หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – สภาหอการค้าฯ จับมือ สวทช. และ สทอภ. หนุนเอสเอ็มอีสินค้าผักและผลไม้ไทย
สภาหอการค้าฯ จับมือ สวทช. และ สทอภ. หนุนเอสเอ็มอีสินค้าผักและผลไม้ไทย​ เตรียมความพร้อมสู่เออีซี ด้วย ThaiGAP ในปี 2560          16 ก.พ. 59 ณ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ - สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) เผยผลสำเร็จโครงการความร่วมมือ “การยกระดับและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ด้านสินค้าผักและผลไม้ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ AEC ด้วย ThaiGAP” ในด้านผลการดำเนินงาน การขยายผล และการเชื่อมโยงไปสู่คณะกรรมการเกษตรสมัยใหม่ นับเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดสากล ตั้งเป้าภายในปี 2560 จะมีผู้ประกอบการ 50 ราย ได้รับรองมาตรฐาน ThaiGAP      นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีความมุ่งมั่นในการบูรณาการความร่วมมือการสร้างความรับผิดชอบด้านความ ปลอดภัยของสินค้า โดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการขยายตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรของไทย ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดในประเทศและต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม       นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ ประธานคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมคุณภาพเกษตรไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ โปรแกรม ITAP สวทช. จัดทำโครงการ “ยกระดับและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการด้านสินค้าผักและผลไม้ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ AEC ด้วย ThaiGAP” เพื่อพัฒนาผู้ผลิตและผู้ประกอบการด้านสินค้าผักและผลไม้ให้ได้รับมาตรฐาน ThaiGAP และส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการด้านสินค้าผักและผลไม้ในประเทศ        นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐาน ThaiGAP ยังมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดย QR Code ที่ได้รับความร่วมมือจาก GISTDA ด้วยการสแกน QR Code ที่ติดบนผลิตผล สามารถสอบกลับไปถึงตำแหน่งที่ตั้งของฟาร์มผลิต รายละเอียดของเกษตรกรที่ขอการรับรองระบบการผลิต ได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ มาตรฐาน ThaiGAP เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ทำให้เกิดเป็นมาตรฐานของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนระบบการ ผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยให้เป็นรูปธรรม มีการนำไปปฎิบัติใช้จริง และได้รับการยอมรับของผู้บริโภคทั้งในประเทศและในตลาดสากล”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – ก.วิทย์ฯ นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม แก้ปัญหาการระบาดของยุงลายและไข้เลือดออก
ก.วิทย์ฯ นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม แก้ปัญหาการระบาดของยุงลายและไข้เลือดออก          กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมนำผลงานวิจัยและพัฒนา เพื่อลดการระบาดของยุงลายและไข้เลือดออก โดยมีผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลายชนิดเกล็ดซีโอไลท์ ชุดตรวจไวรัสเดงกี่ วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก จุลินทรีย์กำจัดลูกน้ำ สเปร์นาโนอิมัลชั่นสมุนไพรไล่ยุง มุ้งนาโน หินแก้วรูพรุนไล่ยุง โปรแกรมทันระบาด และการฉายรังสีในการทำหมันยุงลาย      ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล โฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ตระหนักถึงความห่วงใยของนายกรัฐมนตรีที่มีต่อประชาชน ที่ต้องการให้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าไปมีส่วนพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะช่วงนี้มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะ       กระทรวงฯ มีงานวิจัยหลากหลายที่ใช้ในการจัดการยุงและโรคที่เกิดจากยุง เช่น การใช้รังสีทำหมันยุง สารชีวภาพกำจัดลูกน้ำยุง สเปรย์นาโนอิมัลชั่นสมุนไพรไล่ยุง ชุดตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก วัคซีนไข้เลือดออก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผลงานที่ขอขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลายชนิดเกล็ดซีโอไลท์ ที่บริษัท อิคาริ เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งพัฒนาร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลายชนิดเกล็ดซีโอไลท์นี้ คือ สามารถนำมาใช้แทนทรายอะเบท ซึ่งมีปัญหาที่ทำให้คนไม่อยากใช้ คือ มีกลิ่นเหม็นและน้ำเป็นฝ้า และไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้       ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า สวทช. มีงานวิจัยภายใต้คลัสเตอร์สุขภาพและการแพทย์ เพื่อสร้างองค์ความรู้และผลิตภัณฑ์ที่สามารถแก้ปัญหาและตอบสนองต่อการรับมือกับโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำได้อย่างทันท่วงที และจากการระบาดของโรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหะ เช่น โรคไข้เลือดออก โรคมาลาเรีย และโรคจากไวรัสซิกา โดย สวทช. มีผลงานวิจัยเพื่อรับมือกับยุงและโรคจากยุง เช่น ชุดตรวจโปรตีน NS1 ของไวรัสเด็งกี่ที่แยกซีโรทัยป์ได้ทันที ซึ่งพัฒนาโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ชุดตรวจโปรตีน NS1 จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการวินิจฉัยโรค ช่วยให้แพทย์ตัดสินใจได้ทันทีในการรักษาหรือให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้เกิดอาการรุนแรง จนถึงขั้นช็อคและเสียชีวิต เทคโนโลยีนี้เปิดรับผู้ประกอบการที่สนใจขออนุญาตใช้สิทธิหรือร่วมวิจัยพัฒนา ผลิตภัณฑ์      นอกจากนี้ สวทช.โดยไบโอเทค ยังได้ร่วมกับนักวิจัยจาก จุฬาฯ มหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินงานวิจัยวัคซีนไข้เลือดออกตั้งแต่ปี 2543 โดยวิจัยทั้งวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ วัคซีนชนิดดีเอ็นเอ และวัคซีนชนิดอนุภาคเสมือนไวรัส ขณะนี้สร้างวัคซีนตัวเลือก ได้ครบทั้ง 4 ซีโรทัยป์แล้ว และผ่านการทดสอบในหนูทดลองแล้ว พบว่าได้ผลดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบในลิง ซึ่งจากผลการทดสอบเบื้องต้นนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของวัคซีนที่จะสามารถพัฒนาต่อยอดสู่การผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมเพื่อทำการทดสอบในอาสาสมัคร ระยะที่ 1 ต่อไปในปี 2560 นี้      ในระหว่างที่นวัตกรรมด้านวัคซีนและยายังอยู่ในระหว่างดำเนินการ การกำจัดยุงซึ่งเป็นพาหะนำโรคดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ตรงจุดและรวดเร็วที่สุด ในขณะนี้ การควบคุมตัวยุงโดยใช้สารเคมีหรือหมอกควันไล่ยุง อาจกำจัดยุงได้ไม่มากนัก การควบคุมประชากรยุงจึงควรควบคุมที่ระยะลูกน้ำควบคู่กันไป การใช้จุลินทรีย์กำจัดลูกน้ำถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าการใช้สารเคมี เนื่องจากมีความปลอดภัยและต้นทุนต่ำกว่า        Bacillus thuringiensis sub.sp. Israelensis (Bti)  Bacillus sphaericus (Bs) เป็นแบคทีเรียที่สร้างสารพิษฆ่าลูกน้ำยุงลาย และยุงรำคาญ และยุงก้นปล่องได้ ไม่เป็นอันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ใช้ในการกำจัดลูกน้ำยุงในแหล่งน้ำดื่มและน้ำใช้อย่างปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ไม่มีฤทธิ์ตกค้างเหมือนการใช้สารเคมี สามารถควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงได้นาน 2 เดือน ปัจจุบันสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้จากบริษัท TFI Green Biotechnology ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์จาก สวทช. แล้ว       สวทช. โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยี ยังได้พัฒนา "สเปรย์นาโนอิมัลชั่นสมุนไพรไล่ยุง" โดยใช้เทคโนโลยีป้องกันการระเหยของน้ำมันหอมระเหย หรือที่เรียกว่า เทคโนโลยีการกักเก็บ (Encapsulation Technology) โดยใช้องค์ประกอบนาโนกักเก็บน้ำมันหอมระเหยที่มีประสิทธิภาพในการไล่ยุง จึงทำให้ได้สูตรตำรับนาโนอิมัลชั่นที่มีฤทธิ์ไล่ยุงและมีความคงตัวของน้ำมันหอมระเหยได้นาน อย่างน้อย 3.5 - 4.5 ชั่วโมง และยังช่วยปกป้องผิวหนังได้อย่างอ่อนโยน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นกับผิวหนัง ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวหนัง อีกทั้งสามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นได้ เช่น สเปรย์ไล่ยุงเนื้อเบา โลชั่นไล่ยุง แผ่นแปะไล่ยุง        นอกจากนี้ นาโนเทค / สวทช. ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับไล่ยุงอีกหลายหลาย เช่น มุ้งนาโน โดยได้พัฒนาสารสกัดเลืยนแบบสารเก๊กฮวย ดาวเรือง และนำมาเคลือบเส้นใยสำหรับทำมุ้งนาโน ซึ่งเมื่อยุงสัมผัสสารเคลือบดังกล่าว จะทำให้ยุงเป็นอัมพาตและตายในที่สุด อีกทั้งยังได้คิดค้น "หินแก้วรูพรุนไล่ยุง" โดยใช้เทคโนโลยีนาโนในการกักเก็บกลิ่นตะไคร้หอมไว้ในหินแก้วรูพรุน ทำให้สามารถไล่ยุงได้นานกว่า 2 เดือน นอกเหนือจากการไล่ยุงแล้ว สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาซอฟต์แวร์สนับสนุนการป้องกันและควบคุมโรคระบาดของโรคไข้เลือดออกในเชิงรุก ที่เรียกว่า "โปรแกรมทันระบาด" โดยพัฒนาระบบการสำรวจจำนวนลูกน้ำยุงลายในพื้นที่แบบ mobile application ทำให้การจัดเก็บข้อมูลเป็นระบบ ซึ่งเมื่อนำมาเชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงระบาดวิทยาและข้อมูลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ทำให้สามารถนำไปวิเคราะห์ได้ตามมุมมองของผู้ใช้งานและจัดทำรายงานได้อย่างอัตโนมัติ โดยมีคุณสมบัติเด่น คือ ทำงานบนแท็บเล็ตแอนดรอยด์  รองรับการบันทึกข้อมูลการสำรวจในรูปข้อความและภาพถ่าย แบบ On-line และ Off-line  อ้างอิงพิกัดสถานที่สำรวจลูกน้ำยุงลายด้วยเทคโนโลยี GPS แสดงผลรายงานพิกัดสถานที่สำรวจลูกน้ำยุงลายบนแผนที่ Google Map พร้อมแสดงบ้านที่พบและไม่พบลูกน้ำยุงลาย ถ่ายโอนข้อมูลการสำรวจไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายอย่างอัตโนมัติ ประมวลผลสถานการณ์การระบาดฯและดัชนีทางกีฏวิทยาแบบ real-time  ทั้งนี้ การดำเนินงานสำรวจและทดสอบระบบในเบื้องต้น ได้ดำเนินงานร่วมกับ สคร.13 ในพื้นที่ จ.นนทบุรี และอยู่ระหว่างการขยายพื้นที่ทดสอบไปยังจังหวัดอื่นๆ      ในด้านการฉายรังสีทำหมันยุงลาย ดร.กนกพร บุญศิริชัย หัวหน้าโครงการวิจัยด้านชีววิทยาประยุกต์ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) ได้เปิดเผยว่า หลังจากมีการเผยแพร่เรื่องการทำหมันยุงเพื่อลดปริมาณยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก ชิคุนกุนยา ไวรัสซิก้า ไวรัสเดงกี่ ซึ่งโรคดังกล่าวทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของประชาชนนั้น กระทรวงวิทย์ ฯ โดย สทน. ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ เพื่อการทำหมันแมลง พร้อมสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ และห้องปฏิบัติการฉายรังสี เพื่อฉายรังสียุงลาย และร่วมทดสอบในขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้สามารถผลิตยุงลายที่เป็นหมันให้เพียงพอต่อการลดจำนวนยุงลายในธรรมชาติ และทำให้การเกิดโรคที่ยุงลายเป็นพาหะลดลง โดย สทน. จะรับผิดชอบในขั้นตอนการฉายรังสีให้ยุงลายเป็นหมัน ซึ่งหน้าที่นี้เป็นขั้นตอนสำคัญ และถือว่าเป็นความเชี่ยวชาญของ สทน. และประสบความสำเร็จในการฉายรังสีแมลงวันผลไม้ จนสามารถพัฒนาพันธุ์แมลงวันผลไม้ที่เป็นหมันที่เป็นพันธุ์เฉพาะของประเทศไทยได้  มีโรงเลี้ยงแมลงและฉายรังสีแมลงขนาดใหญ่พร้อมฉายรังสีแมลงหรือยุงในปริมาณมากๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ห้องปฏิบัติการฉายรังสีแห่งนี้ได้รับการรับรองจาก ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA ให้เป็นปฏิบัติการฉายรังสีในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย และ สทน. มีความพร้อม 100% ในการร่วมปฏิบัติงานในโครงการทำหมันยุงครั้งนี้
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – มูลนิธิไอทีตามพระราชดำริฯ และ สวทช. ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย ใช้นวัตกรรมไอทีพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
มูลนิธิไอทีตามพระราชดำริฯ และ สวทช. ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย ใช้นวัตกรรมไอทีพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21​          3 กุมภาพันธ์ 2559 มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย 13 แห่งทั่วประเทศ สานต่อแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการประยุกต์ใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือยกระดับคุณภาพการศึกษา และพัฒนาทักษะที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ให้แก่เยาวชน โดยมี บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมสนับสนุนโครงการ ไอซีทีส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สร้าง Innovation Space : ขยายโอกาสพัฒนาทักษะนวัตกรรมไอที         ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้ไอทีในการเพิ่มคุณภาพชีวิต การพัฒนาการศึกษาแลการเพิ่มโอกาสการทำงานให้แก่ผู้ด้อยโอกาส กระทั่งปัจจุบันในปี 2559 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชกระแสรับสั่งให้จัดตั้งเป็น “มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” เพื่อรับผิดชอบการดำเนินงานในระยะต่อไป และช่วยให้ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ      สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริแนวทางในการดำเนินงานส่วนหนึ่งว่า “ให้เผยแพร่ส่วนที่สำเร็จด้วยดีแก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องนั้นๆ เพื่อให้รับช่วงต่อในเรื่องของการขยายผลในวงกว้างต่อไป” ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการโครงการฯ จึงได้ประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยราชภัฏต่างๆ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ใกล้ชิดกับโรงเรียนในชนบท และมีพื้นที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ในการสานต่อและเผยแพร่กิจกรรมการประยุกต์ใช้เทคโนยีสารสนเทศในการเรียนการสอนตามแนวทางของโครงการเทคโนยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี        การทำงานร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยดังกล่าว จะช่วยให้เกิดการขยายผลการดำเนินงานในวงกว้าง โดยมหาวิทยาลัยจะเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาโรงเรียนในโครงการ และยังสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการจัดการศึกษาหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต ช่วยเตรียมความพร้อมของครูยุคใหม่ในการใช้ไอซีทีจัดการเรียนการสอนในอนาคต โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาครูยุคใหม่อย่างน้อย 1,200 คน/ปี และสามารถขยายผลโรงเรียนในท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 120 แห่ง และร่วมสร้างบทเรียนออนไลน์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 อย่างน้อย 12 เรื่อง เพื่อเปิดบริการบทเรียนออนไลน์ฯ และฝึกภาคปฏิบัติให้แก่ครูในท้องถิ่นได้ต่อไป      ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2558 มหาวิทยาลัยร่วมดำเนินการขยายผลการประยุกต์ใช้ไอซีทีส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จำนวน 4 กิจกรรมคือ กิจกรรมเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว (embedded technology) กิจกรรมการใช้ไอซีทีจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ (Project-based Learning using ICT) การสร้างชิ้นงาน 3 มิติด้วย 3D-Printer และบทเรียนบนระบบสื่อสารออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ทางไกลฯ (MOOC) โดยมีมหาวิทยาลัยเข้าร่วม 13 แห่งใน 4 ภูมิภาค และหน่วยงานเอกชนร่วมสนับสนุนการดำเนินงาน ดังนี้ 1. มหาวิทยาลัยราชภัฏ 12 แห่ง ประกอบด้วย ภาคเหนือ จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ภาคกลาง จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระราชูปถัมภ์ฯ และภาคใต้ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช 2. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมดำเนินงานโดยภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภายใต้การทำงานของห้องปฏิบัติการนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ (Learning Inventions Lab) ที่ได้มุ่งออกแบบเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้โดยใช้ระบบสมองกลฝังตัว และนำไปประยุกต์ใช้กับเยาวชน ให้เยาวชนได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสมองกลฝังตัวและการเขียนโปรแกรม เพื่อเสริมสร้างทักษะที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 อันได้แก่ การคิดอย่างเป็นระบบ คิดเป็น แก้ไขปัญหาเป็น ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นกัลยาณมิตร ฝึกตนจนติดนิสัยใฝ่เรียนรู้ไปตลอดชีวิต 3. บริษัท อินเทลไมโครอิเล็กทรอกนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมมุ่งสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนไทยมีความ สามารถในการสร้างนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี ผ่าน Innovation Space      นางสาวสติยา ลังการ์พินธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอกนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการสนับสนุนโครงการไอซีทีส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ภายใต้มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า “ด้วยความเชื่อว่านวัตกรรมนำไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และจะช่วยสร้างสังคมที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน อินเทลจึงมุ่งสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนไทยมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ด้วยเทคโนโลยี ผ่าน Innovation Space ที่จัดร่วมกับหลายภาคส่วน รวมถึงโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเปิดพื้นที่ เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาหรือแม้กระทั่งครูอาจารย์ได้ลองเรียนรู้ด้วยวิธีการใหม่ๆ ได้ออกแบบและประดิษฐ์อุปกรณ์อัจฉริยะ (smart device) ที่ประยุกต์ใช้หน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์ เช่น ชุดอุปกรณ์ อินเทล กาลิเลโอ (Intel Galileo) สร้างอุปกรณ์ที่สามารถรับข้อมูลจากสภาพแวดล้อมแล้วทำงานตามที่นักเรียนออกแบบโปรแกรมไว้ นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมโยงสู่ระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อบันทึก วิเคราะห์ และใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่อไป ทักษะพื้นฐานเหล่านี้จะมีคุณค่ามากในวันข้างหน้าที่โลกมุ่งเข้าสู่ยุคของอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (Internet of Things - IoT) ดังนั้น Innovation Space จึงเป็นทั้งพื้นที่และโอกาสที่เยาวชนไทยจะได้ลงมือประดิษฐ์คิดค้นด้วยเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านนวัตกรรม เกิดแรงบันดาลใจในการใช้เทคโนโลยีไปทำสิ่งที่มีประโยชน์โดยเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏสนองพระราชดำริเป็นช่องทางสำคัญที่จะขยายโอกาสนี้สู่ท้องถิ่นได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – ก.วิทย์ฯ สวทช. ร่วมกับพันธมิตร นำงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้างขยายผลโครงการ Thailand Tech Show ครั้งที่ 3
​ก.วิทย์ฯ สวทช. ร่วมกับพันธมิตร นำงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้างขยายผลโครงการ Thailand Tech Show ครั้งที่ 3          3 กุมภาพันธ์ 2559 ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรุงเทพฯ – หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนิน “โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์” ทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือพันธมิตรกว่า 19 แห่ง เดินหน้านำ 153 เทคโนโลยีที่พร้อมถ่ายทอดให้กับภาคเอกชน ครอบคลุมกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เกษตรและประมง เครื่องสำอาง อุปกรณ์การแพทย์ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น จัดแสดงในงาน Thailand Tech Show ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 23 - 24 กุมภาพันธ์ 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการและ SMEs ที่สนใจนำผลงานวิจัยไปต่อยอดเป็นธุรกิจนวัตกรรม โดยพิเศษสุดในปีนี้ เตรียมเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการในภูมิภาคต่างๆ สามารถเข้าถึงผลงานวิจัยด้วยการจัดงาน Thailand Tech Show ทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้        ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล โฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี/ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีการเติบโต เกิดความมั่งคั่ง อย่างมั่นคงและยั่งยืนโดยการผนึกกำลังทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในนาม "ประชารัฐ" เพื่อสร้าง Common Ground  ให้ทุกคนมีที่ยืนร่วมกัน และ Common Goal สานฝันร่วมกันนั้น รัฐบาลได้มีการตั้งคณะกรรมการภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมภาครัฐของคณะทำงานด้านยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ โดยมีคุณกานต์ ตระกูลฮุน จากบริษัท เอส ซี จี จำกัด (มหาชน) เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชน จากนโยบายและการตั้งคณะทำงานดังกล่าวเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าหากประเทศของ เราจะก้าวผ่านจากประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนให้นวัตกรรมเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ เน้นการพัฒนากำลังคนและเทคโนโลยี สนับสนุนให้เกิดการเพิ่มมูลค่าจากการต่อยอดและใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและเทคโนโลยี      โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ หรือที่เรียกว่า “หิ้งสู่ห้าง” เป็นหนึ่งในโครงการที่แสดงให้เห็นถึงการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐคือ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สวทช. หน่วยงานในสังกัดอื่นๆ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนคือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกันผลักดันให้เกิดโครงการนี้ขึ้นมาให้เอกชนสามารถเข้าถึงและนำงานวิจัย ไปใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย ด้วยขั้นตอนการดำเนินการที่สั้น ลดเวลาในการเจรจา ด้วยค่าธรรมเนียมที่เท่ากันในทุกรายการ ซึ่งโครงการนี้ได้ดำเนินการมาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว มีจำนวนบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าจากครั้งที่ 1 (จาก 12 ราย เป็น 46 ราย) โดยให้ความสนใจเทคโนโลยีกลุ่มเภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอางสูงที่สุด รองลงมา คือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร           ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล โฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี/ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า โครงการฯ นี้ถือเป็นแหล่งรวมงานวิจัยที่ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงได้ในจุดเดียวอย่างแท้จริง โดยการจัดงานในครั้งที่ 2 ที่ผ่านมามีภาคเอกชนทั้งหมดตอบรับและให้ความสนใจจองเทคโนโลยีถึง 72 เทคโนโลยี จากทั้งหมด 82 เทคโนโลยี จาก 9 หน่วยงานพันธมิตร มีผู้ลงนามในสัญญาขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเรียบร้อยแล้ว 2 ราย และอยู่ในขั้นตอนการเจรจา และรอลงนามอีก 28 ราย อยู่ในกระบวนการหารืออีกกว่า 120 ราย ซึ่งโครงการฯ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ สวทช. ยังคงได้รับเกียรติจากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาร่วมเป็นพันธมิตรมากขึ้น ถึง 19 หน่วยงาน รวมผลงาน 153 เทคโนโลยี ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม เกษตรและประมง เภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอาง เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น โดยผลงานทั้งหมดจะนำมาจัดแสดงในงาน Thailand Tech Show วันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งหวังว่าภาคเอกชนจะให้ความสนใจเข้าร่วมงานมากขึ้น จึงอยากขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจมารับฟังข้อมูล สัมผัสกับผลงานวิจัยด้วยตัวท่านเอง โดยจะมีเจ้าของผลงานมาคอยให้ข้อมูลเพิ่มเติมตลอดการจัดงาน นอกจากนี้ เรายังได้เปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการในภูมิภาคต่างๆ ด้วย โดยมีแผนที่จะจัดงาน Thailand Tech Show ขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.ขอนแก่น และ จ.สงขลา ในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2559 นี้ด้วย
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – สวทช. จับมืออิสราเอล จัดสัมมนาเทคโนโลยีการเกษตรก้าวหน้า และการบริหารจัดการน้ำ
​สวทช. จับมืออิสราเอล จัดสัมมนาเทคโนโลยีการเกษตรก้าวหน้า และการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทยในอนาคต          29 มกราคม 2559 ณ อาคารไบโอเทค สวทช. จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานสัมมนา "Technologies for agriculture in dryland: Case study from Israel" โดยเชิญนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำของอิสราเอลมา บรรยาย เพื่อแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ก้าวหน้า อันจะเป็นประโยชน์ต่อการรับมือกับภัยแล้งของภาคการเกษตรของไทย รวมถึงเพิ่มโอกาสความร่วมมือด้านวิจัยระหว่างประเทศไทยและประเทศอิสราเอล        ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “อิสราเอลเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญและทุ่มงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยสำหรับการวิจัยพื้นฐานและประยุกต์ในทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และเอกชน โดยรัฐบาลให้ความสำคัญและสนับสนุนอย่างมากและต่อเนื่อง รวมทั้งการใช้กลไกสนับสนุนและจูงใจต่อการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน ซึ่งอิสราเอลมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก (มากกว่า 4% ของ GDP) อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ซึ่ง สวทช. ได้พัฒนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลมาตั้งแต่ปี 2552 จากการริเริ่มผลักดันผ่านช่องทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ทำให้เกิดการสร้างเครือข่ายหน่วยงานพันธมิตรระหว่างสองประเทศที่กว้างขวาง รวมถึงความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในเชิงวิชาการและการวิจัย อาทิ งานสัมมนาวิชาการประจำปี ไทย-อิสราเอล (the Annual Thai - Israeli Science & Technology Cooperation Conference) การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การส่งนักวิจัย/นักวิชาการเข้าฝึกอบรมและทำวิจัยระยะสั้นที่อิสราเอล ตลอดจนงานประชุมวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการเกษตรและการบริหารจัดการน้ำที่อิสราเอลมีความเชี่ยวชาญเป็น พิเศษ เป็นต้น”      “เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอนาคต สวทช. ได้เชิญนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำของอิสราเอล 2 ท่าน คือ รศ.ดร.นัฟตาลี ลาซาโรวิทช์ (Associate Professor Dr. Naftali Lazarovitch) จาก Ben-Gurion University of the Negev ซึ่งบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง "Water, solute, and heat movement in the root zone: From measurements and models towards optimizing irrigation scheduling" ถือเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญที่จะนำมาใช้ในการสร้างแบบจำลองระบบการชลประทานให้น้ำ (irrigation) และการให้ปุ๋ยทางระบบการให้น้ำ (fertigation) อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักการของการเกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) โดย รศ.ดร.นัฟตาลี ยังให้ความสนใจงานวิจัยที่จะมุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนไปด้วย และ ดร.อูหริ เยอมิยาฮู (Dr. Uri Yermiyahu) นักวิทยาศาสตร์จาก Gilat Research Center, Agricultural Research Organization ซึ่งบรรยายเรื่อง "Integrative view of plant nutrition" มุมมองเชิงบูรณาการของธาตุอาหารในพืช ซึ่งมุ่งศึกษาการให้ธาตุอาหารเพื่อการเพิ่มปริมาณ และคุณภาพของผลผลิตในผักและผลไม้ให้สูงขึ้น นอกจากนั้น ดร.อูหริ ยังให้ความสำคัญกับการนำน้ำเสีย (ที่ผ่านกระบวนการบำบัด) น้ำกร่อย และน้ำเค็มมาใช้กับการเพาะปลูกด้วย ซึ่งอิสราเอลเป็นประเทศที่มีอัตราการบำบัดน้ำเสียเพื่อกลับมาใช้งานใหม่สูง ถึง 75% โดยน้ำเสียที่บำบัดแล้วมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกนำมาใช้งานในภาคการเกษตร” ดร.ทวีศักดิ์ กล่าว         ทั้งนี้ ด้วยพื้นที่กว่า 2 ใน 3 ของอิสราเอลเป็นพื้นที่แล้งและเป็นทะเลทรายที่ไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูก รวมทั้งมีแหล่งน้ำจืดตามธรรมชาติอยู่น้อย อิสราเอลจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตรและการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพจนประสบความสำเร็จ เช่น ระบบชลประทานแบบน้ำหยด (Drip Irrigation) การให้ปุ๋ยทางระบบการให้น้ำ (Fertigation) การแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืดเพื่อการอุปโภค-บริโภค (Desalination) การนำน้ำเสียจากการอุปโภคกลับมาใช้ใหม่สำหรับการเกษตรและอุตสาหกรรม (Wastewater treatment) เป็นต้น ทำให้ในปัจจุบันนอกจากจะสามารถผลิตอาหารเพื่อบริโภคภายในประเทศได้อย่างพอเพียงแล้ว ยังสามารถส่งออกผลิตผลทางการเกษตรไปขายในภูมิภาคต่างๆ ได้อีกด้วย
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – นักวิจัย นาโนเทค คว้ารางวัลในงานประชุมวิชาการ Natpro6
​นักวิจัย นาโนเทค คว้ารางวัล ในงานประชุมวิชาการ Natpro6          เมื่อ 21-23 มกราคม ที่ผ่านมา ในการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและความงาม ครั้งที่ 6 หรือ The 6th International Conference on Natural Products for Health and Beauty (NATPRO6) ณ โรงแรมพูลแมน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นเวทีนำเสนองานวิจัยและแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการที่ทันสมัยด้านผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมวิชาการได้รับความรู้ในเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและความงามในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต รวมทั้งเปิดโอกาสให้สร้างเครือข่าย ความสัมพันธ์ในการทำงานวิจัยทั้งในระดับชาติและนานาชาติ       ทั้งนี้มีนักวิจัยและผู้ช่วยวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับรางวัลการนำเสนอผลงานในงานดังกล่าว จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ 1. ดร.สกาว ประทีปจินดา นักวิจัยห้องปฏิบัติการนาโนเวชสำอาง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.ได้รับรางวัล "Excellence Oral Presentation Award" ในการนำเสนอผลงานเเบบ oral presentation ในหัวข้อเรื่อง "Characterization of sericin extracted from white raw silk by re-crystallization process"   2. นายคุณัช สุขธรรม ผู้ช่วยวิจัยห้องปฏิบัติการระบบนำส่ง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.ได้รับรางวัล "Excellence Oral Presentation Award" ในการนำเสนอผลงานเเบบ oral presentation ในหัวข้อเรื่อง "Development and Characterization of Hinoki nanoemulsion as a carrier for delivery system"   3. นางสาวพิชชาพร บุญวัชรพันธ์สกุล ผู้ช่วยวิจัยห้องปฏิบัติการนาโนเวชสำอาง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.ได้รับรางวัล "Very Good Poster Presentation Award" ในการนำเสนอผลงานเเบบ Poster presentation ในหัวข้อเรื่อง "Comparison of sericin from different types of silk for cosmeceutical products"      นอกจากนี้ ศูนย์นาโนเทค ได้นำงานวิจัยที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของ Flagship มานำเสนอเช่น ผลิตภัณฑ์ไล่ยุ่ง ผลิตภัณฑ์จากน้ำกาวไหม สิ่งทอ โลชั่นบำรุงผม เป็นต้น โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก                           
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – นักวิจัย สวทช. คว้ารางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ในงาน “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี 2559
​นักวิจัย สวทช. คว้ารางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ในงาน “วันนักประดิษฐ์" ประจำปี 2559          เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559 สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดพิธีมอบรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ : รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ รางวัลผลงานวิจัย รางวัลวิทยานิพนธ์ ประจำปี 2558 และรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2559 โดยมีนักวิจัย สวทช. ได้รับรางวัล ดังนี้    รางวัลผลงานวิจัย ประจำปี 2558 รางวัลระดับดีมาก มี 1 รางวัล คือ       ผลงานวิจัยเรื่อง “สารปรับเนื้อสัมผัส/สมบัติรีโอโลยีจากเปลือกส้มโอและการประยุกต์ใช้ประโยชน์ใน ผลิตภัณฑ์อาหาร” (Texture/rheology modifiers from pomelo peel and their applications in foods) สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา โดย นายชัยวุฒิ กมลพิลาส จากหน่วยวิจัยโพลิเมอร์ นางสาวภาวดี เมธะคานนท์ และนางสาวจารุวรรณ ครองศิลป์ จากหน่วยวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม MTEC  ร่วมกับ Mr. Aaron Suk Meng Goh รางวัลระดับดี มี 2 รางวัล คือ  1. ผลงานวิจัยเรื่อง “ตัวเร่งปฏิกิริยาสาหรับการผลิตไบโอดีเซลที่ผลิตจากเปลือกไข่เหลือทิ้ง” (Modern catalysts from waste eggshell for biodiesel production) สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช โดย ดร.ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ นางสาววรนุช อิทธิเบญจพงศ์ นางสาววราภรณ์ นวลแปง นางสาวรุ่งนภา แก้วมีศรี จากหน่วยวิจัยวัสดุนาโนและวิศวกรรมระบบนาโน และนางสาวณัฏฐิพร วณิชธนานนท์ จากฝ่ายพัฒนาธุรกิจและถ่ายทอดเทคโนโลยี NANOTEC ร่วมกับ ดร.นาวิน วิริยะเอี่ยมพิกุล รองศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ภวสันต์ นางสาวพัสตราภรณ์ แฉ่งสุวรรณ นางสาวน้ำทิพย์ พัดใหม่  และนายปรารภ เครือแก้ว 2. ผลงานวิจัยเรื่อง “วิวัฒนาการ ทางพันธุกรรมของยีนโออาร์เอฟ 5 และยีนเอ็นเอสพี 2 ของเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอสในฝูงสุกรที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสพี อาร์อาร์เอสสายพันธุ์รุนแรง” (Genetic evolution of ORF5 and Nsp2 genes of PRRSV in a swine herd following an acute outbreak with highly pathogenic PRRSV) สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา โดยเภสัชกรหญิง ดร.จิตติมา พิริยะพงศา จากหน่วยวิจัยเทคโนโลยีจีโนม BIOTEC ร่วม กับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ น.สพ.ดร.เดชฤทธิ์ นิลอุบล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.อังคณา ตันติธุวานนท์ นางสาวธิติมา ไตรพิพัฒน์ นายสัตวแพทย์ ธวัชชัย หุ่นสุวรรณ นายสัตวแพทย์ กัญจน์ เตมียะเสน และนางสาวปวิตา ทิพย์สมบัติบุญ รางวัลวิทยานิพนธ์ ประจําปี 2558 รางวัลระดับดีเด่น มี 1 รางวัล คือ       วิทยานิพนธ์ เรื่อง “แบคทิริโอฟาจ : จากแบคทีเรียสู่การนำส่งยีนอย่างมีเป้าหมายในเซลล์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” (Bacteriophage : from Bacteria to Targeted Gene Delivery to Mammalian cells) สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย ดร.ธีรพงศ์ ยะทา จากหน่วยวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพ NANOTEC          รางวัลระดับดีมาก มี 1 รางวัล คือ       วิทยานิพนธ์ เรื่อง “การเพิ่มความเสถียรของโลหะผสมทังสเตน-ไทเทเนี่ยมแบบผงผลึกนาโน ด้วยหลักอุณหพลศาสตร์” (Enhancing Stability of Powder-Route NanocrystallineTungsten-Titanium via Alloy Thermodynamics) สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย โดย ดร.ต้องใจ ชูขจร จากหน่วยวิจัยด้านประสิทธิผลการใช้งานวัสดุ MTEC รางวัลระดับดี มี 1 รางวัล คือ       วิทยานิพนธ์ เรื่อง “กระบวนการลำเลียงซัลเฟตเข้าสู่เซลล์และกลไกการควบคุมโปรตีนนำส่งซัลเฟตในสาหร่ายสีเขียว Chlamydomonas reinhardtii” (Elucidation of Functional and Regulatory Aspects of Sulfate Transport in Chlamydomonas reinhardtii) สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา โดย ดร.วิรัลดา ภูตะคาม จากหน่วยวิจัยเทคโนโลยีจีโนม BIOTEC   รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2559 รางวัลระดับดี มี 3 รางวัล คือ  1. ผลงานเรื่อง “EasyHos : ระบบนำทางคนไข้ในโรงพยาบาลรัฐ” (EasyHos: Patients’ Navigator in Public Hospitals) สาขาสังคมวิทยา โดย ดร.ชาลี วรกุลพิพัฒน์ นายสุนทร ศิระไพศาล นายเอกฉันท์ รัตนเลิศนุสรณ์ และนายวิศุทธิ์ แสวงสุข จากหน่วยวิจัยนวัตกรรมไร้สายและความ มั่นคง NECTEC 2. ผลงานเรื่อง “เครือข่ายเซนเซอร์ไร้สายเพื่อการเฝ้าระวังน้ำป่าไหล หลากและดินถล่มสำหรับหมู่บ้านเสี่ยงภัยพื้นที่ลุ่มน้ำ” (Wireless sensor network for surveillance flash-flood and landslide risk in the watershed village) สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ โดย นายคทา จารุวงศ์รังสี จากหน่วยวิจัยอุปกรณ์และระบบอัจฉริยะ NECTEC ร่วมกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา กอเจริญ นายเพชร นันทิวัฒนา และนายเติมพงษ์ ศรีเทศ 3. ผลงานเรื่อง “Safe Mate ระบบประเมินพฤติกรรมการขับขี่ด้วยโทรศัพท์ Smartphone” (Safe Mate: Driving Behavior Evaluation Platform using Smartphone) สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ โดย ดร.เฉลิมพล สายประเสริฐ และนายธัญสิทธิ์ ผลประสิทธิ์ จากหน่วยวิจัยสารสนเทศ การสื่อสารและการคำนวณ NECTEC    รางวัลประกาศเกียรติคุณ มี 2 รางวัล คือ  1. ผลงานเรื่อง “เอนอีซ : เอนไซม์ ๒ in ๑ สำหรับการลอกแป้งและกำจัดแว๊กซ์บนผ้าฝ้ายแบบขั้นตอนเดียวในอุตสาหกรรมสิ่งทอ” (ENZease : “two-in-one” enzyme for one-step desizing and scouring process of cotton fabric in textile industry) สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย โดย ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ดร.ลิลี่ เอื้อวิไลจิตร ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา นางสาวจุฑามาส สุวรรณประทีป นายพิษณุ ปิ่นมณี และนายนกุล รัตนพันธ์ จากหน่วยวิจัยเทคโนโลยีทรัพยากรชีวภาพ BIOTEC และ ดร.มณฑล นาคปฐม นางสาวนุชศรา นฤมลต์ และนางสาวบุปผา สมบูรณ์ จากหน่วยวิจัยโพลิเมอร์ MTEC ร่วมกับ นางสาวปวีณา ทองเกร็ด นางสาวรุจิเรข นพเกสร นายปิลันธน์ ธรรมมงคล และนางสาวกมลลักษณ์ พันธเสน 2. ผลงานเรื่อง “เครื่องวัดความหนาแบบไม่สัมผัสสำหรับควบคุมคุณภาพการผลิตเลนส์สายตาและเลนส์ขนาดเล็ก” (Optical apparatus for non-contact central thickness Measurement of ophthalmic and small-radius lenses) สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย โดย นายอาโมทย์ สมบูรณ์แก้ว นายรัฐศาสตร์ อัมฤทธิ์ และนายสถาพร จันทน์หอม จากหน่วยวิจัยอุปกรณ์และระบบอัจฉริยะ NECTEC ร่วมกับ ดร.บุญส่ง สุตะพันธ์
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – ปฏิทินกิจกรรม
"Service Innovation: The Future of Value creation" นวัตกรรมบริการ กลยุทธ์เพื่อการสร้างคุณค่าเชิงธุรกิจยุคใหม่ สถาบันวิทยาการ สวทช. โดยโปรแกรมฝึกอบรมด้านนวัตกรรมเชิงปฏิบัติ (Innovation Practices Program: IPP) ขอแนะนำหลักสูตรในกระแสยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของ Business Transformation Customer Experiences and Value Creation ที่จะช่วยสรรค์สร้างการบริการใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมให้กับองค์กรนำพาองค์กรก้าวเข้าสู่ Digital Economy ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนให้พัฒนาเติบโตด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศได้ หากหน่วยงานของท่านกำลังมองหา กระบวนการ/เครื่องมือ ที่จะนำไปปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ไหลลื่นขึ้น  Service Innovation เป็นการสอนให้ใช้เครื่องมือต่างๆ (Canvas, Service Blueprinting, Bizagi) จากกรณีศึกษาจริงเพื่อตอบโจทย์การทำงาน-ลูกค้า เพื่อให้เห็นถึงปัญหา นำไปลดช่องโหว่ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในที่สุด" Service Innovation เหมาะกับใคร… ► ผู้บริหารหน่วยงาน, เจ้าของกิจการ, เจ้าหน้าที่ทำงานด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์และนโยบายขององค์กร ► ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสายงานการตลาด การพัฒนาความร่วมมือกับคู่ค้า Supply Chain Management และ Corporate Communication ด้านพัฒนาธุรกิจและองค์กร ► ผู้สนใจทั่วไปที่ต้องการศึกษานวัตกรรม บริการ และแสวงหาโอกาสใหม่เพื่อตอบโจทย์เชิงธุรกิจ Service Innovation  ให้อะไร… ► รู้และเข้าใจตรรกของวิทยาการบริการ และสามารถนำหลักคิดของ Value Co-creation ไปสร้างนวัตกรรมบริการ (Service Innovation) ได้ ► เข้าใจกรอบแนวคิดการสร้างนวัตกรรม บริการ ด้วยรูปแบบธุรกิจในเชิงบริการ (Service Dominant Business Model Canvas) เพื่อสร้าง นวัตกรรมบริการได้ ► ใช้ Service Blueprinting ออกแบบเชิงแนวคิด (Conceptual design) ของระบบบริการได้ ► ใช้เครื่องมือสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมบริการได้ ระยะเวลาหลักสูตร: วันที่ 15-16, 22-24 มีนาคม 2559 เวลา 9.00 - 16.00 น. (รวมระยะเวลาอบรม 5 วัน) ณ โรงแรมเมอร์เคียว กรุงเทพฯ สยาม ค่าลงทะเบียน: ท่าน ละ 25,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) พิเศษ!! รับส่วนลด 10% เหลือเพียงท่านละ 22,500 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstdaacademy.com/sim2016 Call Center: 0 2644 8110 ต่อ 81898 (คุณฉวีวรรณ) email: innovation.training@nstda.or.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – สัมภาษณ์ ดร.สันติ เลิศพลังสันติ
งานวิจัยพาหนะเพื่อปกป้องชีวิตผู้โดยสาร ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ     ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีสถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์บนท้องถนนสูงติดอันดับต้นๆ ของโลก งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับปัญหานี้นั่นก็คือ การสร้างห้องผู้โดยสารของยานพาหนะให้มีความแข็งแรงปลอดภัย เพื่อปกป้องชีวิตหรือบรรเทาความรุนแรงให้แก่ผู้โดยสาร สิ่งนี้จึงถือเป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่งของนักวิจัยรุ่นใหม่อย่าง ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หรือ ดร.ตั้ม จากห้องปฏิบัติการยานยนต์ หน่วยวิจัยการออกแบบและวิศวกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช.      สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ จึงพาผู้อ่านไปรู้จักกับ ดร.ตั้ม กันค่ะ   ถาม : อยากทราบที่มาของการได้เข้ามาทำงานที่ สวทช. ค่ะ ตอบ : ตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ผมได้สอบชิงทุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งทุนจะระบุไว้เลยว่าจะต้องกลับมาทำงานที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ซึ่งเราทราบตั้งแต่ได้รับทุนแล้วว่าเราจะได้ทำงานด้านไหน กลับมาเราจะได้เป็นนักวิจัย ก็ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี ในระดับปริญญาตรี โท เอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล เน้นการออกแบบวิศวกรรม และก็จบกลับมาทำงานตามที่ได้รับทุนไปครับ ถาม : การเรียนที่เยอรมัน เป็นอย่างไรบ้างคะ ตอบ : ตอนไปเรียนที่เยอรมัน ผมต้องไปเรียนภาษาก่อนประมาณหนึ่งปี และต้องไปเรียนเทียบชั้น ม.6 ของที่โน่นอีกหนึ่งปี จึงจะได้เรียนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทควบกันไปเลย ซึ่งผมเลือกเรียนสายวิศวกรรมเครื่องกล ทางมหาวิทยาลัยจะเน้นพื้นฐานในเทอมแรกๆ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่มีผลต่อรูปแบบการทำงานของคนเยอรมันมาก โดยหลักสูตรจะส่งให้นักศึกษาไปฝึกงานที่บริษัทเอกชนหรือโรงงาน เพื่อหัดใช้เครื่องมือพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมก่อน โดยเริ่มตั้งแต่การตะไบ เจีย กลึง เชื่อม ฯลฯ พอเราเริ่มเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยก็จะเข้าใจการใช้เครื่องไม้เครื่องมือแล้ว ก็จะสามารถเข้าใจทฤษฎีได้ง่ายขึ้น พอเรียนปริญญาโทก็ได้ไปฝึกงานที่ภาคอุตสาหกรรม เค้าจะส่งไปฝึกงานในบริษัทเอกชนเป็นเวลาครึ่งปี ผมได้ไปฝึกงานที่บริษัทรถยนต์ Daimler Chrysler AG ในแผนกที่ทำการวิจัยด้านระบบช่วงล่างของรถตู้ของรถ Mercedes-Benz ที่เมืองสตุตการ์ท และอีกครึ่งปีก็ทำวิทยานิพนธ์จนจบหลักสูตรปริญญาโท จากนั้นก็เรียนต่อปริญญาเอกอีกประมาณสี่ปีครึ่งโดยทำวิทยานิพนธ์ภายใต้โจทย์วิจัยของภาคอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนคลัชต์และระบบส่งกำลัง   การเรียนในสมัยปริญญาเอกที่เยอรมันก็จะคล้ายๆ กับงานที่ทีมของพวกเราทำอยู่ที่ สวทช. ในปัจจุบันนี้เลย คือ การสร้างความร่วมมือไม่ว่าจะเป็นกับทางภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม ซึ่งโมเดลของทางเยอรมันก็จะเป็นแบบนี้ คือเราอาจจะไม่ได้เน้นทำวิจัยเชิงลึก หรืองานวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) เพียงอย่างเดียว แต่ทำงานในลักษณะประยุกต์ (Application) หรือค่อนข้างจะเป็นปลายน้ำ สามารถจับต้องเอาไปใช้ได้เลย เป็นงานที่มีแนวโน้มจะสามารถออกสู่ตลาดได้   ถาม : งานแรกที่เริ่มต้นที่ MTEC คืออะไรคะ  ตอบ : ผมมาเริ่มที่ห้องปฏิบัติการยานยนต์ครับ งานแรกที่ทำคืองานที่ MTEC ดำเนินการอยู่ในช่วงนั้น คือ การออกแบบชิ้นส่วนของระบบเบรครถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ที่เน้นเรื่องการออกแบบให้ได้ความแข็งแรง ปลอดภัย ถูกต้องตามความต้องการของลูกค้า และอีกงานหนึ่งคือการวิเคราะห์ทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการ Re-Design หรือแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่เค้ามีอยู่แล้วให้ดีขึ้น เพื่อตอบโจทย์บางอย่าง เช่น แข็งแรงขึ้น ต้นทุนลดลง น้ำหนักลดลง เราก็ทำการออกแบบใหม่และทำการวิเคราะห์ทดสอบให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ภาคเอกชนต้องการ ถาม : ผลงานที่เราได้ไปร่วมทำกับหน่วยงานอื่นมีอะไรบ้าง ตอบ : เรื่องรถบรรทุกเพื่อเกษตร ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ บริษัท สามมิตรมอเตอร์สแมนูแฟคเจอริง ประเทศไทย ในส่วนของการทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ ก็จะมีการทดสอบคลัชต์แม่เหล็กไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศรถยนต์ ของบริษัท Valeo Compressor (Thailand) Co., Ltd และออกแบบและพัฒนาโครงสร้างห้องโดยสารรถพยาบาลให้มีความแข็งแรง รองรับการเกิดอุบัติเหตุ ลดอัตราการเสียชีวิต หรือความรุนแรงจากการบาดเจ็บของผู้โดยสาร ซึ่งเป็นความร่วมมือกับบริษัท สุพรีม โปรดัคส์ จำกัด นอกเหนือจากนี้ก็จะมีหน่วยงานของภาครัฐก็คือ กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ก็จะมีการทดสอบการใช้งานน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ในรถจักรยานยนต์  ถาม : ประทับใจผลงานไหนบ้างคะ ตอบ : ความจริงแล้วผมก็ประทับใจในทุกผลงานนะครับ เพราะแต่ละงานกว่าจะเกิดขึ้นได้ ก็เหนื่อยกันมาหลายฝ่ายตั้งแต่ทีมวิจัยไปถึงฝ่ายสนับสนุน โดยเฉพาะฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ในส่วนของเนื้องานที่จะทำให้ผมประทับใจก็คือการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ใช้รถยนต์ ด้วยการสร้างความแข็งแรงและความปลอดภัยให้เกิดขึ้นกับยานพาหนะนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นรถพยาบาล รถเพื่อการเกษตร หรือรถจักรยานยนต์ก็ตาม เพราะเราต้องตอบโจทย์ของผู้ใช้    รถเพื่อการเกษตร ต้องการบรรทุกผลผลิตโดยมีต้นทุนการขนส่งต่ำที่สุด ใช้ระยะเวลาสั้นที่สุด และมีความปลอดภัยที่สูงที่สุด ส่วนรถพยาบาลนี่ยิ่งสำคัญ เพราะต้องรักษาชีวิตคนทั้งคนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ ถ้าผลงานของพวกเรามีคนเอาไปใช้จริง สามารถสร้างความปลอดภัยให้การโดยสารรถพยาบาลได้มากขึ้นจริง ก็จะเป็นความภาคภูมิใจของทีมงานครับ   ในส่วนของการออกแบบและพัฒนาโครงสร้างห้องโดยสารรถพยาบาลนั้น เป็นงานวิจัยร่วมกับบริษัท สุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ สุพรีม โปรดัคส์ จำกัด ที่ทำงานทางด้าน R&D เองอยู่แล้ว งานที่เราได้ทำร่วมกับบริษัทคือ การออกแบบและวิเคราะห์โดยใช้ Computer Simulation มาช่วยในการออกแบบ ทั้งนี้ ได้ทำการออกแบบตัวโครงสร้างที่ทำจากวัสดุ Composite ซึ่งเป็นวัสดุทางเลือกที่มีน้ำหนักเบากว่าโลหะแต่มีความแข็งแรงไม่แพ้โลหะ เราจะได้โครงสร้างของห้องโดยสารรถพยาบาลที่มีน้ำหนักเบาลง สามารถลดต้นทุนลง สามารถทำห้องโดยสารรถพยาบาลได้หลากหลาย สามารถผลิตใช้กับรถได้หลายประเภท หลายๆ รุ่นตามความต้องการของผู้ใช้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแรงของตัวรถที่จะลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ หรือ Rollover ห้องโดยสารจะต้องยังคงรูปอยู่ ต้องไม่บุบสลายอย่างรุนแรงและไม่มีชิ้นส่วนใดของห้องโดยสารมากระแทกผู้ป่วยหรือผู้โดยสารให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งเราได้วิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล โดยยึดเอามาตรฐาน UNECE R66 ของรถบัสมาใช้ในการอ้างอิงด้านการออกแบบและทดสอบ และดำเนินโครงการเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี 2557 ในปัจจุบันทางบริษัทก็ได้ดำเนินการผลิตตัวรถนี้ขึ้นมาจำหน่ายแล้ว   สำหรับผลตอบรับ ก็มีการสั่งซื้อในพื้นที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด และในพื้นที่ทุรกันดาร เป็นการใช้งานแบบติดตั้งบนรถกระบะ เพราะเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่ใช้ มีลูกค้าสั่งซื้อเรื่อยๆ ก็เป็นความภาคภูมิใจของทีมงาน แม้ว่าเรื่องของความทนทานของห้องโดยสารและการลดอัตราการเสียชีวิตได้จริงหรือไม่นั้น ต้องดูระยะยาว แต่เราก็คาดหวังว่าจะช่วยลดตรงจุดนี้ให้ได้ ถาม : โครงการวิจัยที่ทำ ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนได้อย่างไร ตอบ : ต้องให้เครดิตกับทางฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (BD) ที่ช่วยแนะนำเราให้ภาคเอกชนรู้จัก พาเราไปคุยกับลูกค้า อีกทางหนึ่งก็คือภาคเอกชนเอง เค้ารู้จักเราผ่านทางเว็บไซต์ หรือเห็นในทีวีว่าเรามีผลงานวิจัยต่างๆ ก็โทรเข้ามาติดต่อเพื่อจะทำโครงการร่วมกัน แต่กว่าจะได้ทำเป็นโครงการจริงๆ นั้นไม่ง่ายเลย แรกๆ นั้นการเจรจาประสบความล้มเหลวเสียส่วนใหญ่ ผมทำงานมาเกือบ 6 ปีเต็มแล้ว ได้ไปรับโจทย์พูดคุยกับลูกค้าหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เขียนข้อเสนอโครงการมาไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง เจรจาสำเร็จได้ทำงานเป็นโครงการวิจัยไม่กี่โครงการเท่านั้นเอง หลังๆ มาเครื่องเริ่มติดแล้ว ขึ้นโครงการใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น ต้องเรียนรู้และใช้ประสบการณ์พอสมควรที่จะสร้างงานหรือเริ่มโครงการขึ้นมา ต้องขอบคุณฝ่ายพัฒนาธุรกิจด้วย ถาม : ดร.ตั้ม มีแรงบันดาลใจในการทำงานจากอะไร ตอบ : สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอยากทำงานทุกๆ วัน มันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในความคิดผมก็คือ คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนทุกประเภท ทั้งนี้ เริ่มต้นจากที่ผมศึกษาอยู่ทั้งรถพยาบาล รถเพื่อการเกษตร หรือรถโดยสารสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถตู้และรถบัสก็ตาม สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจก็คือ ถ้าเราได้สร้างสิ่งที่ดี ได้สร้างความปลอดภัย ก้าวกระโดดไปถึงคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้โดยสารด้วยยานพาหนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถอะไรก็ตาม โดยไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง หรืองานวิจัยเชิงลึกเสมอไป แต่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ จับต้องได้จริง ช่วยสร้างความปลอดภัยให้แก่ชีวิตคนที่โดยสารยานพาหนะต่างๆ ได้จริง ก็ยินดีที่จะเข้าไปทำเสมอ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ ถาม : ในการทำงาน พบปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง และแก้ปัญหาอย่างไร  ตอบ : ปัญหาและอุปสรรคมีอยู่บ้างพอสมควรครับ ตอนกลับมาใหม่ๆ ก็ยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ ห้องปฏิบัติการยานยนต์รุ่นบุกเบิกก็เหมือนต้องค่อยๆ หาซื้อของที่ต้องใช้งานกันมาเอง งบประมาณในการจัดซื้อก็ค่อนข้างหายาก อุปกรณ์วัดระยะหรือเซ็นเซอร์ก็มีราคาแพงต้องสร้างขึ้นมาเอง หรือต้องขอยืมใช้งานจากแล็บอื่นๆ บ้าง ซึ่งเป็นปัญหาในช่วงแรกๆ ในช่วงนี้ก็ดีขึ้นแล้ว เพราะหลังๆ มา ทีมวิจัยเริ่มพอจะสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนได้มากขึ้น จนสามารถดึงให้ทางภาคเอกชน เป็นผู้ลงทุนในเรื่องอุปกรณ์ต่างๆ เอง  อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งตอนที่เรียนจบมาใหม่ๆ เลยก็คือเรื่องของความน่าเชื่อถือ เรายังไม่มีความน่าเชื่อถือ เวลาออกไปพบลูกค้ารู้เลยว่าผิดหวังแน่นอน แต่ก็ออกไปพบเพื่อทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ผมคิดเสมอว่าการได้ออกไปเจอโลกภายนอก โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ที่เงินทุกบาททุกสตางค์ของเขามีค่านั้น ทำให้เราเรียนรู้มากๆ เลย  เทคนิคในการแก้ปัญหาความเชื่อมั่นของลูกค้าคือ การเตรียมตัวให้ดีก่อนไปพบ ในตอนเสนอราคาค่าตัวนักวิจัย ก็คิดให้ถูกหน่อย เพื่อสร้างโอกาสให้เราได้งาน พอเขากล้าที่จะจ้างเราแล้ว เราก็ต้องทุ่มเทเยอะๆ ไม่ไปจมกับความคิดว่างานนี้ขาดทุนหรือคิดค่าตัวถูกไป เพราะถ้างานสำเร็จแล้ว เราส่งมอบงานได้ตรงเวลา ความเชื่อมั่นจากลูกค้าก็จะเกิดขึ้นเอง จากนี้เวลาพวกเราไปพบลูกค้าเจ้าใหม่ เอางานเก่าๆ ไปเล่าให้ฟังก็จะน่าเชื่อถือมากขึ้น โอกาสได้งานก็จะมากขึ้นเอง จากความตั้งใจในการทำหน้าที่ของนักวิจัยที่ดี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย เชื่อว่าผลงานที่ปรากฏจะเป็นกำลังใจอย่างดีให้กับ ดร.ตั้มและทีมงาน เพื่อเป็นพลังในการสร้างสรรค์งานที่ดีต่อไปในอนาคต
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.12 – บทความ ไบโอเทคพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนม
ไบโอเทคพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนม การเลี้ยงโคนมในประเทศไทยได้รับการส่งเสริม และสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง แต่ปริมาณน้ำนมที่ผลิตได้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการสำหรับการบริโภคในประเทศ จึงจำเป็นต้องนำเข้านมผงและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ แนวทางที่สามารถลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมได้คือ การเพิ่มสัดส่วนการเกิดของลูกโคนมเพศเมีย ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าลูกโคเพศผู้ เพราะถ้าหากสามารถผลิตลูกโคนมเพศเมียที่มีศักยภาพสูงก็จะยิ่งสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำนมดิบได้มากขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรลดลง ส่งผลให้สามารถลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตามในบางกรณีก็มีความต้องการคัดเลือกเฉพาะตัวอ่อนเพศผู้ด้วย เช่น ในอุตสาหกรรมโคเนื้อ หรือในการผลิตพ่อพันธุ์ที่มีคุณสมบัติเป็นที่ต้องการของตลาดด้วยเช่นกัน   กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้นำเอาเทคโนโลยีชีวภาพมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงโคนม ซึ่งจะทำให้การขยายพันธุ์โคนมพันธุ์ดีทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น           ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนา “น้ำยาและวิธีการตรวจวัดปริมาณโปรเจสเตอโรนในน้ำนมของโค” โดยวิธีที่พัฒนาขึ้น เรียกว่า คอมเพททิทีฟ อิไลซ่า (competitive enzyme-linked immunosorbent assay) โดยเป็นการตรวจหาระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในตัวอย่างน้ำนมด้วยโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่มีความจำเพาะเจาะจงสูงต่อโปรเจสเตอโรน ซึ่งด้วยวิธีการตรวจนี้จะทำให้ทราบถึงวงรอบการเป็นสัดของโค ทำให้สามารถนำข้อมูลนี้มาใช้วางแผนในการผสมเทียม รวมทั้งสามารถนำไปใช้ตรวจการตั้งท้องของแม่โคหลังการผสมเทียมได้อีกด้วย    สำหรับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็นฮอร์โมนที่พบได้ทั้งในเลือดและน้ำนมของสัตว์โตเต็มวัยที่มีวงรอบการเป็นสัดปกติ ในกรณีของโคซึ่งมีวงรอบของการเป็นสัดอยู่ที่ประมาณ 19-24 วัน ช่วงที่โคมีอาการเป็นสัด มีการตกไข่ และพร้อมที่จะผสมพันธุ์ ปริมาณฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในกระแสเลือดและในน้ำนมจะอยู่ในระดับต่ำมาก แต่หลังจากที่โคมีการตกไข่ ปริมาณโปรเจสเตอโรนจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นและมีปริมาณสูงสุดในช่วงวันที่ 10-16 ของวงรอบการเป็นสัด ถ้าโคไม่ได้รับการผสมพันธุ์หรือผสมพันธุ์แต่ไม่ตั้งท้อง ระดับของโปรเจสเตอโรนจะลดลงในช่วง 2-3 วันก่อนวงรอบการเป็นสัดในคราวต่อไป แต่ถ้าหากโคมีการตั้งท้องหลังจากการผสมพันธุ์ ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะมีค่าสูงตลอดระยะเวลาของการตั้งท้อง วิธีการตรวจวัดปริมาณโปรเจสเตอโรนในน้ำนมของโค มีความแม่นยำ รวดเร็ว และมีความไวไม่แตกต่างจากชุดตรวจที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ แต่มีราคาถูกกว่ามาก รวมถึงไม่ต้องใช้ผู้ชำนาญในการปฏิบัติการ ด้วยวิธีนี้ทำให้สามารถแยกแม่โคในกลุ่มที่ตั้งท้องและไม่ตั้งท้องได้ในช่วงวันที่ 21 - 24 หลังการผสมเทียมอย่างชัดเจน โดยให้ผลสอดคล้องกับการตรวจการตั้งท้องด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์    สำหรับวิธีการผสมเทียม หรือ การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (in vitro fertilization, IVF) นั้น ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะเริ่มแบ่งเซลล์จนเป็นตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสที่เหมาะสำหรับการย้ายฝากให้แม่โคตัวรับ ดังนั้นการทราบเพศของตัวอ่อนก่อนการย้ายฝากจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ ชุดตรวจ “SexEasy” หรือชุดตรวจเพศตัวอ่อนของโคนมแบบมัลติเพลกซ์ ที่ไบโอเทคพัฒนาขึ้น โดยชุดตรวจนี้มีจุดเด่น คือ เป็นชุดตรวจที่ใช้ง่าย ได้ผลแม่นยำและรู้ผลรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงแค่ 90 นาที สามารถทราบผลการตรวจเพศตัวอ่อนด้วยการอ่านผลโดยการดูจากสีของตะกอนดีเอ็นเอ ซึ่งวิธีการนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดหลอด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนจากเชื้อโรคภายนอก และยังเป็นเครื่องมือที่มีขนาดเล็ก ราคาไม่แพง พกพาสะดวก ชุดตรวจนี้ได้รับสิทธิบัตรแล้ว และพร้อมถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจนำไปผลิตใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ต่อไป   หลังจากที่เลือกเพศตัวอ่อนได้แล้วก็จะต้องมีการแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาตัวอ่อนไว้สำหรับรอการย้ายฝาก โดยวิธีที่นิยมใช้คือ การแช่แข็งแบบลดอุณหภูมิเร็ว (vitrification) แบบ Cryotop ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับว่ามีอัตรารอดหลังการทำละลายสูงสุดวิธีการหนึ่ง แต่ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีราคาสูง   ไบโอเทค ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พัฒนา “การแช่แข็งตัวอ่อนด้วยวิธี in-straw vitrification” ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่าย และมีราคาไม่แพง ควบคู่ไปกับการศึกษาผลของน้ำยาแช่แข็งตัวอ่อน ซึ่งพบว่าวิธีการแช่แข็งดังกล่าว มีค่าอัตราการเจริญเติบโตของตัวอ่อนดีเทียบเท่ากับวิธี Cryotop สะดวกในการขนส่ง ที่สำคัญวิธีการนี้ทำให้การย้ายฝากตัวอ่อนในสภาพฟาร์มสามารถทำได้สะดวกขึ้นด้วยเจ้าหน้าที่เพียงแค่คนเดียว ซึ่งวิธีการนี้ได้รับการจดอนุสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว และพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ที่สนใจต่อไป    ดังนั้น เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนมที่นำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันนี้จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการผลิตโคนมเป็นอย่างมาก ซึ่งหากมีการส่งเสริมให้มีการใช้กันอย่างกว้างขวางมากขึ้น จะทำให้ระดับพันธุกรรมของโคนมในประเทศพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเป็นอาชีพหลักซึ่งถือเป็นอาชีพพระราชทาน ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และทำให้เศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้น และอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทยมีความมั่นคงถาวรสืบไป
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
บทความ
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉบับที่ 11 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2559
ข่าว ก.วิทย์ฯ ประกาศผลสำรวจ 10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558 นักวิจัย มอ. ค้นหาและพัฒนาสารต้นแบบของยาจากรา คว้าทุนวิจัย...ประจำปี 2558 ITAP: ปลดล็อกข้อจำกัดทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ประกาศผลสำเร็จ SMEs ไทยเชิงรุก ปี 2559 โครงการ “มหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย” ประจำปี 2559 สวทช. จับมือ สกว. สนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มอาหาร...มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สามารถขายได้จริง เฟ้นหาสุดยอดไอเดียเยาวชนไทยส่งไปทดลองในอวกาศ   บทความ 10 ข่าวดัง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2558   ปฏิทินกิจกรรม ประชุมวิชาการประจำปี 2559 25 ปี สวทช. เอ็มเทค เชิญสัมมนา เรื่อง ไฟไนต์เอลิเมนต์ในงานวิศวกรรม เอ็มเทค เชิญเข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทรโบโลยี   บทสัมภาษณ์ ผู้ริเริ่มพัฒนาเทคนิค LAMP ในไทย... : วรรณสิกา เกียรติปฐมชัย​    Download เอกสารฉบับเต็ม [7.22 MB] NSTDA Newsletter ฉบับที่ 11 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2559 from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
จดหมายข่าว สวทช.
 
จดหมายข่าว สวทช. ฉ.11 – สัมภาษณ์
ผู้ริเริ่มพัฒนาเทคนิค LAMP ในไทย เพื่อตรวจหาเชื้อโรคในกุ้ง และนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจหาเชื้อโรค ใน ปลา อาหาร เชื้อวัณโรค เชื้อมาลาเรีย จนได้รับรางวัลมากมาย วรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัย หน่วยวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยทางชีวภาพ (STU) ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด (SBST) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) งานวิจัย เป็นงานที่ต้องอาศัยเวลา ความอดทน และความเอาใจใส่ ในการคิดค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้งานวิจัยนั้นตอบโจทย์ที่ต้องการได้ ดังงานวิจัยการพัฒนาวิธีการตรวจเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ในกุ้ง เพื่อจะได้หาทางป้องกันได้ทันการณ์ ซึ่งคุณวรรณสิกา (ตูน) เกียรติปฐมชัย นักวิจัยจากหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) สวทช. ได้ริเริ่มพัฒนาเทคนิค LAMP ซึ่งเป็นวิธีการใหม่ ที่นำมาใช้ในการตรวจหาเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ในกุ้ง ทำให้ทราบผลได้เร็วที่ต่างจากวิธีเดิม และยังได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อการตรวจหาเชื้อไวรัสในกุ้งแบบพกพา ร่วมกับทางศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ทำให้การตรวจหาไวรัสในกุ้งมีประสิทธิภาพและสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถนำไปใช้ในภาคสนามได้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่าวิธีการเดิมด้วย นอกจากนี้เทคนิค LAMP ที่ได้พัฒนาขึ้นนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจหาเชื้อโรคในปลา อาหาร เชื้อวัณโรค เชื้อมาลาเรีย ได้อีกด้วย จากผลงานวิจัยและพัฒนานี้ ทำให้ได้รับรางวัลมากมายทั้งในและต่างประเทศ  สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ จึงขอนำผู้อ่านไปพูดคุยกับนักวิจัยสาวสวยคนเก่งของเรากันค่ะ   ถาม : คุณวรรณสิกา เข้ามาทำงานที่ สวทช. ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ตอบ : เริ่มต้นจากตอนนั้นตูนจบการศึกษาในระดับปริญญาโท จากภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์วิชัย บุญแสง ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ได้รับงานโปรเจ็กต์จาก BIOTEC ประจวบเหมาะกับที่เรากำลังเรียนจบพอดี อาจารย์วิชัยได้รับทุนเป็นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง จึงแนะนำให้ตูนมาสมัครงานที่ BIOTEC ในปี พ.ศ. 2539 และก็ผ่านการคัดเลือกเข้าทำงานในวันนั้นเลยค่ะ โดยเข้ามาทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยที่ BIOTEC ที่หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง ซึ่งอยู่ที่ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และอยู่ที่นี่มาโดยตลอด งานหลักคือการวิจัยและพัฒนาเทคนิคการตรวจโรคกุ้งค่ะ ตอนที่เรียนชีวเคมีอยู่นั้นจะเน้นทางด้าน Molecular Biology ตอนนั้น BIOTEC ยังไม่ได้รวมเป็น สวทช. ซึ่งรู้สึกว่าศูนย์นี้ตรงกับเรามากที่สุดแล้ว ตื่นเต้นที่จะได้ทำงานกับองค์กรวิจัยระดับชาติ และจะได้ทำวิจัยในสิ่งที่เราชอบ งานวิจัยเป็นงานที่อิสระ และได้ทำการทดลองจริงๆ เวลาทำงานวิจัยแล้วสนุกเพราะได้เห็นผลการทดลองทุกวัน ได้มีจินตนาการ เวลาผลวิจัยออกมาตามเป้าหมายก็จะรู้สึกดีใจ สนุก มีความสุข รู้สึกว่าเราได้ทำงานประสบความสำเร็จทุกวัน แต่ก็ไม่ทุกครั้งไปนะคะ บางทีงานไม่ออกเราก็ลองคิดหาวิธีใหม่ได้ มีทางเลือกอีกหลายทางให้เราทดลองอยู่เสมอ ถาม : ช่วยเล่าถึงผลงานที่ประทับใจหน่อยค่ะ ตอบ : ผลงานที่ผ่านมานั้น ตูนประทับใจทุกๆ งาน เพราะเราสามารถทำให้เกิดทั้ง International Publication  โดยมีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิขาการนานาชาติ จำนวนกว่า 35 เรื่อง สิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร 15 เรื่อง มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาครัฐและเอกชน และการได้รับทุนวิจัยจากภายนอก รวมทั้งรางวัลผลงานวิจัย ในทุกๆ ชิ้นงาน  งานแรกเป็นการพัฒนาวิธีการตรวจพาหะของโรคกุ้ง โรคไวรัสทอร่า เป็นโรคที่ฮิตมากในกุ้งตอนนั้น ตูนพัฒนาวิธีตรวจและเก็บตัวอย่างแบบง่ายและนำไปศึกษาหาพาหะของโรคนี้ในสิ่งแวดล้อมบริเวณฟาร์มเลี้ยงกุ้งทั้งแมลงและปูตัวเล็กๆ ซึ่งพบว่าสัตว์ตัวเล็กเหล่านี้ เป็นพาหะของไวรัส จึงนำไปสู่ข้อมูลและเทคนิคตรวจโรคเพื่อการป้องกันการระบาดของโรคทอร่า  วิธีตรวจที่พัฒนาขึ้นนี้ทำให้ตูนได้รับรางวัลสตรีในงานวิทยาศาสตร์ ลอรีอัล เป็นรางวัลแรกของชีวิตเลย ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีดีกรีระดับปริญญาเอก ทำให้รู้สึกว่าเขาเห็นความสำคัญของผลงานของเรา ก็เลยอยากจะทำงานวิจัยต่อ จึงหาวิธีสร้างเครื่องมือที่ตรวจโรคกุ้งได้ในราคาที่ถูกลง ตอนนั้นเครื่องตรวจ PCR เป็นเครื่องมือที่มีราคาแพงมาก ที่ถูกที่สุดก็ประมาณสามแสนบาท เราจึงคิดอยากสร้างเครื่องที่ไม่ต้องใช้เครื่อง PCR แต่มีราคาถูกและใช้เวลาตรวจน้อยลง จากเดิมทำในเวลา 3 - 4 ชม. จึงไปค้นหา Paper ได้พบเทคนิค LAMP ที่พัฒนาจากญี่ปุ่น ก็นำมาพัฒนาจนได้ชุดตรวจโรคกุ้งของตนเอง แต่ว่าจากเดิมที่เทคนิค LAMP ใช้วิธีตรวจผลผลิตที่ต้องใช้เทคนิค Gel Electrophoresis ที่ต้องใช้เวลาเพิ่มอีก 1 ชม. ตูนก็หาวิธีอื่นมาช่วยในการตรวจสอบผลผลิต LAMP นั่นก็คือ Lateral flow dip stick คือใช้แผ่นกระดาษจุ่มแล้วอ่านผล ทำให้ลดเวลาการตรวจทั้งหมดลง คือเตรียมตัวอย่าง 10 นาที ทำปฏิกิริยา LAMP 30 นาที แล้วต่อด้วยการอ่านผลบนแผ่น Strip อีก 10 นาที สรุปก็คือใช้เวลาเพียงแค่ 50-60 นาที เราก็จะสามารถบอกได้ว่ากุ้งของเรานี้ติดเชื้อไวรัสทอร่าหรือไวรัสตัวแดงดวงขาว หรือไวรัสอื่นๆ หรือไม่ จากผลงานนี้ทำให้ตูนได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเยี่ยมจากสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในสาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา เป็นงานที่สองที่ได้รับรางวัล ซึ่งเป็นรางวัลดีเยี่ยมด้วยในสาขานี้ ก็นึกดีใจว่า มีคนเห็นความสำคัญของงานเรา ก็เลยมีแรงที่จะทำงานต่อไป  ผลงานต่อยอดชิ้นต่อมาก็คือ การพัฒนาเครื่องมือตรวจหาเชื้อไวรัสในกุ้งแบบพกพา เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายชอบใช้เครื่องมือ แต่เราประดิษฐ์ไม่ได้ เลยไปปรึกษากับนักวิจัยที่ NECTEC ว่าทำเครื่องมือแบบนี้ได้ไหม ก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีค่ะ ช่วยกันทำเครื่องวัดความขุ่นเพื่อตรวจโรคกุ้งขึ้นมา และสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนได้ ตูนก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิมคือ ทำ Paper จดสิทธิบัตรด้วย มีรายได้จากการถ่ายทอดให้เอกชนด้วย และทาง NECTEC ก็ส่งผลงานนี้เข้าร่วมประกวด ก็ได้รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นระดับดีจาก วช. หลายคนอาจมองว่าตูนล่ารางวัลหรือเปล่า แต่ความเป็นจริงคือพอถึงเวลาที่เค้าเปิดรับสมัครผลงานวิจัย ก็จะมีคนมาถามว่ามีผลงานอะไรจะส่งไหม ในเมื่อเรามี เราก็ส่งไป โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับรางวัล ผลงานชิ้นถัดมาที่ต้องพูดถึงคือ ความร่วมมือกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) ไปทำเรื่องวัณโรค ตูนก็นำเอา Platform ของเทคโนโลยีที่พัฒนาจากการทำชุดตรวจโรคกุ้ง มาทำชุดตรวจวัณโรค โดยนำตัวอย่างเชื้อจาก มศว. มาทดลอง และใช้เทคโนโลยีของเราในการตรวจ ผลงานชิ้นนี้ก็ได้รับรางวัลอีกเช่นเดียวกัน คือได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเยี่ยมสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์จาก วช. อ้าว!!...ได้รางวัลอีกแล้ว (หัวเราะ) ขณะนี้ชุดตรวจวัณโรคกำลังอยู่ในขั้นทดลองใช้ที่สำนักวัณโรค เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของชุดตรวจ และจะได้นำมาใช้งานในวงการแพทย์ต่อไป และสุดท้ายเมื่อสองปีที่แล้ว ตูนก็ได้รับรางวัลทะกุจิ ประเภทนักวิจัยดีเด่นซึ่งเป็นความฝันของตูนเลยนะจากที่ไม่ค่อยฝันอะไรเท่าไหร่ รางวัลนี้จะมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่มีคุณธรรมและอุทิศตนเพื่องานวิชาการทางเทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยอย่างจริงจังและต่อเนื่องเป็นระยะเวลาพอสมควร มีผลงานวิจัยดีเด่นในสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติอยู่บนพื้นฐานของคุณภาพ ศักยภาพ และประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งตูนก็ไม่ได้คิดว่าเราเก่งและมีคุณสมบัติครบถ้วนหรอกนะ แต่ด้วยความที่เรามีการสะสมผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันมาอย่างต่อเนื่อง มีผลงานที่ได้รับการยอมรับ ก็น่าจะได้รับการพิจารณาจากรางวัลนี้ ซึ่งนักวิจัยหลายๆ ท่านที่ตูนนับถือก็ได้รับรางวัลนี้ให้เราได้ชื่นชมแล้วหลายท่าน พอทาง BIOTEC สอบถามมาว่าจะส่งผลงานเข้ารับรางวัลทะกุจิไหม ตูนก็ไม่ลังเลที่จะทำค่ะ และก็ภูมิใจที่สุดเลยที่ได้รับรางวัลนี้ ตูนทำงานมา 18 ปี ก็ได้รับรางวัลมาประมาณ 10 รางวัล มีการส่งผลงานไปประกวดที่ประเทศเกาหลี คือผลงานเรื่องเครื่องตรวจวัดอฟลาทอกซินที่ร่วมมือกับ NECTEC ชุดตรวจเชื้อวัณโรคด้วยเทคนิคไบโอเซนเซอร์ที่ร่วมงานกับ มศว. ก็ได้รับรางวัลเหรียญทองอีกเช่นกัน รางวัลที่ได้เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความสาามรถของเราอย่างเดียว แต่เกิดจากการทำงานร่วมกันของทีมงานของเราที่หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง และการร่วมทำวิจัยกับหน่วยงานวิจัยอื่นๆ ด้วย ที่จริงรางวัลเหล่านี้ถือว่าเป็นส่วนเสริม แต่ถ้าได้ มันก็แสดงว่ามีคนเห็นคุณค่าในงานของเรา กรรมการจึงให้รางวัลเราเพื่อเป็นกำลังใจให้เราตั้งใจทำงานต่อไป สิ่งที่อยากทำนั้นก็เพราะอยากเห็นว่าเราจะทำมันได้ไหม และสิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดคือ งานวิจัยของเรามีคนนำไปใช้ และเราช่วยทำให้งานของเขาสำเร็จ โดยที่ผู้นำงานวิจัยเราไปใช้ไม่จำเป็นต้องเรียนจบมาสูงหรือเรียนจบมาตรงกับสายวิทยาศาสตร์ เป็นเกษตรกรหรือผู้ประกอบการทั่วๆ ไปก็สามารถใช้เครื่องมือชุดตรวจของเราได้ อยากเห็นผลงานของเราใช้ได้จริง มีประโยชน์จริง และมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจริงๆ  นอกจากนี้ งานวิจัยนี้ยังสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดใช้เป็นชุดตรวจหาเชื้อโรคอื่นๆ ได้ด้วย เช่น ชุดตรวจโรคในปลา ชุดตรวจเชื้อวัณโรค เชื้อมาลาเรีย ตลอดจนเชื้อก่อโรคในอาหารด้วยค่ะ ถาม : มีเคล็ดลับในการดูแลตัวเองอย่างไรคะ ตอบ : สำหรับการดูแลตัวเองนั้นไม่ค่อยดูแลอะไรมากนัก แค่ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใสตลอดเวลา มีเวลาก็ออกไปช้อปปิ้ง ซื้อเครื่องสำอาง ซื้อเสื้อผ้า เพราะเป็นคนชอบแต่งหน้าแต่งตัว อีกอย่างวันไหนว่างๆ ก็ชวนน้องๆ ในห้องแล็บไปหาอะไรทานกัน อยู่กับเด็กๆ ก็จะทำให้ตูนเด็กลงไปด้วยค่ะ (หัวเราะ) เป็นการปลดปล่อยความเครียดได้ เคล็ดไม่ลับอีกอย่างก็คือ ทานอาหารเช้า-กลางวันให้อิ่มและสนุกสนาน จะได้ไม่ต้องทานมื้อเย็นค่ะ การพัฒนาเทคนิค LAMP และเครื่องมือวัดความขุ่นเพื่อการตรวจหาเชื้อไวรัสในกุ้ง LAMP หรือ Loop mediated DNA amplification เป็นเทคนิคที่สามารถเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอ โดยอาศัยการทำงานของ เอ็นไซม์ Bst DNA polymerase ที่อุณหภูมิคงที่เพียงอุณหภูมิเดียวในช่วง 60 ถึง 65 องศาเซลเซียส และใช้ primer ที่ออกแบบอย่างจำเพาะต่อ target sequence ถึง 4 ตัว ซึ่งประกอบด้วย 6 ตำแหน่งของ target sequence นั้น ทำให้วิธีนี้เป็นวิธีที่จำเพาะอย่างยิ่ง วิธีนี้จะใช้เวลาในการทำปฏิกิริยาสั้นมาก ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ความขุ่น (turbidity) ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการจับกันของ pyrophosphate ions กับ magnesium ions เกิดเป็นตะกอน magnesium pyrophosphate สีขาวขึ้นในสารละลาย เป็นข้อได้เปรียบของปฏิกิริยา LAMP กล่าวคือ ความขุ่นที่เกิดขึ้นเป็นตัวชี้ให้เห็นว่ามีการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอในหลอดทดลอง  งานวิจัยนี้นอกจากจะทำการวิจัยและพัฒนาเทคนิค LAMP เพื่อใช้การตรวจวินิจฉัยไวรัสที่สำคัญในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในประเทศไทยแล้ว ยังจะทำการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือตรวจวัดแบบง่าย ซึ่งจะมุ่งเน้นให้มีราคาถูก และสามารถพกพาได้สะดวก โดยเครื่องมือชุดนี้ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ คือ ส่วนควบคุมอุณหภูมิสำหรับทำปฏิกิริยา LAMP และส่วนตรวจวัดความขุ่นของสารละลาย ตลอดจนส่วนรายงานผลบนจอภาพ LCD ขนาดพกพา  https://www.researchgate.net/publication/39031884_karphathnathekhnikh_LAMP_laeakheruxngmuxwadkhwamkhunpheuxkartrwchacheuxwirasnikung_NECTEC  
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
บทความ