หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – บทความ 10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558
10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558 สวทช. ส่งเสริมการรับรู้ข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประชาชน เปิดให้คนไทย ลงคะแนนจัดอันดับ 10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558 โครงการจัดอันดับ 10 ข่าวดังประจำปีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกิจกรรมที่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป มีความตื่นตัวในการรับรู้ข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ถือว่าเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินชีวิต และนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ได้ดำเนินโครงการมาเป็นปีที่ 22 แล้ว สำหรับการสำรวจและจัดอันดับ 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งนี้ ได้รวบรวมข่าวด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2557 - 15 พฤศจิกายน 2558 ที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ซึ่งข่าวที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้นมีจำนวนทั้งสิ้น 21 ข่าว แบ่งเป็นข่าวในประเทศ 16 ข่าว และต่างประเทศ 5 ข่าว โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รวม 15 หน่วยงาน และสื่อมวลชนสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ร่วมกันพิจารณาข่าวในหลากหลายแง่มุมในประเด็นข่าวที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง จากนั้นเปิดให้ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ต่างจังหวัด ร่วมลงคะแนนจัดอันดับ 10 ข่าวดังดังกล่าว ผ่านทางระบบออนไลน์ และแบบสอบถาม โดยมีผู้ร่วมโหวตลงคะแนนจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1,550 คน  ผลการสำรวจ 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558 ประกอบด้วยข่าวดังต่อไปนี้     อันดับ 10  ข่าว ซุปเปอร์มูนและจันทรุปราคา 2 ปรากฏการณ์ใน 1 วัน ตอนค่ำของวันที่ 28 กันยายน 2558 คนไทยได้เฮเมื่อเกิดปรากฏการณ์ซุปเปอร์มูน ที่ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปีที่ระยะห่าง 356,896 กิโลเมตร สามารถมองเห็นดวงจันทร์สว่างและมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ประมาณ 2-3 %  สำหรับผู้ที่พลาดโอกาสในการชมในปีนี้ คงต้องรอปรากฏการณ์เช่นนี้ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2576 โดยในช่วงเช้าของวันที่ 28 กันยายนนั้น ได้เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงขึ้น แต่ประเทศไทยไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากตรงกับเวลากลางวัน แต่จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนในแถบอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ มหาสมุทรแอตแลนติก ยุโรป แอฟริกา และด้านตะวันตกของเอเชีย    อันดับที่ 9  ข่าว นาซาพบ! น้ำไหลบนดาวอังคาร ในวันที่ 28 กันยายน 2558 นอกเหนือจากการเกิดปรากฏการณ์ซุปเปอร์มูนและจันทรุปราคาเต็มดวงแล้ว ยังถือว่าเป็นวันที่นาซาได้ประกาศการค้นพบร่องรอยการไหลของน้ำบนดาวอังคาร ซึ่งถือเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์โลก โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าร่องรอยสีดำที่เกิดขึ้นเป็นพวกแร่ธาตุและผลึกเกลือที่ละลายอยู่กับน้ำ     อันดับที่ 8  ข่าว นาซาเฮ! ยานสำรวจพิชิตดาวพลูโต ด้วยระยะทางจากโลกไปยังดาวพลูโตที่โคจรอยู่ขอบสุดในระบบสุริยะจักรวาลไกลมากถึง 3 พันล้านไมล์ แต่ในที่สุดยานสำรวจ “นิวฮอไรซันส์” ที่ถูกส่งไปในอวกาศเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2549 เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญในการสำรวจดาวพลูโตและดาวเคราะห์แคระดวงอื่นๆ หลังจากที่ออกจากโลกไปเป็นเวลาถึง 9 ปี ก็สามารถเดินทางไปยังดาวพลูโตได้สำเร็จอย่างงดงาม โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านทางช่องนาซาทีวี    อันดับที่ 7  ข่าว เมือกหอยทากไทย ก้าวไกล! สู่ธุรกิจความงาม ผลการศึกษาของนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ได้ค้นพบนวัตกรรมครั้งสำคัญจากเมือกหอยทากของไทยที่มีชื่อว่า “หอยนวล” ซึ่งพบว่ามีสารนานาชนิดที่มีคุณประโยชน์มากมาย เหมาะต่อการซ่อมแซมและบำรุงผิวพรรณ จึงจัดได้ว่าเป็นเมือกที่มีคุณภาพ สามารถนำมาต่อยอดหรือพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมทางด้านเครื่องสำอางและธุรกิจความงามได้     อันดับที่ 6  ข่าว เปิดปมปริศนา! ไฟไหม้บ้านพัทลุง จากเหตุการณ์กรณีที่ไฟปริศนาลุกไหม้สิ่งของเครื่องใช้นับร้อยครั้งที่บ้านหลังหนึ่งใน จ.พัทลุง แต่กลับไม่สามารถหาสาเหตุของการเกิดได้ ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าน่าจะเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มีการออกข่าวอย่างครึกโครม จนทำให้หลายหน่วยงานต้องลงพื้นที่ร่วมกันพิสูจน์หาต้นเหตุของการเกิดไฟปริศนา แม้ว่าจะมีบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์ออกมายืนยันว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด และเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งของต่างๆ จะลุกไหม้หรือติดไฟได้เอง แต่ยังไม่ทำให้สังคมคลายความสงสัยลงไปได้ ภายหลังได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในบ้าน จึงได้พบภาพหญิงสาวที่นั่งอยู่คล้ายกำลังจุดไฟ จากนั้นจึงเรียกเด็กที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมาชี้จุดเกิดเหตุ เพื่อให้คนในบ้านช่วยกันดับไฟที่ลุกโชนขึ้นมา เมื่อภาพดังกล่าวปรากฏออกไปจึงคลายความสงสัยของคนในสังคมไปโดยปริยาย    อันดับที่ 5  ข่าว เผย! ภาพถ่ายดาวเทียมแผ่นดินไหวเนปาล สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) บันทึกภาพบริเวณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเนปาลด้วยดาวเทียมไทยโชต เพื่อดูสภาพการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ก่อนและหลังโดยได้บันทึกภาพเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 เวลา 12.10 น. ตามเวลาในประเทศไทย และเปรียบกับข้อมูลภาพก่อนเกิดแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 และได้ส่งแผนที่ดังกล่าวให้กับองค์การสหประชาชาติด้วยในฐานะที่เป็นตัวแทนประเทศไทยในโครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก หรือ RESAP เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้กับประเทศสมาชิกในกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ       อันดับที่ 4  ข่าว กลับมาอีกครั้ง "พระจันทร์ยิ้ม” ในค่ำคืนของวันที่ 19 - 21 มิถุนายน 2558 ได้เกิดปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนที่เป็นดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดีอยู่เคียงจันทร์เสี้ยวในช่วงหัวค่ำทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยสามารถมองเห็นเหมือน “พระจันทร์ยิ้ม” เป็นเวลาถึง 3 วัน อันดับที่ 3  ข่าว จันทรุปราคาเต็มดวงสีแดง ปรากฏการณ์จันทรุปราคาแบบเต็มดวงครั้งนี้เกิดขึ้นในคืนวันที่ 4 เมษายน 2558 มองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงเป็นสีแดงอิฐ เนื่องจากได้รับแสงสีแดงซึ่งเป็นคลื่นที่ยาวที่สุด หักเหผ่านบรรยากาศโลกไปกระทบกับดวงจันทร์ ซึ่งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ได้จัดกิจกรรมตั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาดต่างๆ กว่า 40 กล้อง ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งเป็นการตั้งกล้องโทรทรรศน์เพื่อสังเกตการณ์จำนวนมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ สดร. ยังร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายตั้งจุดสังเกตปรากฏการณ์อีก 3 แห่งคือที่ จ.เชียงใหม่ จ.นครราชสีมา และ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งตลอดเวลา 5 นาทีที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ตั้งแต่เวลา 18.57 - 19.02 น. ช่างภาพและประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมต่างให้ความสนใจเก็บภาพดวงจันทร์สีแดงกันอย่างคึกคัก     อันดับที่ 2  ข่าว มหันตภัย! ไวรัสเมอร์ส แม้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2558 ก็ตาม แต่เหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์สก็ยังคงอยู่ในความสนใจของคนทั่วไปอยู่ เนื่องจากการแพร่ระบาดในครั้งนี้พบผู้ป่วยไวรัสเมอร์สใน 26 ประเทศ มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และมีการแพร่ระบาดรุนแรงในเกาหลีใต้ และเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2558 พบผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางติดเชื้อไวรัสเมอร์สรายแรกในประเทศไทย และได้เข้ารับการรักษาตามมาตรฐานและปลอดภัยจากการเป็นผู้ป่วยโรคเมอร์ส อันดับที่ 1  ข่าว ตื่น! อุกกาบาต ลูกไฟตกจากฟ้า เช้าวันที่ 7 กันยายน 2558 มีผู้บันทึกภาพลูกไฟพวยพุ่งจากท้องฟ้าสว่างวาบ โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ให้ข้อมูลว่าเป็น “อุกกาบาต” เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.5 เมตร น้ำหนัก 66 ตัน ความเร็วที่พุ่งเข้ามาในโลกวัดได้มากมากกว่า 75,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีค่าเทียบเท่าการระเบิดของทีเอ็นที 3.9 กิโลตัน ในเวลาห่างกันไม่นานนัก ค่ำคืนของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2558 พบลูกไฟสว่างวาบ สีเขียว ตกลงมาจากฟ้าอีกครั้ง โดยเบื้องต้น สดร. คาดว่าจะเป็นลูกไฟที่เกิดจากวัตถุขนาดเล็กผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วสูงมาก เสียดสีจนเกิดความร้อนจนลุกไหม้ เห็นเป็นลูกไฟสว่างและมีควันขาวเป็นทางยาว มีข้อสังเกตจากผลการสำรวจในครั้งนี้ ปรากฏมีข่าวทางด้านอวกาศและดาราศาสตร์ติดอันดับมากถึง 6 ข่าว ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ปรากฏเป็นข่าวดังกล่าว เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก จึงสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่พบเห็นหรืออยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลข่าวสารผ่านทางโซเชียลมีเดียกันเป็นจำนวนมาก นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่คนไทยหันมาศึกษา ค้นหาคำอธิบายต่อการเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ มากขึ้น  ในแง่ของของนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์เอง ก็เป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน และนำผลงานต่างๆ เผยแพร่สู่สาธารณชนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่จะต้องสร้างความเข้มแข็งและถ่ายทอดองค์ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องสู่ประชาชน เพื่อช่วยให้เกิดกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ และสามารถนำกระบวนการคิดนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
บทความ
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – สวทช. เฟ้นหาสุดยอดไอเดียเยาวชนไทย ส่งไปทดลองในอวกาศ
เฟ้นหาสุดยอดไอเดียเยาวชนไทย ส่งไปทดลองในอวกาศ​ สวทช. และ สทอภ. ร่วมกับ แจ็กซ่า เฟ้นหาสุดยอดไอเดียเด็กไทยส่งให้มนุษย์อวกาศทำการทดลองในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงบนสถานีอวกาศนานาชาติ พร้อมชวนบินลัดฟ้าชมการทดลองถ่ายทอดสดที่ศูนย์อวกาศในญี่ปุ่น หมดเขตรับใบสมัคร 22 กุมภาพันธ์นี้   สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซ่า (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) จัดทำโครงการ “Asian Try Zero-G 2016” โดยเปิดรับความคิดสร้างสรรค์จากเยาวชนไทยและคนรุ่นใหม่ (อายุไม่เกิน 27 ปี) เสนอโครงการทดลองในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง เพื่อส่งให้ ทะคุยะ โอะนิชิ (Takuya Onishi) มนุษย์อวกาศญี่ปุ่น นำไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2559 นี้ ผู้เสนอโครงการที่ได้รับคัดเลือกให้นำไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศจะได้รับเกียรติบัตรจากแจ็กซ่าและของที่ระลึกจาก สวทช. พร้อมโอกาสเดินทางไปชมการทดลองของมนุษย์อวกาศแบบสดๆ ผ่านห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ดร.กฤษฎ์ชัย สมสมาน ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อวิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) กล่าวว่า โครงการ Asian Try Zero-G 2016 แบ่งการรับสมัครเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) เยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี และ 2) ประชาชนทั่วไปอายุไม่เกิน 27 ปี โดยโครงการที่เสนอนั้นจะต้องเป็นการทดลองที่ไม่เคยได้รับเลือกให้ทดลองมาก่อน และใช้เวลาในการทดลองไม่เกิน 10 นาที สำหรับอุปกรณ์การทดลองที่มนุษย์อวกาศจะนำขึ้นไปบนสถานีอวกาศ เช่น ลูกดิ่ง สายวัดความยาว 2 เมตร กระดาษเปล่าขนาด 50 ซม. X 50 ซม. กระดาษโอริงามิ (origami) เครื่องชั่งน้ำหนัก ขดลวดสปริง (Slinky) วัสดุอะลูมิเนียม เหล็ก ไม้ และพลาสติก แผนที่ดาว แปรงระบายสี หลอดดูดน้ำ อุปกรณ์เครื่องเขียน และเครื่องมือช่าง เป็นต้น  ผู้สนใจสามารถส่งข้อเสนอโครงการทดลองเป็นภาษาอังกฤษได้คนละ/กลุ่มละ 1 โครงการเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559 ดาวน์โหลดใบสมัครและติดตามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.nstda.or.th/jaxa-thailand หรือเพจเฟซบุ๊ก www.facebook.com/JaxaThailand และสามารถดูการทดลองของเยาวชนไทยที่ได้รับคัดเลือกเมื่อปีที่ผ่านมาได้ ดังนี้ Can we make wind in the space? https://www.youtube.com/watch?v=JVzpARDI_NI  Zero-G Painting https://www.youtube.com/watch?v=K6OxoFL1ByM  Zero-G Painting https://www.youtube.com/watch?v=K6OxoFL1ByM Zero-G Painting https://www.youtube.com/watch?v=K6OxoFL1ByM
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – สวทช. จับมือ สกว. สนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มอาหารและที่เกี่ยวข้อง มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สามารถขายได้จริง
สวทช. จับมือ สกว. สนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มอาหารและที่เกี่ยวข้อง มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สามารถขายได้จริง​ 21 มกราคม 2559 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามความร่วมมือกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในโครงการ “การสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง” เพื่อมุ่งเน้นสร้างนวัตกรรมที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถขายได้จริง โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลางด้านอาหาร เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมอื่นทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นตัวอย่างในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้นด้วย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ ผู้อำนวยการโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) สวทช. กล่าวว่า “อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูปถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมอาหารประมาณ 110,000 ราย โดยแยกเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ร้อยละ 0.5 และระดับ SMEs มากถึงร้อยละ 99.5 ซึ่งผู้ประกอบการในระดับ SMEs ส่วนใหญ่ยังขาดการนำองค์ความรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม รัฐบาลจึงได้มีนโยบายในการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมในการผลิตสินค้า สนับสนุนการสร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มจากการต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ สร้างความสามารถแข่งขันได้ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่และรูปแบบใหม่ที่มีเอกลักษณ์ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ดังนั้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงร่วมกันสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง” โดยโครงการดังกล่าวจะมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ด้านการสนับสนุนทุนวิจัยในรูปแบบการบูรณาการ ด้วยการสร้างองค์ความรู้ที่เหมาะสมผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับการจัดการด้านธุรกิจ การศึกษาข้อมูลทางการตลาดเบื้องต้น และการพัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์ ภายใต้แนวคิด “วิจัยได้...ขายจริง” จากกลไกการทำงานของโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) (สวทช.) และชุดโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative house ฝ่ายอุตสาหกรรม (สกว.) โดยการจัดสรรทุนวิจัยให้แก่นักวิจัย คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อศึกษาวิจัยให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในการพัฒนาสินค้านวัตกรรม พัฒนากระบวนการผลิต เทคโนโลยี และสร้างองค์ความรู้จากกระบวนการศึกษาวิจัย ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี และได้จัดสรรงบประมาณจำนวนทั้งสิ้น 100 โครงการ เพื่อสร้างให้นักวิจัยเกิดการศึกษาวิจัยแบบบูรณาการและทำงานร่วมกับภาค อุตสาหกรรมในการสร้างองค์ความรู้จากงานวิจัยอย่างมีคุณภาพ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเป็นการช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้สามารถนำองค์ความรู้ในส่วนของการบริหารจัดการ การตลาดและข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้านธุรกิจไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจได้ ทำให้เกิดการสร้างรายได้ ลดต้นทุนในกระบวนการผลิต เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เกิดความรู้ความเข้าใจในระบบการผลิตที่ดี การพัฒนาแบรนด์และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนสามารถพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ทั้งในและต่างประเทศ     ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สวทช. ได้ดำเนินโปรแกรม ITAP มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ให้การสนับสนุน SMEs ไปแล้วไม่น้อยกว่า 7,000 ราย โดย ITAP สรรหาผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรงกับโจทย์ความต้องการของ SMEs แต่ละราย มาช่วยในการทำโครงการวิจัยและพัฒนาให้ SMEs เพื่อยกระดับเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรม ปัจจุบัน ITAP มีผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมดำเนินงานอยู่ไม่น้อยกว่า 1,300 ราย แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการให้ความช่วยเหลือ SMEs ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งยังขาดทรัพยากรด้านต่างๆ สำหรับการวิจัยและพัฒนา ทั้งด้านการเงินและบุคลากร โดยความร่วมมือกับ สกว. ในครั้งนี้ จะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างนวัตกรรมที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถขายได้จริง และมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ด้านอาหาร เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมอื่นทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นตัวอย่างในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ จะเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น โดย สวทช. จะร่วมสนับสนุนงบประมาณการวิจัยและบริหารจัดการทุนวิจัย รวมทั้งผลักดันผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนให้ SMEs เติบโตบนเศรษฐกิจฐานความรู้ ไปเป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ ในการก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางของประเทศต่อไป”  ด้าน ศาสตราจารย์ นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. กล่าวว่า “สกว. ตระหนักและให้ความสำคัญของการวิจัยและสนับสนุนการวิจัยเพื่อการพัฒนาศักยภาพ ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง ด้วยการสร้างองค์ความรู้ที่เหมาะสมผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับการจัดการด้านธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ และพัฒนาขีดความสามารถของนักวิจัยให้สามารถทำงานร่วมกับภาคเอกชนได้อย่างมี คุณภาพ โดย สกว. จะร่วมสนับสนุนงบประมาณการวิจัยและบริหารจัดการทุนวิจัย รวมทั้งผลักดันผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งผลของโครงการความร่วมมือนี้ นอกจากก่อให้เกิดผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ในแง่การสร้างรายได้ให้กับประเทศแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมภาคเกษตรด้วยการนำวัตถุดิบทางการเกษตรของประเทศมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ช่วยเกื้อกูลกันและกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานรากของประเทศจากระดับไปสู่มหภาค ลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ของประชากร ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนได้อย่างแท้จริง”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – โครงการ “มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย” ประจำปี 2559
โครงการ“มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย” ประจำปี 2559 ภายใต้แนวคิด “สนุกวิทย์ ปลูกแนวคิดวิทยาศาสตร์สู่เยาวชน” บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ให้การสนับสนุน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สถาบันคีนันแห่งเอเซีย และมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ 8 แห่ง ในโครงการ “มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย” ประจำปี 2559 ภายใต้แนวคิด “สนุกวิทย์ ปลูกแนวคิดวิทยาศาสตร์สู่เยาวชน” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และความสนใจของเยาวชนระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษาตอนต้นในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็ม (STEM) ผ่านกิจกรรมการทดลองแสนสนุก ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก่อนที่จะมีการจัดกิจกรรมของโครงการฯ ณ มหาวิทยาลัยและองค์กรเครือข่ายแต่ละแห่งตลอดทั้งปี พร้อมร่วมมือวางแผนขยายการดำเนินงานสู่จังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศในปี 2560 โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้นถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ได้ลงมือทำกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่สนุกและท้าทาย เสมือนนักเรียนแต่ละคนได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยจริง เพื่อจุดประกายความสนใจในสาขาวิทยาศาสตร์ และสร้างแรงบันดาลใจในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพในสาขาสะเต็มในอนาคต โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศเยอรมนี ก่อนขยายผลไปยังประเทศต่างๆ สำหรับโครงการ "มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย" จัดตั้งขึ้นในปี 2554 ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมชมโครงการนี้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีกล่าวว่า “การเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาให้กับเยาวชนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็ม ถือเป็นวาระแห่งชาติ ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องได้รับการผลักดันทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมรับกับการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้านที่นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างสูง ส่งผลให้ความต้องการบุคลากรในสาขาสะเต็มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอย่าง ยั่งยืน โครงการ "มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย" ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่สนองพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเยาวชนโดย โครงการ "มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้”  นางดวงสมร คล่องสารา ประธานคณะทำงานโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทยเปิดเผยว่า “โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย ปรับปรุงหลักสูตรจากกิจกรรมต้นแบบของประเทศเยอรมนี ด้วยบริบทของประเทศไทย โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือทำ (hands-on) กิจกรรมทดลองที่ท้าทายและน่าสนใจในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์โดยมีอาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัย เป็นวิทยากร และมีพี่เลี้ยงที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น นักศึกษาระดับปริญญาตรี โท และเอก คอยให้คำแนะนำและกระตุ้นกระบวนการคิดและการเรียนรู้ โดยพบว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกฝนและพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่การสังเกต การตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบ ได้อย่างสนุกสนานและมีความสุขเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ สำหรับโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย 2559 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘สนุกวิทย์ ปลูกแนวคิดวิทยาศาสตร์สู่เยาวชน’ จะจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มีรูปแบบและหัวข้อที่หลากหลาย ณ มหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯต่อไปตลอดทั้งปี โดยตั้งแต่ปี 2559 นี้โครงการฯ ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน คือ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งจะช่วยให้โครงการฯ สามารถดำเนินงานได้อย่างเข้มแข็ง ทั้งยังสามารถขยายสู่เยาวชนในต่างจังหวัดตามที่ทางโครงการฯ ได้ตั้งใจไว้” ศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย มาตั้งแต่ต้น โดยทางมหาวิทยาลัยเน้นรับเด็กนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนที่ขาดโอกาส โดยเราให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมทั้งในเรื่องของบุคลากร สถานที่ เครื่องมือและอุปกรณ์การทดลอง รวมถึงการเดินทางของนักเรียนและอื่นๆ เพื่อให้เด็กๆ เหล่านี้ได้มีโอกาสในการเรียนรู้และสนุกกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเห็นว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เกิดความรักและความสนใจที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและประกอบอาชีพนี้ต่อไป ในอนาคต ในส่วนของกิจกรรมมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย ในปีนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยินดีที่ได้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ ซึ่งแสดงถึงพลังความร่วมมือของทุกหน่วยงานในการร่วมกันส่งเสริมการศึกษาแก่เยาวชนในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เปิดเผยว่า “เชฟรอนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาสะเต็ม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งนี้ การสนับสนุนโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย 2559 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต’ ที่เชฟรอนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนส่งเสริมการศึกษาในสาขาสะเต็มเพื่อให้เยาวชนเห็นว่าการศึกษาในสาขานี้เป็นเรื่องสนุกน่าสนใจ เกิดแรงบันดาลใจและสนใจในการศึกษาต่อด้านนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย เป็นอย่างดี โดยเชฟรอนประเทศไทยได้สนับสนุนงบประมาณ 10 ล้านบาท ในการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย และจะทำงานร่วมกันเพื่อขยายขอบข่ายการดำเนินงานไปสู่จังหวัดอื่นๆ โดยจะเน้นความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาพันธมิตรภายใต้โครงการ Enjoy Science ในจังหวัดต่างๆ อาทิ สมุทรปราการ สงขลา เชียงใหม่ และขอนแก่น โดยคาดว่าจะมีมหาลัยวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาเครือข่ายเพิ่มขึ้นอีก 10 แห่ง และสามารถจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้กว่า 10,000 คน ทั่วประเทศ ภายในปี 2560”  สำหรับหน่วยงานเครือข่ายของโครงการมหาวิทยาลัยเด็กในปัจจุบัน ประกอบด้วยสถาบันการศึกษา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง องค์กรภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) องค์กรภาคประชาสังคมได้แก่ สถาบันคีนันแห่งเอเซีย และภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ในปี 2559 มหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ จะมีการจัดกิจกรรมมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย ตลอดทั้งปี โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารการจัดกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ www.childrensuniversity.in.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – ITAP: ปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม SMEs ไทยเชิงรุก ในปี 2558
​ITAP: ปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม SMEs ไทยเชิงรุก ในปี 2559 กรุงเทพฯ : 11 มกราคม 2559 - กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (Innovation and Technology Assistance Program: ITAP) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้คำแนะนำ เป็นพี่เลี้ยง และเป็นพันธมิตรธุรกิจ ดำเนินงานเพื่อพัฒนาศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีขีดความสามารถทางเทคโนโลยีสูงขึ้น ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยใช้กลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมกับสภาพความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และจัดงาน “ITAP: ปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม” เพื่อนำเสนอกลไกเชิงรุกในการสนับสนุนภาคเอกชน พร้อมมอบรางวัลให้กับบริษัทผู้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐาน การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม   ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า “เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็น SMEs เองต่างอยากมีขีดความสามารถการแข่งขันที่สูงขึ้น มีนวัตกรรม มีสินค้าที่แตกต่าง แต่ในทางปฏิบัติการสร้างสรรค์นวัตกรรมของ SMEs เป็นเรื่องยากเพราะ SMEs เงินทุนน้อย บุคลากรจำกัด ไม่มีผู้เชี่ยวชาญในการวิจัย ไม่ง่ายที่ SMEs จะมีหน่วย R&D เป็นของตัวเอง และ SMEs ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารโครงการวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ภาครัฐจึงจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในการพา SMEs เติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม”    ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (Innovation and Technology Assistance Program : ITAP) หรือเรียกโดยย่อว่า “ไอแท็พ” (ITAP) ได้จัดตั้งขึ้นโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อสร้างความเข้มแข็งของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการ และเผยแพร่มาตรการภาครัฐในการส่งเสริมให้นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของภาครัฐที่จะเชื่อมโยง SMEs ให้เข้าถึงองค์ความรู้และทรัพยากรที่จำเป็น สามารถนำไปใช้ในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรม เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และกระบวนการใหม่ อันจะนำมาซึ่งขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรมให้ สามารถบรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้ SMEs เป็นแกนหลักของเศรษฐกิจ”        ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล  ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า  “การมาร่วมโครงการกับ ITAP เสมือนบริษัทได้มีหน่วย R&D เฉพาะกิจขึ้นมา และมีคนที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเทคโนโลยีช่วยบริหารโครงการวิจัยให้ SMEs หาที่ปรึกษาที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและหัวข้อที่ต้องการวิจัย พัฒนา นวัตกรรม รวมทั้งมีเงินทุนสนับสนุน ทำให้ผู้ประกอบการลดความเสี่ยงในการทำโครงการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม สามารถตัดสินใจลงทุนได้รวดเร็วขึ้น  ซึ่ง ITAP ได้ให้การสนับสนุนภาคเอกชนจนประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานการ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้วยการใช้ประสบการณ์ในการบริหาร ถ่ายทอดโครงการกว่า 4,000 โครงการ สามารถวิเคราะห์จัดลำดับปัญหา และเสาะหาผู้เชี่ยวชาญได้อย่างถูกจุด  โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยเฉพาะทาง การบริการของภาครัฐ และแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะบุคลากรและเทคโนโลยีของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยบริหารโครงการด้วยความเข้าใจทั้งภาษาธุรกิจและภาษาวิจัย พร้อมทั้งมอบเงินสนับสนุนบางส่วนแก่ SMEs ในการทำโครงการ ซึ่งสามารถให้การดูแลและบริการให้คำปรึกษาอย่างทั่วถึง โดยมีสาขาให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ และมีพันธมิตรในการเชื่อมโยงงานในมิติต่างๆ”   ทั้งนี้ งาน “ITAP : ปลดล็อคข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม” มีกิจกรรมหลักในงาน ประกอบด้วยปาฐกฐาพิเศษหัวข้อ “Business @ The Speed of Light, Why INNOVATION Must be Addressed” โดย ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การมอบรางวัล “ผู้พิชิตยอดเขานวัตกรรม” แก่บริษัทผู้มีการดำเนินธุรกิจจากการไต่ระดับเทคโนโลยี ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีผู้ได้รับรางวัล  คือ    1. บริษัท แดรี่โฮม จำกัด : ผลิตภัณฑ์นมออแกนิค  2. บริษัท เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ จำกัด : ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ 3. บริษัท เอส.บี.พี. ทิมเบอร์กรุ๊ป : นวัตกรรมงานไม้ 4. บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) : นวัตกรรมพัดลมไอน้ำ 5. และ บริษัท เอเซีย คอมแพ็ค จำกัด : ผลิตภัณฑ์ผ้าเบรค ไร้ใยหิน   รวมทั้งการจัดแสดงนิทรรศการด้านการไต่ระดับเทคโนโลยีและจัดแสดงผลงานของบริษัทผู้รับรางวัล
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – นักวิจัย มอ. ค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบของยาจากรา คว้าทุนวิจัย ประจำปี 2558
​นักวิจัย มอ. ค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบของยาจากรา คว้าทุนวิจัยศาสตราจารย์ที่เป็นผู้นำกลุ่ม ประจำปี 2558 ณ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศผลผู้ได้รับทุน NSTDA Chair Professor หรือทุนศาสตราจารย์ที่เป็นผู้นำกลุ่ม แก่ ศ.ดร. วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล สังกัดภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในโครงการวิจัยเรื่อง “การค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบจากทรัพยากรราของไทยเพื่อความยั่งยืนในการค้นหายา” เป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท สนับสนุนโดยมูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ระยะเวลาให้ทุน 5 ปี เพื่อเป็นผู้นำกลุ่มวิจัยในการพัฒนาสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติต้นแบบจากทรัพยากรราให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมยาและชีวภัณฑ์ทางการเกษตร อันจะเป็นประโยชน์กับประเทศต่อไป ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “สังคมเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างและต่อยอดองค์ความรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จึงได้แสดงความสนใจและสานต่อจนเกิดเป็นโครงการทุน NSTDA Chair Professor มาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องเป็นทุนลำดับที่ 4 แล้ว (2552, 2554, 2556 และ 2558) ซึ่งจะให้การสนับสนุนปีละ 1 ทุน ระยะเวลารับทุนต่อเนื่อง 5 ปี โดยมูลนิธิฯ เป็นผู้ให้การสนับสนุนทุน 20 ล้านบาท และ สวทช. เป็นผู้บริหารจัดการ เพื่อสร้างศาสตราจารย์ที่เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเป็นนักวิจัยที่มีคุณภาพสูง มีโอกาสทำงานวิจัยของตนเองให้เกิดประโยชน์มากขึ้น สร้างสรรค์งานได้โดยมีอิสระทางวิชาการ ผสมผสานกระบวนการจัดการวิจัยเชิงวิชาการเข้ากับกระบวนการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ประโยชน์ และก่อให้เกิดผลงานวิจัยที่มีความใหม่น่าสนใจกว่าเดิม กลยุทธ์ประเภทนี้เกิดผลดีอย่างมากต่อการพัฒนาในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง และอเมริกา เป็นต้น” ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล เปิดเผยผลการพิจารณาทุน NSTDA Chair Professor ประจำปี 2558 ว่า “คณะกรรมการร่วมทุน มีมติเห็นสมควรมอบทุนดังกล่าว แก่ ศ.ดร.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในโครงการวิจัยเรื่อง “การค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบจากทรัพยากรราของไทยเพื่อความยั่งยืนในการค้นหายา” โดยจะได้รับงบประมาณสนับสนุนเป็นจำนวนเงิน 20 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี      ศ.ดร.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล เป็นนักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่น มีผลงานซึ่งได้รับการตีพิมพ์และอ้างอิงจำนวนมากทางด้านเคมีอินทรีย์ เป็นผู้อุทิศตนให้กับงานวิจัยและสร้างผลงานด้านสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากเชื้อจุลินทรีย์มาอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่ประจักษ์ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ นอกจากท่านหัวหน้าโครงการซึ่งเป็นแกนหลักแล้ว ยังมีทีมนักวิจัยที่ล้วนมีความสามารถและประสบการณ์ในหัวข้อวิจัยที่เสนอขอรับทุนเป็นอย่างดี”   ด้าน ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานมูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัย กล่าวว่า “จากผลการดำเนินงานของโครงการทุน NSTDA Chair Professor ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณทั้งหมดของโครงการฯ แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดีของ สวทช. จึงส่งผลให้การดำเนินงานของโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และขอแสดงความยินดีต่อ  ศ.ดร.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล หัวหน้าโครงการวิจัย และคณะผู้วิจัยทุกท่านที่ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับทุน NSTDA Chair Professor ประจำปี 2558 นี้”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – ก.วิทย์ฯ ประกาศผลสำรวจ 10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558
  ก.วิทย์ฯ ประกาศผลสำรวจ 10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558 ​ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ - ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานประกาศผลการจัดอันดับ 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ประจำปี 2558 ซึ่งจัดสำรวจขึ้นโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อส่งเสริมและยกระดับความรู้ ความเข้าใจข่าวสารวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ประชาชนคนไทยเข้าถึงเหตุผลและหลักการพิสูจน์บนพื้นฐานความเป็นจริง อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดความสนใจและตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ถือว่าเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินชีวิต และนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า “การจัดงานประกาศผลการจัดอันดับ 10 ข่าวดังวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558 เป็นกิจกรรมที่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สวทช. จัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้นับเป็นปีที่ 22  มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป มีความตระหนักและเข้าใจในองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างกระแสความนิยมและส่งเสริมความเข้าใจข่าวด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในสังคมไทย” ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า “การสำรวจและจัดอันดับ 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งนี้ได้รวบรวมข่าวด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2557 - 15 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งข่าวที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกมีจำนวนทั้งสิ้น 21 ข่าว แบ่งเป็นข่าวในประเทศ 16 ข่าว และต่างประเทศ 5 ข่าว โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รวม 15 หน่วยงาน และสื่อมวลชนสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ร่วมกันพิจารณาข่าวในหลากหลายแง่มุมในประเด็นข่าวที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ซึ่งได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลผลสำรวจจากนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมสำรวจและจัดอันดับ 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ต่างจังหวัด และผ่านทางระบบออนไลน์ และแบบสอบถาม จำนวนทั้งสิ้นกว่า 1,550 คน” ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผย 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558 ได้แก่ อันดับ 10 - ข่าว ซุปเปอร์มูนและจันทรุปราคา 2 ปรากฏการณ์ใน 1 วัน อันดับที่ 9 - ข่าว นาซ่าพบ! น้ำไหลบนดาวอังคาร” อันดับที่ 8 - ข่าว “นาซ่าเฮ! ยานสำรวจอวกาศพิชิตดาวพลูโต” อันดับที่ 7 - ข่าว เมือกหอยทากไทย ก้าวไกล! สู่ธุรกิจความงาม” อันดับที่ 6 - ข่าว เปิดปมปริศนาไฟไหม้บ้านพัทลุง อันดับที่ 5 - ข่าว เผย! ภาพถ่ายดาวเทียม แผ่นดินไหวประเทศเนปาล อันดับที่ 4 - ข่าว กลับมาอีกครั้ง "พระจันทร์ยิ้ม" อันดับที่ 3 - ข่าว จันทรุปราคาเต็มดวงสีแดง  อันดับที่ 2 - ข่าว มหันตภัย! ไวรัสเมอร์ส อันดับที่ 1 - ข่าว ตื่น! อุกกาบาต ลูกไฟตกจากฟ้า
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.10 – สัมภาษณ์ ดร.ศรชล โยริยะ
จากผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม...นำมาซึ่งรางวัลที่ได้รับมากมาย ดร.ศรชล โยริยะ  นักวิจัย ห้องปฏิบัติการเซรามิกส์ประยุกต์ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีเซรามิกส์ MTEC สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ จะนำผู้อ่านไปพูดคุยกับ นักวิจัยรุ่นใหม่ ไฟแรง ที่มีผลงานมากมายพร้อมพ่วงรางวัลที่ยืนยันความสามารถของเธอ ทั้งวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกระดับดีเยี่ยม จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในปี 2554 และในปี 2556 ได้รับรางวัล 2 ผลงาน จาก วช. คือ ผลงานวิจัยดีเด่น เรื่อง "ท่อนาโนไทเทเนีย : การศึกษาการขึ้นรูป ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับคุณสมบัติเชิงพื้นผิวและการทดสอบความเข้ากันได้กับเลือด" และรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นระดับประกาศเกียรติคุณ เรื่อง "เครื่องเคลือบฟิล์มบางแบบสปัตเตอร์ริง" และได้รับรางวัลทุนวิจัยลอรีอัลเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ ในสาขาวัสดุศาสตร์ ในปี 2556 และล่าสุดคือรางวัลเหรียญทองแดง สาขาการแพทย์ จากงาน 42nd International Exhibition of Inventions of Geneva เมื่อเดือนเมษายน 2557 ที่ผ่านมา  ไปรู้จักกับเธอกันค่ะ... ดร.ศรชล โยริยะ หรือ ดร.โอ๋ นักวิจัย ห้องปฏิบัติการเซรามิกส์ประยุกต์ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีเซรามิกส์ MTEC สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถาม : ดร.โอ๋ ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ สวทช. มีที่มาอย่างไรคะ ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นการทำตามความฝันเลย การทำงานที่ MTEC ถือว่าเป็นความตั้งใจและความฝันสูงสุดของชีวิตที่ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ตอนเรียน เพราะตอนที่เรียนระดับปริญญาตรีปีสาม ได้มาดูงานที่ สวทช. ก็รู้สึกได้เลยทันทีว่าตัวเองอยากเป็นนักวิจัย อยากทำงานในลักษณะที่หลากหลายไม่จำเจในแต่ละวัน ถ้าทำงานเป็นอาจารย์คิดว่าอาจไม่เหมาะกับบุคลิกและความชอบของตัวเอง จนเมื่อเรียนจบปริญญาโทก็ได้เดินตามความตั้งใจและมีโอกาสได้เข้ามาทำงานที่ MTEC ในตำแหน่งผู้ช่วยวิจัยที่หน่วยวิจัยเซรามิกส์ แต่พอทำงานไปสักสามปีก็เริ่มรู้สึกว่าความรู้และภาวะในการตัดสินใจด้านวิชาการเราเริ่มตัน คิดว่าเราอาจต้องเข้าสู่กระบวนการใดกระบวนการหนึ่งเพื่อพัฒนาความรู้และศักยภาพของตัวเองให้มากกว่านี้ จึงได้ไปสอบทุนบุคคลทั่วไปของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอก และได้ไปเรียนในสาขา Materials Sciences and Engineering ที่ The Pennsylvania State University ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสำเร็จการศึกษาก็ได้กลับมาเป็นนักวิจัยที่ MTEC จนถึงปัจจุบันค่ะ   ถาม : มีแนวคิดในการทำงานอย่างไรคะ ตอบ : สิ่งแรกที่ถามตัวเองคือ มีความสุขกับงานที่ทำไหม คำตอบก็คือเรามีความสุขกับงานที่ทำ แม้ว่าจะมีปัญหาหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้าในแต่ละวันที่ต้องแก้ไข แต่สิ่งที่หล่อเลี้ยงเปรียบเสมือนเป็นรากแก้วที่อยู่ลึกๆ ให้เรา enjoy การทำงานในทุกวันนี้คือ ลักษณะของงานนั่นเอง เรามีความสุขกับงานวิจัยที่ทำ เรารักงานวิจัย การเป็นนักวิจัยคืออาชีพที่อยากทำ เป็นความรู้สึกที่มั่นคง มีมาตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรีปีสาม และด้วยการทำงานที่ MTEC นี่แหละ ที่ทำให้เราได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ทำให้เราได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่มีค่ากลับมาทำงาน ได้พัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานเฉกเช่นทุกวันนี้  หากคิดว่าเราทำงานเพื่อตัวเองเราจะเหนื่อย หรือคิดว่าถ้าหัวหน้าสั่งหรือผู้ใหญ่สั่งให้เราทำงานโดยเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว เราจะรู้สึกเหนื่อย แต่ถ้าเราลองคิดในมุมกลับ เราลองมองดูงานที่เรามีอยู่ในมือ เราอยากเห็นอนาคตของมันเป็นอย่างไร ลองรู้สึกศรัทธาที่จะทำและอยากทำงานนั้นออกมาให้ดี เราก็จะไม่เหนื่อย ถาม : ผลงานที่ประทับใจมีอะไรบ้างคะ ทราบว่า ดร.โอ๋ มีผลงานมากมายเลยทีเดียว ตอบ : สิ่งแรกที่จะเอ่ยถึง ก็คงเป็นเรื่องที่ถนัดและเชี่ยวชาญตามที่เรียนจบมา ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ทำมาตลอดช่วงที่เรียนปริญญาเอกเป็นระยะเวลา 5 ปี คืองานวิจัยเกี่ยวกับการขึ้นรูปฟิล์มท่อนาโนไทเทเนีย (Titania Nanotube Array Films) ด้วยกระบวนการทางไฟฟ้าเคมีแบบแอโนไดเซชั่น ซึ่งเมื่อเรียนจบก็ได้รับการเสนอจากกลุ่มวิจัยจาก University of California at San Francisco (UCSF) สหรัฐอเมริกา ที่ได้เคยทำงานวิจัยร่วมกันมาให้ทำ postdoc ต่อโดยให้พัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ด้านการนำฟิล์มท่อนาโนไทเทเนียไปพัฒนาเป็นวัสดุนำส่งตัวยาเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซี แต่ในตอนนั้นคิดว่าอยากรีบกลับมาทำงานและปรับตัวให้เร็วที่สุด จึงได้ปฏิเสธโอกาสนั้นไป ซึ่งงานวิจัยหัวข้อนี้ ณ ปัจจุบัน ทาง UCSF ก็ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการออกแบบและปรับปรุงประสิทธิภาพของตัววัสดุนำส่งตัวยาโดยใช้สูตรในการขึ้นรูปฟิล์มท่อนาโนไทเทเนียที่เราคิดขึ้นเป็นเงื่อนไขหลัก โดยตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ศึกษาอยู่นั้น เราเป็นต้นน้ำมาตลอด แล้วส่งต่อให้กับคนที่ศึกษาด้านการประยุกต์ใช้งานฟิล์มในด้านต่างๆ ต่อไป เช่น Gas Sensor, Dye-Sensitized Solar cell และ Biomedical applications   พอเรียนจบกลับมา ก็ได้มีโอกาสส่งวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเข้าประกวดเพื่อเสนอขอรับรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และก็ได้รับรางวัลระดับดีเยี่ยม สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย ประจำปี 2554 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่สะท้อนถึงความตั้งใจทุ่มเทในการทำงานตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และเมื่อกลับมาอยู่ MTEC ก็เริ่มเดินหน้าสร้างฐานเทคโนโลยีของเราเองขึ้นที่นี่ สำหรับแผนการใช้งานวัสดุท่อนาโนไทเทเนีย ณ ปัจจุบัน นอกจากวัสดุนำส่งตัวยาแล้ว การประยุกต์ใช้งานวัสดุฯ ด้านการช่วยการแข็งตัวของเลือดก็เป็นอีกหัวข้อวิจัยหนึ่งที่สนใจ โดยเราก็ได้พยายามมองหาพันธมิตรหรือมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ ที่จะนำวัสดุของเราไปใช้งานต่อ ถาม : ผลงานมากมายที่ทำออกมา ตั้งเป้าไหมว่าจะต้องได้รับรางวัลทุกผลงาน ตอบ : ในการทำงานวิจัยนั้น ไม่เคยคิดว่าเราจะทำงานวิจัยเรื่องนี้เพื่อท้ายที่สุดเราจะได้เอาไปส่งประกวดเพื่อให้ได้รางวัล ที่เคยตั้งใจมีอย่างเดียวคือ การส่งวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเข้าประกวด เพราะทราบมาก่อนว่ามีพี่ๆ นักวิจัยที่ MTEC เคยส่งประกวด เราเลยอยากลองส่งงานวิจัยของตัวเองบ้างว่า จากผลงานทางวิชาการทั้งหมดที่ได้ตีพิมพ์เป็นบทความทางวิชาการและสิทธิบัตร รวมถึงจำนวนการอ้างอิง ประโยชน์ของเทคโนโลยีที่มีศักยภาพที่จะนำไปต่อยอด และผลกระทบในเชิงวิชาการและภาคอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้น งานวิจัยของเราอยู่ในระดับไหน ในมุมมองของการวางแผนการทำงานวิจัย อยู่ที่ว่าเราตั้งใจอยากจะให้ผลงานหรือผลผลิตออกมาในรูปแบบไหน เส้นทางไหนที่ควรจะทำ เมื่อตั้งเป้าแล้วเราต้องทำให้สัมฤทธิ์ผลให้ได้แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้ด้วย สิ่งสำคัญข้อหนึ่งที่ตัวเองมักจะพึงตระหนักอยู่เสมอคือ “จะไม่ละเลยสิ่งที่ควรทำ” เราต้องทำสิ่งที่ควรทำนั้นๆ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย เนื่องจากเวลาไม่รอใคร ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการเผยแพร่นำเสนอผลงาน ก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมของมันเช่นกัน  จริงๆ การส่งผลงานเข้าประกวดในเวทีต่างๆ ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งในแง่ของการเผยแพร่ผลงานให้กับคนภายนอกได้รับรู้งานวิจัยของเรา การส่งผลงานเข้าประกวด ถือว่าเป็นผลพลอยได้มากกว่า เพราะทำให้เราได้เพื่อนใหม่เรื่อยๆ ในทุกครั้ง อย่างเช่นงานด้านการประยุกต์ใช้งานฟิล์มท่อนาโนไทเทเนียที่ใช้คุณสมบัติการห้ามเลือด การที่เราได้ไปนำเสนอผลงานในงานประกวดสิ่งประดิษฐ์ หรือนวัตกรรมการประยุกต์ใช้งานวัสดุ ก็ทำให้เราได้เจอพันธมิตรจากหลายสถาบัน ได้รู้จักอาจารย์หรือนักวิจัยในหลากหลายสาขา เช่นหมอหรือเภสัชกร ที่บางทีจากการพูดคุยกันทำให้เราได้ทราบถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากผู้ใช้งานโดยตรง และได้โจทย์วิจัยใหม่ๆ กลับมาทำ แต่ละเวทีที่ไปประกวดหรือนำเสนอผลงานนั้นอาจทำให้คนอื่นเกิดไอเดียที่จะนำวัสดุของเราไปใช้งานต่อ มองเห็นโอกาสที่จะได้มาร่วมงานกับเรา หรือมองเห็นช่องทางที่จะมีโครงการวิจัยร่วมกันขึ้นในอนาคต  นอกจากงานวิจัยเรื่องท่อนาโนไทเทเนีย ก็มีงานวิจัยอีกโครงการหนึ่งที่เกี่ยวกับ Application ด้านการแพทย์ เป็นโครงการวิจัยเรื่องการพัฒนากระบวนการเคลือบผิววัสดุอุปกรณ์ฝังในใช้สำหรับอุดรูรั่วผนังหัวใจ โดยเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีการเคลือบผิวฟิล์มบางโลหะบนวัสดุรูปร่างซับซ้อน ที่เป็นโครงการวิจัยร่วมระหว่าง MTEC กับบริษัทผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์การแพทย์ภายในประเทศ ซึ่งหากทีมวิจัยสามารถพัฒนากระบวนการเคลือบสำเร็จ ทางบริษัทผู้ผลิตก็มีความยินดีจะรับถ่ายทอดเทคโนโลยีในท้ายที่สุด จะถือเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัทอย่างมากด้านการส่งตัวอย่างเข้า-ออกประเทศเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติเชิงพื้นผิวของวัสดุ จุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโครงการวิจัยนี้ขึ้นได้ ก็เนื่องมาจากการที่ทางทีมวิจัยได้ไปนำเสนอผลงานที่ วช. ในงานวันแถลงข่าวประกาศผลผู้ได้รับรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ: รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2557 แล้วทางทีมวิจัยได้มีโอกาสพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตที่มีความต้องการทำวิจัยในเรื่องนี้ นี่ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนหรือเป็นข้อดีของการส่งผลงานวิจัยเข้าประกวด และผลงานนี้ได้มีการต่อยอดไอเดียในการพัฒนาเป็นสิ่งประดิษฐ์ต้นแบบเพื่อให้ก้าวไปสู่การนำไปใช้งานได้จริงทางด้านการแพทย์ ทำให้ล่าสุดอีกหนึ่งรางวัลที่เราได้รับจากสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้คือ รางวัลเหรียญทองแดง สาขาการแพทย์ จากงาน 42nd International Exhibition of Inventions of Geneva โดยผลงานนี้ได้รับเชิญจาก วช. ให้ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดสิ่งประดิษฐ์ที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนเมษายน 2557 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ก็ได้รับทุนวิจัยลอรีอัลเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ ในสาขาวัสดุศาสตร์ ในปี 2556 เนื้อหาหลักเป็นผลงานวิชาการและงานวิจัยทั้งหมดที่ทำมาในช่วงเวลาหลายปี ดู Motivation ในการทำงานวิจัยด้านวัสดุศาสตร์ในหลายมิติ  อันจะก่อให้เกิดประโยชน์และผลกระทบต่อสังคมต่อไป รางวัลนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของชีวิต และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ท่านคณะกรรมการได้พิจารณาให้ได้รับทุนฯ นี้จากลอรีอัล ซึ่งก็ถือเป็นแรงบันดาลใจอย่างมากในฐานะนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ในการที่จะทำงานวิจัยเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ดี มีประโยชน์ สามารถนำไปใช้ได้จริงและถ่ายทอดสู่สังคมอย่างเป็นรูปธรรมได้  งานอีกด้านหนึ่งที่จริงๆ แล้วยังคงทำอย่างต่อเนื่องมาตลอดช่วงที่กลับมาทำงานที่ MTEC คือ งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องน้ำ จุดเริ่มต้นเลยเกิดขึ้นเมื่อช่วงสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศเมื่อปลายปี 2554 ซึ่งตอนนั้นกลับมาทำงานได้ไม่ถึงปี ก็ได้รับโอกาสจากท่านอาจารย์วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ผู้อำนวยการ MTEC สมัยนั้น ให้ได้มีส่วนร่วมเป็นคณะทำงานของ สวทช. ใน “โครงการวิเคราะห์น้ำท่วมขังภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย” เพื่อทำการวิเคราะห์ทดสอบและประเมินคุณภาพของน้ำท่วมขังบริเวณต่างๆ ของ สวทช. ในช่วงน้ำท่วม และในขณะเดียวกันนั้น ก็ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมวิจัย MTEC นำโดย ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ที่ได้ร่วมกันพัฒนานวัตกรรม เอ็น-ค่า : เทคโนโลยีการจัดการน้ำเสียที่ท่วมขังด้วยสารจับตะกอน (nCLEAR) ร่วมกับเครื่องเติมอากาศแบบประหยัด (nAIR) งานนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของทีมนักวิจัยทุกคนที่ได้พัฒนางานวิจัยออกไปใช้อย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลชัดเจนจริงๆ จากการที่เราได้นำ ‘เอ็น-ค่า’ ไปใช้งานในหลากหลายสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่น้ำท่วมปี 2554 จนถึงการปรับปรุงคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำชุมชน/คูเมืองในต่างจังหวัด เช่นจังหวัดเชียงใหม่และแพร่ในช่วงปี 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งประสบการณ์ทุกอย่างที่เราเองได้มีส่วนร่วมและทำงานร่วมกับพี่ๆ เพื่อนๆ นักวิจัย ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างมากในขั้นตอนการทำงาน ในเชิงเทคนิคจากสเกลเล็กๆ ในห้องแล็บสู่การขยายสเกลเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ และเทคนิคการทำงานให้เป็นไปอย่างราบรื่นร่วมกับคนในท้องถิ่นนั้นๆ   งานบางอย่างที่เราได้รับโอกาสให้ทำ บางครั้งในตอนแรกเราอาจรู้สึกว่าไม่เกี่ยวหรือไม่ตรงกับพื้นฐานหรือสิ่งที่เราเรียนจบมา ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ในการนำไปต่อยอดในอนาคตอันใกล้อย่างไร แต่จริงๆ แล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ตัวเองไม่เคยปฏิเสธโอกาสที่ได้รับหรือมอบหมายให้ทำ เพราะเราเองพบว่างานและกิจกรรมต่างๆ ที่ได้ทำ สิ่งเหล่านั้นไม่มีอะไรที่จะกลายเป็นสิ่ง ‘ไร้ค่า’ ไปได้เลย เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เหมาะสม ทุกอย่างจะกลับกลายเป็นความรู้และประสบการณ์ที่มี ‘คุณค่า’ ได้เสมอ ณ วันหนึ่งข้อมูลเหล่านั้นก็จะสามารถมารวมตัวกันแล้วกลายเป็นฐานความรู้ให้เราคิดต่อยอด แตกแขนงไปได้อีกเรื่อยๆ ในลำดับขั้นต่อไป ตัวเราเองมีความเชื่ออย่างนั้นมาตลอดค่ะ ถาม : ดร.โอ๋มีใครเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานคะ ตอบ : ที่จริงก็มีจากหลายคนนะคะในแต่ละช่วงจังหวะของชีวิต เราเห็นพี่ๆ หลายคนประสบความสำเร็จ พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ทำสิ่งดีๆ เหมือนพี่ๆ เหล่านั้น แต่ถ้าถามถึงคนที่ฝึกให้เรามีแบบแผนของกระบวนการคิด ฝึกให้เรามีรูปแบบของลักษณะการทำงานแบบทุกวันนี้ บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจและระลึกถึงเสมอ ก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาตอนเรียนปริญญาเอกค่ะ Professor Craig A. Grimes ท่านเป็นคนที่ทำงานหนัก มีวิญญาณนักสู้และไม่ท้อ อาจารย์บอกเราเสมอว่า ตอนเรียนเราเป็นนักเรียน ใช้ช่วงเวลาที่มีค่านี้ไว้ฝีกฝนตัวเองให้แกร่ง พัฒนาวุฒิภาวะ ทักษะและความสามารถของตัวเองที่จะจัดการกับปัญหาต่างๆ ให้ได้ด้วยดี ด้วยการคิดอย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด เพราะเมื่อเรียนจบออกไป เราจะมีคำว่า ดร. นำหน้าแล้ว จะไม่มีใครมาคอยให้อภัยและให้เวลาคุณฝึกซ้อมในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อยู่เรื่อยไป โลกใบนี้มันโหดร้ายและแข็งกร้าวนัก เราต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดที่จะสามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ตอนเรียนเราอาจมีงาน 4 - 5 อย่างอยู่ตรงหน้า แต่พอเวลาเราจบไปทำงานจริง เราอาจมีงาน 20 อย่างอยู่ตรงหน้าให้ทำให้เสร็จพร้อมๆ กันก็ได้ ดังนั้นเราจะมีวิธีการบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้สามารถผ่านสิ่งเหล่านั้นไปด้วยดี   อาจารย์สอนให้เราจะต้องมีความเชื่อในสิ่งที่เราทำว่าเป็นไปได้ ถ้าเราเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้ เราก็จะสามารถถ่ายทอดผลงานนั้นๆ ออกมาในลักษณะที่มันจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อ แม้แต่เราเขียนบทความครึ่งหน้ากระดาษโดยที่ยังกังขาและไม่เชื่อว่างานเราจะสำเร็จ คนอ่านก็จะรู้สึกและสัมผัสได้อยู่ดีว่า งานนี้เป็นไปไม่ได้!  ซึ่งก่อนจะเชื่อ เราต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่เราทำให้ลึกซึ้ง ถ้าเปรียบเทียบให้เราอธิบายวิธีทำผัดไทกับแกงกะหรี่อินเดีย การที่เราเป็นคนไทยก็จะสามารถพูดอธิบายวิธีการทำผัดไทได้อย่างง่ายดายและคล่องแคล่ว นี่ก็เป็นเพราะเรารู้และเข้าใจสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้ เราถึงพูดได้เป็นฉากๆ อธิบายได้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย ตรงประเด็น และสั้นกระชับ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะรู้สึกว่ายากมากที่จะถ่ายทอดสื่อสารออกมา เราจะเริ่มวนเวียนในจุดเริ่มต้นแบบงงๆ ที่ไม่รู้ว่าสิ่งไหนคือผักบุ้งโหรงเหรงที่ควรทิ้ง หรือสิ่งไหนคือชิ้นเนื้อปลามันที่ต้องการ เพราะจริงๆ ในเมื่อคุณไม่รู้จัก แล้วคุณจะพูดถึงสิ่งนั้นได้อย่างสบายใจได้อย่างไร สิ่งที่อาจารย์สอนและตั้งคำถาม เรามักจะนำมาปรับใช้กับการทำงานของเราอยู่เสมอ ทำให้เรามีสติคิดให้รอบคอบก่อนจะทำการสิ่งใดในทุกทักษะ ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีอย่างมากในการทำงาน  การสร้างพลังใจให้กับตัวเองในการทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญนะคะ มันจะช่วยให้เรามีพลังขับเคลื่อนตัวเองไปได้ในทางบวก ถึงแม้จะเหนื่อยกาย แต่เราจะไม่เหนื่อยใจค่ะ  คิดเช่นนี้ได้บ่อยๆ เราจะมีพลังใจเกิดขึ้นมาเองเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวเลย ลองสังเกตดูสิคะว่าคนที่อยู่รอบข้างคุณเขาจะรู้สึกได้รับพลังจากเราไปด้วย   “กำลังใจที่ยั่งยืน ไม่มีใครที่จะมาสร้างหรือหยิบยื่นให้คุณได้ คุณต้องสร้างมันด้วยตัวของคุณเอง”   “Lasting motivation can only come from you. You have to start building it in yourself.”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
บทความ
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.10 – ปฏิทินกิจกรรม
"ตะลุยวันเด็ก!! บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร" สวทช. จัดเทศกาลมอบความรู้คู่ความสนุกสนานให้กับเยาวชน ในงาน "ตะลุยวันเด็ก!! บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร"  โดยโปรแกรมการพัฒนากำลังคนและสร้างความตระหนักด้าน ว และ ท จัดระหว่างวันที่ 6-7 มกราคม 2559 เวลา 9.00-15.00 น. ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย https://tulip.nectec.or.th/news/index.php?app=information&view=vwinf&type=show&information=1&value=aW50Q29kSW5mPTI0Nzg2   อบรมเชิงปฏิบัติการ "หลักสูตรการสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ" สถาบันวิทยาการ สวทช.ขอเชิญผู้สนใจ อบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง "หลักสูตรการสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ" ในยุคการสื่อสารออนไลน์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลมหาศาล การสื่อสารด้วยภาพมีบทบาทอย่างมากต่อการรับรู้และความเข้าใจของผู้คนปัจจุบัน โดยเฉพาะสื่ออินโฟกราฟิกที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สามารถแปลงข้อมูลจำนวนมหาศาลให้เข้าใจได้ง่าย และสื่อออกมาในลักษณะของภาพกราฟิก ที่นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังเข้าใจได้ง่ายในเวลาอันรวดเร็ว และเหมาะสำหรับผู้คนในยุคไอทีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลซับซ้อนมหาศาลในเวลาอันจำกัด ดังนั้นหากสามารถนำความรู้ต่างๆ มาสื่อสารในรูปแบบ อินโฟกราฟิกที่จะช่วยให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงข้อมูลที่มีอยู่มากมาย ได้ในเวลาอันจำกัด มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รูปแบบการอบรม ประกอบด้วยภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้าน Content Infographic และ Design Infographic บริษัท Infographic Thailand ระยะเวลาการจัดอบรม 2 วัน ดังนี้ รุ่นที่ 4 ระหว่างวันที่ 20 - 21 มกราคม 2559 รุ่นที่ 5 ระหว่างวันที่ 24 - 25 กุมภาพันธ์ 2559 (ภาคเหนือ) รุ่นที่ 6 ระหว่างวันที่ 23 - 24 มีนาคม 2559 รุ่นที่ 7 ระหว่างวันที่ 27 - 28 เมษายน 2559 สถานที่อบรม รุ่นที่ 4, 6 และ 7 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ รุ่นที่ 5 (ภาคเหนือ) ณ สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ค่าลงทะเบียน ท่านละ 15,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) พิเศษ!! ลงทะเบียนหน่วยงานเดียวกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปรับส่วนลด 10 % เหลือเพียงท่านละ 13,500 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center : 0 2644 8150 ต่อ 81889 (คุณทินกร), 81897 (คุณพิมพิชชารัณย์) E-mail: bas@nstda.or.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.10 – ไบโอเทค – สวทช. ประสบความสำเร็จ พัฒนาชุดตรวจหาเชื้อมาลาเรีย
ไบโอเทค - สวทช. ประสบความสำเร็จ พัฒนาชุดตรวจหาเชื้อมาลาเรีย   นักวิจัยไบโอเทคคิดค้นเทคนิคการตรวจหาเชื้อมาลาเรียจากเลือดผู้ป่วย จนพัฒนาเป็นชุดตรวจหาเชื้อมาลาเรียได้สำเร็จสามารถทำได้ง่าย สะดวก ทราบผลเร็ว และมีความแม่นยำ โรคมาลาเรีย ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย และทั่วโลกยังคงให้ความสำคัญกับปัญหานี้เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการพิจารณามอบรางวัลโนเบลในสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ (Nobel Prize in Physiology or Medicine) ประจำปี ค.ศ. 2015 นี้ ได้มอบให้แก่นักวิจัยชาวจีน Tu YouYou ซึ่งเป็นผู้ค้นพบวิจัยและพัฒนายา Artemisinin เพื่อใช้รักษาโรคมาลาเรีย ซึ่งยาดังกล่าวได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคมาลาเรียจำนวนมากทั่วทั้งโลกและเป็นยาราคาถูกที่ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้   สำหรับประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2557 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีรายงานจำนวนผู้ป่วยโรคมาลาเรียมากกว่า 30,000 ราย ถึงแม้จำนวนผู้ป่วยจะลดลงในแต่ละปี แต่ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถกำจัดเชื้อมาลาเรียให้หมดไปได้ ส่งผลให้มีการระบาดของโรคในพื้นที่เสี่ยงและยังคงมีผู้ป่วยซ้ำในทุกปี และยังเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดาร โรคมาลาเรียเกิดจากเชื้อโปรโตซัวในกลุ่มพลาสโมเดียม (Plasmodium) ที่อาศัยอยู่ในเม็ดเลือดแดง โดยมียุงก้นปล่องเพศเมียเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงที่ได้รับเชื้อจากเลือดของผู้ป่วยไปกัดผู้อื่นก็จะทำให้เกิดการแพร่เชื้อต่อไป เชื้อก่อโรคมาลาเรียที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นชนิดพลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม (Plasmodium falciparum) และพลาสโมเดียม ไวแว็กซ์ (Plasmodium vivax) โดยเชื้อทั้งสองชนิดนี้จะก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคมาลาเรียที่แตกต่างกัน รวมถึงการรักษาและระบาดวิทยาของเชื้อก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ดังนั้นการจำแนกชนิดของเชื้อ จึงมีความสำคัญต่อการเฝ้าระวังและการรักษาโรคเป็นอย่างมาก กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดยคณะนักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้ศึกษาและพัฒนาเทคนิคสำหรับการตรวจหาเชื้อมาลาเรีย พลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม และ พลาสโมเดียม ไวแวกซ์ ในตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยโรคมาลาเรียขึ้น เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่าย และสามารถนำไปใช้ทดสอบในพื้นที่จริงที่มีการระบาดได้ทันที ซึ่งเทคนิคที่พัฒนาขึ้นนี้เป็นการบูรณาการความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาของนักวิจัยไบโอเทค 3 ท่าน ได้แก่ ดร. สุกัญญา ยงเกียรติตระกูล ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการค้นหาโมเลกุลที่สำคัญของเชื้อมาลาเรียเพื่อนำมาใช้เป็นเป้าหมายในการตรวจหาเชื้อ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการนำเอาเทคนิคแลมป์ (LAMP) มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาเป็นชุดทดสอบในการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อต่างๆ และ ดร. ดารินทร์ คงคาสุริยะฉาย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านระบาดวิทยาของมาลาเรีย รวมถึงวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคมาลาเรีย                ดร.สุกัญญา ยงเกียรติตระกูล นักวิจัยห้องปฏิบัติการการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้สารชีวโมเลกุล เปิดเผยว่า เทคนิคที่คณะวิจัยพัฒนาขึ้นนี้ เรียกว่า “LAMP-LFD” เป็นการนำเอาเทคนิควิธีการตรวจ 2 ประเภทมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน คือเทคนิคแลมป์ (LAMP) ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้อุณหภูมิคงที่เพียงอุณหภูมิเดียว (ในช่วง 60-65 องศาเซลเซียส) และเทคนิค lateral flow dipstick หรือ LFD ซึ่งเป็นเทคนิคการใช้แผ่นจุ่มวัดแบบง่าย จึงทำให้สามารถอ่านผลได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ด้วยเทคนิค LAMP-LFD นี้ทำให้เราสามารถตรวจแยกเชื้อมาลาเรียทั้งสองชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ มีความถูกต้อง มีความแม่นยำและมีความจำเพาะในการตรวจเชื้อแต่ละชนิดสูงมาก คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโสและหัวหน้าห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด กล่าวเสริมว่า เทคนิค LAMP-LFD นี้ เริ่มต้นจากการเพิ่มสารพันธุกรรมด้วยเทคนิค LAMP ซึ่งถูกติดฉลากด้วยสารเรืองแสง จากนั้นใช้เทคนิค LFD เพื่อทำให้เกิดแถบสีบนแผ่นจุ่มวัดแบบง่าย จึงทำให้สามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า และข้อดีของเทคนิค LAMP-LFD ที่คณะวิจัยพัฒนาขึ้นนี้อีกอย่างหนึ่งคือ มีขั้นตอนการเตรียมตัวอย่างเลือดก่อนตรวจที่ง่ายไม่ยุ่งยาก จึงทำให้สามารถลดเวลาในการตรวจตัวอย่างจำนวนมากได้ เทคนิค LAMP-LFD นี้มีความไวในการตรวจสูงกว่าเทคนิคพีซีอาร์ทั่วไปประมาณ 10 เท่า และมีความจำเพาะต่อเชื้อพลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม และ พลาสโมเดียม ไวแวกซ์ อย่างมาก อีกทั้งขั้นตอนการตรวจก็ทำได้ง่ายและสะดวก โดยใช้เวลาในการตรวจรวมทั้งสิ้นเพียง 55 นาที ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์หรือเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีราคาแพง และไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ดังนั้นคณะวิจัยจึงเล็งเห็นว่าเทคนิค LAMP-LFD นี้มีโอกาสที่จะนำไปสู่การใช้งานในพื้นที่จริงได้และจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการตรวจเชื้อมาลาเรียให้แก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้ด้วย ดร.ดารินทร์ คงคาสุริยะฉาย นักวิจัยห้องปฏิบัติการวิศวกรรมโปรตีน-ลิแกนด์และชีววิทยาโมเลกุล กล่าวว่า ในปัจจุบัน การตรวจวินิจฉัยเชื้อมาลาเรียโดยใช้วิธีตรวจหาเชื้อจากแผ่นฟิล์มเลือดภายใต้กล้องจุลทรรศน์ยังถือเป็นวิธีมาตรฐาน แต่วิธีการนี้จำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีทักษะและความชำนาญเป็นอย่างมากในการจำแนกเชื้อ และถึงแม้ว่าจะมีความพยายามพัฒนาการตรวจวินิจฉัยให้ทันสมัยและรวดเร็วขึ้น โดยใช้วิธีพีซีอาร์ (PCR) หรือการวินิจฉัยอย่างรวดเร็วโดยวิธีทดสอบอิมมูโนโครมาโทกราฟิก (RDT) แต่ก็ยังคงพบปัญหาการเกิดผลบวกปลอม (false positive) และผลลบปลอม (false negative) ในการตรวจ จากข้อดีของเทคนิค LAMP-LFD ที่ได้พัฒนาขึ้น ในห้องปฏิบัติการ ทำให้คณะวิจัยได้นำเทคนิค LAMP-LFD ไปทดลองใช้งานจริง โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตรวจหาเชื้อมาลาเรียจากตัวอย่างเลือดที่ได้จากผู้ป่วย พบว่าเทคนิค LAMP-LFD มีค่าความไว (Sensitivity) และความจำเพาะ (Specificity) ต่อเชื้อมาลาเรียแต่ละชนิดสูงมาก และนอกจากจะสามารถใช้ตรวจผู้ป่วยมาลาเรียแล้ว เมื่อนำเทคนิค LAMP-LFD ที่พัฒนาขึ้นนี้ไปใช้กับผู้ที่มีการติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการ ก็พบว่าสามารถตรวจหาเชื้อได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เทคนิค LAMP-LFD จะถูกพัฒนาไปใช้ในการศึกษาด้านระบาดวิทยาของโรคมาลาเรียด้วย ปัจจุบัน เทคนิค LAMP-LFD สำหรับตรวจหาเชื้อมาลาเรีย พลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม และพลาสโมเดียม ไวแวกซ์ นี้ ได้มีการยื่นขอจดอนุสิทธิบัตรในประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาให้เป็นชุดตรวจสำเร็จรูปที่สะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คณะวิจัยยังมีแผนงานที่จะพัฒนาชุดตรวจสำหรับเชื้อมาลาเรียดื้อยาต่อไปในอนาคตอีกด้วย
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
บทความ
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.10 – เอ็มเทค ร่วมเดินหน้าประเทศไทย ไปสู่ความปลอดภัยทางถนน
เอ็มเทค ร่วมเดินหน้าประเทศไทย ไปสู่ความปลอดภัยทางถนน วันที่ 14-15 ธันวาคม 2558 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) (สวทช.) ร่วมกิจกรรมจัดแสดงผลงานและร่วมสัมมนาระดับชาติ ในงานสัมมนาความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 12 “ครึ่งทางทศวรรษ กับการจัดการที่เข้มแข็ง”  โดยมีนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการสัมมนา พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลตระหนัก และเล็งเห็นว่า “อุบัติเหตุทางถนนเป็นความสูญเสียทางสุขภาพที่สำคัญของคนไทย เนื่องจากในแต่ละปีมีคนไทยที่ต้องเสียชีวิต และมีผู้พิการรายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ที่สำคัญคืออุบัติเหตุทางถนนเป็นสิ่งที่ป้องกันและลดความสูญเสียลงได้ โดยกำหนดเป็นนโยบายป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุในการจราจร อันนำไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิต” การจัดงานดังกล่าว เอ็มเทคได้นำผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อุปกรณ์ขนย้ายผู้บาดเจ็บแบบสอดด้านข้างทีละจุด ต้นแบบห้องโดยสารรถพยาบาลแบบมีโครงสร้างรองรับการพลิกคว่ำ และโฟมอะลูมิเนียมตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานด้านความปลอดภัยบนท้องถนน ร่วมจัดแสดงภายในงานครั้งนี้ รวมทั้งมีนักวิจัย โดย ดร.สิทธิกร ลาภาพงศ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการยานยนต์ หน่วยวิจัยการออกแบบและวิศวกรรม เอ็มเทค ร่วมเสวนาในเรื่อง “การเพิ่มขีดความปลอดภัยรถโดยสารด้วยมาตรฐานการออกแบบบทเรียนจากการพัฒนารถพยาบาลไทย” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.10 – กสอ. จับมือ สวทช. ดัน SMEs ไทยสู่อุตสาหกรรมแห่งนวัตกรรม
กสอ. จับมือ สวทช. ดัน SMEs ไทยสู่อุตสาหกรรมแห่งนวัตกรรม กรุงเทพฯ 14 ธันวาคม 2558 – กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เร่งเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และพัฒนานวัตกรรม (Innovation) ให้ 5 อุตสาหกรรมดาวเด่น รองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล มุ่งหวังสร้างมูลค่าเพิ่มในภาพรวมให้กับอุตสาหกรรมไทยได้กว่าร้อยละ 15 ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การส่งเสริมและพัฒนา SMEs ของไทยในปัจจุบันจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับ SMEs โดยเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และพัฒนานวัตกรรม (Innovation) เพื่อยกระดับและสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ ดังนั้น ภาครัฐจึงผลักดันการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาและยกระดับ SMEs ตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ผ่านการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกันของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติโดยมีเป้าหมายที่จะใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมไทย โดยเน้น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ในเชิงนวัตกรรม ซึ่งการจะพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายได้นั้นงานวิจัยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก กระทรวอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงหารือเพื่อสร้างข้อตกลงร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เพื่อผลักดันงานด้านวิจัยและพัฒนา และการเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้ประกอบการให้มีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานผ่านการทดสอบรับรอง เพื่อรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายได้อย่างมีศักยภาพและยั่งยืน    ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึง การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเอสเอ็มอีไทย และความร่วมมือในครั้งนี้ ว่า “กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีพันธกิจหลักในด้านการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและสังคม ซึ่งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถือเป็นหน่วยงานที่มีความเข้มแข็งทางด้านการวิจัยและพัฒนามีระบบการถ่ายทอดและบริหารจัดการเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีความพร้อมด้านบุคลากรในการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และช่วยเหลือให้ภาคอุตสาหกรรมมีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปใช้เพิ่มผลิตภาพ คุณภาพ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเป็นข้อต่อสำคัญที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยงงานทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี การส่งต่อโอกาสการเข้าถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ได้ ก็ด้วยความร่วมมือและการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่ทำหน้าที่หลัก ในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมโดยตรง คือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ดังนั้นเพื่อร่วมกันปักธงนวัตกรรมให้เป็นเครื่องมือในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคธุรกิจ และนำความเข้มแข็งของทั้งสองหน่วยงานได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ ฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สวทช. ในการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วและสร้างความสมบูรณ์ให้กับข้อต่อของกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยี จึงเป็นที่มาของการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาและการเสริมสร้างศักยภาพอุตสาหกรรมในครั้งนี้ อันจะเป็นการนำเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ และนำประเทศก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งนับเป็นการสร้างอนาคตประเทศไทยร่วมกันให้มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน”  ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กสอ. ได้ดำเนินการพัฒนานำร่องใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และไบโอพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ มีขอบเขตความร่วมมือกันในการส่งเสริมและพัฒนาให้ได้มาตรฐานและมีกระบวนการในการทดสอบ ส่งเสริมการออกแบบ โดยนำเอางานวิจัยและเทคโนโลยีในด้านการผลิตต่างๆ เข้ามาใช้ ตลอดจนการสนับสนุนของ สวทช. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพื่อยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ นอกจากนั้น ยังมีการร่วมมือกันเพื่อพัฒนาบุคลากรสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือดังกล่าวจะสามารถทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs จะยกระดับและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในภาพรวมให้กับอุตสาหกรรมไทยได้กว่าร้อยละ 15 ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่าโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) ฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม /  สวทช. มีความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผลักดันงานวิจัยและพัฒนาสร้างศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทย ให้มีการผลิตที่ได้มาตรฐานผ่านการทดสอบ และยกระดับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้านยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และอุตสาหกรรมไบโอพลาสติกและ     บรรจุภัณฑ์ ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยผ่านกลไกทั้งการให้คำปรึกษาแนะนำด้านวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ การบริหารการผลิต ปรับปรุงกระบวนการผลิต และการวิเคราะห์และทดสอบ รวมถึงการอบรมสัมมนาและการจัดหาทรัพยากรสนับสนุนที่จำเป็น ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2559 จะมีโครงการนำร่องส่งต่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของทั้ง 2 ฝ่าย โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จะสนับสนุนเรื่องบริหารจัดการธุรกิจ ฝึกอบรมด้านการเงิน และการตลาด ส่วน สวทช. จะบริหารโครงการเชิงลึกเพื่อพัฒนาและยกระดับเทคโนโลยีการผลิตและสร้างนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนไทยให้มีขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่สูงขึ้นและยั่งยืน โดย สวทช. มีศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินงานได้ทันทีและสามารถขยายบริการได้ครอบคลุมทุกจังหวัดสำคัญของไทย ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสนับสนุน SMEs ให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่องกว่า 15,000 ราย เป็นต้น
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย