หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – ปฏิทินกิจกรรม
• โครงการ JSTP ประกาศรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมโครงการ รุ่นที่ 20 ประจำปี 2560 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดรับสมัครเด็กและเยาวชนระดับมัธยมศึกษา ทั้งระดับ ม.ต้น และ ม.ปลาย ที่มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทุกสาขา เข้าร่วมโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน หรือ Junior Science Talent Project (JSTP) รุ่นที่ 20 ประจำปี 2560 โอกาสที่ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับ อาทิ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ต่างๆ การเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ การทำโครงงานวิจัยโดยมีนักวิทยาศาสตร์เป็นพี่เลี้ยง การได้รับโอกาสคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาและทุนวิจัยจนจบปริญญาเอก เป็นต้น น้องๆ เยาวชนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดและส่งใบสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 พฤศจิกายน 2559 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โครงการ JSTP โทร. 0 2564 7000 ต่อ 1431, 1433, 1434, 1436, 1437 อีเมล jstp@nstda.or.th หรือที่เว็บไซต์ • ให้ทุนวิจัย ผู้ที่ทำงานวิจัยแต่ยังขาดเงินทุนสนับสนุน ขอเชิญชวนสมัครรับเงินทุนช่วยเหลือการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไดัที่มูลนิธิโทเรเพื่อการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ ประเทศไทย ครั้งที่ 23 พ.ศ. 2559 โดยสามารถยื่นใบสมัครได้ที่ ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะกรรมการเงินทุนช่วยเหลือทางด้านวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มูลนิธิโทเรเพื่อการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ ประเทศไทย ฝ่ายเลขานุการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เลขที่ 73/1 ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร. 02 564 7000 ต่อ 81815 แฟกซ์ : 02 644 8134 (วงเล็บมุมซอง “ข้อเสนอโครงการเพื่อรับเงินทุนวิจัย มูลนิธิโทเรฯ”) หมดเขตรับสมัคร วันที่ 15 ตุลาคม 2559 • ขอเชิญส่งผลงานนวัตกรรม "FinTech Challenge" ชิงทุนพัฒนานวัตกรรมมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และองค์กรพันธมิตร ทั้งภาคตลาดทุน การเงิน และประกันภัย ขอเชิญผู้สนใจส่งผลงานนวัตกรรม "FinTech Challenge" ชิงทุนพัฒนานวัตกรรมมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท คุณสมบัติของผู้สมัคร รวมทีมเพื่อพัฒนานวัตกรรม 2-4 คน/ทีม สมาชิกในทีมควรประกอบด้วย นักคิด นักสร้างสรรค์ นักการตลาด-ประชาสัมพันธ์ โดยมีสมาชิกอย่างน้อย 1 คน มีความรู้ ความสามารถ การพัฒนาชิ้นงานเทคโนโลยีได้ มีแนวคิด หรือผลิตภัณฑ์ หรือบริการด้านการเงิน การลงทุน การธนาคารพัฒนานวัตกรรม พร้อมที่ปรึกษาจากหน่วยงานกำกับ และผู้เชี่ยวชาญตลอดโครงการ พัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด พบนักลงทุน ... สร้างโอกาสทางธุรกิจ เปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2559 ผ่านทางเว็บไซต์ www.fintechchallenge.info สอบถามเพิ่มเติมโทร: 0-2695-9999 ต่อ 6578,9510 ดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ http://www.ttsf.or.th/download/ApplicationForm_STRG-23.doc • โปรแกรมฝึกอบรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Practices Training Program: GPP) สถาบันวิทยาการ สวทช. (NSTDA Academy) ขอนำเสนอหลักสูตรที่น่าสนใจของโปรแกรมฝึกอบรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Practices Training Program: GPP) ได้แก่    • หลักสูตรหลักการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA) และ • หลักสูตรการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products : CFP) เป็นหลักสูตรที่เตรียมความพร้อมสู่การเป็น "ที่ปรึกษา" และ "ผู้ทวนสอบ" ในการจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ รับรองหลักสูตรโดยองค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ค่าลงทะเบียนฝึกอบรม หลักสูตรละ 12,000 บาท โปรโมชั่นสุดพิเศษ !!! ลงทะเบียนพร้อมกัน 2 หลักสูตร (หลักสูตร LCA + หลักสูตร CFP) จะได้รับส่วนลดทันที 15 % เหลือชำระเพียง 20,400 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) อบรมวันที่ 26 - 28 ตุลาคม 2559 และ 9 - 11 พฤศจิกายน 2559 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2644 8150 ต่อ 81893-81895 หรือ E-mail: green.practices@nstda.or.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – บทความ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ
10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ ในงานมหกรรม Thailand Tech Show 2016 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ” การปาฐกถาพิเศษหัวข้อดังกล่าวนี้ เริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2553 และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 แล้ว เป็นความพยายามของ สวทช. ที่จะสื่อสารเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะส่งผลกระทบในช่วงเวลา 5-10 ปีข้างหน้า เพื่อให้ผู้ประกอบการและคนทั่วไปเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม โดยเทคโนโลยีจำนวนมากเกี่ยวข้องกับเรื่องอิเล็กทรอนิกส์และไอที เทคโนโลยีชีวภาพ วัสดุศาสตร์ และนาโนเทคโนโลยี ซึ่งศูนย์วิจัยแห่งชาติใน สวทช. อาจเกีี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่บางเทคโนโลยีก็นำเสนอในอีกรูปแบบหนึ่งคือ ผ่านผลกระทบในเชิงสุขภาพ พลังงาน หรือการดำรงชีวิตในรูปแบบต่างๆ ดังตัวอย่าง ปี 2553 เราพูดถึง รถยนต์ไฟฟ้า ตอนนี้เราก็เห็นแล้วว่า รถยนต์ Tesla มาแรงมากๆ ในต่างประเทศ ปี 2554 เราพูดถึง พลาสติกชีวภาพ ตอนนี้ก็เห็นมีแก้วกาแฟในร้านดังบางแห่งที่หันมาใช้วัสดุแบบนี้แล้ว ในหลายปีหลัง เราพูดถึงการพิมพ์ล้ำยุคอย่าง 3D หรือ 4D printing รวมไปถึง bioprinting ที่เป็นการพิมพ์เซลล์ที่ใช้ซ่อมแซมร่างกาย ก็จะเห็นว่า 3D-printing เริ่มมีผลิตภัณฑ์ขายกันเกร่อแล้ว ขณะที่ 4D กับ bioprinting ก็ใกล้จะวางตลาดเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว เกม Pokemon Go ก็ใช้เทคโนโลยี Augmented Reality ที่เราพูดถึงไปเมื่อ 3 ปีก่อน ในปีนี้ เราขอนำเสนอเทคโนโลยีทั้ง 10 แบบ ในลักษณะของภาพจำลองอนาคต หรือ scenario ตั้งแต่เราตื่น ไปจนถึงการทำงาน หรือดำรงชีวิตระหว่างวัน Food, Cosmetics & Clothes 1. Food Structure Design ลองจินตนาการว่า ตื่นเช้าขึ้นมา ท่านต้องทำอะไรบ้าง หลังจากทำกิจวัตรประจำวันแล้ว ท่านก็ต้องทานอาหารใช่ไหมครับ อาหารที่ดีต่อสุขภาพมักไม่ค่อยถูกปาก เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะมาช่วย เกี่ยวข้องกับการออกแบบโครงสร้างอาหาร หรือ Food