ผลการค้นหา :

โครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น ปี 2568 (TED Youth Startup 2025) รอบ 1/2568
เปิดรับสมัคร โครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น ปี 2568 (TED Youth Startup 2025) รอบ 1/2568
ทุนสำหรับนิสิต นักศึกษา และบัณฑิตจบใหม่ ในการเริ่มต้นธุรกิจ Startup ภายใต้โครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น ปี 2568 (TED Youth Startup 2025) รอบ 1/2568
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSP) หนึ่งในเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ (TED Fellow) เปิดรับสมัคร Startup ที่มีความสนใจในการพัฒนาธุรกิจบนฐานของเทคโนโลยีและนวัตกรรม และกำลังมองหาทุนในการต่อยอดธุรกิจสู่เชิงพาณิชย์ โดยสนับสนุนทุนมูลค่าสูงสุดถึง 1,500,000 บาท
สิทธิประโยชน์ที่ท่านจะได้รับ
ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่การเตรียมตัวยื่นขอทุน ไปจนถึงขั้นตอนการเบิกจ่าย และปิดโครงการ
ให้คำปรึกษาด้านการดำเนินธุรกิจนวัตกรรม และเชื่อมโยงธุรกิจ
มีสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ขอรับทุน
อย่ารอช้า รับจำนวนจำกัด รีบสมัครเลย โอกาสดีๆ รออยู่!
ช่องทางการสมัคร > กดที่นี่
สนใจติดต่อ :
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
คุณกฤษกรณ์ 086 362 6185
คุณจิรพร 0816397284
คุณชมพูนุช 0813187532
Email: bcd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

ขอเชิญร่วมงานสัมมนา “AI FOR BUSINESS” ที่รวบรวมเทคโนโลยี AI น่าสนใจไว้ในงานเดียว พบกับวิทยากรถึง 5 ท่านที่จะมาเล่า Case study การใช้ AI รูปแบบต่างๆ
ขอเชิญร่วมงานสัมมนา "AI FOR BUSINESS" ที่รวบรวมเทคโนโลยี AI น่าสนใจไว้ในงานเดียว พบกับวิทยากรถึง 5 ท่านที่จะมาเล่า Case study การใช้ AI รูปแบบต่างๆ
.
พิเศษสำหรับ ผู้ประกอบการ SME ไทย สามารถขอรับการสนับสนุนจากโปรแกรม ITAP ได้ 50% สูงสุด 200,000 บาท เพื่อทำโครงการประยุกต์ใช้ AI ในธุรกิจ
.
พบกันวันศุกร์ที่ 8 พ.ย. 2567
เวลา 08.30 - 15.00 น.
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
.
ห้ามพลาด ไฮไลต์สำคัญ
ฟังการบรรยายหัวข้อ "AI กับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ โอกาสความท้าทาย และแนวโน้ม AI ในอนาคต"
Showcase เทคโนโลยี AI ที่ SME ไทยห้ามพลาด ได้แก่
- การใช้ AI OCR จัดการเอกสาร เช่น ใบเสร็จ ใบแจ้งหนี้ สัญญา ฯลฯ ช่วยให้งานเสร็จเร็ว แม่นยำ ลดภาระงาน
- การใช้ Generative AI สร้างบทความ โฆษณา โพสต์โซเชียลมีเดีย ฯลฯ ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์
- การใช้ AI Assistant ช่วยจัดการงานอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มผลิตภาพงานประจำวัน และสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
- การพูดคุยโต้ตอบกับ AI Chatbot ให้ช่วยวิเคราะห์เอกสาร ตั้งประเด็นโดยอัตโนมัติ และช่วยสรุปสาระสำคัญ
ชมบูธแสดง AI Technology & Solution พร้อมขอรับคำปรึกษาที่คลินิกเทคโนโลยี
.
ลงทะเบียนร่วมงานสัมมนาได้ที่
https://forms.gle/zfn4KztJwxo62Ycb9
จำกัด 2 ท่าน/บริษัท และรับเพียง 30 บริษัท เท่านั้น !
สามารถลงทะเบียนได้ ตั้งแต่วันนี้ - 6 พ.ย. 67
สอบถามรายละเอียดได้ที่
Email : esi@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

เนคเทค สวทช. คว้า 2 รางวัล ผลิตภัณฑ์และบริการในภาคอุตสาหกรรม ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ประจำปี 2567
(28 ตุลาคม 2567): ดร. พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร. มลธิดา ภัทรนันทกุล และ ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ เนคเทค, สวทช., ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์, ซีโร่ทัชเซอร์วิส, ไซบีเลียน, รางวัล, นวัตกรรม, การรักษาความปลอดภัย, IoT ในพิธีมอบรางวัลการประกวดผลิตภัณฑ์และบริการในภาคอุตสาหกรรม ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ 2567 (Thailand Cyber Security Product and Service Awards 2024 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ณ โรงแรม ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น
ดร. มลธิดา ภัทรนันทกุล และคณะ ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย ได้รับ ‘รางวัลความเป็นเลิศด้านความคิดสร้างสรรค์’ ประเภทต้นแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการ (Prototype) ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จากผลงาน “ซีโร่ทัชเซอร์วิส : ระบบให้บริการเน็ตเวิร์กเซอร์วิสด้านความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ สำหรับตรวจสอบและเฝ้าระวังภัยคุกคามด้านไซเบอร์ (Zero-Touch Services: An automated Security Management and Orchestration Platform for Cybersecurity Investigation and Mitigation)"
ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ และคณะ ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย ได้รับ 'รางวัลความเป็นเลิศด้านความเป็นนวัตกรรม' ประเภทต้นแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการ (Prototype) ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จากผลงาน “ไซบีเลียน : แพลตฟอร์มคุ้มครองความเป็นส่วนตัวไอโอทีด้วยเทคนิคการเข้ารหัสโฮโมมอร์ฟิก (CYBLION: Privacy-Preserving IoT Platform by Homomorphic Encryption)
Zero-Touch Services ระบบให้บริการเน็ตเวิร์คเซอร์วิสด้านความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ ผลงานที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและ ลดภาระงานด้านความปลอดภัยให้กับองค์กร โดยการจัดเตรียมและให้บริการ เน็ตเวิร์กเซอร์วิสด้านความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยวิเคราะห์ ตรวจสอบ และเฝ้าระวังภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร โดยมีคุณลักษณะที่น่าสนใจ เช่น การบริหารจัดการแบบอัตโนมัติด้วยโซลูชั่น SOAR รองรับรูปแบบการให้บริการ SECaaS การจัดสรรทรัพยากรแบบไดนามิก การวิเคราะห์ จำแนกและจัดลำดับความสำคัญของภัยคุกคาม เป็นต้น
ไซบีเลียน: แพลตฟอร์มคุ้มครองความเป็นส่วนตัวไอโอทีด้วยเทคนิคการเข้ารหัสโฮโมมอร์ฟิก หรือ CYBLION: Privacy-Preserving IoT Platform by Homomorphic Encryption ทางออกสำหรับการแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลไอโอที
ผลงาน “ไซบีเลียน” หรือ “CYBLION” ซึ่งมาจากการผสานสองคำ "Cyber” และ "Brilliant" ซึ่งมาจากการผสานสองคำ "Cyber” และ "Brilliant" ทีมวิจัยระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) ได้พัฒนาเทคโนโลยี PET เป็น “PET as-a-service for IoT/IIoT platform” ปัจจุบันมีเป้าหมายใช้สนับสนุนการทำงานในโรงงานเป็นหลัก โดยในระบบเดิมนั้นใช้ Cloud จากภายนอก ซึ่งถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคลบ่อยครั้ง ฉะนั้นเราจะไว้ใจ Cloud จากภายนอกได้อย่างไรบ้าง? ทางทีมนักวิจัยจึงค้นหาแนวทางการปกปองข้อมูลในแง่ของกฎหมายและแง่ของการใช้งาน จึงใช้ระบบ Homomorphic Encryption (HE) คือการให้ Cloud วิเคราะห์ข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องให้คีย์ในการไขเปิดข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะทำให้ยังคงรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้และ Cloud จะจัดการคำนวณโดยที่ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วย ฉะนั้น CYBLION จะการันตีว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่หลุดออกจากระบบ เพราะใช้ระบบและเทคโนโลยีในการจัดการและจัดเก็บข้อมูลโดยที่ยังคงรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ลูกค้าสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาการหลุดรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลได้นั่นเอง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ลุ้นบินลัดฟ้า! ✈️รวมงาน 🇦🇺 International Conference on Research Infrastructures (ICRI) 2024
🚀 ขอเชิญนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ (ประสบการณ์ <10 ปี) มาร่วมแชร์วิสัยทัศน์ “What do you imagine Research Infrastructure to be in 2050”💡
🎬 ส่งคลิปวิดีโอ (30 วิ - 3 นาที) ตอบคำถาม "Research Infrastructure ในปี 2050 จะเป็นอย่างไร?"
🏆 2 ผู้ชนะ รับรางวัล ✈️ 🇦🇺 จะได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมวิชาการนานาชาติ International Conference on Research Infrastructures (ICRI) 2024
วันที่ 3-5 ธันวาคม 2567 ณ เมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
และมีโอกาสร่วมแสดงความคิดเห็นในช่วง Early Career Scientists: Pitch Session วันที่ 4 ธันวาคม 2567
👉 สมัครเลย: http://bit.ly/3YqgOEY
📅 Deadline: 8 พ.ย. นี้
📧 ส่ง CV: aseanrri@nstda.or.th
++++++++++++++++++++++++++
Calling all early career researchers from ASEAN!
Imagine the future of research infrastructure. What will it look like in 2050? We're launching an exciting video competition to find out!
Show Us Your Vision!
Create a short video (30 seconds - 3 minutes) answering the question: "What do you imagine Research Infrastructure to be in 2050?"
Prizes:
Two winners will each receive:
A round-trip flight (economy class) to Brisbane, Australia (including per diems)!
An opportunity to present at the main program "Early Career Scientists: Pitch Session" on 4 December 2024.
Who Can Participate?
Are you an early career researcher with less than 10 years of experience in research infrastructure (user or manager)? This competition is for you!
Why Enter?
Attend ICRI 2024 – the leading forum for the global research infrastructure community!
Network with international experts and stay ahead of industry trends.
Boost your research profile and build international connections.
Ready to Submit?
Create your video (MP4 format, landscape view).
Submit your video by Nov 8th via http://bit.ly/3YqgOEY
Email your CV to aseanrri@nstda.or.th
Don't miss this chance! Showcase your ideas and represent your country at ICRI 2024!
For more information: aseanrri@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

หลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการความรู้พื้นฐานสำหรับช่างติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้า สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รุ่นที่ 4 (Fundamental of EV Charger Installation: ECI4)
หลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการความรู้พื้นฐานสำหรับช่างติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้า สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รุ่นที่ 4 (Fundamental of EV Charger Installation: ECI4)
.
ห้ามพลาด ไฮไลต์สำคัญ:
ความรู้เกี่ยวกับ หลักการ กฎหมาย/ข้อกำหนด/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความปลอดภัย ในการติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า
ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการออกแบบและติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้า รวมถึงเทคนิคการติดตั้งอย่างถูกต้องและปลอดภัย
ความรู้เกี่ยวกับ การคำนวณ การเลือกอุปกรณ์ การติดตั้ง การเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า และการตรวจสอบระบบเบื้องต้น
ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์และประเมินผลจากเครื่องมือวัด
.
วันที่ 12 – 13 ธันวาคม 2567 (ทฤษฎี 1 วัน Workshop 1 วัน)
เวลา 09.00 - 13.30 น.
ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ลงทะเบียนได้ที่: https://www.career4future.com/eci/
https://www.career4future.com/cfa/index.php?crsgen=9913
9,630 บาท (ราคานี้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
สอบถามข้อมูล
โทรศัพท์ : 0 2644 8150 ต่อ 81898 (คุณฉวีวรรณ)
โทรสาร : 0 2644 8110
E-MAIL : npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

2 ปี ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เดินหน้าครบทุกมิติ พัฒนาคน สร้างนวัตกรรม หนุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้ประเทศ
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นปรากฏการณ์สำคัญของโลก โดยได้รับความคาดหมายในฐานะเครื่องมือทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกในยุคใหม่ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างเร่งพัฒนา AI ของตนเองอย่างเข้มข้นและรวดเร็วจนนำไปสู่ AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ (Artificial General Intelligence) อย่างไรก็ตามการขาดธรรมาภิบาลในการพัฒนาและใช้งาน AI อาจนำมาซึ่งความท้าทายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม การใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน การละเมิดความเป็นส่วนตัว ตลอดจนภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ประเทศไทยได้แสดงความพร้อมรับมือผ่าน "แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565-2570" ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 โดยมีการขับเคลื่อนมาแล้ว 2 ปี ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 2 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.)
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การจัดทำแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติตลอดสองปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่สำคัญในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล มีการจัดทำคู่มือแนวทางการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับองค์กร พร้อมเครื่องมือประเมินด้าน AI อีกทั้งยังสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายต่างประเทศเพื่อร่วมนำเสนอและรับฟังความคิดเห็นแนวทางการกำกับดูแล AI ในระดับสากลเพื่อนำมาเตรียมความพร้อมด้านจริยธรรมและธรรมภิบาล AI ของไทย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC มีจำนวนการใช้งานโดยเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านครั้งต่อเดือน รวมทั้งให้บริการ LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณอันดับ 1 ในอาเซียน สำหรับการวิจัยด้าน AI ของภาครัฐและเอกชน ด้านการพัฒนากำลังคนด้าน AI ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของแผนฯ ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินพัฒนากำลังคนด้าน AI ผ่านการพัฒนาทักษะทางด้าน AI ในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง หลักสูตรอบรมทักษะ AI ระยะสั้นและหลักสูตรพัฒนาทักษะ AI ที่ผสมผสานตั้งแต่การเรียนรู้ด้วยตนเองจนปิดท้ายด้วยการฝึกงานในสถานที่จริงเป็นจำนวนรวมมากกว่า 1 แสนคน โดยแผนพัฒนากำลังคนด้าน AI มีกรอบดำเนินการใน 3 ส่วน แบ่งตามช่วงชีวิตการเรียนรู้ของคน ดังนี้ (1) AI@School เพื่อสร้างผู้สอนและบรรจุหลักสูตร AI สำหรับนักเรียนทุกช่วงชั้นให้มีความตระหนักและทักษะทางด้าน AI เบื้องต้น (2) AI@University เพื่อพัฒนาทักษะ AI ทุกระดับอย่างต่อเนื่องในระบบอุดมศึกษา (3) AI@Lifelong Learning เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนในทุกช่วงวัยและทุกระดับการศึกษาสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะ AI ได้ตลอดช่วงชีวิต ตอบรับนโยบาย อว. For AI ทั้ง 3 เรื่องหลัก ได้แก่ (1) AI for Education การใช้ AI ในการเรียนการสอนให้คนไทยมีศักยภาพสูงสุดและเร็วที่สุด (2) AI workforce development การพัฒนาบุคลากรด้าน AI และการสร้างพื้นฐานด้าน AI ให้คนไทยในระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน (3) AI innovation ด้านการสนับสนุนนวัตกรรม AI สู่ตลาด ได้ส่งเสริมให้สตาร์ตอัปพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีจาก AI มากกว่า 50 ต้นแบบผลิตภัณฑ์
ส่วนด้านการวิจัยและนวัตกรรม ได้ดำเนินการนำ AI เพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลประชากรขนาดใหญ่ เพื่อการวางแผนยุทธศาสตร์ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 6 แสนคน มีหน่วยงานภาครัฐนำไปใช้ประโยชน์ 220 หน่วยงาน ครอบคลุม 17 จังหวัดทั่วประเทศ และการจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ Medical AI Consortium เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลขนาดใหญ่ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Medical AI Data Sharing) ในปัจจุบันมีข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์มากกว่า 1.6 ล้านภาพ
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดำเนินงานขับเคลื่อนแผน AI แห่งชาติตามแผนยุทธศาสตร์ในด้านต่าง ๆในปีที่ผ่านมาได้สะท้อนผ่านการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (AI Government Readiness Index) ปี 2566 ที่ประเทศไทยยังคงรักษาตำแหน่งในกลุ่ม 40 อันดับแรกของโลก ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นและจำนวนประเทศที่เข้าร่วมการจัดอันดับที่เพิ่มขึ้น โดยอยู่ในลำดับที่ 37 จาก 193 ประเทศ แม้จะปรับตัวลง 6 อันดับจากปีก่อนที่อยู่ในลำดับที่ 31 จาก 181 ประเทศ เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่าไทยมีจุดแข็งในด้านภาครัฐที่ได้ 77.21 คะแนน และด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้ 70.55 คะแนน สะท้อนความพร้อมของกลไกภาครัฐและระบบโครงสร้างพื้นฐานในการรองรับการพัฒนา AI ขณะที่ด้านเทคโนโลยีได้ 41.33 คะแนนซึ่งสูงขึ้นจากปีก่อน แต่ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ไทยต้องเพิ่มการพัฒนาต่อยอดเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ในองค์รวมของประเทศในระยะต่อไป
ด้าน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า เนคเทคในฐานะองค์กรที่มีบทบาทด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศขั้นสูงให้กับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยี AI ที่สั่งสมประสบการณ์วิจัยและพัฒนามากว่า 20 ปี โดยได้ส่งมอบแพลตฟอร์มให้บริการปัญญาประดิษฐ์สัญชาติไทยหรือ AI for Thai ให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้าน AI ของประเทศ และแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ ในฐานะแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งให้บริการ API มากกว่า 60 รายการ ครอบคลุมการประมวลผลภาษาไทย ทั้งด้านภาพ เสียง และข้อความ และมียอดการใช้งานสะสม 53 ล้านครั้ง นอกจากนี้เนคเทคและพันธมิตรยังร่วมพัฒนา ‘OpenThaiGPT’ แบบจำลองภาษาไทยขนาดใหญ่ (Large Language Model) ในรูปแบบโมเดลพื้นฐานแบบโอเพนซอร์ส (Open-source Foundation Model) ที่ตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลภาษาไทยปัจจุบันมี 5 หน่วยงานทดลองนำระบบไปประยุกต์ใช้งาน (Proof of Concept) ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกรมสรรพากร และเป็นโมเดลพื้นฐานของการเปิดตัว 22 บริการใหม่บน AI for Thai (www.aiforthai.co.th) โดยมีไฮไลท์ คือ “ปทุมมา LLM” Generative AI ที่สามารถประมวลข้อมูลภาษาไทยได้หลากหลายทั้งรูปภาพ เสียง และข้อความ ถามตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถบรรยายรูป (image captioning) ถอดและบรรยายเสียง (ASR and ACC) วิเคราะห์อารมณ์ผู้พูด (Audio Analysis) ถามตอบจากเสียง (Audio QA) อีกทั้งยังสามารถเข้าใจและสรุปสาระสำคัญของเอกสารราชการ หรืองานวิจัยได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถพูดคุยตอบโต้หรือตั้งคำถามกับเอกสารที่กำหนดได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถใช้งาน “ปทุมมา LLM” ได้ที่ https://aiforthai.in.th/pathumma-llm
ท่านที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
และรายงานผลการดำเนินงาน ประจำปี 2567 ได้ที่ https://www.ai.in.th/ ตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดรับสมัครผู้ประกอบการจำหน่ายอาหาร ประจำอาคารสราญวิทย์ (อาคาร 12) สวทช.
ระยะเวลาการสมัคร
ยื่นใบสมัคร ได้ตั้งแต่ 25 ต.ค. ถึง 4 พ.ย. 67
คุณสมบัติ
1. มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินการศูนย์อาหารเชิงคุณภาพ สามารถบริหารจัดการให้มีร้านร่วมในการให้บริการ เพื่อความหลากหลายของอาหารและเครื่องดื่ม
2. มีประสบการณ์ดำเนินการศูนย์อาหารขนาดไม่น้อยกว่า 200 ที่นั่ง หรือ 400 จาน ในช่วงเวลา 11.00 - 13.00 น.
3. มีประสบการณ์ดำเนินการศูนย์อาหารมาไม่น้อยกว่า 2 ปี ภายในช่วงเวลา 10 ปี (ต้องแสดงหลักฐาน)
4. มีเงินทุนสามารถบริหารศูนย์อาหารได้ไม่น้อยกว่า 500,000 บาท (แสดงหลักฐานทางการเงิน)
5. ผู้ประกอบการต้องเป็นผู้ดำเนินการเองหรือมีผู้แทนตลอดเวลาทำการ
การพิจารณาคัดเลือก
สวทช. จะดำเนินการคัดเลือกโดยวิธีสัมภาษณ์และประเมินคุณภาพของผู้ประกอบการศูนย์อาหาร ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องยื่นเอกสารแสดงหลักฐานให้ครบถ้วน
ส่งใบสมัครและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
คุณศรุต หนูรักษ์
งานบุคลากรสัมพันธ์ ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล อาคารสำนักงานกลาง
โทร. 02 564 7000 ต่อ 71104 (ในวันและเวลาทำการ)
อีเมล: sarut@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

หลักสูตร RAMS in Railway Systems: Concept & Application
🟩หลักสูตร RAMS in Railway Systems: Concept & Application
⏰วันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2567 โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
📍Key Highlights:
• เจาะลึกหลักการของ RAMS (Reliability, Availability, Maintainability and Safety) ในระบบรถไฟ
• เรียนรู้การวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ ความพร้อมใช้งาน การบำรุงรักษา และความปลอดภัย รวมถึงการใช้เครื่องมือและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ตระหนักถึงข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์และจัดการ RAMS เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการดำเนินงาน
• เข้าใจหลักการและเทคนิคในการตรวจสอบและวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ในระบบรถไฟ เพื่อให้สามารถระบุ สาเหตุของปัญหา และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.career4future.com/rams
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช.- ธ.ก.ส. จับมือขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ในพื้นที่จังหวัดยโสธร ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต
วันที่ 24 ตุลาคม 2567 ณ ห้องสมุด ชั้น 3 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อาคารทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่บางเขน กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ลงนามความร่วมมือโครงการ “การขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต จังหวัดยโสธร” โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ลงนามร่วมกับ นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พร้อมด้วย นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวนการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. รวมทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 หน่วยงาน เข้าร่วมงาน
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยที่มุ่งมั่นพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อนำมายกระดับภาคการเกษตรที่เป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ที่ผ่านมา สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้พัฒนาสายพันธุ์ถั่วเขียว KUML ที่มีความต้านทานต่อโรคราแป้งและใบจุด ให้ผลผลิตสูง 300 กิโลกรัมต่อไร่ พร้อมมีการส่งเสริมขยายผลให้เกษตรกรนำถั่วเขียว KUML ไปปลูกเป็นพืชหลังนาในหลายจังหวัด ภายใต้การดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ชุมชน และภาคเอกชน โดยพัฒนากลไกตลาดนำการผลิต สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในช่วงพักแปลง ส่งผลให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ลดการใช้ปุ๋ยในฤดูทำนา ลดการเผาตอซังข้าว ในส่วนการตลาดภาคเอกชนได้รับผลผลิตถั่วเขียวที่มีคุณภาพเข้าสู่อุตสาหกรรม
“การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ที่ต้องการจะมุ่งนำองค์ความรู้ผลิตถั่วเขียวและโมเดลตลาดนำการผลิต ยกระดับเครือข่ายเกษตรกรของ ธ.ก.ส.ให้มีความสามารถในการผลิตถั่วเขียวหลังนาเป็นอาชีพเสริม สร้างกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่ รวมถึงการสร้างเครือข่ายเกษตรกรผลิตถั่วเขียว (Gain) ส่งให้กับภาคเอกชนในพื้นที่ สามารถยกระดับรายได้ของเกษตรกรได้เพิ่มขึ้น ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้ ธ.ก.ส. หน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น สามารถนำไปองค์ความรู้และเทคโนโลยีดังกล่าวใช้ขยายผลให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนพักชำระหนี้ได้ต่อไป” ดร.สมบุญ กล่าว
นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ตลอดปี 2567 ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจแก่องค์กรและลูกค้าด้วยนวัตกรรม ด้วยการขยายผลนวัตกรรมเกษตรสู่การใช้ประโยชน์ โดยได้ดำเนินโครงการขับเคลื่อนนวัตกรรมเกษตรร่วมกับภาคีเครือข่ายภายนอก ผ่านรูปแบบการสนับสนุนทุนวิจัยและค้นหานวัตกรรมให้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนและพัฒนางานวิจัยที่เหมาะสมกับบริบทการเกษตรในประเทศไทย โดยค้นหาและคัดเลือกนวัตกรรมเกษตรพร้อมใช้ที่เหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการทำการเกษตรให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อธนาคารในการมีนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร
“การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้ร่วมกับสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ดำเนินโครงการการขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต จังหวัดยโสธร เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML โดยส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา และมีกลไกการทำงานเชื่อมโยงกับสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร เพื่อเป็นจังหวัดนำร่องในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมุ่งหวังการสร้างกลุ่มผู้ผลิตถั่วเขียวที่ให้ผลผลิตสูง (Grain) ส่งโรงงานอุตสาหกรรม และตรงกับความต้องการของตลาด รวมทั้งสร้างกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว (Seed) ระดับชุมชน สามารถลดการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ที่ดีและมีคุณภาพ พร้อมนำองค์ความรู้ไปเป็นต้นแบบและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรในชุมชนอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อธุรกิจภาคการเกษตร และสร้างผลสำเร็จได้ดียิ่งขึ้นต่อไป และจะส่งเสริมขยายผลเป็นอาชีพเสริมให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนพักชำระหนี้” นายเสกสรรค์ กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

กทม. ผนึกกำลัง สวทช. สสวท. พัฒนาเยาวชน ในโรงเรียนภาษาที่สาม สู่นวัตกรยุค 4.0 ด้วย Digital Innovation Maker space นำร่องพื้นที่กรุงเทพมหานคร
(วันที่ 24 ตุลาคม 2567) ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย: กรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่ชาติ (เนคเทค สวทช.) และ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติ Digital Innovation Maker space ในโครงการส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0(โรงเรียนภาษาที่สาม) โดย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการอบรมและดำเนินโครงการฯ พร้อมด้วย นายชนินทร์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ผู้อํานวยการกองเทคโนโลยีการศึกษา สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารสำนักการศึกษา และดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดกิจกรรม Digital Innovation Maker space
นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า โครงการส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0 (โรงเรียนภาษาที่สาม) Digital Innovation Maker space มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้เข้าถึงเครื่องมือและสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของครูและนักเรียน สู่การเป็นนวัตกรในยุค 4.0 การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ไม่เพียงแต่จะส่งเสริมทักษะให้แก่นักเรียน แต่ยังช่วยให้คุณครูสามารถใช้วิธีการสอนที่หลากหลายและทันสมัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมพร้อมให้กับเด็ก ๆ ในการเผชิญการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาวิชาการเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และทักษะการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ
กรุงเทพมหานครมีแผนพัฒนาเมืองที่มุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา โดยเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อสร้างนักเรียนคุณภาพในยุค 4.0 โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะเทคโนโลยี เพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขันในโลกปัจจุบัน การส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียนช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็น ในขณะเดียวกันการพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัยจะตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน นอกจากนี้ การจัดหาห้องเรียน Digital Innovation Maker Space จะทำให้การเรียนการสอนมีความทันสมัย การพัฒนาทักษะภาษาที่ 3 โดยเฉพาะการเรียนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) จะช่วยให้เด็กมีความรู้ในเทคโนโลยีและสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้กรุงเทพมหานครได้ร่วมมือกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) และ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ในการดำเนิน “โครงการส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0 (โรงเรียนภาษาที่สาม)” ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนานักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จะมุ่งเน้นการสอนทักษะภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) สำหรับนักเรียนทุกช่วงชั้น ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาตอนต้นถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย การสร้างหลักสูตรที่ผสมผสานภาษาเทคโนโลยี เช่น การเขียนโค้ด ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเตรียมพร้อมนักเรียนให้มีทักษะที่หลากหลาย รวมทั้งส่งเสริมนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ผ่านการจัดตั้งห้องเรียน Digital Innovation Maker Space ที่จะนำร่องใน 20 โรงเรียนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พร้อมให้คำปรึกษาในการจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ และสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสม และอบรมความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 90 แห่ง และส่งเสริมการจัดแข่งขันเพื่อพัฒนาทักษะคุณครูให้มีความรอบด้าน และสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
นายชนินทร์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกองเทคโนโลยีการศึกษา สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ได้ร่วมมือกับ เนคเทค สวทช. และ สสวท. เพื่อพัฒนาโครงการและกิจกรรม “ส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0” ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้าง Digital Innovation Maker Space ในโรงเรียน มีวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสร้างรากฐานด้านกำลังคน มุ่งหวังที่จะพัฒนากำลังคนที่มีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมและการพัฒนาทางเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก โดยการสอนเทคโนโลยีในโรงเรียนจะช่วยเตรียมเด็กให้พร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกดิจิทัล โดยการพัฒนาหลักสูตรที่เน้การเรียนรู้ เชิงปฏิบัติ และสร้างแรงบันดาลใจ ด้วยการพัฒนาโครงงานที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจและทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในสังคมดิจิทัล
ทั้งนี้โครงการฯ มีแผนการดำเนินกิจกรรม ในระยะเวลา 9 เดือน ประกอบด้วยกิจกรรม 1.การอบรมความรรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ Digital Innovation Maker Space ให้กับโรงเรียนภาษาที่สาม จำนวน 90 โรงเรียน โดยมีผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครูฯ ที่ผ่านการอบรม จำนวน 181 คน 2.การอบรมเชิงปฏิบัติการ Digital Innovation Maker Space ทั้ง 90 โรงเรียนเพื่อคัดเลือกให้เหลือ 20 โรงเรียน 3.กิจกรรมจัดระดมสมอง ออกแบบห้อง Digital Innovation Maker Space ออกแบบรายการอุปกรณ์ สื่อการเรียนรู้ และออกแบบนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ สำหรับ 20 โรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือก 4.กิจกรรมระดมสมองออกแบบหลักสูตรโรงเรียนภาษาที่สาม (ภาษาเทคโนโลยี) ของ 4 ช่วงชั้น 5.จัดทำเนื้อหาคู่มือการจัดการเรียนรู้ จัดทำ Coding Competency ของหลักสูตรโรงเรียนภาษาที่สาม (ภาษาเทคโนโลยี) 6.การจัดอบรมการใช้เครื่องมือและการบำรุงรักษา ห้อง Digital Innovation Maker Space รวมทั้งให้ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน 7.การประกวดในพื้นที่พัฒนานวัตกรรมดีเด่น โรงเรียนภาษาที่สาม (ภาษาเทคโนโลยี) ในวันที่ 20 มิถุนายน 2568 สำหรับแผนการดำเนินกิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีในโรงเรียนภาษาที่สาม โดยเน้นการอบรมและการพัฒนาทักษะของคุณครู รวมถึงการสร้างนวัตกรรมการเรียน การสอนที่จะช่วยเตรียมเด็กให้พร้อมสำหรับอนาคต นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมประกวดเพื่อกระตุ้นการพัฒนาและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนและโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ
ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีความยินดีที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ในการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0 (โรงเรียนภาษาที่สาม) Digital Innovation Maker Space ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผานมา สวทช. ได้รับการสนับสนุนจากกรุงเทพมหานครในการนำผลงานวิจัยมาพัฒนาทั้งเมืองและระบบการศึกษา เช่น Traffy Fondue: แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Thai School Lunch for BMA: แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครโครงการ KidBright: โครงการที่จัดอบรมให้ข้าราชการครูฯ ในสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอนและการพัฒนาทักษะด้าน STEM ให้กับเด็กๆ โดยการร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างพื้นฐานในการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเด็กไทยและสังคมโดยรวม ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืนสำหรับการพัฒนาการศึกษาในกรุงเทพมหานครและประเทศชาติในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. นำคณะผู้บริหารโครงการ TAIST-Science Tokyo ร่วมหารือกับ Tokyo University of Technology และ Tokyo Medical and Dental University (TMDU) ของ Institute of Science Tokyo เพื่อขยายเครือข่ายของโครงการและพัฒนาระบบนิเวศทางการศึกษา
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มอบหมายให้ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นำคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยในโครงการ TAIST-Science Tokyo (เดิม TAIST-Tokyo Tech) ประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ โอภาประกาสิต หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์บูรณาการและนวัตกรรม สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผู้อำนวยการหลักสูตร SERE รองศาสตราจารย์ ดร.ปวีนา ประไพนัยนา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ผู้อำนวยการร่วมหลักสูตร SERE รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบันฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร.ยุทธนา อิสสระชัยยศ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจรจาหารือความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในกรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ 12 – 15 ตุลาคม 2567 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนการขยายเครือข่ายของโครงการและพัฒนาระบบนิเวศทางการศึกษา และการพัฒนาหลักสูตรใหม่ของโครงการ TAIST-Science Tokyo ให้ครอบคลุมสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และแก้ไขปัญหาความท้าทายระดับโลกด้วยงานวิจัยและพัฒนาที่เป็นนวัตกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศ
รูปภาพ : คณะเข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ Bio-Nano Technology และ ห้องปฏิบัติการฺ Bio-sensor Technology
โดยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 ณ Tokyo University of Technology เขต Hachioji เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นำโดย Prof. Dr. Yasuyuki Egashira คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมด้วย Prof. Dr. Takahiro Arakawa อาจารย์คณะ Electric and Electronic Engineering, Tokyo University of Technology ให้การต้อนรับและเจรจาหารือร่วมกับคณะผู้บริหารโครงการ TAIST-Science Tokyo เพื่อขยายเครือข่ายและสร้างโอกาสให้นักศึกษาไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกปฏิบัติวิจัยระยะสั้น ภายใต้โปรแกรม “Cooperative Education” ในสาขาเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาไทย-ญี่ปุ่น ให้เข้าร่วมทำวิจัยระหว่าง คณาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย สวทช. กับ Tokyo University of Technology ด้วย
ทั้งนี้การหารือร่วมกันของฝ่ายไทยและญี่ปุ่นได้มีการแลกเปลี่ยนถึงบทบาทและรูปแบบของโครงการ TAIST-Science Tokyo ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ขับเคลื่อนและสนับสนุนนักวิจัย โดย สวทช. และการพัฒนาหลักสูตร ออกแบบการจัดการเรียนการสอนจากมหาวิทยาลัยเครือข่ายไทย 6 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยมหิดล และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ Tokyo University of Technology
จากนั้นในวันที่ 15 ตุลาคม 2567 ณ Tokyo Medical and Dental University (TMDU) ศูนย์ Ochanomizu ของ Institute of Science Tokyo เมืองโตเกียว Prof. Hiroshi Nishina ผู้อำนวยการสถาบัน Institute of Integrated Research Developmental and Regenerative Biology และ Prof. Hiroyuki Kagechika ผู้อำนวยการศูนย์ Biomaterials and Bioengineering organic and Medicinal Chemistry และคณะ ได้ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารโครงการ TAIST-Science Tokyo และได้แนะนำรูปแบบการดำเนินงานของ TMDU โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1) Institute of Integrated Research (IIR) เพื่อการสนับสนุน cutting-edge research ในด้านการแพทย์ 2) Institute of Future Science สำหรับการพัฒนางานวิจัยสหวิทยาการเพื่อการค้นพบใหม่ที่ตอบโจทย์ความท้าทายต่างๆ 3) Institute of New Industry Incubation เพื่อการพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายงานวิจัยและบุคคลากรกับพันธมิตร ซึ่ง TMDU ได้มุ่งเน้นทำงานวิจัยทั้งสิ้น 10 ด้าน คือ 1) Rare diseases 2) Generative medicines 3) Oral Science 4) Quantum Science and Technology 5) Next-generation element strategy 6) Sustainable Social Infrastructure 7) Cyber Physical and Social Systems (CPS2) 8) Holistic Life Science 9) Integrated Energy Science 10) Digital Society devices and systems และฝ่ายไทยได้นำเสนอภาพรวมการดำเนินงานของ สวทช. และ โครงการ TAIST-Science Tokyo โดยมีความมุ่งหวังในการขยายเครือข่ายและพัฒนาหลักสูตรใหม่ด้าน Biomedical Engineering Program ร่วมกับ Tokyo Medical and Dental เพื่อสร้างและพัฒนานักศึกษาและบุคคลากรด้านการวิศวกรรมชีวการแพทย์โดยเฉพาะ
รูปภาพ : คณะ TAIST-Science Tokyo เข้าหารือกับ Tokyo Medical and Dental University (TMDU)
จากนั้น คณะผู้บริหารโครงการ TAIST-Science Tokyo ได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการด้าน Precision Biomedical Engineering ห้องปฏิบัติการ Biomedical Informatics ห้องปฏิบัติการ Material-based Medical Engineering และห้องปฏิบัติการด้าน Diagnostic and Therapeutic Systems Engineering โดยจะนำสู่การพัฒนาหลักสูตรใหม่ด้าน Biomedical Engineering Program ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความท้าทายของสถานการณ์ปัจจุบัน
รูปภาพ : เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการต่างๆและหารือหัวข้องานวิจัยในการทำงานร่วมกัน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน

สวทช. ร่วม มธ.ศูนย์รังสิต ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
(วันที่ 21 ตุลาคม 2567) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นประธานเปิดกิจกรรม
และ ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำทีมพนักงาน สวทช. ร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่โถงชั้นล่างอาคารโดมบริหาร และพื้นที่หน้าอาคารบรรยายรวม 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์