หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.10 – ก.วิทย์ฯ สวทช. อพวช. ร่วมจัดประชุม “เครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่” ครั้งแรกในเอเชีย
ก.วิทย์ฯ สวทช. อพวช. ร่วมจัดประชุม “เครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่”​ ครั้งแรกในเอเชีย   15 ธันวาคม 59 ณ อาคารจามจุรีสแควร์ - กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) โดย สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายบุคลากรวิจัยรุ่นใหม่ของกลุ่มประเทศในเอเชีย 1th Asian National Young Academy Meeting “Advancing Synergies in Asian NYAs” ระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2559 โดยมี ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธาน ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ กล่าวว่า การจัดงานนี้มีคณะผู้แทนเครือข่ายบุคลากรวิจัยรุ่นใหม่ในเอเชีย 13 ประเทศ และทีมบริหารขององค์การเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นรุ่นใหม่ของโลก Global Young Academy (GYA) อีก 11 ประเทศ รวม 24 ประเทศ เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายบุคลากรวิจัยรุ่นใหม่ของกลุ่มประเทศในเอเชีย 1th Asian National Young Academy Meeting “Advancing Synergies in Asian NYAs” ปัจจุบันการทำงานวิจัยไม่มีพรมแดน การได้มีโอกาสเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากบุคลากรวิจัยจากหลายศาสตร์และหลายประเทศ จึงเป็นการเปิดโลกทัศน์และสร้างโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการจัดประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่สำคัญยิ่ง ในการที่บุคลากรวิจัยรุ่นใหม่จากทั่วโลกจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมโอกาสในการทำงานร่วมกับบุคลากรวิจัยที่มาจากต่างศาสตร์ความเชี่ยวชาญได้ ไม่ว่าจะเป็นสายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์ ซึ่งจะเป็นการช่วยสร้างองค์ความรู้และความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของบุคลากรวิจัยในภูมิภาคอาเซียน เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือทางด้านการวิจัยและพัฒนาในระดับภูมิภาคและนานาชาติต่อไป อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/4981-nyas
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.10 – สวทช., สมอ., สถานทูตญี่ปุ่น, Tokyo Tech, ITS Thailand ร่วมจัดงาน ITS Symposium
สวทช., สมอ. สถานทูตญี่ปุ่น, Tokyo Tech, ITS Thailand ร่วมจัดงาน ITS Symposium​ แลกเปลี่ยนความรู้ด้านมาตรฐานการขนส่งและจราจรอัจฉริยะ หวังสร้างประสิทธิภาพเพื่อการพัฒนาของประเทศ   13 ธันวาคม 2559 ณ สถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย – รัฐบาลประเทศญี่ปุ่น โดย สถานฑูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ร่วมกับ Japan Society of Authomotive Engineering (J-SAE) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (Tokyo Tech) สมาคมระบบขนส่งอัฉจริยะไทย (ITS Thailand) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดงาน “The Symposium on ITS Standardization (ITS Symposium)” ขึ้นระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคม 2559 ณ สถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องของมาตรฐานด้านการขนส่งและจราจรอัจฉริยะหรือที่เรียกกันว่า Intelligent Transport System (ITS)  อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/4982-its-symposium
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 2 ฉบับที่ 9 ประจำเดือน ธันวาคม 2559 (ฉบับที่ 21)
ข่าว ​ไอแทป สวทช. นำผู้ประกอบการ โชว์นวัตกรรม “สร้างสุข ที่ปลายทาง” ​โครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทยดึงวิทยากรฟินแลนด์มอบความรู้แนวคิดกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กไทย ​สวทช. จัดกิจกรรมทำความดีถวายพ่อหลวง“นวัตกรรมทำเองได้ DIY Spacer อุปกรณ์พ่นยาโรคหืด” จำนวน 99 อัน ​นาโนเทค/สวทช. สมาคมนาโนฯ มทส. พร้อมเครือข่าย ร่วมเปิดการประชุมนาโนไทยแลนด์ 2016   บทความ สวทช. หนุนพัฒนา 2 ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมด้วยฐานเทคโนโลยีชีวภาพสู่ผู้บริโภค กลุ่มสตาร์ทอัพไทย กวาดรางวัลการประกวดนวัตกรรมที่กรุงโซล   ปฏิทินกิจกรรม อบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ สวทช. เปิดรับสมัครนักศึกษารับทุน TAIST-Tokyo Tech​    Download เอกสารฉบับเต็ม [2.01 MB] NSTDA Newsletter ปีที่ 2 ฉบับที่ 9 ประจำเดือนธันวาคม 2559 (ฉบับที่ 21) from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
จดหมายข่าว สวทช.
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.9 – ปฏิทินกิจกรรม
อบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ สถาบันวิทยาการ สวทช. (NSTDA Academy) ขอเชิญผู้สนใจเข้าอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “คิดและสร้าง Infographic แบบมืออาชีพ” จากบริษัท Infographic Thailand บริษัท Creative Infographic เบอร์ 1 ของเมืองไทย โอกาสสำคัญที่พลาดไม่ได้สำหรับ Infographic และ Designer จะได้รับประสบการณ์จากทีมงานมืออาชีพ   รุ่นที่ 12  ระหว่างวันที่ 24-25 มกราคม 2560 (กรุงเทพฯ) รุ่นที่ 13  ระหว่างวันที่ 22-23 มีนาคม 2560 (กรุงเทพฯ) รุ่นที่ 14  ระหว่างวันที่ 24-25 พฤษภาคม 2560 (กรุงเทพฯ) รุ่นที่ 15  ระหว่างวันที่ 19-20 กรกฏาคม 2560 (กรุงเทพฯ) รุ่นที่ 16  ระหว่างวันที่ 27-28 กันยายน 2560 (กรุงเทพฯ) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nstdaacademy.com/info สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center: 0 2644 8150 ต่อ 81907 (คุณทินกร) email : bas@nstda.or.th   สวทช. เปิดรับสมัครนักศึกษารับทุน TAIST-Tokyo Tech   สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโครงการ TAIST-Tokyo Tech ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ม.ธรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดรับสมัครนักศึกษาที่จบปริญญาตรีหรือกำลังศึกษาอยู่ปีสุดท้ายจากคณะและสาขาที่เกี่ยวข้อง รับทุนการศึกษาระดับมหาบัณฑิต จำนวน 3 หลักสูตร ประกอบด้วย หลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อระบบสมองกลฝังตัว และหลักสูตรวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมขั้นสูงและยั่งยืน แต่ละหลักสูตรรับเพียง 30 ทุน โดย สวทช. เป็นผู้ให้การสนับสนุนทุน รวมทั้งสิ้น 90 ทุน   ทุกหลักสูตรสอนโดยคณาจารย์จาก Tokyo Tech ประเทศญี่ปุ่น และการเรียนการสอนทั้งหมดอยู่ที่ สวทช. พร้อมนักศึกษาจะได้ทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัย สวทช. หรือภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยี เป็นกำลังสำคัญในการศึกษาค้นคว้าและวิจัยให้กับภาครัฐและเอกชนในอนาคต สมัครได้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ดูรายละเอียดวันปิดรับสมัครแต่ละหลักสูตรได้ที่เว็บไซต์ http://www.nstda.or.th/taist_tokyo_tech/ หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2564 8016-8 อีเมล taist@nstda.or.th  
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.9 – บทความ กลุ่มสตาร์ทอัพไทย กวาดรางวัลการประกวดนวัตกรรมที่กรุงโซล
กลุ่มสตาร์ทอัพไทย กวาดรางวัลการประกวดนวัตกรรมที่กรุงโซล สวทช. และ สสว. นำผู้ประกอบการกลุ่มสตาร์ทอัพไทย 18 บริษัท เข้าร่วมประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ระดับสากล ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ณ กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี และคว้ารางวัล Grand Prize 1 รางวัล พร้อมกับ 5 เหรียญทอง 7 เหรียญเงิน 5 เหรียญบรอนซ์ และ Special เมื่อวันที่ 1-4 ธันวาคม 2559 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้โครงการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ (Startup Voucher) ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว) นำผู้ประกอบการไทย 18 บริษัท กับ 19 ผลงาน เข้าร่วมการประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ระดับสากลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ณ กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ในงาน “Seoul International Invention Fair 2016” (SIIF 2016)  ผลการประกวดปรากฏว่า ผลงานจากประเทศไทยสามารถคว้าสุดยอดรางวัล Grand Prize 1 รางวัล พร้อมกวาดอีก 5 เหรียญทอง 7 เหรียญเงิน 5 เหรียญบรอนซ์ และ Special Prize 3 รางวัล จากเวที ชี้ผลงานสตาร์ทอัพไทยได้เป็นอย่างดีว่าได้รับการยอมรับจากนานาชาติ โดดเด่นทั้งในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม และมีศักยภาพนำสู่ตลาดสากล   เวทีการประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ระดับสากล “Seoul International Invention Fair 2016” (SIIF 2016) นี้ จัดขึ้นโดย The Korea Invention Promotion Association (KIPA) โดยการประกวดผลงานครั้งนี้ โครงการ Startup Voucher เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเช่าพื้นที่บูธแสดงผลงาน ค่าที่พัก ค่าเดินทางระหว่างที่พักและที่จัดงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ค่าโปสเตอร์ตกแต่งบูธเพื่อให้เป็นรูปแบบทิศทางเดียวกัน ให้แก่ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทย และที่สำคัญ ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยีได้ใช้ความเชี่ยวชาญมากว่า 14 ปี ในการให้คำแนะนำในการประกวดแก่ผู้ประกอบการ เพื่อนำผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ออกสู่ตลาดสากล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ผลงานนวัตกรรมของสตาร์ทอัพไทย ประสบความสำเร็จและได้แสดงศักยภาพที่โดดเด่นทั้งในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ผลงานเป็นที่ยอมรับในเวทีและตลาดระดับสากล พร้อมกันนี้ยังตอบโจทย์ของรัฐบาลอีกด้วย ทั้งนี้ ภายในงานมีนักวิจัย และนักประดิษฐ์จากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา นานาประเทศส่งผลงานเข้าร่วมประกวดและแสดงผลงานจำนวน 639 ผลงาน จาก 31 ประเทศ โดยผู้ประกอบการไทยทั้ง 18 ราย 19 ผลงานในโครงการ Startup Voucher ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ได้รับรางวัลจากการประกวดผลงานรวมทั้งสิ้น 21 รางวัล จาก 18 ผลงาน โดยผลงานไฮไลต์ ได้แก่ รางวัล Grand Prize 1 รางวัล ของบริษัท สยามโนวาส จำกัด กับผลงานน้ำเชื้อแช่แข็งคัดเพศ เพื่อใช้ในการผสมเทียมโคนมและโคเนื้อเพื่อเพิ่มจำนวนลูกโคเพศเมีย ส่วนรางวัลอื่นๆ มีดังนี้  เหรียญทอง 5 รางวัล ได้แก่ 1. บริษัท ดีไลฟ์ ซินเนอร์จี้ จำกัด ผลงานน้ำยาป้องกันการเกิดฝ้าจากสารลดแรงตึงผิวชีวภาพ 2. บริษัท ทีดีเอช เพรสทิจเจียส เดอร์มาโทโลจิ จำกัด ผลงานผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด ชนิดแรกและชนิดเดียวในโลกที่ใช้อนุภาคนาโนแคลเซียมคาร์บอเนต 3. บริษัท โปร-ทอยส์ จำกัด ผลงานระบบ MATRIX BROADCAST ถ่ายทำวิดีโอคุณภาพสูง 360  4. บริษัท เวทโปรดักส์ รีเซิร์ช แอนด์ อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด ผลงานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในสุกรช่วยประสิทธิภาพของแม่สุกรในเล้าคลอด เพิ่มน้ำหนักครอกเฉลี่ยของลูกสุกร (ADLWG) 5. บริษัท วินน์ โกลบอล กรุ๊ป จำกัด ผลงานเครื่องประดับจากไข่มุกที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพด้วยกระบวนการแสงซินโครตรอน เหรียญเงิน 7 รางวัล ได้แก่ 1. บริษัท วายเอ็มเอ็มวาย จำกัด ผลงาน QueQ ระบบการจองคิวแบบใหม่ผ่าน Mobile Application จองได้ไม่ต้องไปหน้าร้าน 2. บริษัท จีไอบี เทรดดิ้งจำกัด ผลงานวัคซีนพืช ที่เป็น Green Product ผลิตจากฮิวมัสและสาหร่ายใช้ได้กับพืชทุกชนิด ปลอดภัยต่อผู้ใช้ ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม 3. บริษัท ดรีมมิโอ จำกัด ผลงานระบบในการจัดการบริหารงานอีเวนท์ ที่เน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้จัดงานและผู้ออกบูธ 4. บริษัท ไพอาร์สแควร์ ผลงานระบบบริหารจัดการคิวออนไลน์ ร้านค้าหรือบริการที่ติดตั้งระบบ QHappy สามารถเปิดให้จองคิวออนไลน์ ผ่าน mobile application 5. บริษัท สมุนไพรบ้านอาจารย์ จำกัด ผลงานฟีนูแคป พลัส ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารช่วยเพิ่มน้ำนม สำหรับคุณแม่หลังคลอด เเละยังช่วยบรรเทาอาการในโรคของระบบทางเดินอาหาร 6. บริษัท ไอเว็ท (ประเทศไทย) จำกัด #1 ผลงานชุดกายอุปกรณ์อเนกประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสัตว์เลี้ยง วีลแชร์ และชุดช่วยพยุงน้ำหนักช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของหรือสถานพยาบาลสัตว์ 7. บริษัท เพียวแอลอีดี จำกัด ผลงาน Pure LED Smart Wireless Network Lighting Control ระบบควบคุมแสงสว่าง สามารถปรับค่าความสว่างให้เหมาะสมกับเวลา ความต้องการใช้งานในแต่ละพื้นที่ เหรียญบรอนซ์ 5 รางวัล ได้แก่ 1. บริษัท เลนส์ แอนด์ สมาร์ทคลาสรูม จำกัด ผลงานอุปกรณ์ที่เปลี่ยนให้กล้องของสมาร์ทโฟนถ่ายรูปเห็นรายละเอียดขนาดเล็กเหมือนกล้องจุลทรรศน์ 2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด กรีนกู๊ดดีส์ โปรดักท์ ผลงานโลชั่นทำความสะอาดผลิตจากน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีการปรับโครงสร้างทางเคมีให้มีคุณลักษณะพิเศษทำให้เพิ่มขีดความสามารถในการกำจัดคราบหนักต่างๆ  3. บริษัท ไอเว็ท (ประเทศไทย) จำกัด #2 ผลงานลู่วิ่งในน้ำ IVET Aqua Treadmill เป็นลู่วิ่งสายพานที่สามารถทำงานในน้ำได้ สำหรับการกายภาพบำบัดสัตว์  4. บริษัท ดิจิโอ (ประเทศไทย) จำกัด ผลงานบริการรับชำระค่าสินค้า และบริการ ผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต รูดบัตรได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านสมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต 5. บริษัท ไพร์ม นาโนเทคโนโลยี จำกัด ผลงานผลิตภัณฑ์สเปรย์เพื่อการขจัดและป้องกันกลิ่นเหม็นอับในกางเกนยีนส์ สเปรย์ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีนาโนซิลเวอร์   Special Prize 3 รางวัล ได้แก่ 1. บริษัทโปร-ทอยส์ จำกัด ผลงานระบบ MATRIX BROADCAST ถ่ายทำวิดีโอคุณภาพสูง 360 ได้รับ Special Prize จากประเทศเวียดนาม 2. บริษัท ทีดีเอช เพรสทิจเจียส เดอร์มาโทโลจิ ผลงานผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดไวส์เซ่ ชนิดแรกและชนิดเดียวในโลกที่ใช้อนุภาคนาโนแคลเซียมคาร์บอเนต ได้รับ Special Prize จากประเทศรัสเซีย 3. บริษัท วินน์ โกลบอล กรุ๊ป จำกัด ผลงานเครื่องประดับจากไข่มุกที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพด้วยกระบวนการแสงซินโครตรอน ได้รับ Special Prize จากประเทศมาเลเซีย งาน SIIF เป็นงานแสดงและประกวดสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ภายในงานประกอบด้วยส่วนแสดงผลงานสิ่งประดิษฐ์งานจากสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ส่วนแสดงสินค้าของบริษัทเอกชน และส่วนแสดงผลงานจากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีการมอบรางวัล SIIF Prize สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ลงทะเบียนประกวดในงานอีกด้วย โดยงาน SIIF 2016 ใช้ COEX Hall A เป็นพื้นที่ในการจัดแสดง 639 ผลงาน โดยมีประเทศที่เข้าร่วมแสดงในงานทั้งสิ้น  31 ประเทศ การประกวดผลงานแบ่งเป็น 16 ประเภท อาทิ ประเภท Mechanics / Engines / Machinery / Tools / Industrial process / Metallurgy ประเภท Computer science / Software / Electronics / Electricity Methods of Communication หรือประเภท Building / Architecture / Civil Engineering /Construction / Materials / Woodwork เป็นต้น
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
บทความ
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.9 – บทความ สวทช. หนุนพัฒนา 2 ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมด้วยฐานเทคโนโลยีชีวภาพ สู่ผู้บริโภค
สวทช. หนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมด้วยฐานเทคโนโลยีชีวภาพสู่ผู้บริโภค ประเดิมหนุน 2 นวัตกรรม สูตรน้ำไล่ยุงชนิดไมโครแคปซูล และสารสกัดโปรตีนจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นผลิตภัณฑ์ความงาม ต่อยอดเชิงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยการสนับสนุนของโปรแกรม ITAP ได้จัดงานแถลงข่าว “Biotechnology Lab to Market ตอน เทคโนโลยีชีวภาพ สู่นวัตกรรมไล่ยุง และผลิตภัณฑ์ความงาม” เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ที่เป็นการสกัดสารสกัดจากพืช ได้แก่ สมุนไพร และข้าว ให้ออกมาเป็นรูปแบบของนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ จำนวน 2 ราย ได้แก่ นวัตกรรมสูตรน้ำไล่ยุงชนิดไมโครแคปซูล โดยบริษัท บาริแคร์ จำกัด และนวัตกรรมสารสกัดโปรตีนจากข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นผลิตภัณฑ์ความงาม โดยบริษัท เบลลิส บิวตี้ จำกัด ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สวทช. โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ดำเนินงานเพื่อพัฒนาศักยภาพของ SMEs ให้มีขีดความสามารถทางเทคโนโลยีสูงขึ้น ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยใช้กลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม การร่วมงานกับ ITAP เปรียบเสมือน SMEs ได้มีหน่วยวิจัยและพัฒนา (R&D) เฉพาะกิจ และมีผู้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเทคโนโลยีช่วยบริหารโครงการวิจัยให้ พร้อมทั้งเสาะหาผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและหัวข้อที่ต้องการวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรม รวมทั้งมีเงินทุนสนับสนุนการทำวิจัย ทำให้ SMEs ลดความเสี่ยงในการทำโครงการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2536 จนถึงปัจจุบัน ITAP สวทช. ได้ทำหน้าที่เป็นพันธมิตรทางเทคโนโลยีด้วยการส่งมอบ Technology Solution ให้แก่ SMEs ไทยมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3,000 ราย ช่วยเหลือผู้ประกอบการยกระดับเทคโนโลยีทั้งในระดับรายบริษัท และระดับกลุ่มอุตสาหกรรมประสบความสำเร็จ รวมถึงการยกระดับอุตสาหกรรมชุมชนด้วย และในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพหรือไบโอเทคโนโลยีเพื่อความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่ สวทช. ให้ความสำคัญเสมอมา เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs แล้ว นักวิจัย และ ITAP จะสนับสนุนและให้คำปรึกษาเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา การเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงการผลิต การสร้างมาตรฐานและการทดสอบ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการเทคโนโลยีที่จะช่วยส่งเสริมให้ SMEs สามารถวิจัยและพัฒนาพร้อมทั้งนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จนประสบสำเร็จ ขับเคลื่อนงานวิจัยสู่ภาคธุรกิจเพื่อสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยกระดับการแข่งขันของประเทศ” หนุน SMEs พัฒนานวัตกรรม PASAR เพิ่มประสิทธิภาพการไล่ยุง สวทช. โดยโปรแกรม ITAP สนับสนุนผู้เชี่ยวชาญคณะวิจัย ประกอบด้วย ดร.สรวง สมานหมู่ นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค), รศ. ดร.ปลื้มจิตต์ โรจนพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยค้นคว้าและพัฒนายา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ดร.อภิวัฏ ธวัชสิน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, และ ผศ. ดร.สมชาย เจียจิตต์สวัสดิ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และบริษัทบาริแคร์ จำกัด ได้ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมสูตรน้ำไล่ยุงชนิดไมโครแคปซูล ภายใต้โครงการพัฒนานวัตกรรม Polymer assisted a sustained and release (PASAR : พาซาร์) เพื่อใช้เป็นวัสดุฉลาดในการช่วยควบคุมการปลดปล่อยสารสกัดจากธรรมชาติและวิตามินอย่างยั่งยืน นับเป็นการใช้องค์ความรู้ด้านไบโอเทคโนโลยีการสกัดสารสกัดจากพืชสมุนไพรให้ออกมาเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไล่ยุง โดยผู้ประกอบการสามารถนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จริง ดร.สรวง สมานหมู่ นักวิจัยห้องปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า “ปัญหาที่พบบ่อยในการใช้น้ำมันหอมระเหยเป็นผลิตภัณฑ์ไล่ยุงคือ ความเสถียรของน้ำมันหอมระเหย เนื่องจากเกิดการระเหยได้ง่าย ซึ่งเป็นผลทำให้ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยมีประสิทธิภาพลดลงตามอายุการใช้งาน จึงได้ร่วมกับ ดร.อภิวัฏ ธวัชสิน และ ผศ. ดร.สมชาย เจียจิตต์สวัสดิ์ พัฒนา “นวัตกรรม PASAR สำหรับน้ำมันหอมระเหย” ด้วยการสร้างไมโครเอนแคปซูเลชั่นที่เป็นอนุภาคขนาดเล็กระดับนาโนเมตร (185 นาโนเมตร) ช่วยในการกักเก็บสารสกัดที่สำคัญในน้ำมันหอมระเหย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเสถียรของน้ำมันหอมระเหยให้มีความเสถียรสูง ไม่ให้ระเหยง่าย และสามารถปลดปล่อยสารสกัดในน้ำมันหอมระเหยออกอย่างช้าๆ และเป็นระยะเวลานาน ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่ดีขึ้นของน้ำยาไล่ยุง โดยนวัตกรรมสูตรน้ำไล่ยุงดังกล่าวเป็นกระบวนการไมโครเอนแคปซูเลชั่นของสารสกัดจากธรรมชาติ 3 ชนิด ได้แก่ ตะไคร้หอม ลาเวนเดอร์ และยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงในการไล่ยุง ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เชื้อ Staphylococcus และเชื้อ E.coli รวมทั้งไม่สะสมในร่างกายของผู้ใช้เมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ สารสกัดจากธรรมชาติเหล่านี้ไม่ได้ช่วยในการไล่ยุงโดยตรงเท่านั้น แต่จะทำหน้าที่กำบังกลิ่นที่เป็นตัวล่อยุงให้เข้ามากัด อย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และกรดแลคติก ซึ่งมีการสร้างขึ้นในร่างกายคนเพื่อทำให้ยุงรู้ตำแหน่งของเหยื่อด้วย” ด้าน คุณชัยรัฐ หอณรงค์ศิริ ประธานกรรมการบริษัท บาริแคร์ จำกัด กล่าวว่า “การต่อยอดผลงานวิจัยจนมาเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรไล่ยุง เกิดจากความตระหนักถึงภัยที่มียุงเป็นพาหะ และการหาวิธีป้องกันแต่ไม่ “ฆ่า” จึงได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ด้านในการหาวิธีป้องกันยุง จนได้นวัตกรรมน้ำยาไล่ยุงซึ่งนอกจากจะมีสารสกัดจากธรรมชาติแล้ว ยังมีการเติมสารในกลุ่มไพรีทรอยด์ (สารเลียนแบบโครงสร้างของสารสกัดจากดอกเบญจมาศขาว) เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการไล่ยุง โดยใช้ร่วมกับเครื่องสร้างไอน้ำขนาดอนุภาคระดับนาโนเพื่อการไล่ยุงในรัศมีวงกว้าง (15 ตารางฟุต) เหมาะสำหรับการใช้ป้องกันยุงในการมีกิจกรรมตามที่โล่งแจ้ง โดยทางบริษัทและคณะวิจัยมีแผนริเริ่มโครงการ “เชียงใหม่ปลอดยุง” เพื่อเป็นจังหวัดนำร่องของโครงการดังกล่าว โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์จากเดิมให้สามารถใช้ในโรงพยาบาลและห้องนอนได้ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของน้ำยาให้สามารถฆ่าเชื้อโรคในอากาศได้ และพัฒนาเป็นสเปรย์ไว้พกพาสำหรับคนที่ใช้เดินทางและใช้ป้องกันยุงในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าด้วย” หนุน SMEs สร้างมูลค่าเพิ่มจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ความงาม สวทช. โดยโปรแกรม ITAP สนับสนุนผู้เชี่ยวชาญนักวิจัยไทย ผศ.ดร.สมชาย เจียจิตต์สวัสดิ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในการพัฒนานวัตกรรมสารสกัดโปรตีนจากข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นผลิตภัณฑ์ความงามครีมมาร์คหน้า และสบู่จากสารสกัดข้าว ที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และเพิ่มความกระจ่างใสแก่ผิวหน้า ร่วมกับ บริษัทแอดวาเทค จำกัด ภายใต้การทำการตลาดของบริษัทเบลลิส บิวตี้ จำกัด นับเป็นการใช้องค์ความรู้ด้านไบโอเทคโนโลยีในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ของชุมชน ให้ออกมาเป็นรูปแบบของนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จริง รวมทั้งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของข้าวและรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยได้ด้วย ผศ. ดร.สมชาย เจียจิตต์สวัสดิ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้เชี่ยวชาญโครงการ กล่าวว่า “นวัตกรรมสารสกัดโปรตีนจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ เกิดจากความตระหนักถึงการตกต่ำของราคาข้าวไทย จึงมีแนวความคิดในการต่อยอดเพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทย โดยเลือกข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นข้าวชนิดแรกในโครงการนี้ เนื่องจากข้าวไรซ์เบอร์รี่อุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง โดยการสกัดสารสำคัญจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ด้วยวิธีใช้เอนไซม์ ทำให้ได้สารแอนโทไซยานิน และโปรตีนสกัดจากข้าวที่มีคุณสมบัติเมื่อทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว พบว่า มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูง และโปรตีนสกัดที่ได้จากข้าวไรซ์เบอร์รี่เมื่อไปผ่านกระบวนการไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) เพื่อให้เป็นโปรตีนสายสั้นแล้วนั้น จะยังมีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าด้วย สำหรับน้ำที่ผ่านกระบวนการสกัด นอกจากจะมีสารแอนโทไซยานินปริมาณสูงแล้ว ยังมีเอนไซม์ที่ช่วยในการสกัดโปรตีนออกจากคาร์โบไฮเดรตในข้าวไรซ์เบอร์รี่ซึ่งช่วยในการขัดผิวและเพิ่มความกระจ่างใสให้แก่ผิวหน้าของอาสาสมัครอีกด้วย จึงเป็นที่มาของการต่อยอดนวัตกรรม ผนวกกับตัวเองได้ทำงานกับวิสาหกิจชุมชนที่ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่สามารถควบคุมการผลิต การปลูก ได้ตั้งแต่ต้นน้ำ และผ่านมายังส่วนของนวัตกรรมการสกัดสารสำคัญในข้าวที่เป็นกลางน้ำ ตลอดจนมีบริษัทเอกชนนำไปต่อยอดทางการตลาดที่เป็นปลายน้ำ เรียกได้ว่าเป็นการผลักดันงานวิจัยออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ต้นทางจนปลายทาง รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนให้มีกำลังใจในการปลูกข้าวด้วย” ดร.สรวง สมานหมู่ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการวิจัยกล่าวเสริมว่า “โครงการวิจัยนี้เป็นโครงการวิจัยที่ดี ช่วยส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และใช้จุดเด่นของความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ของข้าวหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะข้าวสีที่มีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavanoids) จำนวนมาก ซึ่งต่างจากข้าวสายพันธุ์อื่นๆ ในต่างประเทศ หากผู้ประกอบการกับนักวิจัยสามารถตอบโจทย์จากการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรได้ ต่อไปอาจจะสามารถส่งข้าวในราคาที่เป็นกรัมแทนเกวียนออกไปขายยังต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีจุดขายที่โดดเด่นในตลาดของเครื่องสำอางและอาหารเสริมของโลกได้ ทั้งนี้ อนาคตตนอยากเห็นการต่อยอดนวัตกรรมการสกัดสารจากข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นผลิตอื่น และมีการสร้างเรื่องราวของงานวิจัยสารสกัดจากข้าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง เหมือนกับโสมของประเทศเกาหลี ซึ่งทั้งรัฐบาลและเอกชนให้ความร่วมมือ และถือเป็นความภูมิใจของเกาหลี หากโครงการการนำสารสกัดจากข้าวไรซ์เบอร์รี่สามารถทำได้แบบโสมนับเป็นเรื่องน่ายินดี เกาหลีมีโสม ประเทศไทยมีข้าว ชาวต่างชาติที่เข้ามาจะได้รู้สึกชื่นชมข้าว ไม่เพียงแต่ใช้กินเป็นอาหารประจำวันเท่านั้น แต่ข้าวไทยยังมีคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ มากเช่นกัน” ด้าน คุณเบญญาภา ใจบุญมา กรรมการผู้จัดการบริษัท แอดวาเทค จำกัด กล่าวว่า “นวัตกรรมการสกัดสารสำคัญในข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นอีกหนึ่งโครงการที่บริษัทส่งเสริม เนื่องจากเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทย สามารถช่วยให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวซึ่งเป็นบุคคลที่เราถูกสอนมาแต่เด็กในการรู้คุณความเหนื่อยยากจากการปลูกข้าว ข้าวไทยมีคุณสมบัติที่เด่นกว่าข้าวสายพันธุ์อื่นๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะข้าว “สี” ของไทย ซึ่งมีสารสำคัญทางธรรมชาติอยู่จำนวนมาก หากสามารถนำสารสกัดสำคัญนั้นออกมาได้ จะสามารถขายข้าวในปริมาณที่เป็นกรัมแต่มีมูลค่าเท่ากับที่ขายเป็นเกวียนได้ ทั้งนี้ บริษัทได้ยื่นจดสิทธิบัตรการสกัดสารสำคัญในข้าวสีสายพันธุ์ต่างๆ เพื่อนำมาต่อยอดเป็นอาหารเสริมและเครื่องสำอาง เพื่อป้องกันต่างชาติเข้ามาลอกเลียนนำข้าว “สี” สายพันธุ์ต่างๆ ไปยื่นจดสิทธิบัตรในประเทศตัวเองและส่งกลับมาขายคนไทยซึ่งเป็นเจ้าของข้าวอย่างแท้จริง โดยบริษัทได้มอบหมายให้ บริษัท เบลลิส บิ้วตี้ จำกัด ซึ่งนำโดย คุณศิณัฐมณฑ์ รัฐวราพงศ์ กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ทำการตลาดในนวัตกรรมสารสกัดจากข้าวในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และอาหารเสริมในรูปแบบต่างๆ” คุณศิณัฐมณฑ์ รัฐวราพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบลลิส บิ้วตี้ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ทำภายใต้แบรนด์สินค้าเบลลิส มี 2 ชนิด ได้แก่ ครีมมาร์คหน้าเพิ่มความกระจ่างใสและลดริ้วรอย และสบู่ฟื้นฟูสภาพผิว ซึ่งเร็วๆ นี้ บริษัทมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมอีก 3 ชนิด ได้แก่ 1) น้ำมันรำข้าวผสมสารสกัดจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่มีคุณสมบัติในการชะลอวัย 2) เซรั่มจากสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหน้า เพิ่มความกระจ่างใส และลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 3) สบู่ธรรมชาติที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากข้าวไรซ์เบอร์รี่และองุ่นแดง ซึ่งช่วยในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และคืนความกระจ่างใสให้แก่ผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมข้าวไทย โดยอยากมีส่วนในการผลักดันให้เกิดศูนย์วิจัยข้าวขึ้นในประเทศไทย หรือไรซ์เซ็นเตอร์ (RICE Center) ที่ทำให้ข้าวที่เป็นทรัพย์สมบัติของคนไทย มีผลิตภัณฑ์มากมายที่มาจากข้าวที่ยังสามารถเพิ่มมูลค่าจากข้าวได้อีกมากมาย”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
บทความ
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.9 – ​นาโนเทค สวทช. สมาคมนาโนฯ มทส. พร้อมเครือข่าย ร่วมเปิดการประชุมนาโนไทยแลนด์ 2016
​นาโนเทค/สวทช. สมาคมนาโนฯ มทส. พร้อมเครือข่าย ร่วมเปิดการประชุมนาโนไทยแลนด์ 2016   พร้อมบริษัทยักษ์ใหญ่-กุนซือ มากกว่า 10 ประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าด้านนาโนฯ    27 พฤศจิกายน 2559- ณ โรงแรมกรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ จ. นครราชสีมา : ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) และสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เปิดการประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติทางนาโนเทคโนโลยี ครั้งที่ 5 (NanoThailand 2016) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-29 พฤศจิกายน 2559 ภายใต้กรอบแนวคิด “นาโนเทคโนโลยี ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน”    ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวเปิดงานว่า ศูนย์นาโนเทค สวทช. สมาคมนาโนเทคโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านนาโนเทค ร่วมกันดำเนินการจัดประชุมวิชาการนาโนไทยแลนด์มาเป็นครั้งที่ 5 โดย ศูนย์นาโนเทค สวทช. ให้ความสำคัญกับนาโนเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็น “เทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่” ในศตวรรษที่ 21 ที่นับวันจะมีบทบาทและความสำคัญต่อสังคมโลกมากขึ้น ทั้งในภาคการศึกษา อุตสาหกรรม การแพทย์ และอื่นๆ สำหรับการประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติทางนาโนเทคโนโลยี ครั้งที่ 5 นี้ จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ ผลงานวิจัย รวมทั้งการนำความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยีจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศไปประยุกต์ใช้ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการวิจัยนาโนเทคโนโลยีให้กับนักวิจัยในสาขาต่างๆ ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจระบบแสดงมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นาโนให้กับผู้ประกอบการ และคาดหวังว่าการจัดประชุมครั้งนี้ จะช่วยให้งานวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยีในประเทศไทย เติบโต ก้าวหน้า และนำมาประยุกต์ใช้ ตลอดจนสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น     สำหรับศูนย์นาโนเทค ได้นำผลงานซึ่งได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ (ด้านเศรษฐกิจ) ประจำปี 2559  "ไข่ออกแบบได้” มาร่วมโชว์ผลงานในการประชุมนานาชาติครั้งนี้ ในความร่วมมือของ บริษัท คลีน กรีนเทค จำกัด และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยห้องปฏิบัติการนวัตกรรมนาโนเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารและเกษตร (NAF) หน่วยวิจัยเกษตรนาโนและสิ่งแวดล้อม (NAE)    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/5116
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.9 – สวทช. จัดกิจกรรมทำความดีถวายพ่อหลวง“นวัตกรรมทำเองได้ DIY Spacer อุปกรณ์พ่นยาโรคหืด” จำนวน 99 อัน
​สวทช. จัดกิจกรรมทำความดีถวายพ่อหลวง “นวัตกรรมทำเองได้ DIY Spacer อุปกรณ์พ่นยาโรคหืด” จำนวน 99 อัน   ส่งมอบให้ชมรมผู้ป่วยโรคหืด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ 2 ธันวาคม 2559 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี – เนื่องในโอกาสครบ 50 วัน แห่งการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บุคลากร สวทช. ได้ร่วมทำกิจกรรม “ทำความดีถวายพ่อหลวง” ด้วยการเชิญชวนจิตอาสามาร่วมทำอุปกรณ์พ่นยาโรคหืด DIY Spacer จำนวน 99 อัน เพื่อส่งมอบให้กับผู้ป่วยเด็กและผู้สูงอายุผ่านทางชมรมผู้ป่วยโรคหืด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ “อุปกรณ์พ่นยาโรคหืด DIY Spacer” ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานการคิดค้นของทีมนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคหืดจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ โดยผลงานวิจัยนี้ได้เผยแพร่สู่สาธารณชน และนำไปใช้ได้จริงในการรักษาผู้ป่วยมาแล้ว และยังได้รับการการันตีด้วยรางวัลจากทั้งในและต่างประเทศมากมาย ศ.พญ.อรพรรณ โพชนกูล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า โรคหืด เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม และหลอดลมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้และสิ่งแวดล้อมมากกว่าปกติ  เมื่อเจอสิ่งกระตุ้น หลอดลมจะหดเกร็งตัวแคบลง เยื่อบุภายในหลอดลมบวมขึ้น และสร้างเมือกเหนียว ทำให้ช่องทางเดินอากาศในหลอดลมแคบลง และเกิดอาการหอบหืด คือ หายใจหอบ เหนื่อย หายใจไม่เต็มอิ่ม บางรายต้องมารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินหรือนอนโรงพยาบาล และในบางรายอาจเสียชีวิตได้ โดยปัจจุบันพบว่าในประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยโรคหอบหืดประมาณ 5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 1,000 คน ซึ่งการเสียชีวิตดังกล่าวนี้ สามารถป้องกันได้ หากมีการใช้ยาที่เหมาะสม และการใช้อุปกรณ์พ่นยา DIY Spacer ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดจำนวนการเสียชีวิตของผู้ป่วย และช่วยลดการสูญเสียรายได้ของประเทศ    “สำหรับหัวใจสำคัญของอุปกรณ์ Spacer คือ ต้องมีวาล์วปิดเปิด โดยวาล์วจะเปิดเมื่อเด็กสูดหายใจเอาตัวยาเข้าไป แต่เมื่อเด็กหายใจออกวาล์วจะต้องปิด เพื่อไม่ให้ลมหายใจที่ปล่อยออกมาไปรวมกับตัวยาในกระบอก ซึ่ง Spacer ที่วางขายในท้องตลาดจะมีวาล์วปิดเปิดลักษณะเหมือนไดอะแฟรม เป็นแผ่นบางๆ แต่สำหรับ DIY Spacer ทีมวิจัยเอ็มเทคนำลิ้นวาล์วในอุปกรณ์สูบน้ำด้วยมือหรือไซฟ่อนปั๊ม มาเป็นตัวควบคุมทิศทางการไหลของลมหายใจให้ไปทางเดียว เวลาเราบีบหัวไซฟ่อนปั๊ม น้ำจะถูกดันไปยังภาชนะหนึ่ง เมื่อปล่อยมือจากหัวไซฟ่อนปั๊มน้ำก็ถูกดูดขึ้นมาไว้ที่หัว พอบีบใหม่น้ำที่ถูกดูดขึ้นมามันจะไม่ไหลกลับไปทางเดิมเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ทำให้น้ำไหลไปทางเดียวกันในแต่ละจังหวะการบีบและคลาย เราจึงนำมาใช้ทำหน้าที่เหมือนวาล์วควบคุมทางเดินอากาศ เวลาสูดหายใจเข้า ตัวยาก็จะไหลเข้าปอด เวลาหายใจออก อากาศจะไหลออกทางช่องเปิดด้านบน ไม่ไหลกลับเข้าไปผสมกับยา” สำหรับการทำอุปกรณ์ DIY Spacer ทำได้ง่าย โดยตัวกระบอกพ่นยา ใช้ขวดน้ำขนาด 500 มิลลิลิตร มาเจาะรูที่ปลายกระบอก เพื่อเป็นช่องสำหรับใส่อุปกรณ์พ่นยา ส่วนปากขวดน้ำนำมาต่อกับลิ้นปิดเปิดที่ได้มาจากที่สูบน้ำด้วยมือ เพื่อบังคับทิศทางการหายใจ สุดท้ายคือการนำส่วนหัวของขวดน้ำขนาดใหญ่ เช่น ขนาด 2 ลิตร มาตัดให้เข้ากับรูปหน้าของผู้ป่วย แล้วนำสายท่อลมยางซิลิโคนมาหุ้มขอบเพื่อลบความคมของขอบรอยตัด และทำให้นุ่มนวลกับหน้าของผู้ป่วยเมื่อใช้งาน ส่วนปากขวดนำมาต่อกับลิ้นปิดเปิดอีกด้านหนึ่ง เท่านี้ก็จะได้อุปกรณ์พ่นยาโรคหอบหืดที่สามารถนำไปใช้ได้จริง โดยใช้เวลาในการทำต่อชิ้นไม่เกิน 10 นาที เท่านั้น   ปัจจุบัน อุปกรณ์ DIY Spacer สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับอุปกรณ์พ่นยาที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ได้เปิดรับจิตอาสาในการทำอุปกรณ์เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ป่วยทั่วประเทศ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ  สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นจิตอาสา หรือผู้ป่วยที่ต้องการขอรับอุปกรณ์สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ชมรมผู้ป่วยโรคหืด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ โทร. 02-926-9999   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/4985-diy-spacer  
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.9 – โครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทยดึงวิทยากรฟินแลนด์มอบความรู้แนวคิดกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กไทย
  โครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทยดึงวิทยากรฟินแลนด์ มอบความรู้แนวคิดกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กไทย   ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หนึ่งใน 20 หน่วยงานเครือข่ายโครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทย (Thailand Children’s University) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ "Children’s University-learning in hands-on activities from LUMA Center Finland" จำนวน 3 วัน ระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-2 ธ.ค. 59 ดึงกูรูนักสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อเด็ก จากสถาบัน LUMA Centre Finland ประเทศฟินแลนด์ ถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ในการสร้างสรรค์กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่สนุก มีคุณภาพ แก่อาจารย์ นักวิชาการในหน่วยงานเครือข่ายโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย กว่า 60 ท่าน หวังต่อยอดพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมสำหรับเด็กไทยระดับประถมปลายและมัธยมต้นในการมีทัศนคติที่ดีในเรื่องวิทยาศาสตร์ให้มองว่าใกล้ตัว สนุก และเกิดแรงบันดาลใจศึกษาสายวิทยาศาสตร์ต่อไป   ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศ ไทย จัดการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เป็นวิทยากรจาก LUMA Center Finland ประเทศฟินแลนด์จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย Mr. Veli-Matti Ikävalko (นายเวลี-มัทตี อิแกวัลโก) Miss Jenni Räsänen (นางสาวเยนนี ราซาแนน) และ Mr. Jaakko Turkka (นายยัคโก ตุระกะ) มามอบความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์การจัดกิจกรรมให้แก่หน่วยงานร่วมในโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก เป็นระยะเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2559 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อให้อาจารย์และวิทยากรเครือข่ายจากทั้ง 21 หน่วยงานที่ร่วมในโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย กว่า 60 คน อาทิ สวทช. สสวท. จุฬาฯ ม.เกษตรศาสตร์ มศว. ม.มหิดล และโครงการ Chevron Enjoy Science : สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต เป็นต้น ได้รับความรู้ความเข้าใจและแนวคิดการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมและสร้างสรรค์สำหรับเด็ก พร้อมรับประสบการณ์ตรง และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการพัฒนาและจัดกิจกรรมมหาวิทยาลัยเด็กต่อไป”    นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการและกิจกรรมพัฒนาเยาวชนวิทยาศาสตร์ สวทช. กล่าวเสริมว่า “เป้าหมายเบื้องต้นการจัดอบรมคือ การสร้างนักพัฒนากิจกรรมที่มีความรู้ความสามารถและเข้าใจแนวคิดในการพัฒนาเด็กให้มีศักยภาพ ฉะนั้น ในทั่วโลกประเทศที่มีความสามารถในการจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ได้สนุกและมีคุณภาพ โครงการมองว่าหนึ่งในกลุ่มนี้คือ ประเทศฟินแลนด์ เนื่องจากทางสถาบัน LUMA Center Finland มีความน่าสนใจอยู่ 3 ประการ ได้แก่ (1) สถาบัน LUMA มีแนวคิดในการสร้างกิจกรรมที่สามารถทำให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการที่ปลายเปิด (Open-end) เด็กจึงมีโอกาสได้เลือกที่จะใช้จินตนาการได้เองสูง (2) ทุกกิจกรรมล้วนส่งเสริมให้เด็กได้มีความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น และ (3) เป็นความร่วมมือครั้งแรกระหว่างโครงการกับประเทศฟินแลนด์ ทำให้ได้เห็นมุมมองและมิติใหม่ๆ ของการสร้างกิจกรรมเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากประเทศนี้ สิ่งที่สำคัญคือภายหลังจากการอบรม ทางอาจารย์และวิทยากรเครือข่ายจะได้นำเอาแนวคิดและความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ ผนวกกับความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์และงานวิจัยที่ทุกท่านเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการแปลงเนื้อหาสารเป็นกิจกรรมที่สนุก ได้ความรู้ และง่ายสำหรับเด็กๆ รวมทั้งเป็นเวทีที่ให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พัฒนากิจกรรมร่วมกัน และผูกโยงเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับเด็กไทย”     ด้าน นายเวลี-มัทตี อิแกวัลโก หนึ่งในวิทยากรจาก LUMA Centre Finland กล่าวว่า LUMA Cetre เป็นเครือข่ายของมหาวิทยาลัยในประเทศฟินแลนด์ ที่ดำเนินการส่งเสริมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กของประเทศมาอย่างยาวนาน ในการอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีวิทยากรรวม 3 ท่าน ซึ่งแต่ละท่านมีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์กิจกรรมที่แตกต่างกันไป อย่างตนเชี่ยวชาญด้านเคมี จะสร้างสรรค์กิจกรรมผ่านการทดลองเพื่อให้เด็กๆ ได้เล่นและเรียนรู้ไปในตัว ดังเช่น การทดลองหาเทคนิควิธีการกำจัดและบำบัด  น้ำมันที่ปนเปื้อนในน้ำว่าเทคนิควิธีไหนที่มีประสิทธิภาพที่สุด และการทดลองหาความเป็นกรดเบสของน้ำผึ้ง เพื่อดูว่ามีค่าเป็นกรด เบส หรือเป็นกลาง เป็นต้น    ขณะที่วิทยากรอีกสองท่านคือ คุณเยนนี ราซาแนน มีความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ กิจกรรม  จึงเกี่ยวกับตัวเลขและแก้ไขปัญหาโดยใช้ความคิดทางคณิตศาสตร์ เช่น เกมส์ต่อเลโก้รูปตึกจาก 1 ชั้นไปจนถึง 4 ชั้น แล้วจัดให้อยู่ในกรอบรูปสี่เหลี่ยมทั้งแนวขวางและแนวตั้ง โดยห้ามมีอันที่ซ้ำกัน และอีกท่าน  คือ คุณยัคโก ตุระกะ ซึ่งเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการละครหรือดราม่า มีการนำละครมาประยุกต์กับเคมี ใช้ การเคลื่อนไหวของร่างกายทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับเคมี ตัวอย่าง กิจกรรมจับ  กลุ่มกัน คนหนึ่งเป็นออกซิเจน อีกสองคนเป็นไฮโดรเจน เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับพันธะเคมี เป็นต้น  โดยมองว่าการละครจะช่วยเสริมจินตนาการของเด็กๆ ในเรื่องความชอบต่อวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี        นายเวลี-มัตตี กล่าวต่อว่า “โครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทย เป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตั้งแต่เยาว์วัยจะช่วยสร้างการรับรู้ของเด็กได้เป็นอย่างดี เด็กทุกคนล้วนชอบทำกิจกรรม หากเราสร้างสรรค์กิจกรรมที่เขารู้สึกสนุก และได้ความรู้ เขาจะประทับใจกับวิทยาศาสตร์และอยากเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น อีกทั้งกิจกรรมต่างๆ ที่เมื่อเด็กๆ ได้เล่นและเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว ควรส่งเสริมให้เขาเหล่านั้นได้นำความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ร่วมชั้นด้วย เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนที่กว้างขวางออกไป และสามารถนำความรู้นี้ไปต่อยอดได้เป็นอย่างดี”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.9 – ไอแทป สวทช. นำผู้ประกอบการ โชว์นวัตกรรม “สร้างสุข ที่ปลายทาง”
​ไอแทป สวทช. นำผู้ประกอบการ โชว์นวัตกรรม “สร้างสุข ที่ปลายทาง” 1 ธันวาคม 2559 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย น.ส.ชนากานต์ สันตยานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโส โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ไอแทป นำผู้ประกอบการ 2 ราย ร่วมออกบูธ การประชุมงาน "สร้างสุขที่ ปลายทาง" ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่าย ระหว่างวันที่ 1-2 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา โดยมี นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เข้ามาร่วมเยี่ยมชมที่บูธของไอแทป สวทช. และให้ความสนใจนวัตกรรมของผู้ประกอบการที่ ไอแทป ให้การสนับสนุน ได้แก่ “ชุดเฟอร์นิเจอร์สร้างสุขผู้สูงอายุติดเตียง” ของ บริษัทอุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ จำกัด (DEESAWAT) ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้เน้นดีไซน์ ซึ่งชุดเฟอร์นิเจอร์สร้างสุขผู้สูงอายุติดเตียง ประกอบด้วย ผนังอเนกประสงค์ เก้าอี้เท้าแขนข้างเดียว และเก้าอี้สูง นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรม “กล่องข้าวสำหรับผู้สูงอายุ” ของ บริษัทไบโอฟอร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ด้วย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/4984-2016-12-08-07-46-51
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 2 ฉบับที่ 8 ประจำเดือน พฤศจิกายน 2559 (ฉบับที่ 20)
ข่าว เชฟรอน และ สวทช. เตรียมจัดงาน “Bangkok Mini Maker Faire ปี 2 ผลงานวิจัยร่วมนาโนเทค-คลีน กรีนเทค "ไข่ออกแบบได้" คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติด้านเศรษฐกิจ ปี 59 “กลุ่มสามารถ” และ สวทช. มอบรางวัล SIA ให้ทีม “จับจ่าย ฟอร์ สคูล” เฮเดล จากอังกฤษ เลือกตั้งศูนย์วิจัยกราฟีนแห่งแรกในเอเชีย ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จัดค่ายวิทยาศาสตร์ “ถนนนักวิจัยรุ่นเยาว์ ปีที่ 3” ก.วิทย์ฯ สวทช. ผนึก สสว. กรมส่งเสริม ก.อุตฯ ติดปีกผู้ประกอบการกลุ่มอาหาร-เกษตร สวทช. จับมือสถานทูตญี่ปุ่น ส่งทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ JENESYS 2016 ก.วิทย์ฯ สวทช. เดินหน้าผลัก “งานวิจัยสู่ห้าง” ในงาน Thailand Tech Show ภูมิภาค จ.ขอนแก่น สวทช. ร่วมจัดสัมมนาขับเคลื่อน SMEs ด้วยการตลาดยุคใหม่ ก.วิทย์ฯ สวทช. หนุน สมาคมอาร์เอฟไอดี โชว์เทคโนโลยี “RFID”   บทความ พระอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช   ปฏิทินกิจกรรม สวทช. ขอเชิญร่วมสัมมนา ฟรี!! “ตอบโจทย์ความคิด : ทำธุรกิจเชิงรุกยุคดิจิทัล” Thailand Tech Show 2016 ภูมิภาค ครั้งที่ 2/2559 จังหวัดสงขลา โปรแกรมฝึกอบรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Practices Training Program: GP) ข่าวดี!! สำหรับผู้ประกอบการที่ทำวิจัยฯ เพื่อพัฒนา ต่อยอดธุรกิจตนเอง อบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ    Download เอกสารฉบับเต็ม [6.93 MB] NSTDA Newsletter ปีที่ 2 ฉบับที่ 8 ประจำเดือนพฤศจิกายน 2559 (ฉบับที่ 20) from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
จดหมายข่าว สวทช.
 
จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.8 – ปฏิทินกิจกรรม
• สวทช. ขอเชิญร่วมสัมมนา ฟรี!! “ตอบโจทย์ความคิด : ทำธุรกิจเชิงรุกยุคดิจิทัล” สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ขอเชิญผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มอุตสาหกรรมไม้ อุตสาหกรรมสินค้าไลฟ์สไตล์ ตลอดจนผู้สนใจ เข้าร่วมสัมมนา ฟรี!!! ในหัวข้อ “ตอบโจทย์ความคิด : ทำธุรกิจเชิงรุกยุคดิจิทัล” ในวันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559 เวลา 13:00 - 15:30 น. ณ ห้องกินรี 1 โรงแรมอมารี ดอนเมือง กรุงเทพฯ งานนี้ผู้เข้าสัมมนาจะได้รับฟังแนวทางการทำธุรกิจให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเน้นการปรับทัศนคติและปรับตัวทางการตลาดให้เข้ากับยุคดิจิทัล พร้อมรับฟังแนวทางการทำออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง ที่จะช่วยให้ SMEs พร้อมในเรื่องข้อมูลสำหรับทำธุรกิจในตลาดดิจิทัล ด่วน! รับจำนวนจำกัดเพียง 50 ท่าน เท่านั้น ลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ http://www.nstda.or.th/pizza-model หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2564 7000 ต่อ 1301 • Thailand Tech Show 2016 ภูมิภาค ครั้งที่ 2/2559 จังหวัดสงขลา ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน Thailand Tech Show 2016 ภูมิภาค ครั้งที่ 2/2559 จังหวัดสงขลา อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมลงทะเบียนเข้าร่วม ได้ที่ https://www.thailandtechshow.com/ • โปรแกรมฝึกอบรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Practices Training Program: GP) สถาบันวิทยาการ สวทช. (NSTDA Academy) ขอนำเสนอหลักสูตรที่น่าสนใจของ โปรแกรมฝึกอบรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Practices Training Program: GPP) ได้แก่ • หลักสูตรหลักการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร รุ่นที่ 6 (Carbon Footprint for Organization: CFO6) เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้บุคลากรที่ต้องการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรหรือต้องการจัดทำข้อมูลแก๊สเรือนกระจกขององค์กรได้เรียนรู้และเข้าใจในหลักการและฝึกปฏิบัติการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรของประเทศไทยของ อบก. อย่างเข้มข้น ค่าลงทะเบียนฝึกอบรม 10,000 บาท อบรมวันที่ 24 - 25 พฤศจิกายน 2559 • ข่าวดี!! สำหรับผู้ประกอบการที่ทำวิจัยฯ เพื่อพัฒนา ต่อยอดธุรกิจตนเอง ด้วยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม กรมสรรพากร ร่วมกับ สวทช. และ สวทน. ได้ปรับปรุงมาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมภาคเอกชน ด้วยมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 จาก 2 เท่า เป็น 3 เท่า เป็นเวลา 5 ปี มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 ถึง 31 ธันวาคม 2562 สถาบันวิทยาการ สวทช. จึงได้จัดทำหลักสูตร สัมมนา "เทคนิคการจัดทำข้อเสนอโครงการวิจัยฯ เพื่อขอรับรองโครงการวิจัยฯ ตามมาตรการยกเว้นภาษี 300%" รุ่นที่ 4 วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559  เวลา 09.00 - 16.00 น. ณ โรงแรมปทุมวันปริ้นเซส ติดกับ ศูนย์การค้ามาบุญครองเซ็นเตอร์ ใกล้สถานี รถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nstdaacademy.com/rdc สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center : 0 2644 8150 ต่อ 81896 (คุณนพดร) E-mail: bas@nstda.or.th • อบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ สถาบันวิทยาการ สวทช. (NSTDA Academy) ขอเชิญผู้สนใจเข้าอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “คิดและสร้าง Infographic แบบมืออาชีพ” จากบริษัท Infographic Thailand บริษัท Creative Infographic เบอร์ 1 ของเมืองไทย โอกาสสำคัญที่พลาดไม่ได้สำหรับ Infographic และ Designer จะได้รับประสบการณ์จากทีมงานมืออาชีพ รุ่นที่ 11  ระหว่างวันที่ 28 - 29 พฤศจิกายน 2559 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น รุ่นที่ 12  ระหว่างวันที่ 24 - 25 มกราคม 2560 (กรุงเทพฯ) รุ่นที่ 13  ระหว่างวันที่ 22 - 23 มีนาคม 2560 (กรุงเทพฯ) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nstdaacademy.com/info สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center: 0 2644 8150 ต่อ 81907 (คุณทินกร) E-mail : bas@nstda.or.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย