ผลการค้นหา :

สวทช. จับมือ University of Shanghai for Science and Technology สาธารณรัฐประชาชนจีน ผนึกกำลังสร้างห้องปฏิบัติการร่วม “Belt and Road” ต่อยอดงานวิจัยด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพอัจฉริยะ
(4 กุมภาพันธ์ 2568) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซี่ยงไฮ้ University of Shanghai for Science and Technology (USST) สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วม "Belt and Road" มุ่งเน้นความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพอัจฉริยะ (Intelligent Rehabilitation Engineering) โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ Prof. Xinyuan Zhu อธิการบดีมหาวิทยาลัย USST ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ณ ห้องประชุมปทุมมา ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. จ.ปทุมธานี
ความร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยีในสาขาวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพ การดูแลผู้สูงอายุ และหุ่นยนต์ ตลอดจนร่วมกันผลักดันการพัฒนาและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ โดยมีทิศทางความร่วมมือที่สำคัญ อาทิ ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การออกแบบและควบคุมหุ่นยนต์ฟื้นฟูสมรรถภาพ เทคโนโลยีการฟื้นฟูสมรรถภาพอัจฉริยะแบบสวมใส่ เทคโนโลยีการตรวจสอบสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง เทคโนโลยีการตรวจจับข้อมูลการทำงานของระบบประสาทและปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์สำหรับช่วยเหลือคนพิการและผู้สูงอายุ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนและพัฒนาบุคลากรผ่านการจัดประชุมวิชาการ การแลกเปลี่ยนนักศึกษา และการร่วมกันฝึกอบรมนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอก เป็นต้น
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้มีระยะเวลา 3 ปี โดยภายหลังการลงนามทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเตรียมความพร้อมสำหรับห้องปฏิบัติการร่วม เพื่อพัฒนาข้อเสนอโครงการความร่วมมือทางเทคนิคเฉพาะด้าน ทบทวนและประเมินผลการดำเนินงาน และพิจารณาแก้ไขบันทึกข้อตกลงเมื่อมีความจำเป็นต่อไป
นอกจากนี้ คณะผู้แทนจากมหาวิทยาลัย USST ยังได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการของทีมวิจัย สวทช. ดังนี้ ได้แก่ ทีมวิจัยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และ ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค ทีมวิจัยอิเล็กทรอนิกส์และระบบทางชีวการแพทย์ เนคเทค รวมถึงรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมงานวิจัยในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางไกล ด้านนวัตกรรมและข้อมูลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วย ด้านการออกแบบและผลิตอุปกรณ์เสริมแบบใหม่เพื่อการฟื้นฟูและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก และภาพรวมของแพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์ดิจิทัล
ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และมหาวิทยาลัย USST สาธารณรัฐประชาชนจีน ในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและผู้พิการในประเทศไทยและจีน
NSTDA and USST Join Forces to Establish a "Belt and Road" Joint Laboratory for Intelligent Rehabilitation Engineering
(February 4, 2025) The National Science and Technology Development Agency (NSTDA) signed a Memorandum of Understanding (MOU) with the University of Shanghai for Science and Technology (USST), the People's Republic of China to establish a "Belt and Road" Joint Laboratory. This collaboration focuses on research and development in Intelligent Rehabilitation Engineering. The MOU signing ceremony was held at the Pathumma Room, National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC), NSTDA, Pathum Thani Province, with Professor Dr. Sukit Limpijumnong, NSTDA President, and Professor Dr. Zhu Xinyuan, USST President, as signatories.
This partnership aims to foster research collaboration and technology exchange in rehabilitation engineering, elderly care, and robotics. It also seeks to promote the development and application of scientific knowledge across various fields. Key areas of collaboration include Research and Development (designing and controlling rehabilitation robots, wearable intelligent rehabilitation technology, health monitoring technology for the elderly and chronic diseases, neurofunctional information detection and artificial intelligence technologies, and humanoid robotics for assisting people with disabilities and the elderly) and Personnel Exchange and Development (joint projects, academic conferences, student exchange programs, and joint training of master's and doctoral students).
The MOU will be in effect for three years. Following the signing, both parties will form a joint management committee to prepare for the establishment of the laboratory, develop specific technical collaboration projects, review and evaluate the MOU's implementation, and make necessary amendments.
In addition to the MOU signing, the USST delegation visited NSTDA's research facilities, including the Medical Devices Pilot Plant, the Well-Living Design Research Team, and the Biomedical Electronics and Systems Research Team. They also attended briefings on Tele-Rehabilitation, Health Innovation and Information Research for Older Adults and Patients, Innovative Orthotic Design and Manufacturing Research on Rehabilitation and Assistive Technology, and an overview of NSTDA and its Digital Healthcare Platform.
This collaboration between NSTDA and USST marks a significant step in advancing knowledge and technology in rehabilitation engineering, ultimately contributing to an improved quality of life for people with disabilities and the elderly in Thailand and China.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. และ กองทัพเรือ โดยกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ ร่วมวิจัยจุลินทรีย์ประสิทธิภาพสูง หนุนนโยบาย Green Navy ด้วยนวัตกรรมสะอาด
(5 กุมภาพันธ์ 2568) ณ ห้องวุฒิไชยเฉลิมลาภ อาคารราชนาวิกสภา กรุงเทพฯ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ กองทัพเรือ โดยกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ ลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการกำจัดน้ำทิ้งที่มีน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นปนเปื้อน โดยการค้นหาและพัฒนาจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการย่อยสลายน้ำมันและสารประกอบน้ำมันปิโตรเลียม เพื่อใช้กำจัดน้ำเสียจากเรือและพื้นที่ของกองทัพเรือ รวมถึงสร้างองค์ความรู้ที่มีศักยภาพผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้หน่วยงานในกองทัพเรือนำไปใช้ประโยชน์ สนับสนุนนโยบายกองทัพเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Navy) โดยมี พลเรือตรี กริช ขันธอุบล เจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ และศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นผู้ลงนาม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากทั้งสองหน่วยงาน และนักวิจัยไบโอเทคกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ร่วมในงาน
พลเรือตรี กริช ขันธอุบล เจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้สอดคล้องกับแนวทางพัฒนากองทัพเรือของผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้กำหนดให้ “การจัดการสิ่งแวดล้อมกองทัพเรือ (Green Navy) เป็นหนึ่งในแนวทางการบริหารกองทัพเรือเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์กองทัพเรือ พ.ศ. 2560 - 2580 ซึ่งเป็นกรอบแนวทางและทิศทางที่จะพาให้กองทัพเรือเดินหน้า ส่งเสริมนโยบายของรัฐบาลด้านสิ่งแวดล้อม ที่ต้องมีการจัดการสิ่งแวดล้อม ทั้งในด้านการใช้ประโยชน์จากพลังงานทดแทนรูปแบบต่าง ๆ การจัดการขยะและการลดมลพิษต่าง ๆ มุ่งสู่เป้าหมายการจัดการสิ่งแวดล้อมกองทัพเรือ พ.ศ. 2580 คือเป็นหน่วยงานที่มีการปฏิบัติและบริหารงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” การลงนามความร่วมมือระหว่างกองทัพเรือโดย กรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ และ สวทช. ถือเป็นก้าวสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และเป็นต้นแบบที่ดีในการดำเนินงานที่ยั่งยืน ผลักดันให้กองทัพเรือเป็นองค์กรที่ดำเนินงานด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นต้นแบบให้แก่หน่วยงานอื่น ๆ ได้นำไปปฏิบัติตาม รวมถึงความร่วมมือครั้งนี้ยังสอดคล้องตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2568 ในการส่งเสริมการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมทางการทหารอีกด้วย
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สวทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวง อว. และกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ มีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะความร่วมมือทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมการกำจัดน้ำทิ้งที่ปนเปื้อนน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งตอบโจทย์ มิติสร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามกลยุทธ์ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช. โดยที่ผ่านมา กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค-สวทช. ได้ดำเนินการวิจัยเพื่อค้นหาและคัดแยกเชื้อจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการย่อยสลายน้ำมัน และสารประกอบน้ำมันปิโตรเลียม โดยได้รับความอนุเคราะห์จากกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ ในการประสานงานให้เข้าไปเก็บตัวอย่างน้ำที่มีการปนเปื้อนของคราบน้ำมันจากห้องเครื่องบนเรือรบ และตัวอย่างตะกอนและดินจากพื้นที่ต่าง ๆ ของกองทัพเรือ เพื่อนำมาใช้ทดลองคัดแยกเชื้อจุลินทรีย์ ในเบื้องต้นสามารถคัดแยกเชื้อจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการย่อยสลายน้ำมันได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาต่อยอดให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนนโยบาย Green Navy ได้ ส่วนแนวทางการดำเนินงานต่อไป จะดำเนินการวิจัยเพิ่มเติมในการศึกษาและพัฒนาตัวจุลินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีฐานที่ทางกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ได้พัฒนาขึ้น ร่วมกับการศึกษาวิเคราะห์ตัวอย่างทางกายภาพและเคมี โดยความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ของกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ เพื่อผลักดันให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนนโยบาย Green Navy ต่อไป
ทั้งนี้ ไบโอเทค สวทช. มีผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมจากกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์หลายผลงาน ได้แก่ “Tidy Bio Plus (ไทดี้ ไบโอ พลัส)” ผลิตภัณฑ์หัวเชื้อจุลินทรีย์สัญชาติไทยที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดของเสีย จุดเด่นนวัตกรรมนี้คือ เป็นการคัดเลือกจากเชื้อจุลินทรีย์สัญชาติไทยจึงทำให้ผลิตภัณฑ์มีเสถียรภาพ และมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง เข้ากันกับสิ่งแวดล้อมในประเทศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมี “เอนไซม์ ENZease (เอนอีซ)” เอนไซม์อัจฉริยะสำหรับลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกบนผ้าฝ้ายแบบขั้นตอนเดียว “เอนไซม์ Serizyme (เซริไซม์)” เอนไซม์ที่จำเพาะต่อการลอกกาวไหมสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงามที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม “Cotton Pro (คอตตอนโปร)” มัลติเอนไซม์ สำหรับกระบวนการผลิตสำลีขาวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ “RETTizyme (เรตติไซม์)” มัลติเอนไซม์ สำหรับกระบวนการแช่หมักเส้นใยจากใบสับปะรด เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่สามารถนำมาต่อยอดในแผนงาน Green Navy เพื่อกำจัดคราบน้ำมันและน้ำทิ้งที่มีน้ำมันปนเปื้อน ได้แก่ สารลดแรงตึงผิวชีวภาพจากยีสต์ MEL Biosurfactant และสารซักล้างชีวภาพ MES-Green ที่สังเคราะห์จากน้ำมันพืชและกรดไขมันเหลือใช้ โดยจะมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ต่อไป ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่จะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เปลี่ยนขยะอินทรีย์เป็น “ปุ๋ยหมักชีวภาพ” ลด CO2 นำร่องสระบุรีแซนด์บ็อกซ์
นักวิจัยจากนาโนเทค สวทช. พัฒนาเครื่องย่อยระบบถังคู่ (BioComposter) พร้อมใบพัดที่ออกแบบให้เร่งกระบวนการย่อยสลาย ตัวช่วยเปลี่ยน “ขยะอินทรีย์” ไม่ว่าจะเป็นของเหลือทางการเกษตร หรือขยะเศษอาหาร สู่ “ปุ๋ยหมักชีวภาพ” เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในครัวเรือน พร้อมจับมือไบโอเทค พัฒนาหัวเชื้อจุลินทรีย์เฉพาะสำหรับขยะอินทรีย์ในไทย ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย เตรียมนำร่องทดสอบ ณ สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ หนุนลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากขยะอินทรีย์ที่มาจากขยะอาหารและวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ต้นตอภาวะโลกร้อน-ฝุ่น PM2.5
ดร. สัญชัย คูบูรณ์ นักวิจัยจากทีมวิจัยตัวเร่งปฏิกิริยา กลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาระดับนาโน การดูดซับ และการคำนวณ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เครื่อง BioComposter ระบบถังคู่ขนาด 5 – 10 กิโลกรัม ใช้สำหรับการทำปุ๋ยหมักชีวภาพระดับครัวเรือน เป็นโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อลดปริมาณขยะอินทรีย์ที่มาจากขยะอาหาร และลดการเผาวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร นำไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกต้นตอของภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะก๊าซมีเทน (CH4) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และยังช่วยลดฝุ่น PM2.5 อีกด้วย
โครงการดังกล่าว เป็น 1 ใน 19 โครงการนำร่องของ สวทช. ในการตอบโจทย์สระบุรีแซนด์บ๊อกซ์ และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของสระบุรี ที่ สวทช. ร่วมเป็นหนึ่งในคณะทำงานขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด ร่วมกับพันธมิตรเครือข่ายพลังงานขับเคลื่อนให้เกิด ‘สระบุรีแซนด์บ๊อกซ์’ จังหวัดต้นแบบที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในระยะเวลา 4 ปี
“การลดก๊าซเรือนกระจกสามารถทำได้หลายรูปแบบ อาทิ การใช้ถ่านชีวภาพเพื่อลดการใช้ถ่านหิน ส่งผลให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสำหรับปุ๋ยหมักชีวภาพ จะเป็นการใช้ วทน. เปลี่ยนขยะอินทรีย์ให้กลายเป็นปุ๋ยใส่กลับเข้าไปกักเก็บในดิน ที่ตอบโจทย์ของสระบุรี ซึ่งมีขยะอินทรีย์ที่ต้องบริหารจัดการ 2 แบบ คือ ชีวมวลเหลือทิ้งทางการเกษตรที่มีมากในพื้นที่นั้น และขยะอาหาร” ดร. สัญชัยกล่าว
เครื่อง BioComposter ระบบถังคู่ ใช้สำหรับการทำปุ๋ยหมักชีวภาพระดับครัวเรือน ตอบโจทย์สำหรับขยะอินทรีย์ ทั้งเศษอาหารจากครัวเรือน รวมถึงชีวมวลเหลือทิ้งทางการเกษตร โดยทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ออกแบบตัวเครื่องระบบถังคู่ที่ถังหลัก (Primary Tank) ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะกับการทำงาน ของจุลินทรีย์ ในขณะที่ถังรอง (Secondary Tank) มีหน้าที่ลดความชื้นของปุ๋ยหมักชีวภาพให้เหมาะสำหรับการ นำไปใช้งาน นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับทีมวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในการพัฒนาหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีความจำเพาะในการย่อยสลายขยะอินทรีย์ในประเทศไทย โดยช่วยให้ปุ๋ยหมักชีวภาพที่เป็นผลผลิตจากกระบวนการดังกล่าวนี้ มีธาตุอาหารที่สำคัญเพิ่มขึ้น และสามารถยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรคได้อีกด้วย
การทำงานของเครื่อง BioComposter เริ่มจากใส่ขยะอินทรีย์ลงในถัง Primary Tank โดยใช้อุณหภูมิไม่เกิน 50 องศาเซลเซียสในการกระตุ้นจุลินทรีย์ จากนั้นปุ๋ยหมักชีวภาพจะถูกย้าย ลงไปในถัง Secondary Tank เพื่อทำให้ปุ๋ยหมักชีวภาพแห้งและพร้อมใช้งาน กระบวนการนี้จะใช้เวลา 3-7 วัน
“ปัจจุบัน ต้นแบบเครื่อง BioComposter แล้วเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างการติดตั้งเพื่อทดลองใช้งานในพื้นที่โรงเรียนวัดส้มป่อย อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยขยะเศษอาหารในโรงเรียนอยู่ที่วันละ 3-5 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักเปียก นอกจากนี้ ในพื้นที่ละแวกโรงเรียน จะมีชีวมวลจากการทำนาข้าว การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และการปลูกอ้อยปริมาณมาก ซึ่งในเบื้องต้น ทีมวิจัยตั้งเป้าลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทน 30-50% ของการปลดปล่อยในพื้นที่ ซึ่งอ้างอิงจากผลการใช้ Biocomposter ที่มีการรายงานในบทความวิชาการก่อนหน้า ว่าสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนออกสู่บรรยากาศได้จริง” ดร. สัญชัยเผย
ทีมวิจัยคาดหวังให้คุณครูและนักเรียนเข้าใจและสามารถใช้เครื่องฯ ในการเปลี่ยนขยะเศษอาหารและของเหลือทางการเกษตรในพื้นที่เป็นปุ๋ยหมักชีวภาพเพื่อใช้งานในพื้นที่การเกษตรของโรงเรียน รวมถึงเป็นกลุ่มคนที่จะเป็นกระบอกเสียง ส่งต่อความรู้และการใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อลดขยะอินทรีย์ในชุมชนที่กว้างขึ้นต่อไป รวมถึงหากประสบความสำเร็จจะต่อยอดพื้นที่ใช้ประโยชน์สู่โรงเรียนและสถานที่อื่นๆ ต่อไป เป็นการนำ วทน. ตอบโจทย์สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ที่ร่วมกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนให้เกิดเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย ปี 2567 ภายใต้แนวคิด “ร่วม เร่ง เปลี่ยน” สู่สังคมคาร์บอนต่ำ
จากชีวมวลเหลือทิ้งทางการเกษตร รวมถึงขยะอาหาร ทั้งอาหารที่ถูกคัดทิ้ง, อาหารเหลือทิ้ง หรืออา หารที่เสื่อมสภาพ ซึ่งอาหารเหล่านี้ ถ้าคำนวณจากขยะอาหารที่ถูกทิ้งทั่วโลก พบว่า มีการปลดปล่อยก๊าซเรือน กระจกมากถึง 8% นอกจากนี้ หากนำอาหารมาเปลี่ยนเป็นปุ๋ยด้วยกระบวนการย่อยสลายที่เกิดจากการหมัก ก่อให้เกิดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก ที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน รวมถึงเป็นแหล่งเชื้อโรค และกลิ่นเหม็น รบกวน
การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ ไม่เพียงช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งนี้ยังช่วยลดต้นตอของฝุ่น PM2.5 ที่มาจากการเผาชีวมวลและการจัดการขยะอินทรีย์แบบเดิม แต่ยังสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในด้านการจัดการขยะอินทรีย์และชีวมวลเหลือทิ้งทางการเกษตร ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายเมืองคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนาโนเทคและไบโอเทค สวทช. ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน เพื่อสร้างความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนไทยต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

อวท. จัดกิจกรรมเปิดบ้านและเจรจาธุรกิจ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)
อวท. จัดกิจกรรมเปิดบ้านและเจรจาธุรกิจ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)
📢📢อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) ขอเชิญท่านที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา และจับคู่ธุรกิจ เปิดโอกาสความร่วมมือ: ก้าวสู่ความสำเร็จร่วมกับโอสถสภาในกิจกรรม “เปิดบ้านและเจรจาธุรกิจ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)”🌿🥐
✨️กำหนดการจัดกิจกรรม
🗓 วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568
🕤 เวลา 13.00 – 16.00 น.
📍ณ โถงอาคาร INC2C อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
✨️พบกับหัวข้อที่น่าสนใจ :
✅️ แนะนำอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Opening speech and Science Park introduction)
✅️ นโยบายนวัตกรรมสู่ความสำเร็จของโอสถสภา: “แรงบันดาลใจในการพัฒนาอนาคต” (บรรยายภาษาอังกฤษ)
✅️ พลิกโฉมผลิตภัณฑ์: “การพัฒนาและการทดสอบคุณภาพเพื่อความเป็นเลิศ”
✅️ "บรรจุภัณฑ์จากวัสดุทดแทนพลาสติก ทางเลือกที่ยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม” (บรรยายภาษาอังกฤษ)
✅️ จับคู่ธุรกิจ เปิดโอกาสความร่วมมือ: “ก้าวสู่ความสำเร็จร่วมกับโอสถสภา"
พบกับสินค้านวัตกรรมของ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ภายในงาน
สนใจลงทะเบียน https://www.nstda.or.th/r/vYWaX (ฟรี)
หรือสอบถามเพิ่มเติม : ikd@nstda.or.th,📱 080-195-1444 (กานต์ธิดาพร)
ปฏิทินกิจกรรม

อบรมเชิงปฏิบัติการ “พิริออดิกา เกมเรียนรู้ชื่อและสัญลักษณ์ของธาตุทางเคมี” 2568
📢 ชวนครูวิทย์...เข้าร่วมกิจกรรม "พิริออดิกาเกมเรียนรู้ชื่อและสัญลักษณ์ของธาตุทางเคมี"! 🧪✨
.
📅 วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568
📍 สถานที่: ณ ห้องวีไอพี บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
.
🌟 มาสนุกกับการเรียนรู้ ชื่อและสัญลักษณ์ของธาตุทางเคมี ผ่าน เกมสุดสร้างสรรค์ ที่จะทำให้การจดจำธาตุต่างๆ เป็นเรื่องง่ายและสนุกกว่าที่เคย!
.
สมัครได้ที่ https://www.nstda.or.th/r/qFKPM
💸 ค่าลงทะเบียน: 2,100 บาท/คน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% )
.
🎯👩🏫คุณสมบัติ: ครูวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี (สอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น-ตอนปลาย) จำนวน 18-20 คน
.
📌 กำหนดการสมัคร:
วันรับสมัคร: วันนี้ - 21 กุมภาพันธ์ 2568
ประกาศรายชื่อ: 3 มีนาคม 2568
.
🎁 สิ่งที่จะได้รับ:
พิริออดิกาเกมเรียนรู้ชื่อและสัญลักษณ์ของธาตุเคมี 1 ชุด
Logbook 1 เล่ม
เอกสารประกอบการสอน และอุปกรณ์การสอนอื่นๆ อีกมากมาย
👉กำหนดการ : https://www.nstda.or.th/r/bwibf
.
🚀 มาร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเรียนรู้เคมีไปด้วยกัน!📚🧠
.
🔗 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
คุณเสาวณีย์ โสภณนันทวัฒน์
📞 02 529 7100 ต่อ 77220, 📲 081 840 8499
📧 saowanee@nstda.or.th
.
คุณเพชรดา เวณุนันท์
📞 02 564 7000 ต่อ 1433
📧 pechda.wenunun@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

TCI จัดยิ่งใหญ่ ประชุมวิชาการเครือข่ายการพัฒนาคุณภาพวารสารวิชาการไทยครั้งที่ 15 แลกเปลี่ยนความรู้-ถอดบทเรียน ตอกย้ำจุดยืนจริยธรรม-จรรยาบรรณ คงคุณภาพวารสารไทยในเวทีโลก
(4 กุมภาพันธ์ 2568): ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index (TCI) Centre) หรือศูนย์ TCI โดยการสนับสนุนงบประมาณและความร่วมมือจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกันจัดการประชุมใหญ่ประจำปีหัวข้อ “การประชุมวิชาการเครือข่ายการพัฒนาคุณภาพวารสารวิชาการไทยครั้งที่ 15” โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศ. ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ศ. ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ หัวหน้าศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) และ ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และวิทยากรจากต่างประเทศได้รับเกียรติจาก Prof. Richard Whatmore จาก University of St Andrews, United Kingdom ซึ่งเป็น Scopus CSAB Subject Chair ตลอดจนมีวิทยากรจากศูนย์ TCI พันธมิตรต่าง ๆ ได้แก่ บรรณาธิการและกองบรรณาธิการวารสารไทยที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI และฐาน Scopus ผู้แทนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการวิจัย เข้าร่วมงานกว่า 1,500 คน
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้เกียรติ เปิดการประชุมและ บรรยายพิเศษเรื่อง “นโยบายการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศในทศวรรษหน้า” โดยกล่าวว่า การเผยแพร่ผลงานวิจัยและนวัตกรรมในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยการตีพิมพ์ในวารสารเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ปัญญา เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนมุ่งยกระดับขีดความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หลังการจัดตั้งศูนย์ TCI จะเห็นได้ชัดเจนว่า วารสารไทยมีการพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการบริหารจัดการ และด้านจริยธรรมจรรยาบรรณ นอกจากนี้ การพัฒนาและบำรุงรักษาฐานข้อมูล TCI เพื่อการจัดเก็บและเผยแพร่ผลงานวิจัยของประเทศไทยอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องนั้น โดยมี เนคเทค สวทช. ที่เข้ามาช่วยดูแลระบบและนำเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมทั้งนำเครื่องมือที่ทันสมัยมาช่วยงานของบรรณาธิการวารสารไทยหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพของวารสารไทยให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักวิจัย มหาวิทยาลัย และหน่วยงานทางด้านการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย ถือเป็นความสำเร็จของศูนย์ TCI ของ สกสว. และของประเทศไทย”
ศ. ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า สกสว. ในฐานะองค์กรกลางที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน และขับเคลื่อนระบบการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพวารสารวิชาการไทย ซึ่งเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิจัยและนวัตกรรมมาตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยเหตุนี้ สกสว. จึงได้สนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้ง ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index Center: TCI) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูล TCI สำหรับจัดเก็บและสืบค้นองค์ความรู้จากบทความวารสารไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการศึกษา ค้นคว้า และพัฒนางานวิจัยของประเทศ
นอกจากนี้ สกสว. ยังให้การสนับสนุนศูนย์ TCI ในการพัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยบรรณาธิการวารสาร เช่น ระบบ ThaiJO, ThaiES และ ThaiRAP รวมถึงดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับคุณภาพวารสารไทย ทั้งในด้านการบริหารจัดการและด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณ เพื่อให้วารสารไทยและบรรณาธิการมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ที่ผ่านมาศูนย์ TCI ได้ผลักดันให้วารสารไทยหลายฉบับก้าวสู่เวทีนานาชาติ และในอนาคต สกสว. จะยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาคุณภาพวารสารไทยให้ทัดเทียมระดับสากลต่อไป
ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดย เนคเทค ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวง อว. เข้ามาสนับสนุนโดยพัฒนาระบบ ThaiRAP สามารถวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยของประเทศไทยได้ทั้งในระดับประเทศ ระดับหน่วยงาน/มหาวิทยาลัย และระดับบุคคล โดยมีดัชนีชี้วัด (Metric) ที่หลากหลาย เช่น จำนวนผลงานตีพิมพ์ในแต่ละปี จำนวนผู้แต่ง สาขาวิชาที่มีการตีพิมพ์ คำสำคัญที่แสดงเนื้อหาบทความ จำนวนการอ้างอิงโดยรวม จำนวนการอ้างอิงต่อบทความ และความร่วมมือทางวิชาการระหว่างหน่วยงาน เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบ ThaiRAP จะทำหน้าที่มาวิเคราะห์ชิ้นงานตีพิมพ์ของประเทศ เหมือนกับระบบ SciVal ในระดับสากล และทำให้ไทยเป็นประเทศแรกของโลก ที่มีระบบช่วยการวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยระดับชาติ เทียบเคียงนานาชาติ ซี่งเป็นข้อดีคือทำให้ระบบนิเวศวิจัยของไทยดีขึ้น เพราะการมีระบบดังกล่าว จะเป็นฐานข้อมูลหลักที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ให้ทุนเห็นฐานข้อมูลเดียวกันและสามารถให้การสนับสนุนให้นักวิจัยไทยมุ่งเป้ามาทำงานวิจัยที่ตรงกับความต้องการของประชาชนและความต้องการของสังคมมากยิ่งขึ้น
ศ. ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ หัวหน้าศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย กล่าวว่า การประชุมวิชาการเครือข่ายการพัฒนาคุณภาพวารสารวิชาการไทยครั้งที่ 15” มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ นโยบายการสนับสนุนศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทยในการพัฒนาคุณภาพวารสาร ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มคุณภาพของวารสารไทยจากการประเมินคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล TCI นำเสนอผลลัพธ์และจุดยืนของวารสารไทยในเวทีโลก จริยธรรมและจรรยาบรรณของวารสารไทย ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะในการยกระดับคุณภาพวารสารไทยที่บรรจุอยู่ในฐานข้อมูล Scopus ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการยกระดับคุณภาพวารสารไทย รวมทั้งการเปิดตัวเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยของประเทศไทย
ทั้งนี้ TCI ได้นำเสนอและพัฒนาระบบที่ชื่อว่าระบบวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยของประเทศไทย” Thailand Research Analysis and Performance: ThaiRAP เพื่อเป็นช่องทางและเครื่องมือสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบายการวิจัยของประเทศ เช่น แหล่งทุน หรือ ผู้บริหารหน่วยงานระดับมหาวิทยาลัย หน่วยงานทุนวิจัย รวมถึงตัวนักวิจัย สามารถใช้ระบบ ThaiRAP ในการวิเคราะห์ข้อมูลผลงานวิจัย ความเชี่ยวชาญของนักวิจัยและหน่วยงานวิจัย สถานการณ์และภาพรวมของการวิจัย เพื่อการจัดทำนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของหน่วยงานหรือของประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศไทยต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

“การสร้างสื่อวิดีโอ Infographic เพื่อการนำเสนอ อย่างมีประสิทธิภาพด้วย Application Canva” รุ่นที่ 4
📢📢เปิดลงทะเบียน รุ่นที่ 4 รับจำนวนจำกัด!!! 🎉🎉🎉
🟢สวทช. ขอเรียนเชิญเข้าร่วมฝึกอบรมหลักสูตร 📽️🧑🏻💻“การสร้างสื่อวิดีโอ Infographic เพื่อการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพด้วย Application Canva” 📱(Create efficient video presentations with Canva) รุ่นที่ 3✨
.
📌วันที่ 29 - 30 เมษายน 2568
🕤เวลา 09.00 - 16.00 น.
📍ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ หรือเทียบเท่า
⏩️ค่าลงทะเบียน ท่านละ 9,900 บาท (หน่วยงานภาครัฐ 9,252.34 บาท)
👉ลงทะเบียนได้ที่ลิงก์ https://www.career4future.com/vinfo
.
🎯Key Highlights
✅️หลักสูตรนี้จะให้ทฤษฎีและการปฏิบัติที่จำเป็นในการสร้างสื่อวิดีโอ Infographic โดยใช้ Canva เพื่อนำเสนอข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจ
✅️ผู้เรียนจะได้เรียนรู้การใช้งานเครื่องมือต่างๆ ใน Canva เพื่อสร้างสื่อวิดีโอ Infographic ที่มีคุณภาพสูง
✅️ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เทคนิคและกลยุทธ์ในการนำเสนอและการสื่อสารข้อมูลในรูปแบบของสื่อวิดีโอ Infographic ที่น่าสนใจและมีความน่าเชื่อถือ
.
📲สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 08 5289 2669 (คุณยุภา)
📧 E-mail : bas@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

Infographic เพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (คิดและสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ)” รุ่นที่ 18
📢📢เปิดแล้ว รุ่นที่ 18 #ลงทะเบียนก่อนเต็ม🎉🎉🎉 รับจำนวนจำกัด!!!
🟢 สวทช. ขอเชิญเข้าร่วมอบรม 🧠💡"#Infographic เพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (คิดและสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ)" รุ่นที่ 18 ✨
.
🗓📌19-20 มีนาคม 2568
🕤เวลา 09.00 – 16.00 น.
📍ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ หรือเทียบเท่า
.
🎯Key Highlights
✅️เจาะลึก Infographic ที่ดีเป็นอย่างไร
✅️ออกแบบ สร้างสื่อในยุคเทคโนโลยี Digital Content ข้อมูลอันซับซ้อนในเวลาจำกัดได้อย่างไร
✅️นำเสนอแบบ Infographic ให้สวยงาม เข้าใจง่าย อย่างรวดเร็ว ด้วยองค์ประกอบศิลป์
✅️เสริมภาพลักษณ์สำหรับสื่อให้โดนใจอย่างสร้างสรรค์
✅️บรรยาย พร้อมฝึกปฏิบัติเข้ม เน้น Pick Up พร้อมเทคนิค Trip & Tip ในการออกแบบต่างๆ สำหรับการทำ Infographic
.
🚩ค่าลงทะเบียน ท่านละ 9,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) หน่วยงานภาครัฐ ท่านละ 9252.34 บาท
**ราคานี้รวมอาหารว่าง อาหารกลางวัน เอกสารประกอบการเรียน
และคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการฝึกอบรม**
.
👉🆙ดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ https://www.career4future.com/info/
📲สอบถามข้อมูล 08 5289 2669 (คุณใหม่)
📧E-Mail : bas@nstda.or.th
แล้วพบกัน 🙏🥰
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. จับมือ AIS มุ่งสร้างความยั่งยืนและพันธมิตรเครือข่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(24 มกราคม 2568) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ คุณศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) ร่วมงาน AIS Sustainability Partnership Dinner 2025 ที่จัดขึ้นโดยบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เพื่อแสดงความขอบคุณพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนโครงการด้านความยั่งยืน และเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในปี 2025
ในงานดังกล่าว AIS ได้นำเสนอความสำเร็จของโครงการด้านความยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือกับงานวิเคราะห์ธุรกิจและพันธมิตรอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) สวทช. ในโครงการสำคัญ เช่น การศึกษาและประเมินผลกระทบทางสังคมจากการติดตั้งสถานีฐานสัญญาณสื่อสารพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็นความร่วมมือที่สะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลอย่างยั่งยืน ฯลฯ
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ในเครือข่ายพันธมิตร การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงผลกระทบทางสังคมจากการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมผลักดันเกษตรกรเลี้ยงผำ พืชเทรนด์ใหม่ สร้างรายได้สูง
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568
– ดร.ศุภนิจ พรธีระภัทร นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมจัดแสดงนิทรรศการในงาน “ไข่ผำวานิลลา: เจาะลึกโอกาสธุรกิจพืชเทรนด์ใหม่” จัดโดย เทคโนโลยีชาวบ้าน ในเครือมติชน ณ อาคารข่าวสด โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน เพื่อส่งเสริมเกษตรกรและผู้ประกอบการหันมาทำธุรกิจเลี้ยงผำ พืชน้ำขนาดเล็กที่กำลังเป็นที่นิยมในตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ และได้รับการยอมรับเป็น Super Food ของโลก ผำ หรือ “ไข่แหน” เป็นพืชน้ำที่มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ สามารถรับประทานสดหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ไข่เจียวผำ วุ้นผำ และผงโรยข้าวผำ ซึ่งให้รสชาติกลมกล่อมและเป็นที่ต้องการของตลาด
ในงานนี้ เนคเทคได้แนะนำนวัตกรรม B-Farm HandySense ซึ่งเป็นระบบช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงผำ โดยตรวจวัดและควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม รวมถึงกระบวนการทำความสะอาดเพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้เกษตรกร
สวทช. มุ่งที่จะช่วยเปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยก้าวสู่ธุรกิจใหม่ที่สร้างรายได้มั่นคง พร้อมตอบโจทย์ Future Food ที่กำลังมาแรง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ พระราชทาน ส.ค.ส. และไดอารี่ ประจำปี 2568 แก่ ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
(วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568) เนื่องในศุภมงคลสมัยขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โปรดให้ นายปิยพล มั่นปิยมิตร สำนักวิจัย สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เป็นผู้อัญเชิญ ส.ค.ส. พระราชทาน และไดอารี่เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2568 ไปมอบแก่ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานที่มุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ณ อาคารสำนักงาน สวทช. ชั้น 7 (โยธี) กรุงเทพฯ
สำหรับ ส.ค.ส. พระราชทานฯ จัดทำด้วยกระดาษแข็งพื้นสีขาว ด้านหน้ามีตราพระนามย่อ “จภ” สีทอง ด้านในฝั่งซ้ายมีตราพระนามย่อ “จภ” สีทอง พร้อมข้อความอวยพร “สุขสันต์ วันปีใหม่ 2568” “Season’s Greeting 2025” พร้อมทรงลงพระนาม "จุฬาภรณ์" และด้านในฝั่งขวาเป็นพระรูป สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทยศิวาลัย ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ประทับยืนหน้าพระเก้าอี้ พร้อมเครื่องราชูปโภค เจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน ประกอบด้วย พานพระศรีทองคำลงราชาวดี ขอบประดับทับทิมพร้อมเครื่องในคือ จอกทองคำลงยาราชาวดี ผอบทองคำยอดปริกประดับเพชร ซองพระศรีขอบประดับเพชร ตลับภู่ประดับเพชรและทับทิม มีไม้ควักพระกรรณ มีดด้ามหุ้มทองคำลงยาประดับพลอย ขันพระสุธารสทองคำลงยา พร้อมจอกทองคำลงยา พร้อมพานรองทองคำลงยา ขอบประดับทับทิม ขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยา พร้อมพานรองทองคำลงยาขอบประดับทับทิมและคลุมปัก หีบพระศรีทองคำลงยาหลังตรามงกุฏประดับเพชร กาพระสุธารสทองคำมีสร้อยโยง พร้อมพานรองกา และกล่องตราจุลจอมเกล้าพร้อมพานรองลงยาขอบประดับทับทิม
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

แกะกล่องงานวิจัย : ‘Ve-Chick’ เนื้อไก่เทียมจากโปรตีนพืชชนิดพร้อมรับประทาน
1) เกี่ยวกับอะไร ?
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ Ve-Chick เนื้อไก่เทียมจากโปรตีนพืช จาก 3 รูปแบบเดิม ผงสำหรับขึ้นรูปเป็นเนื้อไก่เทียม ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่เทียมแบบพร้อมปรุง และผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อไก่เทียมชนิดพร้อมรับประทานในรูปแบบแช่แข็ง (ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์มีจำหน่ายแล้ว) ให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่รับประทานสะดวกยิ่งขึ้นกว่าเดิมในรูปแบบอาหารชนิดฉีกซองแล้วรับประทานได้ทันที หรือจะอุ่นร้อนเพื่อเสริมความอร่อยก็ได้เช่นกัน
2) ดีอย่างไร ?
เนื้อไก่จากโปรตีนพืชชนิดนี้ทนทานต่อกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน ทำให้ผลิตเป็นอาหารพร้อมทานที่เก็บในอุณหภูมิห้องได้นานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องแช่เย็น (shelf-stable) เนื้อไก่มีรสชาติเสมือนเนื้อไก่จริง มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 20 หรือเทียบเท่าเนื้อไก่ แต่มีปริมาณใยอาหารสูงกว่าและปราศจากคอเลสเตอรอล ที่สำคัญกระบวนการผลิตมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าเนื้อไก่จริง
3) ตอบโจทย์อะไร ?
ผลิตภัณฑ์นี้ตอบโจทย์เทรนด์อาหารโลกทั้งด้านอาหารเพื่อสุขภาพ และมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้อาหารประเภทพร้อมรับประทานหรือ Ready-to-Eat (RTE) ในรูปแบบ shelf-stable ยังกำลังเป็นเทรนด์อาหารโลก ณ ขณะนี้ด้วย เพราะตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องใช้ชีวิตแข่งขันกับเวลาได้เป็นอย่างดี ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้มีศักยภาพที่จะผลิตและจำหน่ายทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก
4) สถานะของเทคโนโลยี ?
พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการให้บริการได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : เอ็มเทค สวทช. ต่อยอด ‘Ve-Chick’ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช สู่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยพร้อมรับประทาน แค่ฉีกซอง ก็อิ่มอร่อยได้ทันที
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น