Structure Design เพื่อให้อาหารที่ดีมีความน่ารับประทานมากขึ้น จึงเป็นเทคโนโลยีสำคัญ และเป็นเทคโนโลยีลำดับที่ 2 ที่เราจะกล่าวถึงในวันนี้ การจะทำให้อาหารดูดี มีเนื้อสัมผัสดี อีกทั้งยังสามารถให้กลิ่น รสชาติ และสารอาหาร ได้อย่างครบถ้วน จะต้องอาศัยความรู้เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก และถือเป็นงานวิจัยด้านวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมวัสดุที่มาแรงทีเดียว ตัวอย่างการออกแบบอาหารจำพวกนี้ เช่น ผลงานวิจัยไส้กรอกไขมันต่ำของเอ็มเทค สวทช. ที่ทำร่วมกับ บริษัทเบทาโกร ซึ่งสามารถทำให้ไส้กรอกมีปริมาณไขมันต่ำกว่า 5% จากที่ปกติแล้วไส้กรอกทั่วไปจะมีไขมันอยู่ราว 20-30% โดยไม่ทำให้รสสัมผัสนุ่มลิ้นของไส้กรอกเปลี่ยนแปลงไปด้วย ที่สำคัญคือสารที่ใส่ทดแทนไขมันเข้าไป ยังช่วยเพิ่มเส้นใยอาหารที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย สำหรับประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งอาจจะมีปัญหาการเคี้ยวอาหารยากลำบาก ก็มีความพยายามพัฒนาอาหารที่มีเคี้ยวง่าย ส่วนผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต ก็ต้องการอาหารบดที่ไม่เหลวจนเกินไป เพราะอาจไหลเข้าหลอดลม และก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อและเป็นอันตรายได้ 2. Personalized Food      อาหารในอนาคตอันใกล้ อาจจะกลายมาเป็นยาจริงๆ ดังที่บางท่านอาจจะมีอาหารเฉพาะบุคคล หรือ personalized food อาหารเฉพาะบุคคล คืออะไร ? มันคืออาหารที่ออกแบบโดยอาศัยข้อมูลสุขภาพของตัวท่านอย่างจำเพาะ ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ต้องอาศัยข้อมูลทางชีววิทยาจำนวนมาก ต้องใช้เทคโนโลยีที่ลงท้ายด้วยโอมิกส์ทั้งหลาย เช่น จีโนมิกส์ (genomics) ที่ศึกษาข้อมูลพันธุกรรมทั้งหมดของคนเรา โปรตีโอมิกส์ (proteomics) ที่ศึกษาโปรตีนทุกชนิดของคนเรา อีกหน่อยท่านจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ nutrigenomics และ nutrigenetics ที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับพันธุกรรมของแต่ละคนได้ จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีแบบนี้ขนานไปกับ personal genomics และ pharmacogenetics ที่ช่วยออกแบบยาตามข้อมูลพันธุกรรมที่เราเคยกล่าวถึงไปตั้งแต่ปี 2553 และ 2554 ตัวอย่าง บริษัท MyDiet Clinic รับตรวจแนวโน้มการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูงจากโซเดียม ความดันโลหิตต่ำจากโฟเลต โรคจากระดับไตรกลีเซอไรด์สูง เป็นต้น โดยประเมินจากพันธุกรรมใน 7 ยีน แล้วนำมาใช้ออกแบบสูตรอาหาร พร้อมให้คำแนะนำด้านสุขภาพแบบต่างๆ ถือเป็นเทคโนโลยีแบบ mass customization บริษัท TNO Innovation For Life พัฒนาวิธีหาความเชื่อมโยงอาหารกับสุขภาพ และพัฒนาวิธีทำ 3D Printed Food สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาการกลืน โดยออกแบบทั้งสารอาหาร รูปร่างหน้าตา และรสชาติของอาหารด้วย จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีสำคัญจะไปคอนเวอร์เจนซ์ รวมเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วยกันอยู่เสมอๆ จะเกิด niche ใหม่ๆ ด้านอุตสาหกรรมอาหารขึ้นในไม่ช้า สำหรับประเทศไทย โดยความริเริ่มของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็ริเริ่มและผลักดันให้มีการก่อตั้ง Food Innopolis ขึ้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย แล้วก็คงมีนวัตกรรมหลายๆ อย่างที่ตอบสนองต่อเทรนด์ “อาหารที่เป็นยาด้วย” แบบนี้ด้วยเช่นกัน เทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหาร และอาหารเฉพาะบุคคล จึงเป็น 2 เทคโนโลยีที่ไปด้วยกัน อย่างใกล้ชิด 3. Second Skin      เมื่อทานอาหารที่ออกแบบอย่างเหมาะสมกับร่างกายสุดๆ แล้ว ต่อไปก็ต้องแต่งหน้าแต่งตัว เรื่องหน้าตาผิวพรรณ ถือเป็นเรื่องที่คนสมัยนี้ให้ความสนใจกันมาก มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวออกมาใหม่ๆ ตลอดเวลาจะดีเพียงใด หากมีผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ใช้งานง่าย และที่สำคัญคือ ไม่แพงนัก วิธีใช้งานก็เพียงแค่ทามันลงบนผิวของเรา มันก็จะทำหน้าที่ประหนึ่งผิวหนังที่สอง หรือ Second Skin ให้กับเราได้ เรื่องนี้ใกล้จะเป็นจริงแล้ว เพราะมีการผนึกกำลังของกลุ่มนักวิจัยจาก MIT, Massachusetts General Hospital, บริษัท Living Proof และ Olivo Labs ในสหรัฐฯ ที่กำลังพัฒนานวัตกรรมที่เรียกว่า Second Skin Polymer กันอยู่ พอลิเมอร์ดังกล่าวมีสมบัติที่ดี แทบจะเทียบเท่ากับผิวหนังของหนุ่มสาว คือ ยืดหยุ่นสูงถึง 250% ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง ยอมให้ออกซิเจนและความชุ่มชื้น ซึมผ่านลงไปสู่ผิวจริงได้ดี พอลิเมอร์ดังกล่าวคือ polysiloxane หากทาพอลิเมอร์ดังกล่าว แล้วทาเจลอีกชนิดหนี่งที่มี platinum เป็นองค์ประกอบทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทับลงไป พอลิเมอร์ในชั้นแรกก็เกิดโครงสร้างที่ประสานกันในไม่กี่วินาที เกิดเป็นฟิล์มใสที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำหน้าที่ปกป้องผิวกายเราให้ดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง  และชุ่มชื้น โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำงานได้นานถึง 24 ชั่วโมง ทนต่อเหงื่อและน้ำ ไม่ลอกออกง่ายๆ  และยังช่วยป้องกันรังสียูวีด้วย ที่สำคัญคือ Second Skin ดังกล่าว ยังสามารถประยุกต์ใช้ในการนำส่งยาหรือสารอื่นๆ ได้อีกด้วย สำหรับในประเทศไทย มีห้องปฏิบัติการนาโนเวชสำอางของศูนย์นาโน เทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ที่สนใจทำวิจัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นี้อยู่ 4. Micro Supercapacitor      หลังจากแต่งหน้าแต่งตา ก็มาที่เรื่องเสื้อผ้ากันครับ ทุกคนคงมีมือถือกันนะครับ เดี๋ยวนี้มีการใช้งานกันหนักมาก บางทีต้องมีเพาเวอร์แบ็งก์ติดตัวด้วย บางคนมากกว่า 1 เครื่องอีกต่างหาก หากเสื้อผ้าที่เราสวมใส่สามารถชาร์จไฟให้มือถือได้ ก็คงจะดีนะครับ ขณะนี้มีการพัฒนาตัวเก็บประจุยิ่งยวดขนาดจิ๋ว หรือ Micro Supercapacitor กันอยู่ (อุปกรณ์ที่ว่านี้มีชื่อย่อทางวิชาการว่า EDLC) โดยมีโครงสร้างง่ายๆ ที่ประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า 2 ขั้ว และสารอิเล็กโทรไลต์ (electrolyte)  เมื่อชาร์จไฟประจุบวกและลบจะวิ่งไปยังขั้วตรงข้าม และเมื่อคายประจุ พวกมันก็จะวิ่งกลับมาที่สารอิเล็กโทรไลต์เหมือนเดิม โดยไม่มีปฏิกิริยาเคมีมาเกี่ยวข้อง จึงต่างจากแบตเตอรี่ในปัจจุบัน ระบบแบบนี้ ชาร์จและปล่อยประจุได้เร็วมาก และไม่มีการสึกกร่อนด้วย จึงชาร์จไฟได้เป็นล้านๆ ครั้งโดยไม่เสื่อมสภาพ ที่สำคัญคือ สามารถออกแบบให้มีลักษณะโค้งงอได้ และสร้างซ้อนกันเป็นชั้นๆ ได้ จึงทำให้ออกแบบให้มีความจุมาก แต่ยังมีขนาดเล็กมาก ลักษณะสำคัญอีกอย่างคือ สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เก็บเกี่ยวพลังงานได้หลายรูปแบบ เช่น จากการสั่นสะเทือนหรือจากอุณหภูมิ จึงเหมาะมากที่จะนำมาใช้ประกอบเข้ากับเส้นใยเสื้อผ้า มีการคาดหมายว่าในอนาคต เราน่าจะชาร์จมือถือจากเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ได้ (wearable electronics) จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป ขณะนี้ในประเทศไทย ศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ของเนคเทค สวทช. กำลังวิจัยและพัฒนา Micro Super capacitor แบบนี้อยู่ โดยอาศัยกราฟีนมาใช้เป็นขั้วไฟฟ้า Transportation 5. Programmable Materials เมื่อแต่งตัวกันแล้ว เราก็จะเริ่มออกเดินทางกันครับ ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้ใช้ยานพาหนะที่มีการออกแบบเรื่องรูปร่างไว้ในโครงสร้างตั้งแต่ต้นในสามปีที่ผ่านมา เราได้กล่าวถึงวัสดุฉลาดหลายจำพวก ทั้งพวกที่ซ่อมแซมตัวเองได้ หรือมีคุณสมบัติพิเศษแบบที่เรียกว่าเป็น smart polymer, smart textile และ intelligent material ในปีนี้จะขอพูดถึงวัสดุฉลาดอีกจำพวกหนึ่งคือ วัสดุที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ หรือ programmable materials กล่าวเปรียบเทียบให้ง่าย ปัจจุบันเรามีวัสดุที่เปลี่ยนแปลงสภาพบางอย่างได้เมื่อถูกกระตุ้น เช่น แก้วน้ำที่เติมน้ำร้อน แล้วจะมีภาพปรากฏให้เห็น หรือหลอดไฟที่เมื่อมีสัญญาณเรียกเข้ามายังมือถือ ก็จะสว่างขึ้น แต่ในกรณีนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง และฟังก์ชันการทำงานได้ ตามสิ่งแวดล้อมหรือสภาวการณ์ต่างๆ เช่น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น สนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า ความดัน สภาพทางเคมี หรือแม้แต่เมื่อถูกแสงในย่านความถี่ต่างๆ ปัจจุบันใน ภาคอุตสาหกรรมต้องการวัสดุพวกนี้อย่างยิ่ง แต่ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากมีราคาแพง หรือสร้างและประกอบยุ่งยาก มีความพยายามจะออกแบบยานยนต์ หรืออากาศยานด้วยวัสดุโปรแกรมได้ เช่น กรณีของคาร์บอนไฟเบอร์โปรแกรมได้ คาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรง เหนียว และมีน้ำหนักเบา ซึ่งทำให้ใช้งานได้ในหลายอุตสาหกรรม บริษัท Briggs Automotive Company ผู้ผลิตปีกซูเปอร์คาร์ ร่วมกับบริษัท Airbus และ MIT ออกแบบการขึ้นรูปชิ้นส่วนที่ใช้ควบคุมปริมาณอากาศที่จะปล่อยให้เข้าสู่ห้องเครื่องเจ็ต แต่ละชิ้นส่วนของคาร์บอนไฟเบอร์โปรแกรมได้ จะเปลี่ยนรูปร่างของมัน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางแอโรไดนามิกส์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้ช่วยลดน้ำหนักอากาศยานลงอย่างมาก และไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เชิงกลควบคุมอีกต่อไป วัสดุโปรแกรมได้ยังมีใช้ในข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน เช่น ทำจากไม้อัดโปรแกรมได้ ซึ่งอาจนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่มีรูปร่างขนย้ายได้ง่าย แต่จะกลายเป็นรูปร่างสุดท้ายเมื่อไปถึงที่หมายแล้วและโดนกระตุ้น หรือบางทีแม้แต่เสื้อผ้า ก็อาจใช้วัสดุการพิมพ์แบบ 3 มิติ มาช่วยสร้างชุดเสื้อผ้าแบบโปรแกรมได้เช่นกัน วัสดุพวกนี้จึงออกแบบให้มีหน้าตารูปร่างสุดท้าย ตั้งแต่การเริ่มต้นผลิต  ในส่วนของ สวทช. มีห้องปฏิบัติการใน เอ็มเทค และ นาโนเทค ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับวัสดุทำนองนี้อยู่ 6. Image & VDO Content Analytics      เมื่อขึ้นยานพาหนะที่อาจจะใช้วัสดุที่โปรแกรมล่วงหน้าได้แล้ว ลองมาดูเรื่องการจราจรกันต่อไป ปัจจุบัน กล้องดิจิทัลสมาร์ตโฟนที่ถ่ายภาพได้ ระบบคลาวด์ที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลเหลือเฟือ ประกอบกับการเจริญเติบโตของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้คนทุกมุมโลกเชื่อมต่อ สร้างและเก็บข้อมูลภาพและวิดีโอ มากมายตลอดเวลา เทคโนโลยีการวิเคราะห์เนื้อหาภาพและวิดีโอ (Image and Video Content  Analytics) จึงมีส่วนสำคัญในการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลดังกล่าว มีหลายนวัตกรรมที่สอดรับกับการจัดการบิ๊กเดต้า (Big Data) หรือข้อมูลขนาดใหญ่ ในโครงการสำคัญระดับชาติ ในโครงการสมาร์ตซิตี้ ที่จะนำร่องที่จังหวัดภูเก็ต โดยเน้นในเรื่องการรักษาความปลอดภัย ภาพจากกล้อง CCTV ใน ปัจจุบัน ยังนำมาใช้งานแบบ passive เป็นหลัก คือ เกิดเหตุแล้วนำมาใช้ช่วยตรวจสอบ แต่ในยุคหน้าเทคโนโลยี Content Analytics จะช่วยทำให้เป็นแบบ active และ real time ปัจจุบันเริ่มมีการนำเทคโนโลยี Deep learning มาใช้วิเคราะห์ภาพและวิดีโอในทางอุตสาหกรรมบ้างแล้ว สำหรับประเทศไทย เทคโนโลยีนี้เคยถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม อาทิ ด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ อาทิ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการขนส่งและการบิน อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ ล้วนมีความต้องการใช้งานเทคโนโลยีนี้ นอกจากนี้ ยังใช้ในร้านสะดวกซื้อ งานรักษาความปลอดภัย และการช่วยเหลือชีวิต เช่น ตรวจสอบเพลิงไหม้ และการทะเลาะวิวาทแบบอัตโนมัติ และยังใช้ป้องกันการก่อการร้ายได้ด้วย ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ล้วนแล้วแต่สนับสนุนแนวคิดการสร้าง New S-Curve ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยหลุดจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” ที่เราเผชิญอยู่ ตามแนวนโยบายของกระทรวงและของประเทศ Work & Health 7. Terahertz Tech      เทคโนโลยีอีก 3 อย่างที่เหลือ จะเกี่ยวข้องกับการแพทย์ และการรักษาโรคในอนาคตอันใกล้ในแบบใดแบบหนึ่ง เรามาดูกันก่อนที่เทคโนโลยีเทระเฮิรตซ์ (Terahertz Technology) คลื่นเทระเฮิรตซ์ คือ ช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ระหว่าง คลื่นไมโครเวฟ และ คลื่นอินฟราเรด ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ ในช่วง 30 ไมโครเมตร ถึง 3 มิลลิเมตร ซึ่งเหมาะจะใช้ในการสื่อสารโทรคมนาคม การตรวจจับสารเคมี และสารตั้งต้นวัตถุระเบิด จึงเหมาะสำหรับใช้งานในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัย รวมทั้งใช้ในอุตสาหกรรมที่เป็น mass market อย่างเช่น การควบคุมคุณภาพของกระดาษ การควบคุมความหนา ของสีเคลือบผิววัสดุ การตรวจสอบรอยต่อของวงจรใน ICs และใช้ตรวจสอบกระบวนการ และผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม และการควบคุมคุณภาพการผลิต (QC) ได้ด้วย คลื่นเทระเฮิรตซ์ยังใช้ตรวจสอบโครงสร้างและแยกแยะองค์ประกอบทางเคมีอย่างเฉพาะเจาะจงได้ จึงใช้กับผลิตภัณฑ์ด้านเภสัชกรรม และด้านชีวการแพทย์ ได้ แต่ความโดนเด่นของเทคโนโลยีนี้ ซึ่งน่าจะเหมาะกับประเทศไทยเป็นอย่างมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ เทคโนโลยีเทระเฮิรตซ์ เหมาะมากกับวัสดุจำพวกอินทรีย์สาร อย่างสินค้าเกษตรชนิดต่างๆ นั่นเอง เพราะไม่ทำอันตรายกับตัวอย่าง 8. Service Drone โดรน (drone) หรือ อากาศยานไร้คนขับ ก็คือ อากาศยานที่สามารถบิน และปฏิบัติงานได้โดยไม่ได้มีนักบินหรือคนบังคับอยู่ภายในตัวอากาศยานนั่นเอง ทั้งนี้โดรนนั้นสามารถถูกควบคุมได้หลายรูปแบบ โดรนที่ถูกใช้งานในภาคพลเรือนมีแนวโน้มการเติบโตสูงกว่าโดรนทางการทหารมาก มีการนำโดรนไปประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย ทั้งในด้าน การเกษตร การจัดการภัยพิบัติ (ในพื้นที่เข้าถึงยาก) การบริการถ่ายภาพทางอากาศ (โดยเฉพาะในพื้นที่หรือระดับความสูงที่เดิมเข้าไม่ถึง) การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การตรวจสอบโครงสร้างขนาดใหญ่ ตลอดจนการสำรวจพื้นที่เพื่อใช้ในการตัดสินใจและวางแผนในการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เป็นต้น จุดเด่นของโดรนก็คือ ให้ภาพที่มีรายละเอียดสูงกว่าภาพถ่ายดาวเทียม และยังสามารถนำภาพเหล่านั้นมา reconstruct ใหม่ให้ได้เป็นภาพแบบจำลอง 3 มิติ (3D Model) ของสถานที่นั้นๆ ได้อีกด้วย เห็นได้ว่ายังมีช่องว่างให้นักธุรกิจ และนักลงทุนในประเทศไทยอีกมาก รวมถึงยังมีโอกาสและช่องทางให้นักวิจัยและนักพัฒนาในประเทศไทยพัฒนาโดรนเพิ่มเติม เช่น โดรนที่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกภายในอาคาร โดรนซึ่งสามารถยึดเกาะกับสิ่งของและบรรทุกของ รวมทั้งโดรนที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม หรือ Swarm Robot (มีการทดสอบใช้สร้างสะพานเชือกชั่วคราว) เป็นต้น ในทางการแพทย์มีการใช้โดรนในการขนส่งยารักษาโรคไปส่งในบริเวณที่ขับรถไปได้ยากลำบากในฤดูฝนของประเทศในแอฟริกา หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง อะเมะซอน ประกาศจะใช้โดรนในการขนส่งสินค้าน้ำหนักไม่เกิน 2.5 กิโลกรัม และที่หมายอยู่ห่างจากคลังสินค้าไม่เกิน 16 กิโลเมตร ส่วนเฟซบุ๊กก็มีแผนจะปล่อยโดรนพิเศษที่ปล่อยสัญญาณไวไฟได้ เพื่อให้คนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ และต้นปีนี้เองมีบริษัทที่ประกาศแผนงานจะใช้โดรนในการขนส่งคนด้วย ข้อจำกัดของโดรนในงานบริการก็คือ ข้อบังคับหรือกฎหมายที่จะเข้ามาควบคุมความเสี่ยงจากการก่อการร้าย 9. Customized Stem Cell      เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่น่าทึ่ง จนต้องนำมารวมไว้ในที่นี้อีกเรื่องก็คือ เทคโนโลยีการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า Customized Stem Cell หรือ เซลล์ปกติที่ชักนำกลับมาให้เป็นสเต็มเซลล์ได้ เรียกเซลล์ประเภทนี้แบบย่อๆ ว่าเป็น iPSC ความแตกต่างของเซลล์ทั่วไปกับ iPSC ก็คือ เราสามารถกระตุ้น iPSC ที่เป็นสเต็มเซลล์ ให้กลายไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้อย่างแทบจะไม่จำกัด จึงใช้ในงานตรวจวิเคราะห์ทดสอบแบบ high throughput ทั้งสำหรับการคัดกรองและทดสอบยาหรือวัคซีน หรือสารออกฤทธิ์อื่นๆ ได้ และยังใช้ตรวจสอบแบบ personalized medicine หรือ การแพทย์เฉพาะบุคคลได้ จึงถือเป็น platform technology ที่มีความปลอดภัย ค่าใช้จ่ายต่ำ และลดการใช้สัตว์ทดลองได้ การรักษาเฉพาะบุคคล โดยใช้ iPSC เป็นแบบจำลองสำหรับทดสอบยาโดยใช้เซลล์ของคนไข้เอง ทำให้คนไข้หลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยาได้ ขณะนี้มีงานวิจัยที่ใช้ iPSC เพื่อศึกษาการรักษาโรคพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของยีนและโครโมโซม เช่น โรคทาลัสซีเมีย ดาวน์ซินโดรม และเฮโมฟีเลีย แล้ว เทคโนโลยีการสร้าง iPSC เป็นผลงานของ ดร.ชินยะ ยามานากะ นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ชาวญี่ปุ่น โดยอาศัยการใส่สารพันธุกรรมที่พบมากในสเต็มเซลล์ของตัวอ่อนเข้าไปในเซลล์ร่างกายทั่วไป เช่น เซลล์ผิวหนัง หรือเซลล์เลือด สารพันธุกรรมจะไปเหนี่ยวนำให้เซลล์เปลี่ยนรูปไปเป็น iPSC เรียกว่าเกิดการโปรแกรมเซลล์ย้อนกลับ (cellular reprogramming) ผลงานนี้ทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี 2555 บริษัท Cellular Dynamics International พัฒนาเทคโนโลยีนี้ จนสามารถใช้ทดสอบความเป็นพิษของยา และ FDA ได้ยอมรับให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นวิธีการมาตรฐานแบบหนึ่ง สำหรับการพัฒนายาสำหรับโรคหัวใจได้ในปีที่ผ่านมา โดยสรุป สเต็มเซลล์แบบนี้ ทำได้ง่ายขึ้น กระบวนการทำก็ไม่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม เพราะเอาเซลล์ของเจ้าตัวมาทำ จึงเป็น “ยาเฉพาะบุคคล” หรือ personalized medicine ได้แบบหนึ่ง 10. CRISPR/Cas 9 (คริส-เป้อ-แคส-ไนน์)      เทคโนโลยีสุดท้ายที่จะกล่าวถึง เรียกว่า CRISPR/Cas9 เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก แต่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงจนวารสาร Science คัดเลือกให้เทคโนโลยีนี้เป็น Breakthrough of the year ในปีที่แล้ว เชื่อกันว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็น disruptive technology คล้ายๆ กับที่ DVD มาแทนที่ VCD เพราะทำได้อย่างมีความจำเพาะเจาะจงมากกว่า ทำได้ง่ายกว่า และใช้เวลาน้อยกว่า เทคโนโลยีนี้อาศัยความรู้ที่เลียนแบบ ระบบภูมิคุ้มกันของแบคทีเรียที่ใช้สู้กับไวรัสที่รุกรานเข้าไปในเซลล์ของพวกมัน ทำให้สามารถตัดหรือใส่ดีเอ็นเอที่ต้องการได้อย่างจำเพาะเจาะจง เทคโนโลยีนี้จึงช่วยด้านเกษตรกรรม โดยร่นระยะเวลาสร้างพืชหรือสัตว์ชนิดใหม่ๆ ทำให้มีพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ที่หลากหลายมากขึ้น เพิ่ม food security ให้กับโลก เทคโนโลยีนี้จะทำให้ได้พันธุ์พืชและสัตว์ที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่และสิ่งแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนไป เช่น ต้านทานโรค/แมลง ทนร้อน และทนเค็ม ได้ ในสหรัฐอเมริกาไม่ถือว่าผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นด้วยเทคโนโลยี CRISPR/Cas9 นี้ เป็น GMOs  เนื่องจาก ไม่เหลือยีนแปลกปลอมใดๆ หลังการเปลี่ยนแปลง แต่ในยุโรปยังไม่สรุปว่าผลิตภัณฑ์แบบนี้เป็น GMOs แบบหนึ่งหรือไม่ บริษัท Cibus ใช้เทคโนโลยีนี้กับยีนของ คาโนล่า (canola) ทำให้ทนต่อยาปราบวัชพืช และแคนาดายอมรับให้ขายได้แล้ว นักวิจัย Penn State’s College of Agricultural Science ใช้ CRISPR/Cas9 พัฒนา anti-browning mushroom ทำให้เก็บรักษาเห็ดได้นานขึ้น โดยไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และ USDA อนุญาตให้ผลิตเชิงการค้าได้ ส่วนบริษัท Dupont ก็ร่วมมือกับบริษัท Caribou Biosciences ของ University of California, Berkeley ใช้เทคโนโลยีนี้กับข้าวโพดทนแล้ง และข้าวสาลี ถั่วเหลือง มะเขือเทศ กับมันฝรั่ง เพื่อทำให้ต้านทานโรค โดยอยู่ในขั้นวิจัยระดับห้องปฏิบัติการ และคาดหมายว่า ในห้าปีต่อจากนี้ จะมีพืชพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากเทคโนโลยีนี้ออกสู่ตลาด สำหรับประเทศไทย เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีนี้ในงานวิจัยบ้างแล้ว โดยเฉพาะในโรคติดเชื้อสำคัญอย่างมาลาเรีย บทสรุป จะเห็นได้ว่า 10 เทคโนโลยีที่ควรจับตามอง ในปีนี้ ครอบคลุมมิติของชีวิตอย่างหลากหลาย ไม่ต่างจากปีก่อนๆ ซึ่งท่านผู้ประกอบการน่าจะเห็นได้ว่า หลายเรื่องถือเป็นโอกาสที่น่าจะเข้าไปลงทุน ในขณะที่สำหรับคนทั่วไปก็คงเห็นได้ว่า เทคโนโลยีสมัยนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เราควรต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับมันให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง หมายเหตุ สำหรับผู้อ่านที่สนใจจะชมคลิปวิดีโอการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “10 เทคโนโลยีที่ควรจับตามองสำหรับธุรกิจ” โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. นี้ สามารถเข้าไปชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ar8OYXBj6Mc ข้อมูลภาพอ้างอิง     •    http://www.bandt.com.au/information/uploads/2016/03/tesla-wall-charger-e1442438329238.jpg •    http://www.drinksware.co.uk/uploads/Products/product_55/cornstarch-cups.jpg •    http://solidsmack.com/wp-content/uploads/2013/09/igo3d_builder_3d-printer.jpg •    http://3dprintingindustry.com/wp-content/uploads/2014/11/tno-3d-printing-food-spore.png •    https://d1o50x50snmhul.cloudfront.net/wp-content/uploads/2016/05/gettyimages-145083512-800x533.jpg •    http://i2.cdn.turner.com/money/dam/assets/160627163001-baubax-jacket-780x439.jpg •    http://thenewstack.io/shapeshifted-things-4d-printed-materials-programmed-for-self-transformation/ •    http://www.sciencemag.org/sites/default/files/highwire/covers/350/6267/350-6267-cover.gif •    https://media.licdn.com/mpr/mpr/AAEAAQAAAAAAAAe8AAAAJDE4NDJiNzUzLTEwZjUtNGZmMy1iZWVjLWM5NzdlYWZlOGY2Mg.jpg •    http://www.fujitsu.com/global/Images/20110912-01a_tcm100-838802.jpg •    https://www2.aofoundation.org/AOFileServerSurgery/MyPortalFiles?FilePath=/Surgery/en/_img/surgery/FurtherReading/PFxM2/2.3-3.jpg •    https://pbs.twimg.com/media/ChB3I7qWYAAMNLg.jpg •    https://rettsyndrome.files.wordpress.com/2012/10/nobel-2012.jpg •    http://www.sciencemag.org/sites/default/files/highwire/covers/350/6267/350-6267-cover.gif  
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
บทความ
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – สวทช. ร่วมกับ เว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม ประกาศผลสุดยอดแอนิเมชั่น เงินออมสร้างชาติ
วทช. ร่วมกับ เว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม ประกาศผลสุดยอดแอนิเมชั่น เงินออมสร้างชาติ 3 ผลงานเข้าตา คว้ารางวัลรองชนะเลิศร่วมกัน 3 รางวัล 3 ตุลาคม 2559 - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) ร่วมกับ บริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์ www.WealthMagik.com ที่ให้บริการข้อมูลความรู้ด้านการวางแผนการออมด้วยกองทุนรวม จัดกิจกรรมการประกวดพัฒนาสื่อการ์ตูนแอนิเมชั่นในระดับอุดมศึกษา ภายใต้ชื่อ โครงการ Software Park - WealthMagik Animation Award ในหัวข้อ “สุดยอดแอนิเมชั่น เงินออมสร้างชาติ” มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ได้ตระหนักถึงคุณค่าของการออม และส่งเสริมให้นักศึกษาพัฒนาศักยภาพด้านไอที และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้นำความรู้ด้านการพัฒนาสื่อซอฟต์แวร์แอนิเมชั่น ผสมผสานความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคลมาประยุกต์ เพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และเข้าใจได้ง่ายในรูปแบบการ์ตูนแอนิเมชั่น โดยมีนักศึกษาระดับปริญญาตรี - โท ให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่า 40 ทีมจากทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละทีมที่ผ่านเข้ารอบได้ถูกคัดเลือกจากเนื้อเรื่อง สตอรี่บอร์ด และผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ รวมทั้งร่วมกิจกรรมบูธแค้มป์ระหว่างการแข่งขัน เพื่อเสริมความรู้ด้านการเงิน การพัฒนาแอนิเมชั่นจากผู้เชี่ยวชาญ โดยกิจกรรมครั้งนี้เป็นการแข่งขันประกวดรอบ 10 ทีมสุดท้ายแล้ว ผลปรากฎว่ามี 3 ผลงานเข้าตา คว้ารางวัลรองชนะเลิศร่วมกัน 3 รางวัล แทนสุดยอดทีมชนะเลิศแอนิเมชั่น เงินออมสร้างชาติ ซึ่งผลงานน้องๆ เหล่านี้จะมีการนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักในเรื่องการออมให้แก่สังคมไทยผ่านสื่อออนไลน์ต่อไป อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/334 ​
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. หนุนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์เพิ่มประสิทธิภาพด้วย IoT
​ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. หนุนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพด้วย IoT   30 ก.ย. 59 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร : กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand)  ร่วมกับ IoT Consortium และพันธมิตร จัดโครงการ “พัฒนาแนวคิดนวัตกรรม Internet of Things (IoT) เพื่ออุตสาหกรรมโลจิสติกส์” ส่งเสริมให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมถึงผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น ผู้ประกอบการธุรกิจด้านไอที และคนรุ่นใหม่ นำความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีมาร่วมกันสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22269-nstda-makerthon
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – สวทช. รับรางวัล “หน่วยงานที่มีความพร้อมในการให้บริการรองรับ IPv6” ประจำปี 2559
สวทช. รับรางวัล “หน่วยงานที่มีความพร้อมในการให้บริการรองรับ IPv6” ประจำปี 2559 จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม   สืบเนื่องจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ผลักดัน ส่งเสริม เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงาน IPv6 ของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักทำหน้าที่บริหารจัดการตามมติดังกล่าว โดยกระทรวงฯ ได้เชิญให้หน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมประกวดในโครงการ “การนำหน่วยงานเปลี่ยนผ่านไปสู่ IPv6” โดยมีหลักเกณฑ์ให้ปรับปรุงเครือข่ายของบริการให้รองรับ IPv6 ทั้ง 3 ด้าน อันประกอบด้วย บริการเว็บไซต์ บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ และบริการโดเมนเนม ทั้งนี้ คณะกรรมการได้ประเมินความพร้อมใช้ของบริการดังกล่าว ในช่วงวันที่ 22 สิงหาคม ถึงวันที่ 1 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งบริการทั้งหมดจะต้องมีความเสถียรอย่างน้อย 80% ในการนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ของการประกวดดังกล่าวแล้วเห็นว่า สวทช. ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จึงมอบรางวัล "หน่วยงานที่มีความพร้อมในการให้บริการรองรับ IPv6" ประจำปี 2559 ให้กับ สวทช. โดยคุณวารุณี ลีละธนาวิทย์ (ผช.ผพว. ด้านสารสนเทศ) และ ดร.ทวีทรัพย์ อภิวัฒนาพงศ์ (ผอ.ฝ่ายบริการคอมพิวเตอร์และเครือข่าย) เป็นผู้แทน สวทช. เข้ารับรางวัลดังกล่าวจากนางทรงพร โกมลสุรเดช ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในงาน “IPv6 ประจำปี 2559” เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2559 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ   ​
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – ก.วิทย์ฯ สวทช. นำงานวิจัย “โลชั่นกันยุงนาโน-จุลินทรีย์ฆ่าลูกน้ำยุงลาย” รณรงค์ป้องกันไข้เลือดออก-ไวรัสซิก้า จ.ปทุมธานี
ก.วิทย์ฯ สวทช. นำงานวิจัย “โลชั่นกันยุงนาโน-จุลินทรีย์ฆ่าลูกน้ำยุงลาย” รณรงค์ป้องกันไข้เลือดออก-ไวรัสซิก้า จ.ปทุมธานี     วันที่ 28 กันยายน 2559) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) : นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยนักวิจัยและพนักงาน สวทช. ลงพื้นที่ชุมชมร่วมใจพัฒนา หมู่ 4 ต.สวนพริกไทย อ.เมือง จ.ปทุมธานี เพื่อทำกิจกรรมรณรงค์ “ยุงลาย พ่ายงานวิจัย” เดินรณรงค์เคาะประตูบ้านเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ตระหนักถึงการป้องกันโรคไข้เลือดออกและไข้ไวรัสซิก้า ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์วิจัยของ สวทช.และพันธมิตร จำนวน 500 ชุด มาใช้ในพื้นที่ เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากยุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยมีนายไพฑูรย์ สายเนตรงาม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสวนพริกไทย (อบต.สวนพริกไทย) เจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ร่วมเดินรณรงค์ โดยได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก  สำหรับผลงานวิจัยที่ สวทช. นำมารณรงค์ป้องกันไข้เลือดออกและไวรัสซิกา ได้แก่ “มอสคิล” ชีวภัณฑ์กำจัดลูกน้ำยุงลาย จากจุลินทรีย์จำพวกแบคทีเรีย ที่ใช้ควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงลายแทนการใช้สารเคมี โดยแบคทีเรียจะเข้าสู่ตัวลูกน้ำยุงลายได้ 3 ทาง คือ ทางผิวหนัง ท่ออากาศและปาก มีฤทธิ์เป็นพิษอย่างเฉพาะเจาะจงกับลูกน้ำยุงลาย แบคทีเรียสามารถซึมผ่านของเหลวและออกฤทธิ์ทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารและระบบเลือด ทำให้เกิดสภาพที่เป็นด่างในกระเพาะของลูกน้ำยุงลายส่งผลให้เกิดอาการอัมพาต และทำให้ลูกน้ำยุงลายตายก่อนที่จะเจริญเป็นตัวเต็มวัย มีประสิทธิภาพกำจัดลูกน้ำยุงลายได้ภายใน 24 ชั่วโมง ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ใช้กำจัดลูกน้ำยุงลายได้ มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และปลา ไม่สะสมในร่างกายคนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม     นอกจากนั้นแล้ว ยังมี “โลชั่นกันยุงนาโน” (NaNOMOS LOTION ) ที่วิจัยและพัฒนาโดย ศูนย์นาโนเทค สวทช. ผลิตในรูปแบบสเปรย์ ใช้สำหรับทาผิวหนัง ด้วยเทคโนโลยีการกักเก็บทำให้ได้เป็นนาโนอิมัลชั่นกักเก็บสารสังเคราะห์ไอคาริดิน (Icaridin) ที่ออกฤทธิ์ไล่ยุงได้นานมากกว่า 6 ชั่วโมง ซึ่งออกฤทธิ์ได้นานกว่าผลิตภัณฑ์โลชั่นกันยุงทั่วไป และป้องกันยุงกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ จุดเด่นของโลชั่นกันยุงนาโน ใช้เทคโนโลยีการกักเก็บในรูปแบบของนาโนอิมัลชั่นที่มีขนาดของอนุภาคระดับนาโนเมตร จึงทำให้พื้นที่ผิวของอนุภาคเพิ่มขึ้น ช่วยป้องกันการระเหยและการเสื่อมสภาพของสารออกฤทธิ์ได้ดีเยี่ยม ลักษณะของโลชั่น มีความโปร่งใสและมีกลิ่นสัมผัสที่น่าใช้ เพียงฉีดสเปรย์บริเวณผิวหนังที่ต้องการและทาให้ทั่วเพื่อป้องกันยุงกัด ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพทางชีววิเคราะห์ช่วยป้องกันยุงลายบ้านกัดได้ โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)   อย่างไรก็ตามสถานการณ์ไข้เลือดออกในปีนี้ยังพบผู้ป่วยน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกัน ของปีที่ผ่านมา สำหรับไวรัสซิกาซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค รายงานล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่ต้นปี 2559 ถึงปัจจุบัน พบว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสซิกาสะสม 279 รายจากทั่วประเทศ แม้จะอยู่ในภาวะควบคุมได้ แต่ด้วยความรุนแรงของเชื้อไวรัสซิกาก็มีผลต่อหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เพราะทำให้เด็กเกิดมาพิการแต่กำเนิด มีศีรษะเล็ก ดังนั้นประชาชนจึงต้องตื่นตัวและเฝ้าระวังโรคอย่างใกล้ชิด ซึ่งกิจกรรมรณรงค์ครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนในตำบลสวนพริกไทยเป็นอย่างมาก และคาดหวังว่าผลงานวิจัยของ สวทช.และพันธมิตรจะช่วยทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายภายในบริเวณที่พักอาศัยของประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไข้เลือดออกและไข้ติดเชื้อไวรัสซิกาได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ​    
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – ก.วิทย์ฯ สวทช. จับมือ มูลนิธิโครงการหลวงส่งมอบเห็ดหอมอร่อยสดนาน ด้วยนวัตกรรมใหม่ “ActivePAK BPW”
ก.วิทย์ฯ สวทช. จับมือ มูลนิธิโครงการหลวง ส่งมอบเห็ดหอมอร่อยสดนาน ด้วยนวัตกรรมใหม่ "ActivePAK BPW"   22 ก.ย. 59 ณ พาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน :- กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง ส่งมอบเห็ดหอมอร่อยสดนานยิ่งขึ้นแก่ผู้บริโภคด้วยบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ “ActivePAK BPW" ที่มีเทคโนโลยี EMA (Equilibrium Modified Atmosphere) สามารถสร้างสมดุลบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ จึงคงความสด คุณค่า และรสชาติของเห็ดหอมให้สด อร่อย ได้นานสูงสุด 2-5 เท่า ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค พร้อมตอกย้ำจุดยืนของโครงการหลวงที่ช่วยสร้างอาชีพ และคุณภาพชีวิตที่ดีแก่เกษตรกรชาวดอยภาคเหนือ โดยมีผลลัพธ์เป็นเห็ดหอมสดคุณภาพสูงจากยอดดอย ส่งถึงมือผู้บริโภค ล่าสุดเผยโฉมเห็ดหอมสดในถุงรุ่นใหม่ “ActivePAK BPW” แล้ว ในงาน Royal Project Market สดๆ จากเกษตรกรชาวดอย 22 - 26 กันยายน 2559 ณ พาร์ค พารากอน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22247-mtec-activepak         ​
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – นักวิจัยนาโนเทค ได้รับทุนวิจัยลอรีอัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2559
นักวิจัยนาโนเทค ได้รับทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2559 ​              ดร.สุภาวดี นาเมืองรักษ์ นักวิจัยจากหน่วยวิจัยวัสดุนาโนและวิศวกรรมระบบนาโน ห้องปฏิบัติการคำนวณระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับผลงานวิจัยหัวข้อ “การประยุกต์ใช้แบบจำลองโมเลกุลสามมิติ และการคำนวณด้วยเทคนิคทางเคมีคอมพิวเตอร์ขั้นสูงเพื่อการออกแบบและพัฒนาวัสดุโครงสร้างระดับนาโนสำหรับการใช้งานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 3 ท่านผู้ได้รับทุนจาก 3 สาขา ของโครงการทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ประจำปี 2559 ดร.สุภาวดี นาเมืองรักษ์ ผู้ได้รับทุนวิจัยสาขาเคมี กล่าวถึงรายละเอียดของงานวิจัยว่า “การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเชิงลึกระดับโมเลกุลในกระบวนการเกิดปฏิกิริยาเคมีในวัสดุนาโนเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบและพัฒนาวัสดุนาโนเพื่อการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การบำบัดสภาพอากาศหรือการผลิตพลังงานชีวภาพจากชีวมวล ซึ่งจากแนวโน้มประชากรโลกและปริมาณการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นทุกปี ส่งผลให้การพัฒนาวิจัยด้านการสรรหาพลังงานทดแทนควบคู่กับการพัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญและสร้างสรรค์ให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในการพัฒนาพลังงานทางเลือก รวมไปถึงเพิ่มวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมลพิษทางอากาศ และหวังว่าผลลัพธ์ที่ได้จากงานวิจัยจะสร้างประโยชน์ให้กับทั้งระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก” ทั้งนี้ ทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย เป็นทุนที่ บริษัทลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศรายชื่อนักวิจัยสตรีผู้มีผลงานอันโดดเด่นจนได้รับทุนโครงการทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ประจำปี 2559 โดยในปีนี้เป็นปีที่ 14 ของการดำเนินโครงการในประเทศไทย ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นในการร่วมเชิดชูเกียรติสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์และสนับสนุนงานด้านการค้นคว้าและวิจัยเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทย  โดยมีนักวิจัยสตรีที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 58 ท่าน
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – สวทช. นำคณะผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน The 4th Forum on China-ASEAN Technology Transfer and Collaborative Innovation ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน
สวทช. นำคณะผู้ประกอบการไทยร่วมงาน The 4th Forum on China-ASEAN Technology Transfer and Collaborative Innovation ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน​                                   กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) นำผลงานวิจัย และผู้ประกอบการภาคเอกชนของไทย เข้าร่วมงานส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยี ในการประชุมจีน-อาเซียนว่าด้วยการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความร่วมมือด้านนวัตกรรมครั้งที่ 4 (The 4th Forum on China–ASEAN Technology Transfer and Collaborative Innovation) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมแสดงสินค้าจีน–อาเซียนครั้งที่ 13 (The 13th China–ASEAN Expo หรือ CAEXPO) ณ นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 11-14 กันยายน 2559 สำหรับงานนี้ สวทช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร และผู้ประกอบการภาคเอกชนของไทย จำนวน 28 ราย นำผลงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ด้านเกษตรและอาหารแปรรูปที่มีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยี จำนวน 46 รายการ เข้าร่วมจัดแสดงในส่วนของนิทรรศการด้านเทคโนโลยีที่ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ นครหนานหนิง ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมนิทรรศการเป็นจำนวนมาก นับเป็นการประชาสัมพันธ์และเปิดตลาดให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็น น้ำผึ้งจากชันโรง (Stingless Bee) และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากน้ำผึ้งชันโรง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพริก เช่น พริกแผ่น น้ำจิ้มอาหารทะเล พริกป่นปรุงสำเร็จ เจลบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากพริก ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้ไทย ฯลฯ นอกจากนั้น ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างผู้ประกอบการภาคเอกชนของไทย และตัวแทนจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทางการเกษตรของประเทศจีนด้วย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการของไทยในการเปิดตลาดในประเทศจีนอีกทางหนึ่ง ผู้สนใจสามารถได้ที่ http://www.nstda.or.th/tcttc/index.php/category/caexpo2016/
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – สวทช. เปิดศูนย์วิเคราะห์ทดสอบ หนุนบริการทดสอบสินค้ามูลค่าสูงได้มาตรฐาน
สวทช. เปิดศูนย์วิเคราะห์ทดสอบ หนุนบริการทดสอบสินค้ามูลค่าสูงได้มาตรฐาน พร้อมจับมือ 16 สมาชิกเครือข่ายศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ เพิ่มกำลังการแข่งขันผู้ประกอบการไทย​   13 กันยายน 2559 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดพิธีเปิด “ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. หรือ NCTC (NSTDA Characterization and Testing Center)” เพื่อให้บริการวิเคราะห์ทดสอบตามวิธีมาตรฐานต่างๆ ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย มูลค่าสูง และได้มาตรฐาน พร้อมนักวิจัยวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้สามารถวิเคราะห์ทดสอบงานที่ซับซ้อนได้ เปิดดำเนินการ 7 วัน 24 ชั่วโมง พร้อมให้บริการด้วยความสะดวกและรวดเร็ว สนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้ามูลค่าสูงทั้งภาครัฐและเอกชน ในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ หุ่นยนต์และแมคาทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ พร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งด้วยลงนามความร่วมมือการทำงานในรูปแบบเครือข่ายศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ประเทศไทย กับศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศรวม 16 แห่ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก สำหรับ ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. ตั้งอยู่ชั้น 3 อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2-C (INC2-C) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 2117 6850 อีเมล์ : nctc@nstda.or.th อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22234-nctc-nstda
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – สุดยอดไอเดียเด็กไทย! มนุษย์อวกาศญี่ปุ่นเลือกไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ
สุดยอดไอเดียเด็กไทย! มนุษย์อวกาศญี่ปุ่นเลือกไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ     8 ก.ย. 59 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ : กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือแจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency : JAXA) แถลงข่าวผลการคัดเลือกสุดยอดไอเดียการทดลองวิทยาศาสตร์ของเยาวชนไทย คือ “การโค้งของผิวของเหลวในอวกาศ (Capillary in Zero gravity)” ส่งให้กับมนุษย์อวกาศญี่ปุ่นทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ พร้อมเปิดโอกาสให้เด็กไทยเจ้าของไอเดียร่วมเป็นสักขีพยานชมการทดลองสดที่ญี่ปุ่น ในวันที่ 14 กันยายน 2559 ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า “กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ Japan Aerospace Exploration Agency (แจ็กซา) จัดทำโครงการ Asian Try Zero-G 2016 เปิดรับแนวคิดการทดลองวิทยาศาสตร์จากเยาวชนไทย เพื่อส่งให้มนุษย์อวกาศญี่ปุ่น นายทะกุยะ โอะนิชิ เลือกนำไปใช้ทดลองในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง บนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยในโครงการมีเยาวชนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จาก นิวซีแลนด์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ปากีสถาน เป็นต้น ให้ความสนใจส่งไอเดียการทดลองวิทยาศาสตร์เข้าร่วมจำนวน 28 เรื่อง ซึ่งทางแจ็กซาได้คัดเลือกไอเดียของเด็กไทยจำนวน 1 เรื่อง โดยจะนำขึ้นไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ ในวันที่ 14 กันยายน นี้ คือ “การทดลอง (Capillary in Zero gravity)” ผลงานของ นายวรวุฒิ จันทร์หอม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี” ซึ่งกระทรวงฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการสนับสนุนพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของเด็กไทยให้มีความทัดเทียมกับนานาประเทศ และเป็นกำลังสำคัญด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศต่อไปในอนาคต   ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สวทช. องค์กรด้านการวิจัยและพัฒนามีนโยบายให้การสนับสนุนเยาวชนในการพัฒนาความรู้ด้าน วทน. ซึ่งในแต่ละปีจะมีเยาวชนเข้าร่วมโครงการของ สวทช. เป็นจำนวนมาก สำหรับโครงการนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ข้อเสนอโครงการของเยาวชนไทยได้รับการคัดเลือกจากแจ๊กซา คือ “การโค้งของผิวของเหลวในอวกาศ (Capillary in Zero gravity)” พร้อมกับข้อเสนอโครงการของเยาวชนอีก 4 เรื่องจาก 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ ด้วยความร่วมมือในระดับนานาชาติที่ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี แจ็กซาจึงได้เปิดโอกาสให้เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจากโครงการเข้ารับชมการถ่ายทอดสดการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์อวกาศชาวญี่ปุ่น จากสถานีอวกาศนานาชาติ ผ่านห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ (Tsukuba Space Center) ในวันพุธที่ 14 กันยายน 2559 และมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมหลักสูตรการฝึกมนุษย์อวกาศระยะสั้น 1 วัน อีกด้วย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกการที่แจ็กซาเปิดโอกาสดังกล่าว และการที่เยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการคิดและค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่ได้จากการทดลองในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะการทดลองนี้ไม่สามารถทำได้บนพื้นโลก   นายวรวุฒิ จันทร์หอม นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เจ้าของไอเดียการทดลอง “Capillary in Zero gravity” กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการทดลองนี้มาจากการทำ Lab ในห้องเรียน ซึ่งผมสังเกตว่าของเหลวที่อยู่ในภาชนะที่มีลักษณะเป็นหลอด ผิวของน้ำจะมีลักษณะแตกต่างกัน บางผิวมีลักษณะเว้าขึ้น บางผิวมีลักษณะเว้าลง ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการอ่านข้อมูล ผมจึงเริ่มหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาสนับสนุนการทดลองในครั้งนี้ และพบว่าความเว้านูนของน้ำขึ้นอยู่กับแรง adhesive และ cohesive ซึ่งในสมการจะมีแรงเนื่องจากแรงโน้มถ่วงอยู่ในสมการ ผมจึงสงสัยว่าถ้าทดลองในสภาวะไร้น้ำหนัก ลักษณะของผิวของเหลวจะเป็นอย่างไร โดยการทดลองจะนำของเหลวต่างชนิดกันมาบรรจุในเข็มฉีดยา (Plastic syringe) จากนั้นสังเกตผิวของของเหลวแล้วนำมาเปรียบเทียบกับการทดลองบนโลก “ผมรู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากครับ ที่การทดลองของผมได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 ของการทดลองในปีนี้ และเป็นประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ได้เข้าร่วมโครงการกับองค์กรระดับโลกอย่าง JAXA ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เอาข้อสันนิฐานไปพิสูจน์และผลจากการทดลองไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงครับ” นายวรวุฒิ จันทร์หอม กล่าว   ทั้งนี้สามารถติดตามการเดินทางเพื่อร่วมชมการทดลองแบบ Real time ที่ญี่ปุ่นของเด็กไทย และติดตามข้อมูลโครงการ Try Zero-G 2016 ได้ที่ https://www.facebook.com/NSTDASpaceEducation
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.7 – ก.วิทย์ฯ สวทช. เปิดเวทีให้ความรู้ “ซิก้า” ไวรัสร้าย ภัยเงียบ
​ก.วิทย์ฯ สวทช. เปิดเวทีให้ความรู้ “ซิก้า”...ไวรัสร้าย ภัยเงียบสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์     6 กันยายน 2559 ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย โปรแกรมโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ คลัสเตอร์สุขภาพและการแพทย์ จัดเสวนา เรื่อง: “Zika…ไวรัสร้าย ภัยเงียบสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์” โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดการเสวนา และมีผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสร่วมเสวนา ได้แก่ นพ.ยงเจือ เหล่าศิริถาวร นายแพทย์ชำนาญการ ศูนย์สารสนเทศทางระบาดวิทยาและการพยากรณ์โรค สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ศ. นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลก ด้านค้นคว้าและอบรมโรคติดเชื้อไวรัสสัตว์สู่คน ผศ. ดร.ชรินทร์ โหมดชัง อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนพ.ปรีดา มาลาสิทธิ์ ผู้อำนวยการหน่วยปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และที่ปรึกษาหน่วยวิจัยโรคไข้เลือดออก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล โดยมี ศ. นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล ประธานคลัสเตอร์สุขภาพและการแพทย์ สวทช. เป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการเสวนาได้มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงภัยอันตรายของไวรัส Zika โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  http://www.nstda.or.th/news/22209-zika-nstda            
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย