ผลการค้นหา :

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – ก.วิทย์ สวทช. และออโต้เดสก์ ร่วมกันขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการผลิตดิจิทัลในประเทศไทย
ก.วิทย์ สวทช. และออโต้เดสก์ ร่วมกันขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการผลิตดิจิทัลในประเทศไทย เน้นการนำระบบการออกแบบและซอฟต์แวร์ไปใช้ในวงกว้าง กรุงเทพฯ, 25 พฤษภาคม 2559 - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และออโต้เดสก์ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการขยายศักยภาพการแข่งขันด้านการผลิตของประเทศไทย โดยเน้นการนำเทคโนโลยี 3 มิติ และระบบการผลิตแบบดิจิทัลที่ล้ำสมัยไปใช้ในวงกว้างให้ครอบคลุมทั้งวงการอุตสาหกรรม ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 จะต้องเปลี่ยนผ่านจากโมเดลประเทศไทย 3.0 เป็น “โมเดลประเทศไทย 4.0” เพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวสู่การเป็นประเทศในโลกที่หนึ่ง ปรับเปลี่ยนจากประเทศ “รายได้ปานกลาง” เป็นประเทศ “รายได้สูง” โดยปรับเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “ประสิทธิภาพ” เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “นวัตกรรม” กลไกหนึ่งที่จะขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจยุคประเทศไทย 4.0 นั้น คือ เทคโนโลยีอุตสาหกรรมยุค 4.0 ซึ่งจะมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาในการผลิตสินค้าต่างๆ มากยิ่งขึ้น จุดเด่นที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ สามารถเชื่อมความต้องการของผู้บริโภคแต่ละรายเข้ากับกระบวนการผลิตสินค้าได้โดยตรง ทำให้โรงงานขนาดใหญ่ไม่ใช่จะได้เปรียบหรือมีข้อจำกัดสำหรับผู้ประกอบการเสมอไป ปรากฏการณ์นี้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งยิ่งใหญ่ "จากความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Autodesk กับ สวทช. ในครั้งนี้จะช่วยยกระดับ SME ไทยในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการออกแบบและผลิต รวมทั้งยกระดับความสามารถของบุคลากรไทยให้รองรับอุตสาหกรรมการผลิตในอนาคต นำไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายที่สร้างมูลค่าตามแนวทางของรัฐบาล อาทิ อุตสาหกรรมทางชีวภาพ อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน อุตสาหกรรมด้านวิศวกรรมและการออกแบบ อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับคุณภาพชีวิต และอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อความเข้มแข็งของประเทศต่อไป" ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ กล่าว อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22012-nstda
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – สวทช. ร่วมกับ สภาหอการค้าฯ เปิดตัวผลสำเร็จ 17 เอสเอ็มอีผักและผลไม้ไทย
สวทช. ร่วมกับ สภาหอการค้าฯ เปิดตัวผลสำเร็จ 17 เอสเอ็มอีผักและผลไม้ไทย พร้อมแข่งขันในตลาดเออีซีด้วย ThaiGAP ในงาน THAIFEX2016 งาน THAIFEX 2016 อิมแพ็ค เมืองทองธานี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดตัวผลสำเร็จการดำเนินโครงการความร่วมมือ “การยกระดับและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการด้านสินค้าผักและผลไม้ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ AEC ด้วย ThaiGAP” นำเสนอผลงานของผู้ประกอบการจำนวน 17 รายที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อพัฒนาศักยภาพ ส่งเสริม และรับการผลักดันให้ได้รับมาตรฐาน ThaiGAP เพื่อเตรียมความพร้อมสู่มาตรฐาน GlobalGAP และช่วยลดต้นทุน เนื่องจากมาตรฐาน ThaiGAP มีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติและการตรวจรับรองที่ถูกกว่า โดยโครงการเริ่มตั้งแต่ให้ความรู้เรื่องการปลูก การบรรจุ และการขนส่ง สำหรับสินค้าผักและผลไม้ที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดอาเซียนและในตลาดสากล อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22011-thaigap
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – ไบโอเทค สวทช. เปิดตัวผู้อำนวยการคนใหม่
ไบโอเทค สวทช. เปิดตัวผู้อำนวยการคนใหม่ หวังผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตรวิจัย ต่อยอดงานวิจัย ก้าวต่อไปอย่างบูรณาการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดงานแถลงข่าวแนะนำ ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ผู้อำนวยการไบโอเทคคนใหม่ ชูนโยบาย “ผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตรวิจัย ต่อยอดงานวิจัย ก้าวต่อไปอย่างบูรณาการ” ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง เข้าทำงานที่ไบโอเทค ในปี 2535 หลังจากจบปริญญาเอกด้าน Plant and Soil Science ที่ Montana State University ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มงานวิจัยแรกเกี่ยวกับการศึกษายีนความหอมระดับโมเลกุลของข้าวหอมมะลิ ซึ่งต่อมาในปี 2543 ไบโอเทคได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี ขึ้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ดร.สมวงษ์ ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการฯ ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่จะนำเทคโนโลยีดีเอ็นเอไปช่วยเหลือภาคการเกษตรในการให้บริการการตรวจสอบความถูกต้องทางพันธุกรรมของเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตขึ้น รวมทั้งความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์ เพื่อเปิดบริการให้ภาครัฐและเอกชน ก่อนที่จะมีการโอนย้ายห้องปฏิบัติการฯ ไปเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปี 2552 ซึ่งระหว่างนั้นในปี 2551 ไบโอเทค ได้จัดตั้งหน่วยวิจัยเทคโนโลยีจีโนม (ชื่อเดิม สถาบันจีโนม) ขึ้น ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และ ดร.สมวงษ์ เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการหน่วยวิจัยเทคโนโลยีจีโนม โดยเป็นผู้ริเริ่มกลุ่มวิจัยที่เน้นเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Next Generation Sequencing ที่ทำงานได้รวดเร็วและทำการวิจัยในโครงการที่สำคัญของประเทศ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน เป็นต้น ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ผู้อำนวยการไบโอเทคคนล่าสุด กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการไบโอเทคในวาระนี้ ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ที่ผมได้ทำงานที่ไบโอเทคมาทั้งในฐานะนักวิจัยและในระดับผู้บริหาร ทำให้มีความรู้ความเข้าใจในทั้งสองฝ่าย และจะนำประสบการณ์เหล่านี้มาบริหารไบโอเทค อีกทั้งนักวิจัยไบโอเทคก็มีความสามารถและมีศักยภาพกันอยู่แล้ว ซึ่งระบบที่ผู้อำนวยการท่านก่อนๆ ได้วางไว้ เป็นการทำให้นักวิจัยสามารถขับเคลื่อนไบโอเทคไปได้ด้วยตัวเอง ในฐานะผู้อำนวยการผมจะส่งเสริมศักยภาพให้เพิ่มพูนขึ้นโดยการนำนักวิจัยมาทำงานบูรณาการร่วมกัน” สำหรับแนวทางและนโยบายในการบริหารงานไบโอเทค ภายใต้การวิสัยทัศน์ของ ดร.สมวงษ์ นั้น ยังคงเดินตามวิสัยทัศน์ของ สวทช. คือการเป็นพันธมิตรร่วมทางที่ดี สู่สังคมฐานความรู้ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจะมุ่งเน้นงานวิจัยที่สามารถต่อยอดมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล โดยอยากให้ไบโอเทคเป็นหน่วยงานที่ช่วยประเทศไทยขับเคลื่อน “เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)” โดยการนำเอาเทคโนโลยีชีวภาพเข้าไปสร้างและส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น อาทิ งานวิจัยด้านไวรัสวิทยา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งไบโอเทคมีคลังชีววัสดุที่มีการรวบรวมชีววัสดุไว้หลากหลาย การวิจัยและพัฒนาด้านอาหาร ซึ่งเป็นการสอดรับกับโครงการ Food Innopolis ซึ่งเป็นหนึ่งใน super cluster ของรัฐบาล การใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่ามากที่สุด (Zero Waste) และนอกจากนี้ก็ยังที่จะไม่ลืมในการใส่ใจชุมชน โดยการจับมือกับพันธมิตร หรือองค์กรที่มีการดำเนินการอยู่ในการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปช่วยส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมให้ไบโอเทคมีความร่วมมือกับนานาชาติอย่างยั่งยืนแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ได้รับรางวัลต่างๆ มาแล้วมากมาย อาทิ รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปี 2556 ประเภททีม จาก มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ รางวัลเกียรติยศ “ผลงานเด่น สวก.” 2557 จากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เป็นต้น
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – 4 องค์กร สานพลัง “เครือข่ายนวัตกรรมยางพารา”
4 องค์กร สานพลัง “เครือข่ายนวัตกรรมยางพารา” ร่วมมือพัฒนายางพารารอบด้าน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย ณ อาคาร 50 ปี การยางแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ - กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “เครือข่ายนวัตกรรมยางพารา” ร่วมกับ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในรูปแบบของเครือข่ายระหว่างภาคส่วนหลักที่สำคัญ ของประเทศไทย ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ภาคราชการ และภาคการศึกษา ที่มีบทบาทในการพัฒนาเกี่ยวข้องกับยางพาราในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงด้านบุคลากร ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวจะเป็นฐานสำคัญที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้าง ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “เอ็มเทค สวทช. มีพันธกิจหลักในการพัฒนาและสร้างขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีวัสดุให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชน โดยดำเนินการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนากำลังคน รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งเอ็มเทคได้ให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับด้านยางพารา โดยมีการจัดตั้งหน่วยเฉพาะทางด้านยางธรรมชาติขึ้น มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนายางคอมพาวด์ การออกแบบและวิเคราะห์เชิงวิศวกรรมผลิตภัณฑ์ยาง และเทคโนโลยีน้ำยาง เช่น เทคโนโลยีสารรักษาสภาพน้ำยางธรรมชาติไร้แอมโมเนีย (TAPS Technology) การพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบยางล้อรถ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตยางแท่งคุณภาพสูงระดับชุมชน เป็นต้น” รศ.ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวว่า “การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเครือข่ายนวัตกรรมยางพารา มุ่งเน้นการดำเนินการสร้างนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์จากยางพารา เทคโนโลยีการผลิตหรือแปรรูปยางพารา การวิเคราะห์ทดสอบวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ยางพารา รวมถึงมาตรฐานต่างๆ การบริหารจัดการและการผลิตยางพาราต้นน้ำและกลางน้ำ การเพาะปลูกและการดูแลสวนยางพารา การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศด้านยางพารา และการเรียนการสอนและการผลิตบุคลากรด้านยางพารา โดยทั้ง 4 ฝ่ายจะปฏิบัติงานเป็นเครือข่ายตลอดระยะเวลา 3 ปี ซึ่งทาง ม.อ. โดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของ ม.อ. มีภารกิจและความรับผิดชอบหลักในด้านการสร้างนวัตกรรมการผลิตและพัฒนาบุคลากร ทางด้านเทคโนโลยียางพาราให้มีคุณภาพสูง ทั้งในรูปแบบหลักสูตรระยะสั้น ร่วมกับ กยท. และหลักสูตรปกติ พร้อมกับสนับสนุนทางวิชาการตามความต้องการของอีก 3 ฝ่ายที่เหลือโดยใช้ศักยภาพของคณาจารย์ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และศิษย์เก่าที่มีประสบการณ์ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมยางพารา” นายบวร วงศ์สินอุดม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า “ปัจจุบันประเทศไทยมีการขับเคลื่อนและส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ยาง รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานและการพัฒนาด้านบุคลากร เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ ยางพาราในภูมิภาค แซงหน้าผู้ผลิตและผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่อย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ โดยในปี 2558 ประเทศไทยมีการผลิตยางพาราในประเทศ ประมาณ 4.47 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 1 แสนตัน และมีการปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศ จำนวน 6 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 6 หมื่นตัน สำหรับการส่งออกยางพาราต้นน้ำ มีปริมาณ 3.74 ล้านตัน ลดลงจากปี 2557 จำนวน 3 หมื่นตัน ส่วนมูลค่าของการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทย ปี 2558 มีจำนวน 4.3 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นวัตถุดิบ 2 แสนล้านบาท และผลิตภัณฑ์ 2.3 แสนล้านบาท ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักที่ถือว่าเป็น Product Champion ของอุตสาหกรรมยางคือ ผลิตภัณฑ์ยางล้อ ที่มีมูลค่าในการส่งออก 1.2 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 ของการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าสัดส่วนการใช้ยางพาราในประเทศยังมีสัดส่วนไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการผลิตและการส่งออกยางพารา ดังนั้น การส่งเสริมการดำเนินการเรื่องมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาด้านบุคลากรและเทคโนโลยี จึงถือเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมยางของประเทศ” ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า “ข้อตกลงความร่วมมือเครือข่ายนวัตกรรมยางพารา เป็นการร่วมมือกันระหว่าง 4 องค์กร ให้เกิดการวิจัยพัฒนายางพาราอย่างครบวงจร เพื่อร่วมกันส่งเสริมให้เกิดการสร้างนวัตกรรมในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ยาง ด้านเทคโนโลยีการผลิตหรือการแปรรูปยางพารา ด้านการวิเคราะห์ทดสอบยาง และผลิตภัณฑ์ยางตามมาตรฐานสากล ทั้งในระดับต้นทาง กลางทาง และปลายทาง รวมถึงข้อมูลสารสนเทศยางพารา และการพัฒนาบุคลากรด้านอุตสาหกรรมยางให้กับภาคเอกชน ซึ่งการบูรณาการดำเนินงานระหว่าง 4 องค์กร จะสามารถผลักดันให้นวัตกรรมที่เกิดขึ้นไปใช้เป็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง กยท. มีภารกิจและความรับผิดชอบหลักในการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมด้านต่างๆ โดยเฉพาะการบริหารจัดการและการผลิตยางพาราต้นน้ำ การเพาะปลูกและการดูแลสวนยางพารา เผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับยางพารา ส่งเสริม สนับสนุนด้านวิชาการ งบประมาณเพื่อสร้างนวัตกรรมการผลิต นวัตกรรมการแปรรูป การอุตสาหกรรม การตลาด การประกอบธุรกิจ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง โดย กยท. พร้อมผลักดันและสนับสนุนความร่วมมือทางวิชาการด้านยางพาราในรูปแบบต่างๆ ทั้งในเรื่องการวิจัยพัฒนา การฝึกอบรม และการผลิตบุคลากรด้านยางพาราสู่ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนสนับสนุนทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงการยางพาราของประเทศอย่างครบวงจร”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – ก.การคลัง จับมือ ก.วิทย์ กระตุ้นการลงทุน ยกเว้นภาษีแก่ผู้ประกอบการรายใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี
ก.การคลัง จับมือ ก.วิทย์ กระตุ้นการลงทุน ยกเว้นภาษีแก่ธุรกิจเงินร่วมลงทุน และผู้ประกอบการรายใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดแถลงข่าว “สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกิจการเงินร่วมลงทุนและผู้ประกอบการรายใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี” เพื่อเปิดตัวสิทธิประโยชน์ให้สาธารณชนรับรู้ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้มีความพยายามในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยมุ่งไปสู่การเป็นเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าจากนวัตกรรมมากกว่าการใช้ ทรัพยากรเป็นปัจจัยการผลิตดังเช่นในอดีต ซึ่งจะต้องสนับสนุนให้เกิดธุรกิจเทคโนโลยีขึ้นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรายใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี มักจะประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงกว่าบริษัทที่เน้นการผลิตแบบดั้งเดิม ทำให้การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินจึงทำได้ยาก เพราะขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน อีกทั้งเทคโนโลยีที่เป็นแหล่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจนั้นประเมินมูลค่าได้ยาก ดังนั้น การร่วมลงทุนจากกิจการเงินร่วมลงทุน หรือ Venture Capital (VC) จึงเป็นกลไกที่สำคัญที่ประเทศอื่นๆ ใช้ในการสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยี เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลจึงได้ออกกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ฉบับที่ 597 และฉบับที่ 602 พ.ศ. 2559 เพื่อยกเว้นภาษีให้แก่กิจการเงินร่วมลงทุนรวมถึงนักลงทุนในกิจการเงินร่วมลงทุน และผู้ประกอบการรายใหม่ การสนับสนุนดังกล่าวครอบคลุม 10 คลัสเตอร์เป้าหมายที่เป็น S-Curve ของประเทศ เพราะรัฐบาลต้องการให้แรงจูงใจแก่ธุรกิจ VC ในการเข้าไปมีส่วนสำคัญในการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการสนับสนุน ตามแนวคิดประชารัฐ หรือ Public-Private Partnership ซึ่งจะช่วยสร้างและขยายขนาดของธุรกิจเงินร่วมลงทุนให้เกิดขึ้นและเป็นเครื่องมือสนับสนุนธุรกิจฐานเทคโนโลยีให้เติบโตในประเทศไทยอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/21987-s-curve
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – ไทย – เกาหลี เปิดความร่วมมือขับเคลื่อนนิคมนวัตกรรม
ไทย - เกาหลี เปิดความร่วมมือขับเคลื่อนนิคมนวัตกรรม ประเดิมสองโครงการหลัก ฟู้ดอินโนโพลิสและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดบ้านอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) ต้อนรับนายชอย ยาง ฮี (Choi Yang Hee) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ไอซีที และการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานใน “พีธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการบริหารอุทยานวิทยาศาสตร์และการพัฒนาเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ ฟู้ดอินโนโพลิส” ระหว่าง มูลนิธิอินโนโพลิส (Innopolis Foundation) สาธารณรัฐเกาหลี โดย นาย ชา ดอง คิม ประธานมูลนิธิ กับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) โดย ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ รองผู้อำนวยการ สวทน. และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า “รัฐบาลสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งฟู้ดอินโนโพลิส เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการสนับสนุนและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมอาหารของไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศคิดเป็น 9% ของจีดีพี มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม สร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ สร้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อเป็นแหล่งสร้างรายได้ใหม่ของประเทศ โดยกำหนดพื้นที่แรก กว่า 60,000 ตารางเมตรภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อรองรับการจัดตั้งศูนย์วิจัยพัฒนานวัตกรรมของภาคเอกชน และให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์” ด้าน นายชอย ยาง ฮี (Choi Yang Hee) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ไอซีที และการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวว่า “ประเทศเกาหลีอยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ไอซีที เพื่อพัฒนาสตาร์ทอัพของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับประเทศไทยที่กำลังขับเคลื่อนในเรื่องสตาร์ทอัพเช่นกัน โดยทางเกาหลีวางแผนที่จะเผยแพร่ประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการต่างๆ ให้กับประเทศไทย ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ การให้คำปรึกษา การฝึกอบรมของผู้ประกอบการทั้งสองประเทศจนอาจเกิดเป็นความร่วมมือขึ้นมาได้”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – บทความ รู้จักกับศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์
รู้จักกับศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์
สวทช.จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ของประเทศไทย พร้อมเป็นฐานองค์ความรู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพ และสร้างนวัตกรรมเพื่อต่อยอดการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์มีความต้องการใช้จุลินทรีย์ และผลิตภัณฑ์ที่จุลินทรีย์ผลิตมากขึ้น โดยเกือบทั้งหมดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นการพัฒนาจุลินทรีย์และผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความเข้มแข็งทางด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การขาดโครงสร้างพื้นฐานในการวิจัยและพัฒนา กระบวนการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม สำหรับประเมินความเป็นไปได้ก่อนการผลิตจริง และก่อนการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำให้การต่อยอดการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ใช้ระยะเวลานาน ส่งผลให้เอกชนขาดความเชื่อมั่น และภาคอุตสาหกรรมของประเทศสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ
เพื่อตอบสนองต่อปัญหาดังกล่าว ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. จึงได้จัดตั้ง "ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์" ขึ้น ณ อาคารนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ของประเทศไทย โดยการบูรณาการความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกไบโอเทคให้อยู่ที่จุดเดียว โดยมีฐานเทคโนโลยีสำคัญประกอบด้วย ฐานความรู้และข้อมูลด้านทรัพยากรชีวภาพ เทคโนโลยีกระบวนการทางชีวภาพอย่างเป็นระบบ และการบูรณการด้านคุณภาพและความปลอดภัยในอาหาร รวมทั้งมีโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมเพื่อการประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
ในการดำเนินงานของ ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่
1. การวิจัยและพัฒนา ใช้เทคโนโลยีชีวภาพสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อโจทย์และความต้องการของภาคเอกชน ทั้งการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการพัฒนาต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ที่ได้ พัฒนาขึ้นแล้วไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยมีแผนการดำเนินงานที่มุ่งเน้นงานวิจัยและ พัฒนาด้านเทคโนโลยีจุลินทรีย์ต้นเชื้อบริสุทธิ์ // การค้นหาเอนไซม์ที่มีศักยภาพเพื่อประยุกต์ใน อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ // การวิจัยด้านการผลิตสารมูลค่าสูง // และการใช้ประโยชน์โปรตีนจากวัสดุเศษเหลือจากกระบวนการแปรรูปอาหาร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ // ทั้งนี้เป็นการทำงานวิจัยแบบก้าวกระโดด โดยนำเทคโนโลยีฐานและความสามารถของนักวิจัยมาใช้ในการตอบโจทย์ภาคเอกชนอย่างแท้จริง
2. การทดสอบและพัฒนาระบบการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม จนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการทดลองในภาคสนามและการประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ซึ่งจะผลักดันผลงานวิจัยให้สามารถถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
3. การจัดหาและรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศ สร้างพันธมิตรวิจัยร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ เป็นตัวกลางจัดหาและปรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เหมาะสมกับผู้ประกอบการในไทย
4. การให้บริการทางวิชาการในด้านการเป็นที่ปรึกษา การให้บริการด้านเทคนิค การให้บริการเช่าเครื่องมือสำหรับภาครัฐและเอกชน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการฝึกอบรมเฉพาะทางให้กับบุคลากร เพื่อยกระดับความสามารถทางเทคนิคของบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญและทักษะเพิ่มขึ้น ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้ด้านการประเมินความเสี่ยงเชิงปริมาณ เพื่อกำหนดเกณฑ์ควบคุมความปลอดภัยในอาหารตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปลายทางการผลิต
จากความพร้อมทั้งองค์ความรู้พื้นฐาน และความสามารถทางเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิต การแปรรูป ประกอบกับการสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรวิจัย ทำให้ ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์มีงานวิจัยและพัฒนาที่สอดคล้องและสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ อันเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้ทัดเทียมระดับโลกต่อไป
ชมคลิปวิดีโอได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=2MisERWWqFs
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม 2559 (ฉบับที่ 14)
ข่าว
ไบโอเทค สวทช. เปิดศูนย์นวัตกรรมและอาหารสัตว์ ยกระดับผู้ประกอบการแข่งขันทางธุรกิจ
ซอฟต์แวร์พาร์ค นำผู้ประกอบการไอซีทีไทย 13 ราย ร่วมเป็นตัวแทนแสดงสินค้าและบริการในงาน CommunicAsia 2016
Thailand Tech Show ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่
ก.วิทย์ฯ สวทช. จับมือ ท็อปส์เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ " Active PAKTM ถุงหายใจได้" ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น
มหกรรมยิ่งใหญ่ ครั้งแรกในประเทศไทย “Startup Thailand 2016” รวมพลังสตาร์ทอัพเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจไทย
บทความ
รู้จักกับศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์
ปฏิทินกิจกรรม
การฝึกอบรมเรื่อง การเก็บรักษาจุลินทรีย์ในระยะยาวด้วยเทคนิคการระเหยแห้งในสภาวะสุญญากาศ
Download เอกสารฉบับเต็ม [8.9 MB]
.
จดหมายข่าว สวทช.

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – ปฏิทินกิจกรรม
การฝึกอบรมเรื่อง การเก็บรักษาจุลินทรีย์ในระยะยาวด้วยเทคนิคการระเหยแห้งในสภาวะสุญญากาศ จัดโดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยความร่วมมือของ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) วันที่จัด ภาคบรรยาย 18 พฤษภาคม 2559 (0.5 วัน) ภาคบรรยายและปฏิบัติการ 18 – 19 พฤษภาคม 2559 (1.5 วัน) สถานที่ อาคารไบโอเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี วัตถุประสงค์ 1. เพื่อฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ นักวิจัย นักศึกษา ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ และผู้สนใจทั้งภาครัฐและเอกชน ให้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับหลักการเก็บรักษาจุลินทรีย์ 2. เพื่อถ่ายทอดวิธีการเก็บรักษาจุลินทรีย์ด้วยเทคนิคการระเหยแห้งในสภาวะสุญญากาศแก่ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ คุณสมบัติของผู้สมัคร เป็นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัย หรือเก็บรักษาการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ ค่าลงทะเบียน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม อาหารกลางวันและอาหารว่าง วัสดุวิทยาศาสตร์ และเอกสารประกอบการอบรม) - ภาคบรรยาย 500 บาท - ภาคบรรยายและปฏิบัติการ 1,500 บาท ปิดรับสมัคร วันที่ 10 พฤษภาคม 2559 ติดต่อ/สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ หน่วยฝึกอบรม ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ 113 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120 โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3379 – 3382 โทรสาร 0 2564 6574 E-mail: TrainingUnit@biotec.or.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – มหกรรมยิ่งใหญ่ “Startup Thailand 2016” ครั้งแรกในประเทศไทย รวมพลังสตาร์ทอัพเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจไทย
มหกรรมยิ่งใหญ่ ครั้งแรกในประเทศไทย “Startup Thailand 2016” รวมพลังสตาร์ทอัพเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจไทย “Startup Thailand 2016” เวทีเปิดตัวธุรกิจผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนระดับหัวกะทิ ของประเทศไทยกว่า 200 ราย พร้อมหน่วยงานสนับสนุนสตาร์ทอัพจากต่างประเทศกว่า 10 ราย ได้มาร่วมแสดงศักยภาพของแต่ละธุรกิจ สร้างเครือข่ายสตาร์ทอัพให้เข้มแข็ง พบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา อาชีวะ ผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงาน เกษตรกรยุคใหม่ ผู้บริหารองค์กร รวมทั้งยังช่วยให้นักธุรกิจเอสเอ็มอี ได้เข้าใจและรู้จัก Startup สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้แบบยั่งยืน โดยงาน “Startup Thailand 2016” ในครั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนรัฐบาลและทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน ซึ่งทำงานร่วมกับอีก 11 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เครือข่ายประชารัฐ และประชาคมสตาร์ทอัพไทย โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นประธานในพิธีเปิด รวมทั้งจะปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “วิสัยทัศน์และพลังสร้างชาติด้วย Startup Thailand” อีกด้วย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสมาพบปะกับสตาร์ทอัพหรือผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น ซึ่งจะเป็นนักรบทางเศรษฐกิจใหม่ของไทย และยังได้พบกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนและสนับสนุนสตาร์ทอัพให้เกิดขึ้น อย่างเป็นรูปธรรมในวันนี้ การสร้างพื้นที่ให้สตาร์ทอัพหรือผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นได้แสดง ศักยภาพ ได้เติบโตเพื่อเป็น “ฐานเศรษฐกิจใหม่” ของไทย เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ณ วันนี้ ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานทาง ICT ที่เข้มแข็ง และในยุคดิจิทัลที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงกันได้เพียงเสี้ยววินาที ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามกระแสที่เกิดขึ้น เปิดโอกาสให้มีการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งมีรูปแบบทางธุรกิจที่ถูกใจผู้บริโภค นำเอาเทคโนโลยีมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ก่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่อาจขยายสู่ตลาดสากลได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง ในวันนี้ รัฐบาลได้พยายามผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยไปเติบโตได้ในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตาร์ทอัพในภาคเกษตรและอาหาร ด้านการศึกษา และด้านสุขภาพ ประเทศไทยต้องการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปลูกพืช การทำสวน ไร่ นา การพัฒนาชาวไร่ ชาวสวน พัฒนา Thai Smart Farmer ทั้งเกษตรกรรุ่นเดิมและเกษตรกรรุ่นใหม่ เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของอาชีพเกษตรกร ด้วยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถทางด้านการ ผลิตวัตถุดิบ การแข่งขันด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีมูลค่าสูง ตลอดจนการหาโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างช่องทางการตลาดใหม่ ช่วยให้สินค้าเกษตรถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกล่าวว่า ในฐานะตัวแทนรัฐบาลและเจ้าภาพหลักของงานนี้ ผมมั่นใจว่างาน “Startup Thailand 2016” ครั้งนี้จะเป็นการจุดประกายให้ผู้ประกอบการที่กำลังหาแนวทางธุรกิจให้มีการพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืนจากองค์ความรู้และแรงบันดาลใจภายในงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นการเร่งการเติบโตและเพิ่มโอกาสของสตาร์ทอัพไทย ส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้นครั้งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ซึ่งจะมีผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จำนวนกว่า 200 บูธ และพร้อมหน่วยงานสนับสนุนสตาร์ทอัพจากต่างประเทศจำนวนกว่า 10 บูธ และเพื่อให้สอดคล้องกับผู้ประกอบการในแต่ละด้าน โซนการแสดงนิทรรศการสตาร์ทอัพจะแบ่งออกเป็น 8 ประเภท ประกอบด้วย 1. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเกษตรและอาหาร (AgriTech & FoodTech) 2. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรมสะอาด (Industry 4.0 & CleanTech) 3. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการศึกษาและการสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ (EdTech & GovTech) 4. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropertyTech) 5. ธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งด้านบริการส่วนบุคคล การท่องเที่ยว และความบันเทิง (Lifestyle : Personal service, TravelTech & Entertainment) 6. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเข้าถึงสินค้า (E-Commerce & Logistics) 7. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเงิน (FinTech) และด้านการให้บริการสำหรับธุรกิจ (Service Enhancement) 8. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านสุขภาพ (HealthTech)
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – ก.วิทย์ฯ สวทช. จับมือ ท็อปส์เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ” Active PAKTM ถุงหายใจได้” ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น
ก.วิทย์ฯ สวทช. จับมือ ท็อปส์เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ " Active PAKTM ถุงหายใจได้" ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น ณ ท็อปส์ มาร์เก็ต เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 - กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์และท็อปส์ เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ “Active PAKTM ถุงหายใจได้" ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยี EMA (Equilibrium Modified Atmosphere) ที่สร้างสมดุลบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ จึงคงความสด คุณค่า และรสชาติของผักให้สด อร่อย ได้นานสูงสุด 2-5 เท่า ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค พร้อมตอกย้ำจุดยืนของท็อปส์ที่เป็นผู้นำซูเปอร์มาร์เก็ตที่ส่งความสดให้ผู้ บริโภค พร้อมสานต่องานวิจัยและพัฒนาร่วมกับ สวทช. ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “โครงการนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์แบบยั่งยืนเพื่ออุตสาหกรรมผลิตผลสดของไทย ภายใต้โครงการวิจัยที่มุ่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจระดับพันล้านบาท เป็นโครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ที่ริเริ่มโดย สวทช. เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักวิจัยเข้าใจและเข้าถึงความต้องการของภาคเอกชนได้ อย่างแท้จริง ทำให้สามารถพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ภาคอุตสาหกรรมได้ ดังเช่นเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ Active PAKTM สู่ผลงานนวัตกรรม “ถุงหายใจได้” ที่พัฒนาขึ้นโดย หน่วยวิจัยโพลิเมอร์ ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีพลาสติก เอ็มเทค สวทช. ซึ่งเป็นงานวิจัยที่จับต้องได้ ก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีจากผลงานวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรมไทย ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรของไทย ด้วยคุณสมบัติของถุงที่สามารถคงความสด คุณค่า และรสชาติของผลิตผลสด ได้แก่ ผักและผลไม้ต่างๆ ได้นานสูงสุด 2-5 เท่า" ดร.วรรณี ฉินศิริกุล นักวิจัยและหัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนา Active PAKTM ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า การทำงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีฟิล์มบรรจุภัณฑ์สำหรับยืดอายุและรักษาคุณภาพผัก ผลไม้สด ซึ่งกว่าจะถึงรุ่นปัจจุบัน Active PAKTM นั้น ได้ทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี โดยมีการรับโจทย์จริงจากภาคอุตสาหกรรมผักผลไม้สด มีการพัฒนาและร่วมทดสอบกับเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ใช้งานบรรจุภัณฑ์ผักผลไม้สดสำหรับตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตในประเทศ และผู้ส่งออกผักผลไม้สดไปต่างประเทศ รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ผลิตฟิล์มบรรจุภัณฑ์พลาสติก เพื่อให้เกิด การขยายผลการใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยฟิล์มบรรจุภัณฑ์สำหรับยืดอายุและรักษาคุณภาพผักผลไม้สดรุ่นปัจจุบัน Active PAKTM ตอบโจทย์ด้านคงความสดของผักและความใสของถุง ซึ่งได้ผ่านการทดสอบใช้งานจริงผ่านกระบวนการต่างๆ ของทาง บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ มาเป็นเวลากว่า 3 ปี โดยมีการพัฒนาให้ตอบสนองต่อความต้องการในด้านการใช้งานที่ง่ายและสะดวก ด้านการผลิตที่ผลิตได้ในอุตสาหกรรม และด้านการวางจำหน่ายบนชั้นวาง ที่ผักต้องคงความสด และถุงยังคงความใส ด้าน นางสาวเมทินี พิศุทธิ์สินธพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายจัดซื้อกลุ่มสินค้าอาหารสด และบริหารจัดซื้อ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง สวทช. และท็อปส์ ว่า ท็อปส์ เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตรายแรกของไทยที่นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด “Active PAKTM ถุงหายใจได้” มาใช้ เพื่อช่วยให้ผักที่วางจำหน่ายในท็อปส์ ทั้ง 181 สาขาทั่วประเทศ คงความสด รสชาติดีตามธรรมชาติ รักษาคุณค่าทางโภชนาการให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นนโยบายหลักของ ท็อปส์ ที่ต้องการให้ผักสดและปลอดภัยจนถึงมือผู้บริโภค เทคโนโลยีใหม่นี้ยังช่วยลดการสูญเสียผัก เป็นการลดขยะ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม อีกด้วย บริษัทฯ ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี ร่วมทดลองกับ สวทช. โดยให้โจทย์หลักต้องการถุงใสและหนาไม่ต่างจากถุงพลาสติกทั่วไป เพราะผู้บริโภคเลือกซื้อผักจากการมองและสัมผัส ถุงต้องช่วยยืดอายุผักให้สดนานขึ้นกว่าบรรจุภัณฑ์แบบเดิมที่เป็นถุงพลาสติก เจาะรูระบายอากาศ และต้องง่ายกับการทำงานในระบบซัพพลายเชน ในขั้นตอนการทดลองได้นำถุงหายใจได้แบบและไซส์ต่างๆ ไปบรรจุผักทั้งผักใบแคบและผักใบกว้าง โดยเริ่มกระบวนการตั้งแต่โรงแพ็ค ส่งไปยังศูนย์กระจายสินค้าอาหารสด แล้วกระจายต่อไปยังสาขา จนถึงครัวของผู้บริโภค ร่วมกันทดลองหลายต่อหลายครั้ง เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเรื่องอุณหภูมิที่ไม่สม่ำเสมอในกระบวนการขนส่ง เช่น การขนผักจากห้องเย็นหรือโรงแพ็คเพื่อจัดวางในรถขนส่ง เป็นต้น จนในที่สุดเราก็ประสบความสำเร็จได้ “Active PAKTM ถุงหายใจได้” ที่ทั้งใสและหนาเหมือนถุงพลาสติกทั่วไป และสามารถยืดอายุผักให้สดนานขึ้นเฉลี่ย 7-8 วัน เทียบกับถุงพลาสติกทั่วไปเจาะรู ที่ใส่ผักได้เพียง 3 วันเท่านั้น ช่วยลดการสูญเสียผักลงประมาณ 7-8% ในขณะที่ต้นทุนการผลิตถุงแพงกว่าถุงพลาสติกทั่วไปเล็กน้อย แต่ท็อปส์ไม่ได้ขึ้นราคาขายสินค้าแต่อย่างใด ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าที่สด ใหม่ รสชาติดี คงคุณค่าทางโภชนาการ
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – Thailand Tech Show ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่
Thailand Tech Show ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมเชียงใหม่ แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่ - ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล โฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานเปิดงาน “Thailand Tech Show ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่” งานแสดงผลงานวิจัยพร้อมใช้และเข้าใจง่าย จาก สวทช. และสถาบันวิจัยชั้นนำ ที่ได้คัดสรรและเลือกมาโดยเฉพาะแล้วว่าเหมาะแก่ผู้สนใจลงทุนธุรกิจเทคโนโลยี ในเขตภาคเหนือ มากถึง 152 ผลงาน ในกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและประมง วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร เภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอาง การแพทย์ อาหารและเครื่องดื่ม และอื่นๆ ซึ่งพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่การใช้งานจริง ตลอดจนร่วมเจรจาจองใช้สิทธิกับเจ้าของผลงานได้โดยตรง มีค่าธรรมเนียมเพียง 30,000 บาท บวกกับค่า Royalty Fee (ค่าลิขสิทธิ์) 2% ของยอดขายเท่านั้น สำหรับงาน “Thailand Tech Show จากหิ้งสู่ห้าง ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่” จัดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2559 และได้นำผลงานวิจัยพัฒนาและเทคโนโลยีที่พร้อมใช้ ซึ่งได้คัดสรรและเลือกมาโดยเฉพาะแล้วว่าเหมาะแก่ผู้สนใจลงทุนธุรกิจ เทคโนโลยีในเขตภาคเหนือ มากถึง 38 ผลงาน อาทิ • แอนดรอยด์คัดกรองโรคหัวใจ (มหาวิทยาลัยนเรศวร) : เป็นโปรแกรมติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือ เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต สามารถคัดกรองโรคด้วยเสียงหัวใจ โดยโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ สามารถนำไปใช้งานทุกสถานที่ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ และสามารถคัดกรองผู้ที่มีเสียงหัวใจผิดปกติได้ถูกต้อง 84% • สูตรตำรับยาสมุนไพรสำหรับแก้ไอ (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) : เป็นยาน้ำที่ต้มมาจากสมุนไพร ประกอบด้วย โทงเทง มะแว้งเครือ เสนียด มะขามป้อม ชะเอมเทศ น้ำตาลกรวด น้ำมะนาว น้ำขิง เกลือ และเมนทอล ที่ผ่านกรรมวิธีขั้นตอนต่างๆ ที่ได้ยาน้ำที่ได้จากการต้มสมุนไพร เพื่อจัดทำยาแก้ไอที่ผลิตจากสมุนไพรสูตรใหม่ ที่มีประสิทธิภาพบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ ช่วยทำให้ชุ่มคอ รสชาติดี และไม่มีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย • สูตรลูกชิ้นหมูไหมทองและกรรมวิธีการผลิตตามสูตร (สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ) : ลูกชิ้นหมูที่มีรสชาติดีกว่าสูตรเดิมโดยไม่ต้องเติมสารอื่นใดเพื่อให้เนื้อ แน่นและกรอบ ทำให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและยังได้คุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น • สวิตช์สัมผัสจากหมึกนำไฟฟ้า (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) : เป็นการออกแบบและประยุกต์ใช้งานสวิตช์แบบสัมผัสด้วยเทคโนโลยี หมึกนำไฟฟ้า มีราคาที่ถูกและสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย