ผลการค้นหา :

สวทช. จัดบูท ‘NSTDA Pavilion’ นำ 12 ผลงานวิจัยและบริการ แสดงในงาน TIF, Warehousing & Logistics Asia and Food Pack Asia 2025
(12 ก.พ. 68) ณ เวทีกลาง Hall 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ - พิธีเปิดงาน TIF, Warehousing & Logistics Asia and Food Pack Asia 2025 ได้จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีนายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายนาเกช ซิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค รวมถึงผู้บริหารจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธี
งาน TIF, Warehousing & Logistics Asia and Food Pack Asia 2025 ขึ้นระหว่างวันที่ 12 - 15 กุมภาพันธ์ 2568 ณ Hall 103-104 ไบเทคบางนา ภายใต้ธีม “Empower Your Future: AI Transformation For Sustainable Growth” โดยรวบรวมผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ และนักอุตสาหกรรม มาร่วมจัดแสดงเทคโนโลยี เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องใช้และบริการเพื่ออุตสาหกรรมการผลิต รวมถึงนวัตกรรมสินค้าและบริการด้านโลจิสติกส์อย่างครบวงจร
ในส่วนของ สวทช. ได้มีการจัดนิทรรศการ NSTDA Pavilion ภายใต้ธีม Science & Technology Implementation for Sustainable Thailand นำเสนอ 12 ผลงานวิจัยและบริการ แบ่งเป็น 4 โซน ได้แก่
ZONE 1 : FoodSERP
ประกอบด้วย แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) และโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) และทีม BD Business matching
ZONE 2 : Strengthening Global Food Security
ประกอบด้วย Thailand’s Food Bank, IJC-FOODSEC และ LAMP for a Better Life
ZONE 3 : Smart Diagnostics
ประกอบด้วย ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (National Omics Center : NOC), Diagnostics for Agriculture & Food และ Tilapia Strep-Easy Kit
ZONE 4 : Plant Factory
ประกอบด้วย โรงงานผลิตพืช นวัตกรรมปลูกผักเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยพาร์ทเนอร์ของทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ของไบโอเทค 3 แห่ง ประกอบด้วย Plant factory strawberry (บริษัท สปีดดีเอกเซส) ระบบ plant factory ปลูกผักสลัด (บริษัท ศูนย์เกษตรกรรมบางไทร จำกัด) และ ผักสด จาก Plant Factory (บริษัท ไดสตาร์เฟรช)
นอกจากนี้ สวทช. ยังร่วมจัดสัมมนาพิเศษในอีกหลายหัวข้อเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ได้แก่ งานสัมมนาเรื่อง “นวัตกรรมบริการและเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร: ความร่วมมือระดับโลกสู่ความมั่นคงทางอาหาร” และงานสัมมนาเรื่อง “คาร์บอนเครดิตในอุตสาหกรรมอาหาร”
ผู้สนใจเข้าชมงาน TIF, Warehousing & Logistics Asia and Food Pack Asia 2025 เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 12 - 15 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ ที่ไบเทคบางนา เพิ่มเติมคลิก https://foodpackasia.com/ และ https://seminar.thaionlineexhibit.com/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

คาร์บอนเครดิตในอุตสาหกรรมอาหาร
องค์กรที่สนใจทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์และต้องการลดคาร์บอน ไม่ควรพลาด! กับงานสัมมนา “คาร์บอนเครดิตในอุตสาหกรรมอาหาร” 🍔🥖🥩โดย สวทช. และ TARA
.
วันที่ 14 ก.พ. 68 นี้ เวลา 13.00 - 16.30
ณ งาน TIF & FOOD PACK ASIA 2025 ห้องประชุม MR222-223 ไบเทค บางนา
(ที่นั่งมีจำนวนจำกัด)
.
พบกับการบรรยายพิเศษ:
“มุมมองผลกระทบจากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของอาหารสำเร็จรูป”
“ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารควรเตรียมตัวอย่างไรในการรับมือกับ CBAM”
“คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ในอุตสาหกรรมอาหาร”
“Decarbonize”
แนะนำ IDA: ระบบแพลตฟอร์มไอโอทีและระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม
แนะนำ CAMP : ระบบเก็บข้อมูลและวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพริ้นสำหรับสถานประกอบการ
.
สิทธิพิเศษภายในงาน
ฟรี! รับคำปรึกษาการคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร และการนำเทคโนโลยีเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ไปใช้ในองค์กร
ฟรี! รับคำปรึกษาการประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 และแนวทางยกระดับองค์กร
สมัครรับทุนสนับสนุนการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อลดคาร์บอนมูลค่า 4 แสนบาท
.
ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ QR Code ใน Banner
หรือลงทะเบียนได้ที่ลิงค์นี้ >> https://forms.gle/px6b8pzKjNgdSYFj7
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจสัมพันธ์
BRC@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

‘Pathumma LLM’ โมเดลเพื่อการสร้าง Generative AI ที่เชี่ยวชาญทั้งภาษา ข้อมูล และบริบทไทย
Large Language Model (LLM) คือ โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่ผ่านการฝึกฝนจากข้อมูลจำนวนมหาศาล ให้มีความสามารถเฉพาะทางโดยเฉพาะทักษะด้านภาษาและการสื่อสารแบบมนุษย์ ทำให้โมเดลนี้มีศักยภาพที่จะเรียนรู้คำถามหรือคำสั่ง (prompt) และสร้างคำตอบที่เหมาะสมด้วยตัวเอง โดยหนึ่งในฟังก์ชันที่ใช้งานอย่างแพร่หลายแล้วในปัจจุบัน คือ Generative AI หรือเอไอแบบรู้สร้าง ที่สร้างข้อความหรือรูปภาพได้ เช่น Chat-GPT, Gemini, Claude, MidJourney, DeepSeek
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา Pathumma LLM (ปทุมมา แอลแอลเอ็ม) เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบบริการ AI โดยทีมวิจัยตั้งเป้าหมายในการพัฒนาจุดแข็งของโมเดลให้เชี่ยวชาญทั้งภาษา ข้อมูล และบริบทประเทศไทย รวมถึงเป็น Multi-Modal Generative AI หรือโมเดล AI ที่รองรับการประมวลผลข้อมูลได้หลากหลายทั้งข้อความ รูป และเสียง
ทำไมประเทศไทยต้องมี LLM เป็นของตัวเอง ?
[caption id="attachment_65321" align="aligncenter" width="750"] ดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. อธิบายถึงความสำคัญของการพัฒนา LLM ว่า โมเดล LLM แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรก คือ โมเดลแบบปิด (close model) หรือโมเดลที่ผู้พัฒนาไม่เปิดให้สาธารณะดาวน์โหลดไปพัฒนาต่อ เช่น Chat-GPT, Gemini, Claude ประเภทที่สองคือโมเดลแบบเปิด (open model) หรือโมเดลที่ผู้พัฒนาเปิดให้สาธารณะดาวน์โหลดไปพัฒนาต่อได้ เช่น Gemma, Sea Lion, Typhoon, THaLLE
“ซึ่งจากข้อจำกัดของโมเดลแบบปิดที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าฐานข้อมูลและการปรับแต่งความสามารถจากผู้พัฒนา ทำให้การนำโมเดลประเภทนี้มาใช้งานอาจขาดความคล่องตัว เช่น ไม่สามารถใช้งานในองค์กรที่ต้องปกปิดข้อมูล (ธนาคาร, สถานพยาบาล, ศาล ฯลฯ) ไม่สามารถใช้กับงานเฉพาะทางของประเทศไทย (การเรียบเรียงเอกสารราชการไทย, การสื่อสารภาษาถิ่นไทย, ฯลฯ) ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาระบบบริการ AI เพื่อสนับสนุนการทำงานและการให้บริการของทั้งภาครัฐและเอกชน
“จากความสำคัญดังกล่าวทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโมเดล AI และความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในระดับสากลของ สวทช. เช่น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตา (LANTA) มาใช้ในการผลิต Pathumma LLM สำหรับให้บริการแก่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทยในรูปแบบโมเดลแบบเปิด โดยปัจจุบันได้เปิดให้ทดลองใช้งานเวอร์ชัน 1.0.0 แล้วที่ https://aiforthai.in.th/pathumma-llm/ ทั้งในรูปแบบ APP สำหรับให้บุคคลทั่วไปเข้าใช้งานผ่านเว็บแอปพลิเคชัน, API สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการดึงข้อมูลแอปพลิเคชันไปแสดงผลที่หน้าเว็บไซต์ของตัวเอง และ Model สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการดาวน์โหลดโมเดลไปพัฒนาต่อ ทั้งนี้ Pathumma LLM ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา”
[caption id="attachment_65323" align="aligncenter" width="750"] Pathumma LLM เวอร์ชัน 1.0.0[/caption]
[caption id="attachment_65322" align="aligncenter" width="750"] ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตา (LANTA)[/caption]
พร้อมให้ทดลองใช้ Generative AI สัญชาติไทยแล้ว
ดร.ศราวุธ อธิบายว่าในเวอร์ชันปัจจุบัน Pathumma LLM มีฟังก์ชันเป็น Multi-Modal Generative AI ที่รองรับการประมวลผลข้อมูล 3 รูปแบบ รูปแบบแรกคือ Text LLM หรือโมเดลสำหรับประมวลผลคำถามหรือคำสั่งที่เป็นข้อความ โดยโมเดลนี้ผ่านการปรับแต่งให้เหมาะกับการสืบค้นข้อมูลและตอบคำถามอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทำให้เหมาะแก่การพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้ประมวลผลข้อมูลเฉพาะของแต่ละองค์กร เช่น กรมสรรพากรใช้ให้บริการแชตบอตตอบข้อซักถามด้านการยื่นภาษีแก่ประชาชน หน่วยงานวิจัยใช้ให้บริการแชตบอตสืบค้นและสรุปภาพรวมข้อมูลงานวิจัยขององค์กร
“ส่วนที่สอง Audio LLM หรือโมเดลสำหรับประมวลผลข้อมูลที่เป็นเสียง โมเดลนี้ผ่านการปรับแต่งให้ช่วยถอดความจากเสียงได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ สร้างคำบรรยายเสียงบรรยากาศแวดล้อม ระบุอารมณ์และเพศของผู้พูด และตอบคำถามหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาภายในคลิปได้ ส่วนสุดท้ายคือ Vision LLM หรือโมเดลสำหรับประมวลผลข้อมูลที่เป็นภาพ โมเดลนี้ผ่านการปรับแต่งให้สร้างคำบรรยายภาพ ถอดข้อความที่อยู่ในภาพ และตอบคำถามหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพนั้น ๆ ได้”
การจะเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพการทำงานให้แก่ LLM ต้องอาศัยปัจจัยหลายด้านโดยเฉพาะปริมาณ คุณภาพ และความทันสมัยของข้อมูล รวมถึงความพร้อมด้านระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบ คลาวด์คอมพิวติง (cloud computing) สำหรับใช้ประมวลผล AI
ดร.ศราวุธ อธิบายเสริมเกี่ยวกับแผนการเพิ่มศักยภาพให้แก่ LLM ของประเทศไทยว่า ทีมวิจัยมีแผนจะเริ่มดำเนินงานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนไทยในการพัฒนา foundation model หรือโมเดลพื้นฐานสำหรับประเทศไทยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับปริมาณข้อมูลและพารามิเตอร์ที่ใช้ในการเทรนโมเดล AI โดยเมื่อพัฒนาแล้วเสร็จสามารถนำโมเดลพื้นฐานที่พัฒนานี้มาใช้เพิ่มศักยภาพการทำงานให้แก่ Pathumma LLM ได้ด้วย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานภายในกุมภาพันธ์ 2568 นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีแผนจะขอความอนุเคราะห์ข้อมูลที่เปิดเผยได้ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไทยมาใช้เทรน AI เพื่อให้ Pathumma LLM มีฐานข้อมูลมากพอแก่การเป็นโมเดลแบบเปิดที่เชี่ยวชาญทั้งภาษา ข้อมูล และบริบทไทย และมีส่วนช่วยขับเคลื่อน AI Governance หรือการใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและระบบบริการของภาครัฐในอนาคต
“สำหรับเป้าหมายต่อไปของการพัฒนาระบบ Pathumma LLM ที่ทีมวิจัยตั้งไว้ นอกจากการเพิ่มจุดแข็งด้านข้อมูลและความสามารถในการเป็น Generative AI แล้ว ทีมวิจัยยังมีแผนจะพัฒนาให้ Pathumma LLM ก้าวสู่การเป็น Agentic AI หรือ AI ที่มีศักยภาพในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพโดยอัตโนมัติ เช่น AI ผู้ช่วยส่วนตัวที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลตลาดและซื้อขายหุ้นตามเงื่อนไขให้โดยอัตโนมัติ หรือแชตบอตช่วยแนะนำระบบบริการที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้ใช้งานพร้อมช่วยตรวจสอบสถานะของงานให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งการยกระดับสู่ Agentic AI เป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่ผู้พัฒนาทั่วโลกต่างกำลังให้ความสำคัญ ณ ขณะนี้ด้วยเช่นกัน”
ผู้ที่สนใจทดลองใช้งาน Pathumma LLM เวอร์ชัน 1.0.0 ทั้งในรูปแบบ APP, API และ Model เข้าใช้งานได้ที่ https://aiforthai.in.th/pathumma-llm/ และติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pathumma LLM ได้ที่ sarawoot.kon@nstda.or.th
ผู้ให้การสนับสนุนในการพัฒนาโมเดล : คณะทำงานจาก Super AI Engineer ซีซัน 4
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

Info Session : Tech Planter Demo Day 2025
📣 โอกาสพิเศษสำหรับนักวิจัยและสตาร์ทอัพสาย Deep Tech!
ข้าร่วมกิจกรรม Info Session: Tech Planter Demo Day 2025 🎯
.
🔹 Speaker: Mr. Ambrose Chia (Leave a Nest, Singapore)
Ambrose graduated with a master’s degree in Technopreneurship and Innovation from Nanyang Technological University. He holds a bachelor’s degree in human Factors in Safety from Singapore University of Social Sciences. He is passionate about community building and ecosystem nurturing. As a member of Leave a Nest Human Development Division, Ambrose hopes to strengthen the science and deep technology startup ecosystem through partnership with Singapore’s Institutes of Higher Learning.
.
📅 13 ก.พ. 2568 | ⏰ 09.00 - 10.00 น.
📍 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (CO-101)
.
🌱🌳 What is Tech Planter?
Tech Planter by Leave a Nest is an incubation platform designed to support deep-tech startups, researchers, and entrepreneurs, especially in the early stages. Tech Planter is Asia's largest deep tech venture ecosystem, solving unsolved "deep issues" with "deep tech", a collection of science and technology.
.
✨ สิ่งที่คุณจะได้รับ:
✅ Mentorship: เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้าน Deep-Tech Startup
✅ Networking: เชื่อมโยงกับ VC นักลงทุน และองค์กรใหญ่
✅ Business Support: พัฒนาเทคโนโลยีให้เข้าถึงตลาดจริง
✅ Funding Opportunities: โอกาสขอรับทุนและพัฒนาธุรกิจ
.
What benefits will you gain from Tech Planter? ✨
💡Mentorship and Guidance: Access to experienced mentors from industry, academia, and business sectors on technology commercialization, business model development, and scaling strategies.
💡Networking Opportunities: Connections with potential partners, investors, and key stakeholders across Asia and globally. Exposure to corporate sponsors looking for innovative solutions to real-world problems.
💡Business Development Support: Insight into market trends, customer needs, and industry-specific challenges. Opportunities to validate your business model and technology in different markets.
💡Funding Opportunities: Potential to secure seed funding, grants, or strategic investments from corporate partners. Opportunities for follow-up funding based on performance and growth.
💡Collaborative Projects: Partnerships with large corporations looking to co-develop or adopt new technologies. Access to pilot programs, proof-of-concept opportunities, and real-world testing environments.
.
Who should attend “Info Session: Tech Planter Demo Day in Thailand 2025”
✅Early-stage startups and pre-startup researchers' teams or individuals in Tech fields aiming to solve societal problems
✅Researchers and Academic professionals seeking to commercialize their research and connect with industry partners.
✅Mature startups or SMEs seeking collaborators are also welcome, even if they are close to mass production or PMF establishment.
.
📌 ลงทะเบียนได้เลย! 🔗 https://forms.gle/urv3LNv1pJp95poY9 (หมดเขต 10 ก.พ. 2568)
📧 สอบถามเพิ่มเติม: sunatjee.nongnuch@nstda.or.th
👉รายละเอียดเพิ่มเติมที่ :
#TechPlanter #DeepTech #Startup #NSTDA #BusinessInnovation #InvestmentOpportunity
ปฏิทินกิจกรรม

สำเร็จอย่างงดงาม! สัมมนา “เปิดโอกาสสร้างอนาคต ทุนสนับสนุนผู้ประกอบการแห่งนวัตกรรม”
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) ได้จัดสัมมนา “เปิดโอกาสสร้างอนาคต ทุนสนับสนุนผู้ประกอบการแห่งนวัตกรรม” ณ อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 150 ท่าน จากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาคเอกชนหลากหลายอุตสาหกรรม หน่วยงานวิจัย และภาครัฐ โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวเปิดงาน
งานสัมมนาครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนทั้งที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีผลงานจาก สวทช. และมีผลงานวิจัยนวัตกรรมเป็นของตนเอง รวมทั้งบุคลากร สวทช. ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการผลักดัน การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ ได้รับทราบข้อมูลบทบาท กลไกการทำงาน และข้อมูลทุนสนับสนุนของ NIA ซึ่ง NIA ถือว่าเป็น PMU หลักในการสนับสนุน ส่งเสริม และดำเนินการด้านการพัฒนานวัตกรรมของประเทศ มีการบริหารจัดการทุน การสนับสนุนโครงการ มีกลไกการทำงานร่วมกับภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการ เพื่อการต่อยอดนวัตกรรม ที่หลากหลายและครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ไปสู่การขยายผลในตลาดผู้ใช้จริง
กิจกรรมสำคัญภายในงาน ประกอบด้วย
การนำเสนอหัวข้อ “บทบาทของ NIA ในการขับเคลื่อนงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์” และ “ทุนสนับสนุนและเครื่องมือการขับเคลื่อนของ NIA” โดย ดร.สุรอรรถ ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการด้านการเงินนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) แนะนำการสนับสนุนจาก NIA ที่ครอบคลุมในหลายมิติ อันได้แก่
Groom: การให้ความรู้ ฝึกอบรม upskill reskill สู่ผู้ประกอบการนวัตกรรม
Grant: การสนับสนุนทุนผู้ประกอบการที่มีความพร้อมของเทคโนโลยีระดับ 8 ขึ้นไป (TRL8)
Growth: การให้การสนับสนุนด้านการเงิน การกู้ยืมแบบไร้ดอกเบี้ย
Global: การเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมสู่ตลาดโลก
การแนะนำเทคนิค “เขียนข้อเสนอโครงการอย่างไร? ให้ได้ทุน NIA” โดยผู้เชี่ยวชาญจาก NIA ดร.สุทธิรักษ์ ดวงบุรงค์ นักพัฒนานวัตกรรมอาวุโส ฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ และ คุณเฉลิมพงษ์ กล้าขยัน ผู้จัดการพัฒนานวัตกรรม ฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมรายพื้นที่ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เพื่อทราบแนวทางการเขียนข้อเสนอโครงการที่จะประสบความสำเร็จในการได้รับทุนสนับสนุนจาก NIA
นอกจากนี้ ในช่วงท้ายยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ซักถามข้อสงสัยและรับคำแนะนำแบบตัวต่อตัวรายบริษัทจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญจาก NIA ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ NIA พร้อมสร้างแรงผลักดันให้เกิดการนำงานวิจัยไปต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคต
สวทช. และ NIA ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงานในครั้งนี้ และขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จกับโครงการนวัตกรรมในอนาคตของท่าน!
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ร่วมงานแสดงความยินดี ASOCIO 2024 DX Award & APICTA Awards 2024 สะท้อนบทบาทผู้นำภาครัฐในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล
(วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568) ณ โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ กรุงเทพฯ : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย เข้าร่วมงานแสดงความยินดีในการรับรางวัล ASOCIO 2024 DX Award & APICTA Awards 2024 จัดโดยสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) และได้รับเกียรติจาก นายสุภัค ลายเลิศ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย ขึ้นกล่าวแสดงความยินดีกับหน่วยงานในครั้งนี้
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า รางวัล ASOCIO Awards 2024 ที่สวทช. โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ได้รับนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่รางวัล แต่เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความสำเร็จและความมุ่งมั่นของ สวทช. ในการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และดิจิทัลของประเทศให้ก้าวไปสู่ระดับสากล เป็นการยืนยันถึงบทบาทของ สวทช. ในการเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลของประเทศ
สวทช. ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืนและตอบโจทย์ความต้องการของตลาด การสนับสนุนผู้ประกอบการ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโต และการผลักดันนวัตกรรม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทยประสบความสำเร็จ และได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้
นอกจากนี้ การได้รับรางวัล ASOCIO Awards 2024 ยังเป็นการประกาศให้ทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การสร้างงาน และการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. กล่าวว่า เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับรางวัล ASOCIO Awards 2024 สาขา Emerging Digital Solutions & Ecosystem Award in Public Sector ในงานประชุม The Asian-Oceanian Computing Industry Organization (ASOCIO) Digital Summit 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรม ANA Intercontinental กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีสมาชิกองค์กรชั้นนำภาครัฐและเอกชนจาก 24 ประเทศเข้าร่วม
“รางวัลนี้เป็นผลสำเร็จที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราตลอด 27 ปีที่ผ่านมา ในฐานะหน่วยงานรัฐที่สนับสนุนระบบนิเวศดิจิทัล ผ่านการพัฒนาบุคลากร และสนับสนุนผู้ประกอบการซอฟต์แวร์และดิจิทัล ร่วมขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ เราพร้อมเป็นส่วนสำคัญ เพื่อร่วมสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม” ดร.ภัทราวดี กล่าว
สนับสนุนธุรกิจดิจิทัลด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน
เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทยมีความพร้อมในการสนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยบริการที่ครอบคลุมทุกด้าน ได้แก่:
• พื้นที่สำนักงานพร้อมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทันสมัย: รองรับการทำงานขององค์กรทุกขนาดในบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม
• การเชื่อมโยงกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ: เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจและเข้าถึงตลาดใหม่
• โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการสนับสนุนด้านนวัตกรรม: เช่น การฝึกอบรมเชิงลึก กิจกรรมสัมมนาเพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้ และกิจกรรมสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นายกรัฐมนตรีไทย และ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลง รอบด้าน 14 ฉบับ ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
เมื่อวันที่ 6 ก.พ.68 : ณ ห้อง Hebei ชั้น 1 มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมเป็นสักขีพยานใน พิธีลงนามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่าง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน(MOST) ซึ่งได้จัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญา ประดิษฐ์ (AI) ร่วมพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI และการประยุกต์ใช้งานอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศพร้อมเสริมศักยภาพประเทศไทยให้ก้าวสู่ศูนย์กลางด้าน AI ของภูมิภาค
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน(พ.ศ. 2565 -2569) ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นหนึ่งในสาขาสำคัญที่ได้รับการส่งเสริมผ่านรูปแบบการแลกเปลี่ยนนักวิจัย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่สำคัญยังเป็นการประกาศความพร้อมของประเทศไทยที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้เล็งเห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้าน AI ของภูมิภาค
รมว.กระทรวง อว.กล่าวต่อว่า ภายใต้ความร่วมมือนี้ ทั้ง 2 กระทรวง ได้มอบหมายหน่วยงานในสังกัดที่มีภารกิจเกี่ยวข้องร่วมสนับสนุนการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระหว่างสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยและบริษัทเทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนนักวิจัย นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ที่จะได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี AI โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินงาน 5 ปี ตั้งเป้าหมายใน 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่ (1) การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อการดำเนินงานวิจัยขั้นสูง (2) การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนและพัฒนานักวิจัยและคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ (3) การส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา AI และ (4) ความร่วมมือในรูปแบบอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ทั้งสองประเทศพัฒนาและแบ่งปันองค์ความรู้ด้าน AI ได้ในระยะยาว
“ความร่วมมือครั้งนี้ จะทำให้คนไทยได้เรียนรู้ความเชี่ยวชาญและเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศจีน เช่น DeepSeek บริษัทสตาร์ตอัปด้าน AI จากประเทศจีน ที่ได้พัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) เปิดให้ใช้งานแพลตฟอร์ม DeepSeek ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลภาษา สร้างสรรค์เนื้อหาได้ผลเทียบเท่า Generative AI อื่น ๆ ในปัจจุบัน ด้วยต้นทุนการพัฒนาน้อยกว่าหลายเท่าตัว เพื่อให้ทุกคนเข้าถึง ใช้งาน AI ได้ง่ายในราคาประหยัดด้วยรูปแบบโอเพนซอร์ส (OpenSource) และยังรองรับการใช้งานภาษาไทย จึงเป็นโอกาสดีของนักพัฒนา ผู้ประกอบการ AI ไทย สามารถนำโมเดลนี้มาเรียนรู้ ต่อยอดให้เกิดเป็นธุรกิจบริการ AI ได้ด้วยต้นทุนไม่สูงมาก รวมถึงการนำองค์ความรู้นี้มาศึกษา ค้นคว้า ในการพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่ (ThaiLLM) ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์การใช้งานได้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยต่อไป” นางสาวศุภมาส กล่าวและว่า สาระสำคัญของความร่วมมืออีกประการหนึ่งคือการร่วมกันพัฒนาศูนย์ทดสอบมาตรฐานด้าน AI ระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาและใช้งาน AI อย่างปลอดภัย น่าเชื่อถือ ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาส เสริมขีดความสามารถในแข่งขันของประเทศไทยบนพื้นฐานเทคโนโลยี จากการประยุกต์ใช้ AI ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการแห่งอนาคต พร้อมช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ส่งเสริมการลงทุนด้านนวัตกรรม นำมาสู่ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในหลากหลายสาขา อาทิ ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การแพทย์อัจฉริยะ ระบบโลจิสติกส์และการขนส่ง ไปจนถึงการเกษตรแม่นยำ ซึ่งเป็นจุดแข็งของทั้งสองประเทศ
“นี่เป็นอีกก้าวสำคัญของไทยในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์เป้าหมายการนำเทคโนโลยี AI มาใช้พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนซึ่งสอดรับตามโยบาย "อว. for AI" ของกระทรวง อว.” นางสาวศุภมาส ระบุ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เยาวชนไทยโชว์ศักยภาพ คว้าชัยโครงงานวิทย์ระดับชาติ (YSC2025) เตรียมลุยแข่งเวทีโลก Regeneron ISEF 2025 สหรัฐอเมริกา
(5 กุมภาพันธ์ 2568) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรมประกาศผลการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 27 หรือ (Young Scientist Competition: YSC2025) ซึ่งผู้ชนะจะได้รับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และโอกาสได้รับสิทธิ์คัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในงาน Regeneron ISEF 2025 สหรัฐอเมริกา
โอกาสนี้ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานมอบรางวัล พร้อมด้วย คุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล ผู้อำนวยการกองบริหารทรัพยากรการวิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ร่วมกล่าวแสดงความยินดี รวมถึงมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงานโครงการ YSC ทั้ง 6 แห่งทั่วทุกภูมิภาค คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ นักเรียน อาจารย์ที่ปรึกษาและผู้ปกครอง เข้าร่วมงานลุ้นการประกาศผลการประกวดดังกล่าว
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและบ่มเพาะเยาวชนไทยให้ก้าวไปสู่เวทีระดับนานาชาติ โครงการ YSC เป็นมากกว่าการประกวด แต่เป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้วยกระบวนการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ถูกต้อง เราเชื่อมั่นว่าเยาวชนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติในอนาคต โครงการนี้เป็นปีที่ 27 แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสวทช. และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทย เราขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุนโครงการนี้มาโดยตลอด และขอเป็นกำลังใจให้นักเรียนทุกคนที่ได้รับรางวัลและเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในระดับนานาชาติ
“การจัดการประกวดครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการสนับสนุนทุนพัฒนาผลงานผ่านมหาวิทยาลัยเครือข่าย พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในการบ่มเพาะเยาวชนพร้อมทั้งสนับสนุนเยาวชนให้เข้าร่วมการประกวด Regeneron ISEF2025 ซึ่งมีกำหนดจัดในระหว่างวันที่ 10-16 พฤษภาคม 2568 เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา และการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ในระดับนานาชาติ" ดร.พัชร์ลิตา กล่าวเสริม
คุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล ผู้แทนสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. ในฐานะหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ได้ให้การสนับสนุน สวทช. และมหาวิทยาลัยเครือข่ายทั้ง 6 แห่ง จัดกิจกรรมโครงการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition : YSC) มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. 2564 - ปัจจุบัน ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมเยาวชนในระดับมัธยมศึกษาให้ได้รับองค์ความรู้และพัฒนาทักษะด้านโครงงานวิทยาศาสตร์ อันเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างนักวิทยาศาสตร์และนักนวัตกรรมรุ่นใหม่ของประเทศ วช. ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนและคุณครูทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเทและพัฒนาทักษะความสามารถจนได้รับรางวัลในการประกวดในครั้งนี้ และได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะในระดับนานาชาติต่อไป สำหรับเยาวชนที่ไม่ได้รับรางวัลในปีนี้ วช. ขอเป็นกำลังใจ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องๆ จะยังคงมุ่งมั่นและพัฒนาฝีมือเพื่อโอกาสต่อไปในอนาคต เราเชื่อมั่นว่าการจัดกิจกรรมการประกวดเช่นนี้ จะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้เยาวชนและพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ อันจะนำไปสู่การพัฒนากำลังคนเพื่อการพัฒนาประเทศ
สำหรับการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 27 ในปีนี้มีโครงงานส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 2,429 โครงงาน มีนักเรียนเข้าร่วม 6,442 คน และอาจารย์ที่ปรึกษา 1,555 คน จาก 326 โรงเรียนทั่วประเทศ โครงงานที่ผ่านเข้ารอบข้อเสนอเพื่อรับทุนพัฒนา 307 โครงงาน และมี 65 โครงงานจาก 41 โรงเรียนที่ได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ โดยผลการประกวด มีดังนี้
รางวัลชนะเลิศ 3 รางวัล ได้แก่
BeeShield: การพัฒนาอุโมงค์ทางเข้าป้องกันไรผึ้งโดยใช้พฤติกรรมการเข้ารังของผึ้งและการตอบสนองของไร ต่อกรดฟอร์มิก
ผู้พัฒนา: ปัณณวิชญ์ ธีรนันท์พัฒธน, กฤตนน เมืองแก้ว และวิภารัศม์ ธะนะวงค์
อาจารย์ที่ปรึกษา: เกียรติศักดิ์ อินราษฎร โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย
โครงงานนี้พัฒนาอุโมงค์ป้องกันไรผึ้ง โดยใช้ AI แยกแยะผึ้งที่ติดไร จากพฤติกรรมการเข้ารัง และใช้ ระบบฉีดพ่นกรดฟอร์มิกอัตโนมัติ ในระดับที่ปลอดภัยต่อผึ้ง ผลการทดลองพบว่า กรดฟอร์มิก 75% สามารถกำจัดไรได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผึ้ง เมื่อทดสอบเป็นเวลา 2 เดือน ระบบนี้ช่วยลดการติดไรของผึ้งได้ 3 เท่า ลดอัตราการตายของผึ้ง 4 เท่า และเพิ่มผลผลิตน้ำผึ้ง 4 เท่า เมื่อเทียบกับชุดควบคุม นวัตกรรมนี้จึงเป็น ทางเลือกที่ปลอดภัยและยั่งยืน สำหรับการเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ์ระบบนิเวศ
การสังเคราะห์โมเลกุลเซนเซอร์ฐานสารสีย้อมเคอร์คูมินที่สกัดจากขมิ้นชันสำหรับตรวจวัดแอลดีไฮด์สายาว ซึ่งเป็นสารบ่งชี้โรคมะเร็งปอด
ผู้พัฒนา: ธนัช ไชยมงคล
อาจารย์ที่ปรึกษา: ธีรพัฒน์ ขันใจ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงราย และบุษยรัตน์ ธรรมพัฒนกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร
โครงงานนี้พัฒนา อนุภาคกักเก็บโมเลกุลเซนเซอร์ EC@ccdz สำหรับการวินิจฉัยคัดกรองโรคมะเร็งปอด โดยเพิ่มความจำเพาะในการตรวจวัด nonanal (C9) ซึ่งเป็นสารบ่งชี้ทางชีวภาพ ผ่านปฏิกิริยากับ hydrazine-เคอร์คูมิน ทำให้สัญญาณฟลูออเรสเซนต์เพิ่มขึ้นและแยกแยะแอลดีไฮด์สายยาวได้อย่างแม่นยำ ด้วยการห่อหุ้มพอลิเมอร์ เอทิลเซลลูโลส (EC) เพื่อเสริมอันตรกิริยาแบบ hydrophobic interaction ส่งผลให้เกิดการจับตัวที่เสถียรและตรวจวัดได้ที่ ความยาวคลื่น 409 นาโนเมตร นอกจากนี้ยังพัฒนาชุดตรวจเชิงแสงบนกระดาษเคลือบโมเลกุลเซนเซอร์ ซึ่งสามารถตรวจวัด nonanal ในเหงื่อสังเคราะห์ ได้อย่างแม่นยำ โดยให้ขีดจำกัดการตรวจพบ (LOD) และขีดจำกัดการตรวจวัด (LOQ) ที่ 0.898 และ 2.994 µg/mL ตามลำดับ เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นชุดทดสอบคัดกรองมะเร็งปอดที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง
โครงงานการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Low Carbon สำหรับป้องกันไฟฟ้าสถิตและสารเคมีจากเศษข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ร่วมกับฟางข้าว
ผู้พัฒนา: ชวกร สงจันทร์, ปัณณพงค์ สงขกุล และทุกกร ประโพพิศ
อาจารย์ที่ปรึกษา: จันทร์จิรา ชัยอินทรีอาจ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
โครงงานนี้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ป้องกันไฟฟ้าสถิตและสารเคมีจากเศษข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผสมเยื่อฟางข้าว เพื่อลดขยะเกษตรและทดแทนวัสดุสังเคราะห์ โดยได้พัฒนาสูตรวัสดุผสมคาร์บอนรูพรุนและเยื่อฟางข้างเป็น 7 สูตร พบว่า สูตรที่ 3 อัตราส่วนคาร์บอนรูพรุนต่อเยื่อฟางข้าวเป็น 1:1 มีความแข็งแรงสูง สามารถป้องกันการซึมผ่านของสารเคมีได้ดี ขณะที่สูตรที่ 6 อัตราส่วนเป็น 1:4 มีค่าความจุไฟฟ้าสูง เหมาะสำหรับป้องกันไฟฟ้าสถิต นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 45-63% และใช้พลังงานต่ำกว่าพลาสติกทั่วไป จึงเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม
ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้ง 3 ทีม จะได้รับถ้วยพระราชทานฯ ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. (NAC2025) วันที่ 27 มีนาคม 2568 และจะได้รับการบ่มเพาะเสริมศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาโครงงานต่อยอดภายใต้การดูแลของนักวิจัย สวทช. ผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานชั้นนำในประเทศไทย ไปพร้อมกับน้องๆ ผู้ได้รับรางวัลที่ 1 และที่ 2 อีกกว่า 50 คน ก่อนคัดเลือกและประกาศผลเยาวชนตัวแทนประเทศไทยที่จะได้เดินทางไปแข่งขันในเวที Regeneron ISEF 2025 ระหว่างวันที่ 10-16 พฤษภาคมนี้
นอกจากนี้ยังมีโครงงานที่ได้รับรางวัลที่ 1 จำนวน 8 รางวัล รางวัลที่ 2 จำนวน 10 รางวัล และรางวัลชมเชยอีก 12 รางวัล รวมถึงรางวัลพิเศษอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 14 รางวัลจากผู้สนับสนุน ได้แก่ สวทช. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และบริษัท รีเวสเทค จำกัด อาทิ รางวัลด้านนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน รางวัลพิเศษนวัตกรรมรักษ์โลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน รางวัลพิเศษนวัตกรรมด้านการแก้ปัญหาร่วมสมัย เป็นต้น
“สวทช. ขอขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานทุกท่าน ที่เสียสละเวลาและความรู้ความสามารถในการพัฒนาเยาวชนไทย ขอขอบคุณผู้บริหารโรงเรียนทุกท่านที่สนับสนุนให้นักเรียนและอาจารย์ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ และขอขอบคุณมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงานทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ร่วมเป็นส่วนสำคัญในการจัดการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ในครั้งนี้” ดร.พัชร์ลิตา กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากการแข่งขันแล้ว โครงการยังมีการอบรมเสริมทักษะแก่นักเรียนและอาจารย์ที่ปรึกษา นำเยาวชน YSC สร้างแรงบันดาลใจด้านวิทยาศาสตร์ให้โรงเรียนทั่วประเทศ จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างเครือข่าย และเปิดโอกาสให้เยาวชนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ YSC Education Outreach Day เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรอีกด้วย
//////
ข่าวโดย พัชรพร แววนิล และ วราภรณ์ โลหะเลิศ คณะนิเทศศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดอบรมปัญญาประดิษฐ์ด้วยบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ (KidBright μAI) แก่ ‘ครู’ โรงเรียนภายใต้โครงการตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
(6 กุมภาพันธ์ 2568) ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดอบรมปัญญาประดิษฐ์ด้วยบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ (KidBright μAI) สำหรับโรงเรียนภายใต้โครงการตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Webex Meeting ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานกล่าวเปิดการอบรม พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และนักวิจัยทีมวิทยากร และคุณครูกลุ่มโรงเรียนภายใต้โครงการตามพระราชดำริฯ จำนวน 24 แห่ง เข้าร่วมอบรม
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การจัดอบรมปัญญาประดิษฐ์ด้วยบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ (KidBright μAI) เพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สำหรับโรงเรียนภายใต้โครงการตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในครั้งนี้ เป็นการนำบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ (KidBright μAI) ที่ได้มีการพัฒนาผลงานอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จนเป็นสื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีจุดเด่น คือ ผสานการเรียนรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ากับการเขียนโค้ดแบบบล็อก มีการสอนกระบวนการสร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์ให้แก่นักเรียนที่เข้าอบรม สามารถนำไปประยุกต์พัฒนาเป็นระบบอัตโนมัติที่มีส่วนประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ เพื่อแก้ไขโจทย์จริงในชีวิตประจำวันได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการอบรมในครั้งนี้ จะสำเร็จตามพระราชดำริของพระองค์ท่าน ที่ประสงค์ให้คุณครูทุกคนนำความรู้จากการอบรมในครั้งนี้ไปขยายผลในชั้นเรียน ส่งเสริมความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ให้แก่นักเรียนต่อไป”
(ภาพจากซ้าย ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.), ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช., ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เนคเทค สวทช. )
สำหรับการจัดอบรมปัญญาประดิษฐ์ด้วยบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ (KidBright μAI) แบ่งออกเป็น 2 วัน โดยการจัดอบรมในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นการอบรมหัวข้อ “โค้ดดิ้งด้วยบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ” โดย นางสาวธัญลักษณ์ เสรีวรวิทย์กุล ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และการอบรมหัวข้อ “การประยุกต์ใช้งานระบบควบคุมด้วยบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ” โดย นายวุฒิพงษ์ พรสุขจันทรา ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา สำหรับการอบรมในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 อบรมหัวข้อ “ความรู้ปัญญาประดิษฐ์เบื้องต้น” หัวข้อ “สร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์ด้วยบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ” และ หัวข้อ “สร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ด้วยบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ” โดย ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีอิกทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และนางสาวธัญลักษณ์ เสรีวรวิทย์กุล ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
บอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ (KidBright μAI) เป็นสื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา มีจุดเด่นคือ ผสานการเรียนรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ากับการเขียนโค้ดแบบบล็อก อีกทั้งสอนกระบวนการสร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์ให้แก่นักเรียน จนสามารถนำไปประยุกต์พัฒนาเป็นระบบอัตโนมัติที่มีส่วนประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ เพื่อแก้ไขโจทย์จริงในชีวิตประจำวัน ส่งเสริมการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 โดยเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย “บอร์ดคิดไบรท์ ไมโครเอไอ( KidBright μAI)” จำนวน 100 บอร์ด เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากนั้น สวทช. ทูลเกล้าฯ ถวายเพิ่มเติมอีก 21 บอร์ด และพระองค์ได้ทรงพระราชทานบอร์ดคิดไบร์ทไมโครเอไอ (KidBright µAI) ที่ได้รับไปยังกลุ่มโรงเรียนภายใต้โครงการตามพระราชดำริฯ จำนวน 24 แห่ง ประกอบด้วย กลุ่มโรงเรียนสังกัด สพฐ. กลุ่มโรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดน (ตชด.) กลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม และกลุ่มโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้ครูส่งเสริมให้เกิดการจัดการเรียนรู้และขยายผลด้านปัญญาประดิษฐ์ในชั้นเรียนแก่นักเรียนต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

Wolfram Mathematica: เกมกระดานและสื่อการสอนอิเล็กทรอนิกส์
📢💡 มาเปลี่ยนการสอนให้สนุกและเข้าถึงง่ายขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย!🚀
.
🎲 “Wolfram Mathematica: เกมกระดานและสื่อการสอนอิเล็กทรอนิกส์” 🎲
ออกแบบสื่อการสอนให้สนุก เข้าใจง่าย และโต้ตอบได้ด้วย Wolfram Mathematica!
🌟 หากคุณเป็น ครู อาจารย์ นักวิจัย นักพัฒนาเกม หรือผู้ที่สนใจด้านเทคโนโลยีการศึกษา และต้องการสร้างสื่อการสอนแบบอินเทอร์แอกทีฟ หรือออกแบบเกมกระดานที่ช่วยให้การเรียนการสนน่าสนใจขึ้น นี่คือโอกาสที่คุณไม่ควรพลาด!
.
🚀 ทำไมต้องเรียน Wolfram Mathematica?
✅ เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยในการคำนวณ ออกแบบ และสร้างสื่อโต้ตอบได้
✅ เหมาะสำหรับสร้างเกมกระดาน การจำลองข้อมูล และสื่อการสอนดิจิทัล
✅ ใช้งานง่าย แม้ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ดมาก่อน
✅ สนับสนุนทั้งครู อาจารย์ และผู้เรียน ให้สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น
.
📅 วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2568
📍 สถานที่: ณ ห้องวีไอพี บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
.
สมัครได้ที่ : https://www.nstda.or.th/r/qLNub
💸 ค่าลงทะเบียน: 1,600 บาท/คน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% )
.
🎯👩🏫คุณสมบัติ : ครู บุคลากรทางการศึกษา นักวิจัย หรือผู้ที่สนใจ จำนวน 20 คน
.
📌 กำหนดการสมัคร:
วันรับสมัคร: วันนี้ - 21 กุมภาพันธ์ 2568
ประกาศรายชื่อ: 3 มีนาคม 2568
.
🎁 สิ่งที่จะได้รับ:
Logbook 1 เล่ม
เอกสารประกอบการสอน และอุปกรณ์การสอนอื่นๆ อีกมากมาย
👉กำหนดการ : https://www.nstda.or.th/r/jMH5d
.
🔗 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
คุณเสาวณีย์ โสภณนันทวัฒน์
📞 02 529 7100 ต่อ 77220, 📲 081 840 8499
📧 saowanee@nstda.or.th
.
คุณเพชรดา เวณุนันท์
📞 02 564 7000 ต่อ 1433
📧 pechda.wenunun@nstda.or.th
.
#WolframMathematica #เกมกระดาน #สื่อการสอนอิเล็กทรอนิกส์ #อบรมเชิงปฏิบัติการ
ปฏิทินกิจกรรม

เกษตรแปลงใหญ่เฮ ! ‘ปุ๋ยคีเลตสูตรใหม่’ ใช้งานได้ทั้งโดรนและระบบท่อน้ำ
ปัจจุบันเกษตรกรในหลายพื้นที่ของประเทศไทยเริ่มรวมตัวเป็นกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่เพื่อนำระบบเกษตรอัจฉริยะ เช่น การให้น้ำและปุ๋ยผ่านทางโดรนหรือระบบท่อน้ำมาใช้ทำเกษตรแบบแม่นยำ เพิ่มคุณภาพผลผลิต ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยรวมถึงสารเพิ่มประสิทธิภาพพืชต้องเร่งปรับตัวพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีความเหมาะสมตามไปด้วย เพื่อให้ทุกการลงทุนของเกษตรกรเกิดผลแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย และช่วยยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์สมาร์ตเทคโนโลยี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยต่อยอดเทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยคีเลตจากสูตรสำหรับฉีดพ่นสู่สูตรสำหรับใช้งานร่วมกับโดรนและระบบท่อน้ำเพื่อการผลิตพืชเศรษฐกิจไทย โดยได้รับทุนวิจัยจากกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) ซึ่งเป็นการดำเนินงานร่วมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนไทย
[caption id="attachment_65303" align="aligncenter" width="750"] ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง หัวหน้าทีมวิจัยเกษตรนาโนขั้นสูง นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง หัวหน้าทีมวิจัยเกษตรนาโนขั้นสูง นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ปุ๋ยคีเลต คือ ธาตุอาหารสำหรับบำรุงและเร่งการเจริญเติบโตของพืชที่ผ่านการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีคีเลชัน (chelation) หรือการห่อหุ้มธาตุอาหารให้อยู่ในรูปที่ไม่มีประจุ เพื่อให้พืชดูดซึมธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งทางปากใบและราก ลดการสูญเสียธาตุอาหารจากการตกตะกอนในดิน
“ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้พัฒนาปุ๋ยคีเลตธาตุอาหารรองและเสริมประเภทห่อหุ้มด้วยสารคีเลตจากธรรมชาติจนประสบความสำเร็จและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาคเอกชนเรียบร้อยแล้ว โดยปุ๋ยที่พัฒนาเป็นรูปแบบฉีดพ่นเพื่อให้ธาตุอาหารทางปากใบและราก จุดเด่นของการห่อหุ้มธาตุอาหารด้วยสารคีเลตจากธรรมชาติคือ พืชนำสารห่อหุ้มไปใช้ในการเจริญเติบโตได้ แตกต่างจากสารห่อหุ้มที่เป็นสารสังเคราะห์ที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ต่อไม่ได้ จึงช่วยลดทอนส่วนประกอบของปุ๋ยที่ต้องทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างพืชเศรษฐกิจที่เกษตรกรไทยเริ่มนำปุ๋ยชนิดนี้ไปใช้งานแล้ว เช่น ทุเรียน ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง”
หลังจากทีมวิจัยถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ภาคเอกชน พร้อมทั้งถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และวิธีการใช้งานปุ๋ยชนิดนี้ให้แก่กลุ่มเกษตรกรเป้าหมาย ทีมวิจัยได้เดินหน้าพัฒนา “สูตรปุ๋ยคีเลตสำหรับใช้งานร่วมกับโดรนและระบบท่อน้ำ” เพื่อสนับสนุนการทำเกษตรแปลงใหญ่ของเกษตรกรไทย
ดร.คมสันต์ อธิบายว่า ในการดูแลเกษตรแปลงใหญ่ เกษตรกรนิยมนำเทคโนโลยี 2 ชนิดมาช่วยลดเวลาและภาระงาน คือ โดรนเพื่อการเกษตรและระบบท่อน้ำ เพราะอุปกรณ์ทั้งสองมีความแม่นยำในการให้น้ำและสารบำรุงพืชสูง อย่างไรก็ตามการให้ปุ๋ยผ่านระบบทั้งสองจำเป็นต้องเลือกใช้ปุ๋ยชนิดที่ผ่านการปรับสูตรอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงอัตราการละลายน้ำและระดับความเข้มข้นในการนำไปใช้ประโยชน์ พืชจึงจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ และช่วยยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์สมาร์ตเทคโนโลยีอีกด้วย ที่ผ่านมาทีมวิจัยจึงได้ดำเนินการพัฒนาสูตรปุ๋ยคีเลตเพื่อใช้งานกับเทคโนโลยีทั้งสองจนประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ในสถานะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี
“การให้ปุ๋ยทางโดรนจะเหมาะกับพืชที่มีระดับความสูงของต้นใกล้เคียงกัน ตัวอย่างปุ๋ยคีเลตธาตุอาหารรองเสริมที่ทีมวิจัยพัฒนาจนประสบความสำเร็จคือ ปุ๋ยสำหรับข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ส่วนการให้ปุ๋ยผ่านทางระบบท่อน้ำจะเหมาะกับไม้ยืนต้นที่ส่วนสูงของต้นไม่เท่ากัน ปลูกห่าง หรือปลูกบนพื้นที่ลาดชัน ตัวอย่างปุ๋ยคีเลตธาตุอาหารรองเสริมที่พัฒนา คือ ทุเรียน ลองกอง มังคุด เงาะ ลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกเพื่อการบริโภคภายในประเทศไทยและส่งออกต่างประเทศมาก”
[caption id="attachment_65311" align="aligncenter" width="750"] ไร่อ้อย[/caption]
[caption id="attachment_65306" align="aligncenter" width="750"] ไร่มันสำปะหลัง[/caption]
[caption id="attachment_65309" align="aligncenter" width="750"] สวนทุเรียน[/caption]
[caption id="attachment_65307" align="aligncenter" width="750"] สวนลำไย[/caption]
นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยคุณภาพสูงเพื่อยกระดับการเพาะปลูกของเกษตรกรไทยให้เปลี่ยนจากทำมากได้น้อยสู่ทำน้อยได้มากแล้ว อีกหนึ่งประเด็นการวิจัยที่ทีมวิจัยให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ การนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ในประเทศไทย
ดร.คมสันต์ เล่าเสริมทิ้งท้ายถึงเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังมีแผนที่จะร่วมกับภาคเอกชนชั้นนำของประเทศไทยพัฒนาเถ้าชีวมวลและเถ้าถ่านหินที่ได้จากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ให้เป็นปุ๋ยคีเลตที่มีแร่ธาตุและประสิทธิภาพในการบำรุงและเร่งการเจริญเติบโตของพืชสูง ซึ่งหากการวิจัยประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้จะมีส่วนช่วยลดขยะอุตสาหกรรม เสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัสดุเหล่านั้นได้
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยคีเลชัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7100
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย นาโนเทค สวทช. และ Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

รมว.อว. เปิดงาน “สืบศิลป์ สานสร้าง นวัตกรรมผ้าบาติก” หนุนเศรษฐกิจชุมชนชายแดนใต้
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน “สืบศิลป์ สานสร้าง นวัตกรรมผ้าบาติก” กิจกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ชายแดน โดยมี นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วย รมว.อว. พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.อว. ผศ.ดร.อรุณีวรรณ บัวเนี่ยว รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพันธกิจสังคม วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (อว. ส่วนหน้าจังหวัดปัตตานี) นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี พร้อมคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และประชาชนชาวปัตตานี เข้าร่วม ณ วิชชาลัยชุมชนบาติกโมเดล ต.สะบารัง อ.เมืองปัตตานี จ.ปัตตานี
ในงานนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ได้นำเสนอผลงานวิจัยสำคัญ ได้แก่ “Magik Color” แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ และ “การพัฒนาและเคลือบสิ่งทอให้มีคุณสมบัติพิเศษด้วยนาโนเทคโนโลยี” ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมแกร่งเศรษฐกิจและสังคม พร้อมผลักดันองค์ความรู้สู่ชุมชน มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ ถือเป็นการบูรณาการวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์