ผลการค้นหา :

นาโนเทค สวทช. ส่งมอบต้นแบบ “เครื่องกรองน้ำดื่มด้วยนาโนเทคโนโลยี” ให้ เทศบาลตำบลบูเก๊ะตา-อบต.โละจูด จ.นราธิวาส บรรเทาปัญหาน้ำดื่ม-น้ำใช้
(วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) พร้อมด้วย ดร.ณัฏฐพร พิมพะ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาระดับนาโน การดูดซับและการคำนวณ ส่งมอบต้นแบบ "เครื่องกรองน้ำดื่มด้วยนาโนเทคโนโลยี" พร้อมระบบติดตามคุณภาพน้ำและอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพน้ำ จำนวน 2 เครื่อง แก่สำนักงานเทศบาลตำบลบูเก๊ะตา และองค์การบริหารส่วนตำบลโละจูด จังหวัดนราธิวาส หวังยกระดับ “น้ำอุปโภค-บริโภค” ในท้องถิ่น เพื่อเป็นแหล่งน้ำสะอาดสำหรับช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ประชาชนกรณีเกิดสาธารณภัยหรือภัยพิบัติฉุกเฉิน พร้อมร่วมประชุมหารือสถานการณ์และปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ ร่วมขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ความสำคัญกับการต่อยอดใช้ประโยชน์เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นที่เป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งน้ำและสิ่งแวดล้อม นับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต และเป็น 1 ใน 3 นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศของรัฐบาลที่ประกอบด้วย การให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ, การยกระดับการบริหารจัดการน้ำ และการสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) โดยเรื่องของน้ำและสิ่งแวดล้อมก็อยู่ใน 4 Strategic Focus (SF) หรือกลไกการผลักดันเทคโนโลยียกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน (improve quality of life) ของนาโนเทค ซึ่งได้แก่ สารสกัดสมุนไพร, ชุดตรวจสุขภาวะ, เกษตรและอาหาร และ น้ำและสิ่งแวดล้อม
“ต้นแบบเครื่องกรองน้ำดื่มด้วยนาโนเทคโนโลยี พร้อมระบบติดตามคุณภาพน้ำและอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพน้ำนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง นาโนเทค, สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนราธิวาส ได้แก่ เทศบาลตำบลบูเก๊ะตา และองค์การบริหารส่วนตำบลโละจูด ในการนำองค์ความรู้ในการตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อรองรับปัญหาคุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้และเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำหลากที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ซึ่งนาโนเทคเอง พร้อมสนับสนุนองค์ความรู้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วย วทน. กับทุกภาคส่วน ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ, ภาคเอกชน, ภาควิชาการ และภาคประชาสังคมเพื่อประสานพลัง เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส สร้างความเสมอภาค และเพิ่มการเข้าถึงน้ำอุปโภคบริโภคของชุมชนและประชาชน” ดร. อุรชาเผย
ต้นแบบเครื่องกรองน้ำดื่มด้วยนาโนเทคโนโลยี โดย ดร.ณัฏฐพร พิมพะ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยา การดูดซับและการคำนวณระดับนาโน และทีมวิจัยนาโนเทค เป็นการประยุกต์ใช้ถ่านกัมมันต์ชนิดเกล็ดที่ดัดแปรพื้นผิว “FerGACO” ที่นำมาผ่านกรรมวิธีทางเคมี จึงทำให้คาร์บอนที่ได้มีความจำเพาะในการดูดซับสารอินทรีย์และสารประกอบของโลหะหนักได้ อันได้แก่ ฟลูออไรด์ สารหนู โครเมียม ทองแดง ปรอท และ แคดเมียม เป็นต้น โดยบรรจุในระบบกรองน้ำดื่มแบบรวมชุดที่สามารถขนย้ายได้ง่าย ที่มาพร้อมระบบติดตามคุณภาพน้ำ อายุการใช้งานไส้กรอง รวมถึงประสิทธิภาพการกรองน้ำ ที่ทีมนาโนเทคพัฒนาขึ้นเอง โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์กลุ่ม ESP32 รองรับการทำงานบนแพลตฟอร์ม IoT ทำงานร่วมกับเซนเซอร์ตรวจวัดค่า EC/TDS ระดับอุตสาหกรรมผ่านโปรโตคอลสื่อสาร MODBUS (RS-485) ซึ่งสามารถพัฒนาให้อ่านค่าเซนเซอร์ชนิดอื่นที่ใช้โปรโตคอลสื่อสารเดียวกันเพิ่มเติมได้ในอนาคต
นวัตกรรมปรับปรุงคุณภาพน้ำนี้ จะนำร่องติดตั้งใน 2 พื้นที่ได้แก่ เทศบาลตำบลบูเก๊ะตา และองค์การบริหารส่วนตำบลโละจูด ตำบลโละจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส โดยมีนายศุภโยค ลอดิง นายกเทศมนตรีตำบลบูเก๊ะตา และนายซูลกีฟรี เจ๊ะมามะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโละจูด ให้เกียรติรับมอบ ซึ่งเป็นการตอบความต้องการของท้องถิ่นในการเตรียมจัดหาน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภคด้วย “เครื่องกรองน้ำดื่มด้วยนาโนเทคโนโลยี” เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินสำหรับประชาชนในพื้นที่ตำบลโละจูดมากกว่า 1,300 ครัวเรือนที่ต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วมทุกปี เนื่องจากเป็นพื้นที่ติดแม่น้ำโก-ลก ในช่วงปลายปีของทุกปี ปริมาณน้ำฝนจะมากเป็นพิเศษ บางพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมบ้านเรือน บางพื้นที่แม้ไม่ได้ประสบปัญหาน้ำท่วม แต่ก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก และต้องเตรียมงบประมาณจำนวนมากเพื่อจัดเตรียมถุงยังชีพสำหรับประชาชนทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง รวมถึงน้ำสะอาดที่จำเป็นอย่างมากต่อการใช้ชีวิต โดยต้นแบบเครื่องกรองน้ำดื่มด้วยนาโนเทคโนโลยีได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยเป็นนวัตกรรมที่คนท้องถิ่นสามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถประหยัดงบประมาณเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้อีกด้วย และสามารถพัฒนาเป็นระบบเคลื่อนที่ (mobile unit) ที่สามารถเป็นจุดน้ำดื่มเคลื่อนที่ในกรณีฉุกเฉินต่อไป นับเป็นความท้าทายในการเพิ่มการใช้ประโยชน์นาโนเทคโนโลยีสำหรับชุมชนและขับเคลื่อนงานวิจัยที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง
ดร.อุรชา ย้ำว่า นวัตกรรมนี้เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเอง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากแนวคิดของทีมวิจัยนาโนเทคที่ออกแบบตัวระบบให้ดูรักษาง่าย ต้นทุนต่ำ และในอนาคต อาจจะเพิ่มจุดติดตั้งเพื่อการใช้ประโยชน์ที่มากขึ้น รวมถึงเพิ่มเรื่องชุดตรวจคุณภาพน้ำ ที่จะช่วยยกระดับ “น้ำอุปโภค-บริโภค” ในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าเยี่ยมชม PTEC สวทช.
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลโท เจียรนัย วงศ์สะอาด ประธานคณะกรรมการโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อประชาชน นายเมธาวัจน์ พงศ์รดาภิรมย์ รองผู้ว่าการธุรกิจเกี่ยวเนื่อง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่สำนักงานรัฐมนตรีสังกัด กระทรวงพลังงาน และผู้แทนจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท แฮนดูโร่ (ไทยแลนด์) จำกัด เข้าเยี่ยมชม ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ดร. ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส PTEC ให้การต้อนรับ
การเยี่ยมชมครั้งนี้ นายพีระพันธุ์ฯ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะ ได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการทดสอบ Inverter และติดตามการทดสอบ “Inverter ครูน้อย” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ นายทวีชัย ไกรดวง หรือ ครูน้อย ออกแบบ เพื่อเป็นอุปกรณ์เครื่องมือผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงแดด พลังงานลม และพลังงานน้ำ สำหรับใช้ในครัวเรือนและในการเกษตร โดยจะให้เป็นเครื่องต้นแบบของกระทรวงพลังงานที่จะผลิตขายให้ประชาชนและเกษตรกรในราคาถูก
นอกจากนี้คณะฯ ยังเข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการทดสอบแบตเตอรี่ และ ห้องปฏิบัติการทดสอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC) อีกด้วย โดยนายพีระพันธุ์ฯ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้ข้อเสนอแนะกับ สวทช. ในเรื่องการส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ การใช้ประโยชน์จากน้ำมันปาล์ม และนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. นำเสนอ 3 ผลงานวิจัยในงานวันนิทรรศการวิชาการโรงเรียนนายร้อย จปร.
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม อว. โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัดนิทรรศการ งานวิชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ประจำปี 2567 ซึ่งจัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 19 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก โดยในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 พลเอกหญิง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรผลงานทางวิชาการของหน่วยงานและสถาบันการศึกษาต่างๆ
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.ณัฏฐพร พิมพะ ดร.ฉัตรชัย จันทร์เด่นดวง ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข เฝ้ารับเสด็จ ฯ พร้อมถวายรายงาน นอกจากนี้ สวทช. ยังได้รับเกียรติจาก พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก เข้าเยี่ยมชมผลงานพร้อมกล่าวชื่นชมถึงความคิดสร้างสรรค์และความสำคัญของการนำผลงานวิจัยไปต่อยอดเพื่อพัฒนาประเทศในอนาคต ประกอบด้วย
“ชุดอุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ” พัฒนาโดยทีมวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) นำโดย ดร.ณัฏฐพร พิมพะ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาระดับนาโนการดูดซับและการคำนวณ (NCAS) และคณะ อุปกรณ์นี้สามารถประเมินปริมาณสารช่วยตกตะกอนในระบบผลิตน้ำประปาระดับหมู่บ้าน เพื่อตรวจวัดความขุ่นของน้ำดิบ ช่วยให้ชุมชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต
“KATHY” รถเข็นสระผมที่เตียงสำหรับลดภาระผู้ดูเเลผู้สูงอายุเเละผู้ป่วย พัฒนาโดยทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) นำโดย ดร.ฉัตรชัย จันทร์เด่นดวง จากทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ รถเข็นนี้ออกแบบมาสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปยังห้องน้ำได้ ซึ่งปกติวิธีการสระผมแบบเดิมค่อนข้างจะลำบาก และเป็นปัญหาสำหรับผู้ดูแล
“EnPAT” น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย พัฒนาโดยทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) นำโดย ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง กลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ผลิตภัณฑ์น้ำมันหม้อแปลงชนิดใหม่ที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและลดความเสี่ยงจากการระเบิด พัฒนาจากวัตถุดิบในประเทศ จุดเด่นคือจุดติดไฟสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส และสามารถนำไปผลิตไบโอดีเซลได้หลังหมดอายุการใช้งาน
ทั้งนี้ ผลงานดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักเรียนนายร้อย จปร. และหน่วยงานที่ร่วมจัดแสดงอย่างมาก ซึ่งทุกหน่วยงานที่นำผลงานไปจัดแสดงได้รับพระราชทานเกียรติบัตรจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อันเป็นเกียรติสูงสุดแก่ทีมผู้วิจัย นอกจากนี้ ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ สวทช. มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคมไทยที่ยั่งยืน พร้อมสนับสนุนการต่อยอดความรู้สู่วิสัยทัศน์ของกองทัพบกและชุมชนในอนาคตต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย ลงพื้นที่เยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ EECi เพื่อแสวงหาความร่วมมือและสนับสนุนกิจกรรมการดึงดูดการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมมาใช้ประโยชน์ในพื้นที่
19 พฤศจิกายน 2567 ณ สำนักงานใหญ่ EECi: คณะผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย นำโดย 1) Dr.Thorsten Clausing, Counsellor for Cooperation on Science and Technology 2) Ms.Pagaval Ratpunpairoj, Advisor for Economic Affairs และ 3) Mr.Alexander Leutgeb, Second Secretary for Economic Affairs ลงพื้นที่เยี่ยมชมสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) วังจันทร์วัลเลย์ อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง เพื่อศึกษาดูงานและรับทราบบทบาทของ EECi ในการส่งเสริมงานวิจัยขยายผล (Translational Research) และการปรับแปลงเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เข้ากับบริบทของไทย (Localization Technology) สู่เชิงพาณิชย์ รวมถึงการเรียนรู้การเป็นต้นแบบพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ให้เป็นรูปธรรม เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
ในการนี้ ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม EECi สวทช. เป็นผู้แทนในการต้อนรับและนำเสนอภาพรวมการดำเนินงาน วิสัยทัศน์ พันธกิจ การส่งเสริมการดึงดูดการลงทุนและการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ อาทิ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน โรงงานผลิตพืช โรงเรือนเพาะปลูกอัจฉริยะ โรงเรือนเพาะปลูกฟีโนมิกส์ ในพื้นที่สำนักงานใหญ่ EECi หลังจากนั้นได้พาเยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน ซึ่งเป็นศูนย์นวัตกรรมที่ช่วยผลักดันและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยไทยก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) โดยส่งเสริมให้กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม สามารถนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตของโรงงาน
และถัดมาได้เข้าเยี่ยมชมพื้นที่นวัตกรรมการเกษตรประกอบด้วย โรงงานผลิตพืช โรงเรือนเพาะปลูกอัจฉริยะ และโรงเรือนเพาะปลูกฟีโนมิกส์ นำเสนอโดย ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลุ่มนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ EECi สวทช.
อนึ่ง เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) มีบทบาทสำคัญในการเป็นพื้นที่สำหรับการคิดค้นและผลักดันให้เกิดการสร้างนวัตกรรมอันจะเสริมสร้างศักยภาพของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการพัฒนา EECi ไปสู่การเป็น “โครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรมชั้นนำของประเทศเพื่อเร่งสร้างนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง และตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม”
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดรับสมัครเด็กและเยาวชนที่สนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าร่วมโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเยาวชน (JSTP)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
เปิดรับสมัครนักเรียนที่มีความสนใจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าร่วม
โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน
(Junior Science Talent Project - JSTP)
รุ่นที่ 28 ประจำปี 2568
โอกาสที่จะได้รับ
เปิดโลกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ กิจกรรมฝึกทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการทดลองด้านวิทยาศาสตร์ การบรรยายพิเศษ และกิจกรรมทัศนศึกษานอกสถานที่
สร้างสรรค์ผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ รับทุนทำโครงงานวิทยาศาสตร์ จำนวน 10,000 บาท/โครงงาน
มีนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงและนักเทคโนโลยีพี่เลี้ยงชั้นนำของประเทศ (Mentor) คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ
มีโอกาสได้รับคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษา และทุนวิจัยจนจบปริญญาเอก โดยไม่ผูกพันการรับทุน
ผู้มีสิทธิ์สมัคร
นักเรียนที่กำลังศึกษา ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 – 5 ในปีการศึกษา 2567 และกำลังจะเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ในปีการศึกษา 2568
กรอบเวลาและแผนการดำเนินงาน
เปิดรับสมัคร (ออนไลน์) พฤศจิกายน 2567 – 20 มกราคม 2568 (เวลา 17.00 น.)
กรรมการพิจารณาใบสมัคร กุมภาพันธ์ 2568
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าสัมภาษณ์ มีนาคม 2568
สัมภาษณ์และประกาศผลการสัมภาษณ์ มีนาคม 2568
กิจกรรมพัฒนาศักยภาพ (ออนไลน์) เมษายน 2568
กิจกรรมเสริมประสบการณ์และนำเสนอความก้าวหน้า ตุลาคม 2568
ติดตามความก้าวหน้า ธันวาคม 2568 – มีนาคม 2569
นำเสนอผลการดำเนินงานโครงงานวิทยาศาสตร์ พฤษภาคม 2569
ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกเข้ารับทุนระยะยาว มิถุนายน 2569
คำแนะนำในการกรอกใบสมัครและแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้อง https://shorturl.asia/vbQ5E
แบบฟอร์มใบสมัครนักเรียนเข้าร่วมโครงการ JSTP https://forms.gle/AbYnYCfBLrezX8XC9
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 1436, 1434 (เวลา 8.30 – 16.30 น.)
ปฏิทินกิจกรรม

เปิดตัว “Seeding-Rebirth กระทงจากเส้นใยเห็ดรา” ผสมผสานวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุและเทคโนโลยีชีวภาพจากไมซีเลียม กับ ประเพณีลอยกระทง จ.ตาก
ภายใต้ความร่วมมือกับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (เหมืองผาแดง) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นำโดยนักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และ นักวิจัยจากสาขาวิชาวัสดุศาสตร์และนวัตกรรมวัสดุ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับนักวิจัยและพันธมิตรจากหลากหลายองค์กร ได้แก่ 1) โครงการภาคภาษาอังกฤษ โรงเรียนสตรีนนทบุรี 2) คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 3) บริษัท เมิร์จ จำกัด 4) เครือข่ายเพื่อนสวนพฤกษ์ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 5) กรมป่าไม้ (เหมืองผาแดง) และ 6) สำนักงานเทศบาลเมืองตาก ได้ร่วมกันพัฒนา “Seeding-Rebirth กระทงจากเส้นใยเห็ดรา” เปิดตัวครั้งแรกในงานวันลอยกระทง ค่ำคืนที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ณ สำนักงานเทศบาลเมืองตาก อ.เมืองตาก จ.ตาก ด้วยการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร สู่ผลิตภัณฑ์กระทงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม พร้อมพัฒนาศักยภาพชุมชนในเรื่องความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในอนาคต
ดร.นัฐวุฒิ บุญยืน นักวิจัยทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค-สวทช. และ ผศ.ดร.หนึ่งนิตย์ วัฒนวิเชียร จากสาขาวิชาวัสดุศาสตร์และนวัตกรรมวัสดุ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นนักวิจัยหลักในการพัฒนา “Seeding-Rebirth กระทงจากเส้นใยเห็ดรา” นักวิจัยทั้งสองได้เผยว่า การนำเสนอนวัตกรรมครั้งนี้เป็นการพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เช่น ผักตบชวาและขี้เลื่อยไม้ยางพารา โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เชื่อมโยงกับเส้นใยเห็ดราในฐานะกาวธรรมชาติ
อีกทั้งได้ให้นักเรียนและครูจากโครงการภาคภาษาอังกฤษ โรงเรียนสตรีนนทบุรี ได้แก่ นางสาวสุภัสสร สังขะวรรณ นางสาวสุภัสสรา สังขะวรรณ นางสาวสุพิชญา เอี่ยมธนากุล และ ครู ปณิธาน จันทราปัตย์ ร่วมกันทำโครงการวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ภาคภาษาอังกฤษ โรงเรียนสตรีนนทบุรี ร่วมด้วย ผศ.ดร.ปรียาพร เกิดฤทธิ์ และ ดร.จักรพล พันธุวงศ์ภักดี จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมในการสร้างสรรค์กระทงดังกล่าว
โดยผลงาน “Seeding-Rebirth กระทงจากเส้นใยเห็ดรา” เป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดจากผลงาน “ไมซีเลียมปลูกป่ารูปหัวใจ” และ “ไมโค-บล็อกจากกากกาแฟ” ภายใต้โครงการ “การอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนในพื้นที่เหมืองผาแดง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ตามโมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก
นายกานดิษฏ์ สิงหกัน ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์และแผนงานตามแนวพระราชดำริ สำนักโครงการพระราชดำริและกิจการพิเศษ กรมป่าไม้ ในฐานะหัวหน้าโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ฯ ได้มอบหมายให้ นายคมน์ เครืออยู่ นักวิชาการป่าไม้ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่โครงการฯ ร่วมกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมกับ นายณพล ชยานนท์ภักดี นายกเทศมนตรีเมืองตาก และนางสาว ธมลวรรณ เจริญวงศ์พิสิฐ ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานตาก โดยโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมฯ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ร่วมกับพันธมิตร ได้นำเมล็ดพืชสำหรับปลูกป่าฝังลงใน “Seeding-Rebirth กระทงจากเส้นใยเห็ดรา” ซึ่งถูกนำไปสาธิตและประยุกต์ใช้ร่วมในงานประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป 1,000 ดวง จังหวัดตาก ประจำปี 2567 ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ประเพณีนี้เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
โดยปีนี้มีการลอย “Seeding-Rebirth กระทงจากเส้นใยเห็ดรา” ร่วมกับกระทงที่ทำจากกะลามะพร้าวและวัสดุธรรมชาติอื่น ๆ ภายในบรรจุขี้ไต้หรือเชื้อเพลิงที่เตรียมไว้ แล้วจุดไฟปล่อยลงในแม่น้ำปิง ด้วยการจัดระยะห่างที่สม่ำเสมอ ทำให้กระทงส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องน้ำ ลอยไปตามสายน้ำของลำน้ำปิง โดย “Seeding-Rebirth กระทงจากเส้นใยเห็ดรา” นำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เหมืองผาแดง ภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ฯ ด้วย ซึ่งพื้นที่แห่งนี้เน้นการส่งเสริมพื้นที่เกษตรและป่าชุมชนเพื่อต่อยอดโครงการสร้างป่า สร้างรายได้ผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism) ชุมชนแนวใหม่ ก่อให้เกิดช่องทางรายได้เพิ่ม สร้างความตระหนักรู้ของคุณค่าพื้นที่บ้านเกิด และสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกันกับระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อย่างยั่งยืน (Nature-Based Solution) อีกทั้งคาดว่าจะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดโลกร้อน และในอนาคตต้นไม้ที่ปลูกนั้นสามารถนำไปสร้างคาร์บอนเครดิตเพื่อช่วยเพิ่มรายได้ให้กับพื้นที่ได้ด้วย ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ หรือ BCG model ของประเทศ
นายอิทธิพล พรหมฝาย นักออกแบบจากบริษัท เมิร์จ จำกัด และผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อนสวนพฤกษ์ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “Seeding-Rebirth กระทงจากเส้นใยเห็ดรา” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ผสมผสานการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้ากับการสร้างความยั่งยืนให้กับจังหวัดตาก โดยกระทงนี้จะถูกนำไปใช้ต่อในโครงการอนุรักษ์ป่า ร่วมกับภาคการศึกษาท้องถิ่นหลังจากลอยกระทงเสร็จ ทั้งยังมีกระทงบางส่วนที่บรรจุเมล็ดพันธุ์พืชสวนครัวและดอกไม้ ซึ่งจะเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างป่า สร้างรายได้ ให้กับชุมชนและโรงเรียนด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ โรงเรียนบ้านสันป่าไร่ รวมถึงเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ นวัตกรรมเกี่ยวกับ “Seeding-Rebirth กระทงจากเส้นใยเห็ดรา” นี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ในการเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่เคยได้รับความสนใจในสื่อสังคม รวมถึงการพัฒนาโครงการเกษตรที่มีคุณค่าและยั่งยืน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาพื้นที่ป่าหลังจากเมล็ดงอกและเจริญเติบโตต่อไป ทั้งนี้หวังว่าโครงการดังกล่าวยังถูกยกระดับเป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ของประเพณีในฐานะหนึ่งใน “soft power” ของจังหวัดตาก ผ่านการสนับสนุนจากเครือข่ายภาคเอกชนและหอการค้าจังหวัดตาก เป้าหมายหลักของความร่วมมือนี้ คือการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพของชุมชนในความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีชีวภาพ นอกจากนี้ยังเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. -พันธมิตร ยกระดับหน่วยบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยีในสถาบันอุดมศึกษา
(19 พฤศจิกายน 2567) ณ โรงแรมไอบิส กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจ เทคโนโลยี (BID) ร่วมกับ สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ดร.วัฒนจักร พุ่มวิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ (ผกอ.) และ ดร.ชาญวิทย์ ตรีเดช ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ผธท.) พร้อมด้วย กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย ขับเคลื่อนโครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา ประจำปี พ.ศ.2567 ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ "The Right Way to Mature Incubator" เพื่อพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ ของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจให้สามารถรองรับการสร้างผู้ประกอบการใหม่ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งเป็นการเสริมความรู้หลากหลายมิติโดยในปีนี้มุ่งเน้นที่ประเด็นแนวทางที่เน้นการลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยใช้แนวคิดแบบ Lean Startup ร่วมกับกระบวนการที่มุ่งเน้นการทดสอบและพัฒนาโมเดลธุรกิจ (Business Model) การเสริมความรู้ด้านการส่งออกให้กับผู้ประกอบการ และการพัฒนาศักยภาพส่วนบุคคล เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบในยุคดิจิทัล ผนวกรวมเข้ากับการเชื่อมโยงทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ ผลักดันธุรกิจนวัตกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ
สำหรับหน่วยบ่มเพาะธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ประจำปี พ.ศ.2567 จำนวน 5 แห่ง ได้แก่
หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
โดยผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงและที่ปรึกษาด้านบ่มเพาะธุรกิจระดับโลก นำหลักเกณฑ์ประเมินจาก PwC ร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก มาประเมินผลการดำเนินงาน พร้อมให้ข้อเสนอแนะการบริหารจัดการหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ให้แต่ละหน่วยบ่มเพาะภายใต้บริบทที่แตกต่างกัน
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการ BID กล่าวว่า ผลการประเมินเบื้องต้นและความสำเร็จ หน่วยบ่มเพาะฯ มีการพัฒนาโปรแกรมบ่มเพาะที่หลากหลาย มีความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น พื้นที่ Co-working Space ห้องปฏิบัติการ และระบบสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ หน่วยบ่มเพาะยังได้รับคำแนะนำในด้านการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ การพัฒนากระบวนการติดตามผล และการสร้างระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการกับเป้าหมายในระยะยาว
แผนการดำเนินงานในอนาคต สวทช. เตรียมนำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ที่รวบรวมข้อค้นพบและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์แก่หน่วยบ่มเพาะธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ ภายในเดือนธันวาคม 2567 เพื่อช่วยวางแผนและปรับปรุงการดำเนินงานในปีต่อไป พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบ่มเพาะธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการไทย แสดงถึงความตั้งใจของ สวทช. ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เติบโตในเวทีโลก โดยการพัฒนาศักยภาพในระดับองค์กรของหน่วยบ่มเพาะ พร้อมเสริมสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
หน่วยบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี (Technology Business Incubator - TBI) มีหน้าที่หลักในการสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เติบโตและประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจสนับสนุนการสร้างธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ พร้อมทั้งผลักดันการนำผลงานวิจัยเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองสิทธิและการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ยังเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญ
เพื่อสนับสนุนบทบาทดังกล่าว คณะทำงานเพื่อส่งเสริมการบ่มเพาะวิสาหกิจเริ่มต้น ภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ โดย สวทช. ทำหน้าที่เป็นประธาน ได้มอบหมายให้ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ดำเนินการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยีในเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค โดยศึกษาแนวปฏิบัติและกรณีศึกษาจากประเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น รองผู้อำนวยการ นาโนเทค กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ การอบรมเชิงปฏิบัติการ "The Right Way to Mature Incubator" ประกอบด้วยหัวข้อสำคัญที่ครอบคลุมการพัฒนาศักยภาพของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจในหลากหลายด้าน เริ่มต้นด้วย การนำ Lean Launch Approach มาใช้ในโปรแกรมบ่มเพาะธุรกิจ โดย Mr. Julian Webb และ Ms. Thea Chase ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจาก CREEDA Projects Pty Ltd. ที่มีประสบการณ์กว่า 36 ปี ในการพัฒนาหน่วยบ่มเพาะธุรกิจในกว่า 50 ประเทศ ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมเรียนรู้วิธีการสร้างกระบวนการบ่มเพาะที่มีประสิทธิภาพจากแนวปฏิบัติระดับสากล ต่อด้วยหัวข้อ การประเมินความพร้อมสู่ตลาดส่งออก โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจาก EXIM BANK นำโดย คุณจันทร์ฉาย พิทักษ์อรรณพ และ คุณมูฮำหมัดกัฟดาฟี มะทา ซึ่งเน้นการให้คำปรึกษาเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ พร้อมการวิเคราะห์ความพร้อมและโอกาสในการขยายธุรกิจ สุดท้ายคือหัวข้อ การนำ Generative AI และ ChatGPT มาใช้ในธุรกิจ โดย คุณกำพล ลีลาภรณ์ CEO บริษัท PiR Academy และทีมผู้ช่วยวิทยากร ที่มุ่งสอนการใช้งาน AI และ ChatGPT ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจ การจัดการข้อมูล และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อให้หน่วยบ่มเพาะและผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะวิทย์-มหิดล และ ไบโอเทค-สวทช. จัดใหญ่! ครบรอบ 24 ปี CENTEX SHRIMP สร้างเครือข่ายวิจัย มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย
(14 พ.ย. 2567) ณ ห้องประชุมอาคารสตางค์ มงคลสุข คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล (พญาไท) - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานครบรอบ 24 ปี แห่งการก่อตั้งหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง (CENTEX SHRIMP) “Celebrating 24 years of excellence: Premier Science, Premium Aquaculture by CENTEX SHRIMP” โดยมี รศ.ดร.ประสิทธิ์ สุวรรณเลิศ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล และ ผศ.ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย รศ.ดร.รพีพรรณ วานิชวิริยกิจ ผู้อำนวยการ CENTEX SHRIMP คณะผู้บริหาร ทีมวิจัย ร่วมด้วยผู้ประกอบการ และเครือข่ายวิจัยหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในกลุ่มอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งและปลา เข้าร่วมงานมากกว่า 200 คน ภายในงานพบผู้ก่อตั้ง CENTEX SHRIMP และนักวิจัยศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบัน ตบเท้าร่วมนำเสนอผลงานวิจัยด้านสัตว์น้ำไทย มุ่งเป็นเวทีสร้างเครือข่ายวิจัยสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยไปด้วยกัน
รองศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธิ์ สุวรรณเลิศ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า งานครบรอบ 24 ปี แห่งการก่อตั้งหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง หรือ CENTEX SHRIMP เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัยของ CENTEX SHRIMP ซึ่งเป็นนักวิจัยที่มีชื่อเสียงมานาน และเป็นนักวิจัยหลักของทั้งที่ ม.มหิดล และไบโอเทค สวทช. ได้ให้ความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านการเสวนา การแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ และเป็นเวทีที่ทำให้นักวิจัยได้ร่วมกันเสวนา แลกเปลี่ยนความรู้ นำองค์ความรู้ไปเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ของประเทศชาติ สอดคล้องกับนโยบายของท่านอธิการบดีปัจจุบันที่เน้นงานวิจัยที่สามารถใช้ได้จริง โดยทางเรายินดีที่จะสนับสนุน CENTEX SHRIMP เพื่อร่วมมือขยายและสร้างกลุ่มวิจัยในการที่จะพัฒนาเพื่อประเทศชาติต่อไป
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง หรือ CENTEX SHRIMP (Center of Excellence for Shrimp Molecular Biology and Biotechnology) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2544 ในการรวมกลุ่มอาจารย์และนักวิจัยเพื่อก่อตั้ง CENTEX SHRIMP ถือเป็นแบบอย่างในการบูรณาการที่เป็นตัวอย่างที่ดีอย่างยิ่ง มีการสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ เป็นประโยชน์เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นการรวมพลังของภาควิชาต่าง ๆ ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แก่ ภาควิชาชีวเคมี ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ ผนวกรวมพลังกับไบโอเทค สวทช. ร่วมด้วยช่วยกันในการขับเคลื่อน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการทำงานร่วมกัน ใช้ความเชี่ยวชาญส่งเสริมกันและกัน ผลิตผลงาน สร้างนักศึกษา สร้างสรรค์งานวิจัยที่มีคุณค่าทางวิชาการ มีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งหวังให้ CENTEX SHRIMP มีความเจริญก้าวหน้า และสร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่นเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป
สำหรับงานครั้งนี้ มีกิจกรรมการเสวนาและบรรยายในหัวข้อเกี่ยวกับงานวิจัยสัตว์น้ำไทยด้วยกันหลายหัวข้อ เริ่มตั้งแต่พบกับผู้ก่อตั้ง CENTEX SHRIMP และผู้อำนวยการหน่วย ในงานเสวนาหัวข้อ “มุมมองจากอดีต สู่ปัจจุบัน และมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน” การบรรยายจาก ดร.กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น สาขาชีวเคมีเพื่อการเกษตร ประจำปี พ.ศ. 2567 ในหัวข้อ “องค์ความรู้พื้นฐานสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน”
ทั้งนี้ CENTEX SHRIMP ไม่ได้เป็นเพียงแค่หน่วยวิจัยทำงานวิจัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบทบาทในการร่วมผลิตบุคลากรในแวดวงสัตว์น้ำ ทั้งสายวิชาการและภาคส่วนเอกชน มีการเสวนากับบุคลากรในแวดวงสัตว์น้ำที่มีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน ในหัวข้อ “เพิ่มขีดความสามารถการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและการถ่ายทอดองค์ความรู้” โดยศิษย์เก่า CENTEX SHRIMP
นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ CENTEX SHRIMP รวบรวมงานวิจัยมานำเสนอ โดยมุ่งเน้นการต่อยอดไปสู่การสร้างผลกระทบจริง การหาเครือข่ายความร่วมมือเพื่อให้งานวิจัยตอบปัญหาได้ตรงจุดที่สุด โดยแบ่งเป็นหัวข้อนวัตกรรมควบคุมโรคและส่งเสริมสุขภาพสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยโรคกุ้งและปลา การพัฒนาความรู้ระบบทางเดินอาหารและต่อมไร้ท่อในกุ้งเพื่อส่งเสริมสุขภาพและเพิ่มผลผลิตกุ้ง และงานวิจัยเพื่อสุขภาพและปรับปรุงพันธุ์ปลา ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเสวนาในหัวข้อ “สปอตไลต์งานวิจัยโดย CENTEX SHRIMP และเครือข่ายวิจัย” พร้อมกันนี้ บริเวณงานยังมีการจัดนิทรรศการงานวิจัยสัตว์น้ำไทยจากเครือข่ายนักวิจัย และบูทบริษัทภาคเอกชนในกลุ่มอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักและอบอุ่นในวาระครบรอบ 24 ปีของ CENTEX SHRIMP
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ETDA เปิดตัว ‘คู่มือพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนสำหรับกลุ่มเปราะบาง’ เร่งสร้างมาตรฐานทางดิจิทัล ที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมออนไลน์ของทุกคน
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จับมือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ภายใต้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานแถลงผลการศึกษาการจัดทำมาตรฐานการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับกลุ่มเปราะบาง ประจำปี 2567 โชว์ ‘คู่มือการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน’ สำหรับกลุ่มเปราะบาง เดินหน้าสร้างมาตรฐานการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เน้นการเข้าถึงและใช้งานได้สำหรับทุกคน ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมดิจิทัลที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภายใต้ระบบนิเวศทางดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมออนไลน์ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย เร่งเครื่องขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของไทยให้ทัดเทียมสากล
นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กล่าวว่า การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่มั่นคงปลอดภัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของทุกภาคส่วน สู่การเร่งเครื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ถือเป็นหนึ่งภารกิจสำคัญที่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยหน่วยงานในสังกัด อย่าง ETDA รวมถึง สดช. เอง ต่างก็เดินหน้ามาอย่างต่อเนื่อง เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันปัจจุบันของคนไทย แต่ก็ยังคงมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโลกดิจิทัลของกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มคนพิการ ที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเปราะบางอยู่ค่อนข้างสูงในสังคมไทย นั้นแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโลกดิจิทัลที่คนไทยกลุ่มนี้กำลังเผชิญ ดังนั้น การจัดทำมาตรฐานการพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนสำหรับกลุ่มเปราะบาง ที่ ETDA และ เนคเทค เร่งขับเคลื่อนจนเกิดเป็น‘คู่มือการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน’ ที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มเปราะบาง จึงเป็นอีกกลไกสำคัญที่จะเข้ามาช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลของสังคมไทยและส่งเสริมให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง สอดคล้องกับนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีและส่งเสริมให้คนไทยทุกกลุ่ม เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน
นายมีธรรม ณ ระนอง รองผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า ‘คู่มือการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน’ สำหรับกลุ่มเปราะบาง ที่ ETDA และเนคเทค ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้นมานี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของไทยในการสร้างมาตรฐานของการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันที่มุ่งเน้นการเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมของกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุและผู้พิการ ทั้งผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ผู้พิการทางการมองเห็น และผู้พิการทางการได้ยิน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล แต่กลับต้องมาเผชิญกับข้อจำกัดในการใช้งานแอปพลิเคชันและบริการดิจิทัลต่างๆ โดยคู่มือฉบับนี้ไม่เพียงแต่เป็นแนวทางหรือไกด์ไลน์ที่จะช่วยให้ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน ทั้งจากภาครัฐ เอกชน ตลอดจนผู้ประกอบการ SMEs ต่างๆ สามารถออกแบบฟังก์ชันให้ตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเปราะบางได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมระบบนิเวศดิจิทัลของไทยให้เข้มแข็ง ครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกๆ มิติ ให้คนไทยใช้งานได้อย่างมั่นใจขึ้นด้วย
คู่มือฯ นี้ ถูกพัฒนาเนื้อหาขึ้นมาโดยยึดแนวปฏิบัติตามคู่มือมาตรฐานการเข้าถึงเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบและพัฒนาเพื่อให้ทุกคนสามารถใช้งานและเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน (Web Content Accessibility Guidelines: WCAG) มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
การใช้งานสำหรับทุกคน-ข้อมูลและส่วนติดต่อผู้ใช้ต้องนำเสนอในรูปแบบที่มองเห็นหรือได้ยินได้ชัดเจน เช่น การใช้สีพื้นหลังและตัวหนังสือที่คมชัด มีคำบรรยายสำหรับภาพเคลื่อนไหว รองรับหน้าจอขนาดเล็ก และแสดงข้อความทางเลือก
การใช้งานง่าย-หน้าจอและฟังก์ชันต่าง ๆ ต้องใช้งานสะดวก รองรับคีย์บอร์ด ขนาดปุ่มสัมผัสเหมาะสม ใช้งานได้ด้วยคำสั่งทางกายภาพหรือท่าทางนิ้วมือ และช่วยในการนำทางและค้นหาเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ
ความเข้าใจง่าย-ข้อมูลต้องอ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่สับสน พร้อมแจ้งเตือนเมื่อเกิดข้อผิดพลาด และช่วยหลีกเลี่ยงการใช้งานที่ผิดพลาด
ความแข็งแรงและความยืดหยุ่น-เนื้อหาต้องเข้าใจง่าย น่าเชื่อถือ รองรับมาตรฐานและทันสมัย รองรับการกรอกข้อมูลหลายรูปแบบ รวมถึงการใช้งานสำหรับกลุ่มเฉพาะ เป็นต้น
นอกจากการจัดทำคู่มือฉบับนี้แล้ว ETDA และ เนคเทค ยังได้จัดทำแผนปฏิบัติการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดทิศทาง และผลักดันให้คู่มือฉบับนี้เดินทางไปสู่การจัดทำมาตรฐานการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันในระดับประเทศที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
“การสร้างมาตรฐานที่ช่วยให้กลุ่มเปราะบางเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม ไม่เพียงช่วยลดความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางดิจิทัลในสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงข้อมูลและการบริการดิจิทัลที่จำเป็นอย่างเท่าเทียม สู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศ ผลักดันให้ไทยก้าวสู่เป้าหมาย ‘30:30’ คือการเพิ่มสัดส่วนมูลค่าทางเศรษฐกิจดิจิทัลให้เป็น 30% ของ GDP และยกระดับความสามารถในการแข่งขันดิจิทัลให้ติดอันดับ 30 ของโลกภายในปี 2570 ความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดซึ่งการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งและการเข้าถึงเทคโนโลยีของประชาชนทุกกลุ่ม...อันจะส่งผลให้ประเทศไทยเติบโตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมั่นคง ปลอดภัย เท่าเทียม และยั่งยืน และยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายมีธรรม กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ในงานแถลงผลการศึกษาดังกล่าว ยังได้จัดให้มีพิธีมอบเกียรติบัตรให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีการพัฒนาและออกแบบแอปพลิเคชันของหน่วยงานสอดคล้องตาม ‘คู่มือการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน’ ซึ่งเอื้อต่อการเข้าถึงบริการทางออนไลน์ที่หลากหลายของคนทุกกลุ่มอีกด้วย สำหรับผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดคู่มือฯ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก ETDA Thailand
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ จัดงานวันคนพิการ ครั้งที่ 55 ประจำปี 2567 “พระบารมีปกเกล้า เหล่าคนพิการ”
(16 พฤศจิกายน 2567) อาคาร 9 ชั้น 1 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ถนนแขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ: สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานวันคนพิการครั้งที่ 55 ประจำปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล องค์กรภาครัฐและเอกชน ในหัวข้อ "พระบารมีมีปกเกล้า เหล่าคนพิการ" เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ โดยปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอาหารกลางวันเลี้ยงคนพิการและประชาชน ที่มาร่วมงาน
โดยมี พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุก องคมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธี เพื่อมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ในโอกาสนี้ ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล นักวิจัย สวทช. ผู้แทน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขึ้นรับโล่ผู้มีอุปการคุณในครั้งนี้
ทั้งนี้ สวทช. ได้นำ ชุดสื่อเด็กอ่านได้ พร้อมแอปพลิเคชันช่วยอ่านแบบแจกลูกสะกดคำภาษาไทย (Kid Can Read) ร่วมแสดงภายในงานดังกล่าวฯ ซึ่งแอปพลิเคชันนี้ มีวัตถุประสงค์ช่วยให้นักเรียนที่มีปัญหาด้านการอ่านและนักเรียนทั่วไป สามารถอ่านคำทัพท์ใด้ถูกต้องและเมื่อนักเรียนสามารถอ่านคำศัพท์ถูกต้องแล้วก็จะสามารถพัฒนาศักยภาพทางด้านการเขียนได้ถูกต้องมากขึ้น การพัฒนาชุดสื่อเด็กอ่านได้ พร้อมแอปพลิเคชันช่วยอ่านแบบแจกลูกสะกดคำภาษาไทย (Kid Can Read) จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นชุดสื่อ ซึ่งประกอบไปด้วย บัตรคำพร้อมคิวอาร์โค้ด และ ส่วนที่เป็นแอปพลิเคชันช่วยอ่านแบบแจกลูกสะกดคำ เป็นแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อสแกนกับคิวอาร์โค้ดบนบัตรคำซึ่งบรรจุข้อมูล การอ่านแบบแจกลูกสะกดคำ ด้วยการออกเสียงพยัญชนะต้น ตามด้วยเสียงสระ เสียงพยัญชนะท้าย และเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งคำศัพท์ในชุดนี้จะเป็นคำพยางค์เดียว จำนวน 600 คำ ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 คำศัพท์ทั้งหมดนำมามาจากรายการคำศัพท์พื้นฐานของกระทรวงศึกษาที่นักเรียนต้องเรียนรู้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ศุภมาส” เปิดงาน Loy Krathong: Illuminate the Future by อว.-จุฬาฯ สวทช. นำ ”มะนีมะนาว ร่วมต้อนรับเทศกาลลอยกระทง“
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ณ สยามสแควร์ - น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน Loy Krathong: Illuminate the Future by อว.-จุฬาฯ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะผู้บริหาร ร่วมให้การต้อนรับ
การจัดงาน Loy Krathong: Illuminate the Future by อว.-จุฬาฯสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ได้แก่ ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค),ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค), ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยคุณวิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด ร่วมกิจกรรม พร้อมนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรม "มะนีมะนาว" และน้ำมะนาวพร้อมดื่ม ที่ต่อยอดจากงานวิจัยของนาโนเทค สวทช. ร่วมออกบูธ
กิจกรรม Loy Krathong: Illuminate the Future by อว.-จุฬาฯ จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 ตั้งแต่เวลา 17.00-22.00 น. โดยเนรมิต Siam Square เป็น LED River ต้อนรับเทศกาลลอยกระทง นอกจากจะได้ลอยกระทงกลางสยามกับแม่น้ำสุดล้ำ ยังสามารถสนุกสนานไปกับกิจกรรมงานวัดและการออกบูธจากหน่วยงานในกระทรวง อว. และของนิสิต นักศึกษา พร้อมพบกับการแสดงและวงดนตรี มากมาย
ในการนี้ สวทช. ยังได้มีการนำสินค้านวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG (Green Economy) ที่ผ่านการร่วมงานวิจัยจากหน่วยงาน มาออกบูทเพื่อให้ผู้ร่วมงานได้ เลือกชิม เลือกช้อป ได้แก่ มะนีมะนาว น้ำมะนาวคั้นสด 100% แช่เยือกแข็ง ที่ร่วมกับบริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ พัฒนาขึ้น โดยเป็นการพัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสด โดยใช้ความเย็นระดับเยือกแข็งในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของเอนไซม์ในน้ำมะนาวไม่ให้สามารถทำงานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยืดอายุด้วยวิธีนี้จัดเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือช่องแช่แข็งได้นานถึง 2 ปี และจัดเก็บที่อุณหภูมิ 0-5°C หรือช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังคงจุดแข็งของแบรนด์มะนีมะนาวในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
และยังมีผลิตภัณฑ์ต่อยอดอย่างมะนีแตงโม น้ำและเนื้อแตงโม 100% แช่แข็ง ทำจากแตงโมแท้ 100% หวานธรรมชาติ ไม่เติมน้ำตาล ไม่มีเมล็ดแตงโมกวนใจ เป็นอีกทางเลือกให้ได้ลิ้มลองผลิตภัณ์นวัตกรรมที่ส่งต่อจากแลปสู่มือผู้บริโภคอีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

“สวทช. – สวรส. จัดสัมมนาเผยผลศึกษาการใช้นวัตกรรม AI ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง”
(15 พฤศจิกายน 2567) ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพมหานคร: นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พร้อมด้วย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงผลการศึกษาโครงการประยุกต์และทดสอบประสิทธิผลของระบบดูแลผู้อยู่อาศัย เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ การศึกษา "MTEC Well-living systems" นวัตกรรม AI ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง พร้อมขยายผลต่อยอดรองรับสังคมสูงวัย โดยมีตัวแทนอาสาสมัครร่วมทดสอบการใช้ในโครงการร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานจริง
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่า “สวรส. มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพ โดยมุ่งเน้นการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทุกมิติ ทั้งด้านนโยบาย สังคม ชุมชน วิชาการ และเชิงพาณิชย์ เพื่อยกระดับระบบการแพทย์และสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน โดยในปีงบประมาณ 2566 สวรส. ได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ในการดำเนินโครงการ "การประยุกต์ใช้และทดสอบประสิทธิผลของระบบดูแลผู้อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยด้วยปัญญาประดิษฐ์" หรือ Well-Living Systems ซึ่งเป็นนวัตกรรม "ผู้ช่วยของผู้ดูแล" ที่มีจุดเด่นสำคัญคือ สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้สูงอายุโดยอัตโนมัติ เฝ้าระวังและแจ้งเตือนเมื่อพบพฤติกรรมผิดปกติ โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวเนื่องจากไม่ใช้กล้อง รวมถึงช่วยเตือนกิจกรรมสำคัญต่อสุขภาพ เช่น การกินยาและการเคลื่อนไหวร่างกาย การพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ทุกครอบครัวเข้าถึงได้ จะช่วยลดช่องว่างในการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง พร้อมสร้างโอกาสให้ผู้สูงอายุได้ใช้เทคโนโลยีการดูแลที่ทันสมัยอย่างทั่วถึง เพื่อนำไปสู่สังคมผู้สูงวัยที่ปลอดภัยและยั่งยืน" นายแพทย์ศุภกิจกล่าว "สวรส. พร้อมผลักดันการใช้งานระบบ MTEC Well-living systems ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อการดูแลและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงอายุ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้สูงอายุและครอบครัวอย่างเป็นรูปธรรม”
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รองผู้อำนวยการ เอ็มเทค กล่าวว่า “ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” อย่างเป็นทางการในปี 2565 โดยมีประชากรสูงอายุถึง 13 ล้านคน หรือราว 20% ของประชากรทั้งประเทศในปี 2566 และมีแนวโน้มจะเข้าสู่ "สังคมสูงอายุระดับสุดยอด" ในปี 2573 ด้วยสัดส่วนประชากรอายุเกิน 65 ปี ถึงร้อยละ 20 ปรากฏการณ์นี้นำมาซึ่งความท้าทายและโอกาสใหม่ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งสำคัญ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีดูแลผู้สูงอายุหลากหลาย แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการเฝ้าระวังพฤติกรรมผิดปกติแบบต่อเนื่อง การแจ้งเตือนฉุกเฉินอัตโนมัติ และการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล”
ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ให้ดำเนินโครงการวิจัยหัวข้อ “การประยุกต์ใช้และทดสอบประสิทธิผลของระบบดูแลผู้อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยด้วยปัญญาประดิษฐ์ในบริบทการใช้งานจริงของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง” มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิผลของการใช้เทคโนโลยี “ระบบดูแลผู้อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยด้วยปัญญาประดิษฐ์” หรือที่เรียกว่า “MTEC Well-living systems” ในบริบทการใช้งานจริงของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุที่ต้องใช้เวลาอยู่โดยลำพัง และเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีดังกล่าว ให้มีศักยภาพพร้อมตอบสนองความต้องการและบริบทการใช้งานจริงของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุที่ต้องใช้เวลาอยู่โดยลำพัง
เอ็มเทค สวทช. ได้ทำงานร่วมกันกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข 45 ร่มเกล้า
สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในการประชาสัมพันธ์เพื่อจัดหาอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ และได้ดำเนินการทดสอบประสิทธิผลการทำงานของระบบกับตัวแทนกลุ่มผู้ใช้เป้าหมายในบริบทการใช้งานจริง รวม 34 ครัวเรือน โดยแต่ละครัวเรือนจะมีตัวแทนผู้สูงอายุและผู้ดูแล อย่างน้อย 1 ท่าน โดยคณะวิจัยได้มีการติดตั้งต้นแบบที่ที่พักอาศัย เป็นระยะเวลาต่อเนื่องเป็นเวลา 2 เดือน มีการติดตามสัมภาษณ์ผลการใช้งาน และทำการปรับปรุงระบบในระหว่างการทดสอบการใช้งานระบบอย่างต่อเนื่อง ผลการทดสอบพบว่า “MTEC Well-living systems” สามารถช่วยลดภาระของผู้ดูแล พร้อมสร้างความอุ่นใจให้แก่ทั้งผู้สูงอายุและครอบครัว
“การพัฒนา MTEC Well-living systems นี้ สอดรับกับแนวโน้ม 'เศรษฐกิจสูงวัย' หรือ Silver Economy ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุยุคใหม่หรือ Young Old (Yold) ที่ยังคงกระฉับกระเฉง มีกำลังซื้อ และต้องการเทคโนโลยีที่ช่วยให้พึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุข นับเป็นก้าวสำคัญในการรองรับสังคมอายุยืนของไทย ด้วยการผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ากับความเข้าใจในความต้องการที่แท้จริงของผู้สูงวัยและครอบครัว” ดร.ศราวุธ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการสนับสนุนทุนวิจัยในโครงการวิจัยนี้ เพื่อทดสอบประสิทธิผลของการใช้เทคโนโลยี “MTEC Well-living systems” ในบริบทการใช้งานจริงของครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุที่ต้องใช้เวลาอยู่โดยลำพังและเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยี “MTEC Well-living systems” ให้มีศักยภาพพร้อมตอบสนองความต้องการและบริบทการใช้งานจริงได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป ผู้สนใจทดลองใช้และร่วมเก็บข้อมูลการใช้งานเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการวิจัยพัฒนา หรือผู้สนใจรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาต่อยอดร่วมกัน ติดต่อได้ที่ ดร.สิทธา สุขกสิ อีเมล sitthas@mtec.or.th หรือ well.living.systems@gmail.com
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์