ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – บทความ พระอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
“...การพยายามศึกษาวิทยาการและเทคโนโลยีอันก้าวหน้าทุกสาขาจากทั่วโลก แล้วเลือกสรรส่วนที่สำคัญเป็นประโยชน์ นำมาปรับปรุงใช้ให้พอดีพอเหมาะกับสภาพและฐานะของประเทศของเรา เพื่อช่วยให้ประเทศของเราสามารถนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาใช้พัฒนางานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สิ้นเปลือง...”
พระบรมราโชวาท ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเปิดงาน
“พระจอมเกล้าลาดกระบังนิทรรศน์ ๒๖”
ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๒๖
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเล ประชากรส่วนใหญ่จึงมีอาชีพทำการเกษตร ประมง แต่ปัญหาพื้นฐานหลักที่ต้องประสบอยู่เสมอ ก็คือเรื่องของภัยแล้ง บางปีน้ำท่วม น้ำทะเลรุกเข้าแหล่งน้ำจืด น้ำเสีย ดินเสื่อมโทรม ป่าไม้ถูกทำลาย จะเห็นได้ว่าตัวแปรที่เป็นปัจจัยหลักของอาชีพเกษตรกรรมก็คือ เรื่องของ ดิน น้ำ และป่าไม้ นั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงทรงต่อสู้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่พระองค์ครองราชย์
ภาพข่าวทางโทรทัศน์ที่ประชาชนเห็นจนชินตานั่นก็คือ ภาพที่พระองค์เสด็จไปตามชนบท ถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศไทย ที่พระหัตถ์ทรงถือแผนที่ขนาดใหญ่พร้อมกับดินสอ เพื่อทรงศึกษาสภาพภูมิศาสตร์จากแผนที่กับสถานที่จริง และวางแผนในการแก้ไขปัญหาได้แม่นยำ ที่พระศอทรงคล้องกล้องถ่ายภาพ เพื่อบันทึกสภาพภูมิประเทศ และวิถีชีวิตราษฎร
กล่าวได้ว่า พระองค์ก็คือสถาปนิกนักออกแบบประเทศ เป็นวิศกรผู้วางรากฐานการก่อสร้างสิ่งต่างๆ เช่น ฝาย อ่างเก็บน้ำ เขื่อน สะพาน ถนน ฯลฯ เป็นนักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยี ในการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาสนับสนุนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น โดยผ่านโครงการในพระราชดำริต่างๆ มากมายนับพันโครงการ ทรงให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้นในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นสถานที่วิจัยและพัฒนา และเผยแพร่วิทยาการสู่ประชาชน
เรามาดูกันว่า พระอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของพระองค์ที่มีความโดดเด่นและเป็นที่ประจักษ์อย่างดีแก่พสกนิกรชาวไทยและประชาคมโลกนั้นมีอะไรบ้าง
โครงการ “ฝนหลวง” แก้ปัญหาภัยแล้ง
เมื่อ พ.ศ. 2498 เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเยี่ยมราษฎรที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงสังเกตเห็นท้องฟ้ามีเมฆมากแต่ฝนกลับตกน้อย ดังนั้น หากมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยน่าจะทำให้เกิดฝนและช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งได้ จึงพระราชทานแนวพระราชดำริให้ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ศึกษาความเป็นไปได้ และใน พ.ศ. 2512 ปฏิบัติการทำฝนเทียมครั้งแรกก็ประสบความสำเร็จ แต่ยังไม่สมารถควบคุมบริเวณที่ต้องการให้ตกได้ จึงได้มีการศึกษาวิจัยต่อเนื่องมา และใน พ.ศ. 2514 ก็ประสบความสำเร็จ โดยสามารถทำให้ฝนตกในบริเวณที่ต้องการได้
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงอำนวยการสาธิตฝนเทียมสูตรใหม่ครั้งแรกของโลกด้วยพระองค์เอง ณ เขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งประสบผลสำเร็จด้วยดี สามารถทำให้ฝนตกลงตามเป้าหมายได้ ท่ามกลางสายตาคณะผู้แทนของรัฐบาลจากนานาประเทศเป็นครั้งแรก ซึ่งต่อมา คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2543 เห็นชอบให้วันที่ 19 ตุลาคมของทุกปีเป็น “วันเทคโนโลยีของไทย” และเทิดพระเกียรติพระองค์ทรงเป็น “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย”
สำหรับหลักการสำคัญการทำฝนเทียม มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ “ก่อกวน” เป็นการใช้สารเคมีกระตุ้นให้มวลอากาศลอยตัวขึ้น และทำให้เกิดกลุ่มแกนร่วมเป็นศูนย์กลางที่จะสร้างเมฆฝน ขั้นต่อมา “เลี้ยงให้อ้วน” เป็นการโปรยสารเคมีฝนหลวงเพื่อให้กลุ่มเมฆในระยะก่อตัวมีขนาดใหญ่ใกล้อิ่มตัวพร้อมจะตกเป็นฝน และขั้นตอนสุดท้ายคือ “โจมตี” โดยใช้สารเย็นจัดคือ น้ำแข็งแห้ง ร่วมไปกับซิลเวอร์ไอโอไดด์ เกลือแกง และยูเรีย เพื่อกวนสมดุลของเมฆ จนเกิดเป็นหยดน้ำที่มีขนาดใหญ่ และกลายเป็นเม็ดฝนตกลงมาในที่สุด
โครงการ “แกล้งดิน” แก้ปัญหาดินเปรี้ยว
เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดนราธิวาส พบปัญหาดินบริเวณป่าพรุที่มน้ำขังตลอดปี เมื่อทำใหน้ำแห้ง ก็ยังเป็นดินเปรี้ยว หรือดินมีความเป็นกรด ธาตุอาหารต่ำ ปลูกพืชไม่ได้ผล จึงทรงแก้ปัญหาด้วยการ “แกล้งดินให้เปรี้ยว” คือทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไปเพื่อเร่งปฏิกิริยาเคมีของดิน ทำให้ดินเป็นกรดจัด จากนั้นจึงควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินเพื่อป้องกันการเกิดกรดกำมะถัน รวมทั้งใช้น้ำชะล้างความเป็นกรด หรือใช้ปูนมาร์ลหรือปูนฝุ่นที่เป็นด่าง ช่วยปรับสภาพให้ดินหายเปรี้ยว และมีความเหมาะสมที่ปลูกพืชได้
นอกจากโครงการแกล้งดินนี้แล้ว พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญกับทรัพยากรดิน การพัฒนาและอนุรักษ์ดิน ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินสากล (International Union of Soil Science, IUSS) จึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (The Humanitarian Soil Scientist)” แด่พระองค์ และขอพระบรมราชานุญาตให้วันที่ 5 ธันวาคมซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์เป็น “วันดินโลก”
โครงการ “ปลูกหญ้าแฝก” เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน
จากปัญหาการพังทลายของหน้าดิน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงแนะนำให้ปลูกหญ้าแฝกเพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์ดิน เช่น ให้ปลูกตามพื้นที่ลาดชันหรือบริเวณเขื่อน เพื่อป้องกันการกัดเซาะของหน้าดิน ช่วยปรับปรุงดินที่เสื่อมโทรม และยังใช้ปลูกป้องกันสารพิษปนเปื้อนลงแหล่งน้ำ ทั้งนี้เนื่องจากหญ้าแฝกเป็นพืชที่มีระบบรากที่ฝังลึกไปในดิน และแผ่กระจายออกเหมือนกำแพง จึงเหมาะสมจะนำมาใช้ปลูกเพื่อป้องกันการกัดเซาะและพังทลายของหน้าดินได้เป็นอย่างดี
สมาคมควบคุมการกัดเซาะผิวดินสากล (International Erosion Control Association, IECA) มีมติทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเกียรติคุณสากล (The International Erosion Control Association’s International Merit Award) แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำหญ้าแฝกมาใช้อนุรักษ์ดินและน้ำ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2536
โครงการ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” เครื่องกลเติมอากาศช่วยบำบัดน้ำเสีย
จากการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสภาพน้ำเสียในพื้นที่หลายแห่งหลายครั้ง และใน พ.ศ. 2531 ได้พระราชทานพระราชดำริให้ประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศแบบประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถผลิตได้เองในประเทศ โดยทรงได้แนวทางมาจาก "หลุก" ซึ่งเป็นอุปกรณ์วิดน้ำเข้านาอันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นจุดคิดค้นเบื้องต้น และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบประมาณ เพื่อการศึกษาและวิจัยสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ โดยดำเนินการจัดสร้างเครื่องมือบำบัดน้ำเสียร่วมกับกรมชลประทาน ซึ่งได้มีการผลิตเครื่องกลเติมอากาศขึ้นในเวลาต่อมา และรู้จักกันแพร่หลายทั่วไประเทศในปัจจุบันคือ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" เหมาะสำหรับใช้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ สระน้ำ หนองน้ำ คลอง บึง ลำห้วย ฯลฯ ที่มีความลึกมากกว่า 1.00 เมตร และมีความกว้างมากกว่า 3.00 เมตร
โครงการ “แก้มลิง” แก้ไขและบรรเทาปัญหาน้ำท่วม
ปัญหาน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเป็นที่ลุ่ม มีสาเหตุมาจากน้ำที่มีปริมาณมหาศาลระบายลงทะเลไม่ทัน และน้ำทะเลหนุนสูง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระราชดำริแนวทางแก้ไข โดยหาพื้นที่รับน้ำมาเก็บกักไว้ก่อน จนเมื่อน้ำทะเลลดลงต่ำ จึงระบายน้ำที่กักเก็บไว้นี้ไปสู่ลำน้ำสาขาและออกสู่ทะเลต่อไป เป็นการบรรเทาและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
สาเหตุที่ได้ชื่อโครงการ “แก้มลิง” พระองค์มีพระราชดำรัสอธิบายโครงการนี้โดยเปรียบเทียบกับอาการกินกล้วยของลิงว่า
“...ลิงโดยทั่วไป ถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงก็จะรีบปอก แล้วเอาเข้าปากเคี้ยวๆ จากนั้นก็เอาไปไว้ที่แก้ม ลิงจะเอากล้วยเข้าไปไว้ที่กระพุ้งแก้มได้เกือบทั้งหวี โดยเอาไปเก็บไว้ในแก้มก่อน แล้วจึงนำมาเคี้ยวบริโภค และกลืนเข้าไปภายหลัง”
โครงการ “ไบโอดีเซล” แก้ไขปัญหาด้านพลังงาน
จากปัญหาน้ำมันมีราคาแพง และมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งประเทศไทยก็ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบดังเช่นกลุ่มประเทศโอเปค พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงริเริ่มการใช้พลังงานทดแทนผ่านโครงการส่วนพระองค์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2522 และโครงการหนึ่งในนั้นก็คือ การผลิตไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมัน
ขั้นตอนการผลิตคือ นำน้ำมันปาล์มมาผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า ทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน (transesterifcation) โดยทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ (ethanol หรือ methanol) โดยมีด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) จะได้ผลิตผลเป็นเอสเทอร์ (ester) และผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้คือ กลีเซอรอล (glycerol) ซึ่งเราจะเรียกชนิดของไบโอดีเซลแบบเอสเทอร์นี้ตามชนิดของแอลกอฮอล์ที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา ไบโอดีเซลชนิดเอสเทอร์นี้มีคุณสมบัติเหมือนกับน้ำมันดีเซลมากที่สุด เพราะไม่มีปัญหากับเครื่องยนต์
โครงการ “สร้างฝายชะลอน้ำ” เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่พื้นดินและผืนป่า
