ผลการค้นหา :

นักวิจัย สวทช. ขนทัพรับ 38 รางวัล ในงาน “วันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2568”
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา: สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปทรงเปิดงาน “วันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2568” (Thailand Investor’s Day 2025) และพระราชทานเกียรติบัตรให้แก่ผู้ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ได้แก่ รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ รางวัลผลงานวิจัย รางวัลวิทยานิพนธ์ และรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นประจำปี 2568 จำนวน 180 คน จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมคณะผู้บริหารร่วมแสดงความยินดีกับนักวิจัยศูนย์วิจัยแห่งชาติ ภายใต้สังกัด สวทช. ที่ได้รับรางวัลในสาขาต่าง ๆ รวม 38 รางวัล ดังนี้
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ
ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ ได้รับรางวัลผลงานวิจัย รางวัลระดับดี สาชาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ จากผลงานวิจัย การพัฒนาแบตเตอรี่ไอออนสังกะสีแบบอัดประจุช้ำได้ซึ่งมีสมรรถนะต่อต้นทุนสูงและวงรอบการใช้งานสูง
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
ดร.ดวงเดือน อาจองค์ ได้รับรางวัลผลงานวิจัย รางวัลระดับดีมาก สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย จากผลงานวิจัย ชีโอไลต์จากวัสดุพลอยได้จากอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าและเหมืองแร่เพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยามูลค่าสูงสำหรับปรับปรุงคุณภาพเชื้อเพลิงชีวภาพจากชีวมวลเหลือทิ้ง
ดร.ศุภณัฐ ภัทรธีราได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award วิทยานิพนธ์ จากเรื่อง The Versatility of Stereo complex PLLA/PDLA for the Thermal and Mechanical Property Improvement of PLA/Rubber Blends
นายโฆษิต วงค์ปิ่นแก้ว ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ผลงานประดิษฐ์คิดค้น จากเรื่อง ระบบติดตามและประเมินความเสี่ยงการกัดกร่อนภายใต้ฉนวนโดยเซนเซอร์กระแสชนิดกัลวานิก
ดร.นพดล เกิดดอนแฝก ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ผลงานประดิษฐ์คิดค้น จากเรื่อง ฟิล์มใสย่อยสลายได้ที่มีสมบัติต้านทานการเกิดฝ้าระดับดีเยี่ยม สำหรับการใช้งานเพื่อปิดหน้าถาดเป็นบรรจุภัณฑ์อาหารที่ยั่งยืน
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
ดร.ชาลี วรกุลพิพัฒน์ ได้รับรางวัลผลงานวิจัย รางวัลระดับดีมาก สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ จากผลงานวิจัย กระบวนการยืนยันตัวตนทั้ง 4 ปัจจัยที่ใช้ได้จริง: การประยุกต์ใช้ในการลงเวลา
ดร.ยุทธนา อินทรวันณี ได้รับรางวัลผลงานวิทยานิพนธ์ รางวัลระดับดีมาก สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ จากวิทยานิพนธ์ พื้นผิวเมตาสำหรับการสร้าง การตรวจวัด และการถ่ายภาพโพลาไรเซชันในย่านแสงขาว
ดร.อภิชัย จอมเผือก ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น รางวัลประกาศเกียรติคุณ สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย จากผลงาน วัสดุเส้นใยคาร์บอนนำไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงจากกากอุตสาหกรรมและยางรถยนต์หมดสภาพ สำหรับอุตสาหกรรมกักเก็บพลังงาน
ดร.กมล เขมะรังสี ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ผลงานประดิษฐ์คิดค้น จากเรื่อง อยู่ไหน แพลตฟอร์มระบบระบุตำแหน่งภายในอาคารสำหรับโรงงานและคลังสินค้าอัจฉริยะ
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ
ดร.สุภาวดี นาเมืองรักษ์ ได้รับรางวัลผลงานวิจัย รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ จากผลงานวิจัย ฐานข้อมูลและหลักการสร้างวัสดุโลหะอินทรีย์ชนิดใหม่จากสารตั้งต้น CO2 เพื่อนำไปใช้ประโยชน์จาก CO2 ขั้นสูงสุด
ดร.สุวัสสา บำรุงทรัพย์ ได้รับรางวัลผลงานวิจัย รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช จากผลงานวิจัย การพัฒนากระดาษพลาสโมนิคสำหรับการประยุกต์ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์และสิ่งแวดล้อมด้วยเทคนิค SERS
ดร.ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ ได้รับรางวัลผลงานวิจัย รางวัลระดับดี สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย จากผลงานวิจัย การพัฒนากระบวนการเร่งปฏิกิริยาแบบวิวิธพันธุ์เพื่อผลิตกรดอินทรีย์มูลค่าสูงจากเฮมิเซลลูโลสในชีวมวลเหลือทิ้งทางการเกษตร
ดร.นิศากร ยอดสนิท ได้รับรางวัลผลงานวิทยานิพนธ์ รางวัลระดับดีเด่น สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัชจากวิทยานิพนธ์ การพัฒนาอนุภาคนาโนไมเซลล์ฐานเดนไดรเมอร์สำหรับนำส่งยาเพื่อรักษาภาวะผนังหลอดเลือดชั้นในเกิดการหนาตัว
ดร.วิศรุต ปิ่นรอด ได้รับรางวัลผลงานวิทยานิพนธ์ รางวัลระดับดีมาก สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย จากวิทยานิพนธ์ ระบบเครื่องกลไฟฟ้าจุลภาคเพียโซอิเล็กทริกคานสองชั้น ผลิตจากเลดเชอร์โคเนตไททาเนตสำหรับประยุกต์ใช้ในระบบพลังงานต่ำและการพัฒนาไจโรสโคปจากการแทรกสอดของคลื่นเสียง
ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ จากผลงาน สารหน่วงไฟผลิตจากขยะเปลือกหอยแมลงภู่
ดร.ศิวพร มีจู สมิธ ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ผลงานวิจัย จากเรื่อง การใช้เปลือกไข่เป็นวัตถุดิบสำหรับการสังเคราะห์วัสดุบำบัดมลพิษ”
ดร.ปวีณา ดานะ ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ผลงานวิจัย จากเรื่อง ระบบนำส่งยาแบบมุ่งเป้าที่สภาวะแวดล้อมมะเร็ง เพื่อการยับยั้งความรุนแรงของโรคมะเร็งลำไส้
ดร.บุญรัตน์ รุ่งทวีวรนิตย์ ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ผลงานวิจัย จากเรื่อง การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาเหล็กแบบหลายอะตอมชนิดใหม่บนตัวรองรับโครงข่ายโลหะ-อินทรีย์ สำหรับการเปลี่ยนมีเทนเป็นเมทานอลโดยตรงที่อุณหภูมิต่ำ
ดร.กุลวดี การอรชัย ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ผลงานวิจัย จากเรื่อง การพัฒนาเซนเซอร์ตรวจวัดการปนเปื้อนไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในอุตสาหกรรมนม
ดร.วีรกัญญา มณีประกรณ์ ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ผลงานวิจัย จากเรื่อง การพัฒนานาโนเซนเซอร์ตรวจวัดการปนเปื้อนฟลูออไรด์ โลหะหนัก และสารเคมีตกค้างในน้ำเพื่อประเมินความปลอดภัยเคมีในน้ำอุปโภคบริโภค
ดร.สุปรีดา แต้มบุญเลิศชัย ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award วิทยานิพนธ์ จากเรื่อง การใช้สารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเรซิควิมอดในการรักษามะเร็งชนิดเมลาโนมา
ดร.จิตติมา มีประเสริฐ ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award วิทยานิพนธ์ จากเรื่อง การศึกษาเชิงลึกของฟังก์ชันต่าง ๆ บนตัวเร่งปฏิกิริยาฐานไทเทเนียมไดออกไซด์
ดร.จักรภพ พันธศรี ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award วิทยานิพนธ์ จากเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดสารซีลีเนตโดยใช้วัสดุเหล็กนาโนประจุศูนย์ยึดติดบนซีโอไลต์
ดร.นครินทร์ ทรัพย์เจริญดี ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award วิทยานิพนธ์ จากเรื่อง การขึ้นรูปขั้วไฟฟ้าแบบเส้นใยด้วยวิธีการปั่นเปียกและจุ่มเคลือบสำหรับแบตเตอรี่สังกะสีไอออนชนิดเคเบิล/เส้น
ดร.หฤษฎ์ พิทักษ์จักรพิภพ ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award วิทยานิพนธ์ จากเรื่อง การผลิตไมโครนีดเดิลชนิดไฮโดรเจลแบบไม่ใช้แม่พิมพ์เพื่อนำส่งยาผ่านผิวหนัง โดยใช้วิธีการเติมยาก่อนใช้
ดร.พิศิษฐ์ คำหน่อแก้ว ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award ผลงานประดิษฐ์คิดค้น จากเรื่อง การพัฒนาฟิล์มเคลือบชนิดอนุภาคระดับนาโนคอปเปอร์ (I) ออกไซด์-ซีโอไลท์ (copper (I) oxide-zeolite) สำหรับยับยั้งเชื้อโควิด-19 และแบคทีเรีย
