หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
TAIST-Science Tokyo จัดกิจกรรมปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2568
(วันที่ 17 กรกฎาคม 2568) - โครงการ TAIST-Science Tokyo ได้จัดกิจกรรมปฐมนิเทศประจำปีการศึกษา 2568 สำหรับนักศึกษาใหม่ระดับปริญญาบัณฑิตศึกษา ด้านวิศวกรรมขั้นสูง หลักสูตรนานาชาติ ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ เสริมสร้างความเข้าใจในหลักสูตร และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักศึกษารุ่นพี่และรุ่นน้อง ในช่วงของกิจกรรม ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเปิดงานต้อนรับคณะผู้มีเกียรติและนักศึกษาที่เข้าร่วม ตามด้วยการกล่าวต้อนรับและแนะนำโครงการฯ โดย Prof. Dr. Jun-ichi Takada รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ Institute of Science Tokyo (Science Tokyo) นอกจากนี้โครงการฯ ยังได้รับเกียรติจาก ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวให้โอวาทแก่นักศึกษา ในปีการศึกษา 2568 มีนักศึกษาได้รับทุนรวมทั้งสิ้น 62 ทุน ประกอบด้วยผู้รับทุนจากประเทศไทย กัมพูชา บังกลาเทศ เบลเยียม พม่า เวียดนาม ศรีลังกา และอินเดีย ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นนานาชาติของโครงการอย่างแท้จริง กิจกรรมแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงเช้า มีการบรรยายแนะนำหลักสูตร Automotive and Advanced Transportation Engineering (A2TE Program) โดย รศ.ดร.ภัทรมน จงประดิษฐ์ Artificial Intelligence and Internet of Things (AIoT Program) โดย รศ.ดร.วารี กงประเวชนนท์ ผู้อำนวยการหลักสูตร AIoT Sustainable Energy and Resources Engineering (SERE Program) โดย รศ.ดร.ปกรณ์ โอภาประกาสิต ผู้อำนวยการหลักสูตร SERE และการแนะนำหลักสูตร Rail Transportation Certificate (RT) โดย ผศ.ดร.ศิรดล ศิริธร ต่อด้วยการบรรยายจากนักวิจัยของ สวทช. เพื่อให้นักศึกษาได้รู้จักหัวข้องานวิจัยและอาจารย์ที่ปรึกษา โดยมีผู้แทนจากศูนย์วิจัยแห่งชาติต่าง ๆ ได้แก่ ดร.เบญจพร สุรารักษ์ (BIOTEC) ดร.ชินะ เพ็ญชาติ (MTEC) ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล (NECTEC) ดร.ภัทร์ศยา อนุกูลวิทยา (NANOTEC) ดร.พีรวัฒน์ สายสิริรัตน์ (ENTEC) ช่วงบ่าย เป็นกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง นำเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการของศูนย์วิจัย MTEC, NECTEC และ ENTEC และกิจกรรมพูดคุยกับนักวิจัย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเลือกหัวข้อวิจัยและการทำงานร่วมกันในอนาคต บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความอบอุ่น เป็นกันเอง และเปี่ยมด้วยพลังแห่งการเรียนรู้ นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของนักศึกษาใหม่สู่เส้นทางวิจัยและวิศวกรรมระดับสากลในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กระทรวง อว. จัดพิธีเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2568
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ( โยธี ) กระทรวง อว. โดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงฯ ได้นำคณะผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมพิธีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 พิธีภายในงานประกอบด้วย การลงนามถวายพระพรชัยมงคล และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน โดยผู้เข้าร่วมพิธีได้ร่วมกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณ แสดงความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติ ตลอดจนร่วมขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีจอมราชา เพื่อแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ในโอกาสเดียวกันนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ประกอบด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช., ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช., ผศ. ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ, ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ และ ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ได้เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว เพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดี และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กรมกิจการผู้สูงอายุ-สวทช. สานพลังฝ่าวิกฤติสังคมผู้สูงอายุ พัฒนาระบบ ‘นิรันดร์’ นวัตกรรมเพื่อสังคม หนุน ‘ผู้บริบาล’ ติดตาม-ดูแล ผู้สูงอายุในชุมชน
 (วันที่ 23 กรกฎาคม 2568):  กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดกิจกรรม สานพลังความร่วมมือ ทางออกประเทศไทย กรณีความสำเร็จ: “โครงการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ แก้วิกฤติประชากร” โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดการขับเคลื่อนนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยนางพัชรมณฑ์ ปิติปัญญากุล ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสวัสดิการ และคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ กระทรวง พม. ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานระบบสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ และทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์(DHCB) สวทช. และนักพัฒนาสังคม กระทรวง พม. เข้าร่วมงาน ณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส) องค์การบริหารส่วนตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดการขับเคลื่อนนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรของประเทศ โดยข้อมูลในปี 2567 ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ คิดเป็นร้อยละ 20.94ของประชากรทั้งหมด ซึ่งสวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ของประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานที่มีจำนวนลดลง ส่งผลให้ประชากรวัยสูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว และในปี 2574 คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรครั้งสำคัญของประเทศ โดยจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการพัฒนาประเทศในหลายด้าน กระทรวง พม. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างพลังผู้สูงอายุ ผ่อนหนักให้เป็นเบา พลิกวิกฤตประชากรให้เป็นโอกาสโดยผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย 5X5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นพลังทางสังคม โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสร้างกลไกการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ผ่าน “โครงการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน” ด้วยการจัดระบบบริบาลและพัฒนาการคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ ทำหน้าที่ดุจลูกหลานของคนในชุมชน เพื่อปกป้อง คุ้มครองพิทักษ์สิทธิ ช่วยเหลือดูแล และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุครอบคลุม ทั้ง 5 มิติ ได้แก่ มิติสังคม สุขภาพ เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และเทคโนโลยี โดยการผนวกความร่วมมืองานทางด้านการ “พัฒนาสังคม” ของ กระทรวง พม. และ “นวัตกรรมเทคโนโลยี” ของ สวทช. เข้าด้วยกัน เป็นโมเดลการแก้ปัญหาสังคมแบบใหม่ ไม่ใช่การทำงานแบบแยกส่วน แต่เป็นการบูรณาการความร่วมมือและสานพลังของทุกภาคส่วนสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาประเทศไปด้วยกันอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในการขับเคลื่อนประเทศ โดยการใช้นวัตกรรมจากระบบนิรันดร์ ของ สวทช. เข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับโครงการบริบาลฯในการขับเคลื่อนดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งความสำเร็จนี้จะเป็นต้นแบบของการแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศได้ในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ ดร.กนก กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการบริบาลฯ กระทรวง พม. ได้เริ่มดำเนินการนำร่องโครงการ ตั้งแต่ปี 2567 โดยนำร่องใน 19 พื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก สกลนคร อุบลราชธานี สงขลา ปัตตานี มีผู้บริบาลฯ จำนวน 35 คน ซึ่งผลลัพธ์ในปีแรก พบว่า มีผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลคุ้มครองทางสังคม จำนวนมากกว่า 24,340 คน และต่อมาในปี 2568 จึงขยายผลการดำเนินงานโครงการให้ครอบคลุม 76 จังหวัดทั่วประเทศ 156 พื้นที่ผู้บริบาลฯ จำนวน 307 คน รวมทั้งสิ้น 342 คน (ปี 2567 - 2568) มีผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลคุ้มครองทางสังคม จำนวนมากกว่า 342,000 คน ซึ่งในอนาคต ปี 2569 กระทรวง พม. มีแผนขยายผลพื้นที่ดำเนินงานโครงการให้ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ 256 พื้นที่ 76 จังหวัด สร้างผู้บริบาลฯ เพิ่มขึ้น จำนวน 536 คน “เราจำเป็นต้องทำให้ผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นนั้น ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีหลักประกันความมั่นคงในช่วงปั้นปลายของชีวิต โดยส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันบนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบคลุมในทุกมิติ ซึ่งเป็นการจัดระบบสวัสดิการชุมชนอย่างยั่งยืน ดังนั้นเป้าหมายหลักของโครงการฯ คือ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และป้องกันการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงในผู้สูงอายุ ที่สำคัญ คือช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณของประเทศในการดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ เพื่อสร้างสังคมคุณภาพรองรับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุของประเทศ” ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานระบบสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ สวทช. กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาระบบการปฏิบัติงานสำหรับผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ “Nirun for community” หรือเรียกว่า ระบบ “นิรันดร์” ซึ่งเป็นระบบ ซอฟต์แวร์บริหารจัดการสถานดูแลผู้สูงอายุ ออกแบบมาเพื่อใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อสนับสนุนโครงการบริบาลสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน ที่จะช่วย ‘ผู้บริบาล’ ใช้เป็นเครื่องมือในการทำงาน เช่น ใช้ในการดูแลผู้สูงอายุในมิติต่าง ๆ แนะนำกิจกรรมที่ผู้บริการต้องทำ บันทึกการลงไปทำงาน นำไปสู่การสรุปผลการทำงานของผู้บริบาล และสรุปผลสุขภาพผู้สูงอายุในโครงการได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารของกระทรวง พม. สามารถนำไปใช้กำหนดยุทธศาสตร์การดูแลผู้สูงอายุในภาพรวมของประเทศได้ และยังตอบโจทย์ของ สวทช. ด้านมิติลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม จากการพัฒนาแพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (AI-C) ตามกลยุทธ์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ด้วย “การทำงานของระบบนิรันดร์ ข้อมูลที่ผู้บริบาลฯ บันทึกเข้ามาในระบบนิรันดร์ทุกวัน สามารถประมวลผลและแสดงออกมาให้ผู้บริบาลฯ นำไปใช้ดูแลผู้สูงอายุได้ อาทิ การประมวลผลข้อมูลตั้งต้นของผู้สูงอายุ (อายุ, โรค, ผลประเมิน ADL) ซึ่งแสดงผลเป็น "แผนการดูแลเบื้องต้น" (Recommended Care Plan) หรือข้อแนะนำในการดูแล เช่น ควรเน้นกิจกรรมกายภาพบำบัด, ควรเฝ้าระวังเรื่องอาหาร เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริบาลฯ สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละบุคคลได้” นายธาวินทร์ ลีลาคุณารักษ์ ผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ กล่าวว่า ระบบนิรันดร์ช่วยสนับสนุนการรายงานผลการปฏิบัติงานประจำวันของผู้บริบาลฯ ได้เป็นอย่างดี สะดวก รวดเร็วในการบันทึกข้อมูล และยังช่วยติดตามผลการดูแลผู้สูงอายุเฉพาะรายในพื้นที่อย่าง Real Time ช่วยบันทึกข้อมูลประวัติส่วนบุคคลเบื้องต้น สภาพปัญหาความต้องการของผู้สูงอายุในมิติต่าง ๆ การประเมินผลครอบคลุม ทั้ง 5 มิติ และวิเคราะห์กิจกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่เหมาะสมและสอดคล้องต่อสภาพปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุได้ ช่วยทำให้ผู้บริบาลฯ มีข้อมูล พิกัดของพื้นที่ของผู้สูงอายุที่ชัดเจนเพื่อความสะดวกในการค้นหาและการเดินทางเพื่อไปดูแลผู้สูงอายุได้อย่างทันท่วงที สามารถนำข้อมูลภาพรวมของสภาพปัญหาและการดูแลผู้สูงอายุมาวิเคราะห์วางแผนการดูแลผู้สูงอายุในมิติต่าง ๆ ให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ “สิ่งที่ได้ประโยชน์จากระบบนิรันดร์ คือ การค้นหาข้อมูลผู้สูงอายุ จากเดิมจะบันทึกทำลงกระดาษ กว่าที่เราจะค้นหาเอกสารชื่อผู้สูงอายุต้องใช้เวลานาน แต่เมื่อมีระบบนิรันดร์ แค่พิมพ์ชื่อย่อผ่านระบบฯ บนโทรศัพท์มือถือก็สามารถเลือกหาผู้สูงอายุที่เราต้องการได้ในเสี้ยววินาที นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์เรื่องของพิกัดที่อยู่ของผู้สูงอายุ เมื่อเรารู้ชื่อ รู้ตำแหน่งบ้านผู้สูงอายุ ก็สามารถลงพื้นที่บ้านผู้สูงอายุได้อย่างแม่นยำ ไม่ต้องเสียเวลาตระเวนหา ที่สำคัญข้อมูลการดูแลในมิติต่าง ๆ ที่เราดูแลผู้สูงอายุทุกเดือน สามารถนำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างแม่นยำ เช่น ข้อมูลการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ ทำให้เราสามารถประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ให้ผู้สูงอายุเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว” ผู้บริบาลฯ กล่าวย้ำ ด้านนายหลงมา ทีปะลา ผู้สูงอายุวัย 85 ปี ในตำบลนิคมกระเสียว อ.ด้านช้าง จ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันอาศัยอยู่คนเดียว ลูกหลานไปทำงานกลับมาหาบ้าง แต่ก็รู้สึกดีใจ อุ่นใจจากการที่มีผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ (คุณบุ๊น-ธาวินทร์ ลีลาคุณารักษ์) เข้ามาดูแลเหมือนเราเป็นญาติคนหนึ่ง ชื่นชมที่ภาครัฐมีโครงการฯ ดีๆ แบบนี้ โดยส่งคนเข้ามาคอยช่วยเหลือ ดูแลผู้สูงอายุ ในวันที่สภาพร่างกายผู้สูงอายุไม่เอื้ออำนวย และยังช่วยเหลือดูแลเป็นธุระเรื่องอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี “ตาก็เคยบอกเขานะว่า บุ๊น เอ้ย เอ็งก็รักดูแลคนเฒ่าคนแก่เหมือนญาติดีนะ เวลาเขาเข้ามาเยี่ยมบ้านแต่ละทีเขาก็จะเอาของมาฝากตลอด เข้ามากวาดบ้าน ถูบ้าน รองน้ำให้ที่บ้าน ช่วยตรวจวัดความดันให้ทุกครั้ง เวลาเราไม่สบายก็ถามว่าตาเป็นอะไร ไปโรงพยาบาลไหม คือมีแต่สิ่งดี ๆ ที่เขาเข้ามาดูแลผู้สูงอายุในชุมชนเรา” นอกจากนี้โครงการดังกล่าว ยังเชื่อมกับภาคเอกชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการใช้เกมที่พัฒนาระบบสมอง ทางด้านความคิด ความจำ ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมและสวัสดิภาพของผู้สูงอายุ นางสาวณัชชา โรจน์วิโรจน์ Founder & Industrial Designer บริษัท BLIX POP ในฐานะผู้พัฒนาเกมขนมมงคลให้ สวทช. รวมถึงรับสิทธิผลิตและจัดจำหน่ายจาก สวทช. กล่าวว่า นวัตกรรมเกมขนมมงคลเข้ามาเป็นส่วน “เติมเต็ม” ให้การดูแลผู้สูงอายุในมิติของสุขภาพ ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมที่เป็นปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุในปัจจุบันที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และช่วยฝึกความทรงจำ เสริมพัฒนาการทางด้านสมองและกล้ามเนื้อมือ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำเกมขนมมงคล สนับสนุนให้ผู้บริบาลฯ นำไปใช้ในการจัดกิจกรรมให้กับผู้สูงอายุในพื้นที่และชมรมผู้สูงอายุ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดี และยังเป็นความร่วมมือที่ทำให้เกิดระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ช่วยกันแก้ปัญหาสังคมได้เป็นอย่างดี          “เป็นเรื่องที่ดีมาก ถ้าทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลผู้สูงอายุในสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น”
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ENTEC สวทช. ลงพื้นที่เยี่ยมชมพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง ขับเคลื่อนความร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและวัสดุขั้นสูง
วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ณ จังหวัดระยอง: ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงพื้นที่เยี่ยมชมหน่วยงานพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนความร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและวัสดุขั้นสูง พร้อมทั้งจัดประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์ ENTEC ครั้งที่ 3/2568 เพื่อติดตามความก้าวหน้าและหารือแนวนโยบายทิศทางการดำเนินงานของศูนย์ฯ สู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีพลังงานของไทย (ช่วงเช้า) ENTEC สวทช. นำโดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานคณะกรรมการบริหาร ดร.ธันยวัต สมใจทวีพร กรรมการบริหาร ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการฯ ดร.ลิลี่ เอื้อวิไลจิตร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฯ พร้อมด้วย ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล หัวหน้ากลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง ดร.พีรวัฒน์ สายสิริรัตน์ หัวหน้าทีมวิจัยพลังงานทดแทนและประสิทธิภาพพลังงาน คณะนักวิจัยและบุคลากร เดินทางเยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมไออาร์พีซี บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เพื่อรับฟังการนำเสนอกระบวนการผลิต Pim-L และ Pim-AL ผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็ค (Acetylene Black) เกรดพิเศษ ซึ่งพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทไออาร์พีซีกับ ENTEC สวทช. สำหรับใช้เป็น Carbon Conductive Additive ในงานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน สะท้อนศักยภาพของการวิจัยร่วมภาครัฐเอกชนในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีพลังงานอนาคต “Acetylene Black” วัสดุที่เกิดจากการแตกตัวทางความร้อนของก๊าซอะเซทิลีน ที่มีความบริสุทธิ์และสามารถนำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม จึงนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการคุณสมบัติการนำไฟฟ้า เช่น ขั้วไฟฟ้าของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน โดย Acetylene Black ช่วยให้กระแสไฟฟ้าไหลเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กระบวนการทำงานของแบตเตอรี่ดีขึ้น วัสดุนี้เหมาะอย่างยิ่งกับแบตเตอรี่ลิเทียมคุณภาพสูงที่ต้องการความเสถียรของกระแสไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ของเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งแบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ในโครงสร้างของแบตเตอรี่ Acetylene Black เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้าร่วมกับ Active Material หากขาด Acetylene Black แบตเตอรี่จะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าจากการนำอิเล็กตรอนผ่านขั้วไฟฟ้าได้ ก็จะไม่มีแบตเตอรี่สำหรับใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าในปัจจุบัน (ช่วงบ่าย) คณะกรรมการ ผู้บริหาร ทีมวิจัยและบุคลากร ได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เพื่อรับฟังการนำเสนอเทคโนโลยีการรื้อถอนท่อส่งปิโตรเลียมนอกชายฝั่ง และการพัฒนา MERClean นวัตกรรมสารเคมีสำหรับการล้างสารปนเปื้อนในระบบท่อผลิตปิโตรเลียม ซึ่งเป็นผลงานความร่วมมือกับ ENTEC และ MTEC สวทช. เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ความสำเร็จของการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการปฏิบัติการจริงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ช่วยยกระดับการจัดการปลายทางของท่อส่งปิโตรเลียม เสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ . หลังจากการเยี่ยมชม คณะกรรมการบริหารศูนย์ ENTEC ได้ร่วมประชุมหารือแนวนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของ ENTEC ณ ห้องประชุมเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) โดยมีการสรุปผลความก้าวหน้าโครงการวิจัยสำคัญ และการดำเนินงานตามแผนที่มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ด้วย 5 ด้านยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงาน แบตเตอรี่แพ็กแบบสับเปลี่ยน พลังงานแสงอาทิตย์รุ่นใหม่ น้ำมันหม้อแปลงชีวภาพจากปาล์ม เชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) และระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ ซึ่งมีผลงานเด่น อาทิ การพัฒนา Agri-PV ที่เพิ่มประสิทธิภาพการปลูกฟ้าทะลายโจรได้ 11% การร่วมผลักดันมาตรฐานแบตเตอรี่ EV สับเปลี่ยน และการทดสอบระบบซื้อขายไฟฟ้า Peer-to-Peer ภายในอาคารสำนักงาน รวมถึงการผลักดัน SAF ร่วมกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ โดย ENTEC ตั้งเป้าใช้เทคโนโลยีเหล่านี้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ พร้อมพัฒนาบุคลากรและเครือข่ายพันธมิตรทั่วประเทศ สู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีพลังงานของไทยในอนาคต รวมถึงแผนขยายความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศด้านพลังงานสะอาดและความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) สะท้อนบทบาทสำคัญของ ENTEC ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอ็มเทค สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “POPs Campaigning Workshop” เสริมทักษะเล่าเรื่องเพื่อสื่อสารสังคมปลอดภัยจากสาร POPs
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “POPs Campaigning Workshop” สำหรับนักเรียนมัธยมปลายและนิสิตนักศึกษากว่า 140 คน จาก 35 สถาบันจากทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 19–20 กรกฎาคม 2568 ณ อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้โครงการที่เอ็มเทคได้รับมอบหมายจาก องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เวิร์กชอป 2 วัน เน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ สารมลพิษตกค้างยาวนาน (POPs) ความเสี่ยงจากสาร POPs ในชีวิตประจำวัน วิธีสังเกตลักษณะผลิตภัณฑ์ที่อาจมีสารอันตราย รวมถึงแนวทางลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ผู้เข้าร่วมยังได้เรียนรู้การพัฒนาแนวคิดเรื่องเล่าและเทคนิคการเล่าเรื่อง (Narrative & Storytelling) วิธีการเล่าเรื่องที่มีพลัง พร้อมการลงมือสร้างสื่อจริงทั้งเว็บตูนและวิดีโอหนังสั้น ถ่ายทอดสาระอย่างเข้าใจง่ายและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง กิจกรรมได้รับเกียรติจาก อาจารย์สันติ จิตระจินดา ผู้อำนวยการทางศิลปะ สถาบันศิลปวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา (มายา) พร้อมทีมวิทยากรจากเอ็มเทค สวทช. ถ่ายทอดความรู้และให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ผู้เข้าร่วมที่ผ่านการอบรมครบทั้ง 2 วัน ได้รับประกาศนียบัตร และสิทธิ์ส่งผลงานหนังสั้นความยาว 2 นาที เข้าประกวดในหัวข้อ “พ็อปจ๋า ลาก่อน ขอให้ชีวิตนี้ไม่มีเธอ – POPs-Free Living Short Film Contest” ชิงเงินรางวัลและเกียรติบัตร รวมมูลค่ากว่า 150,000 บาท ผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจะจัดแสดงในงานนิทรรศการช่วงเดือนกันยายน 2568 โดยภายในงานจะมีการนำเสนอผลงานของเยาวชน รวมถึงประกาศผลและมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้าร่วมรับชม ส่งแรงเชียร์ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการสื่อสารเพื่อสังคมร่วมกัน เอ็มเทค สวทช. มั่นใจว่า การผสานความรู้เรื่องสาร POPs เข้ากับทักษะสื่อสร้างสรรค์ จะปลุกพลังเยาวชนให้ใช้สื่อเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนสังคมไทย ให้ตื่นรู้และหลีกเลี่ยงสาร POPs อย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. และ NAFRI ลงนาม MOU ร่วมมือด้านวิชาการและวิจัย เพื่อความยั่งยืนด้านเกษตรในภูมิภาค
23 กรกฎาคม 2568: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ National Agriculture and Forestry Research Institute (NAFRI) จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ณ อาคารไบโอเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี นับเป็นหมุดหมายสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิชาการและวิจัยสาขาการเกษตรและการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในระดับภูมิภาค ภายในพิธีลงนาม ได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวต้อนรับ และ Dr. Phetmanyseng Xangsayasane, Director General of NAFRI กล่าวเปิดงาน นอกจากนี้ Mr. Toulakham Phomsengsavanh, Counsellor (Economic and Commercial) ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีในความร่วมมือครั้งนี้ด้วย   ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง กล่าวว่า NAFRI ถือเป็นหนึ่งในพันธมิตรหลักที่สำคัญของไบโอเทค สวทช. ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งในระดับการแลกเปลี่ยนบุคลากรวิจัย และโครงการความร่วมมือระดับนานาชาติ นำไปสู่การขยายผลประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาค เช่น โครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลสำหรับประเทศลุ่มน้ำโขง ที่ สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ NAFRI ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุล (Marker Assisted Selection) มาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวในปัจจุบันของประเทศในเขตลุ่มน้ำโขง โครงการประสบผลสำเร็จทั้งเรื่องการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์จาก NAFRI รวมถึงสามารถพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะตรงตามความต้องการของ สปป.ลาว เช่น ข้าวเหนียวหอมท่าดอกคำ 1 ข้าวเจ้าเซบั้งไฟ 2 และเซบั้งไฟ 3 และหอมเซบั้งไฟ 4 เป็นต้น นอกจากนี้ ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาความร่วมมือระหว่าง 2 สถาบันยังได้ขยายจากงานวิจัยด้านข้าวไปสู่งานวิจัยด้านมันสำปะหลัง และความหลากหลายทางชีวภาพ โดย MOU ฉบับใหม่นี้จะครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี เพื่อสานต่อความร่วมมือเดิมและขยายผลไปสู่สาขาอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และสุขภาพสัตว์ Dr. Phetmanyseng Xangsayasane ผู้อำนวยการ NAFRI กล่าวว่า จากความร่วมมือระหว่าง NAFRI และไบโอเทค สวทช. ที่ผ่านมา นำมาสู่ความสำเร็จในการพัฒนาข้าวเหนียว 10 สายพันธุ์ และข้าวเจ้า 4 สายพันธุ์ ที่ทนทานต่อน้ำท่วมและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยนอกเหนือจากข้าวแล้ว การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ยังจะขยายไปยังความร่วมมืออื่น ๆ ที่กว้างขวางมากขึ้น ทั้งเรื่องการวิจัยเห็ด ความหลากหลายทางชีวภาพ และวัคซีนสัตว์ ด้าน Mr. Toulakham Phomsengsavanh, Counsellor (Economic and Commercial) ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย กล่าวเสริมว่า การลงนามความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายในการพัฒนาวิทยาศาสตร์การเกษตรร่วมกันอย่างยั่งยืน และจะช่วยส่งเสริมขยายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การลงนาม MOU ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการผนึกกำลังทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเกษตรของภูมิภาค ซึ่งจะนำมาซึ่งความมั่นคงในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อไป          
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อว. สวทช. ร่วมนำเสนอมุมมองในการประชุม Joint Conference in Medical Sciences 2025 (JCMS 2025)
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษหัวข้อ "Harmony in Health: Innovating for Sustainable Medicine: MHESI Perspective" ร่วมนำเสนอและแลกเปลี่ยนมุมมองของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ที่ยั่งยืน ในการประชุมวิชาการร่วมคณะแพทยศาสตร์ 4 สถาบัน (จุฬาฯ–รามาฯ–ศิริราช–ธรรมศาสตร์) ในวาระพิเศษ ครบรอบ 125 ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ภายใต้หัวข้อ “Harmony in Health: Innovating for Sustainable Medicine” ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้กล่าวถึงบทบาทของ อว. ในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อยกระดับผลงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนทั้งในระดับประเทศภูมิภาคและระดับโลก สร้างเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ รวมถึงการแก้ไขปัญหาความท้าทายด้านสุขภาพในระยะยาว เช่น การพัฒนาการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) และการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อผลักดันประเทศไทยให้ก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง (Middle-Income Trap) ด้วยระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ โดย อว. พร้อมเป็น "กลไกกลาง" เชื่อมโยง “ปัญญา – วิชา – นวัตกรรม” เพื่อยกระดับสุขภาพของประชาชนอย่างยั่งยืน การประชุม JCMS 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 กรกฎาคม 2568 มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเวทีในการแบ่งปันวิสัยทัศน์จากวิทยากรระดับชาติและนานาชาติ และร่วมกันสะท้อนแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน ผ่านพลังของวิชาการจากทั้ง 4 สถาบันแพทยศาสตร์ และร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 125 ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี รวมถึงเป็นเวทีนำเสนอผลงานวิจัยด้านการแพทย์และสาธารณสุข การแข่งขัน Medical Tournament ของนักศึกษาแพทย์ 4 สถาบัน นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ และเวทีเสวนาภาคประชาชน “สุขภาพดี ย่านนวัตกรรมสุขภาพ 4 สถาบัน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การสร้างสื่ออ่านง่าย (Easy Read) บนแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่ออ่านง่าย”
สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การสร้างสื่ออ่านง่าย (Easy Read) บนแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่ออ่านง่าย” ให้กับคุณครูโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนออทิสติก นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ระหว่างวันที่ 21 - 24 กรกฎาคม 2568 โดยนางสาววันทนีย์ พันธชาติ ผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวเปิดการอบรม และนางวรางคณา ไชยเรือน ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวสนับสนุนการจัดกิจกรรม โดยการอบรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์ ดร.ดารณี ศักดิ์ศิริผล หัวหน้าศูนย์พัฒนาศักยภาพมนุษย์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นวิทยากรแนะนำแนวทางการสร้างสื่ออ่านง่าย (Easy Read Guideline) และ ดร.อรอินทรา ภู่ประเสริฐ นักวิจัย และคณะทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นวิทยากรแนะนำการใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่อดิจิทัลอ่านง่าย โดยมีคุณครูจากโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนออทิสติก นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เข้าร่วมการอบรมจำนวน 126 คน ซึ่งคุณครูที่เข้ารับการอบรมจะได้รับสิทธิในการใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่อดิจิทัลอ่านง่ายเพื่อช่วยสนับสนุนให้การสร้างสื่ออ่านง่ายทำได้อย่างง่าย และทำให้นักเรียนออทิสติก นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้สามารถเข้าถึงสื่อดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สุดาวรรณ ประชุมบอร์ด กวทช. นัดแรก มอบนโยบาย “การพัฒนากำลังคน และ การพัฒนา ววน.”
วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 – นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  ประชุมคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) NSTDA Governing Board ในฐานะประธานคณะกรรมการ เป็นครั้งแรก ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง โดยได้มอบนโยบายสำคัญต่อคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของ สวทช. ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  ถนนโยธี กรุงเทพฯ ในการนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากศูนย์แห่งชาติภายใต้สังกัด สวทช. ได้ให้การต้อนรับและเข้าร่วมรับฟังนโยบายอย่างพร้อมเพรียง นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล  รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้กล่าวว่า กระทรวง อว. มีการทำงานทุกมิติครบถ้วนอยู่แล้วในการขับเคลื่อนประเทศ และการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ และได้มอบนโยบายสำคัญของ 2 ส่วนหลักให้กับ สวทช. คือ 1. การพัฒนากำลังคน และ 2. การพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ด้านการพัฒนากำลังคน ขอให้มุ่งเน้น เรื่อง สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับทั้งประเทศได้มีโอกาสทั้งในส่วนการเรียน และส่วนที่กระทรวง อว. ได้ให้การสนับสนุน ส่วนที่ทำดีอยู่แล้วขอให้ทำต่อไป เช่น เรื่องให้การสนับสนุนค่าสมัครสอบ TCAS และอีกส่วนคือ สร้างความเท่าเทียมเรื่องทุนการศึกษาที่หลากหลายเพื่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นความต้องการจากนักวิจัย จากมหาวิทยาลัย รวมถึงการมอบทุนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่รัฐบาลต้องการนำพาประเทศให้พัฒนาไปในทิศทางใด ซึ่ง กระทรวง อว. ทำอยู่แล้ว และขอให้โฟกัสมากยิ่งขึ้นว่า จะเจาะไปตรงส่วนใดเป็นพิเศษ ด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ปัจจุบันทำงานได้ครอบคลุมแล้ว ส่วนที่ต้องการมุ่งเน้นคือ การสนับสนุนภาคการเกษตรเพราะประชากรไทยทำอาชีพเกษตรเป็นหลัก และพบปัญหาหลายด้าน ตั้งแต่เริ่มในเรื่องการเพาะปลูก เรื่องเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ และการวิจัยเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ดำเนินการอยู่แล้วมีจำนวนเท่าไร ขอให้เพิ่มความเข้มข้น เช่น ดูว่าพืชผลการเกษตร พืชไร่ หรือ รายการส่งออกที่ทำรายได้ของประเทศระดับ Top 5 ยังขาดอะไรบ้าง อะไรที่ยังเป็นปัญหาและงานวิจัยที่ทำไปแล้วช่วยตอบโจทย์อะไรบ้าง รวมถึงภาพใหญ่ที่เป็นปัญหาระดับประเทศ เช่น เรื่อง PM2.5 เรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง ที่กระทรวง อว. ทำงานบูรณาการหลายภาคส่วน ขอให้ดูว่าสิ่งที่ทำไปแล้วนั้นปฏิบัติจริงเป็นประโยชน์กับประเทศอย่างไร นอกจากนั้น ให้โฟกัสเรื่องส่งเสริมการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้และอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ขอให้ผลักดันให้เห็นผลรวดเร็วและตอบโจทย์ “ ทั้ง 2 ด้าน ขอให้เน้นการกระจายไปยังทุกภาคส่วนของประเทศ โดยได้หารือให้หน่วยงานร่วมกันสร้าง 1 มหาวิทยาลัย 1 ภารกิจ เพื่อท้องถิ่น เพราะพื้นที่ต่างจังหวัดอาจมีโจทย์ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ทั้งนี้ กระทรวง อว. มีส่วนหน้าประจำจังหวัดต่าง ๆ อยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ร่วมนำสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่น ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคราชการ หรือหน่วยงานในชุมชนต่าง ๆ มาพัฒนาร่วมกันให้เกิดความยั่งยืน” ภายหลังการรับมอบนโยบาย คณะผู้บริหาร สวทช. มีความพร้อมดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์การดำเนินงานของ สวทช. ที่เน้นด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ในตอนท้ายการประชุม คณะกรรมการฯ ได้รับทราบความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานโครงการสำคัญต่าง ๆ พร้อมให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ กพร. พลิกโฉมวงการเหมืองแร่ไทยก้าวสู่ยุค Industry 4.0
วันที่ 21 กรกฎาคม 2568: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จัดสัมมนา “From ROCK to RICHES: เปลี่ยนเหมืองแร่ด้วย Industry 4.0” เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของไทยสู่ยุคดิจิทัล โดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมตามแนวทาง Industry 4.0  โดยมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยผู้ประกอบการ นักวิจัย นักลงทุน และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกว่า 100 คน ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. กล่าวต้อนรับและวัตถุประสงค์การจัดงานว่า สวทช. และ กพร. ได้ร่วมกันพัฒนาโครงการสนับสนุนสถานประกอบการเหมืองแร่ให้เข้าสู่ยุค 4.0 ด้วยเครื่องมือ Thailand i4.0 Index และการพัฒนา Mining 4.0 Index ซึ่งสอดคล้องกับบริบทของภาคเหมืองแร่ไทย พร้อมทั้งให้คำปรึกษาเชิงลึก และพัฒนาทักษะบุคลากร เพื่อวางรากฐานของระบบนิเวศเหมืองแร่อัจฉริยะ (Smart Mining) อย่างยั่งยืน การจัดสัมมนาในวันนี้จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการวางรากฐานของระบบนิเวศ “เหมืองแร่อัจฉริยะ” (Smart Mining) ที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานและชุมชนโดยรอบได้อย่างยั่งยืน คุณอานันท์ ฟักสังข์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวเปิดงานว่า อุตสาหกรรม 4.0 มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ อุตสาหกรรมเหมืองแร่จำเป็นต้องเร่งปรับตัว โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ และการบริหารจัดการข้อมูล เพื่อขับเคลื่อนสู่เหมืองแร่อัจฉริยะ โดยการตรวจประเมินความพร้อมเข้าสู่เหมืองแร่ 4.0 ซึ่งในโครงการนี้จะทำการพัฒนาดัชนีเหมืองแร่ 4.0 (Mining 4.0 index) โดยใช้เกณฑ์การประเมิน Thailand i4.0 Index ของ สวทช. ที่ปรับบริบทของมิติ เกณฑ์การประเมินและตัวชี้วัดให้เข้ากับสถานประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ผ่านการรับข้อมูลจากสถานประกอบเหมืองแร่อย่างน้อยจำนวน 50 บริษัท ซึ่งเข้ารับการประเมินระดับความพร้อมของสถานประกอบการด้วยตนเอง ผ่านเครื่องมือ Thailand i4.0 Check Up เพื่อทราบถึงจุดเด่นและจุดด้อยที่ควรพัฒนาปรับปรุง และสามารถใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนยกระดับสถานประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ 4.0 (Mining 4.0) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย: การแนะนำโครงการส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับสถานประกอบการเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ 4.0 โดย ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ของไทย สวทช. การบรรยายหัวข้อ “Mega Trends & Technology สู่ Mining 0” ที่ชี้ให้เห็นแนวโน้มเทคโนโลยีระดับโลกและโอกาสในการปรับใช้ในภาคเหมือง โดย รศ.ดร.พันธุ์ลพ หัตถโกศล ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมแร่ และ ดร.กฤตยา ศักดิ์อมรสงวน ผู้เชี่ยวชาญด้านเหมืองแร่ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ การเสวนาหัวข้อ “Mining Tech & Investment 0: โอกาสทองในอุตสาหกรรมเหมืองยุคใหม่” ที่เปิดพื้นที่ให้แลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญและภาคธุรกิจโดยตรง ได้แก่ คุณสิทธิพงศ์ ขุนภิรมย์ Mineral Sourcing Business บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด คุณนวชัย เกียรติก่อเกื้อ, หัวหน้าส่วนงานการตลาดลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) คุณอธิการ บุญสม, Key Account Manager บริษัท Flender PTE LTD. ดร.กฤษฎา ท่าพระเจริญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ MTEC, สวทช. คุณณัฐ กุลวงศ์วิทย์นักวิชาการส่งเสริมการลงทุนปฎิบัติการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และดำเนินรายการโดย อาจารย์ศุภมาศ ชัยชนะ อาจารย์ประจำหลักสูตรวิศวกรรมเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ช่วงท้ายผู้เข้าร่วมได้ร่วมซักถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเยี่ยมชมนิทรรศการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ภายในงานยังเปิดรับสมัครสถานประกอบการเหมืองแร่ในกลุ่มกิจการเหมือง โรงแต่งแร่ และโรงโม่หิน เข้าร่วมโครงการสนับสนุนการเข้าสู่เหมืองแร่ 4.0 การสัมมนาครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงภาคธุรกิจกับโอกาสทางเทคโนโลยีและการลงทุน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ขยายผลขับเคลื่อนงานวิจัย “ระบบแนะนำเมนูอาหารกลางวันแบบอัตโนมัติ-คัดกรองการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก” ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับมอบหมายเป็นวิทยากรร่วมกับ ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค - สวทช.) เพื่อบรรยายในหัวข้อ "การขับเคลื่อนนโยบาย สวทช. สู่การปฏิบัติผ่านการใช้โปรแกรมบันทึกและคัดกรองการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็กสำหรับโรงเรียน (KidDiary School) และโปรแกรมระบบแนะนำสำหรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติ (Thai School Lunch) ของสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" ภายใต้โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาทักษะผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการอาหารกลางวันในสถานศึกษาสังกัดองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ระหว่างเดือนเมษายน - เดือนสิงหาคม 2568 ณ โรงแรมอเล็กซานเดอร์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนา “กฎหมายเครื่องมือแพทย์ และแนวทางการปฏิบัติในแล็บทันตกรรม เพื่อยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัยในการผลิตงานทันตกรรม”
❌สัมมนา Onsite ผู้สมัครเต็มจำนวนแล้ว❌ ------------------- ตอนนี้เราจึงเปิดถ่ายทอดสดเป็นรูปแบบสัมมนา Online ช่วงเช้า สามารถสมัครได้ที่ https://docs.google.com/.../1jNEkm4hxY9Xa.../edit... “กฎหมายเครื่องมือแพทย์ และแนวทางการปฏิบัติในแล็บทันตกรรม” อัปเดตมาตรฐาน และความปลอดภัยในการผลิตงานทันตกรรม 💉🦷 ------------------- 📅 วันที่ 7 สิงหาคม 2568 🕗 เวลา 08.30 – 15.30 น. 📍 📢รูปแบบสัมมนา Online ช่วงเช้า ------------------- 👨‍⚕️ เหมาะสำหรับ: ผู้ประกอบการแล็บทันตกรรม ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ ผู้สนใจทั่วไปในอุตสาหกรรมทันตกรรม ------------------- 📌 หัวข้อเข้มข้น อาทิ: ✅ การขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ ✅ แนวทางตรวจสอบสารเคมี ✅ มาตรฐาน ISO13485 ✅ กฎหมายเกี่ยวข้องจาก อย. และ สวทช. ✅ พร้อมช่วงถาม-ตอบแบบจัดเต็ม ------------------- 📍ลงทะเบียนภายใน 3 สิงหาคม 2568 📞 สอบถามเพิ่มเติม: piyawas@mtec.or.th | 02-564-6500 ต่อ 4782 #ฟรีสัมมนา #เครื่องมือแพทย์ #ทันตกรรม #MTEC #สวทช #มาตรฐานผลิตภัณฑ์
ปฏิทินกิจกรรม