ผลการค้นหา :
สวทช. โดย EECi เสวนา การจัดการทุเรียนไทยในวันที่โลกรวน ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลนำทาง ลดความเสี่ยง เพิ่มความยั่งยืน
(วันที่ 29 กรกฎาคม 2568) ณ สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง: ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับในกิจกรรมสัมมนา “การจัดการทุเรียนไทยในวันที่โลกรวน: เทคโนโลยีและข้อมูลนำทาง เพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มความยั่งยืน” ซึ่ง สวทช. โดย EECi ร่วมกับสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนไทยภาคตะวันออก หอการค้าจังหวัดระยอง จัดกิจกรรมเพื่อถ่ายทอดและนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาและการรับมือสถานการณ์ที่ผันผวนที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกษตรมูลค่าสูง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรไทยมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการปรับแปลงและมีความสามารถในการแข่งขัน โดยมี นายทินกร ลาวัณย์เสถียร ประธานหอการค้าจังหวัดระยอง นายวสันต์ รื่นรมย์ นายกสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนไทยภาคตะวันออก นายครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร คณะวิทยากรจากกรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. และกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายชาวสวนทุเรียนและสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ในจังหวัดระยอง จำนวนกว่า 100 ราย เข้าร่วมงาน
ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. โดยเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่าน ทั้งหอการค้าจังหวัดระยอง และสมาพันธุ์ชาวสวนทุเรียนไทยภาคตะวันออกที่เลือก EECi เป็นสถานที่จัดกิจกรรม สัมมนา “การจัดการทุเรียนไทยในวันที่โลกรวน: เทคโนโลยีและข้อมูลนำทาง เพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มความยั่งยืน” ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ของไทย ทั้งในด้านการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต การค้า การปรับแปลงเทคโนโลยีนวัตกรรม การพัฒนาทักษะบุคลากร และการสนับสนุนความยั่งยืนในทุกมิติ
ทั้งนี้ สวทช. และ EECi มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ โดย EECi มีบทบาทสำคัญในการเป็น แพลตฟอร์มกลาง ที่เชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนาจาก สวทช. สู่การประยุกต์ใช้จริงในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน โดยกิจกรรมในวันนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการเทคโนโลยีนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพทุเรียนไทย ทั้งการเปิดตัวเทคโนโลยี เรื่อง N-sense อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow) ในทุเรียนแบบพกพา รวมทั้งการนำเสนอเทคโนโลยีนวัตกรรม อาทิ ชุดตรวจการปนเปื้อนสารเคมี โลหะหนัก และเชื้อจุลินทรีย์ นวัตกรรมถุงแดงห่อทุเรียน สารชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูทุเรียน และนวัตกรรมปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยด้วยนาโนเทคโนโลยี เป็นต้น
“เราตั้งใจนำงานวิจัย นวัตกรรมมาร่วมแก้ปัญหา ยกระดับมาตรฐาน และสร้างความเชื่อมั่น ในผลผลิตทางการเกษตรของพื้นที่ EEC โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออก และกำลังเผชิญความท้าทายนี้ สวทช. และ EECi พร้อมทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ให้เป็นรากฐานของการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน” ดร.วุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับนวัตกรรมวิจัยที่ สวทช. โดย EECi นำมาแสดงในการสัมมนาดังกล่าว ประกอบด้วย
ต้นแบบนวัตกรรม "N-sense" อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ในทุเรียนแบบพกพา เกิดจากการต่อยอดองค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยี เซนเซอร์และการตรวจวัดที่ทีมวิจัยมีศักยภาพอยู่แล้ว สู่เครื่องมือที่จะช่วยตรวจคัดกรองให้เกิดความรวดเร็วในการตรวจสอบ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาของเกษตรกร
"N-sense" ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ ขั้วเซนเซอร์เคมีไฟฟ้าที่จำเพาะกับสาร BY2 และเครื่องอ่านและประมวลผลแบบพกพา โดยมีจุดเด่นเรื่องของการใช้งานสะดวก สามารถนำไปใช้ได้ทุกที่ เสมือนยกห้องแล็บมาไว้ในมือ ย่นระยะเวลาในการตรวจจากวิธีในการตรวจวัดแบบมาตรฐานที่ทางเกษตรกรหรือโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ใช้อยู่ ซึ่งต้องส่งตัวอย่างเพื่อตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ใช้เวลา 48 ชั่วโมง เหลือเพียง 20 นาทีเมื่อตรวจคัดกรองด้วย "N-sense" ค่าใช้จ่ายน้อยลงกว่า 10 เท่า แต่ความแม่นยำสูง
สารชีวภัณฑ์ โดย Biotec ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค ได้พัฒนาสารชีวภัณฑ์เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืชในธรรมชาติมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างจุลินทรีย์และผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์เกษตร ได้แก่ การพัฒนาราบิวเวอเรียและราเมตาไรเซียม เพื่อใช้ควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เป็นต้น ราไตรโคเดอร์มา เพื่อป้องกันและกำจัดโรคพืชเช่น ไฟทอปธอร่า โดยทางทีมวิจัยได้ทดสอบประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์เหล่านี้ ในการจัดการสวนทุเรียน ทั้งในแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการระบาดของโรคและแมลงสำคัญ เพื่อสร้างองค์ความรู้และกระบวนการจัดการปัญหาโรคและแมลงในสวนทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์ทดแทนการใช้สารเคมีที่มีอันตราย โดยพบว่าชีวภัณฑ์มีประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงศัตรูได้ดีหรือเทียบเท่าสารเคมี และยังพบการเพิ่มขึ้นของแมลงศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชน์ (แมลงดี) ในแปลงที่ใช้ชีวภัณฑ์และผสมผสานมากกว่าแปลงสารเคมี แสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวภัณฑ์สามารถฟื้นคืนสมดุลธรรมชาติระบบนิเวศในสวนทุเรียนได้ดี นอกจากนี้เรื่องโรคในทุเรียน พบว่า ชีวภัณฑ์สามารถหยุดการตายของต้นทุเรียนได้ โดยต้นทุเรียนค่อย ๆ ฟื้นตัว ส่งเสริมความแข็งแรงและกลับมาออกผลผลิตได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ ทีมวิจัยฯ ยังได้จัดทำระบบสนับสนุนการใช้ชีวภัณฑ์แบบ one stop service ที่เชื่อมต่อเกษตรกร นักวิชาการ และผู้ผลิตชีวภัณฑ์ รวมถึงเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลผู้ให้บริการตรวจสอบสภาพอากาศ เพื่อสร้างผู้ช่วยส่วนตัวของเกษตรกรในการวินิจฉัยโรคและแมลง แนะนำ SOP หรือมาตรฐานการปฏิบัติงานในแต่ละพืชและชีวภัณฑ์ที่เหมาะสม ในรูปแบบแพลตฟอร์มที่เรียกว่า DAPBot คู่คิดติดปลายนิ้วคนเกษตรอีกด้วย
นวัตกรรมชุดตรวจฯ ChemSense โดย นาโนเทค สวทช. พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ สู่เซนเซอร์รูปแบบต่าง ๆ ชุดตรวจ ChemSense ที่สามารถคัดกรองการปนเปื้อนแมงกานีส (Mn) ฟลูออรีน (F) เหล็ก (Fe) ทองแดง (Cu) ในน้ำอุปโภคบริโภค และเซนเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนักอย่าง แคดเมียม (Cd) ตะกั่ว (Pb) ปรอท (Hg) สารหนู (As) ที่นำร่องตรวจวัดสิ่งปนเปื้อนในน้ำและพืชสมุนไพร และจะขยายสู่การตรวจคัดกรองแคดเมียมในพืชเศรษฐกิจอย่างทุเรียน ที่กำลังเป็นที่สนใจในปัจจุบัน
ทั้งนี้การรวบรวมชุดเทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการทุเรียนคุณภาพ รวมทั้งระบบสมาร์ทฟาร์ม รักษ์น้ำ นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth และ Magik Greenhouse นวัตกรรมปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยด้วยนาโนเทคโนโลยี และปุ๋ยนาโนคีเลตจุลธาตุอาหารเพื่อเร่งการเติบโตของทุเรียน มาจัดแสดงเพื่อเปิดมุมมอง และสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรเห็นประโยชน์ของการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่เพื่อเป็นการเสริมประสิทธิภาพ แก้ปัญหา และช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคการเกษตรของไทยต่อไป
เกษตรกรและผู้สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2564-7000 ทาง EECi
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ลงนามร่วมเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายกับ วช. และ มสจท. เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานด้านจริยธรรมการวิจัยในคน
23 กรกฎาคม 2568 มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาวิจัยในคนในประเทศไทย (มสจท) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินงานการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคนแบบสหสถาบัน ระหว่างสถาบันภาคี กว่า 50 สถาบัน คาดก่อให้เกิดการยกระดับมาตรฐานการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ และส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ อย่างยั่งยืนในอนาคต
วช. และ มสจท ในฐานะผู้บริหารและกำกับดูแลการดำเนินการของคณะกรรมการกลางพิจารณาจริยธรรมวิจัยในคน (Central Research Ethics Committee – CREC) ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินงานการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคนแบบสหสถาบัน ณ โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพ โดยมี ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงขวัญชนก ยิ้มแต้ ประธานมูลนิธิ มสจท กล่าวต้อนรับและรายงานความเป็นมาของการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) และความก้าวหน้าของความร่วมมือระหว่างสถาบันภาคี และ นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการ วช. เป็นประธานกล่าวเปิดพิธีลงนามอย่างเป็นทางการ
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้แทน สวทช. ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับนี้ เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานด้านจริยธรรมการวิจัยในคนร่วมกับสถาบันภาคี ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับกระบวนการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคนของประเทศ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินการวิจัยในคนของ สวทช. ที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายสถาบัน สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องพิจารณาซ้ำกับสถาบันภาคี หรือสามารถพิจารณาอย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน โดยสอดคล้องกับวิธีดำเนินการมาตรฐานของ CREC เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน คณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ของ สวทช. (NSTDA-IRB) มีการดำเนินงานที่ได้มาตรฐาน โดยเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ จาก The Strategic Initiative for Developing Capacity in Ethical Review and The Forum for Ethical Review Committees in Asia and the Western Pacific (SIDCER-FERCAP) และ กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากความพร้อมดังกล่าว จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ สวทช. ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสถาบันภาคีของความร่วมมือในการดำเนินงานพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคนแบบสหสถาบันในครั้งนี้
ติดตามข้อกำหนดต่างๆ ของ คณะกรรมการกลางพิจารณาการวิจัยในมนุษย์ (CREC) ได้ที่
https://www.crecthailand.org/th/home-crec
ศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ได้ที่
งานด้านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ของ สวทช. https://www.nstda.or.th/home/introduce/research-integrity/
SIDCER-FERCAP https://www.sidcer-fercap.org/pages/home.php
กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ อย. https://medical.fda.moph.go.th/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. และประชาคมชาว อวท. ร่วมบริจาคโลหิตเทิดพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อแสดงความจงรักภักดีและเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นในวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2568 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี ในโอกาสนี้ ผู้บริหาร สวทช. ได้แก่ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ นักวิจัย ตลอดจนบุคลากรจากหน่วยงานภายใน สวทช. และอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ เข้าร่วมบริจาคโลหิตอย่างพร้อมเพรียง
การบริจาคโลหิตในครั้งนี้ ดำเนินการร่วมกับหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่จากสภากาชาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรองโลหิตสำหรับช่วยเหลือกำลังพลในพื้นที่ชายแดน และประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ซึ่งเป็นการส่งต่อพลังแห่งการให้ที่มีคุณค่ายิ่ง ทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำนึกด้านจิตอาสาและการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม
กิจกรรมนี้นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สะท้อนถึงความร่วมมือ ความเสียสละ และความจงรักภักดีของประชาคม สวทช. และ อวท. ที่ร่วมกันกระทำความดีเพื่อแผ่นดิน อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
กรมสรรพากร ร่วมมือ สวทช. และธนาคารกรุงไทย พัฒนาเทคโนโลยี AI เสริมศักยภาพบริการภาครัฐ
(วันที่ 29 กรกฎาคม 2568) ณ อาคารกรมสรรพากร ซอยพหลโยธิน 7: กรมสรรพากร ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนา ต่อยอด และถ่ายทอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ สนับสนุนการให้บริการประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ
นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “กรมสรรพากรมีความมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมบริการ โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ในปี 2568 – 2570 มุ่งเน้นที่จะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บภาษี ยกระดับการให้บริการประชาชน และ “เสริมสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้” การร่วมมือกันในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการขยาย ต่อยอดความร่วมมือ ของกรมสรรพากร สวทช. โดยเนคเทค และธนาคารกรุงไทย ที่ร่วมกันนำเทคโนโลยี AI มาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สอดคล้องภารกิจของกรมสรรพากร และยกระดับภาษีของประเทศ บริการผู้เสียภาษีให้มีศักยภาพในการแข่งขัน และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังเตรียมแผนในอนาคตที่ชัดเจน ในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวทั้งด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดเก็บภาษี และด้านการบริการดิจิทัลต่อผู้เสียภาษีและประชาชน ด้วยเทคโนโลยี AI มาสนับสนุนและเตรียมข้อมูล เพื่อช่วยวิเคราะห์ และตรวจสอบภาษีให้รวดเร็วยิ่งขึ้น วิเคราะห์พฤติกรรมการยื่นแบบและชำระภาษีเพื่อออกแบบบริการภาษีให้ตรงกับแต่ละบุคคล ทั้งนี้ การนำ AI มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับสูง เทคโนโลยี AI บุคลากรด้าน AI และการกำกับดูแลอย่างโปร่งใสตามหลักจริยธรรม AI ภายใต้ความร่วมมือด้านเทคโนโลยี AI จาก สวทช. โดยเนคเทค ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับสูงจากธนาคารกรุงไทย เราจะสามารถยกระดับระบบภาษี ให้เป็นระบบที่ทันสมัย น่าเชื่อถือ มีธรรมาภิบาล และเป็นที่พึ่งของประชาชนโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวง อว. กล่าวว่า “การผนึกกำลังร่วมกับกรมสรรพากร และธนาคารกรุงไทยครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากความร่วมมือที่มีมาก่อนหน้า เพื่อร่วมกันนำนวัตกรรมมายกระดับ บริการดิจิทัลภาครัฐให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น ในยุคที่ AI และ BIG DATA มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง สวทช. ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการมีเทคโนโลยี AI ของประเทศ หรือ "Localize AI" ที่ถูกพัฒนาให้เข้าใจบริบทของไทยโดยเฉพาะ ทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับการให้บริการประชาชนได้อย่างตรงจุด แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลภาครัฐ ป้องกันข้อมูลสำคัญรั่วไหลไปยังต่างประเทศ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สวทช. โดย เนคเทค พร้อมทำหน้าที่เป็นขุมพลังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย พร้อมนำองค์ความรู้และประสบการณ์มาสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและทักษะบุคลากร เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ที่เป็นของคนไทยเพื่อความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และสร้างต้นแบบการบูรณาการความเชี่ยวชาญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุค AI อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธนาคารกรุงไทยมีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับกรมสรรพากร และ สวทช. โดยเนคเทค สนับสนุนการพัฒนา “RD Voice Chatbot” ระบบผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะ ให้บริการข้อมูลภาษีด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารกับประชาชน และเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับภาครัฐให้เข้าถึงบริการได้ง่าย ขยายการเข้าถึงข้อมูลด้านภาษีให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มให้เท่าเทียม ทันสมัย และเสริมสร้างความโปร่งใสในการให้บริการ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐอย่างเต็มที่ ผ่านความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล โดยธนาคารมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็น “GovTech Enabler” หรือพันธมิตรภาครัฐ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล โดยยึดมั่นในหลักการใช้เทคโนโลยี “อย่างมีความรับผิดชอบ” คำนึงถึงผลกระทบในวงกว้าง ทั้งด้านความปลอดภัย และความเป็นธรรม เพื่อยกระดับการให้บริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ
ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ในมิติของบริการทางการเงิน จะช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลของภาครัฐเป็นไปอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และส่งเสริมให้โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (digital infrastructure) มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น ครอบคลุมกระบวนการทำธุรกรรมระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร แทนที่กระบวนการบนกระดาษอย่างไร้รอยต่อ โดยโครงการนี้ได้รับการอนุมัติและเห็นชอบ จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนภายในอย่างครบถ้วน ครอบคลุมการประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการทำงานของหน่วยงาน การพัฒนาทักษะบุคลากรภาครัฐให้พร้อมต่อยุคดิจิทัล และการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเทคโนโลยี AI ซึ่งรวมถึงบริการระบบคลาวด์จากธนาคารกรุงไทย ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจร่วมกันของทุกฝ่ายในการขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพบริการภาครัฐและรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบราชการดิจิทัลอย่างยั่งยืน สามารถขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างกรมสรรพากร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติด้านดิจิทัล สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน โดยครอบคลุมทั้งการประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการทำงานของหน่วยงาน การพัฒนาทักษะบุคลากรภาครัฐให้พร้อมต่อยุคดิจิทัล และการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี AI ซึ่งรวมถึงบริการระบบคลาวด์ จากธนาคารกรุงไทย ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจร่วมกันของทุกฝ่ายในการขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพบริการภาครัฐและรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบราชการดิจิทัลอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศหรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
สอบถามเพิ่มเติม: สำนักงานเลขานุการกรม โทร. ๐ ๒๒๗๒ ๙๕๒๙-๓๐ โทรสาร ๐ ๒๖๑๗ ๓๓๒๔
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร.๑๑๖๑
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
หลักสูตร “การสร้างสื่อวิดีโอ Infographic เพื่อการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพด้วย Application Canva” (รุ่นที่ 6)
🎯 พลาดไม่ได้!!! มาสร้างประสบการณ์ใหม่ในการทำสื่อวิดีโอ และการสร้างคอนเทนต์ให้ปังและยั่งยืน ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุค AI Generative กับ
หลักสูตร “การสร้างสื่อวิดีโอ Infographic เพื่อการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพด้วย Application Canva” (Create Efficient Video Presentations with Canva) รุ่นที่ 6
ท่านจะได้เรียนรู้กระบวนการคิดและสร้างสรรค์ ตั้งแต่ Direction Concept จนถึงการนำเสนอและสร้างสื่อวิดีโอให้มีประสิทธิภาพ
โดยใช้การนำเสนอในรูปแบบ Infographic ด้วย Canva Pro โปรแกรมอันดับหนึ่งที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด
เพื่อสร้างการนำเสนอที่มีคุณภาพ ทันสมัย ด้วยเครื่องมือออนไลน์
ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมฟีเจอร์ AI ที่ช่วยให้การสร้างวิดีโอของคุณเป็นเรื่องง่าย แต่ได้ผลลัพธ์แบบมืออาชีพ
🆙 ดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่
🔗 https://www.career4future.com/vinfo/
🎯 ลงทะเบียนก่อนเต็ม!!!
🗓️ วันที่ 28 – 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 – 16.00 น.
📍ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ หรือเทียบเท่า
💰 ค่าลงทะเบียน:
บุคคลทั่วไป 9,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
หน่วยงานภาครัฐ 9,252.34 บาท
ราคานี้รวม: อาหารว่าง อาหารกลางวัน เอกสารประกอบการเรียน และคอมพิวเตอร์สำหรับฝึกอบรม
📲 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: คุณใหม่ โทร. 08 5289 2669
อีเมล: bas@nstda.or.th
ข่าว
ปฏิทินกิจกรรม
FOOD INNOPOLIS X HKSTP โปรแกรมการเข้าสู่ตลาดแบบ SOFT-LANDING สำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร
🚀 FOOD INNOPOLIS X HKSTP
โปรแกรมการเข้าสู่ตลาดแบบ SOFT-LANDING สำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร
.
📌 เปิดรับสมัครแล้ว - กำหนดส่ง: 31 กรกฎาคม 2025 https://forms.gle/SjJKxQjRD6WnbwGw8
คุณเป็นสตาร์ทอัพด้าน Food Tech ที่พร้อมจะสำรวจตลาดฮ่องกงและเข้าถึงโอกาสการเติบโตสูงในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่หรือไม่?
HKSTP และ Food Innopolis เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมโปรแกรม Soft-Landing ระยะเวลา 12 เดือน ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสตาร์ทอัพด้าน Food Tech ที่มีนวัตกรรม เพื่อการตรวจสอบความเป็นไปได้และขยายตัวในตลาดฮ่องกง - ประตูสู่หนึ่งในตลาดอาหารที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย!
.
🎯 จุดเด่นของโปรแกรม
✅ ทุนสนับสนุนตามเป้าหมายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์ฮ่องกง
✅ การฝึกอบรมและการโค้ชจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
✅ สามารถเข้าร่วมแบบออนไลน์จากประเทศไทย
✅ การเชื่อมต่อเชิงกลยุทธ์กับเครือข่ายวิจัยของ Food Innopolis
✅ การสนับสนุนร่วมกันจากระบบนิเวศของ Food Innopolis และ HKSTP
📅 ระยะเวลาโปรแกรม (12 เดือน)
ขั้นตอนที่ 1 - กำหนดส่งใบสมัคร: 31 กรกฎาคม 2025
• กระบวนการคัดเลือกเข้าโปรแกรม
ขั้นตอนที่ 2 - การตรวจสอบแนวคิดการทดสอบตลาดในฮ่องกง
• การบ่มเพาะร่วมกันโดย Food Innopolis และ HKSTP
ขั้นตอนที่ 3 - เปิดตัวและเข้าสู่ตลาดฮ่องกง
• การสนับสนุนการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่อง
🎯 เงื่อนไขการสมัคร
• มีแนวคิดนวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยพัฒนาและแผนธุรกิจ
• ยินยอมจดทะเบียนบริษัท จำกัด ในฮ่องกงด้วยการสนับสนุนและคำแนะนำจาก HKSTP
🏢 เกี่ยวกับ HKSTP ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2001 HKSTP เป็นองค์กรตามกฎหมายที่จัดตั้งโดยรัฐบาลฮ่องกง มุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีชีวิตชีวา ผลงานสำคัญ ได้แก่:
• หน่วยบ่มเพาะเทคโนโลยีชั้นนำในฮ่องกงที่สนับสนุนสตาร์ทอัพกว่า 1,400 แห่ง
• บริษัทในพาร์คจาก 25 ประเทศและภูมิภาค
• ยูนิคอร์น 13 แห่ง (7 แห่งเกิดในท้องถิ่น และ 6 แห่งจากต่างประเทศ)
• ระดมทุนได้ประมาณ 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐโดยบริษัทในพาร์คตั้งแต่ปีงบประมาณ 2018 ใน 430+ ดีลการลงทุน
นี่คือโอกาส ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศนวัตกรรมของฮ่องกงและจีน !
📞 สอบถามข้อมูล
ดร.ปรเมษฐ์ ชุ่มยิ้ม ผู้จัดการแพลตฟอร์ม Food Innopolis Accelerator 📧 Porramate.chu@nstda.or.th
คุณคริสตี้ หว่อง ผู้จัดการ ส่วนพัฒนาร่วม HKSTP 📧 christie.wong@hkstp.org
ปฏิทินกิจกรรม
‘iSmart OEE’ อุปกรณ์ประเมินประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติ
ทุกวันนี้โรงงานของคุณยังให้พนักงานบันทึกการทำงานของเครื่องจักรลงกระดาษ แล้วค่อยนำมาคำนวณประสิทธิภาพในภายหลังอยู่หรือเปล่า หากคำตอบคือใช่ คุณอาจกำลังพลาดโอกาสสำคัญในการลดเวลาการทำงานและต้นทุนการผลิตแบบไม่รู้ตัว
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา iSmart OEE อุปกรณ์วัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติ พร้อมแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ ใช้งานง่าย รองรับทั้งเครื่องจักรรุ่นเก่าและเครื่องจักรแบบสมาร์ต
iSmart OEE เทคโนโลยีสนับสนุนอุตสาหกรรมก้าวกระโดดสู่ 4.0
[caption id="attachment_71517" align="aligncenter" width="750"] อุ่นพงศ์ สุภัคชูกุล นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมการผลิตอัจฉริยะ เนคเทค สวทช.[/caption]
อุ่นพงศ์ สุภัคชูกุล นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมการผลิตอัจฉริยะ เนคเทค สวทช. อธิบายว่า โรงงานส่วนใหญ่ของไทยในภาพรวมยังนำระบบดิจิทัลมาใช้เก็บข้อมูลเพื่อวัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร (Overall Equipment Effectiveness: OEE) ไม่มากนัก โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีราคาค่อนข้างสูง การปรับแต่งฟังก์ชันให้เหมาะกับเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมทำได้ยาก และอาจต้องเสียเงินจำนวนมากจ้างผู้จัดจำหน่ายหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาปรับแต่งอุปกรณ์ให้
“การที่ผู้ประกอบการไม่ทราบถึงสถานะการทำงานของเครื่องจักรแบบเรียลไทม์ อาจทำให้ไม่ทราบถึงสัญญาณผิดปกติล่วงหน้า แก้ไขปัญหาได้ล่าช้า และส่งผลให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง เช่น ผลิตสินค้าได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น คุณภาพสินค้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลในภาพรวม”
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยเนคเทค สวทช. ได้พัฒนาอุปกรณ์ iSmart OEE อุปกรณ์วัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติ ที่ใช้งานง่ายและมีราคาจับต้องได้ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SMEs เข้าถึงการใช้งานอุปกรณ์นี้
[caption id="attachment_71520" align="aligncenter" width="500"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์ iSmart OEE (ชุดจัดแสดง)[/caption]
อุ่นพงศ์ อธิบายว่า iSmart OEE คือ อุปกรณ์สำหรับติดตามประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย %A (availability) ความพร้อมใช้งานของเครื่องจักร, %P (performance) ประสิทธิภาพการผลิต และ %Q (quality) คุณภาพของสินค้าที่ผลิต โดยเมื่อนำผลลัพธ์ที่ได้จากทั้ง 3 ส่วนมาคำนวณร่วมกันจะได้เป็น %OEE หรือประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร
“iSmart OEE รองรับการนำเข้าข้อมูลจากเครื่องจักรหลายรูปแบบ ประกอบด้วยช่องทางสำหรับรับโพรโทคอลอุตสาหกรรม เช่น Modbus RTU, Modbus TCP, MQTT ช่องทางสำหรับรับสัญญาณดิจิทัล 4 ช่อง ช่องสำหรับรับข้อมูลจากเครื่องนับพัลส์ความเร็วสูง (high speed pulse counter) 2 ช่อง ช่องสำหรับต่อสาย LAN และ RS-485 นอกจากนี้อุปกรณ์ยังรองรับการกรอกข้อมูลเข้าระบบเพิ่มเติมผ่านเมาส์และคีย์บอร์ดด้วย อุปกรณ์ iSmart OEE จึงใช้งานได้กับทั้งเครื่องจักรทั่วไปและเครื่องจักรแบบสมาร์ต”
เมื่อผู้ใช้งานติดตั้งระบบการนำเข้าข้อมูลทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย อุปกรณ์จะแสดงผลข้อมูลที่จัดเก็บและคำนวณแบบเรียลไทม์ ผ่านทั้งทางหน้าจอของอุปกรณ์และแดชบอร์ดออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลให้เหมาะกับการทำงานได้
แสดงผลชัด ติดตามได้แบบเรียลไทม์
อุ่นพงศ์ อธิบายว่า การแสดงผลของระบบ iSmart OEE แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ส่วน A คือความพร้อมใช้งานของเครื่องจักร จะแสดง 5 ค่า คือ สถาะ ‘on/off’ เปิดหรือปิดเครื่อง, ‘running’ ระยะเวลาที่เดินเครื่องจักรเพื่อผลิตชิ้นงาน, ‘idle’ ระยะเวลาที่เครื่องจักรอยู่ในโหมดพร้อมใช้งานแต่ยังไม่เริ่มเดินเครื่อง เช่น รอวัตถุดิบ รอสั่งการผลิต, ‘minor stop’ ระยะเวลาที่หยุดทำงานในระยะสั้น ๆ หลักวินาทีหรือนาที เนื่องจากเกิดปัญหาเล็กน้อยกับเครื่องจักร ซึ่งพนักงานแก้ไขด้วยตัวเองได้ และ ‘breakdown’ ระยะเวลาที่เครื่องจักรชำรุดจนต้องหยุดการทำงาน
“ส่วน P จะแสดงความเร็วในการผลิตสินค้าแต่ละชิ้น และส่วน Q จะแสดงผลว่าสินค้าที่ผลิตได้ตรงตามมาตรฐานและไม่ตรงตามมาตรฐานกี่ชิ้น โดยระบบ iSmart OEE จะแสดงผลทั้งตัวเลขข้อมูลดิบที่ได้จากการจัดเก็บ และตัวเลขที่ผ่านการคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วทั้ง %A, %P, %Q และ %OEE โดยหากประสิทธิภาพต่ำกว่าที่กำหนด ระบบจะแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลเครื่องจักรทันที
“นอกจากนี้เนคเทค สวทช. ยังได้จัดทำ NomadML แพลตฟอร์มผลิตโมเดล AI สำหรับใช้ตรวจสอบคุณภาพสินค้าจากภาพถ่าย เช่น สี รอยขีดข่วน ขนาด รูปทรง ไว้ให้บริการด้วย ซึ่งหากโรงงานใช้งานแพลตฟอร์มนี้ ข้อมูลที่ AI ประเมินผลจะส่งต่อไปคำนวณ %Q และแสดงผลที่อุปกรณ์ iSmart OEE โดยอัตโนมัติ แต่หากการตรวจสอบคุณภาพสินค้าจำเป็นต้องใช้คน อุปกรณ์เฉพาะทาง หรือการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ผู้ตรวจสอบสามารถนำข้อมูลผลการตรวจสอบ %Q มาคำนวณร่วมกับค่า %A, %P ได้เองในภายหลัง
แม้การติดตั้งอุปกรณ์ iSmart OEE จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้าและการควบคุมเครื่องจักร เช่น ช่างซ่อมบำรุงของบริษัท ผู้บูรณาการระบบ (System Integrator: SI) แต่ภายหลังการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานภายในโรงงานสามารถเรียนรู้วิธีใช้งานอุปกรณ์นี้ได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาดำเนินงานควบคุมระบบ การใช้งานอุปกรณ์นี้จึงไม่ก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่ผูกพันในระยะยาว
อุ่นพงศ์ ให้ข้อมูลทิ้งท้ายว่า ขณะนี้ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) เนคเทค สวทช. กำลังดำเนินโครงการ IDA Platform (Industrial IoT and Data Analytics Platform) เพื่อเป็นระบบนิเวศสำหรับผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อกับแหล่งเงินทุน โดยอุปกรณ์ iSmart OEE เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่โครงการให้การสนับสนุนด้วย หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจใช้งานอุปกรณ์ iSmart OEE สมัครเข้าร่วมโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ รวมถึงอุปกรณ์ ได้ที่ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/ ทั้งนี้โครงการ IDA Platform ได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจากเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)
ปัจจุบันเนคเทค สวทช. ยังคงเปิดให้บริการถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบ iSmart OEE สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจนำไปประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อีเมล smc-business@nectec.or.th หรือผ่านทาง Line Official Account: @smceeci และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊ก www.facebook.com/smceeci
[caption id="attachment_71525" align="aligncenter" width="138"] Line Official Account: @smceec[/caption]
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และภาพจาก Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
คณะผู้บริหารและตัวแทนบุคลากร สวทช. ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณฯ และพิธีลงนามถวายพระพรฯ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2568
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน โดยมีประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรอิสระ คณะรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ข้าราชการการเมือง ข้าราชการระดับสูงของทุกส่วนราชการ พลเรือน ทหาร ตำรวจมหาวิทยาลัยของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และประชาชน เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน
พิธีเริ่มต้นขึ้นในเวลา 06.00 น. เมื่อรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ถึงบริเวณเวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง เดินขึ้นสู่เวที ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วถวายธูปเทียนแพ เปิดกรวยกระทงดอกไม้
จากนั้น รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และกล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ ทั้งนี้คณะผู้บริหารจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประกอบด้วย ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายศรุต หนูรักษ์ และ นายพงศกร ปองภวิล ตัวแทนบุคลากร สวทช. เข้าร่วมกิจกรรมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดินในครั้งนี้
ต่อมาในเวลา 09.00 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อว. ร่วมถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร ณ ศาลาสหทัยสมาคม พระบรมหาราชวัง คณะผู้บริหาร สวทช. ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีในโอกาสอันเป็นมหามงคลยิ่งนี้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นผู้แทนประเทศไทย ร่วมนำเสนอวิสัยทัศน์ ในงานประชุมด้าน AI ระดับโลก เน้นย้ำความสำเร็จของยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติเพื่อสร้างระบบนิเวศที่น่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลก
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้แทนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับเกียรติ เข้าร่วมการประชุม World Artificial Intelligence Conference (WAIC) & High-Level Meeting on Global AI Governance 2025 ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของสภาแห่งรัฐสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประธานในพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้งาน AI อย่างปลอดภัย มีธรรมาภิบาล จริยธรรม และสร้างสรรค์ พร้อมกันนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมระดับสูง (High Level Meeting) เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการพัฒนา AI อย่างยั่งยืนและมีจริยธรรม
ผู้อำนวยการ สวทช. ได้เน้นย้ำความสำเร็จของการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565-2570 (Thailand National AI Strategy) ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวง อว. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยมุ่งสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่งผ่าน 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ด้านสังคม จริยธรรม กฏหมาย และกฏระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุน การเพิ่มศักยภาพบุคลากรและการพัฒนาการศึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และการส่งเสริมให้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและระบบปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐและภาคเอกชน
และได้นำเสนอวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมุ่งมั่นพัฒนา AI ที่ยึดหลักมนุษยนิยม ความครอบคลุม และความยั่งยืน พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างระบบนิเวศ AI ที่น่าเชื่อถือและใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมโลก”
พร้อมตัวอย่างความสำเร็จของประเทศไทยในการดำเนินงานด้านการพัฒนากำลังคน ได้ฝึกอบรมผู้เรียนกว่า 113,000 คน, นักศึกษากว่า 1,214 คนในหลักสูตร AI โดยสถาบันวิศวกรรม AI และ 1,563 คนใน 21 หลักสูตรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงโครงการ Super AI Engineer ที่ดึงดูดผู้สมัครกว่า 10,000 คนในปีที่ผ่านมา และประเทศไทยเข้าร่วมการประเมินความพร้อม AI ของ UNESCO, เป็นเจ้าภาพร่วมงาน UNESCO Global Forum on the Ethics of AI ครั้งที่ 3, และมีบทบาทในกลุ่ม Hiroshima AI Process, OECD, และ ASEAN โดยประเทศไทยได้ตั้งเป้าเป็นผู้นำด้าน AI ในอาเซียน โดยมีเป้าหมายให้มีผู้ใช้ AI 10 ล้านคน, นักวิชาชีพ 90,000 คน, และนักพัฒนา 50,000 คน ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, แพลตฟอร์ม open-source, และแรงจูงใจสำหรับอุตสาหกรรม โครงการสำคัญ ได้แก่ National Data Bank, Open-Source AI Community, AI Standards and Benchmark Hub
งานประชุม WAIC 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 กรกฎาคม 2568 ภายใต้ธีม "Global Solidarity in the AI Era" หรือ “ความสามัคคีของโลกในยุคปัญญาประดิษฐ์” โดยมีเป้าหมายให้การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีชั้นนำด้านเทคโนโลยี เวทีสาธิตการประยุกต์ใช้ เวทีเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรม และเป็นพื้นที่หารือด้านธรรมาภิบาล AI เป็นเวทีระดับโลกที่รวบรวมผู้แทนระดับสูงจากกว่า 50 ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ และตัวแทนจากองค์กรชั้นนำ เช่น Siemens, Alibaba, Tencent, MiniMax และ iFlytek ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์เกฟฟรีย์ ฮินตัน (Prof. Dr. Geoffrey Hinton) “บิดาแห่ง AI” ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี ค.ศ. 2024 และรางวัลทัวริง (Turing award) ใน ปี ค.ศ. 2018 ได้ร่วมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ"Will Digital Intelligence Replace Biological Intelligence?" ในช่วงพิธีเปิดงานประชุม WAIC 2025 ครั้งนี้ด้วย
นอกจากนั้น ในช่วงพิธีเปิดการประชุม ได้มีการเปิดตัวศูนย์วิจัยและการดำเนินงานโครการต่าง ๆ ด้าน AI ของสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแสดงให้เห็นถึงสัมฤทธิผลและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี AI ในการแก้ไขปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น Center for Global AI Innovative Covernance, AI from China-Benefit the World (2025)- Case Collection, International Open Source AI Cooperation Initiative, China's Solution to Early Warnings for AI: MAZU, AI Agent for Urban Multi-Hazard Early Warning: MAZU-Urban, Global AI Governance Action Plan
ครอบคลุมพื้นที่นิทรรศการกว่า 70,000 ตารางเมตร มีการนำเสนอเทคโนโลยี AI กว่า 100 รายการ รวมถึงโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) กว่า 40 โมเดล หุ่นยนต์อัจฉริยะ 60 ตัว และผลิตภัณฑ์ AI สำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การแพทย์ การเงิน และการผลิต
นอกจากนี้ ยังมีการประชุมและเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น
- AI+:Large Model shapes the future
- TeleAI Shares Intelligence
- Build And Participate Together——China Telecom Artificial Intelligence Ecological Conference(2025)
- AI Safety and Governance Forum
- Embodied Intelligence Innovation Forum (EIIF):Global Perspectives on New Opportunities in Embodied AI
- 025 AI Women Elites Forum
- Forum on Artificial Intelligence Empowering New-type Industrialization Development
- Global AI policy Dialogue and Collaboration Development Forum
- AI For SME , Boundless Technology
- Global Cooperation: Shaping a Symbiotic Future for Medical and Health Care Forum
- Enterprise AI Agents Empower Industry Transformation Forum
- BUILDING THE FUTURE-Transforming the Future of Manufacturing
- Greater Bay Area Hub in the AI Era: Hong Kong's Vision for an Intelligent Economy
- Evolving with AI: Iterations and Resilience of Artistic Creativity Forum
- The Development of AI+ Cultural Tourism Audio-visual
- IntelliHeal Future - AI Music Therapy and WFS Spatial Audio Innovation Forum
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. โดย นาโนเทค จับมือสมาคมนาโนฯ คิกออฟ ‘NanoThailand2025’
วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย แถลงข่าว “การจัดประชุมวิชาการนานาชาติด้านนาโนเทคโนโลยี ประจำปี 2568 (NanoThailand2025) ภายใต้แนวคิด “Revolutionizing the Future” นาโนเทคโนโลยีพลิกโฉมโลกอนาคต เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยีทั้งไทยและระดับโลก พร้อมยกขบวนนวัตกรรมเด่นด้านนาโน-เทคโนโลยี อาทิ ไข่โอเมก้าสูง, สารสกัดกระชายดำมูลค่าสูง, ชุดตรวจสำหรับคนไทย, ระบบ/ต้นแบบการจัดการน้ำเพื่ออุตสาหกรรม, ไพลวาเซนโกลด์ และพาร์นิก้าครีม พร้อมโชว์ความสำเร็จของงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์จาก 2 บริษัทเอกชนชั้นนำอย่างสเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์และเอสบี เฟอร์นิเจอร์ ก่อนจัดเต็มกับ NanoThailand2025 ระหว่างวันที่ 3–5 พ.ย. นี้
ศ.ดร.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) และประธานกรรมการบริหารศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Nanotechnology: Revolutionizing the Future Thailand” ว่า นาโนเทคโนโลยีไม่ใช่เพียงแค่ความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนไทยไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วที่มีความยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับโลก
ในอนาคต เราจะได้เห็นนาโนเทคโนโลยีพลิกโฉมอนาคตประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ซึ่ง ศ. ดร. นพ. สิริฤกษ์ยกตัวอย่างของ การยกระดับอุตสาหกรรม ที่นาโนเทคโนโลยีสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าในภาคการผลิตของไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นาโนเทคโนโลยียังสามารถตอบโจทย์นโยบายเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทย และครอบคลุมเรื่องคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชน, สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน รวมถึงด้านการเสริมขีดความสามารถของคนไทยและเศรษฐกิจฐานราก
“ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (อววน.) และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs: Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ นาโนเทคโนโลยีถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาประเทศก้าวข้ามข้อจำกัดด้านทรัพยากร พัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม พร้อมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ BCG ของไทยในระยะยาว ซึ่งการประชุม NanoThailand2025 ที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นเวทีสำคัญที่รวมนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ และนักนวัตกรรม ทั้งในประเทศและระดับสากล มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ แบ่งปันผลงานวิจัย และขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม และยังเป็นโอกาสในการจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ และนักเรียนนักศึกษาที่สนใจในศาสตร์ด้านนาโนเทคโนโลยีอีกด้วย” ศ. ดร. นพ. สิริฤกษ์ย้ำ
รศ. ดร.สุรินทร์ เหล่าสุขสถิตย์ นายกสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 จากการรวมตัวของพันธมิตร ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐและภาควิชาการ 8 มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นศูนย์เครือข่ายความเป็นเลิศของนาโนเทค สวทช. โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเผยแพร่ความรู้วิชาการทางด้านนาโนเทคโนโลยี พร้อมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ภาคเอกชนนำความรู้ทางด้านนาโนเทคโนโลยีไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน
สมาคมนาโนฯ มีบทบาทที่สำคัญอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านอุตสาหกรรมและด้านวิชาการ โดยในด้านอุตสาหกรรมนั้น สมาคมฯ ได้จัดทำ โครงการฉลากนาโน (NanoQ) เพื่อให้การรับรองผลิตภัณฑ์นาโนสำเร็จรูปที่มีส่วนประกอบเป็นวัสดุนาโนหรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้ผ่านกระบวนการผลิตโดยใช้นาโนเทคโนโลยีและมีสมบัติตรงตามที่ได้ระบุ ส่วนบทบาทในด้านวิชาการนั้น คือ การประชุมวิชาการและงานนิทรรศการแสดงความก้าวหน้าทางด้านนาโนเทคโนโลยีระดับนานาชาติ (NanoThailand) ที่จัดขึ้นทุกสองปี โดยการสนับสนุนของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศและยังเป็นการสร้างเครือข่าย เปิดโอกาสให้นักวิจัยนาโนของไทยได้พบกับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำระดับโลก โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 9 ภายใต้แนวคิด “Revolutionizing the Future” หรือนาโนเทคโนโลยีพลิกโฉมโลกอนาคต
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า การประชุมวิชาการนานาชาติด้านนาโนเทคโนโลยี ประจำปี 2568 (NanoThailand2025) เป็นโอกาสที่ดียิ่งที่ผู้เข้าร่วมจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากนักวิจัยในระดับแนวหน้าของไทยและทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ Plenary Speaker ศ. มิชิยะ มัตสึซากิ (Prof. Michiya Matsusaki) จาก Graduate School of Engineering, Osaka University นักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านวัสดุชีวภาพและวิศวกรรมชีวการแพทย์ ผลงานที่โดดเด่นคือ การพัฒนาเทคนิคการพิมพ์ 3 มิติสำหรับชีวภาพ (3D-bioprinting) ด้วยความเชี่ยวชาญในการสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อ เส้นใยไขมัน และเส้นใยหลอดเลือด นำมาประกอบกันเป็น “เนื้อวากิวเพาะเลี้ยง” โดยใช้เครื่องพิมพ์ชีวภาพ 3 มิติ ซึ่งจะมานำเสนอความก้าวหน้าของนวัตกรรมที่กำลังเป็นที่สนใจของทั้งโลก บนเวที NanoThailand ในครั้งนี้
ดร.อุรชา ในฐานะประธานจัดงาน NanoThailand2025 เผยว่า ภายในงานประกอบไปด้วย 12 หัวข้อการประชุมย่อยที่มีวิทยากรรับเชิญ 70 ท่านจาก 20 ประเทศ ครอบคลุมหัวข้อวัสดุศาสตร์และงานวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research) รวมถึงการนำเสนอผลงานวิจัย 200 หัวข้อในรูปแบบปากเปล่าและโปสเตอร์ พร้อมด้วยการนำเสนอผลงานจากสตาร์ตอัปด้านนาโนเทคโนโลยี และกิจกรรม Tech-to-Market: Bridging Innovation and Commercialization ที่มุ่งเน้นการจับคู่ธุรกิจ
“ปีนี้จะมีการมอบรางวัลนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (Thailand Nanotechnology Awards) ขึ้นเป็นครั้งแรก ได้แก่ Young Nanotechnologist Award ให้กับนักเทคโนโลยีนาโนอายุไม่เกิน 40 ปี ที่มีผลงานการวิจัยพัฒนาโดดเด่น, Nanotechnology Start-up Award ให้กับบริษัทสตาร์ทอัปด้านนาโนเทคโนโลยี และ Nanotechnology Hall of Fame ให้กับบุคคล/หน่วยงานที่มีผลงานนาโนเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม” ดร.อุรชาเผย
ภายในงานแถลงข่าว ยังนำเสนอผลงานวิจัยเด่นด้านนาโนเทคโนโลยีจาก สวทช. และพันธมิตร อาทิ บูธแสดงผลงานวิจัยเด่นจาก สวทช. และพันธมิตร ได้แก่
ผลงานจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC 4 Strategic Focus)
ไข่โอเมก้าสูง (SFเกษตรและอาหาร) ที่ใช้นาโนเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือนำส่งสารสำคัญสู่ระบบทางเดินอาหารของแม่ไก่และส่งเสริมให้มีการสะสมกรดไขมันโอเมก้า-3 ในไข่ไก่ ด้วยตัวพาไขมันที่มีโครงสร้างระดับนาโน (Nanostructured Lipid Carriers หรือ NLC) โดยไข่ไก่ 1 ฟอง จะมีปริมาณโอเมก้า-3 สูงกว่าไข่ไก่ทั่วไปถึง 3 เท่า
สารสกัดกระชายดำมูลค่าสูง (SFสารสกัดสมุนไพร) โดยวิจัยพัฒนาสารสกัดกระชายดำมาตรฐาน (Standardized Extract) รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับสุขภาพ เพื่อการยับยั้งกระบวนการแก่ของเซลล์ (anti-aging) เพื่อการผลักดันเป็น Thailand herbal champion อย่างเป็นรูปธรรม
ชุดตรวจสำหรับคนไทย (SFชุดตรวจสุขภาวะ) เป็นแพลตฟอร์มชุดตรวจทางการแพทย์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ และนวัตกรรมที่นำไปสู่การเดินหน้าแบบยั่งยืนของประเทศ ด้วยนวัตกรรมที่วิจัย พัฒนา และผลิตเพื่อใช้เองในประเทศ อาทิ ชุดตรวจคัดกรอง-ตรวจติดตามเบาหวานโดยไม่ต้องอดอาหาร (SugarAL) ชุดตรวจคัดกรองโรคไตเชิงปริมาณ (GO-Sensor Albumin Test) ชุดตรวจคัดกรองโรคไตเชิงคุณภาพ (AL-Strip) เป็นต้น
ระบบ/ต้นแบบการจัดการคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค (SFน้ำและสิ่งแวดล้อม) เป็นการเปลี่ยนผ่านข้อจำกัดเป็นมูลค่าอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน เช่น การนำน้ำเสียและของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ การเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสารที่มีมูลค่าสูง การตรวจวัดและลดการปนเปื้อนของสารอันตรายให้อยู่ในมาตรฐาน
และผลงานจากมหาวิทยาลัยเครือข่ายนาโน อย่างไพลวาเซนโกลด์ และพาร์นิก้าครีม จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผลิตภัณฑ์นาโนด้านเกษตรยั่งยืน จากบริษัท ซัสเทน อินโนเทค จำกัด
นอกจากนี้ ยังเปิดตัวนวัตกรรมเด่นด้านนาโนเทคโนโลยีจากพันธมิตรเอกชน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร BGold นวัตกรรมกระชายดำลดพุง ลดโรค โดย บริษัท สเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) และ นวัตกรรมการเคลือบวัสดุและผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้าน โดย กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นโมเดลความสำเร็จจากการต่อยอดผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ โดยความร่วมมือของพันธมิตรภาคเอกชนที่จับมือกันขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสู่มือผู้บริโภค
การประชุมวิชาการนานาชาติด้านนาโนเทคโนโลยี ประจำปี 2568 (NanoThailand2025) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3–5 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ เว็บไซต์ : https://www.nano-thailand.com
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
“สุดาวรรณ” นำคณะผู้บริหาร อว. ร่วมบันทึกเทปถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ( อว. ) นำคณะผู้บริหาร ร่วมบันทึกเทปโทรทัศน์ถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ( NBT ) โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ได้เข้าร่วมบันทึกเทปถวายพระพรร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวง อว.ด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ตอกย้ำบทบาทผู้นำความร่วมมือด้านวิจัยระดับภูมิภาค ในงาน STS Forum ASEAN-Japan ครั้งที่ 9 ณ กรุงจาการ์ตา
สวทช. ตอกย้ำบทบาทผู้นำความร่วมมือด้านวิจัยระดับภูมิภาค ในงาน STS Forum ASEAN-Japan ครั้งที่ 9 ณ กรุงจาการ์ตา
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับเกียรติร่วมบรรยายในหัวข้อ "Advancing Strategic Collaboration in Interdisciplinary Research Areas for Regional Development" ภายในงาน STS Forum ASEAN-Japan Workshop ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ณ National Research and Innovation Agency (BRIN) กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
ดร.อุรชา ได้นำเสนอวิสัยทัศน์และบทบาทของ สวทช. ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ แบ่งปันทรัพยากร และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่นำเสนอ ได้แก่ การดำเนินงานภายใต้ ASEAN Network on Bio-Circular-Green (BCG) Economy ซึ่ง สวทช. ทำหน้าที่เป็นประธานและเลขานุการเครือข่าย เป็นแกนกลางในการประสานความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนาบุคลากร และส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของภูมิภาค นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอความก้าวหน้าในการผลักดัน ยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานวิจัยระดับอาเซียน (ASEAN Regional Research Infrastructure Strategy) ภายใต้การนำของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ สวทช. โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศวิจัยระดับภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และเชื่อมโยงกันในระดับสากล ผ่านการจัดทำฐานข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานวิจัย การกำหนดมาตรฐานกลาง การสนับสนุนทุนวิจัยร่วม และกลไกการดำเนินงานที่เอื้อต่อการวิจัยข้ามพรมแดน
ในช่วงการอภิปราย ดร.อุรชา ยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็น “บทบาทของการวิจัยสหวิทยาการ นวัตกรรม และสังคมศาสตร์ในการสร้างเมืองอัจฉริยะที่มีความยืดหยุ่น (resilient, smart cities)” โดยยกตัวอย่าง “Traffy Fondue” แพลตฟอร์มเทคโนโลยีอัจฉริยะที่พัฒนาโดย สวทช. เป็นการผสานการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล และพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับเรื่องร้องเรียนของภาครัฐผ่านช่องทาง LINE Application โดยสามารถจำแนกประเภท แจ้งเตือนหน่วยงานที่รับผิดชอบ และวิเคราะห์ความพึงพอใจของประชาชนได้อย่างแม่นยำ ผลจากการใช้งานจริงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่าสามารถลดระยะเวลาในการตอบสนองจากเดิมเฉลี่ย 3 เดือน เหลือเพียง 1 วัน และมีผู้ใช้งานรวมมากกว่า 630,000 รายในกว่า 25 จังหวัดทั่วประเทศ ถือเป็นตัวอย่างของการบูรณาการเทคโนโลยีและสังคมศาสตร์เพื่อพัฒนาเมืองอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน
สวทช. ยืนยันพันธกิจในการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ครอบคลุมและทั่วถึง เพื่อร่วมกันยกระดับความสามารถทางวิทยาศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียน และสร้างรากฐานการพัฒนาที่มั่นคง ยั่งยืน และเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในระยะยาว
STS Forum ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นเวทีระดับโลกสำหรับผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการหารือเกี่ยวกับความท้าทายสำคัญของสังคม และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยการประชุมประจำปี ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวทีสำคัญที่เชื่อมโยงเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทั่วโลกในการพัฒนา STI ส่วนเวที ASEAN-Japan Workshop ในแต่ละปี ถือเป็นส่วนขยายของการประชุมหลักที่มุ่งเชื่อมโยงความร่วมมือในระดับภูมิภาคผ่านการแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์
Facebook/Instagram Caption
At the 9th STS Forum ASEAN-Japan Workshop in Jakarta, Dr. Uracha Ruktanonchai, Executive Director of NANOTEC–NSTDA, showcased Thailand’s leadership in promoting regional research collaboration and inclusive innovation. From the ASEAN BCG Network to the cutting-edge ASEAN RRI Strategy, she emphasized the power of interdisciplinary approaches in building a resilient, sustainable ASEAN.
A highlight: Thailand’s own Traffy Fondue—an AI-powered civic tech platform that's transforming public service response times 117x faster. An inspiring example of science, tech, and social sciences working together for smart, resilient cities.
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผอ.นาโนเทค สวทช. ร่วมบรรยายในงาน STS Forum ASEAN-Japan ครั้งที่ 9 ณ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย เพื่อถ่ายทอดบทบาทของไทยในการขับเคลื่อนความร่วมมือวิจัยระดับภูมิภาค และนวัตกรรมที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน จากเครือข่าย ASEAN BCG Network สู่ยุทธศาสตร์ ASEAN Research Infrastructure (RRI) สวทช. เดินหน้าสร้างโอกาสใหม่ให้การวิจัยและเทคโนโลยีเข้าถึงทุกกลุ่ม
ไฮไลต์เด็ด: “Traffy Fondue” แพลตฟอร์ม AI ฝีมือคนไทย เปลี่ยนระบบร้องเรียนภาครัฐให้เร็วขึ้น 117 เท่า! ช่วยสร้างเมืองอัจฉริยะที่ตอบสนองประชาชนอย่างแท้จริง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