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
ดร.ธนธม ไชยลังการณ์ ได้รับรางวัลผลงานวิจัย รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากผลงานวิจัยการศึกษาโรคติดเชื้อไวรัสด้วยเทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิดมนุษย์แบบเหนี่ยวนำ
ดร.ชินวิชญ์ ภมรนาค ได้รับรางวัลผลงานวิทยานิพนธ์ รางวัลระดับดับดี สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย จากวิทยานิพนธ์ การพัฒนาวัสดุนำไฟฟ้าจากโปรตีนไฟโบรอินของรังไหม เพื่อใช้รองรับการเจริญเติบโตของเซลล์และการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า สำหรับฟื้นฟูเส้นประสาทในระบบประสาทส่วนปลาย
ดร.อรวรรณ หิมานันโต ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น รางวัลระดับดีมาก สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา จากผลงาน Tilapia Strep-Easy Kit ชุดตรวจอย่างง่าย เกษตรกรทำได้เอง สำหรับการเฝ้าระวังและจัดการควบคุมโรคสเตรปโตคอคโคชิสในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลานิลและปลาทับทิม
ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award รางวัลผลงานวิจัย จากเรื่อง การพัฒนาระบบการผลิตจากราเส้นใยสำหรับการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมชีวภาพ
ดร.จิตติมา พิริยะพงศา ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award รางวัลผลงานวิจัย จากเรื่อง PharmVIP: ซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์และแปลผลข้อมูลพันธุกรรมในยีนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อยา
ดร.บวรลักษณ์ คำน้ำทอง ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award รางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award รางวัลผลงานวิจัย จากเรื่อง การพัฒนาเครื่องหมายพันธุกรรมสำหรับคัดเลือกพันธุ์กุ้งขาวแวนนาไม Litopenaeus vannamei ที่ทนต่อความเครียดและเติบโตดี
ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรหม ได้รับผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award รางวัลผลงานวิจัย จากเรื่อง การเสริมสร้างสุขภาพกุ้งเพื่อต้านโรคไวรัสด้วยเทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียวแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ดร.พิษณุ ปิ่นมณี ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award รางวัลผลงานวิทยานิพนธ์ จากเรื่อง การคัดเลือก การทำบริสุทธิ์ และการศึกษาคุณสมบัติของเอนไซม์ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทสจากเซลล์ยีสต์แซคคาโรไมซิส และการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
ดร.พงศกร วังคำแหง ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award รางวัลผลงานวิทยานิพนธ์ จากเรื่อง วิธีการทางสถิติที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการค้นหา อธิบาย และบอกอายุของการเกิดขึ้นของประชากรและการประยุกต์ใช้ในข้อมูลจีโนมขนาดใหญ่
ดร.ธนพร เล้าฐานะเจริญ ได้รับรางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award รางวัลผลงานวิทยานิพนธ์ จากเรื่อง การทำความเข้าใจเชิงลึกเพื่อปรับปรุงกลไกระดับโมเลกุลของวิถีการผลิตกรดอินทรีย์ในเชื้อรา Aspergillus niger
สำหรับวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2568” (Thailand Inventors’ Day 2025) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมไทย : ความท้าทายของไทย” ระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อน้อมรำลึกถึงวันประวัติศาสตร์ การทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” แด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” และยังเป็นเวทีสำคัญระดับชาติและนานาชาติ ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทย ในด้านการประดิษฐ์คิดค้นต่อการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพออกสู่สายตาคนไทยและประชาคมโลก
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หรือ https://www.inventorsdayregis.com
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ตัดต้นตอ ‘PM2.5’ เจอจุดเผา เขม่าควันดำ ฟ้องทราฟฟีเลย!
นับวันสถานการณ์ PM2.5 ยิ่งเลวร้าย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทยในหลายพื้นที่ Traffy Fondue (ทราฟฟี ฟองดูว์) ช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่นพิษ เปิดรับแจ้ง ‘ต้นตอ PM2.5’ ทั้ง ‘การเผา เขม่าควันดำ’ รวมทั้งชวนประชาชนแบ่งปันข้อมูล ‘ค่า AQI’ ร่วมสร้างแผนที่แสดงมลพิษทางอากาศ PM2.5 แบบเรียลไทม์ทั้งประเทศ
ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า สถานการณ์ PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในเกณฑ์มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยากรู้ถึงแหล่งต้นตอของ PM2.5 เช่น มีการเผาบริเวณใดบ้าง หรือรถยนต์ที่มีควันดำเกินมาตรฐาน เพื่อเร่งตัดวงจรลดปริมาณฝุ่นในอากาศ ด้วยเหตุนี้ Traffy Fondue จึงเพิ่มปุ่มพิเศษ ‘แจ้ง PM2.5’ สำหรับอำนวยความสะดวกในการแจ้งเรื่องให้แก่ประชาชนและสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่
“ปุ่มพิเศษ ‘แจ้ง PM2.5’ เปิดรับเรื่องแจ้ง 3 ประเภท อันดันแรก คือ การเผา ทั้งเผาป่า เผาไร่ เผาในที่โล่ง หรือเผาบริเวณชุมชนจนประชาชนได้รับผลกระทบจากฝุ่นควัน สอง คือ ควันดำ รับแจ้งยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล รถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุก รถโดยสารประจำทางที่เป็นของหน่วยงานรัฐและรถร่วมบริการ สาม คือ แจ้งค่า AQI เนื่องจากสถานีตรวจวัด PM2.5 ยังมีไม่เพียงพอครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ จึงอยากเชิญชวนประชาชนที่มีเครื่องวัด PM2.5 แบบพกพา ร่วมส่งข้อมูลค่า AQI ในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลาเข้ามา หากแพลตฟอร์มได้รับข้อมูลจำนวนมากพอจะสามารถแสดงแผนที่มลพิษทางอากาศ PM2.5 ทั้งประเทศแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคุณภาพอากาศได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น อีกทั้งหากมีการบันทึกข้อมูลค่าฝุ่นอย่างต่อเนื่องทุกปีจะช่วยสร้างฐานข้อมูล PM2.5 สำหรับใช้เปรียบเทียบความรุนแรงของสถานการณ์ และการวางแผนแก้ปัญหา PM2.5 ในอนาคต”
ดร.วสันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนพบต้นตอฝุ่น PM2.5 สามารถพิมพ์แจ้งรายละเอียด ส่งภาพ และพิกัดได้ที่ LINE Official: @Traffyfondue แพลตฟอร์มจะส่งต่อข้อมูลไปยังจังหวัด หรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบ เช่น มีเรื่องแจ้ง ‘เจอจุดเผาในจังหวัดโคราช’ ข้อมูลจะส่งต่อไปที่จังหวัดโคราช โดยเจ้าหน้าที่จังหวัดอาจจะส่งต่อข้อมูลให้ อบต. หรือเทศบาลเข้าไปช่วยดับไฟ ซึ่งตอนนี้มีประชาชนแจ้งจุดเผาและต้นตอควันดำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“เมื่อก่อนประชาชนเห็นคนแถวบ้านเผาหญ้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องทนสูดฝุ่นควัน ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว แต่ตอนนี้แจ้งได้ง่ายผ่าน Traffy Fondue ที่สำคัญรัฐบาล กระทรวงมหาดไทย และจังหวัดต่าง ๆ มีความเข้มงวดในการแก้ปัญหาและบังคับใช้กฎหมายลงโทษ โดย ผู้เผา หากก่อให้เกิดเหตุรำคาญ มีโทษจำคุก 3 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ ตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข และหากการเผานั้นเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุก 7 ปี และ ปรับไม่เกิน 140,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา สำหรับผู้แจ้งที่กังวลเรื่องการเปิดเผยข้อมูล ก็ไม่ต้องกังวล เพราะพื้นฐานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไม่มีการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้แจ้ง”
อย่าทนทุกข์กับฝุ่นพิษ ! หากพบต้นตอฝุ่น PM2.5 แจ้งทันทีที่ LINE Official: @Traffyfondue
-------------------------
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

เอกนัฏ เปิดตัว“แจ้งอุต” แจ้งปัญหาอุตสาหกรรมง่ายๆ ผ่านไลน์ ดึงปชช. ร่วมปราบ โรงงานเถื่อน สินค้าไม่ได้มาตรฐาน มลพิษPM2.5
กระทรวงอุตสาหกรรม คิกออฟ “แจ้งอุต” แพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหาอุตสาหกรรมผ่านทางไลน์ โดยเทคโนโลยี “ทราฟฟี่ ฟองดูว์” ซึ่งผู้ร้องสามารถติดตามสถานการณ์แก้ปัญหาจนแล้วเสร็จ ทราบผลรวดเร็วทันใจ สร้างการมีส่วนร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไทย
(เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568) ณ ห้องประชุม 2-1 ชั้น 21 ตึกสำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ: นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีความเอาจริงเอาจังกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรมทั้งการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการให้การประกอบกิจการเป็นเรื่องง่าย (Ease of Doing Business) และเพิ่มความคล่องตัวสำหรับประชาชนทั่วไปในการติดต่อกับกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้มอบหมายให้“คณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม” นำโดย นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหาแนวทางขับเคลื่อนร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหา "ทราฟฟี่ฟองดูว์" (Traffy Fondue) จัดทำช่องทางร้องเรียนออนไลน์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ในชื่อ “แจ้งอุต” ที่จะเป็นตัวกลางระหว่างประชาชนกับกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นการเพิ่มช่องทางแจ้งเรื่องและตามติดสถานะของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแบบทันใจยกระดับการมีส่วนร่วมภาคประชาชนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้สะอาด โปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพให้ภาครัฐโดยการใช้เทคโนโลยีที่อำนวยให้ข้าราชการทำงานง่ายขึ้น อย่างเทคโนโลยีประมวลผลอัจฉริยะ (AI) ที่ช่วยเจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์ แนะนำแนวทางการแก้ปัญหาอัตโนมัติ เพื่อลดระยะเวลาทำงาน
“ช่วงที่ผ่านมา เราเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายกับการจัดระเบียบอุตสาหกรรมไทย กับโรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎกติกา ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 สินค้าไม่ได้มาตรฐานมากมายยังแทรกซึมในตลาด ลำพังกำลังพลของข้าราชการอุตสาหกรรม เราทำได้ไม่เพียงพอเป็นแน่ ผมจึงอยากให้ “แจ้งอุต” ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยรับฟังเสียงจากประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อแก้ปัญหา ในขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับประชาชน ในการต่อสู้เพื่อพังวงจรอุตสาหกรรมสีเทา โรงงานเถื่อน เอาผิดผู้ประกอบการไร้ความรับผิดชอบ ลักลอบฝังขยะอันตราย ปิดตายสินค้าข้ามชาติราคาถูกที่ไร้มาตรฐาน ช่วยกันพลิกฟื้นอุตสาหกรรมไทยให้สะอาด โปร่งใส ไม่ให้มีอะไรซุกใต้พรมอีกต่อไป แจ้งอุตมา เราสุดซอยให้แน่ครับ” นายเอกนัฏกล่าว
นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การทำงานของแพลตฟอร์ม “แจ้งอุต” นั้น สามารถเข้าใช้งานโดยผ่านระบบของทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) และเลือกไปยัง แจ้งอุต รวมทั้งการสแกนผ่าน QR Code และ Link ซึ่งสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนในเรื่องต่างๆ แบ่งออกเป็น 6 ด้าน คือ 1. โรงงาน (ปัญหาเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานกลิ่นเหม็น/เสียงดัง/ฝุ่นละออง/ถนนและระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรม) 2. อ้อย (ปัญหาเผาอ้อย/รถบรรทุกอ้อยน้ำหนักเกิน) 3. เหมือง (ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ) 4. มาตรฐานสินค้า 5. บริการอุตสาหกรรม (ร้องเรียนการให้บริการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม) และ 6. ด้านอื่นๆ นอกจากนี้ยังสามารถร้องเรียนการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
ในระยะแรก กระทรวงอุตสาหกรรมจะรับแจ้งจัดการเรื่องการร้องเรียนของทุกหน่วยงานในสังกัด จำนวน 8 แห่ง ส่วนระยะต่อไปจะพัฒนาการติดตามสถานะการขอรับบริการ เช่น การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การขอมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสถานะการสมัครเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี สถานะการขอสินเชื่อของผู้ประกอบการ เป็นต้น ทั้งนี้ ระบบใน Traffy Fondue ได้พัฒนาการแสดงผลภาพรวม (dashboard) และฐานข้อมูลการใช้บริการ เช่น สถิติการร้องเรียน พื้นที่ที่ถูกร้องเรียน ประวัติการส่งเรื่องร้องเรียน และจำนวนที่ได้รับการแก้ไข เพื่อให้ผู้รับผิดชอบสามารถนำไปวางแผนการจัดการปัญหาในพื้นที่นั้น ๆ และในอนาคต กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนที่จะเชื่อมโยงแจ้งอุตกับระบบต่างๆที่มีอยู่ของกรม เช่น I-Dee Pro และระบบอื่นๆ ต่อไป เพื่อให้ข้อมูลและการจัดการต่างๆ เชื่อมโยงถึงกัน
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการจัดฝึกอบรมการใช้งาน “แจ้งอุต” เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 500 คน ทั้งที่ห้องประชุมและทางออนไลน์ เพื่อนำแนวทางและเทคนิคของการจัดการเรื่องร้องเรียนมาฝึกปฏิบัติให้สามารถนำระบบ “แจ้งอุต” ไปปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและพร้อมให้บริการประชาชน ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมีเรื่องร้องเรียนเฉลี่ยปีละ 500-550 เรื่อง โดยเรื่องร้องเรียนมากที่สุด 11 อันดับ ได้แก่ 1. กลิ่นเหม็นและไอสารเคมี (ร้อยละ 29) 2. ฝุ่นละอองและเขม่าควัน (ร้อยละ 21) 3. เสียงดังและแรงสั่นสะเทือน (ร้อยละ 15) 4. น้ำเสีย (ร้อยละ 8) 5. อื่นๆ (ร้อยละ 6) 6. ประกอบการในเวลากลางคืน (ร้อยละ 6) 7. กากอุตสาหกรรมและวัตถุอันตราย (ร้อยละ 5) 8. ประกอบการโดยไม่ได้รับอนุญาต (ร้อยละ 5) 9. ความปลอดภัยในการทำงานและสุขภาพ (ร้อยละ 3) 10. คัดค้านการประกอบการ (ร้อยละ 2) 11. เหมืองแร่ (ร้อยละ 0.3) นอกจากนี้ยังมีการร้องเรียนจากเหตุภาวะฉุกเฉิน เฉลี่ยจำนวน 15 เรื่องต่อเดือน อาทิ เหตุเพลิงไหม้ สารเคมีรั่วไหล การชุมนุมคัดค้าน อุบัติเหตุจากการทำงานหรือเครื่องจักรกล เหตุระเบิด เป็นต้น
การพัฒนาแพลตฟอร์ม "แจ้งอุต" เป็นการยกระดับการให้บริการของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ในการแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการข้อร้องเรียน นำร่อง รับแจ้งเรื่อง 6 ประเภทเรื่องสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเรื่องผ่านคิวอาร์โค้ด หรือไลน์ไอดี “Traffy fondue” โดยเริ่มอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนแพลตฟอร์ม "แจ้งอุต" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มร้องเรียนออนไลน์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่พัฒนาต่อยอดจากแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อเป็นช่องทางให้ประชาชน ภาคเอกชน และผู้มีส่วนได้เสียในภาคอุตสาหกรรม สามารถแจ้งปัญหา ข้อร้องเรียน หรือข้อเสนอแนะได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดย Traffy Fondue เป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง ที่พัฒนาโดย ทีมวิจัยของ สวทช. หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งตอบโจทย์ มิติลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตามกลยุทธ์ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช.
"แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เป็นเครื่องมือในการรับเรื่องร้องเรียน ที่ไม่เพียงเชื่อมต่อทุกปัญหา แต่ยังเชื่อมโยงประชาชนเข้ากับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อยกระดับสังคมเมืองให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ปัจจุบันมีจังหวัดที่ใช้งานทุกหน่วยราชการของจังหวัดมากถึง 24 จังหวัด ผ่านการรับเรื่องแจ้งทั่วประเทศมากกว่า 1.2 ล้านเรื่อง ครอบคลุมประชากรมากกว่า 30 ล้านคน คิดเป็น 45% ของประชากรทั่วประเทศ ขยายผลการใช้งานแล้วมากกว่า 15,000 หน่วยงาน"
ทั้งนี้การพัฒนาแพลตฟอร์ม "แจ้งอุต" เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการให้บริการของภาครัฐ โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาใช้ในการแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการข้อร้องเรียน นำร่องรับแจ้งเรื่อง 6 ประเภทเรื่องสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเรื่องผ่านคิวอาร์โค้ด และเลือกเมนู “แจ้งอุต” เพื่อแจ้งปัญหาอุตสาหกรรม พิมพ์รายละเอียดเรื่องแจ้ง แนบรูปภาพ และระบุพิกัดของปัญหา เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจะได้รับข้อมูลภาพรวมการแจ้งปัญหาอุตสาหกรรมพร้อมบริหารจัดการรับแผนสรุปเรื่องแจ้งเข้าระบบสำเร็จ ซึ่งตอกย้ำการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่ สวทช. มีนักวิจัยนักพัฒนาคิดค้นและพัฒนาเครื่องมือ มาช่วยตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาให้หน่วยงานภาครัฐและประชาชนได้ตรงกับความต้องการของสังคม ที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้การแจ้งเรื่องร้องเรียนสะดวกขึ้น แต่ยังช่วยให้กระบวนการตรวจสอบและตอบสนอง มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดระยะเวลา ลดความซับซ้อน และเพิ่มความไว้วางใจของประชาชนต่อหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาประเทศในยุคดิจิทัล และช่วยยกระดับการแก้ปัญหาของภาครัฐสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะผู้บริหารหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. เยือน A*STAR สิงคโปร์ มุ่งสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมระดับภูมิภาค
(เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568) ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการ คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เดินทางเยือนสำนักงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิจัยแห่งสิงคโปร์ (Agency for Science, Technology and Research: A*STAR) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมเปิดโอกาสในการพัฒนางานวิจัยร่วมกันระหว่างสองประเทศ
การประชุมจัดขึ้นที่ Singapore Institute of Food and Biotechnology Innovation (SIFBI) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยชั้นนำที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ โดยครอบคลุมการสร้างผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ การผลิตที่ยั่งยืน และการใช้จุลินทรีย์ในกระบวนการผลิต ฝ่ายสิงคโปร์ นำโดย Mr. Beh Kian Teik Chief Executive Officer ของ A*STAR พร้อมด้วย Dr. Tan Sze Executive Director ของสถาบันนวัตกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งสิงคโปร์ (Singapore Institute of Food & Biotechnology Innovation) Ms. Tay Chay Wah Executive Director, A*STAR และ Mr.Joseph Tan Director, International Partnerships Office, A*STAR
Mr. Beh Kian Teik กล่าวถึง Food Tech Innovation Centre (FTIC) มีเป้าหมายสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงนักวิจัย ผู้ประกอบการ และนักลงทุน เพื่อพัฒนานวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนและสนับสนุนการขยายตัวในตลาดเอเชียอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังได้มีการหารือความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาที่เน้นเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยเฉพาะด้านอาหาร รวมทั้งการสนับสนุนโครงการ Talent Mobility เพื่อแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และนักศึกษาระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ คณะผู้บริหารยังได้เยี่ยมชม Food Technology Innovation Centre (FTIC) ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรม เช่น การแปรรูปอาหาร การสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดขยะอาหาร
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ได้ใช้โอกาสนี้กล่าวในที่ประชุม ถึงศักยภาพของศูนย์บริการเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาหาร (FoodSERP: (Service Platform for Food & Functional Ingredients) และเมืองนวัตกรรมอาหาร (FoodInnopolis: Food Innovation City) ของ สวทช. ที่สามารถเชื่อมโยงโครงการวิจัยของไทยกับนานาชาติ เช่น A*STAR ว่า ปัจจุบัน บทบาทสำคัญในระบบนิเวศการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย FoodSERP ให้บริการครบวงจรแก่ผู้ประกอบการ ตั้งแต่การวิเคราะห์คุณภาพอาหารไปจนถึงการปรับปรุงกระบวนการผลิต ขณะที่ FoodInnopolis เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการและนักวิจัยเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างนวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์ตลาดโลก
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ระบุว่าโครงการเหล่านี้มีศักยภาพสูงที่จะร่วมมือกับ SIFBI และ FTIC ของ A*STAR ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การสร้างโปรตีนทางเลือก การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการส่งเสริมความปลอดภัยทางอาหาร ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารในภูมิภาคเอเชีย
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา ได้กล่าวถึง ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาบุคลากรและโครงการวิจัยที่ยั่งยืนว่า สวทช. ได้มีบันทึกความร่วมมือกับ A*STAR ในการคัดเลือกนักศึกษาไทยเข้าร่วมรับโครงการทุน Singapore International Graduate Award (SINGA) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ A*STAR ช่วยให้นักวิจัยรุ่นใหม่ของไทยมีโอกาสทำงานในศูนย์วิจัยระดับโลก ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ที่พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ โดยในปี 2567 มีนักศึกษาไทยได้รับทุน SINGA จำนวน 5 คน
การเยือนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ไม่เพียงช่วยยกระดับศักยภาพของบุคลากรและงานวิจัย แต่ยังส่งเสริมเศรษฐกิจและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมในระยะยาว "ความร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยและสิงคโปร์เติบโตอย่างยั่งยืน และพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต" ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวปิดท้าย
• เยือน CREATE สร้างความร่วมมือด้าน วทน. ไทย-สิงคโปร์
นอกจากนี้ คณะได้เดินทางเยือน Campus for Research Excellence and Technological Enterprise (CREATE) ซึ่งดำเนินการโดย National Research Foundation (NRF) ประเทศสิงคโปร์ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พร้อมเปิดโอกาสในการพัฒนางานวิจัยร่วมกันระหว่างสองประเทศ โดยมีตัวแทนจาก NRF ได้แก่ Professor Tan Chorh Chuan (Chief Health Scientist และประธาน CREATE) และ Dr. John Lim (Chief Executive Officer, NRF) เข้าร่วมหารือในครั้งนี้
การประชุมหารือที่สร้างโอกาสระดับภูมิภาค ได้เน้นย้ำถึง 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความริเริ่มด้านการวิจัยหลักของสิงคโปร์ การแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ด้านโปรแกรมระดับชาติ และการสำรวจโอกาสในการสร้างความร่วมมือระยะยาว โดยการหารือมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสอดคล้องระหว่างนโยบายและการดำเนินการของทั้งสองประเทศ
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้กล่าวถึงนโยบายและแนวทางของ สวทช. ที่สอดคล้องกับการดำเนินการของ NRF โดยเน้นย้ำว่าทั้งสองหน่วยงานมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาสังคมและผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างที่สำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนงานวิจัยที่ตอบโจทย์ความท้าทายระดับโลก เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม การส่งเสริม AI และการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อความยั่งยืน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในอุตสาหกรรม การพัฒนากำลังคนและบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านโครงการความร่วมมือระดับนานาชาติ เช่น โครงการทุน Singa และการฝึกอบรมเชิงลึก
Professor Tan Chorh Chuan จาก NRF ได้กล่าวว่า "ความร่วมมือระหว่าง NRF และองค์กรของไทย เช่น สวทช. และ TSRI เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการพัฒนานวัตกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาสังคมในระยะยาว" การหารือยังมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนแนวทางระหว่าง TSRI, NXPO, NSTDA, และ NRF โดยสำรวจว่าทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือกันอย่างไรในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม อาทิ การพัฒนาโปรแกรมวิจัยที่รองรับความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง
ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากความร่วมมือ การเยือน CREATE ครั้งนี้ไม่เพียงแค่เปิดโอกาสในการพัฒนางานวิจัยที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติของทั้งสองประเทศ แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาค ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า "นโยบายของ สวทช. ไม่เพียงเน้นการพัฒนางานวิจัยที่มีคุณภาพสูง แต่ยังมุ่งสร้างความเชื่อมโยงระหว่างนวัตกรรมและผลลัพธ์ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในเชิงบวก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ NRF อย่างชัดเจน ความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันให้ทั้งสองประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในเวทีโลก"
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. นำกิจกรรม “วัสดุเหลือใช้ ทำของตกแต่ง” จัดกิจกรรม “พวงกุญแจจากพลาสติก” ในงาน PTS: Born to Be Unique
29 มกราคม 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ จัดกิจกรรม “พวงกุญแจจากพลาสติก” ในงาน PTS: Born to Be Unique ที่โรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ จ.ปทุมธานี โดยมีการสอนเด็ก ๆ ทำพวงกุญแจจากกล่องพลาสติก เพื่อส่งเสริมการรีไซเคิลและการประยุกต์ใช้วัสดุในชีวิตประจำวัน กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็ก ๆ สนุกกับการสร้างสรรค์ แต่ยังปลูกฝังแนวคิดการรักษ์โลกและส่งเสริมให้เยาวชนตระหนักว่า “วิทยาศาสตร์สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างง่ายดาย”
ทาง สวทช. ขอบคุณโรงเรียนที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการกระตุ้นให้นักเรียนสนใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมทั้งเรียนรู้การใช้วัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ขยายผลการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม นำผลงานวิจัยแพลตฟอร์มนิรันดร์ (Nirun) เพื่อผู้สูงอายุ ใช้ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ ได้ลงพื้นที่สำรวจขยายผลการใช้งานวิจัย ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หนึ่งใน 12 ศูนย์ ภายใต้สังกัดกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนระดับพื้นที่ ตามความร่วมมือว่าด้วย การขยายผลการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) ระหว่าง กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ และทีมวิจัย ดร.จตุพร ชินรุ่งเรือง นักวิจัยอาวุโส พร้อมผู้ช่วยนักวิจัย-ทีมวิศวกร ผู้ออกแบบและพัฒนาระบบ ทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ ลงพื้นที่สำรวจผลการใช้งานวิจัยครั้งนี้ด้วย
กรมกิจการผู้สูงอายุ นำโดย นางวาสนา ทองจันทร์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสวัสดิการและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ และนางสาวผึ้งพันธ์ เผ่าจินดา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ รวมทั้งผู้สูงอายุที่อยู่ประจำภายในศูนย์ฯ ได้ให้การต้อนรับคณะทีมวิจัย และนำเยี่ยมชมศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ หลังจากที่ได้นำแพลตฟอร์ม “นิรันดร์” มาใช้ ภายใต้ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ
แพลตฟอร์ม “นิรันดร์” เป็นระบบ Software บริหารจัดการสถานดูแลผู้สูงอายุ โดยออกแบบมาเพื่อใช้ในการดูแลผู้สูงอายุภายในหน่วยงาน รองรับการทำงานของพยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ นักกายภาพบำบัด ตลอดจนพี่เลี้ยงดูแลผู้สูงอายุได้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ฟังก์ชันระบบ “นิรันดร์” มีการบันทึกประวัติข้อมูล สัดส่วนผู้สูงอายุตามกลุ่มต่าง ๆ เช่น แบ่งตามกลุ่มอายุ แบ่งตามกลุ่มการประเมิน สรุปภาพรวมประจำศูนย์ นอกจากนี้ ระบบสามารถจัดทำแผนการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อติดตาม ดูแล จัดโปรแกรมกิจกรรมให้กับผู้สูงอายุ และมีแบบประเมินสุขภาพของผู้สูงอายุ เช่น แบบประเมินการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน (Activities of Daily Living : ADL) แบบประเมินภาวะสมองเสื่อม แบบประเมินภาวะซึมเศร้า และติดตามผลการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุได้จากข้อมูลแบบประเมิน การนำระบบ “นิรันดร์” มาใช้บริหารศูนย์ฯ ช่วยยกระดับการดูแล และให้บริการผู้สูงอายุด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสม ตลอดจนเป็นการใช้ผลงานวิจัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากนักวิจัย และเครือข่ายนักประดิษฐ์ไทย เพื่อสร้างอุตสาหกรรมสังคมสูงวัย พร้อมรองรับสู่ยุคสังคมสูงวัยจากนวัตกรรมของไทยด้วย
นอกจากนี้ คุณณัชชา โรจน์วิโรจน์ ผู้ก่อตั้งและนักออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท บลิกซ์ พ็อพ จำกัด (BLIX POP) ได้มอบ “ชุดเกมขนมมงคล” ให้กับกรมกิจการผู้สูงอายุ เพื่อนำไปมอบให้ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) ทั้ง 12 ศูนย์ จำนวน 30 ชุด สำรับเกมขนมไทยวัยเก๋า ที่ชื่อว่า “ขนมมงคล” ถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาระบบสมอง และส่งเสริมทักษะทางความคิด ด้านความจําสำหรับผู้สูงอายุเป็นหลัก ช่วยกระตุ้นการทํางานของระบบสมอง ด้านการเคลื่อนไหว การใช้ร่างกายและกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ใช้ทักษะการสื่อสารต่อสังคม ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่อยู่ร่วมกัน รวมถึงส่งเสริมด้านอารมณ์จิตใจไปพร้อมกัน สนับสนุนโปรเจกต์ โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ออกแบบและพัฒนา โดย บริษัท บลิกซ์ พ็อพ จำกัด (BLIX POP)
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เสริมความรู้นอกห้องเรียน! กิจกรรมครบรอบ 12 ปี “โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย”
เนื่องในโอกาสครบรอบ 12 ปี “โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา และเครือข่ายหน่วยงานมหาวิทยาลัยในโครงการ ร่วมกันจัดกิจกรรมให้เด็กนักเรียนระดับชั้น ป.4-ป.6 จากโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี มาร่วมกิจกรรมการเรียนรู้และทดลองวิทยาศาสตร์สนุก ๆ ที่มีมากถึง 30 ฐานกิจกรรม จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่อาคาร บร.5 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เด็ก ๆ ได้ทั้งความรู้และความสนุกสนานไปพร้อมกัน
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

เดินหน้าแล้ว ‘Medical AI Data Platform’ แพลตฟอร์มกลางของประเทศไทยเพื่อการผลิต AI วินิจฉัยโรค
ปัจจุบันเริ่มมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เป็นผู้ช่วยบุคลากรทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะการวินิจฉัยรอยโรคจากภาพถ่ายทางการแพทย์ เพราะ AI มีศักยภาพในการประมวลผลเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลภาพหรือ visual computing ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระงานด้านการคัดกรองโรคเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับกรมการแพทย์ และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อตั้ง Medical AI Consortium หรือ ภาคีเครือข่ายปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ อันประกอบด้วยหน่วยงานและบุคลากรด้านการแพทย์และการวิจัย เช่น กรมการแพทย์ โรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยชั้นนำในประเทศไทย เพื่อดำเนินการรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์คุณภาพสูงของประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการทำวิจัยและผลิตระบบบริการ AI คัดกรองโรค สำหรับแบ่งเบาภาระงานให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ นำไปสู่การเพิ่มโอกาสให้ประชาชนไทยได้เข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ในการดำเนินงานภาคีเครือข่ายฯ (2566-2569) ได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.)
Medical AI Data Platform เทคโนโลยีสนับสนุนขับเคลื่อนงาน
[caption id="attachment_65112" align="aligncenter" width="750"] ดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. อธิบายว่า บทบาทการดำเนินงานหลักของเนคเทค สวทช. ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง Medical AI Consortium คือ การพัฒนา Medical AI Data Platform แพลตฟอร์มกลางที่รวบรวมเทคโนโลยีสำหรับสนับสนุนการดำเนินงานของภาคีเครือข่ายฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว ภายในแพลตฟอร์มประกอบด้วย 3 เทคโนโลยีหลัก หนึ่งคือเทคโนโลยีสำหรับจัดเก็บและเผยแพร่ภาพถ่ายทางการแพทย์จากทั่วประเทศ สองคือเทคโนโลยีกำกับข้อมูลภาพถ่ายให้อยู่ในรูปแบบพร้อมใช้ผลิตโมเดล AI และสามคือเทคโนโลยีสำหรับผลิตโมเดล AI ในรูปแบบใช้งานง่าย เพื่อลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ลดเวลา และค่าใช้จ่ายในการผลิต
“ในส่วนแรก เทคโนโลยีหลักที่เนคเทคพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีเดิมให้เหมาะสมกับการจัดเก็บภาพถ่ายทางการแพทย์มากยิ่งขึ้น คือ Open-D เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลที่มีฟังก์ชันกำหนดระดับการเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะ (open data) หรือแบ่งปันเฉพาะกลุ่ม (shared data) สำหรับใช้จัดเก็บและแบ่งปันภาพถ่ายเพื่อประโยชน์ด้านการวิจัยร่วมกัน ส่วนที่สอง เทคโนโลยีสำหรับกำกับข้อมูล (annotation) ภาพถ่าย เพื่อใช้ในการเทรนโมเดล AI (AI training) เทคโนโลยีหลักที่นำมาให้บริการคือ RadiiView (เรดีวิว) ที่รองรับไฟล์ภาพได้หลากหลายประเภท ทั้งภาพถ่ายทั่วไป ฟิล์มเอกซ์เรย์ และภาพสแกน 3 มิติ โดยมีฟังก์ชันสำหรับการกำกับข้อมูลภาพ (image annotation) ที่ช่วยเตรียมข้อมูล เพื่อนำไปใช้ในการผลิตโมเดล AI (AI model development) ต่อไป
“ส่วนสุดท้าย เทคโนโลยีสำหรับอำนวยความสะดวกด้านการผลิตโมเดล AI คือ NomadML (โนแมดเอ็มแอล) เว็บแอปพลิเคชันสำหรับผลิตโมเดล AI โดยไม่ต้องเขียนโค้ด เพียงนำภาพที่ผ่านการกำกับข้อมูลภาพเรียบร้อยแล้วเข้าสู่ระบบ แล้วเลือกฟังก์ชันการเทรนโมเดล AI ที่มีให้เลือกทั้งแบบกำหนดพารามิเตอร์เองหรือระบบกำหนดให้โดยอัตโนมัติ เพียงเท่านี้ก็จะได้โมเดล AI ช่วยคัดกรองโรคมาใช้งานแล้ว โดยแพทย์หรือผู้พัฒนาสามารถนำโมเดล AI ไปใช้งานได้ผ่าน National Medical AI Service Platform ที่เนคเทค สวทช. เป็นผู้พัฒนา ซึ่งจะเปิดให้บริการแก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศในอนาคตโดยกรมการแพทย์”
ทุกเทคโนโลยีที่นำมาให้บริการใน Medical AI Data Platform ผ่านการออกแบบและพัฒนาต่อยอดร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์หรือกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะเป็นผู้ใช้งานระบบอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็ว รวมทั้งยังออกแบบแพลตฟอร์มให้ปรับเสริมเพิ่มฟังก์ชันสำหรับรองรับความต้องการที่อาจมีมากขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้รูปแบบการให้บริการ Medical AI Data Platform จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะกรรมการบริหารแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดเพื่อการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมและดูแลความปลอดภัยของข้อมูล โดยอยู่ภายใต้การกำกับของกรมการแพทย์
Medical AI Consortium เดินหน้าความร่วมมือระดับชาติ
ดร.ศวิต อธิบายว่า ปัจจุบันเนคเทค สวทช. พัฒนา Medical AI Data Platform เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยในปี 2567 ภาคีเครือข่ายฯ ได้รับความร่วมมือในการนำภาพถ่ายทางการแพทย์เข้าสู่ระบบมากกว่า 1 ล้านภาพ และตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนภาพให้ได้มากถึง 3 ล้านภาพภายในเฟสแรกของการดำเนินงาน (2566-2569) ในปี 2568 นี้นอกจากจะเป็นช่วงประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัย สถานพยาบาลต่าง ๆ บริษัทซอฟต์แวร์ รวมทั้งผู้พัฒนาจากทั่วประเทศไทยเข้าร่วมภาคีเครือข่ายฯ และใช้งานแพลตฟอร์มกลางของประเทศร่วมกันแล้ว ยังเป็นช่วงที่ภาคีเครือข่ายฯ เริ่มดำเนินงานกำกับข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์ที่ได้รับการสนับสนุนด้วย
“ผู้ดำเนินงานหลักด้านการกำกับข้อมูลภาพในช่วงเริ่มต้นจะเป็นบุคลากรจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์ทางการแพทย์และการกำกับข้อมูลภาพสำหรับใช้เทรนโมเดล AI เพื่อให้ได้ต้นแบบการกำกับข้อมูลที่ได้มาตรฐาน ก่อนที่กรมการแพทย์จะขยายผลในการจัดสรรบุคลากรมาร่วมดำเนินงานกำกับข้อมูลที่จะมีจำนวนภาพเพิ่มเติมอีกหลายเท่าตัวในอนาคต ส่วนขั้นตอนการผลิตโมเดล AI เพื่อคัดกรองโรค สมาชิกภาคีเครือข่ายฯ และบุคคลทั่วไปจากภายนอก จะเริ่มดำเนินงานหลังจากภาพคุณภาพสูงที่ผ่านการกำกับข้อมูลเรียบร้อยแล้วมีจำนวนมากเพียงพอ โดยจำนวนภาพขั้นต่ำสำหรับเทรนโมเดล AI เพื่อคัดกรองแต่ละรอยโรคคือ 10,000 ภาพ ซึ่งระดับความแม่นยำจะขึ้นอยู่กับจำนวนภาพถ่ายคุณภาพสูงที่ผ่านการกำกับข้อมูลอย่างถูกต้อง รวมทั้งการมีส่วนร่วมของแพทย์ นักวิจัย นักพัฒนา และผู้ใช้งานที่นำ AI ไปใช้งานจริงในการตรวจสอบความถูกต้องของผลลัพธ์ เพื่อให้นำข้อมูลที่ได้กลับมาใช้ปรับปรุงโมเดล AI ให้มีความแม่นยำและประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต
“แม้ในเฟสแรกหรือภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569 ทางภาคีเครือข่ายฯ อาจยังขาดความพร้อมที่จะผลิตโมเดล AI คุณภาพสูงเพื่อให้บริการแก่สาธารณะ เนื่องจากยังมีจำนวนภาพถ่ายทางการแพทย์คุณภาพสูงที่ผ่านการกำกับข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วไม่มากพอ และการพัฒนาโมเดล AI ให้มีความแม่นยำสูงในระดับที่เหมาะกับการเปิดให้บริการจำเป็นต้องอาศัยเวลาในการวิจัยและพัฒนา อย่างไรก็ตามภาคีเครือข่ายฯ มีแผนที่จะนำระบบบริการ AI ที่เนคเทค สวทช. และพันธมิตรพัฒนาจนพร้อมใช้งานแล้วและให้บริการแก่สาธารณะได้ มาเปิดให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศไทยได้เข้าใช้งานก่อนภายในการทำงานเฟสแรกนี้หรือภายในปี 2569 ผ่านทาง National Medical AI Service Platform”
การจัดการกับข้อมูลปริมาณมหาศาลที่ไหลเข้าสู่ระบบในช่วงเริ่มต้น อาจต้องใช้ทั้งเวลา แรงกาย และแรงใจในการทำงานสูง แต่หากการดำเนินงานแล้วเสร็จไปถึงขั้นตอนที่พร้อมให้บริการ เมื่อนั้นจะเป็นช่วงของการออกดอกออกผลที่บุคลากรทางการแพทย์จากทั่วประเทศจะมีเทคโนโลยี AI ของไทยไว้ช่วยแบ่งเบาภาระ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดเวลาในการดูแลผู้ป่วย
ดร.ศวิต อธิบายทิ้งท้ายถึงความคาดหวังของคณะผู้ก่อตั้ง Medical AI Consortium จากทั้ง 3 หน่วยงานว่าประกอบด้วย 3 เรื่องหลัก เรื่องแรกคือคาดหวังให้เกิดระบบฐานข้อมูลทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน และเข้าถึงได้ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการวิจัยในการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการแพทย์ไทย เรื่องที่สองคือการนำระบบ AI ที่พัฒนาไปใช้ยกระดับการให้บริการสาธารณสุขไทย เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เรื่องที่สามที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเองให้แก่ประเทศไทย ลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการแพทย์และเศรษฐกิจของประเทศไทยในภาพรวม
โรงพยาบาล สถานพยาบาล หรือหน่วยงานวิจัยทางการแพทย์ที่สนใจเข้าร่วม Medical AI Consortium หรือสนใจสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Medical AI Data Platform ติดต่อสอบถามได้ที่ MedicalAI@dms.mail.go.th
ผู้สนับสนุนหลักในการขับเคลื่อน Medical AI Consortium
นายแพทย์ภัทรวินฑ์ อัตตะสาระ ผู้อำนวยการสำนักดิจิทัลการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนข้อมูลทางการแพทย์ การกำหนดโจทย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์เพื่อนำไปสู่การขยายผลการให้บริการ
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ผลักดันและสนับสนุน แนวคิด Medical Sharing Data เพื่อแบ่งปันทรัพยากรและพัฒนางานวิจัยสำหรับสร้างนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สิทธิ์ พงษ์กิจการุณ หัวหน้าภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนข้อมูลทางการแพทย์และการกำกับข้อมูลภาพ
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ร่วมกับ Science Tokyo จัดสัมมนาหัวข้อ “การนำทางสู่อนาคต: โซลูชันสำหรับสังคมผู้สูงอายุ” พร้อมนิทรรศการวิจัย Science Tokyo ประจำปี 2025
(21 ม.ค. 2568) ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ Institute of Science Tokyo (Science Tokyo) จัดงานสัมมนา 2025 Science Tokyo Research Showcase "Navigating the Future: Solutions for an Aging Society" และนิทรรศการวิจัย Science Tokyo ประจำปี 2025 “การนำทางสู่อนาคต: โซลูชันสำหรับสังคมผู้สูงอายุ” ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก Prof. Dr.Jun-ichi Takada Executive Vice President for Global Affairs, Institute of Science Tokyo (Science Tokyo) พร้อมด้วย ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเป็นประธานกล่าวเปิดในครั้งนี้
Prof. Dr.Jun-ichi Takada Executive Vice President for Global Affairs กล่าวว่า สถาบันวิทยาศาสตร์โตเกียวมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศด้านผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านความร่วมมือระหว่างการแพทย์และวิศวกรรมศาสตร์ เราหวังว่าการบรรยายในวันนี้จะเป็นโอกาสอันมีค่าสำหรับทุกคนในประเทศไทยที่จะร่วมมือในความพยายามระดับโลกนี้
สำหรับงานนี้ เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเมือง หุ่นยนต์ และทันตกรรมผู้สูงอายุ เพื่อนำเสนอขอบเขตอันกว้างขวางของการศึกษาผู้สูงอายุ แม้ว่าการแก่ชราจะเป็นปัญหาสากล แต่ผลกระทบก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการร่วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลกนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีความสัมพันธ์อันยาวนานกับ Tokyo Institute of Technology (Tokyo Tech) ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น Institute of Science Tokyo (Science Tokyo) เรามีเป้าหมายเดียวกันในการพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถสูงในสายงานวิศวกรรมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรม สวทช. ขอขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับความร่วมมือที่ดีจาก Science Tokyo ในขณะเดียวกัน ความสำเร็จของความร่วมมือนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากขาดความทุ่มเทจากมหาวิทยาลัยพันธมิตรของเราภายในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่น่าตื่นเต้นอย่างมาก เนื่องจาก Tokyo Medical and Dental University (TMDU) ได้ควบรวมกับ Tokyo Institute of Technology (Tokyo Tech) และกลายเป็น Institute of Science Tokyo (Science Tokyo) อย่างเป็นทางการ นี่เป็นโอกาสใหม่ที่เปิดกว้างให้เราได้สำรวจความร่วมมือด้านสุขภาพและการแพทย์
งานในวันนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อเน้นย้ำงานวิจัยและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีล่าสุดด้านการแพทย์ ทันตแพทย์และสุขภาพ โดยเฉพาะในด้านสังคมผู้สูงอายุ (Gerontology หรือ Aging Society) ด้วยการรวมตัวของนักวิชาการ นักวิจัย และบุคลากรที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะได้รับแนวคิดที่มีคุณค่าจากงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีผลกระทบต่อระบบสุขภาพ และสามารถเริ่มต้นสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างภาควิชาการและอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. กระชับความร่วมมือวิจัย 4 องค์กรชั้นนำญี่ปุ่น เสริมสร้างเครือข่ายนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์ ตั้งเป้าขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์สู่ความยั่งยืน
(วันที่ 20-22 ม.ค.2568) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สวทช. เดินทางไปหารือความร่วมมือกับองค์กรวิจัยชั้นนำในประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 20–22 มกราคม 2568 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตามที่ได้รับเชิญเพื่อกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือกับสถาบันวิจัยสำคัญ 4 แห่ง ได้แก่ องค์กรพัฒนาพลังงานและเทคโนโลยีอุตสาหกรรมใหม่ (NEDO), สถาบันวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุแห่งชาติ (NIMS), สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมขั้นสูงแห่งชาติ (AIST) และองค์การวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศญี่ปุ่น (JST)
โดยการเดินทางไปเยือนองค์กรวิจัยชั้นนำในประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และสำรวจความสนใจด้านการวิจัยร่วมกัน แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกำหนดแนวทางความร่วมมือที่สอดคล้องกับพันธกิจของ สวทช. ตลอดจนนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และของรัฐบาล นอกจากนี้สถาบันวิจัยต่าง ๆ ยังเปิดโอกาสให้ สวทช. ได้เรียนรู้เกี่ยวกับผลงานวิจัยล้ำสมัยขั้นแนวหน้าของญี่ปุ่น ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้เพื่อเสริมสร้างโครงการและนวัตกรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งเปิดโอกาสใหม่ในการพัฒนาความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ
สำหรับความร่วมมือระหว่าง องค์กรพัฒนาพลังงานและเทคโนโลยีอุตสาหกรรมใหม่ (NEDO) และ สวทช. เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาด้านพลังงานเพื่อแก้ปัญหาระดับโลก การเยือนครั้งนี้ได้มีการเน้นย้ำถึงความร่วมมือในโครงการระดับนานาชาติที่สนับสนุนภาคเอกชนญี่ปุ่นและหน่วยงานวิจัยนานาชาติ ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงเทคโนโลยีล้ำสมัย แลกเปลี่ยนความรู้ และพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน เช่น CCUS หรือเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน, Biorefinery หรือเทคโนโลยีอุตสาหกรรมพลังงานและเคมีชีวภาพ
ในส่วนของการหารือความร่วมมือระหว่าง สถาบันวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุแห่งชาติ (NIMS) และ สวทช. ได้มุ่งเน้นถึงการพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทางด้านวัสดุศาสตร์ เพื่อให้นักศึกษาและนักวิจัยไทยสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยและเรียนรู้จากนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญของ NIMS ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ด้านวิชาการและการวิจัยระหว่างไทยและญี่ปุ่น
ในส่วนของความร่วมมือระหว่าง สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมขั้นสูงแห่งชาติ (AIST) และ สวทช. เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 การเยือนครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความร่วมมือหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีการตกลงในหลักการที่จะจัดสัมมนาร่วมประจำปีในหัวข้อที่สอดคล้องกับนโยบายของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อเป็นเวทีสำหรับนักวิจัยทั้งสองฝ่ายในการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ และแสวงหาความสอดคล้องในด้านวิจัยที่สำคัญ เช่น เทคโนโลยีเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนสุทธิ การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตลอดวงจรชีวิต (LCA) อุตสาหกรรมพลังงานและเคมีชีวภาพ (Biorefinery) และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV)
ในส่วนการหารือความร่วมมือระหว่างของ องค์การวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศญี่ปุ่น (JST) และ สวทช. ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น โครงการวิจัยร่วมระหว่างประเทศแบบเชิงกลยุทธ์ (SICORP), โครงการวิจัยร่วม e-ASIA, โครงการพัฒนาศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ (Sakura) และโครงการ NEXUS ที่เน้นการพัฒนาความร่วมมือวิจัยระหว่างญี่ปุ่นและอาเซียน
ทั้งนี้ การเยือน 4 องค์กรวิจัยชั้นนำในประเทศญี่ปุ่นของคณะผู้บริหาร สวทช. ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยระดับนานาชาติของ สวทช. โดยการเชื่อมต่อกับองค์กรชั้นนำของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการวางรากฐานความร่วมมือที่มีผลกระทบสูง ที่ไม่เพียงช่วยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทย แต่ยังตอบโจทย์ความท้าทายระดับโลกและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ต้อนรับคณะผู้บริหารฟิลิปปินส์ กระชับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ พร้อมเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการและแลกเปลี่ยนนโยบายเพื่อเสริมสร้างบุคลากรวิจัยในอาเซียน
(วันที่ 23 มกราคม 2568) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (กำกับดูแลฝ่ายความร่วมมือต่างประเทศ สวทช.) ให้การต้อนรับคณะผู้แทนผู้บริหารระดับสูงจากประเทศฟิลิปปินส์ นำโดย Dr. Renato U. Solidum, Jr., Secretary General of Department of Science and Technology (DOST) เข้ารับฟังภาพรวมงานวิจัยของ สวทช. และเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ
โดยห้องปฏิบัติการที่เปิดให้เยี่ยมชม ได้แก่ ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ ทีมวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโน และศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง ทั้งนี้ระหว่างการเข้าเยี่ยมชม สวทช. ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบายการสนับสนุนความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศ และการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรวิจัย รวมถึงการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานงานวิจัยร่วมกัน ซึ่งสอดคล้องกับการผลักดันร่างกลยุทธ์อาเซียนด้านการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานงานวิจัยร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างบุคลากรเฉพาะสาขาต่อไป
ข่าว

ENTEC สวทช. ผนึกกำลังพันธมิตร ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทย
23 มกราคม 2568 โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร จัดกิจกรรมเสวนาและประชาสัมพันธ์ภาคีเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ภายใต้ชื่อ "Thailand Battswap" ในงานได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ รักษาการรองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวเปิดงาน และ ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ประธานภาคีเครือข่ายฯ กล่าวแนะนำภาคีเครือข่ายความร่วมมือที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานกลางสำหรับแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทย พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลกลไกการสนับสนุนโครงการนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโดย คุณอภิวัฒน์ ถาวรแก้ว นักพัฒนานวัตกรรมจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
ภายในงานมีกิจกรรมการเสวนาในหัวข้อ "บทบาทการผลักดันด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศ" โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC และศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้า สวทช. ผศ.ดร.กิตติ์ชนน เรืองจิรกิตติ์ ผู้จัดการหน่วยบูรณาการประเด็นยุทธศาสตร์ สกสว. ดร.ธนาคาร วงษ์ดีไทย นักยุทธศาสตร์ สอวช. คุณวรวุฒิ ก่อวงศ์พานิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายทดสอบและพัฒนานวัตกรรม สถาบันยานยนต์ ดร.ธงชัย จินาพันธ์ กรรมการสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) และ รศ.ดร.นงลักษณ์ มีทอง กรรมการสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) โดยในช่วงท้ายของกิจกรรม ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมถาม-ตอบ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานของเครือข่าย ซึ่งนำไปสู่การระดมสมองและสรุปผลความคิดเห็นต่าง ๆ
กิจกรรมนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
ท่านใดมีความสนใจในรายละเอียดของภาคีฯ ยินดีที่จะร่วมกันพัฒนาศักยภาพของแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้สำหรับยานยนต์ขนาดเล็กในประเทศไทย สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์และสมัครสมาชิกได้ที่ https://www.swap2gether.com/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์