น ในอุตสาหกรรมโคเนื้อ หรือในการผลิตพ่อพันธุ์ที่มีคุณสมบัติเป็นที่ต้องการของตลาดด้วยเช่นกัน
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้นำเอาเทคโนโลยีชีวภาพมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงโคนม ซึ่งจะทำให้การขยายพันธุ์โคนมพันธุ์ดีทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนา “น้ำยาและวิธีการตรวจวัดปริมาณโปรเจสเตอโรนในน้ำนมของโค” โดยวิธีที่พัฒนาขึ้น เรียกว่า คอมเพททิทีฟ อิไลซ่า (competitive enzyme-linked immunosorbent assay) โดยเป็นการตรวจหาระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในตัวอย่างน้ำนมด้วยโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่มีความจำเพาะเจาะจงสูงต่อโปรเจสเตอโรน ซึ่งด้วยวิธีการตรวจนี้จะทำให้ทราบถึงวงรอบการเป็นสัดของโค ทำให้สามารถนำข้อมูลนี้มาใช้วางแผนในการผสมเทียม รวมทั้งสามารถนำไปใช้ตรวจการตั้งท้องของแม่โคหลังการผสมเทียมได้อีกด้วย
สำหรับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็นฮอร์โมนที่พบได้ทั้งในเลือดและน้ำนมของสัตว์โตเต็มวัยที่มีวงรอบการเป็นสัดปกติ ในกรณีของโคซึ่งมีวงรอบของการเป็นสัดอยู่ที่ประมาณ 19-24 วัน ช่วงที่โคมีอาการเป็นสัด มีการตกไข่ และพร้อมที่จะผสมพันธุ์ ปริมาณฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในกระแสเลือดและในน้ำนมจะอยู่ในระดับต่ำมาก แต่หลังจากที่โคมีการตกไข่ ปริมาณโปรเจสเตอโรนจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นและมีปริมาณสูงสุดในช่วงวันที่ 10-16 ของวงรอบการเป็นสัด ถ้าโคไม่ได้รับการผสมพันธุ์หรือผสมพันธุ์แต่ไม่ตั้งท้อง ระดับของโปรเจสเตอโรนจะลดลงในช่วง 2-3 วันก่อนวงรอบการเป็นสัดในคราวต่อไป แต่ถ้าหากโคมีการตั้งท้องหลังจากการผสมพันธุ์ ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะมีค่าสูงตลอดระยะเวลาของการตั้งท้อง
วิธีการตรวจวัดปริมาณโปรเจสเตอโรนในน้ำนมของโค มีความแม่นยำ รวดเร็ว และมีความไวไม่แตกต่างจากชุดตรวจที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ แต่มีราคาถูกกว่ามาก รวมถึงไม่ต้องใช้ผู้ชำนาญในการปฏิบัติการ ด้วยวิธีนี้ทำให้สามารถแยกแม่โคในกลุ่มที่ตั้งท้องและไม่ตั้งท้องได้ในช่วงวันที่ 21 - 24 หลังการผสมเทียมอย่างชัดเจน โดยให้ผลสอดคล้องกับการตรวจการตั้งท้องด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์
สำหรับวิธีการผสมเทียม หรือ การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (in vitro fertilization, IVF) นั้น ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะเริ่มแบ่งเซลล์จนเป็นตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสที่เหมาะสำหรับการย้ายฝากให้แม่โคตัวรับ ดังนั้นการทราบเพศของตัวอ่อนก่อนการย้ายฝากจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ ชุดตรวจ “SexEasy” หรือชุดตรวจเพศตัวอ่อนของโคนมแบบมัลติเพลกซ์ ที่ไบโอเทคพัฒนาขึ้น โดยชุดตรวจนี้มีจุดเด่น คือ เป็นชุดตรวจที่ใช้ง่าย ได้ผลแม่นยำและรู้ผลรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงแค่ 90 นาที สามารถทราบผลการตรวจเพศตัวอ่อนด้วยการอ่านผลโดยการดูจากสีของตะกอนดีเอ็นเอ ซึ่งวิธีการนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดหลอด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนจากเชื้อโรคภายนอก และยังเป็นเครื่องมือที่มีขนาดเล็ก ราคาไม่แพง พกพาสะดวก ชุดตรวจนี้ได้รับสิทธิบัตรแล้ว และพร้อมถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจนำไปผลิตใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ต่อไป
หลังจากที่เลือกเพศตัวอ่อนได้แล้วก็จะต้องมีการแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาตัวอ่อนไว้สำหรับรอการย้ายฝาก โดยวิธีที่นิยมใช้คือ การแช่แข็งแบบลดอุณหภูมิเร็ว (vitrification) แบบ Cryotop ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับว่ามีอัตรารอดหลังการทำละลายสูงสุดวิธีการหนึ่ง แต่ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีราคาสูง
ไบโอเทค ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พัฒนา “การแช่แข็งตัวอ่อนด้วยวิธี in-straw vitrification” ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่าย และมีราคาไม่แพง ควบคู่ไปกับการศึกษาผลของน้ำยาแช่แข็งตัวอ่อน ซึ่งพบว่าวิธีการแช่แข็งดังกล่าว มีค่าอัตราการเจริญเติบโตของตัวอ่อนดีเทียบเท่ากับวิธี Cryotop สะดวกในการขนส่ง ที่สำคัญวิธีการนี้ทำให้การย้ายฝากตัวอ่อนในสภาพฟาร์มสามารถทำได้สะดวกขึ้นด้วยเจ้าหน้าที่เพียงแค่คนเดียว ซึ่งวิธีการนี้ได้รับการจดอนุสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว และพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ที่สนใจต่อไป
ดังนั้น เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนมที่นำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันนี้จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการผลิตโคนมเป็นอย่างมาก ซึ่งหากมีการส่งเสริมให้มีการใช้กันอย่างกว้างขวางมากขึ้น จะทำให้ระดับพันธุกรรมของโคนมในประเทศพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเป็นอาชีพหลักซึ่งถือเป็นอาชีพพระราชทาน ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และทำให้เศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้น และอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทยมีความมั่นคงถาวรสืบไป
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ
จดหมายข่าว สวทช. ฉบับที่ 11 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2559
ข่าว
ก.วิทย์ฯ ประกาศผลสำรวจ 10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558
นักวิจัย มอ. ค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบของยาจากรา คว้าทุนวิจัย...ประจำปี 2558
ITAP: ปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ประกาศผลสำเร็จ SMEs ไทยเชิงรุก ปี 2559
โครงการ “มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย” ประจำปี 2559
สวทช. จับมือ สกว. สนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มอาหาร...มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สามารถขายได้จริง
เฟ้นหาสุดยอดไอเดียเยาวชนไทยส่งไปทดลองในอวกาศ
บทความ
10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558
ปฏิทินกิจกรรม
ประชุมวิชาการประจำปี 2559 25 ปี สวทช.
เอ็มเทค เชิญสัมมนา เรื่อง ไฟไนต์เอลิเมนต์ในงานวิศวกรรม
เอ็มเทค เชิญเข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทรโบโลยี
บทสัมภาษณ์
ผู้ริเริ่มพัฒนาเทคนิค LAMP ในไทย... : วรรณสิกา เกียรติปฐมชัย
Download เอกสารฉบับเต็ม [7.22 MB]
NSTDA Newsletter ฉบับที่ 11 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2559 from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
จดหมายข่าว สวทช.
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – สัมภาษณ์
ผู้ริเริ่มพัฒนาเทคนิค LAMP ในไทย
เพื่อตรวจหาเชื้อโรคในกุ้ง และนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจหาเชื้อโรค
ใน ปลา อาหาร เชื้อวัณโรค เชื้อมาลาเรีย จนได้รับรางวัลมากมาย
วรรณสิกา เกียรติปฐมชัย
นักวิจัย หน่วยวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยทางชีวภาพ (STU)
ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด (SBST)
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC)
งานวิจัย เป็นงานที่ต้องอาศัยเวลา ความอดทน และความเอาใจใส่ ในการคิดค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้งานวิจัยนั้นตอบโจทย์ที่ต้องการได้ ดังงานวิจัยการพัฒนาวิธีการตรวจเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ในกุ้ง เพื่อจะได้หาทางป้องกันได้ทันการณ์ ซึ่งคุณวรรณสิกา (ตูน) เกียรติปฐมชัย นักวิจัยจากหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) สวทช. ได้ริเริ่มพัฒนาเทคนิค LAMP ซึ่งเป็นวิธีการใหม่ ที่นำมาใช้ในการตรวจหาเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ในกุ้ง ทำให้ทราบผลได้เร็วที่ต่างจากวิธีเดิม และยังได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อการตรวจหาเชื้อไวรัสในกุ้งแบบพกพา ร่วมกับทางศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ทำให้การตรวจหาไวรัสในกุ้งมีประสิทธิภาพและสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถนำไปใช้ในภาคสนามได้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่าวิธีการเดิมด้วย นอกจากนี้เทคนิค LAMP ที่ได้พัฒนาขึ้นนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจหาเชื้อโรคในปลา อาหาร เชื้อวัณโรค เชื้อมาลาเรีย ได้อีกด้วย จากผลงานวิจัยและพัฒนานี้ ทำให้ได้รับรางวัลมากมายทั้งในและต่างประเทศ
สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ จึงขอนำผู้อ่านไปพูดคุยกับนักวิจัยสาวสวยคนเก่งของเรากันค่ะ
ถาม : คุณวรรณสิกา เข้ามาทำงานที่ สวทช. ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
ตอบ : เริ่มต้นจากตอนนั้นตูนจบการศึกษาในระดับปริญญาโท จากภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์วิชัย บุญแสง ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ได้รับงานโปรเจ็กต์จาก BIOTEC ประจวบเหมาะกับที่เรากำลังเรียนจบพอดี อาจารย์วิชัยได้รับทุนเป็นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง จึงแนะนำให้ตูนมาสมัครงานที่ BIOTEC ในปี พ.ศ. 2539 และก็ผ่านการคัดเลือกเข้าทำงานในวันนั้นเลยค่ะ โดยเข้ามาทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยที่ BIOTEC ที่หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง ซึ่งอยู่ที่ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และอยู่ที่นี่มาโดยตลอด งานหลักคือการวิจัยและพัฒนาเทคนิคการตรวจโรคกุ้งค่ะ
ตอนที่เรียนชีวเคมีอยู่นั้นจะเน้นทางด้าน Molecular Biology ตอนนั้น BIOTEC ยังไม่ได้รวมเป็น สวทช. ซึ่งรู้สึกว่าศูนย์นี้ตรงกับเรามากที่สุดแล้ว ตื่นเต้นที่จะได้ทำงานกับองค์กรวิจัยระดับชาติ และจะได้ทำวิจัยในสิ่งที่เราชอบ งานวิจัยเป็นงานที่อิสระ และได้ทำการทดลองจริงๆ เวลาทำงานวิจัยแล้วสนุกเพราะได้เห็นผลการทดลองทุกวัน ได้มีจินตนาการ เวลาผลวิจัยออกมาตามเป้าหมายก็จะรู้สึกดีใจ สนุก มีความสุข รู้สึกว่าเราได้ทำงานประสบความสำเร็จทุกวัน แต่ก็ไม่ทุกครั้งไปนะคะ บางทีงานไม่ออกเราก็ลองคิดหาวิธีใหม่ได้ มีทางเลือกอีกหลายทางให้เราทดลองอยู่เสมอ
ถาม : ช่วยเล่าถึงผลงานที่ประทับใจหน่อยค่ะ
ตอบ : ผลงานที่ผ่านมานั้น ตูนประทับใจทุกๆ งาน เพราะเราสามารถทำให้เกิดทั้ง International Publication
โดยมีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิขาการนานาชาติ จำนวนกว่า 35 เรื่อง สิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร 15 เรื่อง มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาครัฐและเอกชน และการได้รับทุนวิจัยจากภายนอก รวมทั้งรางวัลผลงานวิจัย ในทุกๆ ชิ้นงาน
งานแรกเป็นการพัฒนาวิธีการตรวจพาหะของโรคกุ้ง โรคไวรัสทอร่า เป็นโรคที่ฮิตมากในกุ้งตอนนั้น ตูนพัฒนาวิธีตรวจและเก็บตัวอย่างแบบง่ายและนำไปศึกษาหาพาหะของโรคนี้ในสิ่งแวดล้อมบริเวณฟาร์มเลี้ยงกุ้งทั้งแมลงและปูตัวเล็กๆ ซึ่งพบว่าสัตว์ตัวเล็กเหล่านี้ เป็นพาหะของไวรัส จึงนำไปสู่ข้อมูลและเทคนิคตรวจโรคเพื่อการป้องกันการระบาดของโรคทอร่า
วิธีตรวจที่พัฒนาขึ้นนี้ทำให้ตูนได้รับรางวัลสตรีในงานวิทยาศาสตร์ ลอรีอัล เป็นรางวัลแรกของชีวิตเลย ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีดีกรีระดับปริญญาเอก ทำให้รู้สึกว่าเขาเห็นความสำคัญของผลงานของเรา ก็เลยอยากจะทำงานวิจัยต่อ จึงหาวิธีสร้างเครื่องมือที่ตรวจโรคกุ้งได้ในราคาที่ถูกลง ตอนนั้นเครื่องตรวจ PCR เป็นเครื่องมือที่มีราคาแพงมาก ที่ถูกที่สุดก็ประมาณสามแสนบาท เราจึงคิดอยากสร้างเครื่องที่ไม่ต้องใช้เครื่อง PCR แต่มีราคาถูกและใช้เวลาตรวจน้อยลง จากเดิมทำในเวลา 3 - 4 ชม. จึงไปค้นหา Paper ได้พบเทคนิค LAMP ที่พัฒนาจากญี่ปุ่น ก็นำมาพัฒนาจนได้ชุดตรวจโรคกุ้งของตนเอง แต่ว่าจากเดิมที่เทคนิค LAMP ใช้วิธีตรวจผลผลิตที่ต้องใช้เทคนิค Gel Electrophoresis ที่ต้องใช้เวลาเพิ่มอีก 1 ชม. ตูนก็หาวิธีอื่นมาช่วยในการตรวจสอบผลผลิต LAMP นั่นก็คือ Lateral flow dip stick คือใช้แผ่นกระดาษจุ่มแล้วอ่านผล ทำให้ลดเวลาการตรวจทั้งหมดลง คือเตรียมตัวอย่าง 10 นาที ทำปฏิกิริยา LAMP 30 นาที แล้วต่อด้วยการอ่านผลบนแผ่น Strip อีก 10 นาที สรุปก็คือใช้เวลาเพียงแค่ 50-60 นาที เราก็จะสามารถบอกได้ว่ากุ้งของเรานี้ติดเชื้อไวรัสทอร่าหรือไวรัสตัวแดงดวงขาว หรือไวรัสอื่นๆ หรือไม่ จากผลงานนี้ทำให้ตูนได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเยี่ยมจากสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในสาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา เป็นงานที่สองที่ได้รับรางวัล ซึ่งเป็นรางวัลดีเยี่ยมด้วยในสาขานี้ ก็นึกดีใจว่า มีคนเห็นความสำคัญของงานเรา ก็เลยมีแรงที่จะทำงานต่อไป
ผลงานต่อยอดชิ้นต่อมาก็คือ การพัฒนาเครื่องมือตรวจหาเชื้อไวรัสในกุ้งแบบพกพา เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายชอบใช้เครื่องมือ แต่เราประดิษฐ์ไม่ได้ เลยไปปรึกษากับนักวิจัยที่ NECTEC ว่าทำเครื่องมือแบบนี้ได้ไหม ก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีค่ะ ช่วยกันทำเครื่องวัดความขุ่นเพื่อตรวจโรคกุ้งขึ้นมา และสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนได้ ตูนก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิมคือ ทำ Paper จดสิทธิบัตรด้วย มีรายได้จากการถ่ายทอดให้เอกชนด้วย และทาง NECTEC ก็ส่งผลงานนี้เข้าร่วมประกวด ก็ได้รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นระดับดีจาก วช. หลายคนอาจมองว่าตูนล่ารางวัลหรือเปล่า แต่ความเป็นจริงคือพอถึงเวลาที่เค้าเปิดรับสมัครผลงานวิจัย ก็จะมีคนมาถามว่ามีผลงานอะไรจะส่งไหม ในเมื่อเรามี เราก็ส่งไป โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับรางวัล
ผลงานชิ้นถัดมาที่ต้องพูดถึงคือ ความร่วมมือกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) ไปทำเรื่องวัณโรค ตูนก็นำเอา Platform ของเทคโนโลยีที่พัฒนาจากการทำชุดตรวจโรคกุ้ง มาทำชุดตรวจวัณโรค โดยนำตัวอย่างเชื้อจาก มศว. มาทดลอง และใช้เทคโนโลยีของเราในการตรวจ ผลงานชิ้นนี้ก็ได้รับรางวัลอีกเช่นเดียวกัน คือได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเยี่ยมสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์จาก วช. อ้าว!!...ได้รางวัลอีกแล้ว (หัวเราะ) ขณะนี้ชุดตรวจวัณโรคกำลังอยู่ในขั้นทดลองใช้ที่สำนักวัณโรค เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของชุดตรวจ และจะได้นำมาใช้งานในวงการแพทย์ต่อไป
และสุดท้ายเมื่อสองปีที่แล้ว ตูนก็ได้รับรางวัลทะกุจิ ประเภทนักวิจัยดีเด่นซึ่งเป็นความฝันของตูนเลยนะจากที่ไม่ค่อยฝันอะไรเท่าไหร่ รางวัลนี้จะมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่มีคุณธรรมและอุทิศตนเพื่องานวิชาการทางเทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยอย่างจริงจังและต่อเนื่องเป็นระยะเวลาพอสมควร มีผลงานวิจัยดีเด่นในสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติอยู่บนพื้นฐานของคุณภาพ ศักยภาพ และประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งตูนก็ไม่ได้คิดว่าเราเก่งและมีคุณสมบัติครบถ้วนหรอกนะ แต่ด้วยความที่เรามีการสะสมผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันมาอย่างต่อเนื่อง มีผลงานที่ได้รับการยอมรับ ก็น่าจะได้รับการพิจารณาจากรางวัลนี้ ซึ่งนักวิจัยหลายๆ ท่านที่ตูนนับถือก็ได้รับรางวัลนี้ให้เราได้ชื่นชมแล้วหลายท่าน พอทาง BIOTEC สอบถามมาว่าจะส่งผลงานเข้ารับรางวัลทะกุจิไหม ตูนก็ไม่ลังเลที่จะทำค่ะ และก็ภูมิใจที่สุดเลยที่ได้รับรางวัลนี้
ตูนทำงานมา 18 ปี ก็ได้รับรางวัลมาประมาณ 10 รางวัล มีการส่งผลงานไปประกวดที่ประเทศเกาหลี คือผลงานเรื่องเครื่องตรวจวัดอฟลาทอกซินที่ร่วมมือกับ NECTEC ชุดตรวจเชื้อวัณโรคด้วยเทคนิคไบโอเซนเซอร์ที่ร่วมงานกับ มศว. ก็ได้รับรางวัลเหรียญทองอีกเช่นกัน รางวัลที่ได้เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความสาามรถของเราอย่างเดียว แต่เกิดจากการทำงานร่วมกันของทีมงานของเราที่หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง และการร่วมทำวิจัยกับหน่วยงานวิจัยอื่นๆ ด้วย ที่จริงรางวัลเหล่านี้ถือว่าเป็นส่วนเสริม แต่ถ้าได้ มันก็แสดงว่ามีคนเห็นคุณค่าในงานของเรา กรรมการจึงให้รางวัลเราเพื่อเป็นกำลังใจให้เราตั้งใจทำงานต่อไป สิ่งที่อยากทำนั้นก็เพราะอยากเห็นว่าเราจะทำมันได้ไหม และสิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดคือ งานวิจัยของเรามีคนนำไปใช้ และเราช่วยทำให้งานของเขาสำเร็จ โดยที่ผู้นำงานวิจัยเราไปใช้ไม่จำเป็นต้องเรียนจบมาสูงหรือเรียนจบมาตรงกับสายวิทยาศาสตร์ เป็นเกษตรกรหรือผู้ประกอบการทั่วๆ ไปก็สามารถใช้เครื่องมือชุดตรวจของเราได้ อยากเห็นผลงานของเราใช้ได้จริง มีประโยชน์จริง และมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจริงๆ
นอกจากนี้ งานวิจัยนี้ยังสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดใช้เป็นชุดตรวจหาเชื้อโรคอื่นๆ ได้ด้วย เช่น ชุดตรวจโรคในปลา ชุดตรวจเชื้อวัณโรค เชื้อมาลาเรีย ตลอดจนเชื้อก่อโรคในอาหารด้วยค่ะ
ถาม : มีเคล็ดลับในการดูแลตัวเองอย่างไรคะ
ตอบ : สำหรับการดูแลตัวเองนั้นไม่ค่อยดูแลอะไรมากนัก แค่ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใสตลอดเวลา มีเวลาก็ออกไปช้อปปิ้ง ซื้อเครื่องสำอาง ซื้อเสื้อผ้า เพราะเป็นคนชอบแต่งหน้าแต่งตัว อีกอย่างวันไหนว่างๆ ก็ชวนน้องๆ ในห้องแล็บไปหาอะไรทานกัน อยู่กับเด็กๆ ก็จะทำให้ตูนเด็กลงไปด้วยค่ะ (หัวเราะ) เป็นการปลดปล่อยความเครียดได้ เคล็ดไม่ลับอีกอย่างก็คือ ทานอาหารเช้า-กลางวันให้อิ่มและสนุกสนาน จะได้ไม่ต้องทานมื้อเย็นค่ะ
การพัฒนาเทคนิค LAMP และเครื่องมือวัดความขุ่นเพื่อการตรวจหาเชื้อไวรัสในกุ้ง
LAMP หรือ Loop mediated DNA amplification เป็นเทคนิคที่สามารถเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอ โดยอาศัยการทำงานของ เอ็นไซม์ Bst DNA polymerase ที่อุณหภูมิคงที่เพียงอุณหภูมิเดียวในช่วง 60 ถึง 65 องศาเซลเซียส และใช้ primer ที่ออกแบบอย่างจำเพาะต่อ target sequence ถึง 4 ตัว ซึ่งประกอบด้วย 6 ตำแหน่งของ target sequence นั้น ทำให้วิธีนี้เป็นวิธีที่จำเพาะอย่างยิ่ง วิธีนี้จะใช้เวลาในการทำปฏิกิริยาสั้นมาก ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ความขุ่น (turbidity) ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการจับกันของ pyrophosphate ions กับ magnesium ions เกิดเป็นตะกอน magnesium pyrophosphate สีขาวขึ้นในสารละลาย เป็นข้อได้เปรียบของปฏิกิริยา LAMP กล่าวคือ ความขุ่นที่เกิดขึ้นเป็นตัวชี้ให้เห็นว่ามีการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอในหลอดทดลอง
งานวิจัยนี้นอกจากจะทำการวิจัยและพัฒนาเทคนิค LAMP เพื่อใช้การตรวจวินิจฉัยไวรัสที่สำคัญในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในประเทศไทยแล้ว ยังจะทำการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือตรวจวัดแบบง่าย ซึ่งจะมุ่งเน้นให้มีราคาถูก และสามารถพกพาได้สะดวก โดยเครื่องมือชุดนี้ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ คือ ส่วนควบคุมอุณหภูมิสำหรับทำปฏิกิริยา LAMP และส่วนตรวจวัดความขุ่นของสารละลาย ตลอดจนส่วนรายงานผลบนจอภาพ LCD ขนาดพกพา
https://www.researchgate.net/publication/39031884_karphathnathekhnikh_LAMP_laeakheruxngmuxwadkhwamkhunpheuxkartrwchacheuxwirasnikung_NECTEC
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – ปฏิทินกิจกรรม
ประชุมวิชาการประจำปี 2559 25 ปี สวทช. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมประชุมวิชาการประจำปี 2559 25 ปี สวทช. : วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่ออนาคตเศรษฐกิจและสังคมไทย (25 Years of NSTDA : Science and Technology for Thailand Economy and Social) ในวันที่ 30 มีนาคม - 2 เมษายน 2559 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี พบกับการประชุมวิชาการ นิทรรศการ เปิดบ้าน สวทช. และมหกรรมรับสมัครงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เจาะประเด็นวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างโอกาสและความพร้อมของไทย สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 564 7000 ต่อ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เอ็มเทค เชิญสัมมนา เรื่อง ไฟไนต์เอลิเมนต์ในงานวิศวกรรม สำหรับวิเคราะห์ทางด้านไทรโบโลยี เอ็มเทค เชิญผู้สนใจร่วมสัมมนาเรื่อง ไฟไนต์เอลิเมนต์ในงานวิศวกรรม สำหรับวิเคราะห์ทางด้านไทรโบโลยี (Finite Element Method in Engineering for Tribology) วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ณ ห้อง CC-301 ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (CC) จ.ปทุมธานี การใช้ระเบียบวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์ในงานวิศวกรรมนั้นได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มของงานทางด้านไทรโบโลยี (แรงเสียดทาน การสึกหรอและการหล่อลื่น) เพื่อที่จะศึกษาเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์กันที่ซับซ้อนระหว่างพื้นผิวในด้านการสัมผัส การถ่ายเทความร้อน การไหล และโครงสร้างของวัสดุ เนื่องจากการนำความสามารถในการจำลองปรากฏการณ์ต่างๆ ของระเบียบวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์มาประยุกต์ใช้กับความรู้ทางด้านไทรโบโลยีจะช่วยทำให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น และยังสามารถทำให้ช่วยคาดคะเนการสึกหรอที่อาจจะเกิดขึ้นได้ การอบรมครั้งนี้เป็นการอบรมในหลักสูตรอยู่ในรูปแบบการบรรยาย และใช้คอมพิวเตอร์สำหรับอบรม โดยวิทยากร นายเสฏฐวรรธ สุจริตภวัตสกุล นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และคณะทำงานสมาคมการสึกหรอและการหล่อลื่นไทย (TTA) ค่าลงทะเบียนท่านละ 3,000 บาท ท่านใดสนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาได้ที่ www.mtec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่งานพัฒนากำลังคนด้านวัสดุศาสตร์ (คุณบุญรักษ์ กาญจนวรวณิชย์) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทร. 0 2564 6500 ต่อ 4675 โทรสาร 0 2564 6505 E-mail : boonrkk@mtec. เอ็มเทค เชิญเข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทรโบโลยีในกระบวนการผลิตครั้งที่ 7 (ICTMP2016) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ สมาคมการสึกหรอและการหล่อลื่นไทย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ The International Research Group of Tribology in Manufacturing (IRGTM) ประเทศเยอรมนี จัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทรโบโลยีในกระบวนการผลิตครั้งที่ 7 (7th International Conference on Tribology in Manufacturing Process, ICTMP2016) เพื่อเป็นเวทีสำหรับนักวิทยาศาสตร์ และวิศวกรจากหน่วยงานวิจัย สถาบันการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม ด้านไทรโบโลยีได้มีโอกาสนำเสนอผลงานวิจัยใหม่ และแลกเปลี่ยนความรู้ ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2559 ณ โรงแรมเมอเวนพิค รีสอร์ต แอนด์ สปา กะรนบีช จ.ภูเก็ต การประชุมวิชาการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมให้มีความรู้ ความเข้าใจ และทราบถึงความก้าวหน้าของศาสตร์ด้านไทรโบโลยี จนนำสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในงานที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรืออีกนัยหนึ่งคือ สามารถยืดอายุการใช้งานเครื่องจักรโดยการลดอัตราการสึกหรอ เพราะสามารถพิจารณาเลือกชนิดวัสดุ และชนิดสารหล่อลื่นที่มีสมบัติเหมาะสมต่อการใช้งาน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้องค์กรสามารถประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการซ่อมบำรุงเครื่องจักร ค่าไฟฟ้า ค่าวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ รวมถึงสามารถใช้งานสารหล่อลื่นได้เต็มประสิทธิภาพ ขอบข่ายการนำเสนอผลงานวิจัย 5 สาขา ดังนี้ 1. ไทรโบโลยีในกระบวนการผลิต (Tribology in joining processes) 2. ไทรโบโลยีในกระบวนการตัดและตกแต่ง (Tribology in cutting and finishing processes) 3. ไทรโบโลยีในกระบวนการเชื่อม (Tribology in joining processes) 4. ฟังก์ชันแนลเซอร์เฟส (Functional surfaces) 5. แอดวานซ์ไทรโบโลยี (นาโน/ไบโอ) (Advanced (nano/bio) tribology) ผู้สนใจสามารถลงทะเบียน (มีค่าลงทะเบียน) ได้ที่ http://www.ictmp2016.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานพัฒนากำลังคนด้านวัสดุศาสตร์ (คุณบุญรักษ์ กาญจนวรวณิชย์) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทร. 025646500 ต่อ 4675 โทรสาร 0 2564 6505 E-mail : boonrkk@mtec.or.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – บทความ 10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558
10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558
สวทช. ส่งเสริมการรับรู้ข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประชาชน เปิดให้คนไทย
ลงคะแนนจัดอันดับ 10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558
โครงการจัดอันดับ 10 ข่าวดังประจำปีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกิจกรรมที่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป มีความตื่นตัวในการรับรู้ข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ถือว่าเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินชีวิต และนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ได้ดำเนินโครงการมาเป็นปีที่ 22 แล้ว
สำหรับการสำรวจและจัดอันดับ 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งนี้ ได้รวบรวมข่าวด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2557 - 15 พฤศจิกายน 2558 ที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ซึ่งข่าวที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้นมีจำนวนทั้งสิ้น 21 ข่าว แบ่งเป็นข่าวในประเทศ 16 ข่าว และต่างประเทศ 5 ข่าว โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รวม 15 หน่วยงาน และสื่อมวลชนสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ร่วมกันพิจารณาข่าวในหลากหลายแง่มุมในประเด็นข่าวที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง จากนั้นเปิดให้ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ต่างจังหวัด ร่วมลงคะแนนจัดอันดับ 10 ข่าวดังดังกล่าว ผ่านทางระบบออนไลน์ และแบบสอบถาม โดยมีผู้ร่วมโหวตลงคะแนนจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1,550 คน
ผลการสำรวจ 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558 ประกอบด้วยข่าวดังต่อไปนี้
อันดับ 10 ข่าว ซุปเปอร์มูนและจันทรุปราคา 2 ปรากฏการณ์ใน 1 วัน
ตอนค่ำของวันที่ 28 กันยายน 2558 คนไทยได้เฮเมื่อเกิดปรากฏการณ์ซุปเปอร์มูน ที่ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปีที่ระยะห่าง 356,896 กิโลเมตร สามารถมองเห็นดวงจันทร์สว่างและมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ประมาณ 2-3 % สำหรับผู้ที่พลาดโอกาสในการชมในปีนี้ คงต้องรอปรากฏการณ์เช่นนี้ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2576 โดยในช่วงเช้าของวันที่ 28 กันยายนนั้น ได้เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงขึ้น แต่ประเทศไทยไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากตรงกับเวลากลางวัน แต่จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนในแถบอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ มหาสมุทรแอตแลนติก ยุโรป แอฟริกา และด้านตะวันตกของเอเชีย
อันดับที่ 9 ข่าว นาซาพบ! น้ำไหลบนดาวอังคาร
ในวันที่ 28 กันยายน 2558 นอกเหนือจากการเกิดปรากฏการณ์ซุปเปอร์มูนและจันทรุปราคาเต็มดวงแล้ว ยังถือว่าเป็นวันที่นาซาได้ประกาศการค้นพบร่องรอยการไหลของน้ำบนดาวอังคาร ซึ่งถือเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์โลก โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าร่องรอยสีดำที่เกิดขึ้นเป็นพวกแร่ธาตุและผลึกเกลือที่ละลายอยู่กับน้ำ
อันดับที่ 8 ข่าว นาซาเฮ! ยานสำรวจพิชิตดาวพลูโต
ด้วยระยะทางจากโลกไปยังดาวพลูโตที่โคจรอยู่ขอบสุดในระบบสุริยะจักรวาลไกลมากถึง 3 พันล้านไมล์ แต่ในที่สุดยานสำรวจ “นิวฮอไรซันส์” ที่ถูกส่งไปในอวกาศเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2549 เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญในการสำรวจดาวพลูโตและดาวเคราะห์แคระดวงอื่นๆ หลังจากที่ออกจากโลกไปเป็นเวลาถึง 9 ปี ก็สามารถเดินทางไปยังดาวพลูโตได้สำเร็จอย่างงดงาม โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านทางช่องนาซาทีวี
อันดับที่ 7 ข่าว เมือกหอยทากไทย ก้าวไกล! สู่ธุรกิจความงาม
ผลการศึกษาของนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ได้ค้นพบนวัตกรรมครั้งสำคัญจากเมือกหอยทากของไทยที่มีชื่อว่า “หอยนวล” ซึ่งพบว่ามีสารนานาชนิดที่มีคุณประโยชน์มากมาย เหมาะต่อการซ่อมแซมและบำรุงผิวพรรณ จึงจัดได้ว่าเป็นเมือกที่มีคุณภาพ สามารถนำมาต่อยอดหรือพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมทางด้านเครื่องสำอางและธุรกิจความงามได้
อันดับที่ 6 ข่าว เปิดปมปริศนา! ไฟไหม้บ้านพัทลุง
จากเหตุการณ์กรณีที่ไฟปริศนาลุกไหม้สิ่งของเครื่องใช้นับร้อยครั้งที่บ้านหลังหนึ่งใน จ.พัทลุง แต่กลับไม่สามารถหาสาเหตุของการเกิดได้ ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าน่าจะเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มีการออกข่าวอย่างครึกโครม จนทำให้หลายหน่วยงานต้องลงพื้นที่ร่วมกันพิสูจน์หาต้นเหตุของการเกิดไฟปริศนา แม้ว่าจะมีบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์ออกมายืนยันว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด และเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งของต่างๆ จะลุกไหม้หรือติดไฟได้เอง แต่ยังไม่ทำให้สังคมคลายความสงสัยลงไปได้ ภายหลังได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในบ้าน จึงได้พบภาพหญิงสาวที่นั่งอยู่คล้ายกำลังจุดไฟ จากนั้นจึงเรียกเด็กที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมาชี้จุดเกิดเหตุ เพื่อให้คนในบ้านช่วยกันดับไฟที่ลุกโชนขึ้นมา เมื่อภาพดังกล่าวปรากฏออกไปจึงคลายความสงสัยของคนในสังคมไปโดยปริยาย
อันดับที่ 5 ข่าว เผย! ภาพถ่ายดาวเทียมแผ่นดินไหวเนปาล
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) บันทึกภาพบริเวณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเนปาลด้วยดาวเทียมไทยโชต เพื่อดูสภาพการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ก่อนและหลังโดยได้บันทึกภาพเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 เวลา 12.10 น. ตามเวลาในประเทศไทย และเปรียบกับข้อมูลภาพก่อนเกิดแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 และได้ส่งแผนที่ดังกล่าวให้กับองค์การสหประชาชาติด้วยในฐานะที่เป็นตัวแทนประเทศไทยในโครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก หรือ RESAP เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้กับประเทศสมาชิกในกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ
อันดับที่ 4 ข่าว กลับมาอีกครั้ง "พระจันทร์ยิ้ม”
ในค่ำคืนของวันที่ 19 - 21 มิถุนายน 2558 ได้เกิดปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนที่เป็นดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดีอยู่เคียงจันทร์เสี้ยวในช่วงหัวค่ำทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยสามารถมองเห็นเหมือน “พระจันทร์ยิ้ม” เป็นเวลาถึง 3 วัน
อันดับที่ 3 ข่าว จันทรุปราคาเต็มดวงสีแดง
ปรากฏการณ์จันทรุปราคาแบบเต็มดวงครั้งนี้เกิดขึ้นในคืนวันที่ 4 เมษายน 2558 มองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงเป็นสีแดงอิฐ เนื่องจากได้รับแสงสีแดงซึ่งเป็นคลื่นที่ยาวที่สุด หักเหผ่านบรรยากาศโลกไปกระทบกับดวงจันทร์ ซึ่งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ได้จัดกิจกรรมตั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาดต่างๆ กว่า 40 กล้อง ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งเป็นการตั้งกล้องโทรทรรศน์เพื่อสังเกตการณ์จำนวนมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ สดร. ยังร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายตั้งจุดสังเกตปรากฏการณ์อีก 3 แห่งคือที่ จ.เชียงใหม่ จ.นครราชสีมา และ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งตลอดเวลา 5 นาทีที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ตั้งแต่เวลา 18.57 - 19.02 น. ช่างภาพและประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมต่างให้ความสนใจเก็บภาพดวงจันทร์สีแดงกันอย่างคึกคัก
อันดับที่ 2 ข่าว มหันตภัย! ไวรัสเมอร์ส
แม้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2558 ก็ตาม แต่เหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์สก็ยังคงอยู่ในความสนใจของคนทั่วไปอยู่ เนื่องจากการแพร่ระบาดในครั้งนี้พบผู้ป่วยไวรัสเมอร์สใน 26 ประเทศ มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และมีการแพร่ระบาดรุนแรงในเกาหลีใต้ และเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2558 พบผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางติดเชื้อไวรัสเมอร์สรายแรกในประเทศไทย และได้เข้ารับการรักษาตามมาตรฐานและปลอดภัยจากการเป็นผู้ป่วยโรคเมอร์ส
อันดับที่ 1 ข่าว ตื่น! อุกกาบาต ลูกไฟตกจากฟ้า
เช้าวันที่ 7 กันยายน 2558 มีผู้บันทึกภาพลูกไฟพวยพุ่งจากท้องฟ้าสว่างวาบ โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ให้ข้อมูลว่าเป็น “อุกกาบาต” เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.5 เมตร น้ำหนัก 66 ตัน ความเร็วที่พุ่งเข้ามาในโลกวัดได้มากมากกว่า 75,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีค่าเทียบเท่าการระเบิดของทีเอ็นที 3.9 กิโลตัน ในเวลาห่างกันไม่นานนัก ค่ำคืนของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2558 พบลูกไฟสว่างวาบ สีเขียว ตกลงมาจากฟ้าอีกครั้ง โดยเบื้องต้น สดร. คาดว่าจะเป็นลูกไฟที่เกิดจากวัตถุขนาดเล็กผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วสูงมาก เสียดสีจนเกิดความร้อนจนลุกไหม้ เห็นเป็นลูกไฟสว่างและมีควันขาวเป็นทางยาว
มีข้อสังเกตจากผลการสำรวจในครั้งนี้ ปรากฏมีข่าวทางด้านอวกาศและดาราศาสตร์ติดอันดับมากถึง 6 ข่าว ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ปรากฏเป็นข่าวดังกล่าว เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก จึงสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่พบเห็นหรืออยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลข่าวสารผ่านทางโซเชียลมีเดียกันเป็นจำนวนมาก นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่คนไทยหันมาศึกษา ค้นหาคำอธิบายต่อการเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ มากขึ้น
ในแง่ของของนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์เอง ก็เป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน และนำผลงานต่างๆ เผยแพร่สู่สาธารณชนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่จะต้องสร้างความเข้มแข็งและถ่ายทอดองค์ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องสู่ประชาชน เพื่อช่วยให้เกิดกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ และสามารถนำกระบวนการคิดนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – สวทช. เฟ้นหาสุดยอดไอเดียเยาวชนไทย ส่งไปทดลองในอวกาศ
เฟ้นหาสุดยอดไอเดียเยาวชนไทย ส่งไปทดลองในอวกาศ สวทช. และ สทอภ. ร่วมกับ แจ็กซ่า เฟ้นหาสุดยอดไอเดียเด็กไทยส่งให้มนุษย์อวกาศทำการทดลองในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงบนสถานีอวกาศนานาชาติ พร้อมชวนบินลัดฟ้าชมการทดลองถ่ายทอดสดที่ศูนย์อวกาศในญี่ปุ่น หมดเขตรับใบสมัคร 22 กุมภาพันธ์นี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซ่า (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) จัดทำโครงการ “Asian Try Zero-G 2016” โดยเปิดรับความคิดสร้างสรรค์จากเยาวชนไทยและคนรุ่นใหม่ (อายุไม่เกิน 27 ปี) เสนอโครงการทดลองในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง เพื่อส่งให้ ทะคุยะ โอะนิชิ (Takuya Onishi) มนุษย์อวกาศญี่ปุ่น นำไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2559 นี้ ผู้เสนอโครงการที่ได้รับคัดเลือกให้นำไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศจะได้รับเกียรติบัตรจากแจ็กซ่าและของที่ระลึกจาก สวทช. พร้อมโอกาสเดินทางไปชมการทดลองของมนุษย์อวกาศแบบสดๆ ผ่านห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ดร.กฤษฎ์ชัย สมสมาน ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อวิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) กล่าวว่า โครงการ Asian Try Zero-G 2016 แบ่งการรับสมัครเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) เยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี และ 2) ประชาชนทั่วไปอายุไม่เกิน 27 ปี โดยโครงการที่เสนอนั้นจะต้องเป็นการทดลองที่ไม่เคยได้รับเลือกให้ทดลองมาก่อน และใช้เวลาในการทดลองไม่เกิน 10 นาที สำหรับอุปกรณ์การทดลองที่มนุษย์อวกาศจะนำขึ้นไปบนสถานีอวกาศ เช่น ลูกดิ่ง สายวัดความยาว 2 เมตร กระดาษเปล่าขนาด 50 ซม. X 50 ซม. กระดาษโอริงามิ (origami) เครื่องชั่งน้ำหนัก ขดลวดสปริง (Slinky) วัสดุอะลูมิเนียม เหล็ก ไม้ และพลาสติก แผนที่ดาว แปรงระบายสี หลอดดูดน้ำ อุปกรณ์เครื่องเขียน และเครื่องมือช่าง เป็นต้น ผู้สนใจสามารถส่งข้อเสนอโครงการทดลองเป็นภาษาอังกฤษได้คนละ/กลุ่มละ 1 โครงการเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559 ดาวน์โหลดใบสมัครและติดตามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.nstda.or.th/jaxa-thailand หรือเพจเฟซบุ๊ก www.facebook.com/JaxaThailand และสามารถดูการทดลองของเยาวชนไทยที่ได้รับคัดเลือกเมื่อปีที่ผ่านมาได้ ดังนี้ Can we make wind in the space? https://www.youtube.com/watch?v=JVzpARDI_NI Zero-G Painting https://www.youtube.com/watch?v=K6OxoFL1ByM Zero-G Painting https://www.youtube.com/watch?v=K6OxoFL1ByM Zero-G Painting https://www.youtube.com/watch?v=K6OxoFL1ByM
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – สวทช. จับมือ สกว. สนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มอาหารและที่เกี่ยวข้อง มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สามารถขายได้จริง
สวทช. จับมือ สกว. สนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มอาหารและที่เกี่ยวข้อง มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สามารถขายได้จริง 21 มกราคม 2559 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามความร่วมมือกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในโครงการ “การสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง” เพื่อมุ่งเน้นสร้างนวัตกรรมที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถขายได้จริง โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลางด้านอาหาร เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมอื่นทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นตัวอย่างในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้นด้วย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ ผู้อำนวยการโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) สวทช. กล่าวว่า “อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูปถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมอาหารประมาณ 110,000 ราย โดยแยกเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ร้อยละ 0.5 และระดับ SMEs มากถึงร้อยละ 99.5 ซึ่งผู้ประกอบการในระดับ SMEs ส่วนใหญ่ยังขาดการนำองค์ความรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม รัฐบาลจึงได้มีนโยบายในการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมในการผลิตสินค้า สนับสนุนการสร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มจากการต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ สร้างความสามารถแข่งขันได้ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่และรูปแบบใหม่ที่มีเอกลักษณ์ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ดังนั้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงร่วมกันสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง” โดยโครงการดังกล่าวจะมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ด้านการสนับสนุนทุนวิจัยในรูปแบบการบูรณาการ ด้วยการสร้างองค์ความรู้ที่เหมาะสมผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับการจัดการด้านธุรกิจ การศึกษาข้อมูลทางการตลาดเบื้องต้น และการพัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์ ภายใต้แนวคิด “วิจัยได้...ขายจริง” จากกลไกการทำงานของโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) (สวทช.) และชุดโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative house ฝ่ายอุตสาหกรรม (สกว.) โดยการจัดสรรทุนวิจัยให้แก่นักวิจัย คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อศึกษาวิจัยให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในการพัฒนาสินค้านวัตกรรม พัฒนากระบวนการผลิต เทคโนโลยี และสร้างองค์ความรู้จากกระบวนการศึกษาวิจัย ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี และได้จัดสรรงบประมาณจำนวนทั้งสิ้น 100 โครงการ เพื่อสร้างให้นักวิจัยเกิดการศึกษาวิจัยแบบบูรณาการและทำงานร่วมกับภาค อุตสาหกรรมในการสร้างองค์ความรู้จากงานวิจัยอย่างมีคุณภาพ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเป็นการช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้สามารถนำองค์ความรู้ในส่วนของการบริหารจัดการ การตลาดและข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้านธุรกิจไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจได้ ทำให้เกิดการสร้างรายได้ ลดต้นทุนในกระบวนการผลิต เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เกิดความรู้ความเข้าใจในระบบการผลิตที่ดี การพัฒนาแบรนด์และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนสามารถพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ทั้งในและต่างประเทศ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สวทช. ได้ดำเนินโปรแกรม ITAP มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ให้การสนับสนุน SMEs ไปแล้วไม่น้อยกว่า 7,000 ราย โดย ITAP สรรหาผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรงกับโจทย์ความต้องการของ SMEs แต่ละราย มาช่วยในการทำโครงการวิจัยและพัฒนาให้ SMEs เพื่อยกระดับเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรม ปัจจุบัน ITAP มีผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมดำเนินงานอยู่ไม่น้อยกว่า 1,300 ราย แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการให้ความช่วยเหลือ SMEs ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งยังขาดทรัพยากรด้านต่างๆ สำหรับการวิจัยและพัฒนา ทั้งด้านการเงินและบุคลากร โดยความร่วมมือกับ สกว. ในครั้งนี้ จะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างนวัตกรรมที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถขายได้จริง และมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ด้านอาหาร เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมอื่นทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นตัวอย่างในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ จะเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น โดย สวทช. จะร่วมสนับสนุนงบประมาณการวิจัยและบริหารจัดการทุนวิจัย รวมทั้งผลักดันผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนให้ SMEs เติบโตบนเศรษฐกิจฐานความรู้ ไปเป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ ในการก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางของประเทศต่อไป” ด้าน ศาสตราจารย์ นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. กล่าวว่า “สกว. ตระหนักและให้ความสำคัญของการวิจัยและสนับสนุนการวิจัยเพื่อการพัฒนาศักยภาพ ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง ด้วยการสร้างองค์ความรู้ที่เหมาะสมผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับการจัดการด้านธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ และพัฒนาขีดความสามารถของนักวิจัยให้สามารถทำงานร่วมกับภาคเอกชนได้อย่างมี คุณภาพ โดย สกว. จะร่วมสนับสนุนงบประมาณการวิจัยและบริหารจัดการทุนวิจัย รวมทั้งผลักดันผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งผลของโครงการความร่วมมือนี้ นอกจากก่อให้เกิดผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ในแง่การสร้างรายได้ให้กับประเทศแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมภาคเกษตรด้วยการนำวัตถุดิบทางการเกษตรของประเทศมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ช่วยเกื้อกูลกันและกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานรากของประเทศจากระดับไปสู่มหภาค ลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ของประชากร ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนได้อย่างแท้จริง”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – โครงการ “มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย” ประจำปี 2559
โครงการ“มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย” ประจำปี 2559 ภายใต้แนวคิด “สนุกวิทย์ ปลูกแนวคิดวิทยาศาสตร์สู่เยาวชน” บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ให้การสนับสนุน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สถาบันคีนันแห่งเอเซีย และมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ 8 แห่ง ในโครงการ “มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย” ประจำปี 2559 ภายใต้แนวคิด “สนุกวิทย์ ปลูกแนวคิดวิทยาศาสตร์สู่เยาวชน” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และความสนใจของเยาวชนระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษาตอนต้นในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็ม (STEM) ผ่านกิจกรรมการทดลองแสนสนุก ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก่อนที่จะมีการจัดกิจกรรมของโครงการฯ ณ มหาวิทยาลัยและองค์กรเครือข่ายแต่ละแห่งตลอดทั้งปี พร้อมร่วมมือวางแผนขยายการดำเนินงานสู่จังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศในปี 2560 โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้นถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ได้ลงมือทำกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่สนุกและท้าทาย เสมือนนักเรียนแต่ละคนได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยจริง เพื่อจุดประกายความสนใจในสาขาวิทยาศาสตร์ และสร้างแรงบันดาลใจในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพในสาขาสะเต็มในอนาคต โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศเยอรมนี ก่อนขยายผลไปยังประเทศต่างๆ สำหรับโครงการ "มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย" จัดตั้งขึ้นในปี 2554 ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมชมโครงการนี้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีกล่าวว่า “การเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาให้กับเยาวชนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็ม ถือเป็นวาระแห่งชาติ ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องได้รับการผลักดันทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมรับกับการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้านที่นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างสูง ส่งผลให้ความต้องการบุคลากรในสาขาสะเต็มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอย่าง ยั่งยืน โครงการ "มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย" ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่สนองพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเยาวชนโดย โครงการ "มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้” นางดวงสมร คล่องสารา ประธานคณะทำงานโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทยเปิดเผยว่า “โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย ปรับปรุงหลักสูตรจากกิจกรรมต้นแบบของประเทศเยอรมนี ด้วยบริบทของประเทศไทย โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือทำ (hands-on) กิจกรรมทดลองที่ท้าทายและน่าสนใจในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์โดยมีอาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัย เป็นวิทยากร และมีพี่เลี้ยงที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น นักศึกษาระดับปริญญาตรี โท และเอก คอยให้คำแนะนำและกระตุ้นกระบวนการคิดและการเรียนรู้ โดยพบว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกฝนและพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่การสังเกต การตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบ ได้อย่างสนุกสนานและมีความสุขเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ สำหรับโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย 2559 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘สนุกวิทย์ ปลูกแนวคิดวิทยาศาสตร์สู่เยาวชน’ จะจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มีรูปแบบและหัวข้อที่หลากหลาย ณ มหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯต่อไปตลอดทั้งปี โดยตั้งแต่ปี 2559 นี้โครงการฯ ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน คือ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งจะช่วยให้โครงการฯ สามารถดำเนินงานได้อย่างเข้มแข็ง ทั้งยังสามารถขยายสู่เยาวชนในต่างจังหวัดตามที่ทางโครงการฯ ได้ตั้งใจไว้” ศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย มาตั้งแต่ต้น โดยทางมหาวิทยาลัยเน้นรับเด็กนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนที่ขาดโอกาส โดยเราให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมทั้งในเรื่องของบุคลากร สถานที่ เครื่องมือและอุปกรณ์การทดลอง รวมถึงการเดินทางของนักเรียนและอื่นๆ เพื่อให้เด็กๆ เหล่านี้ได้มีโอกาสในการเรียนรู้และสนุกกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเห็นว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เกิดความรักและความสนใจที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและประกอบอาชีพนี้ต่อไป ในอนาคต ในส่วนของกิจกรรมมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย ในปีนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยินดีที่ได้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ ซึ่งแสดงถึงพลังความร่วมมือของทุกหน่วยงานในการร่วมกันส่งเสริมการศึกษาแก่เยาวชนในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เปิดเผยว่า “เชฟรอนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาสะเต็ม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งนี้ การสนับสนุนโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย 2559 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต’ ที่เชฟรอนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนส่งเสริมการศึกษาในสาขาสะเต็มเพื่อให้เยาวชนเห็นว่าการศึกษาในสาขานี้เป็นเรื่องสนุกน่าสนใจ เกิดแรงบันดาลใจและสนใจในการศึกษาต่อด้านนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย เป็นอย่างดี โดยเชฟรอนประเทศไทยได้สนับสนุนงบประมาณ 10 ล้านบาท ในการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย และจะทำงานร่วมกันเพื่อขยายขอบข่ายการดำเนินงานไปสู่จังหวัดอื่นๆ โดยจะเน้นความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาพันธมิตรภายใต้โครงการ Enjoy Science ในจังหวัดต่างๆ อาทิ สมุทรปราการ สงขลา เชียงใหม่ และขอนแก่น โดยคาดว่าจะมีมหาลัยวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาเครือข่ายเพิ่มขึ้นอีก 10 แห่ง และสามารถจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้กว่า 10,000 คน ทั่วประเทศ ภายในปี 2560” สำหรับหน่วยงานเครือข่ายของโครงการมหาวิทยาลัยเด็กในปัจจุบัน ประกอบด้วยสถาบันการศึกษา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง องค์กรภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) องค์กรภาคประชาสังคมได้แก่ สถาบันคีนันแห่งเอเซีย และภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ในปี 2559 มหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ จะมีการจัดกิจกรรมมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย ตลอดทั้งปี โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารการจัดกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ www.childrensuniversity.in.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – ITAP: ปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม SMEs ไทยเชิงรุก ในปี 2558
ITAP: ปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม SMEs ไทยเชิงรุก ในปี 2559 กรุงเทพฯ : 11 มกราคม 2559 - กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (Innovation and Technology Assistance Program: ITAP) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้คำแนะนำ เป็นพี่เลี้ยง และเป็นพันธมิตรธุรกิจ ดำเนินงานเพื่อพัฒนาศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีขีดความสามารถทางเทคโนโลยีสูงขึ้น ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยใช้กลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมกับสภาพความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และจัดงาน “ITAP: ปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม” เพื่อนำเสนอกลไกเชิงรุกในการสนับสนุนภาคเอกชน พร้อมมอบรางวัลให้กับบริษัทผู้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐาน การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า “เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็น SMEs เองต่างอยากมีขีดความสามารถการแข่งขันที่สูงขึ้น มีนวัตกรรม มีสินค้าที่แตกต่าง แต่ในทางปฏิบัติการสร้างสรรค์นวัตกรรมของ SMEs เป็นเรื่องยากเพราะ SMEs เงินทุนน้อย บุคลากรจำกัด ไม่มีผู้เชี่ยวชาญในการวิจัย ไม่ง่ายที่ SMEs จะมีหน่วย R&D เป็นของตัวเอง และ SMEs ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารโครงการวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ภาครัฐจึงจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในการพา SMEs เติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม” ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (Innovation and Technology Assistance Program : ITAP) หรือเรียกโดยย่อว่า “ไอแท็พ” (ITAP) ได้จัดตั้งขึ้นโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อสร้างความเข้มแข็งของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการ และเผยแพร่มาตรการภาครัฐในการส่งเสริมให้นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของภาครัฐที่จะเชื่อมโยง SMEs ให้เข้าถึงองค์ความรู้และทรัพยากรที่จำเป็น สามารถนำไปใช้ในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรม เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และกระบวนการใหม่ อันจะนำมาซึ่งขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรมให้ สามารถบรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้ SMEs เป็นแกนหลักของเศรษฐกิจ” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า “การมาร่วมโครงการกับ ITAP เสมือนบริษัทได้มีหน่วย R&D เฉพาะกิจขึ้นมา และมีคนที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเทคโนโลยีช่วยบริหารโครงการวิจัยให้ SMEs หาที่ปรึกษาที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและหัวข้อที่ต้องการวิจัย พัฒนา นวัตกรรม รวมทั้งมีเงินทุนสนับสนุน ทำให้ผู้ประกอบการลดความเสี่ยงในการทำโครงการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม สามารถตัดสินใจลงทุนได้รวดเร็วขึ้น ซึ่ง ITAP ได้ให้การสนับสนุนภาคเอกชนจนประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานการ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้วยการใช้ประสบการณ์ในการบริหาร ถ่ายทอดโครงการกว่า 4,000 โครงการ สามารถวิเคราะห์จัดลำดับปัญหา และเสาะหาผู้เชี่ยวชาญได้อย่างถูกจุด โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยเฉพาะทาง การบริการของภาครัฐ และแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะบุคลากรและเทคโนโลยีของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยบริหารโครงการด้วยความเข้าใจทั้งภาษาธุรกิจและภาษาวิจัย พร้อมทั้งมอบเงินสนับสนุนบางส่วนแก่ SMEs ในการทำโครงการ ซึ่งสามารถให้การดูแลและบริการให้คำปรึกษาอย่างทั่วถึง โดยมีสาขาให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ และมีพันธมิตรในการเชื่อมโยงงานในมิติต่างๆ” ทั้งนี้ งาน “ITAP : ปลดล็อคข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม” มีกิจกรรมหลักในงาน ประกอบด้วยปาฐกฐาพิเศษหัวข้อ “Business @ The Speed of Light, Why INNOVATION Must be Addressed” โดย ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การมอบรางวัล “ผู้พิชิตยอดเขานวัตกรรม” แก่บริษัทผู้มีการดำเนินธุรกิจจากการไต่ระดับเทคโนโลยี ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีผู้ได้รับรางวัล คือ 1. บริษัท แดรี่โฮม จำกัด : ผลิตภัณฑ์นมออแกนิค 2. บริษัท เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ จำกัด : ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ 3. บริษัท เอส.บี.พี. ทิมเบอร์กรุ๊ป : นวัตกรรมงานไม้ 4. บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) : นวัตกรรมพัดลมไอน้ำ 5. และ บริษัท เอเซีย คอมแพ็ค จำกัด : ผลิตภัณฑ์ผ้าเบรค ไร้ใยหิน รวมทั้งการจัดแสดงนิทรรศการด้านการไต่ระดับเทคโนโลยีและจัดแสดงผลงานของบริษัทผู้รับรางวัล
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – นักวิจัย มอ. ค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบของยาจากรา คว้าทุนวิจัย ประจำปี 2558
นักวิจัย มอ. ค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบของยาจากรา คว้าทุนวิจัยศาสตราจารย์ที่เป็นผู้นำกลุ่ม ประจำปี 2558 ณ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศผลผู้ได้รับทุน NSTDA Chair Professor หรือทุนศาสตราจารย์ที่เป็นผู้นำกลุ่ม แก่ ศ.ดร. วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล สังกัดภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในโครงการวิจัยเรื่อง “การค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบจากทรัพยากรราของไทยเพื่อความยั่งยืนในการค้นหายา” เป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท สนับสนุนโดยมูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ระยะเวลาให้ทุน 5 ปี เพื่อเป็นผู้นำกลุ่มวิจัยในการพัฒนาสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติต้นแบบจากทรัพยากรราให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมยาและชีวภัณฑ์ทางการเกษตร อันจะเป็นประโยชน์กับประเทศต่อไป ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “สังคมเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างและต่อยอดองค์ความรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จึงได้แสดงความสนใจและสานต่อจนเกิดเป็นโครงการทุน NSTDA Chair Professor มาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องเป็นทุนลำดับที่ 4 แล้ว (2552, 2554, 2556 และ 2558) ซึ่งจะให้การสนับสนุนปีละ 1 ทุน ระยะเวลารับทุนต่อเนื่อง 5 ปี โดยมูลนิธิฯ เป็นผู้ให้การสนับสนุนทุน 20 ล้านบาท และ สวทช. เป็นผู้บริหารจัดการ เพื่อสร้างศาสตราจารย์ที่เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเป็นนักวิจัยที่มีคุณภาพสูง มีโอกาสทำงานวิจัยของตนเองให้เกิดประโยชน์มากขึ้น สร้างสรรค์งานได้โดยมีอิสระทางวิชาการ ผสมผสานกระบวนการจัดการวิจัยเชิงวิชาการเข้ากับกระบวนการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ประโยชน์ และก่อให้เกิดผลงานวิจัยที่มีความใหม่น่าสนใจกว่าเดิม กลยุทธ์ประเภทนี้เกิดผลดีอย่างมากต่อการพัฒนาในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง และอเมริกา เป็นต้น” ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล เปิดเผยผลการพิจารณาทุน NSTDA Chair Professor ประจำปี 2558 ว่า “คณะกรรมการร่วมทุน มีมติเห็นสมควรมอบทุนดังกล่าว แก่ ศ.ดร.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในโครงการวิจัยเรื่อง “การค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบจากทรัพยากรราของไทยเพื่อความยั่งยืนในการค้นหายา” โดยจะได้รับงบประมาณสนับสนุนเป็นจำนวนเงิน 20 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี ศ.ดร.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล เป็นนักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่น มีผลงานซึ่งได้รับการตีพิมพ์และอ้างอิงจำนวนมากทางด้านเคมีอินทรีย์ เป็นผู้อุทิศตนให้กับงานวิจัยและสร้างผลงานด้านสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากเชื้อจุลินทรีย์มาอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่ประจักษ์ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ นอกจากท่านหัวหน้าโครงการซึ่งเป็นแกนหลักแล้ว ยังมีทีมนักวิจัยที่ล้วนมีความสามารถและประสบการณ์ในหัวข้อวิจัยที่เสนอขอรับทุนเป็นอย่างดี” ด้าน ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานมูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัย กล่าวว่า “จากผลการดำเนินงานของโครงการทุน NSTDA Chair Professor ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณทั้งหมดของโครงการฯ แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดีของ สวทช. จึงส่งผลให้การดำเนินงานของโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และขอแสดงความยินดีต่อ ศ.ดร.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล หัวหน้าโครงการวิจัย และคณะผู้วิจัยทุกท่านที่ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับทุน NSTDA Chair Professor ประจำปี 2558 นี้”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย


