ผลการค้นหา :

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – ไทย – เกาหลี เปิดความร่วมมือขับเคลื่อนนิคมนวัตกรรม
ไทย - เกาหลี เปิดความร่วมมือขับเคลื่อนนิคมนวัตกรรม ประเดิมสองโครงการหลัก ฟู้ดอินโนโพลิสและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดบ้านอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) ต้อนรับนายชอย ยาง ฮี (Choi Yang Hee) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ไอซีที และการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานใน “พีธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการบริหารอุทยานวิทยาศาสตร์และการพัฒนาเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ ฟู้ดอินโนโพลิส” ระหว่าง มูลนิธิอินโนโพลิส (Innopolis Foundation) สาธารณรัฐเกาหลี โดย นาย ชา ดอง คิม ประธานมูลนิธิ กับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) โดย ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ รองผู้อำนวยการ สวทน. และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า “รัฐบาลสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งฟู้ดอินโนโพลิส เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการสนับสนุนและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมอาหารของไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศคิดเป็น 9% ของจีดีพี มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม สร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ สร้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อเป็นแหล่งสร้างรายได้ใหม่ของประเทศ โดยกำหนดพื้นที่แรก กว่า 60,000 ตารางเมตรภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อรองรับการจัดตั้งศูนย์วิจัยพัฒนานวัตกรรมของภาคเอกชน และให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์” ด้าน นายชอย ยาง ฮี (Choi Yang Hee) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ไอซีที และการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวว่า “ประเทศเกาหลีอยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ไอซีที เพื่อพัฒนาสตาร์ทอัพของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับประเทศไทยที่กำลังขับเคลื่อนในเรื่องสตาร์ทอัพเช่นกัน โดยทางเกาหลีวางแผนที่จะเผยแพร่ประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการต่างๆ ให้กับประเทศไทย ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ การให้คำปรึกษา การฝึกอบรมของผู้ประกอบการทั้งสองประเทศจนอาจเกิดเป็นความร่วมมือขึ้นมาได้”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – บทความ รู้จักกับศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์
รู้จักกับศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์
สวทช.จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ของประเทศไทย พร้อมเป็นฐานองค์ความรู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพ และสร้างนวัตกรรมเพื่อต่อยอดการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์มีความต้องการใช้จุลินทรีย์ และผลิตภัณฑ์ที่จุลินทรีย์ผลิตมากขึ้น โดยเกือบทั้งหมดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นการพัฒนาจุลินทรีย์และผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความเข้มแข็งทางด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การขาดโครงสร้างพื้นฐานในการวิจัยและพัฒนา กระบวนการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม สำหรับประเมินความเป็นไปได้ก่อนการผลิตจริง และก่อนการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำให้การต่อยอดการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ใช้ระยะเวลานาน ส่งผลให้เอกชนขาดความเชื่อมั่น และภาคอุตสาหกรรมของประเทศสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ
เพื่อตอบสนองต่อปัญหาดังกล่าว ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. จึงได้จัดตั้ง "ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์" ขึ้น ณ อาคารนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ของประเทศไทย โดยการบูรณาการความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกไบโอเทคให้อยู่ที่จุดเดียว โดยมีฐานเทคโนโลยีสำคัญประกอบด้วย ฐานความรู้และข้อมูลด้านทรัพยากรชีวภาพ เทคโนโลยีกระบวนการทางชีวภาพอย่างเป็นระบบ และการบูรณการด้านคุณภาพและความปลอดภัยในอาหาร รวมทั้งมีโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมเพื่อการประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
ในการดำเนินงานของ ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่
1. การวิจัยและพัฒนา ใช้เทคโนโลยีชีวภาพสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อโจทย์และความต้องการของภาคเอกชน ทั้งการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการพัฒนาต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ที่ได้ พัฒนาขึ้นแล้วไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยมีแผนการดำเนินงานที่มุ่งเน้นงานวิจัยและ พัฒนาด้านเทคโนโลยีจุลินทรีย์ต้นเชื้อบริสุทธิ์ // การค้นหาเอนไซม์ที่มีศักยภาพเพื่อประยุกต์ใน อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ // การวิจัยด้านการผลิตสารมูลค่าสูง // และการใช้ประโยชน์โปรตีนจากวัสดุเศษเหลือจากกระบวนการแปรรูปอาหาร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ // ทั้งนี้เป็นการทำงานวิจัยแบบก้าวกระโดด โดยนำเทคโนโลยีฐานและความสามารถของนักวิจัยมาใช้ในการตอบโจทย์ภาคเอกชนอย่างแท้จริง
2. การทดสอบและพัฒนาระบบการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม จนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการทดลองในภาคสนามและการประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ซึ่งจะผลักดันผลงานวิจัยให้สามารถถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
3. การจัดหาและรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศ สร้างพันธมิตรวิจัยร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ เป็นตัวกลางจัดหาและปรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เหมาะสมกับผู้ประกอบการในไทย
4. การให้บริการทางวิชาการในด้านการเป็นที่ปรึกษา การให้บริการด้านเทคนิค การให้บริการเช่าเครื่องมือสำหรับภาครัฐและเอกชน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการฝึกอบรมเฉพาะทางให้กับบุคลากร เพื่อยกระดับความสามารถทางเทคนิคของบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญและทักษะเพิ่มขึ้น ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้ด้านการประเมินความเสี่ยงเชิงปริมาณ เพื่อกำหนดเกณฑ์ควบคุมความปลอดภัยในอาหารตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปลายทางการผลิต
จากความพร้อมทั้งองค์ความรู้พื้นฐาน และความสามารถทางเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิต การแปรรูป ประกอบกับการสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรวิจัย ทำให้ ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์มีงานวิจัยและพัฒนาที่สอดคล้องและสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ อันเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้ทัดเทียมระดับโลกต่อไป
ชมคลิปวิดีโอได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=2MisERWWqFs
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม 2559 (ฉบับที่ 14)
ข่าว
ไบโอเทค สวทช. เปิดศูนย์นวัตกรรมและอาหารสัตว์ ยกระดับผู้ประกอบการแข่งขันทางธุรกิจ
ซอฟต์แวร์พาร์ค นำผู้ประกอบการไอซีทีไทย 13 ราย ร่วมเป็นตัวแทนแสดงสินค้าและบริการในงาน CommunicAsia 2016
Thailand Tech Show ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่
ก.วิทย์ฯ สวทช. จับมือ ท็อปส์เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ " Active PAKTM ถุงหายใจได้" ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น
มหกรรมยิ่งใหญ่ ครั้งแรกในประเทศไทย “Startup Thailand 2016” รวมพลังสตาร์ทอัพเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจไทย
บทความ
รู้จักกับศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์
ปฏิทินกิจกรรม
การฝึกอบรมเรื่อง การเก็บรักษาจุลินทรีย์ในระยะยาวด้วยเทคนิคการระเหยแห้งในสภาวะสุญญากาศ
Download เอกสารฉบับเต็ม [8.9 MB]
.
จดหมายข่าว สวทช.

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – ปฏิทินกิจกรรม
การฝึกอบรมเรื่อง การเก็บรักษาจุลินทรีย์ในระยะยาวด้วยเทคนิคการระเหยแห้งในสภาวะสุญญากาศ จัดโดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยความร่วมมือของ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) วันที่จัด ภาคบรรยาย 18 พฤษภาคม 2559 (0.5 วัน) ภาคบรรยายและปฏิบัติการ 18 – 19 พฤษภาคม 2559 (1.5 วัน) สถานที่ อาคารไบโอเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี วัตถุประสงค์ 1. เพื่อฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ นักวิจัย นักศึกษา ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ และผู้สนใจทั้งภาครัฐและเอกชน ให้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับหลักการเก็บรักษาจุลินทรีย์ 2. เพื่อถ่ายทอดวิธีการเก็บรักษาจุลินทรีย์ด้วยเทคนิคการระเหยแห้งในสภาวะสุญญากาศแก่ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ คุณสมบัติของผู้สมัคร เป็นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัย หรือเก็บรักษาการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ ค่าลงทะเบียน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม อาหารกลางวันและอาหารว่าง วัสดุวิทยาศาสตร์ และเอกสารประกอบการอบรม) - ภาคบรรยาย 500 บาท - ภาคบรรยายและปฏิบัติการ 1,500 บาท ปิดรับสมัคร วันที่ 10 พฤษภาคม 2559 ติดต่อ/สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ หน่วยฝึกอบรม ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ 113 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120 โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3379 – 3382 โทรสาร 0 2564 6574 E-mail: TrainingUnit@biotec.or.th
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – มหกรรมยิ่งใหญ่ “Startup Thailand 2016” ครั้งแรกในประเทศไทย รวมพลังสตาร์ทอัพเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจไทย
มหกรรมยิ่งใหญ่ ครั้งแรกในประเทศไทย “Startup Thailand 2016” รวมพลังสตาร์ทอัพเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจไทย “Startup Thailand 2016” เวทีเปิดตัวธุรกิจผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนระดับหัวกะทิ ของประเทศไทยกว่า 200 ราย พร้อมหน่วยงานสนับสนุนสตาร์ทอัพจากต่างประเทศกว่า 10 ราย ได้มาร่วมแสดงศักยภาพของแต่ละธุรกิจ สร้างเครือข่ายสตาร์ทอัพให้เข้มแข็ง พบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา อาชีวะ ผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงาน เกษตรกรยุคใหม่ ผู้บริหารองค์กร รวมทั้งยังช่วยให้นักธุรกิจเอสเอ็มอี ได้เข้าใจและรู้จัก Startup สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้แบบยั่งยืน โดยงาน “Startup Thailand 2016” ในครั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนรัฐบาลและทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน ซึ่งทำงานร่วมกับอีก 11 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เครือข่ายประชารัฐ และประชาคมสตาร์ทอัพไทย โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นประธานในพิธีเปิด รวมทั้งจะปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “วิสัยทัศน์และพลังสร้างชาติด้วย Startup Thailand” อีกด้วย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสมาพบปะกับสตาร์ทอัพหรือผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น ซึ่งจะเป็นนักรบทางเศรษฐกิจใหม่ของไทย และยังได้พบกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนและสนับสนุนสตาร์ทอัพให้เกิดขึ้น อย่างเป็นรูปธรรมในวันนี้ การสร้างพื้นที่ให้สตาร์ทอัพหรือผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นได้แสดง ศักยภาพ ได้เติบโตเพื่อเป็น “ฐานเศรษฐกิจใหม่” ของไทย เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ณ วันนี้ ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานทาง ICT ที่เข้มแข็ง และในยุคดิจิทัลที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงกันได้เพียงเสี้ยววินาที ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามกระแสที่เกิดขึ้น เปิดโอกาสให้มีการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งมีรูปแบบทางธุรกิจที่ถูกใจผู้บริโภค นำเอาเทคโนโลยีมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ก่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่อาจขยายสู่ตลาดสากลได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง ในวันนี้ รัฐบาลได้พยายามผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยไปเติบโตได้ในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตาร์ทอัพในภาคเกษตรและอาหาร ด้านการศึกษา และด้านสุขภาพ ประเทศไทยต้องการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปลูกพืช การทำสวน ไร่ นา การพัฒนาชาวไร่ ชาวสวน พัฒนา Thai Smart Farmer ทั้งเกษตรกรรุ่นเดิมและเกษตรกรรุ่นใหม่ เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของอาชีพเกษตรกร ด้วยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถทางด้านการ ผลิตวัตถุดิบ การแข่งขันด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีมูลค่าสูง ตลอดจนการหาโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างช่องทางการตลาดใหม่ ช่วยให้สินค้าเกษตรถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกล่าวว่า ในฐานะตัวแทนรัฐบาลและเจ้าภาพหลักของงานนี้ ผมมั่นใจว่างาน “Startup Thailand 2016” ครั้งนี้จะเป็นการจุดประกายให้ผู้ประกอบการที่กำลังหาแนวทางธุรกิจให้มีการพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืนจากองค์ความรู้และแรงบันดาลใจภายในงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นการเร่งการเติบโตและเพิ่มโอกาสของสตาร์ทอัพไทย ส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้นครั้งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ซึ่งจะมีผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จำนวนกว่า 200 บูธ และพร้อมหน่วยงานสนับสนุนสตาร์ทอัพจากต่างประเทศจำนวนกว่า 10 บูธ และเพื่อให้สอดคล้องกับผู้ประกอบการในแต่ละด้าน โซนการแสดงนิทรรศการสตาร์ทอัพจะแบ่งออกเป็น 8 ประเภท ประกอบด้วย 1. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเกษตรและอาหาร (AgriTech & FoodTech) 2. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรมสะอาด (Industry 4.0 & CleanTech) 3. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการศึกษาและการสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ (EdTech & GovTech) 4. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropertyTech) 5. ธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งด้านบริการส่วนบุคคล การท่องเที่ยว และความบันเทิง (Lifestyle : Personal service, TravelTech & Entertainment) 6. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเข้าถึงสินค้า (E-Commerce & Logistics) 7. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเงิน (FinTech) และด้านการให้บริการสำหรับธุรกิจ (Service Enhancement) 8. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านสุขภาพ (HealthTech)
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – ก.วิทย์ฯ สวทช. จับมือ ท็อปส์เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ” Active PAKTM ถุงหายใจได้” ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น
ก.วิทย์ฯ สวทช. จับมือ ท็อปส์เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ " Active PAKTM ถุงหายใจได้" ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น ณ ท็อปส์ มาร์เก็ต เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 - กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์และท็อปส์ เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ “Active PAKTM ถุงหายใจได้" ผักอร่อยสดนานยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยี EMA (Equilibrium Modified Atmosphere) ที่สร้างสมดุลบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ จึงคงความสด คุณค่า และรสชาติของผักให้สด อร่อย ได้นานสูงสุด 2-5 เท่า ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค พร้อมตอกย้ำจุดยืนของท็อปส์ที่เป็นผู้นำซูเปอร์มาร์เก็ตที่ส่งความสดให้ผู้ บริโภค พร้อมสานต่องานวิจัยและพัฒนาร่วมกับ สวทช. ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “โครงการนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์แบบยั่งยืนเพื่ออุตสาหกรรมผลิตผลสดของไทย ภายใต้โครงการวิจัยที่มุ่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจระดับพันล้านบาท เป็นโครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ที่ริเริ่มโดย สวทช. เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักวิจัยเข้าใจและเข้าถึงความต้องการของภาคเอกชนได้ อย่างแท้จริง ทำให้สามารถพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ภาคอุตสาหกรรมได้ ดังเช่นเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ Active PAKTM สู่ผลงานนวัตกรรม “ถุงหายใจได้” ที่พัฒนาขึ้นโดย หน่วยวิจัยโพลิเมอร์ ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีพลาสติก เอ็มเทค สวทช. ซึ่งเป็นงานวิจัยที่จับต้องได้ ก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีจากผลงานวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรมไทย ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรของไทย ด้วยคุณสมบัติของถุงที่สามารถคงความสด คุณค่า และรสชาติของผลิตผลสด ได้แก่ ผักและผลไม้ต่างๆ ได้นานสูงสุด 2-5 เท่า" ดร.วรรณี ฉินศิริกุล นักวิจัยและหัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนา Active PAKTM ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า การทำงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีฟิล์มบรรจุภัณฑ์สำหรับยืดอายุและรักษาคุณภาพผัก ผลไม้สด ซึ่งกว่าจะถึงรุ่นปัจจุบัน Active PAKTM นั้น ได้ทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี โดยมีการรับโจทย์จริงจากภาคอุตสาหกรรมผักผลไม้สด มีการพัฒนาและร่วมทดสอบกับเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ใช้งานบรรจุภัณฑ์ผักผลไม้สดสำหรับตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตในประเทศ และผู้ส่งออกผักผลไม้สดไปต่างประเทศ รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ผลิตฟิล์มบรรจุภัณฑ์พลาสติก เพื่อให้เกิด การขยายผลการใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยฟิล์มบรรจุภัณฑ์สำหรับยืดอายุและรักษาคุณภาพผักผลไม้สดรุ่นปัจจุบัน Active PAKTM ตอบโจทย์ด้านคงความสดของผักและความใสของถุง ซึ่งได้ผ่านการทดสอบใช้งานจริงผ่านกระบวนการต่างๆ ของทาง บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ มาเป็นเวลากว่า 3 ปี โดยมีการพัฒนาให้ตอบสนองต่อความต้องการในด้านการใช้งานที่ง่ายและสะดวก ด้านการผลิตที่ผลิตได้ในอุตสาหกรรม และด้านการวางจำหน่ายบนชั้นวาง ที่ผักต้องคงความสด และถุงยังคงความใส ด้าน นางสาวเมทินี พิศุทธิ์สินธพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายจัดซื้อกลุ่มสินค้าอาหารสด และบริหารจัดซื้อ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง สวทช. และท็อปส์ ว่า ท็อปส์ เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตรายแรกของไทยที่นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด “Active PAKTM ถุงหายใจได้” มาใช้ เพื่อช่วยให้ผักที่วางจำหน่ายในท็อปส์ ทั้ง 181 สาขาทั่วประเทศ คงความสด รสชาติดีตามธรรมชาติ รักษาคุณค่าทางโภชนาการให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นนโยบายหลักของ ท็อปส์ ที่ต้องการให้ผักสดและปลอดภัยจนถึงมือผู้บริโภค เทคโนโลยีใหม่นี้ยังช่วยลดการสูญเสียผัก เป็นการลดขยะ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม อีกด้วย บริษัทฯ ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี ร่วมทดลองกับ สวทช. โดยให้โจทย์หลักต้องการถุงใสและหนาไม่ต่างจากถุงพลาสติกทั่วไป เพราะผู้บริโภคเลือกซื้อผักจากการมองและสัมผัส ถุงต้องช่วยยืดอายุผักให้สดนานขึ้นกว่าบรรจุภัณฑ์แบบเดิมที่เป็นถุงพลาสติก เจาะรูระบายอากาศ และต้องง่ายกับการทำงานในระบบซัพพลายเชน ในขั้นตอนการทดลองได้นำถุงหายใจได้แบบและไซส์ต่างๆ ไปบรรจุผักทั้งผักใบแคบและผักใบกว้าง โดยเริ่มกระบวนการตั้งแต่โรงแพ็ค ส่งไปยังศูนย์กระจายสินค้าอาหารสด แล้วกระจายต่อไปยังสาขา จนถึงครัวของผู้บริโภค ร่วมกันทดลองหลายต่อหลายครั้ง เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเรื่องอุณหภูมิที่ไม่สม่ำเสมอในกระบวนการขนส่ง เช่น การขนผักจากห้องเย็นหรือโรงแพ็คเพื่อจัดวางในรถขนส่ง เป็นต้น จนในที่สุดเราก็ประสบความสำเร็จได้ “Active PAKTM ถุงหายใจได้” ที่ทั้งใสและหนาเหมือนถุงพลาสติกทั่วไป และสามารถยืดอายุผักให้สดนานขึ้นเฉลี่ย 7-8 วัน เทียบกับถุงพลาสติกทั่วไปเจาะรู ที่ใส่ผักได้เพียง 3 วันเท่านั้น ช่วยลดการสูญเสียผักลงประมาณ 7-8% ในขณะที่ต้นทุนการผลิตถุงแพงกว่าถุงพลาสติกทั่วไปเล็กน้อย แต่ท็อปส์ไม่ได้ขึ้นราคาขายสินค้าแต่อย่างใด ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าที่สด ใหม่ รสชาติดี คงคุณค่าทางโภชนาการ
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – Thailand Tech Show ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่
Thailand Tech Show ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมเชียงใหม่ แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่ - ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล โฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานเปิดงาน “Thailand Tech Show ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่” งานแสดงผลงานวิจัยพร้อมใช้และเข้าใจง่าย จาก สวทช. และสถาบันวิจัยชั้นนำ ที่ได้คัดสรรและเลือกมาโดยเฉพาะแล้วว่าเหมาะแก่ผู้สนใจลงทุนธุรกิจเทคโนโลยี ในเขตภาคเหนือ มากถึง 152 ผลงาน ในกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและประมง วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร เภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอาง การแพทย์ อาหารและเครื่องดื่ม และอื่นๆ ซึ่งพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่การใช้งานจริง ตลอดจนร่วมเจรจาจองใช้สิทธิกับเจ้าของผลงานได้โดยตรง มีค่าธรรมเนียมเพียง 30,000 บาท บวกกับค่า Royalty Fee (ค่าลิขสิทธิ์) 2% ของยอดขายเท่านั้น สำหรับงาน “Thailand Tech Show จากหิ้งสู่ห้าง ครั้งที่ 1/2559 ภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่” จัดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2559 และได้นำผลงานวิจัยพัฒนาและเทคโนโลยีที่พร้อมใช้ ซึ่งได้คัดสรรและเลือกมาโดยเฉพาะแล้วว่าเหมาะแก่ผู้สนใจลงทุนธุรกิจ เทคโนโลยีในเขตภาคเหนือ มากถึง 38 ผลงาน อาทิ • แอนดรอยด์คัดกรองโรคหัวใจ (มหาวิทยาลัยนเรศวร) : เป็นโปรแกรมติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือ เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต สามารถคัดกรองโรคด้วยเสียงหัวใจ โดยโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ สามารถนำไปใช้งานทุกสถานที่ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ และสามารถคัดกรองผู้ที่มีเสียงหัวใจผิดปกติได้ถูกต้อง 84% • สูตรตำรับยาสมุนไพรสำหรับแก้ไอ (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) : เป็นยาน้ำที่ต้มมาจากสมุนไพร ประกอบด้วย โทงเทง มะแว้งเครือ เสนียด มะขามป้อม ชะเอมเทศ น้ำตาลกรวด น้ำมะนาว น้ำขิง เกลือ และเมนทอล ที่ผ่านกรรมวิธีขั้นตอนต่างๆ ที่ได้ยาน้ำที่ได้จากการต้มสมุนไพร เพื่อจัดทำยาแก้ไอที่ผลิตจากสมุนไพรสูตรใหม่ ที่มีประสิทธิภาพบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ ช่วยทำให้ชุ่มคอ รสชาติดี และไม่มีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย • สูตรลูกชิ้นหมูไหมทองและกรรมวิธีการผลิตตามสูตร (สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ) : ลูกชิ้นหมูที่มีรสชาติดีกว่าสูตรเดิมโดยไม่ต้องเติมสารอื่นใดเพื่อให้เนื้อ แน่นและกรอบ ทำให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและยังได้คุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น • สวิตช์สัมผัสจากหมึกนำไฟฟ้า (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) : เป็นการออกแบบและประยุกต์ใช้งานสวิตช์แบบสัมผัสด้วยเทคโนโลยี หมึกนำไฟฟ้า มีราคาที่ถูกและสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – ซอฟต์แวร์พาร์ค นำผู้ประกอบการไอซีทีไทย 13 รายร่วมเป็นตัวแทนแสดงสินค้าและบริการในงาน CommunicAsia 2016
ซอฟต์แวร์พาร์ค นำผู้ประกอบการไอซีทีไทย 13 ราย ร่วมเป็นตัวแทนแสดงสินค้าและบริการในงาน CommunicAsia 2016 ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอทเอราวัณ - เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์พาร์ค ภายใต้ สวทช. ร่วมกับบริษัท สิงคโปร์ เอ็กซิบิชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด จัดงานแถลงข่าวประกาศความยิ่งใหญ่ของงาน CommunicAsia2016 งานแสดงสินค้านวัตกรรมทางด้านสื่อสารโทรคมนาคม (ICT) ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย พร้อมแนะนำรายละเอียดของพาวิลเลี่ยนประเทศไทยและผู้ประกอบการไทยในงาน CommunicAsia2015 ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยมี นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้อำนวยการซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. และ มร.วิคเตอร์ หว่อง ผู้อำนวยการการจัดงาน บริษัท สิงคโปร์ เอ็กซิบิชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด พร้อมด้วยตัวแทนผู้ประกอบการไทย ร่วมแถลงข่าว นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้อำนวยการซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. กล่าวว่า "ซอฟต์แวร์พาร์ค ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จะนำผู้ประกอบการซอฟต์แวร์และโทรคมนาคมในเครือข่ายจำนวน 13 บริษัท ร่วมเป็นตัวแทนของประเทศไทยเพื่อแสดงสินค้าและบริการในงาน CommunicAsia 2016 ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2559 ณ มารีน่าเบย์ แซนด์ ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้แนวคิดหลักของการนำซอฟต์แวร์ทางด้านโทรคมนาคมและโทรศัพท์มือถือของไทย ไปร่วมในบูธ Thailand Pavilion คือ “Gateway to Telecommunication and Mobile Solutions” อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/21968-communicasia2016
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.2 – ไบโอเทค สวทช. เปิดศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ ยกระดับผู้ประกอบการแข่งขันทางธุรกิจ
ไบโอเทค สวทช. เปิดศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ ยกระดับผู้ประกอบการแข่งขันทางธุรกิจ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) จัดพิธีเปิดศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (Food and Feed Innovation Center หรือ FFIC) ณ โถงชั้น 1 ทาวเวอร์ C อาคาร กลุ่มนวัตกรรม 2 (INC 2) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ประเทศไทยถือเป็นแหล่งทรัพยากรด้านอาหารที่สำคัญ และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับ 14 ของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออกถึง 1 ล้านล้านบาทในปี 2557 คิดเป็น 9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ด้วยสภาพการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดอาหารโลก และความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป อุตสาหกรรมอาหารไทยจึงจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วย“นวัตกรรม” นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพยากรด้านอาหารและสร้าง โอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า “โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ ฟู้ดอินโนโพลิส เป็นหนึ่งในซุปเปอร์คลัสเตอร์ที่รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมอาหาร โดยมุ่งเน้นที่จะดึงดูดบริษัทผู้ผลิต หรือวิจัยพัฒนาอาหารชั้นนำของโลกมาลงทุนในกิจการด้านนวัตกรรมอาหารในประเทศไทย และสนับสนุนให้บริษัทเอกชนไทยในทุกระดับตั้งแต่ Startup, SMEs ไปจนถึงบริษัทไทยขนาดใหญ่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะได้ประสานกับภาคส่วนต่างๆ ในการจัดสิทธิประโยชน์และแรงจูงใจ และมาตรการสนับสนุน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. โดยไบโอเทค จึงได้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ขึ้น เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ไว้ที่จุดเดียว หรือ One Stop Service และด้วยความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินงานวิจัยตั้งแต่ระดับห้องปฏิบัติการวิจัย สู่การทดสอบระบบการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม จนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่พร้อมถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างครบวงจร นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางจัดหาและปรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เหมาะสมกับผู้ประกอบการในไทย และให้บริการทางวิชาการในด้านการเป็นที่ปรึกษา การให้บริการด้านเทคนิค การให้บริการเช่าเครื่องมือสำหรับภาครัฐและเอกชน และถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงการฝึกอบรมเฉพาะทางให้กับบุคลากร เกิดการประสานงานในการทำงานวิจัยอย่างใกล้ชิด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ส่งผลให้งานวิจัยบรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การรับช่วงการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคเอกชน" ดร. กัญญวิมว์ กีรติกร ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า “อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ของประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงทั้งการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศและเพื่อการส่งออก เป็นเวลากว่า 30 ปีที่ไบโอเทคได้ดำเนินงานวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพด้านการเกษตรและอาหารเพื่อปรับปรุงผลผลิตทางการเกษตร ยกระดับมาตรฐานการผลิตอาหารของผู้ประกอบการให้มีคุณภาพและความปลอดภัย ในยุคที่ตลาดมีการแข่งขันสูง จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องสร้างนวัตกรรมของตนเอง” ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพอาหาร ไบโอเทค กล่าวเสริมว่า “ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์จัดตั้งขึ้นด้วยงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท มีทีมวิจัยประมาณ 40 คน ที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย ตั้งแต่ การคัดเลือกจุลินทรีย์ที่มีความสามารถพิเศษ เทคโนโลยีการหมัก เทคโนโลยีชีวกระบวนการ การประเมินความเสี่ยงความปลอดภัยในอาหาร เคมีอาหาร การผลิตสารมูลค่าสูงจากวัสุดเศษเหลือจากการแปรรูปอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ เปปไทด์ต้านจุลชีพ วิทยาศาสตร์เนื้อสัตว์ และ nutrigenomics เป็นต้น โดยศูนย์ฯ มีห้องปฏิบัติการวิจัยตั้งอยู่ที่ขั้น 9 ทาวเวอร์ B ของอาคาร กลุ่มนวัตกรรม 2 มีเนื้อที่ประมาณ 900 ตารางเมตร มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยพร้อมสำหรับการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรม ตัวอย่างผลงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จ ในด้านเทคโนโลยีจุลินทรีย์ต้นเชื้อบริสุทธิ์ เช่น ต้นเชื้อจุลินทรีย์บริสุทธิ์สำหรับหมักแหนม ผักกาดดองเปรี้ยว ด้านการผลิตเอนไซม์ที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ เช่น อาหารหมักชีวภาพสำหรับสัตว์ ผลิตภัณฑ์เอนไซม์รวมสำหรับสัตว์ ด้านการผลิตสารมูลค่าสูง เช่น กระบวนการผลิตกรดไขมันไม่อิ่มตัวและโพลีแซคคาไรด์จากจุลินทรีย์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ด้านนวัตกรรมอาหาร เช่น คอลลาเจนชนิดผง ผลิตภัณท์โปรตีนไข่ พาสเจอร์ไรซ์ เป็นต้น"
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.1 – ปฏิทินกิจกรรม
หากคุณคือ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ไม่ควรพลาด!
งาน Startup Thailand 2016
ตอบโจทย์ธุรกิจแนวใหม่
จัดโดยหน่วยงาน 10 กระทรวง นำโดย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ และ 7 หน่วยงานพันธมิตร สนองนโยบายรัฐบาลในโครงการ National Campaign Startup Thailand ระดมผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งในและต่างประเทศ แสดงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการสร้าง Startup ในระดับอาเซียน
ในงานพบกับกิจกรรมเปิดโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางโมเดลธุรกิจที่ขยายตัวและเติบโตได้สูงในเวลาอันรวดเร็ว แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับ startup ที่ประสบความสำเร็จ พร้อมชมนิทรรศการแสดงผลงานปาฐกถาพิเศษจากท่านนายกรัฐมนตรี สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในการสร้างธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดดเข้าสู่สากล พบกัน...
28 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2559
9.00 - 20.00 น. ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-017-5555 หรือ1313 อีเมล์
https://startupthailand.org
Facebook: Startup Thailand
สถาบันวิทยาการ สวทช. (NSTDA Academy) เปิดหลักสูตรการอบรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และไอที ประจำเดือนเมษายน - ต้นพฤษภาคม 2559
สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstdaacademy.com/webnsa/index.php/training
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ประจำเดือน เมษายน 2559 (ฉบับที่ 13)
ข่าว
ก.วิทย์ฯ โดย สวทช. ผนึกกำลังพันธมิตร โชว์นวัตกรรมระบบราง พัฒนาโดยคนไทย
สวทช. ก.วิทย์ฯ จับมือ มทร.ธัญบุรี ขยายเครือข่าย ITAP หนุน SME ในพื้นที่ภาคกลาง
ITAP สวทช. หนุน SME สร้างผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือใช้ โชว์ในงาน TIFF2016
ก.วิทย์ฯ จับมือ 11 หน่วยงาน หนุนจัดงาน Startup Thailand 2016 เพื่อผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีรุ่นใหม่
ก.อุตสาหกรรม ร่วมกับ 4 หน่วยงาน ดันผู้ประกอบการไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนนอก
ITAP สวทช. แถลงผลงานรอบ 5 เดือน เดินหน้าเคียงข้าง SMEs
ซอฟต์แวร์พาร์ค จับมือ เว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ฯ จัดประกวด “สุดยอดแอนิเมชั่น เงินออมสร้างชาติ” ชิงทุนการศึกษา
เอกชนขานรับร่วมงาน CEO Innovation Forum 2016 พร้อมเปิดตัวมาตรการยกเว้นภาษี 300%
ก.วิทย์ฯ โดย สวทช. เปิดตัว “บัญชีนวัตกรรมไทย” สร้างโอกาสผู้ประกอบการไทย เข้าถึงตลาดภาครัฐ
ศาลปกครองเปิดช่องทางการเรียนรู้ ผ่านระบบสื่อสาระออนไลน์ เพื่อการเรียนรู้ทางไกล เฉลิมพระเกียรติฯ
มทร.ล้านนา ผนึกกำลัง สวทช. ร่วมวิจัยและขยายผลสู่ชุมชน อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
บทความ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิดงานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2559
ปฏิทินกิจกรรม
หากคุณคือ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ งาน Startup Thailand 2016 ตอบโจทย์ธุรกิจแนวใหม่
สถาบันวิทยาการ สวทช. (NSTDA Academy) เปิดหลักสูตรการอบรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และไอที ประจำเดือนเมษายน - ต้นพฤษภาคม 2559
Download เอกสารฉบับเต็ม [13.2 MB]
.
จดหมายข่าว สวทช.

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.1 – บทความ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ทรงเป็นประธานเปิดงานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2559
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิด
งานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2559
สวทช. จัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2559 ในโอกาสครบรอบ 25 ปี เพียบพร้อมด้วยกิจกรรมการประชุมวิชากการ การสัมมนา-เสวนา หลากหลายหัวข้อ เปิดบ้าน สวทช.ให้เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัย นิทรรศการโชว์ผลงานวิจัยเด่น สวทช. และการรับสมัครงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิดงานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2559 (NSTDA Annual Conference 2016 : NAC2016) ภายใต้หัวข้อ “25 ปี สวทช. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่ออนาคตเศรษฐกิจและสังคมไทย” ที่จัดระหว่างวันที่ 30 มีนาคม – 2 เมษายน 2559 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ ที่ปรึกษาอาวุโสผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวบังคมทูลรายงานว่า สวทช. เป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534 นับถึงปัจจุบันมีการดำเนินงานมาแล้ว 25 ปี สร้างผลงานวิจัยที่เพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทย อาทิ สายพันธุ์ข้าวดอกมะลิ 105 ทนน้ำท่วม ชุดตรวจไข้หวัดนก เครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคง เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 3 มิติสำหรับการผ่าตัดฟันเครื่องแรกของประเทศไทย ฟิล์มบรรจุภัณฑ์เพื่อยืดอายุผลิตผลสด เครื่องกรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีไส้กรองนาโน เป็นต้น และมีบทบาทในการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในโครงการตามพระราชดำริ สำหรับนักวิจัยรุ่นใหม่และเยาวชนทุกช่วงชั้น รวมถึงการเสริมสร้างการเรียนการสอนให้แก่เยาวชนผู้ด้อยโอกาส และผู้มีความบกพร่องทางร่างกายและสติปัญญา และ สวทช. ยังได้สร้างพื้นฐานในการก่อตั้งหลายหน่วยงานที่มีพันธกิจเฉพาะทาง อาทิ สถาบันอาหาร สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท เลิร์นเทค จำกัด และ บริษัท ที–เน็ต จำกัด เป็นต้น
สำหรับปีงบประมาณ 2558 ที่ผ่านมา สวทช. มีผลงานที่เป็นองค์ความรู้ ได้แก่ สิ่งตีพิมพ์ ทรัพย์สินทางปัญญา และผลงานที่ได้รับการถ่ายทอดเชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์จำนวนมาก คำนวณได้ว่ามีมูลค่าการลงทุนจากกิจกรรมของ สวทช. 9,580 ล้านบาท ได้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 18,900 ล้านบาท และ สวทช. ยังได้ดำเนินการผลักดันนโยบายระดับชาติที่สำคัญ ได้แก่ มาตรการทางภาษี 300% และบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนสนใจลงทุนวิจัยและพัฒนามากขึ้น สวทช. ได้จัดการประชุมประจำปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและพัฒนาที่ สวทช. ได้สนับสนุนและดำเนินการโดยนักวิจัยของ สวทช. ทั้ง 4 ศูนย์แห่งชาติ ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกับศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี เครือข่ายภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อขับเคลื่อนประเทศในด้านต่างๆ ทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคการผลิตและบริการ
นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กราบบังคมทูลเบิกผู้เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตรในโครงการส่งเสริมการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรทางการวิจัยที่ สวทช. ให้การสนับสนุนและส่งเสริม เพื่อให้เกิดบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถที่จะนำทรัพยากรต่างๆ มาประยุกต์ให้เกิดนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ ได้แก่ คณะนักวิจัยโครงการทุนนักวิจัยแกนนำ โครงการทุน NSTDA Chair Professor และโครงการทุน PTT NSTDA Chair Professor / ผู้ชนะเลิศการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 18 และเกษตรกรผู้ชนะการประกวดนวัตกรรมชาวบ้านด้านการเกษตร
จากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสเปิดงานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2559 พร้อมเสด็จฯ ไปทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการ “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย” ต่อจากนั้นทรงทอดพระเนตรนิทรรศการผลงานในโซนเทิดพระเกียรติ อาทิ โครงการระบบสื่อสาระออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ทางไกลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 การพัฒนาทักษะคอมพิวเตอร์ของเยาวชนบ้านพินิจสู่การสร้างสรรค์การ์ตูนไลน์ การพัฒนาศักยภาพคนพิการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย โครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทย และโรงเรียนต้นแบบด้านการศึกษาสำหรับชุมชนชายขอบ เป็นต้น และความก้าวหน้าของผลงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. อาทิ การพัฒนายาต้านมาลาเรีย P218 ตัวพายึดเกาะเยื่อเมือก เพื่อผลิตภัณฑ์ในช่องปาก ซอฟต์แวร์ทันระบาด รู้ทันเหตุการณ์ไข้เลือดออก อาหารสำหรับผู้สูงอายุ ไบโอเซนเซอร์ กระจกเปลี่ยนสีอัจฉริยะสำหรับกรองแสงและความร้อน และเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เป็นต้น
นอกเหนือจากการประชุม/สัมมนาทางวิชาการ และการแสดงนิทรรศการแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมเปิดบ้าน สวทช. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอกชนได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและวิเคราะห์ทดสอบ และการรับสมัครงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี S&T Job Fair กว่า 2,000 อัตราจากภาครัฐและบริษัทชั้นนำกว่า 100 หน่วยงาน
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