จากปัญหาลำธารน้ำเดิมแห้งเหือดหาย ผืนป่าแห้งแล้ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระราชดำริในการจัดทำฝายแม้ว ซึ่งเป็นฝายชะลอน้ำกึ่งถาวรประเภทหนึ่ง ประเภทเดียวกับฝายคอกหมู ซึ่งเป็นวิศวกรรมแบบพื้นบ้าน การสร้างฝายแม้วเป็นการใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่นกิ่งไม้ ก้อนหิน เพื่อกั้นชะลอน้ำในลำธารหรือทางน้ำเล็กๆ ให้ไหลช้าลง และขังอยู่ในพื้นที่นานพอเพื่อให้พื้นที่โดยรอบได้ดูดซึมน้ำไปใช้ เป็นการฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมให้เกิดความชุ่มชื้นจนพัฒนาการเป็นป่าสมบูรณ์ขึ้นได้ ฝายแม้วยังอาจใช้เพื่อการทดน้ำให้มีระดับสูงพอที่จะดึงน้ำไปใช้ในคลองส่งน้ำได้ในฤดูแล้ง โครงการตามแนวพระราชดำรินี้ได้มีการทดลองใช้ที่โครงการห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่ และประสบผลสำเร็จจนเป็นตัวอย่างให้กับโครงการอื่นๆ ต่อมา
โครงการ “เกษตรทฤษฎีใหม่” แก้ไขปัญหาการจัดการที่ดินและแหล่งน้ำ
เพื่อให้การใช้ที่ดินและแหล่งน้ำในการทำมาหากินและที่พักอาศัยอย่างมีประสิทธิภาพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานแนวทางการจัดการที่ดินและแหล่งน้ำตามการเกษตรทฤษฎีใหม่ที่เหมาะสมสำหรับครอบครัวเกษตรกรที่มีที่ดินถือครอง 10-15 ไร่ โดยแบ่งการจัดการพื้นที่เป็นอัตราส่วน 30 : 30 : 30 : 10 เพื่อใช้สำหรับทำเป็น สระเก็บน้ำ : ปลูกข้าว : ปลูกไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ : ที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ โรงเรือน และอื่นๆ ตามลำดับ
การจัดการที่ดินและแหล่งน้ำตามการเกษตรทฤษฎีใหม่นี้ เป็นการเกื้อหนุนการดำรงชีวิตตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงได้ดียิ่ง ระบบนี้ยังช่วยลดของเสียที่จะออกสู่สิ่งแวดล้อมอีกด้วย
พระอัจฉริยภาพทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ-การสื่อสาร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีความสนพระทัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ-การสื่อสาร มาตั้งแต่ยุคแรกที่ประเทศไทยยังไม่ได้ติดตั้งคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่เครื่องเดียว โดยใน พ.ศ. 2503 พระองค์เสด็จประพาสโรงงานคอมพิวเตอร์ระดับโลกที่ซิลิคอนวัลเลย์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พระองค์ได้ทรงจุดประกายให้หน่วยงานและพสกนิกรชาวไทยมีความตื่นตัวในการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการทำงานมากขึ้น
ในวาระขึ้นปีใหม่ พระองค์ยังได้ใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบบัตร ส.ค.ส. เพื่อพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยเป็นเวลาหลายปีต่อเนื่องกัน ซึ่ง ส.ค.ส. พระราชทานนี้ นอกจากมีคำอวยพรปีใหม่แล้ว ก็ยังมีข้อความให้คิด เป็นคติสอนใจที่มีคุณค่าอย่างยิ่งอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2530 พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำโครงการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาพระไตรปิฎก และชุดอรรถกถา อีกทั้งพระองค์ยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสนับสนุนโครงการจนเป็นผลสำเร็จด้วยดี โดยพระไตรปิฎก และชุดอรรถกถา จำนวน 115 เล่ม ได้ทำการบันทึกลงบนแผ่นซีดีรอมแผ่นเดียว แล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2539
ในด้านวิทยุกระจายเสียง พระองค์ทรงสนพระทัยมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อประทับอยู่ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ได้ทรงซื้ออุปกรณ์เครื่องรับวิทยุที่มีวางขายเลหลังราคาถูกมาประกอบเป็นเครื่องรับวิทยุชนิดแร่ สามารถรับฟังวิทยุกระจายเสียงในยุโรปได้หลายแห่ง
ในด้านวิทยุสื่อสาร พระองค์ทรงเห็นความสำคัญและนำมาใช้เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ อยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงพกเครื่องมือสื่อสารติดพระองค์ตลอด เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงขาดไม่ได้คือการสดับตรับฟังข่าวทุกข์สุขของประชาชนโดยจะรับสั่งผ่านทางวิทยุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจตระเวนชายแดน ในการขอรับการสนับสนุนเรื่องการขนส่ง เช่น เฮลิคอปเตอร์ เพื่อนำผู้เจ็บป่วยส่งยังที่หมายปลายทางด้วยพระองค์เอง
นอกจากนี้พระองค์ก็ยังทรงเป็นสมาชิกเครือข่ายวิทยุสมัครเล่นด้วย รหัสของพระองค์คือ VR009 และยังทรงเคยพระราชทานคำแนะนำการแก้ปัญหาการใช้วิทยุในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ประสบปัญหาการรับส่งคลื่นสัญญาณไม่ชัดเจนให้แก่ทีมอาสากู้ภัยด้วย (ผู้อ่านสามารถชมคลิปภาพยนตร์สั้นและรับฟังพระสุรเสียงจริงของพระองค์ได้ที่เว็บ https://www.youtube.com/watch?v=0j83NhlKGns)
พระอัจฉริยภาพทางด้านการคมนาคม
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระราชดำริแนวทางแก้ไขการจราจรทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลไว้ในลักษณะโครงการจตุรทิศ คือ เป็นการก่อสร้างถนนจากแนวทิศเหนือไปยังทิศใต้ และทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก เพื่อให้การจราจรขยายตัวไปทุกทิศทาง โดยมีการสร้างถนนเชื่อมต่อเป็นโครงข่าย นอกจากนี้ยังมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ นั่นก็คือ สะพานพระราม ๘ และถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ซึ่งได้ช่วยแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้เป็นอย่างมาก
เชื่อเหลือเกินว่า การที่พสกนิกรได้รับทราบพระราชกรณียกิจและพระจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชโดยผ่านสื่อหรือช่องทางการสื่อสารต่างๆ ก็ดี คงจะรู้สึกที่ง และซาบซึ้งในพระปรีชาสามารถของพระองค์ยิ่งนัก พระองค์ทรงงานหนักตลอดการครองราชย์ 70 ปี ก็เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ได้อยู่เย็นเป็นสุข ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่พระองค์จะสถิตอยู่ในดวงใจของประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทุกคนจึงรักและเทิดทูนพระองค์อย่างที่สุด
จากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กอง บ.ก.จดหมายข่าว สวทช. จึงขอถวายความอาลัยและเทิดพระเกียรติพระองค์ โดยร่วมเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ของสังคมในการบันทึกพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในด้านวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยีผ่านบทความที่ได้นำเสนอนี้ แม้พระองค์จะจากไปแล้ว แต่พระราชดำรัสหรือพระบรมราโชวาทต่างๆ ของพระองค์ จะเป็นกำลังใจและเป็นแบบอย่างให้ประชาชนชาวไทยได้ดำเนินตามรอยเท้าพ่อต่อไป
แหล่งข้อมูลและภาพอ้างอิง
หนังสือ พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย จัดทำโดย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หนังสือ พระมหากษัตริย์นักวิทยาศาสตร์ จัดทำโดย สภาสมาคมกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
http://img.tnews.co.th/tnews_1393928570_867.jpg
http://www.chaipat.or.th/site_content/19-248/18-chaipattana-water-turbine-development.html
http://www.biodiesel.eng.psu.ac.th/whatis.php
http://www.เรารักพระเจ้าอยู่หัว.com/
http://www.ncit.navy.mi.th/index.php/today/detail/content_id/3072
http://welovethaiking.com/wp-content/uploads/2015/04/dd62.jpg
https://th.wikipedia.org/
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – ก.วิทย์ฯ สวทช. หนุน สมาคมอาร์เอฟไอดี โชว์เทคโนโลยี “RFID”
ก.วิทย์ฯ สวทช. หนุน สมาคมอาร์เอฟไอดี โชว์เทคโนโลยี “RFID” 8 พฤศจิกายน 2559 ณ ฮอลล์ 203 ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ไอแทป (ITAP) สนับสนุนสมาคมอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทย จัดงาน “RFID Duo Hero 2016” งานแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยี RFID ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยครั้งที่ 5 พร้อมผนึกกำลังกลุ่ม IOT Thailand Consortium จัดเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เทคโนโลยี RFID และ IOT โชว์นวัตกรรม RFID จากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศกว่า 20 บริษัท นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประธานเปิดงาน “RFID Duo Hero 2016” กล่าวว่า “สวทช. ให้การสนับสนุนสมาคมอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทย ผ่านทางโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ไอแทป (ITAP) มากว่า 6 ปี โดยได้มีการทำวิจัยร่วมกับผู้ประกอบการในสมาคมอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทย เพื่อนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ อยู่หลายโครงการ รวมทั้งสนับสนุนการจัดงาน RFID Duo Hero 2016 ขึ้นในปีนี้ ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยี RFID ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ครั้งที่ 5 โดยปีนี้มีความพิเศษคือ สมาคมอาร์เอฟไอดี ร่วมกับลุ่ม Thailand IOT Consortium จัดแสดงโซลูชั่นทางด้าน RFID และ IOT กว่า 20 บูธ จากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยี IOT (Internet of Things) รวมถึงการแสดงผลงานการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี RFID ประเภท ต่างๆ ในภาคการผลิตและบริการ และการนำไปต่อยอดใช้งานร่วมกับโซลูชั่นต่างๆ เช่น ระบบติดตามภายในอาคารที่มีความแม่นยำสูงและแสดงผลได้แบบทันที (Ultra Wide Band :UWB), การตรวจสอบย้อนกลับในอุตสาหกรรมไม้ ตั้งแต่ตัดจนแปรรูป, ผลงานหุ่นยนต์และเครื่องอากาศยานไร้คนขับในการเกษตร (Unmanned Aerial Vehicle : UAV) และชุดหุ่นยนต์แบบสวมใส่, เครื่องทดสอบแท็กเพื่อการออกแบบและตรวจสอบคุณภาพผลิตโดยคนไทยระบบจัดการไปรษณีย์ไทย, RFID Card ในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ระบบควบคุมการเข้าออก ระบบบริหารลานจอด ระบบงานลงทะเบียนงานสัมมนา ระบบบันทึกข้อมูลสภาพแวดล้อมภาคสนาม เป็นต้น ทั้งนี้ภายในงานมีการเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นกระแสในปัจจุบัน อาทิ IOT hub of ASEAN กระแสเมกเกอร์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ RFID กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/4950
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – สวทช. ร่วมจัดสัมมนาขับเคลื่อน SMEs ด้วยการตลาดยุคใหม่
สวทช. ร่วมจัดสัมมนาขับเคลื่อน SMEs ด้วยการตลาดยุคใหม่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายอุตสาหกรรม โดยสำนักประสานงานโครงการ “การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative House” และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจชุมชนขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) จัดสัมมนา “ขับเคลื่อน SMEs ด้วยการตลาดยุคใหม่ สร้างแนวคิดทันสมัย มุ่งนำไทยสู่การพัฒนา” ภายใต้โครงการ “โครงการการสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง” แก่กลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกว่า 120 คน ณ ห้องประชุมแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคารเอสเอ็มอีแบงค์ กรุงเทพฯ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมี ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. ร่วมกล่าวถึงบทบาทและแนวทางของ สวทช. ในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ไทย ภายในงาน ทั้งนี้ งานสัมมนาดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการตลาด และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ ผ่านการให้บรรยายความรู้ในเรื่องการตลาดกับการก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 การบรรยายเรื่อง DBM : Design & Branding & Marketing และการบรรยายเรื่อง Online Marketing for SMEs ซึ่งนับเป็นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และความมั่นคงของอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องให้สามารถเติบโตและพัฒนาได้อย่างยั่งยืนทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – ก.วิทย์ฯ สวทช. เดินหน้าผลัก “งานวิจัยสู่ห้าง” ในงาน Thailand Tech Show ภูมิภาค จ.ขอนแก่น
ก.วิทย์ฯ สวทช. เดินหน้าผลัก “งานวิจัยสู่ห้าง” ในงาน Thailand Tech Show ภูมิภาค จ.ขอนแก่น 27 ตุลาคม 2559 ที่ห้องมงกุฎเพชร 1 โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น : นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธานเปิดงานโครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ “หิ้งสู่ห้าง” หรือ Thailand Tech Show ภูมิภาค ครั้งที่ 2 (ประจำภาคอีสาน) เพื่อเพิ่มโอกาสผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งรวมงานวิจัยและพัฒนาได้ง่าย ให้เกิดการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ โดยมีผลงานวิจัยจากองค์กรวิจัย สวทช. และมหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมถ่ายทอดสู่เชิงพาณิชย์มาร่วมแสดงผลงานและสัมมนาให้ความรู้ในการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “New S Curve สู่ Thailand 4.0” ว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดเป็นหนึ่งหน่วยงานในกระทรวงเศรษฐกิจ ได้ขยายบทบาทจากเดิมเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยการทำวิจัยและพัฒนา จะทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้สร้างงานวิจัยและภาคอุตสาหกรรมที่เป็นผู้ใช้งานวิจัย นอกจากนี้ยังสร้างการเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมผลักดันงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นจากเดิม รัฐบาลมีนโยบายในการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศจากการผลิตในอุตสาหกรรมหนักที่ใช้แรงงานและเครื่องจักรไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้และนวัตกรรมเป็นขับเคลื่อน หรือ “ประเทศไทย 4.0” กำหนดขีดความสามารถพื้นฐานของประเทศไทยและความต้องการของตลาดในอุตสาหกรรมเป้าหมายไว้ 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ 2. กลุ่มอุตสาหกรรมสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ 3. กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องมืออุปกรณ์อัฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม 4. กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อและบังคับอุปกรณ์ต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว และ 5. กลุ่มอุตสาหกรรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง ซึ่งการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็น New S-Curve นี้ ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ผ่านการขับเคลื่อนในรูปแบบของ “ประชารัฐ” หรือ Public Private Partnership (PPP) ในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่จากการลงทุนของต่างชาติ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/5115
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – สวทช. จับมือสถานทูตญี่ปุ่น ส่งทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ JENESYS 2016”
สวทช. จับมือสถานทูตญี่ปุ่น ส่งทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ JENESYS 2016 ตะลุยแดนญี่ปุ่นเรียนรู้วัฒนธรรม เสริมประสบการณ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 21 ต.ค. 59 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานแสดงความยินดีและปฐมนิเทศแก่น้องๆ ทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ไทยระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 23 คนจากทั่วประเทศ ที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศอาเซียนหรือ JENESYS 2016 จำนวน 8 วัน ระหว่างวันที่ 1 - 8 พฤศจิกายน 2559 ณ กรุงโตเกียว และจังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทยและญี่ปุ่น พร้อมเสริมสร้างประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีนายชิโร่ เทราชิมา (Mr. Shiro Terashima) เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดี ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้ขอความร่วมมือสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ดำเนินการคัดเลือกเยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการ JENESYS 2016 ในหัวข้อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (1st Batch : Science and Technology Program) ระหว่างวันที่ 1 - 8 พฤศจิกายน 2559 ณ กรุงโตเกียว และจังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีเยาวชนที่ได้รับคัดเลือกในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสิ้นจำนวน 23 คนจากทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายการเดินทางและเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด โครงการนี้เยาวชนจะได้ไปทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของญี่ปุ่นด้วยการพักอาศัยกับชาวญี่ปุ่นแบบโฮมสเตย์ รวมทั้งแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกันระหว่างไทย ญี่ปุ่น และกลุ่มอาเซียน ตลอดจนได้พัฒนาทักษะความเป็นผู้นำด้วย” นายชิโร่ เทราชิมา (Mr. Shiro Terashima) เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ JENESYS หรือ Japan-East Asia Network of Exchange for Students and Youths ในปี 2016 ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ประสงค์จะให้เกิดการแลกเปลี่ยนเยาวชนระหว่างประเทศญี่ปุ่น ประเทศสมาชิกอาเซียน และกลุ่มโอเชียเนีย ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีเยาวชนจากกลุ่มประเทศดังกล่าวเข้าร่วมกว่า 1,670 คน ร่วมกับเยาวชนญี่ปุ่น เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และส่งเสริมการสร้างความเข้าใจในงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่นในภาพกว้างขึ้น โดยโครงการนี้จะเน้นการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี พาไปเยี่ยมชมความน่าทึ่งของนวัตกรรมต่างๆ ในญี่ปุ่น พร้อมสอดแทรกความคิดว่าทำไมถึงคิดเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา และคิดขึ้นมาได้อย่างไร พร้อมร่วมพูดคุยถกปัญหากับครอบครัวชาวญี่ปุ่นและนักเรียนญี่ปุ่นที่ได้ร่วมกิจกรรมด้วยกัน ภายหลังกลับมาประเทศไทย อยากให้เยาวชนได้นำประสบกาณ์ความรู้ไปเผยแพร่ต่อยังโรงเรียนและคนใกล้เคียงต่อไป พร้อมต่อยอดความคิดในเรื่องอนาคตว่าอยากจะประกอบอาชีพอะไร อาจคิดเรื่องไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นก็ได้ ซึ่งทางสถานทูตเองมีการสนับสนุนในเรื่องทุนไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว” “สำหรับกิจกรรมในโครงการ JENESYS 2016 เยาวชนไทยจะได้ทัศนศึกษาที่กรุงโตเกียว โดยเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยโตเกียว เพื่อรับฟังบรรยายในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต่อด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์โตเกียวเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอวกาศ หุ่นยนต์ และนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของญี่ปุ่น พร้อมชมนิทรรศการนักโนเบลญี่ปุ่นที่ได้รับรางวัลเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้ จากนั้นจะเดินทางไปสัมผัสวัฒนธรรมที่เมืองโยโกสึกะ จังหวัดคานางาวะ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมกับเยาวชนระดับมัธยมของญี่ปุ่น และค้างพักแรมแบบโฮมสเตย์ 2 คืนกับครอบครัวชาวญี่ปุ่น ปิดท้ายด้วยการสัมผัสและชมเทคโนโลยี Cutting-Edge Technology อันตระการตาของญี่ปุ่น คือ อุโมงค์ใต้ทะเล หรือที่เรียกว่า ยูมิโฮทารุ (Umihotaru) สะพานอุโมงค์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อกับอุโมงค์ทางน้ำ เสมือนเกาะเทียมนั่นเอง นับเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเยาวชนไทย และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศญี่ปุ่นและไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ในโอกาสที่ปีหน้า พ.ศ. 2560 จะครบรอบ 130 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทยและญี่ปุ่น ทางโครงการ JENESYS ในปี 2017 จะดำเนินให้การสนับสนุนเยาวชนไทยเพื่อเข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งอาจเพิ่มเติมกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ในโอกาสพิเศษดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน” นายชิโร่ เทราชิมา กล่าว https://www.nstda.or.th/th/news/287
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – ก.วิทย์ฯ สวทช. ผนึก สสว. กรมส่งเสริม ก.อุตฯ ติดปีกผู้ประกอบการกลุ่มอาหาร-เกษตร
ก.วิทย์ฯ สวทช. ผนึก สสว. กรมส่งเสริม ก.อุตฯ ติดปีกผู้ประกอบการกลุ่มอาหาร-เกษตร ผลักดันสู่อุตสาหกรรม 4.0 11 ตุลาคม 2559 ที่โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด ถนนรัชดาฯ กรุงเทพฯ : กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ไอแทป และ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเวทีเสวนาเรื่อง "Thailand Food 4.0 จากแนวคิดสู่การประยุกต์ใช้ ก้าวอย่างไรให้ถึงปลายทาง" เพื่อยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรของประเทศในยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยมีผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร การเกษตร อุตสาหกรรมเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติ นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ ให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังกว่า 400 คน ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/5114
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – สวทช. จัดค่ายวิทยาศาสตร์ “ถนนนักวิจัยรุ่นเยาว์ ปีที่ 3”
สวทช. จัดค่ายวิทยาศาสตร์ “ถนนนักวิจัยรุ่นเยาว์ ปีที่ 3” บ่มเพาะเยาวชนชั้นมัธยม 1 กว่า 40 คนจากทั่วประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็นนักวิจัยรุ่นเยาว์ 11 ตุลาคม 2559 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดค่ายวิทยาศาสตร์ “ถนนนักวิจัยรุ่นเยาว์ ปีที่ 3” บ่มเพาะเยาวชนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 40 คน ซึ่งเป็นเยาวชนที่ได้รับเหรียญรางวัลในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ประจำปี 2558 จากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เข้าร่วมกิจกรรม โดยกิจกรรมภายในค่าย “ถนนนักวิจัย รุ่นเยาว์ ปีที่ 3” ตลอด 5 วันเต็ม (10 - 14 ตุลาคม 2559) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี จะบ่มเพาะเยาวชนตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อให้มีโอกาสได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM Education) และฝึกกระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการเปิดโลกวิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมตามแนวทางสะเต็มศึกษา เพื่อให้เยาวชนได้รับการส่งเสริมและสร้างทัศนคติและแรงบันดาลใจในการก้าวสู่การเป็นนักวิจัยรุ่นเยาว์ และมีความสนใจเข้ารับการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงเข้าสู่โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน หรือ JSTP ของ สวทช. ต่อไป อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/327
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – เชฟรอน และ สวทช. เตรียมจัดงาน “Bangkok Mini Maker Faire ปี 2
เชฟรอน และ สวทช. เตรียมจัดงาน “Bangkok Mini Maker Faire ปี 2 “Bangkok Mini Maker Faire ปี 2 ทำของมาอวด” มุ่งส่งเสริมสังคมแห่งการสร้างสรรค์และนวัตกรรมด้วยวัฒนธรรมเมกเกอร์ 5 ตุลาคม 2559 กรุงเทพฯ - บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมกับ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกลุ่มเมกเกอร์ในประเทศไทย สานต่อการสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมวัฒนธรรมทำเองในสังคมไทย เตรียมจัดงาน “Bangkok Mini Maker Faire” มหกรรมแสดงผลงานและสิ่งประดิษฐ์ของ “เมกเกอร์” หรือผู้ที่ชอบสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ด้วยตนเองต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในระหว่างวันที่ 21-22 มกราคม 2560 ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเดอะสตรีท รัชดา ตั้งแต่เวลา 13:00-20:00 น. โดยเปิดให้ผู้สนใจเข้าชมฟรีตลอดงาน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/333
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – เฮเดล จากอังกฤษ เลือกตั้งศูนย์วิจัยกราฟีนแห่งแรกในเอเชีย ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
เฮเดล จากอังกฤษ เลือกตั้งศูนย์วิจัยกราฟีนแห่งแรกในเอเชีย ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย มุ่งวิจัยต่อยอดวัสดุกราฟีน รองรับตลาดอุตสาหกรรมในภูมิภาค 6 ต.ค. 59 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมกับบริษัท Haydale Graphene Industries จากประเทศอังกฤษ ลงนามความร่วมมือจัดตั้ง Haydale Technologies (Thailand) : HTT ศูนย์วิจัยกราฟีนแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ภายในอาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 (INC2) ด้วยเชื่อมั่นในความพร้อมของบุคลากรวิจัย เครื่องมือต่างๆ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการวิจัยและพัฒนา โดยมี ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และ Mr. Ray Gibbs, CEO of Haydale Graphene Industries Public Limited Company ร่วมลงนามในการเช่าพื้นที่เพื่อจัดตั้งศูนย์วิจัย HTT อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/329
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – ผลงานวิจัยร่วมนาโนเทค-คลีน กรีนเทค “ไข่ออกแบบได้” คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติด้านเศรษฐกิจ ปี 59
ผลงานวิจัยร่วมนาโนเทค - คลีน กรีนเทค "ไข่ออกแบบได้" คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติด้านเศรษฐกิจ ปี 59 ในเวทีการประกวด "รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2559" ซึ่งจัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ติดต่อกัน ปีนี้มีผลงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดจากทั่วประเทศกว่า 252 ผลงาน และเมื่อเร็วๆ นี้ (5 ต.ค.) มีการประกาศผล 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประจำปี 2559 (TOP TEN INNOVATIVE BUSINESS 2016) เพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมของภาคเอกชน และแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดบรรยากาศการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง สำหรับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ (ด้านเศรษฐกิจ) ในปีนี้ ได้แก่ ผลงานนวัตกรรม “ไข่ออกแบบได้” จากความร่วมมือของ บริษัท คลีน กรีนเทค จำกัด และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. โดยห้องปฏิบัติการนวัตกรรมนาโนเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารและเกษตร (NAF) หน่วยวิจัยเกษตรนาโนและสิ่งแวดล้อม (NAE) ภายใต้โครงการวิจัยเรื่องการพัฒนาตำรับอิมัลชั่นชนิดเกิดเองของน้ำมันโหระพาและน้ำมันออริกาโน่ (Self-emulsifying delivery system of sweet basil and oregano oil) โดยผู้สร้างนวัตกรรมได้เข้ารับรางวัลพระราชทานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ "พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย" ซึ่งนับเป็นรางวัลทรงเกียรติสูงสุดในวงการนวัตกรรมไทย อันถือเป็นการประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติแก่ผู้สร้างนวัตกรรมที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย https://www.nstda.or.th/th/news/331
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – “กลุ่มสามารถ” และ สวทช. มอบรางวัล SIA ให้ทีม “จับจ่าย ฟอร์ สคูล”
“กลุ่มสามารถ” และ สวทช. มอบรางวัล SIA ให้ทีม “จับจ่าย ฟอร์ สคูล” พร้อมประกาศเฟ้นหาเจ้าของธุรกิจตัวจริง ปี 2017 เพื่อสนับสนุนนโยบายภาครัฐ Thailand ยุค 4.0 ต่อเนื่อง 6 ตุลาคม 59 ที่ห้องอโศก 1 ชั้น C โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยต์ เทอมินัล 21: กลุ่มสามารถ และ สวทช. ประกาศผลให้ทีม “จับจ่าย ฟอร์ สคูล” ซึ่งได้รับรางวัลสุดยอด SIA ในโครงการ Young Technopreneur 2016 ตอบโจทย์การนำแนวคิดด้านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การเป็นเถ้าแก่น้อยด้านเทคโนโลยีตัวจริง พร้อมประกาศร่วมมือกันจัดโครงการต่อเป็นปีที่ 6 หวังสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศต่อเนื่อง เพิ่มความเข้มข้นทั้งการให้ความรู้ การปรับเพิ่มทุนสนับสนุน และหัวข้อในการประกวด เน้นตอบโจทย์นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของภาครัฐยุค Thailand 4.0 ที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ สำหรับทีมชนะเลิศคว้ารางวัลสุดยอด Samart Innovation Award พร้อมรับเงินรางวัล 200,000 บาท คือ ทีม “จับจ่าย ฟอร์ สคูล” (JabJai For School) เทคโนโลยีที่สร้างบัญชีเงินฝากให้กับนักเรียน โดยใช้ลายนิ้วมือ ในการจับจ่ายในโรงเรียน หรือลงเวลาเรียนต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และรายงานผลผ่านแอปพลิเคชั่นแบบ Real time ช่วยให้การบริหารจัดการในสถานศึกษาสะดวกสบายขึ้น รองอันดับ 1 ทีม HOPS : Seamless Shopping experience แอปพลิเคชั่นที่ช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลการตลาด รองอันดับ 2 คือทีม O Orchid ระบบดูแลและจัดการฟาร์มกล้วยไม้ ซึ่งทั้ง 3 ทีม ได้รับการพิจารณาจากแผนธุรกิจที่โดดเด่นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้ควบคู่กับนวัตกรรมที่ต่างและสร้างมูลค่าได้มากกว่าเป็นสำคัญ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/330
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 2 ฉบับที่ 7 ประจำเดือน ตุลาคม 2559 (ฉบับที่ 19)
ข่าว
ก.วิทย์ฯ สวทช. เปิดเวทีให้ความรู้ “ซิก้า”...ไวรัสร้าย ภัยเงียบสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
สวทช. เปิดศูนย์วิเคราะห์ทดสอบ หนุนบริการทดสอบสินค้ามูลค่าสูงได้มาตรฐาน
สวทช. นำคณะผู้ประกอบการไทยร่วมงาน The 4th Forum on China-ASEAN Technology Transfer and Collaborative Innovation ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน
นักวิจัยนาโนเทค ได้รับทุนวิจัยลอรีอัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2559
ก.วิทย์ฯ สวทช. จับมือ มูลนิธิโครงการหลวงส่งมอบเห็ดหอมอร่อยสดนาน ด้วยนวัตกรรมใหม่ "ActivePAK BPW"
ก.วิทย์ฯ สวทช. นำงานวิจัย “โลชั่นกันยุงนาโน-จุลินทรีย์ฆ่าลูกน้ำยุงลาย” รณรงค์ป้องกันไข้เลือดออก-ไวรัสซิก้า จ.ปทุมธานี
สวทช. รับรางวัล “หน่วยงานที่มีความพร้อมในการให้บริการรองรับ IPv6” ประจำปี 2559 จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. หนุนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์เพิ่มประสิทธิภาพด้วย IoT
สวทช. ร่วมกับ เว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม ประกาศผลสุดยอดแอนิเมชั่น เงินออมสร้างชาติ
บทความ
10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ
ปฏิทินกิจกรรม
โครงการ JSTP ประกาศรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมโครงการ รุ่นที่ 20 ประจำปี 2560
ให้ทุนวิจัย
ขอเชิญส่งผลงานนวัตกรรม "FinTech Challenge"
โปรแกรมฝึกอบรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสีเขียว
Download เอกสารฉบับเต็ม [2.73 MB]
NSTDA Newsletter ปีที่ 2 ฉบับที่ 7 ประจำเดือนตุลาคม 2559 (ฉบับที่ 19) from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
จดหมายข่าว สวทช.


