ผลการค้นหา :

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.4 – สวทช. ก.วิทย์ ร่วมกับ STS Forum และ JETRO จัดงานสัมมนาระดับภูมิภาค
สวทช. ก.วิทย์ ร่วมกับ STS Forum และ JETRO จัดงานสัมมนาระดับภูมิภาค “ASEAN – Japan Workshop in Thailand : Innovation, Science, and Technology for Sustainable Development” 9 มิถุนายน 2559 – โรงแรมดุสิตธานี : กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ Science and Technology in Society forum (STS forum) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) จัดงานสัมมนาระดับภูมิภาค “ASEAN – Japan Workshop in Thailand: Innovation, Science, and Technology for Sustainable Development” เพื่อเป็นเวทีผนึกกำลังด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างมิติใหม่ของเวทีระดมความคิดนับแต่ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อันจะเป็นกลไกเสริมในการริเริ่ม หารือ และสร้างเครือข่ายแก้ไขปัญหาใหม่ๆ อันเป็นผลพวงจากการใช้งานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเป็นการสานต่อความสำเร็จจากการจัดสัมมนาระดับภูมิภาค 2 ครั้งที่ผ่านมาที่สิงคโปร์ และมาเลเซีย ในปี 2014 และ 2015 ตามลำดับ การสัมมนาที่กรุงเทพครั้งนี้นับเป็นการสัมมนาภายนอกญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 3 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากกลุ่มประเทศอาเซียนและญี่ปุ่นเข้าร่วมสัมมนาและ ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความร่วมมือทางด้านนวัตกรรมที่จะเชื่อมโยง ระหว่างกลุ่ม SMEs และบริษัทระดับโลก (Global Company) ในการเข้าสู่ AEC และการพัฒนากำลังคนเพื่อยกระดับความร่วมมือและการแข่งขันด้วยการใช้นวัตกรรม ระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนและญี่ปุ่น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22042-nstda
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.4 – สวทช. มอบต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง แก่ กฟผ.
สวทช. มอบต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง แก่ กฟผ. เพื่อพัฒนาต่อยอดยานยนต์ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3 มิถุนายน 2559 ณ สำนักงานกลาง กฟผ. บางกรวย นนทบุรี - ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ส่งมอบต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าจากการดัดแปลงรถยนต์ใช้แล้ว จำนวน 1 คัน โดยมีนายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปใช้งาน และจะเก็บผลทดสอบสำหรับนำไปปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ย้ำความสำเร็จครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดมลภาวะ และสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศต่อไป ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า "ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล โดยได้รับการบรรจุในอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ คือ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยเมื่อปี พ.ศ. 2553 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้มีแนวคิดริเริ่มในการพัฒนารถยนต์นั่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งขณะนั้นยานยนต์ไฟฟ้ายังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลาย แต่ด้วยเล็งเห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่น่าจะก้าวเข้ามาในอนาคต จึงได้ร่วมสนับสนุนทุนวิจัยแก่ สวทช. และ สวทช. สมทบอีกส่วนหนึ่ง เพื่อดำเนินการวิจัยพัฒนาดัดแปลง และออกแบบชิ้นส่วนภายในรถยนต์จากเครื่องยนต์สันดาป เป็นรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 2 คัน" "สวทช. ได้ดำเนินการพัฒนาและดัดแปลงชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ อาทิ มอเตอร์และไดร์ฟ การวางแบตเตอรี่พร้อมระบบระบายอากาศ ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ Inverter การออกแบบอีซียู ระบบ Drive by wire การดัดแปลงตัวถังและการจัดวางอุปกรณ์ และติดตั้งอุปกรณ์ติดตามเก็บข้อมูล จนกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบและสามารถใช้ในการขับเคลื่อนได้จริง รวมทั้งดำเนินการจดทะเบียนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในวันนี้จึงได้ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวให้แก่ กฟผ. เพื่อนำไปใช้งาน และจะได้นำผลการทดสอบเก็บข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต ต่อไป โดยผมเชื่อมั่นว่า ความสำเร็จจากความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศในการสร้างและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะกระตุ้นการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่ช่วยลดมลภาวะ และสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศต่อไป"
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – ปฏิทินกิจกรรม
สัมมนาเชิงปฏิบัติการ : เทคโนโลยีการฉีดขึ้นรูปพลาสติก (Plastic Injection Technology) จัดโดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วันที่ 28 – 29 มิถุนายน 2559 สถานที่จัด ห้องประชุม M-120 อาคารเอ็มเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี วัตถุประสงค์ ทำให้ทราบถึงหลักการและกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกโดยการฉีดขึ้นรูป สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริงได้ หัวข้อบรรยาย 1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวัสดุพลาสติก (Fundamental of Plastic Materials) 2. ข้อกำหนดของวัสดุและมาตรฐานวิธีการทดสอบ (Materials Classification and Its Standard Test Method) ทางด้านคุณสมบัติเชิงกล (Mechanical Properties) คุณสมบัติทางฟิสิกส์ (Physical Properties) คุณสมบัติทางความร้อน (Thermal Properties) และคุณสมบัติการไหล (Flow Properties) และความสัมพันธ์กับกระบวนการฉีดขึ้นรูปพลาสติก 3. กระบวนการฉีดขึ้นรูปพลาสติก (Injection Molding Process: Setup and Guideline) กลุ่มเป้าหมาย : อุตสาหกรรมพลาสติกและชิ้นส่วน อัตราค่าลงทะเบียน 4,800 บาท (รวมค่าอาหารว่าง อาหารกลางวัน เอกสารประกอบการอบรม และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แล้ว) จำนวนรับสมัคร ไม่เกิน 25 ท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานพัฒนากำลังคนด้านวัสดุศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4680 (นายพีระพงษ์ พิณวานิช) E-mail : peerapp@mtec.or.th อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่ https://www.mtec.or.th/mtec-training-seminar/mtec-news-calendar/6945-plastic-injection-technology การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง การวิเคราะห์ความเสียหายงานโลหะ จัดโดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วันที่ 11 - 16 กรกฎาคม 2559 สถานที่จัด ห้องเจด บอลรูม โรงแรมการ์เด้น คลิฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา พัทยา จ.ชลบุรี ค่าลงทะเบียน บุคคลทั่วไป 30,000 บาท /ท่าน สมาชิกสมาคมการกัดกร่อนโลหะและวัสดุไทย 27,000 บาท /ท่าน สมาชิกสมาคมการสึกหรอและการหลื่อลื่นไทย 27,000 บาท /ท่าน **สนใจสมัครสมาชิกสมาคมฯ เพื่อใช้สิทธิ์ส่วนลดหลักสูตรนี้ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://www.tcma.or.th **สนใจสมัครสมาชิกสมาคมฯ เพื่อใช้สิทธิ์ส่วนลดหลักสูตรนี้ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://tta.or.th จำนวนรับสมัคร 30 ท่าน สมัครและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานพัฒนากำลังคนด้านวัสดุศาสตร์ (คุณพลธร เวณุนันท์ / คุณอัครพล สร้อยสังวาลย์) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทรศัพท์ 025646500 ต่อ 4677, 4679 โทรสาร 0 2564 6505 E-mail : ponlathw@mtec.or.th อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.mtec.or.th/mtec-training-seminar/mtec-news-calendar/6935-workshop-on-metallurgical-failure-analysis การประชุมวิชาการ เรื่อง “การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 3 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการ เครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.น่าน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา จ.น่าน จัดการประชุมวิชาการ เรื่อง “การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 3 “Biological and Cultural Diversity: Living in Harmonies” วันที่ 15 - 17 มิถุนายน 2559 ณ โรงแรม ดิ อิมเพรส น่าน จ.น่าน เพื่อเป็นเวทีให้นักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ได้มีโอกาสพบปะ แลกเปลี่ยนความรู้ อันจะนำไปสู่ความร่วมมือในการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไป http://www.nstdaacademy.com/webnsa/index.php/integratedhrd/biod2016-1
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – บทความ ผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ไทย คว้ารางวัลในเวทีนานาชาติ
ผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ไทย คว้ารางวัลในเวทีนานาชาติ
เครื่องตรวจวัด อะฟลาทอกซินแบบรวดเร็วขนาดพกพา “ARDA AflaSensor Plus” และชุดตรวจ “Fruit Blotch Easy Kits” ที่ใช้ตรวจวินิจฉัยโรคผลเน่าแบคทีเรียในพืชตระกูลแตงที่เกิดจากเชื้อ Acidovorax citrulli ได้รับรางวัลจากการประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ในงาน The 44th International Exhibition of Geneva ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย “ARDA AflaSensor Plus” ได้รับรางวัลเหรียญทอง และรางวัลพิเศษ (Special Prize) จาก Korea Invention Promotion Association ส่วน “Fruit Blotch Easy Kits” ได้รับรางวัลเหรียญเงินและรางวัลพิเศษ (Special Prize) จาก Taiwan Invention Association
ARDA AflaSensor Plus เป็นชุดตรวจอะฟลาทอกซินเครื่องแรกในโลกที่ใช้เทคนิคการตรวจวัดแบบปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าของขั้วไฟฟ้าเคมีที่มีนวัตกรรมเซ็นเซอร์เป็นขั้วไฟฟ้ากราฟิน (Graphene-Base Strip) ที่สร้างโดยเทคโนโลยีการพิมพ์ (Printing Technology) ทำให้ได้เครื่องตรวจวัดสำหรับการตรวจคัดกรองสารปนเปื้อนอะฟลาทอกซินในผลิตผลทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารสัตว์ โดยกระแสไฟฟ้าที่วัดได้จากปฏิกิริยาเคมีจะถูกคำนวณเป็นความเข้มข้นของดีเอ็นเอของเชื้อราในหลอดทดลอง ในกรณีที่ใช้น้ำยาแลมป์ หรือคำนวณเป็นปริมาณสารอะฟลาทอกซินในกรณีใช้แอนติบอดี และแสดงผลผ่านจอบนตัวเครื่อง นอกจากนี้ยังอ่านค่าปริมาณอะฟลาทอกซินในหน่วยพีพีบี โดยให้ผลการตรวจวัดที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำ รวดเร็ว อีกทั้งยังมีขนาดเล็กพกพาสะดวกและมีต้นทุนการผลิตต่ำ ทั้งนี้ เครื่องตรวจวัด “ARDA AflaSensor Plus” เป็นผลงานรุ่นที่สองที่พัฒนาต่อยอดจากผลงานเครื่องวัด “AflaSense” ในสองส่วน คือ ส่วนของตัวเครื่องอ่านค่าที่มีการพัฒนาปรับปรุงแผงควบคุมวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และโปรแกรมวิเคราะห์ผลของเครื่องที่ง่ายต่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรม และส่วนของน้ำยาเคมีที่พัฒนาให้มีความหลากหลายทั้งน้ำยาแลมป์ หรือแอนติบอดี ในรูปแบบพร้อมใช้งานที่รวดเร็วและราคาถูก ปัจจุบันผลงานสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวอยู่ระหว่างการผลิตเครื่องตรวจวัด จำนวน 50 เครื่อง เพื่อส่งมอบให้บริษัทเอกชนนำไปทดลองใช้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.)
ARDA AflaSensor Plus เป็นผลงานความร่วมมือระหว่างคณะนักวิจัยเนคเทค สวทช. ได้แก่ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ คุณวัฒณสิทธิ์ พิมเพา คุณอัศวพงษ์ ทรัพย์พัฒน์ คุณจันทร์เพ็ญ ครุวรรณ์ คุณภาติยา ภาสกนธ์ และคณะนักวิจัยไบโอเทค สวทช. ได้แก่ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคุณจันทนา คำภีระ จากห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด หน่วยวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยทางชีวภาพ
สำหรับ “Fruit Blotch Easy Kits” หรือ ชุดตรวจวินิจฉัยโรคผลเน่าแบคทีเรียในพืชตระกูลแตงที่เกิดจากเชื้อ Acidovorax citrulli ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรครุนแรงและเป็นเชื้อกักกันที่หลายประเทศ บังคับให้ตรวจก่อนนำเมล็ดพันธุ์ของพืชตระกูลแตงเข้าประเทศ โดยคณะนักวิจัยได้พัฒนาชุดตรวจออกมาใน 2 รูปแบบ คือ Monoclonal antibody captured-sandwich enzyme-linked immunosorbent assay (MC-sELISA) และชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ immunochromatographic strip test โดยชุดตรวจนี้มีความจำเพาะเจาะจงสูงต่อเชื้อแบคทีเรีย A. citrulli สามารถตรวจสอบเชื้อ A. citrulli ได้ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ที่ทำการทดสอบ โดยไม่ทำปฏิกิริยาข้ามกับเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น สามารถตรวจวินิจฉัยทั้งในตัวอย่างต้นอ่อน ใบ และเปลือกของผล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีราคาถูกกว่าชุดตรวจที่มีจำหน่ายที่นำเข้าจากต่างประเทศ วิธีการที่พัฒนาขึ้นนี้มีศักยภาพที่จะนำไปใช้ในการศึกษาด้านการระบาดวิทยาของโรคในแปลงปลูก เพื่อช่วยในการจัดการควบคุมโรค และการตรวจรับรองการปลอดเชื้อของเมล็ดพันธุ์ ทั้งนี้ชุดตรวจ “Fruit Blotch Easy Kits” ได้มีการนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์และเชิงสาธารณประโยชน์แล้ว โดยมีการจำหน่ายแอนติบอดีและชุดตรวจให้แก่ หน่วยงานภาครัฐ และบริษัทเมล็ดพันธุ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการอนุญาตให้สิทธิกับบริษัททางด้านการเกษตรภายในประเทศเพื่อผลิต และจำหน่ายชุดตรวจดังกล่าว
Fruit Blotch Easy Kits เป็นความร่วมมือระหว่างคณะนักวิจัยไบโอเทค ประกอบด้วย ดร.อรวรรณ หิมานันโต ดร.อรประไพ คชนันทน์ คุณมัลลิกา กำภูศิริ และดร.เพลินพิศ ลักษณะนิล ร่วมกับ รศ.ดร.เพชรรัตน์ ธรรมเบญจพล จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.วิชัย โฆสิตรัตน ผศ.ดร.รัชนี ฮงประยูร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคุณสุรภี กีรติยะอังกูร จากสำนักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพกรมวิชาการเกษตร
งานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติเจนีวาจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-17 เมษายน 2559 โดยการสนับสนุนของรัฐบาลสมาพันธรัฐสวิส (The Swiss Federal Government of the State, the City of Geneva) และองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (The World Intellectual Property Organization : WIPO) เป็นงานแสดงผลงานจากนักประดิษฐ์ทั่วโลก ซึ่งมีการจัดแสดงสิ่งประดิษฐ์มากกว่า 1,000 ชิ้น มีผู้จัดแสดง 695 หน่วยงาน จาก 40 ประเทศทั่วโลก
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 2 ฉบับที่ 3 ประจำเดือน มิถุนายน 2559 (ฉบับที่ 15)
ข่าว
ไทย - เกาหลี เปิดความร่วมมือขับเคลื่อนนิคมนวัตกรรม
ก.การคลัง จับมือ ก.วิทย์ กระตุ้นการลงทุน ยกเว้นภาษีในธุรกิจเทคโนโลยี
โครงการ Chevron Enjoy Science : สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต
4 องค์กร สานพลัง “เครือข่ายนวัตกรรมยางพารา”
ไบโอเทค สวทช. เปิดตัวผู้อำนวยการคนใหม่
สวทช. ร่วมกับ สภาหอการค้าฯ 17 เอสเอ็มอีผักและผลไม้ไทย ในงาน THAIFEX2016
ก.วิทย์ สวทช. และออโต้เดสก์ ร่วมกันขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการผลิตดิจิทัล
35 หน่วยงานสานพลังประชารัฐเปิดเมืองนวัตกรรมอาหาร
สวทช. ผนึกกำลัง กรมอุทยานแห่งชาติฯ ม.สงขลานครินทร์ และ จ.ตรัง ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลหาดหยงหลำและเกาะมุก
บทความ
ผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ไทย คว้ารางวัลในเวทีนานาชาติ
ปฏิทินกิจกรรม
สัมมนาเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ เทคโนโลยีการฉีดขึ้นรูปพลาสติก (Plastic Injection Technology)
การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง การวิเคราะห์ความเสียหายงานโลหะ
การประชุมวิชาการ เรื่อง “การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 3
Download เอกสารฉบับเต็ม [16.5 MB]
.
จดหมายข่าว สวทช.

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – สวทช. ผนึกกำลัง กรมอุทยานแห่งชาติฯ ม.สงขลานครินทร์ และ จ.ตรัง ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟื้นฟู
สวทช. ผนึกกำลัง กรมอุทยานแห่งชาติฯ ม.สงขลานครินทร์ และ จ.ตรัง ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟื้นฟู ปกป้อง และจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลหาดหยงหลำ และเกาะมุก อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) โดยอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) และจังหวัดตรัง จัดพิธีลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนา “โครงการบูรณาการทางวิชาการเพื่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลอย่างยั่งยืน บริเวณหาดหยงหลำและเกาะมุก อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม” เพื่อหาแนวทางการพัฒนาการวิจัยและการบริหารจัดการในพื้นที่หาดหยงหลำ เกาะมุก อุทยานแห่งชาติเจ้าไหม จังหวัดตรัง โดยมีเป้าหมายในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเล บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ด้วยการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศที่สำคัญคือ หญ้าทะเล และสัตว์ป่าสงวนพะยูน รวมทั้งสัตว์หน้าดินต่างๆ เพื่อให้โครงสร้างทรัพยากรธรรมชาติคงไว้ซึ่งความสมดุล เกิดการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรชายฝั่งทะเลได้เหมาะสมเข้ากับบริบทของชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม คาดว่าการลงนามครั้งนี้จะนำมาซึ่งแนวทางการจัดการอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเล พะยูน และการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเล ตลอดจนส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนทั้งปัจจุบันและในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) โดยอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) และจังหวัดตรัง จัดพิธีลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนา “โครงการบูรณาการทางวิชาการเพื่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลอย่างยั่งยืน บริเวณหาดหยงหลำและเกาะมุก อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม” เพื่อหาแนวทางการพัฒนาการวิจัยและการบริหารจัดการในพื้นที่หาดหยงหลำ เกาะมุก อุทยานแห่งชาติเจ้าไหม จังหวัดตรัง โดยมีเป้าหมายในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเล บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ด้วยการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศที่สำคัญคือ หญ้าทะเล และสัตว์ป่าสงวนพะยูน รวมทั้งสัตว์หน้าดินต่างๆ เพื่อให้โครงสร้างทรัพยากรธรรมชาติคงไว้ซึ่งความสมดุล เกิดการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรชายฝั่งทะเลได้เหมาะสมเข้ากับบริบทของชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม คาดว่าการลงนามครั้งนี้จะนำมาซึ่งแนวทางการจัดการอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเล พะยูน และการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเล ตลอดจนส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนทั้งปัจจุบันและในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “โครงการบูรณาการทางวิชาการเพื่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลอย่างยั่งยืน บริเวณหาดหยงหลำและเกาะมุก อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม มีเป้าหมายเพื่อใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลบริเวณอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมในลักษณะองค์รวม มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศที่สำคัญ (แหล่งหญ้าทะเลผืนใหญ่ที่สุด) และสัตว์ป่าสงวน (พะยูนฝูงใหญ่ที่สุด) รวมทั้งสัตว์หน้าดิน (ปลิงทะเล ม้าน้ำ หอยตะเภา หอยมือเสือ) เพื่อให้โครงสร้างของทรัพยากรธรรมชาติมีความสมดุลและมีการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรชายฝั่งทะเลให้เหมาะสมกับความต้องการของอุทยานฯ อย่างยั่งยืนกับบริบทของชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว มีระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2559-2563) นอกจาก 4 หน่วยงานหลักที่ลงนามร่วมกันเพื่อทำงานในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ยังได้รับร่วมมือจากมหาวิทยาลัยพันธมิตร ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อร่วมกันนำเทคโนโลยีและวิธีการวิจัยใหม่ๆ มาใช้ในการวิจัยพื้นที่ทั้งในมิติของการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากชุมชน ซึ่งผลจากความร่วมมือครั้งนี้ คาดว่าจะได้แนวทางการจัดการอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเล พะยูน รวมทั้งการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเล ตลอดจนส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน” อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22014-2016-05-27-05-35-52
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – 35 หน่วยงานสานพลังประชารัฐเปิดเมืองนวัตกรรมอาหาร
35 หน่วยงานสานพลังประชารัฐเปิดเมืองนวัตกรรมอาหาร กระทรวงวิทย์ฯ เร่งสปีดเต็มสูบเมืองนวัตกรรมอาหาร รวมพลังครั้งประวัติศาสตร์ ผนึก 9 หน่วยงานรัฐ 13 บริษัทเอกชน 12 มหาวิทยาลัย และ 1 สมาคม ปักธงเป็นรูปธรรมกลางปีนี้ พร้อมขยายปีกสู่ภูมิภาคในอนาคตอันใกล้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะได้รับมอบหมายเป็นเจ้าภาพหลักในการเดินหน้าโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ ฟู๊ดอินโนโพลิส (Food Innopolis) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยให้ประสานกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สถาบันอาหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดหาสิทธิประโยชน์และสิ่งจูงใจ รวมทั้งมาตรการต่างๆ มาสนับสนุน เพื่อดึงดูดบริษัทอาหารชั้นนำของโลกมาลงทุนนวัตกรรมอาหารในประเทศไทย และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรวมถึงนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร โดยได้มีการลงนามความร่วมมือดังกล่าว ณ สำนักงานประสานงานเมืองนวัตกรรมอาหาร อาคารอุทยานนวัตกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ฟู๊ดอินโนโพลิสวางเป้าหมายในการสร้างนวัตกรรมด้านอาหารที่สอดคล้องกับแนวโน้มและทิศทางของตลาดอุตสาหกรรมอาหารโลก ซึ่งครอบคลุมถึงอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารฟังก์ชั่น เช่น อาหารฟังก์ชั่นและโภชนเภสัชภัณฑ์ สารปรุงแต่งอาหารและสารสกัดทางโภชนาการ ผลิตภัณฑ์ไขมันและน้ำมันเพื่อสุขภาพ ฯลฯ อาหารพิเศษเฉพาะกลุ่ม เช่น อาหารฮาลาล อาหารโคเชอร์ อาหารสำหรับผู้ป่วย/ผู้สูงอายุ ฯลฯ ผลิตภัณฑ์อาหารมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อาหารทะเลและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคุณภาพสูงเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหาร ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้คุณภาพสูง เช่น ผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้ออร์กานิก ฯลฯ และกิจการสนับสนุนนวัตกรรมอาหารอย่างครบวงจร เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ การออกแบบและการพิมพ์ บริการที่ปรึกษานวัตกรรม ฯลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ กล่าวต่อว่า ความร่วมมือระหว่าง 3 ภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารในครั้งนี้ ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีของการทำงานในรูปแบบที่อาศัยกลไกประชารัฐ ตามแนวทางของรัฐบาล และถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการจับมือกันระหว่างเอกชน รัฐ และสถาบันการศึกษาเพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ ซึ่งหลังจากการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้คาดว่าจะเกิดความร่วมมือที่เป็น รูปธรรมที่ชัดเจนขึ้นระหว่างหน่วยงานที่ร่วมลงนาม เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของเมืองนวัตกรรมอาหารให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ นอกจากนี้ยังมีการหารือเพื่อความร่วมมือกับบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศซึ่งจะมีการลงนามในโอกาสต่อไป อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22013-nstda-mou
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – ก.วิทย์ สวทช. และออโต้เดสก์ ร่วมกันขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการผลิตดิจิทัลในประเทศไทย
ก.วิทย์ สวทช. และออโต้เดสก์ ร่วมกันขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการผลิตดิจิทัลในประเทศไทย เน้นการนำระบบการออกแบบและซอฟต์แวร์ไปใช้ในวงกว้าง กรุงเทพฯ, 25 พฤษภาคม 2559 - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และออโต้เดสก์ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการขยายศักยภาพการแข่งขันด้านการผลิตของประเทศไทย โดยเน้นการนำเทคโนโลยี 3 มิติ และระบบการผลิตแบบดิจิทัลที่ล้ำสมัยไปใช้ในวงกว้างให้ครอบคลุมทั้งวงการอุตสาหกรรม ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 จะต้องเปลี่ยนผ่านจากโมเดลประเทศไทย 3.0 เป็น “โมเดลประเทศไทย 4.0” เพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวสู่การเป็นประเทศในโลกที่หนึ่ง ปรับเปลี่ยนจากประเทศ “รายได้ปานกลาง” เป็นประเทศ “รายได้สูง” โดยปรับเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “ประสิทธิภาพ” เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “นวัตกรรม” กลไกหนึ่งที่จะขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจยุคประเทศไทย 4.0 นั้น คือ เทคโนโลยีอุตสาหกรรมยุค 4.0 ซึ่งจะมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาในการผลิตสินค้าต่างๆ มากยิ่งขึ้น จุดเด่นที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ สามารถเชื่อมความต้องการของผู้บริโภคแต่ละรายเข้ากับกระบวนการผลิตสินค้าได้โดยตรง ทำให้โรงงานขนาดใหญ่ไม่ใช่จะได้เปรียบหรือมีข้อจำกัดสำหรับผู้ประกอบการเสมอไป ปรากฏการณ์นี้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งยิ่งใหญ่ "จากความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Autodesk กับ สวทช. ในครั้งนี้จะช่วยยกระดับ SME ไทยในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการออกแบบและผลิต รวมทั้งยกระดับความสามารถของบุคลากรไทยให้รองรับอุตสาหกรรมการผลิตในอนาคต นำไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายที่สร้างมูลค่าตามแนวทางของรัฐบาล อาทิ อุตสาหกรรมทางชีวภาพ อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน อุตสาหกรรมด้านวิศวกรรมและการออกแบบ อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับคุณภาพชีวิต และอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อความเข้มแข็งของประเทศต่อไป" ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ กล่าว อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22012-nstda
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – สวทช. ร่วมกับ สภาหอการค้าฯ เปิดตัวผลสำเร็จ 17 เอสเอ็มอีผักและผลไม้ไทย
สวทช. ร่วมกับ สภาหอการค้าฯ เปิดตัวผลสำเร็จ 17 เอสเอ็มอีผักและผลไม้ไทย พร้อมแข่งขันในตลาดเออีซีด้วย ThaiGAP ในงาน THAIFEX2016 งาน THAIFEX 2016 อิมแพ็ค เมืองทองธานี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดตัวผลสำเร็จการดำเนินโครงการความร่วมมือ “การยกระดับและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการด้านสินค้าผักและผลไม้ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ AEC ด้วย ThaiGAP” นำเสนอผลงานของผู้ประกอบการจำนวน 17 รายที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อพัฒนาศักยภาพ ส่งเสริม และรับการผลักดันให้ได้รับมาตรฐาน ThaiGAP เพื่อเตรียมความพร้อมสู่มาตรฐาน GlobalGAP และช่วยลดต้นทุน เนื่องจากมาตรฐาน ThaiGAP มีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติและการตรวจรับรองที่ถูกกว่า โดยโครงการเริ่มตั้งแต่ให้ความรู้เรื่องการปลูก การบรรจุ และการขนส่ง สำหรับสินค้าผักและผลไม้ที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดอาเซียนและในตลาดสากล อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/22011-thaigap
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – ไบโอเทค สวทช. เปิดตัวผู้อำนวยการคนใหม่
ไบโอเทค สวทช. เปิดตัวผู้อำนวยการคนใหม่ หวังผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตรวิจัย ต่อยอดงานวิจัย ก้าวต่อไปอย่างบูรณาการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดงานแถลงข่าวแนะนำ ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ผู้อำนวยการไบโอเทคคนใหม่ ชูนโยบาย “ผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตรวิจัย ต่อยอดงานวิจัย ก้าวต่อไปอย่างบูรณาการ” ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง เข้าทำงานที่ไบโอเทค ในปี 2535 หลังจากจบปริญญาเอกด้าน Plant and Soil Science ที่ Montana State University ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มงานวิจัยแรกเกี่ยวกับการศึกษายีนความหอมระดับโมเลกุลของข้าวหอมมะลิ ซึ่งต่อมาในปี 2543 ไบโอเทคได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี ขึ้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ดร.สมวงษ์ ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการฯ ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่จะนำเทคโนโลยีดีเอ็นเอไปช่วยเหลือภาคการเกษตรในการให้บริการการตรวจสอบความถูกต้องทางพันธุกรรมของเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตขึ้น รวมทั้งความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์ เพื่อเปิดบริการให้ภาครัฐและเอกชน ก่อนที่จะมีการโอนย้ายห้องปฏิบัติการฯ ไปเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปี 2552 ซึ่งระหว่างนั้นในปี 2551 ไบโอเทค ได้จัดตั้งหน่วยวิจัยเทคโนโลยีจีโนม (ชื่อเดิม สถาบันจีโนม) ขึ้น ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และ ดร.สมวงษ์ เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการหน่วยวิจัยเทคโนโลยีจีโนม โดยเป็นผู้ริเริ่มกลุ่มวิจัยที่เน้นเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Next Generation Sequencing ที่ทำงานได้รวดเร็วและทำการวิจัยในโครงการที่สำคัญของประเทศ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน เป็นต้น ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ผู้อำนวยการไบโอเทคคนล่าสุด กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการไบโอเทคในวาระนี้ ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ที่ผมได้ทำงานที่ไบโอเทคมาทั้งในฐานะนักวิจัยและในระดับผู้บริหาร ทำให้มีความรู้ความเข้าใจในทั้งสองฝ่าย และจะนำประสบการณ์เหล่านี้มาบริหารไบโอเทค อีกทั้งนักวิจัยไบโอเทคก็มีความสามารถและมีศักยภาพกันอยู่แล้ว ซึ่งระบบที่ผู้อำนวยการท่านก่อนๆ ได้วางไว้ เป็นการทำให้นักวิจัยสามารถขับเคลื่อนไบโอเทคไปได้ด้วยตัวเอง ในฐานะผู้อำนวยการผมจะส่งเสริมศักยภาพให้เพิ่มพูนขึ้นโดยการนำนักวิจัยมาทำงานบูรณาการร่วมกัน” สำหรับแนวทางและนโยบายในการบริหารงานไบโอเทค ภายใต้การวิสัยทัศน์ของ ดร.สมวงษ์ นั้น ยังคงเดินตามวิสัยทัศน์ของ สวทช. คือการเป็นพันธมิตรร่วมทางที่ดี สู่สังคมฐานความรู้ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจะมุ่งเน้นงานวิจัยที่สามารถต่อยอดมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล โดยอยากให้ไบโอเทคเป็นหน่วยงานที่ช่วยประเทศไทยขับเคลื่อน “เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)” โดยการนำเอาเทคโนโลยีชีวภาพเข้าไปสร้างและส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น อาทิ งานวิจัยด้านไวรัสวิทยา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งไบโอเทคมีคลังชีววัสดุที่มีการรวบรวมชีววัสดุไว้หลากหลาย การวิจัยและพัฒนาด้านอาหาร ซึ่งเป็นการสอดรับกับโครงการ Food Innopolis ซึ่งเป็นหนึ่งใน super cluster ของรัฐบาล การใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่ามากที่สุด (Zero Waste) และนอกจากนี้ก็ยังที่จะไม่ลืมในการใส่ใจชุมชน โดยการจับมือกับพันธมิตร หรือองค์กรที่มีการดำเนินการอยู่ในการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปช่วยส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมให้ไบโอเทคมีความร่วมมือกับนานาชาติอย่างยั่งยืนแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ได้รับรางวัลต่างๆ มาแล้วมากมาย อาทิ รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปี 2556 ประเภททีม จาก มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ รางวัลเกียรติยศ “ผลงานเด่น สวก.” 2557 จากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เป็นต้น
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – 4 องค์กร สานพลัง “เครือข่ายนวัตกรรมยางพารา”
4 องค์กร สานพลัง “เครือข่ายนวัตกรรมยางพารา” ร่วมมือพัฒนายางพารารอบด้าน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย ณ อาคาร 50 ปี การยางแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ - กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “เครือข่ายนวัตกรรมยางพารา” ร่วมกับ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในรูปแบบของเครือข่ายระหว่างภาคส่วนหลักที่สำคัญ ของประเทศไทย ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ภาคราชการ และภาคการศึกษา ที่มีบทบาทในการพัฒนาเกี่ยวข้องกับยางพาราในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงด้านบุคลากร ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวจะเป็นฐานสำคัญที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้าง ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “เอ็มเทค สวทช. มีพันธกิจหลักในการพัฒนาและสร้างขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีวัสดุให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชน โดยดำเนินการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนากำลังคน รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งเอ็มเทคได้ให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับด้านยางพารา โดยมีการจัดตั้งหน่วยเฉพาะทางด้านยางธรรมชาติขึ้น มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนายางคอมพาวด์ การออกแบบและวิเคราะห์เชิงวิศวกรรมผลิตภัณฑ์ยาง และเทคโนโลยีน้ำยาง เช่น เทคโนโลยีสารรักษาสภาพน้ำยางธรรมชาติไร้แอมโมเนีย (TAPS Technology) การพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบยางล้อรถ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตยางแท่งคุณภาพสูงระดับชุมชน เป็นต้น” รศ.ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวว่า “การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเครือข่ายนวัตกรรมยางพารา มุ่งเน้นการดำเนินการสร้างนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์จากยางพารา เทคโนโลยีการผลิตหรือแปรรูปยางพารา การวิเคราะห์ทดสอบวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ยางพารา รวมถึงมาตรฐานต่างๆ การบริหารจัดการและการผลิตยางพาราต้นน้ำและกลางน้ำ การเพาะปลูกและการดูแลสวนยางพารา การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศด้านยางพารา และการเรียนการสอนและการผลิตบุคลากรด้านยางพารา โดยทั้ง 4 ฝ่ายจะปฏิบัติงานเป็นเครือข่ายตลอดระยะเวลา 3 ปี ซึ่งทาง ม.อ. โดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของ ม.อ. มีภารกิจและความรับผิดชอบหลักในด้านการสร้างนวัตกรรมการผลิตและพัฒนาบุคลากร ทางด้านเทคโนโลยียางพาราให้มีคุณภาพสูง ทั้งในรูปแบบหลักสูตรระยะสั้น ร่วมกับ กยท. และหลักสูตรปกติ พร้อมกับสนับสนุนทางวิชาการตามความต้องการของอีก 3 ฝ่ายที่เหลือโดยใช้ศักยภาพของคณาจารย์ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และศิษย์เก่าที่มีประสบการณ์ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมยางพารา” นายบวร วงศ์สินอุดม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า “ปัจจุบันประเทศไทยมีการขับเคลื่อนและส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ยาง รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานและการพัฒนาด้านบุคลากร เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ ยางพาราในภูมิภาค แซงหน้าผู้ผลิตและผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่อย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ โดยในปี 2558 ประเทศไทยมีการผลิตยางพาราในประเทศ ประมาณ 4.47 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 1 แสนตัน และมีการปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศ จำนวน 6 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 6 หมื่นตัน สำหรับการส่งออกยางพาราต้นน้ำ มีปริมาณ 3.74 ล้านตัน ลดลงจากปี 2557 จำนวน 3 หมื่นตัน ส่วนมูลค่าของการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทย ปี 2558 มีจำนวน 4.3 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นวัตถุดิบ 2 แสนล้านบาท และผลิตภัณฑ์ 2.3 แสนล้านบาท ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักที่ถือว่าเป็น Product Champion ของอุตสาหกรรมยางคือ ผลิตภัณฑ์ยางล้อ ที่มีมูลค่าในการส่งออก 1.2 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 ของการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าสัดส่วนการใช้ยางพาราในประเทศยังมีสัดส่วนไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการผลิตและการส่งออกยางพารา ดังนั้น การส่งเสริมการดำเนินการเรื่องมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาด้านบุคลากรและเทคโนโลยี จึงถือเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมยางของประเทศ” ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า “ข้อตกลงความร่วมมือเครือข่ายนวัตกรรมยางพารา เป็นการร่วมมือกันระหว่าง 4 องค์กร ให้เกิดการวิจัยพัฒนายางพาราอย่างครบวงจร เพื่อร่วมกันส่งเสริมให้เกิดการสร้างนวัตกรรมในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ยาง ด้านเทคโนโลยีการผลิตหรือการแปรรูปยางพารา ด้านการวิเคราะห์ทดสอบยาง และผลิตภัณฑ์ยางตามมาตรฐานสากล ทั้งในระดับต้นทาง กลางทาง และปลายทาง รวมถึงข้อมูลสารสนเทศยางพารา และการพัฒนาบุคลากรด้านอุตสาหกรรมยางให้กับภาคเอกชน ซึ่งการบูรณาการดำเนินงานระหว่าง 4 องค์กร จะสามารถผลักดันให้นวัตกรรมที่เกิดขึ้นไปใช้เป็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง กยท. มีภารกิจและความรับผิดชอบหลักในการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมด้านต่างๆ โดยเฉพาะการบริหารจัดการและการผลิตยางพาราต้นน้ำ การเพาะปลูกและการดูแลสวนยางพารา เผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับยางพารา ส่งเสริม สนับสนุนด้านวิชาการ งบประมาณเพื่อสร้างนวัตกรรมการผลิต นวัตกรรมการแปรรูป การอุตสาหกรรม การตลาด การประกอบธุรกิจ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง โดย กยท. พร้อมผลักดันและสนับสนุนความร่วมมือทางวิชาการด้านยางพาราในรูปแบบต่างๆ ทั้งในเรื่องการวิจัยพัฒนา การฝึกอบรม และการผลิตบุคลากรด้านยางพาราสู่ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนสนับสนุนทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงการยางพาราของประเทศอย่างครบวงจร”
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปี 2 ฉ.3 – ก.การคลัง จับมือ ก.วิทย์ กระตุ้นการลงทุน ยกเว้นภาษีแก่ผู้ประกอบการรายใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี
ก.การคลัง จับมือ ก.วิทย์ กระตุ้นการลงทุน ยกเว้นภาษีแก่ธุรกิจเงินร่วมลงทุน และผู้ประกอบการรายใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดแถลงข่าว “สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกิจการเงินร่วมลงทุนและผู้ประกอบการรายใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี” เพื่อเปิดตัวสิทธิประโยชน์ให้สาธารณชนรับรู้ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้มีความพยายามในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยมุ่งไปสู่การเป็นเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าจากนวัตกรรมมากกว่าการใช้ ทรัพยากรเป็นปัจจัยการผลิตดังเช่นในอดีต ซึ่งจะต้องสนับสนุนให้เกิดธุรกิจเทคโนโลยีขึ้นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรายใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี มักจะประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงกว่าบริษัทที่เน้นการผลิตแบบดั้งเดิม ทำให้การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินจึงทำได้ยาก เพราะขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน อีกทั้งเทคโนโลยีที่เป็นแหล่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจนั้นประเมินมูลค่าได้ยาก ดังนั้น การร่วมลงทุนจากกิจการเงินร่วมลงทุน หรือ Venture Capital (VC) จึงเป็นกลไกที่สำคัญที่ประเทศอื่นๆ ใช้ในการสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยี เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลจึงได้ออกกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ฉบับที่ 597 และฉบับที่ 602 พ.ศ. 2559 เพื่อยกเว้นภาษีให้แก่กิจการเงินร่วมลงทุนรวมถึงนักลงทุนในกิจการเงินร่วมลงทุน และผู้ประกอบการรายใหม่ การสนับสนุนดังกล่าวครอบคลุม 10 คลัสเตอร์เป้าหมายที่เป็น S-Curve ของประเทศ เพราะรัฐบาลต้องการให้แรงจูงใจแก่ธุรกิจ VC ในการเข้าไปมีส่วนสำคัญในการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการสนับสนุน ตามแนวคิดประชารัฐ หรือ Public-Private Partnership ซึ่งจะช่วยสร้างและขยายขนาดของธุรกิจเงินร่วมลงทุนให้เกิดขึ้นและเป็นเครื่องมือสนับสนุนธุรกิจฐานเทคโนโลยีให้เติบโตในประเทศไทยอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nstda.or.th/news/21987-s-curve
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย