หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
อว. โดย สวทช. เสริมกำลังส่งนวัตกรรม “เครื่องกรองน้ำดื่มด้วยนาโนเทคโนโลยี” บรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมสนับสนุนหน้ากากอนามัยแก่เจ้าหน้าที่ทหารชายแดน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ส่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดน่านและเชียงราย พร้อมสนับสนุนความช่วยเหลือทหารชายแดนไทย - กัมพูชา วันที่ 8 สิงหาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ผู้ อำนวยการ สวทช. ภญ.ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมนักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ส่งมอบเครื่องกรองน้ำดื่มต้นแบบที่พัฒนาโดยนาโนเทคโนโลยี พร้อมระบบติดตามคุณภาพน้ำและอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพน้ำ และหน้ากากอนามัย รุ่น M01 แผ่นกรองเส้นใยละเอียด นวัตกรรมจาก สวทช. จำนวน 5,000 ชิ้น โดย นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (หน. ผตร. อว.) ผู้แทน “โครงการ อว. เพื่อประชาชน” เป็นผู้รับมอบ เครื่องกรองน้ำไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดในระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการรับมือกับภัยพิบัติ ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรองรับปัญหาคุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้และเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำหลากที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ สวทช. และ อว. ยังได้ร่วมส่งมอบหน้ากากอนามัยคุณภาพสูง เพื่อสนับสนุนภารกิจของเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำการในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา ซึ่งยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังและปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง เครื่องกรองน้ำดื่มต้นแบบที่พัฒนาโดยนาโนเทคโนโลยี พร้อมระบบติดตามคุณภาพน้ำและอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพ เป็นการประยุกต์ใช้ถ่านกัมมันต์ชนิดเกล็ดที่ดัดแปรพื้นผิว “FerGACO” ที่นำมาผ่านกรรมวิธีทางเคมี จึงทำให้คาร์บอนที่ได้มีความจำเพาะในการดูดซับสารอินทรีย์และสารประกอบของโลหะหนักได้ อันได้แก่ ฟลูออไรด์ สารหนู โครเมียม ทองแดง ปรอท และ แคดเมียม เป็นต้น โดยบรรจุในระบบกรองน้ำดื่มแบบรวมชุดที่สามารถขนย้ายได้ง่าย ที่มาพร้อมระบบติดตามคุณภาพน้ำ อายุการใช้งานไส้กรอง รวมถึงประสิทธิภาพการกรองน้ำ ที่ทีมวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติพัฒนาขึ้นเอง โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์กลุ่ม ESP32 รองรับการทำงานบนแพลตฟอร์ม IoT ทำงานร่วมกับเซนเซอร์ตรวจวัดค่า EC/TDS ระดับอุตสาหกรรมผ่านโปรโตคอลสื่อสาร MODBUS (RS-485) ซึ่งสามารถพัฒนาให้อ่านค่าเซนเซอร์ชนิดอื่นที่ใช้โปรโตคอลสื่อสารเดียวกันเพิ่มเติมได้ในอนาคต หน้ากากอนามัย P&T รุ่น M01 ที่นำมามอบสนับสนุนภารกิจชายแดนครั้งนี้ ใช้ไส้กรองภายในที่เป็นผลผลิตจากการวิจัยพัฒนาโดย สวทช. และผลิตขึ้นตามมาตรฐานสากลของสถาบัน American Society for Testing and Materials (ASTM) โดยถูกควบคุมดูแลภายใต้การกำกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดย สวทช. เพื่อให้ได้หน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการป้องกันฝุ่น PM2.5 และละอองฝอยเชื้อโรคทางเดินหายใจ หน้ากากอนามัย 3 ชั้น ความหนา 105 แกรม การป้องกันระดับ 1 ตามมาตรฐาน ASTM F2100: 2020 และ มอก.242 - 2562 กรองแบคทีเรียขนาดอนุภาค 3 ไมครอน กรองได้มากถึง 99.9% ต้านทานของเหลวซึมผ่านได้มากถึง 160 mmHg (มากถึงระดับ 3) การส่งมอบเครื่องกรองน้ำและหน้ากากอนามัยในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงแนวทางการทำงานของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี สวทช. เป็นหน่วยงานหลักในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ขานรับแนวทางขับเคลื่อนงานวิจัยด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ บูรณาการการใช้เครื่องจักรและทรัพยากรกับหน่วยงานท้องถิ่น และส่งมอบความช่วยเหลือไปยังชายแดนไทย ด้วยการนำนวัตกรรมมาช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนไทยในทุกบริบท
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ JAXA จัดบรรยายพิเศษ เผยเบื้องลึกภารกิจอวกาศระดับโลก พร้อมโชว์ตัวอย่างจริงจากดาวเคราะห์น้อยริวกูครั้งแรกในไทย
(วันที่ 8 สิงหาคม 2568) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดการบรรยายพิเศษหัวข้อ “เจาะลึกโครงการสำรวจอวกาศขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ฟูจิโมโตะ มาซากิ (Dr. Fujimoto Masaki) ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์อวกาศและอวกาศยาน (ISAS) และผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) เป็นผู้บรรยาย ณ อาคารเนคเทค สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ให้การต้อนรับ ดร.ฟูจิโมโตะ ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและความสำเร็จของโครงการอวกาศที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับญี่ปุ่นและของโลก เริ่มต้นจากภารกิจ ฮายาบูซะ 2 (Hayabusa2) ที่สามารถนำตัวอย่างจากดาวเคราะห์น้อยริวกู (Ryugu) กลับสู่โลกได้สำเร็จ พร้อมเปิดเผยรายละเอียดที่น่าตื่นเต้นของภารกิจแห่งอนาคต Martian Moons eXploration (MMX) ซึ่งมีเป้าหมายสำรวจดวงจันทร์โฟบอส (Phobos) ของดาวอังคาร นอกจากนี้ยังได้ฉายภาพบทบาทสำคัญของญี่ปุ่นในโครงการป้องกันดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก (Asteroid Collision Avoidance Project) เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับมวลมนุษยชาติ การบรรยายครั้งนี้ได้จุดประกายและอัปเดตความรู้ใหม่ล่าสุดให้กับผู้เข้าร่วมฟังหลากหลายกลุ่ม ทั้งนักวิจัย นักศึกษา อาจารย์ และประชาชนทั่วไป ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ JAXA ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีเยี่ยมในการนำความรู้และประสบการณ์ระดับโลกมาสู่ประเทศไทย การบรรยายของ ดร.ฟูจิโมโตะ ไม่เพียงแต่เผยให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศที่น่าทึ่ง แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนและบุคลากรของเราหันมาสนใจวิทยาศาสตร์อวกาศมากขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมของประเทศต่อไป” ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสกับความสำเร็จของภารกิจอวกาศอย่างใกล้ชิด JAXA ได้นำตัวอย่างจริงจากดาวเคราะห์น้อยริวกู มาจัดแสดงให้ชมเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชีย (นอกประเทศญี่ปุ่น) ในงาน อว.แฟร์ 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9–17 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดฉากยิ่งใหญ่ “อว.แฟร์ – มหกรรมวิทย์” ปี 68 กระทรวง อว. เนรมิตพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจแห่งการเรียนรู้ 9-17 ส.ค. นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
  พบเรือสำรวจขั้วโลก “Xue Long II” เรือตัดน้ำแข็งล้ำยุคจากจีน ชิ้นส่วนดาวเคราะห์น้อย “ริวกู” ตะลุยสนามสอบ TCAS เสมือนจริง สวทช. ชวนสัมผัส บอร์ดเกมยักษ์ “Bangkok Road” ที่ กทม. และ สวทช. ท้าลอง ผู้ร่วมงานเป็นนักพัฒนา แก้ปัญหาเมืองแบบสนุก (เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดงาน “มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ วิจัย และนวัตกรรม (อววน.) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยพลังสหวิทยาการ” หรือ “อว.แฟร์ 2025 : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” และงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2568” (NST Fair 2025) พร้อมมอบรางวัล Prime Minister’s Science Award 2025 ให้แก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย เพื่อเชิดชูเยาวชนผู้มีผลงานโดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์ โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. นายวิเชียร สุขสร้อย เลขานุการ รมว.อว. ดร.แอนเจลา แมคโดนัลด์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย นางเทย์เออะ มาร์ที่เนอะ อ็อตมันน์ อุปทูตรักษาราชการสถานเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตจีน ญี่ปุ่น เดนมาร์ก และฝรั่งเศส ศาสตราจารย์ ดร.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) ศาตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ และ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค-สวทช.) และผู้บริหารระดับสูงกระทรวง อว. เข้าร่วม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบาย “สร้างปัญญา เปิดโอกาส สร้างอนาคตไทย” ให้เป็นรูปธรรมผ่าน 2 ภารกิจหลัก คือ การพัฒนากำลังคนอย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกระดับวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนประเทศด้วยองค์ความรู้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการจัดงาน อว.แฟร์2025 : Creators of Tomorrow และงาน NST fair 2025 : Science in Action! For Sustainable Communities และแสดงให้เห็นถึงการนำนโยบายทั้ง 2 ด้าน มาสร้างเป็นเวทีที่มากกว่านิทรรศการและงานเสวนาวิชาการ แต่เป็นพื้นที่ที่จุดประกายให้คนไทยทุกช่วงวัยได้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์นำไปสู่การลงมือทำ พร้อมเปิดโอกาสให้เยาวชน นักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชนทุกคนได้เริ่มสร้างอนาคตไทยด้วยพลังของทั้งศาสตร์และศิลป์ผสานเข้าด้วยกันจนเกิดเป็น ‘นวัตกรรม’ โดย อว. ได้ให้ความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพของคนไทยผ่าน 3 นโยบายหลักประกอบด้วย ประการแรก: สร้างปัญญา ด้วยการเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เข้มข้นผ่านนิทรรศการ เทคโนโลยี และกิจกรรมที่บูรณาการทั้งศาสตร์และศิลป์ เพื่อปลูกฝังความรู้ ความคิด และทักษะให้แก่เยาวชนและประชาชนทุกช่วงวัย ประการที่สอง: เปิดโอกาสด้วยการเชื่อมโยงงานวิจัย เทคโนโลยี และทุนการศึกษาเพื่อให้ทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างเท่าเทียม ประการที่สาม: สร้างอนาคตไทย ด้วยการขับเคลื่อน Soft Power, Deep Tech และอุตสาหกรรมอนาคตผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐ มหาวิทยาลัย และผู้ประกอบการ เพื่อให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันเวทีโลก นโยบายทั้งหมด คือ การสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ การวิจัยและการสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงระหว่างห้องเรียน ห้องแล็บ ชุมชน และธุรกิจเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI, EV, Semiconductor, Smart Farming, เศรษฐกิจอวกาศ และ Soft Power ไทย “นี่ไม่ใช่เพียงการจัดงาน แต่คือ การออกแบบประเทศไทยในเวอร์ชันที่ดีขึ้น ผ่านพลังของการคิดสร้างสรรค์ และลงมือทำ ขอเชิญชวนประชาชนทุกคน มาร่วมค้นหาแรงบันดาลใจ มาร่วม ‘คิดสร้างสรรค์’ และร่วม ‘สร้างอนาคตไทย’ ไปด้วยกัน” รมว.อว. กล่าว ด้าน ศ.ดร. ศุภชัย กล่าวเสริมว่า สำหรับการจัดงาน อว.แฟร์ ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Creators of Tomorrow : คิดสร้างสรรค์ Kids คิดสร้างอนาคต” ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ตามนโยบายหลักของ อว. ที่มุ่งพัฒนาอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้เป็นกลไกหลักในการพัฒนาประเทศ บนพื้นที่กว่า 23,000 ตารางเมตร ของศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถูกเนรมิตให้กลายเป็นพื้นที่แห่งพลังสร้างสรรค์ ที่รวมไฮไลต์ 7 โซน ได้แก่ZONE A: INSPIRED ARENA จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้เด็กและเยาวชน, ZONE B: LEARNING ARCADE พื้นที่เรียนรู้ในรูปแบบเกม, ZONE C: INNOVATOR PLAYGROUND พื้นที่ปั้นนวัตกรรุ่นใหม่ เสริมพลังธุรกิจไทยสู่อนาคต, ZONE D: VALLEY OF GROWTH นวัตกรรมเพื่ออนาคตของธุรกิจไทย, ZONE E: LIVING DISTRICT นวัตกรรมเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคต, ZONE F: ART & SCIENCE FOR FUTURE THAILAND วิทยาศาสตร์ที่ผสานกับพลังจินตนาการของมนุษย์, ZONE G: CRAFT MARKET ตลาดนวัตกรรมทั่วประเทศรวมสินค้ากว่า 20,000 รายการ จาก 350 ร้านค้า ภายใน 7 โซนยังมี 7 สิ่งมหัศจรรย์ ได้แก่ นิทรรศการเรือสำรวจขั้วโลก “Xue Long II” เรือตัดน้ำแข็งล้ำยุคจากจีนนักวิจัยไทยใช้สำรวจขั้วโลก, แว่น VR ยานยนต์ ทะลุมิติ สัมผัสโลกวิทย์ในฝันผ่านประสบการณ์เสมือนจริง, สนามสอบ TCAS เสมือนจริง เตรียมพร้อมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยการสอบจริง รู้ผลสอบทันที พร้อมเทคนิคการแก้โจทย์ข้อสอบ A-Level, บอร์ดเกมยักษ์ “Bangkok Road”เรียนรู้การจัดการเมืองผ่านเกม, ThaiWater App แอปพลิเคชันจัดการน้ำอัจฉริยะ ใช้งานจริงได้ทุกวัน, ชิ้นส่วนดาวเคราะห์น้อย “ริวกู” ชิ้นส่วนดาวเคราะห์น้อยของจริงจากอวกาศ จัดแสดงครั้งแรกในเอเชีย และ ห้องปฏิบัติการดาวเทียม เปิดโลกภารกิจอวกาศไทยสู่สากล อีกทั้ง อว. ยังได้ระดมความร่วมมือจากหน่วยงานในสังกัด พร้อมทั้งผนึกกำลังกับ 8 ประเทศ และ 97 หน่วยงานจัดงาน “NST Fair 2025” หรือ มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “Science in Action! For Sustainable Communities” บนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสวิทยาศาสตร์แบบลงมือจริง คิดจริง สนุกจริง อาทิ นิทรรศการ Quantum Quest: ควอนตัมเปลี่ยนโลก, นิทรรศการ Brain Inside Out: เปิดโลกวิทยาศาสตร์แห่งสมองสุดอัศจรรย์, นิทรรศการ Mystery of Svalbard: คลังเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต, นิทรรศการ Little Inventor: ดินแดนนักประดิษฐ์ตัวน้อย, นิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานต่างประเทศ สถาบัน/สถานศึกษา และหน่วยงานเอกชน ขณะเดียวกัน ยังมีกิจกรรมวิทยาศาสตร์อีกมากมายให้เยาวชนได้ร่วมสนุกอีกด้วย สวทช. ชวนเยาวชน ทดลองประดิษฐ์และเล่นรถแข่งเพื่อเรียนรู้หลักการทางฟิสิกส์ นอกจากนี้ ในพิธีเปิดงาน “อว.แฟร์ 2025” และ “NST Fair 2025” ได้มีการมอบรางวัล Prime Minister’s Science Award 2025 โดย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)  ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อเชิดชูเกียรติเยาวชนที่ได้ทำคุณประโยชน์และเป็นตัวอย่างอันดีด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมทั้งเชิดชูเกียรติและเป็นกำลังใจให้แก่ครูที่อุทิศตนอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนให้มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ โอกาสนี้ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้เข้าเยี่ยมชม บูธ สวทช. ในงาน มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นนิทรรศการทดลองเล่นจริง ที่ช่วยให้เยาวชนและผู้เข้าชมที่สนใจได้ทดลองประดิษฐ์และเล่นรถแข่งเพื่อเรียนรู้หลักการทางฟิสิกส์ โดยเฉพาะเรื่อง "แรง G" (G-force) ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเร่งความเร็วหรือเข้าโค้งอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์แบบสนุกสนานและลงมือปฏิบัติจริง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในเรื่องกลไกและฟิสิกส์เบื้องหลังการเคลื่อนที่ของรถแข่ง โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นนิทรรศการที่ให้ชมอย่างเดียว แต่ยังเป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ลงมือทำและทดลองเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนสนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี    รอว. สนใจชุดตรวจโรคใบด่าง -ชมสาธิตบอร์ดยักษ์ Traffy Fondue x กทม. เข้าใจปัญหาเมืองแบบสนุก โอกาสนี้ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ) ได้เยี่ยมชมบูธ Thailand Tech Show 2025 ของ สวทช. ในโซน D: Velly of Growth เทคโนโลยีที่พร้อมต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีพร้อมใช้หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ นำเยี่ยมชมเทคโนโลยี ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบรวดเร็ว รู้ผลรวดเร็วภายใน 15 นาที นำเสนอโดยนักวิจัยไบโอเทค สวทช. ทั้งนี้โรคใบด่างมันสำปะหลังเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ Sri Lankan cassava mosaic virus หรือ SLCMV ที่มีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะ อาการของต้นที่ติดโรค คือ ใบด่างและใบหงิกลดรูป ลำต้นแคระแกร็น และมีการลดลงของผลผลิตทั้งจำนวน ขนาด และคุณภาพของหัวมัน ในกรณีที่มีการระบาดรุนแรงอาจสร้างความเสียหายแก่ผลผลิตมากถึง 80-100% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมมันสำปะหลังเป็นวงกว้างตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สวทช. โดย ทีมนักวิจัย ไบโอเทค ได้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรม ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบรวดเร็ว (Immunochromatographic Strip Test) มีความจำเพาะเจาะจง มีความไว และความถูกต้องแม่นยำที่สูง ใช้งานง่าย สามารถพกพาไปตรวจในแปลงปลูกได้ ชุดตรวจดังกล่าวมีความสำคัญต่อการศึกษาด้านระบาดวิทยา การจัดการควบคุมโรค การปรับปรุงพันธุ์ต้านทาน และการตรวจหาเชื้อในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการผลิตท่อนพันธุ์ปลอดเชื้อ ชุดตรวจฯ มีจุดเด่นสามารถตรวจวินิจฉัยเชื้อ SLCMV ในมันสำปะหลังได้อย่างจำเพาะเจาะจง สามารถพกพาไปตรวจในแปลงปลูกได้ ใช้งานได้ง่าย สามารถตรวจเองได้ ไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการและเครื่องมือวัดอ่านผล รู้ผลไว ภายใน 15 นาที มีความแม่นยำร้อยละ 96 ความจำเพาะเจาะจงร้อยละ 100 และความไวร้อยละ 91 เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการ PCR มีความแม่นยำร้อยละ 99 ความจำเพาะเจาะจงร้อยละ 100 และความไวร้อยละ 99 เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการ DAS-ELISA ปัจจุบันชุดตรวจโรคใบด่างถูกนำไปใช้แล้วหลายจังหวัดที่มีการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรและผู้ประกอบการไร่มันสำปะหลังในประเทศ นอกจากนี้ รัฐมนตีว่าการกระทรวง อว. ยังสนใจ นิทรรศการ S&T for Sustainable Thailand: นวัตกรรมลดความเหลื่อมล้ำ สู่ความยั่งยืนจริงผ่านเกมบอร์ดยักษ์ Traffy Fondue x กรุงเทพมหานคร – เข้าใจปัญหาเมืองแบบสนุก โดยชมการสาธิตกระดานขนาดใหญ่ที่จำลองเมืองกรุงเทพฯ ขึ้นมา ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็นนักพัฒนาเมืองที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขยะ, น้ำท่วม, การจราจร หรือจุดที่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น ทางเท้าชำรุด โดยมีเป้าหมายคือการทำให้เมืองน่าอยู่ยิ่งขึ้น โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ที่นักวิจัย สวทช.พัฒนาขึ้น ในหลายมิติ เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการปัญหาเมืองและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ประชาชนอย่างครอบคลุม ผู้ที่สนใจสามารถร่วมงาน “อว.แฟร์ 2025” และ “NST Fair 2025” ระหว่างวันที่ 9 – 17 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยงาน “อว.แฟร์ 2025” จะจัดขึ้นที่ฮอลล์ 1-4 ชั้น G และงาน “NST Fair 2025” จะจัดขึ้นที่ฮอลล์ 5-6 ชั้น LG สามารถเข้าร่วมงานได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.mhesifair.comและเฟซบุ๊ก www.facebook.com/MHESIThailand อ้างอิงข้อมูล FB: MHESIThailand             
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จุดประกายนักวิจัยสู่ผู้ประกอบการ เปิดเวที “Startup Inspirations” แชร์ประสบการณ์ตรงจากผู้ก่อตั้งธุรกิจ
(วันที่31 กรกฎาคม 2568) ณ ออดิทอเรียม ชั้น 1 ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) จัดเสวนาพิเศษหัวข้อ Startup Inspirations series 1 : แรงบันดาลใจสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อเร่งกระตุ้นและก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ๆ โดยเชื่อว่าการ Sharing & Inspiration คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยเติมเต็มแนวคิดใหม่ ๆ และผลักดันให้กลไกนี้เติบโตได้อย่างไม่หยุดยั้ง โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวต้อนรับพร้อมเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค สวทช.) และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID)  ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากร คุณนรินทร์ คูรานา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท จับจ่าย คอร์ปอเรชั่น จำกัด สตาร์ตอัปด้าน Ed-Tech ชั้นนำของประเทศ ในหัวข้อ "Start from Scratch” และหัวข้อเสวนา "Life is a series of Choices"  โดยมี ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมด้วย ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอไอไนน์ จำกัด (AI-9) และ นายชัยภูมิ ศิริพันธ์พรชนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท บิ๊กโก อนาไลติกส์ จำกัด (BIGGO)  ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ตอัป สวทช. ที่ประสบความสำเร็จ เข้าร่วมเสวนาในครั้งนี้ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า กิจกรรม Startup Inspirations series1 : แรงบันดาลใจสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนตามนโยบายของผู้บริหาร สวทช. ที่มุ่งเน้นการผลักดันผลงานวิจัย สวทช. ให้เกิดการใช้ได้จริง สร้าง Ecosystem และการเสริมสร้างขีดความสามารถ ให้กับบุคลากร ซึ่งปัจจุบัน สวทช. มีกลไกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมวิจัย  การจ้างวิจัย  Licensing หรืออื่น ๆ และหนึ่งในช่องทางสำคัญที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ คือ กลไก NSTDA Startup ซึ่งฝ่ายบริหารเห็นว่าเป็นกลไกที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และ สวทช.พร้อมส่งเสริม โดยกลไก NSTDA Startup มอบโอกาสที่สำคัญให้กับนักวิจัยในการเป็นเจ้าของและผู้บริหารธุรกิจ สามารถถือหุ้นและเป็นกรรมการบริษัทได้ด้วยตนเอง ทำให้สามารถผลักดันผลงานวิจัยได้อย่างเต็มที่ และยังช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจด้วยการมีพันธมิตรร่วมลงทุน อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ต้องอาศัยจิตวิญญาณของผู้กล้า (Challenger) และความกล้าที่จะก้าวข้ามข้อจำกัด เพื่อไปจัดตั้งเป็นบริษัทสตาร์ตอัป รวมทั้งกลไกการบ่มเพาะ (Incubation) ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับสตาร์ตอัป ซึ่งแน่นอนว่าการอบรมและเสวนาในครั้งนี้จะช่วยเติมเต็มความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกท่าน โดยทั้งจากวิทยากร และจากบริษัท NSTDA Startup ของ สวทช. ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการจัดกิจกรรมครั้งแรก ในอนาคตจะมีการจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเชิญวิทยากรเด่นทั้งในประเทศและต่างประเทศมาแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ ให้ทุกท่านต่อไป นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค สวทช.) และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) กล่าวว่า กิจกรรม Sharing & Inspiration วันนี้มีหัวข้อที่น่าสนใจจากวิทยากรจากบริษัทสตาร์ตอัปรุ่นพี่ทั้งจากบริษัทสตาร์ตอัปที่กำลังเตรียมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัทสตาร์ตอัป สวทช. รวมทั้งได้รับมุมมองจากผู้บริหารศูนย์ฯ ที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยจัดตั้งบริษัทสตาร์ตอัป กิจกรรมวันนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและช่วยผลักดัน Spin-off ผลงานวิจัยใช้จริง ผ่านกลไก NSTDA Startup ทั้งในหัวข้อ "Start from Scratch” และหัวข้อ "Life is a series of Choices" และเชื่อมั่นว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้จะได้รับแนวคิดใหม่ ๆ ที่ใช้ได้จริง และเกิดพลังที่ร่วมกันผลักดันผลงานวิจัยไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุด กลไก NSTDA Startup ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2562 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัยสามารถ ผลักดันผลงานด้วยตัวเองและบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างอิสระ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางนอกเหนือไปจากกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เคยมี และ สวทช.ก็เป็นหน่วยงานภาครัฐรายแรก ๆ ในประเทศที่พัฒนากลไกเพื่อตอบโจทย์การผลักดันสตาร์ตอัปที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากลไกนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพที่แข็งแกร่ง โดยได้อนุมัติโครงการไปแล้วถึง 16 โครงการ ปัจจุบันมีอยู่ 10 บริษัท ซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจและเป็นเครื่องยืนยันว่านักวิจัยของเรามีศักยภาพในการเป็นผู้ประกอบการอย่างเต็มเปี่ยม
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญชวนพบกับความงามของดอกปทุมมา ในงาน “ปทุมมา มนต์เสน่ห์แห่งพืชสวนโลก”
สวทช. ขอเชิญชวนทุกคน มาสัมผัสความงามของดอกปทุมมา ในงาน “ปทุมมา มนต์เสน่ห์แห่งพืชสวนโลก”  ระหว่างวันที่ 13 - 15 สิงหาคม 2568  ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาท้องถิ่นบ้านตาด มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จ.อุดรธานี 📍พิกัดความงามรอคุณอยู่! https://maps.app.goo.gl/9zC8GyGQ6gRcMYbM6 งานนี้จัดเต็มความสนุกและความรู้แบบครบวงจร ที่จะทำให้คุณหลงรักดอกปทุมมามากยิ่งขึ้น! 🎯 กิจกรรมไฮไลต์ห้ามพลาด! 📆 วันพุธที่ 13 สิงหาคม 2568 • เรียนรู้เรื่องราวของ ดอกปทุมมา/กระเจียว ตั้งแต่สายพันธุ์ วิธีการปลูก ไปจนถึงเส้นทางสู่พืชสวนโลกในงานนิทรรศการสุดพิเศษ • ปลดปล่อยความเป็นศิลปินในตัวคุณกับเวิร์กช็อปสุดคิ้วท์ “การวาดภาพจากสีปทุมมา” (บนกระเป๋าผ้า, เสื้อยืด) และ “การจัดช่อดอกปทุมมาแบบมินิมอล” ในราคาเบา ๆ สบายกระเป๋า • ช็อปปิงเพลิน ๆ กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเกษตรกรตัวจริง • “เดินชมสวน ชวนเรียนรู้” ชมความงามของปทุมมาหลากหลายสายพันธุ์ในสวนแบบฟรี ๆ ! (เปิดให้เข้าชมเวลา 08.00 - 17.00 น.) 📆 วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2568 • ร่วมพิธีเปิดงานสุดยิ่งใหญ่ เวลา 09.00 น. • ห้ามพลาด! การเสวนา “โอกาสและศักยภาพการขับเคลื่อนไม้ดอกปทุมมาของประเทศไทย” จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เวลา 10.30 - 12.30 น. • ช็อปปิงเพลิน ๆ กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเกษตรกรตัวจริง • เต็มอิ่มกับนิทรรศการและกิจกรรมเวิร์กช็อปสุดพิเศษเหมือนวันแรก พร้อมเพิ่มความสนุกด้วยเวิร์กช็อปใหม่ “การผลิตโลชั่นจากสารสกัดปทุมมา” และ “การอนุบาลกล้าปทุมมาจากเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ” 📆 วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2568 • วันสุดท้ายของการเดินชมสวนสวย ๆ ! "เดินชมสวน ชวนเรียนรู้" ที่เปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่ 08.00 - 17.00 น. และพิเศษยิ่งขึ้น คุณสามารถมาชมสวนปทุมมาได้ตลอด เดือนสิงหาคม - กันยายน เลย! 📸 กิจกรรมพิเศษ! แชะ & เช็กอิน สำหรับนักท่องเที่ยวสายโซเชียลที่ชอบถ่ายรูปสวย ๆ ! เพียงเข้าชมและถ่ายรูปเช็กอินที่แปลงดอกปทุมมา ก็รับไปเลย ปทุมมา 1 กระถาง ฟรี! (เฉพาะ 30 คนแรกในแต่ละวันของวันที่ 13 และ 14 สิงหาคม 68 เท่านั้น) ☎️ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สวทช. (คุณพรนิภา): 093-956-3033 คุณโสภิตา / คุณจิตตานันท์ : 042-240448 คุณพาริณี : 083-1507821   แล้วมาเจอกันในงาน “ปทุมมา มนต์เสน่ห์แห่งพืชสวนโลก”
ปฏิทินกิจกรรม
 
‘SIMPLE’ โครงการสร้างความตระหนักเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เรียนรู้วิธีฟื้นฟูป่าผ่านโลกเสมือน AR และ VR
    ‘ปลูกป่าอาจไม่เท่ากับการฟื้นฟูระบบนิเวศ’ ทุกวันนี้แม้จะมีการปลูกต้นไม้ใหม่นับล้านต้นต่อปี แต่ก็ยังไม่อาจฟื้นคืนพื้นที่ป่าได้มากเท่าไหร่นัก เพราะในความเป็นจริงแล้วป่าไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การมีต้นไม้ปกคลุมผืนดินจนเขียวขจี แต่ยังหมายรวมไปถึงการมีสายสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งภายในพื้นที่ด้วย ดังนั้นการปลูกป่าจึงควรดำเนินการด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความระมัดระวัง เพื่อให้ระบบนิเวศฟื้นคืนกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศฝรั่งเศส (IRD) และมหาวิทยาลัยเกิ่นเทอ (Can Tho University) ประเทศเวียดนาม ดำเนินโครงการ ‘SIMPLE (Sustainability Issue Metaverse for Building Participatory Learning Environments)’ เพื่อพัฒนาหลักสูตรสร้างความตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนไทย โดยคณะทำงาน สวทช. ได้เลือกหัวข้อ ‘การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ’ มาพัฒนาเป็นต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ‘BiodiVRestorer: Immersive VR Experience for Biodiversity Restoration’ จนสำเร็จ และนำเวอร์ชันแรกไปทดสอบจัดกิจกรรมให้แก่เยาวชนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว BiodiVRestorer คือโลกจำลองที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้สวมบทบาทเป็นนักฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ทำการสำรวจ วิเคราะห์ วางแผน และลงมือฟื้นฟูป่าด้วยตัวเอง ผ่านเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เห็นผลการฟื้นฟูในทันทีผ่านระบบจำลองสถานการณ์ (simulation) เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ พร้อมนำองค์ความรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเหมาะสมต่อไป   ปลูกป่าด้วยความเข้าใจ ฟื้นฟูความหลากหลายอย่างสมดุล [caption id="attachment_72242" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. และหัวหน้าโครงการ SIMPLE ในฝั่งประเทศไทย[/caption] ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. และหัวหน้าโครงการ SIMPLE ในฝั่งประเทศไทย เล่าว่า BiodiVRestorer คือ ต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้เรื่องการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ สำหรับใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการแบบ 1 วันให้แก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย “กิจกรรมการเรียนรู้จะเริ่มต้นจากการบรรยายเพื่อสร้างความตระหนักถึงความหลากหลายทางชีวภาพ และสายสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในระบบนิเวศ ซึ่งสายใยเหล่านี้กำลังพังทลายลงอย่างรวดเร็วจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุก ทำลาย หรือใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น จนท้ายที่สุดเมื่อธรรมชาติขาดความสมดุล ผลกระทบเหล่านั้นก็ได้หวนกลับมาทำร้ายตัวมนุษย์เอง ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนความมั่นคงทางอาหาร การต้องเผชิญกับภัยพิบัติธรรมชาติ หรือกระทั่งการไม่มีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ “จากจุดเริ่มต้นที่พาผู้เข้าร่วมกิจกรรมไปสู่การตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว กิจกรรมต่อมาจะเป็นการลงมือปฏิบัติจริงเพื่อเรียนรู้วิธีฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพที่เหมาะสม ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ ‘ฟื้นฟูป่า’ ผ่านเทคโนโลยี AR และ VR ซึ่งในระหว่างการทำกิจกรรมสุดสนุกนี้ จะมีการบรรยายให้ความรู้คู่ขนานกันไปด้วย เพราะเป้าหมายปลายทางของกิจกรรมคือการที่ผู้เข้าร่วมได้รู้จัก รัก และหวงแหนความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงมือฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพด้วยความเข้าใจ เพื่อให้ระบบเกิดความสมดุล และมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน”   Experimental-based Learning เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่า กิจกรรมแรกของการฟื้นฟูป่า คือ การสำรวจเพื่อประเมินระดับความเสื่อมโทรมของพื้นที่ โดยอิงหลักเกณฑ์และวิธีการ Rapid Site Assessment (RSA) หรือการประเมินพื้นที่เบื้องต้นอย่างรวดเร็วที่เจ้าหน้าที่และนักอนุรักษ์ป่าไม้ใช้ในการปฏิบัติงานจริง “ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละกลุ่มจะเริ่มลงมือสำรวจป่า โดยนำสมาร์ตโฟนไปสแกน QR code เพื่อเข้าสู่พื้นที่ป่าสามมิติที่แสดงผลด้วยเทคโนโลยี AR เมื่อเข้าไปแล้วก็จะได้ลงมือสำรวจและเก็บข้อมูลความหนาแน่นและคุณภาพป่าไม้ในพื้นที่สุ่ม 10 จุด ซึ่งแต่ละจุดจะมีข้อมูลคุณภาพป่าแตกต่างกันออกไป ผู้เข้าร่วมจะต้องเก็บข้อมูลจากทุกจุดให้ละเอียด เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม โดยต้องคำนวณว่าควรนำพืชชนิดใดเข้าไปปลูกทดแทนในปริมาณเท่าไหร่บ้างจึงจะทำให้ระบบนิเวศกลับมาสมดุลและอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง ซึ่งในการทำกิจกรรมผู้เข้าร่วมแต่ละกลุ่มจะได้รับใบงานไว้ใช้เป็นตัวช่วยในการจดบันทึกการสำรวจและการคำนวณด้วย”   [caption id="attachment_72254" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption] [caption id="attachment_72255" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption] หลังจากวางแผนฟื้นฟูกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเข้าสู่กิจกรรมเชิงปฏิบัติการช่วงที่สอง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละกลุ่มจะได้พากันออกไปท่องโลกเสมือนผ่านเทคโนโลยี VR ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าในช่วงที่สองของการทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ผู้เข้าร่วมแต่ละคนจากทุกกลุ่มจะได้สวมแว่น VR เพื่อเข้าสู่เกมเก็บเมล็ดพันธุ์ แล้วออกเดินสำรวจป่าในโลกเสมือน เพื่อเลือกเก็บผลไม้ชนิดต่าง ๆ ให้ถูกต้องและได้ปริมาณที่เหมาะตามที่วางแผนไว้ โดยภายในเกมจะมีกับดักไว้ท้าทายความละเอียดรอบคอบของผู้เล่นด้วย [caption id="attachment_72262" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption] [caption id="attachment_72263" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption] [caption id="attachment_72259" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption] [caption id="attachment_72261" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption] [caption id="attachment_72260" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption] [caption id="attachment_72258" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption] [caption id="attachment_72264" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption] “หลังจากทุกคนได้สนุกกันอย่างเต็มที่ไปกับการคิดวิเคราะห์ วางแผน คำนวณ และลงมือเก็บผลไม้เพื่อนำเมล็ดพันธุ์ไปใช้ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ป่าที่สำรวจ ก็จะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของกิจกรรม BiodiVRestorer นั่นคือการดูผลการฟื้นฟูป่าผ่านระบบจำลองสถานการณ์ โดยระบบจะจำลองสภาพป่าในช่วง 20 ปีหลังจากการนำต้นกล้าไปฟื้นฟูป่าให้เห็น ซึ่งปัจจัยความสำเร็จในการฟื้นฟูของแต่กลุ่มจะมาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ คือ ความละเอียดรอบคอบในการสังเกต การวางแผนร่วมกับเพื่อนในทีมอย่างเหมาะสม และการเลือกเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ถูกต้องได้อย่างครบถ้วน ไม่มากหรือน้อยเกินไป ​“หากผู้เล่นคนไหนพลาดเก็บเอากับดักที่ผู้พัฒนาเกมวางไว้มาด้วย ระบบก็จะสะท้อนผลลัพธ์ออกมาให้เห็นผ่านระบบจำลองสถานการณ์นี้ด้วยเช่นกัน โดยในที่นี้ผู้พัฒนาเกมได้ออกแบบให้กับดักที่ว่าคือพืชชนิดเดียวกันแต่มาจากต่างถิ่น ซึ่งพืชต่างถิ่นนั้นมีจุดแข็งเรื่องการเจริญเติบโตดีกว่าพืชท้องถิ่น ทำให้ท้ายที่สุดพืชต่างถิ่นก็ได้กลับกลายมาเป็นผู้เบียดเบียนการเจริญเติบโต จนพืชท้องถิ่นต้องล้มหายตายจากไปในที่สุด ความผิดพลาดดังกล่าวจะเป็นบทเรียนสำคัญให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้เรื่องการนำพืชต่างถิ่นเข้าไปปลูกในพื้นที่ป่าโดยขาดความรู้ความเข้าใจ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้พืชท้องถิ่นบางชนิดสูญพันธุ์ไปจากพื้นที่นั้น” [caption id="attachment_72257" align="aligncenter" width="750"] ภาพแสดงผลกลุ่มที่ฟื้นฟูป่าสำเร็จ[/caption] [caption id="attachment_72256" align="aligncenter" width="750"] ภาพแสดงผลกลุ่มที่ฟื้นฟูป่าไม่สำเร็จ[/caption] นอกจากบทเรียนเรื่องพืชต่างถิ่นแล้ว เนื้อหาอื่น ๆ ที่วิทยากรบรรยายสอดแทรกเข้าไปตามลำดับการดำเนินกิจกรรมยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น หลักเกณฑ์และวิธีประเมินพื้นที่ป่าที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการสำรวจจริง, หลักเกณฑ์การคัดเลือกและคำนวณปริมาณเมล็ดพันธุ์ให้สอดคล้องกับอัตราการงอกของพืชชนิดนั้น ๆ, หลักการคำนวณว่าจะเก็บเมล็ดพันธุ์จากแหล่งต่าง ๆ ได้ในปริมาณเท่าไหร่, วิธีการดูแลพื้นที่ป่าที่ปลูกทดแทนในช่วงอนุบาลหรือ 1-2 ปีแรกของการเพาะปลูก [caption id="attachment_72265" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างใบงานประกอบกิจกรรมการเรียนรู้[/caption] [caption id="attachment_72266" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างใบงานประกอบกิจกรรมการเรียนรู้[/caption]   เตรียมขยายผลต้นแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในปี 2570 ที่ผ่านมาคณะทำงานโครงการ SIMPLE ได้นำกิจกรรม BiodiVRestorer ไปนำร่องทดสอบจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจาก 21 โรงเรียน ในกรุงเทพฯ​, ปทุมธานี และเชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้เข้าร่วมรวมทั้งสิ้นมากกว่า 200 คน ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าจากการทดลองจัดกิจกรรม ได้ผลลัพธ์ที่ดีในทุกครั้ง ทั้งด้านความรู้ความเข้าใจและการจดจำเนื้อหาสำคัญได้ในระยะยาว นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมยังสะท้อนด้วยว่ารู้สึกสนุกและมีความสุขกับการได้มีส่วนร่วมในการทำทุกกิจกรรม รวมถึงการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เข้าร่วมกับวิทยากร “แม้การจัดกิจกรรมนำร่องจะให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว ปัจจุบันคณะทำงานก็ยังคงเดินหน้าใช้เวลาที่เหลือภายในโครงการพัฒนาหลักสูตรให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งการปรับกระชับเนื้อหา และการเพิ่มกิจกรรมเกม VR ให้ผู้เข้าร่วมได้ลงมือปลูกและดูแลพืชในช่วงอนุบาล เพื่อประคับประคองให้พืชเหล่านั้นรอดพ้นจากทั้งภัยธรรมชาติและการรุกล้ำพื้นที่จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ จนแข็งแรงพอที่จะเติบโตต่อด้วยตัวเองตามวิถีธรรมชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เกิดความหวงแหนในทรัพยากรป่าไม้ พร้อมทั้งได้เรียนรู้กระบวนการฟื้นฟูป่าแบบครบขั้นตอนตามหลักการที่ถูกต้อง” ปัจจุบันโครงการ SIMPLE ในส่วนของประเทศไทยดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว คณะทำงานคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะพัฒนากิจกรรมส่วนต่อขยายได้แล้วเสร็จ และในปี 2570 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการดำเนินงาน คณะทำงานได้มีแผนที่จะพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะแก่การนำไปติดตั้งยังแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าทิ้งท้ายว่า คณะทำงานคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นจะมีส่วนช่วยสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเหมาะสมให้แก่เยาวชน เพื่อให้พวกเขาได้นำองค์ความรู้ไปปรับใช้ สื่อสารอย่างถูกต้อง ช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และร่วมกันสร้างโลกใบนี้ให้เป็นบ้านที่ปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตตลอดไป สำหรับผู้ที่สนใจนำหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ไปใช้จัดกิจกรรมในสถานศึกษา ติดต่อสอบถามได้ที่ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. อีเมล nbt.pr@nstda.or.th และติดตามรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ผ่าน www.project-simple.eu ผู้ดำเนินงานหลักด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอน ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. ดำเนินงานด้านการพัฒนาเนื้อหาและระบบจำลองสถานการณ์ ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน สวทช. ดำเนินงานด้านการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมให้แก่ผู้เรียน ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ดำเนินงานด้านการออกแบบโมเดลสามมิติ และจัดทำสื่อ AR กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. ดำเนินงานด้านการพัฒนาสื่อ VR เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. ภาพประกอบโดย คณะทำงานโครงการ SIMPLE ประเทศไทย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช.-กรมชลประทาน-กรมควบคุมมลพิษ-จุฬาฯ ผนึกกำลังสร้างระบบจัดการคุณภาพน้ำยั่งยืน รับมือสารปนเปื้อนอุบัติใหม่
วันที่ 6 สิงหาคม 2568 ณ กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมชลประทาน กรมควบคุมมลพิษ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “การยกระดับขีดความสามารถด้านการจัดการคุณภาพน้ำและการปนเปื้อนในแหล่งน้ำของประเทศไทย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษา วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้านการจัดการคุณภาพน้ำและการควบคุมสารมลพิษอุบัติใหม่ (Emerging Contaminants) เช่น สาร PFAS และโลหะหนักในแหล่งน้ำของประเทศไทย ผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ การพัฒนาบุคลากร การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ มีนายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และรองศาสตราจารย์ ดร.อักษรา พฤทธิวิทยา อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมลงนาม โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาคีเข้าร่วมงาน และการสัมมนาวิชาการในหัวข้อ "Understanding the Perils of Emerging Contaminants in Water and Environment" โดยผู้แทนจากหน่วยงานพันธมิตร และการบรรยายพิเศษออนไลน์จาก Professor Denis O'Carroll, Deputy Head of School of Civil and Environmental Engineering & Managing Director of the Water Research Laboratory, University of New South Wales (UNSW) ประเทศออสเตรเลีย นายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทานมีหน้าที่ในด้านการพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ โดยความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมให้มีการพัฒนามาตรการเชิงป้องกัน แก้ไข การออกมาตรฐานคุณภาพน้ำ เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติด้านการตรวจวัด ติดตาม และประเมินผลคุณภาพน้ำของแม่น้ำและแหล่งน้ำทั้งระบบตามหลักวิชาการ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อปัญหาระดับพื้นที่อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่จะช่วยให้การจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศมีประสิทธิภาพและยั่งยืน นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ปัญหาด้านคุณภาพน้ำและการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยหรือจากพื้นที่โดยรอบที่เข้าสู่ประเทศไทย ล้วนมีความรุนแรง ซับซ้อน และแพร่กระจายสู่สิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว การปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารมลพิษอุบัติใหม่เหล่านี้จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการตรวจวัด วิเคราะห์ ติดตาม และกำจัด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการเฝ้าระวังที่เท่าทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับสากล กรมควบคุมมลพิษมีบทบาทสำคัญในการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำของประเทศ ซึ่งความร่วมมือของทั้ง 4 หน่วยงานในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการร่วมกัน ครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา การวิจัยและพัฒนา รวมถึงการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการแก้ไขปัญหาและการจัดการคุณภาพน้ำ ตลอดจนการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ เพื่อยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศและประชาชนได้รับสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปัญหาคุณภาพน้ำและการปนเปื้อนในแหล่งน้ำเป็นความท้าทายระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาควิจัย สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยหลักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีความมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนา มาสนับสนุนการทำงานร่วมกันในครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจวัดและบำบัดสารมลพิษอุบัติใหม่ รวมถึงสาร PFAS และโลหะในน้ำ โดยมีประสบการณ์ในการดำเนินงานโครงการสำรวจสาร PFAS ในแม่น้ำท่าจีน แม่กลอง และชายฝั่งตะวันออก รวมทั้งร่วมกับสำนักงานภูมิภาคองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ในการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจหาสาร PFAS และการพัฒนาต้นแบบคัดกรองโลหะในน้ำประปาหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำความรู้และเทคโนโลยีมาสนับสนุนการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ สวทช. โดย นาโนเทค และเอ็มเทค ยังได้ทำงานร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ หรือ สคพ. ในการตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภคสำหรับชุมชนภายใต้แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระหว่างปี 2566-2567 เพิ่มการเข้าถึงน้ำสะอาดมากกว่า 2,700 ครัวเรือน ในปี 2568 มากกว่า 24,000 ครัวเรือน และจะขยายวงกว้างในพื้นที่อื่นในอนาคต โดยอาศัยนวัตกรรมตรวจวัดและปรับปรุงคุณภาพน้ำ กิจกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับทิศทางการวิจัยของนาโนเทคหรือที่เรียกว่า strategic focus น้ำและสิ่งแวดล้อม ที่ตอบโจทย์และปัญหาที่สำคัญของประเทศ ตามเป้าหมายสำคัญของ สวทช. คือ “การทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น” การลงนาม MOU ในครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ และหน่วยงานวิจัย ในการวางรากฐานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและตอบสนองต่อความท้าทายของการปนเปื้อนในแหล่งน้ำของประเทศในระยะยาว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบในหลายมิติต่อการดำรงชีวิตของประชาชนและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เทคโนโลยี BLOCKCHAIN เพื่อการขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิทัล (Blockchain Technology for Business Transformation: B4B)
หลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เทคโนโลยี BLOCKCHAIN เพื่อการขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิทัล (Blockchain Technology for Business Transformation: B4B) KEY HIGHLIGHT รู้จักและเข้าใจเทคโนโลยี Blockchain ทั้งหลักการและการประยุกต์ใช้งาน รวมถึงจุดเด่น และข้อจำ กัดหากนำ มาใช้งาน เรียนรู้การประยุกต์ใช้งาน Blockchain ในหลากหลายองค์กรจากกรณีศึกษาจริง อาทิ ทางการแพทย์, การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล, Real-World Asset, Stablecoin ได้แนวคิดและเห็นโอกาสในการนำ เทคโนโลยี Blockchain ไปประยุกต์ใช้และปรับเปลี่ยน ธุรกิจ/องค์กร ให้สอดคล้องกับสังคมดิจิทัลในอนาคต ฝึกปฏิบัติ (Workshop) เข้มข้น การใช้งานเทคโนโลยี Blockchain พื้นฐานด้วยตนเอง กับผู้เชี่ยวชาญ Blockchain ทั้งเชิงกลยุทธ์และเทคนิค โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ 3 - 5 กันยายน 2568 หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ นักพัฒนาโปรแกรม ผู้ดูแลระบบ (Developer) ผู้บริหาร และเจ้าของธุรกิจ ที่สนใจ Digital Transformation และการนำ Blockchain มาใช้ในองค์กร ผู้กำหนดนโยบายในองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐที่สนใจนำ Blockchain ไปใช้เพื่อบริการสาธารณะ นักพัฒนาเทคโนโลยี และผู้วางแผนกลยุทธ์องค์กร นักวิเคราะห์ด้านการเงิน การลงทุน และเทคโนโลยี ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี และ Startup ค่าลงทะเบียน Package A: For Management 10,700 บาท (อบรม 2 วัน) Package B: For Developer 14,900 บาท (อบรม 3 วัน) ดูรายละเอียดได้ที่: https://www.career4future.com/b4b 0 2644 8150 ต่อ 81898 (คุณฉวีวรรณ) Email: npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ประกาศ นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)
ประกาศสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เรื่อง นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ   ดาว์นโหลดไฟล์ : Poster_นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)_A3.pdf
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ มจพ. สร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เตรียมกำลังคน สู่อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต
 วันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์พัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มจพ. มาบตาพุด จ.ระยอง - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา “เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและการพัฒนาทักษะความรู้ด้านยานยนต์ไฟฟ้า และการจัดการแบตเตอรี่อย่างยั่งยืนให้กับบุคลากรภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) เป็นประธานเปิดงาน ร่วมกับ นางปิยะฉัตร ใคร้วานิช เบอร์ทัน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาพื้นที่และกำลังคน เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ซึ่งทาง TECE สวทช. จะร่วมกับ มจพ. ในการขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนากำลังคนพัฒนาทักษะ บุคลากรในกลุ่มผู้ประกอบการ และนักเรียนนักศึกษา เพื่อสร้างความร่วมมือการพัฒนาด้านกำลังคน สู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งเน้นการเรียนรู้พื้นฐานการทำงาน และการซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนสำคัญอย่างมอเตอร์ขับเคลื่อนไฟฟ้า โดยใช้องค์ความรู้จาก ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และการจัดการแบตเตอรี่อย่างปลอดภัย โดยใช้องค์ความรู้จากศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC)  ในการตรวจสอบ ซ่อมบำรุง รวมถึงแนวทางการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วในยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน ในอนาคต ทั้งนี้ภายในงานได้รับเกียรติจากประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง รองประธานหอการค้าจังหวัดระยอง  ปลัดเทศบาลนครระยอง และรองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคระยอง ร่วมเป็นสักขีพยาน รศ.ดร.สมนึก วิสุทธิแพทย์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานบริการวิชาการและอุตสาหกรรมสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) กล่าวว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเริ่มจาก มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ให้แก่ผู้เข้าร่วมจากภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งการพัฒนาศักยภาพบุคลากรผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงในการทำงาน นอกจากนี้ ยังเป็นการเชื่อมโยงงานวิจัยกับอุตสาหกรรมด้วยการดำเนินการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย เพื่อขยายเครือข่ายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเทคโนโลยีให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นทำให้ความต้องการบริการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย แต่จำนวนอู่ซ่อมที่มีทักษะและความรู้เฉพาะทางยังมีจำกัด การพัฒนาทักษะบุคลากรจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยให้กับช่างและผู้ใช้บริการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดยานยนต์ยุคใหม่ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC และ TECE สวทช. กล่าวถึงบทบาทของ สวทช. โดยศูนย์ฯ TECE มีพันธกิจในการผลักดันงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ และในบริบทของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) สวทช. ให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศ EV ที่ครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการนำไปใช้ โดยการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ตามนโยบายด้าน EV ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ความร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศไทย สวทช. ทำหน้าที่เป็นตัวกลางสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานในหลายมิติ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การถ่ายทอดองค์ความรู้ และการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ร่วมกับมหาวิทยาลัย ฯ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แรงงานมีทักษะตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ยังมีการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการจัดการแบตเตอรี่อย่างยั่งยืน การพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงนวัตกรรมที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้มแข็งในประเทศ และด้านการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน สวทช. พร้อมสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนโครงการ ทั้งบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ อุปกรณ์วิจัย ตลอดจนเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับคุณภาพของการดำเนินงานให้ทัดเทียมนานาประเทศ ดร.สุมิตรา กล่าวทิ้งท้ายว่า บทบาทในฐานะศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. มุ่งมั่นที่จะสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างครบวงจร ซึ่งนอกจากจะมุ่งหวังผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจแล้ว  ยังให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันเพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนอย่างแท้จริง หลังจากพิธีลงนาม มีการจัดกิจกรรมการ Showcasing: การทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า  ในรูปแบบการ บรรยายและสาธิต หัวข้อ “การทดสอบหาคุณลักษณะมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า” ถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและเชิงวิชาชีพแก่คณาจารย์ นักวิจัย วิศวกร นักศึกษาในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ตลอดจนผู้ที่สนใจในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า การสาธิตการใช้งานแท่นทดสอบวัดคุณลักษณะมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถใช้ในการหาพารามิเตอร์ที่สำคัญต่าง ๆ ของมอเตอร์ไฟฟ้า ตลอดจนใช้ในการตรวจสอบความผิดปกติของมอเตอร์ไฟฟ้าในยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แท่นทดสอบวัดคุณลักษณะมอเตอร์ไฟฟ้าดังกล่าว เป็นผลงานวิจัยที่พัฒนาโดยนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. โดยผลงานดังกล่าวได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้สิทธิการใช้ประโยชน์แก่บริษัท เพาเวอร์ไดรฟ์ ออโตเมชั่น จำกัด เพื่อใช้ในการพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ช่วยยกระดับศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศให้สูงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังกำหนดจัด กิจกรรม “การพัฒนาผู้ประกอบการไทยด้านความปลอดภัยในการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า” โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. ร่วมกับ มจพ.ระยอง มุ่งเน้นสร้างความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัย และเทคนิคเฉพาะทางในการซ่อมตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่การเรียนรู้โครงสร้างและวัสดุของตัวถัง EV การประเมินความเสียหายหลังอุบัติเหตุ การตัดการเชื่อมต่อระบบแรงดันสูงอย่างถูกวิธี และการใช้เครื่องมือวัดและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ลงมือปฏิบัติจริงกับรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ (Nissan Leaf, BYD Dolphin) และระบบจำลองเสมือนจริง VR/AR เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในการทำงานจริง ซึ่งกิจกรรมจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 - 2 กันยายน 2568 ณ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม มจพ. จ.ระยอง เพื่อยกระดับทักษะและความรู้ด้านการซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า (EV) แก่ผู้ประกอบการไทย รองรับการขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“การรังสรรค์เมนูอาหารและเครื่องดื่มจากพืชผักสมุนไพรพรีเมี่ยม” ในงาน Smart Agri Days 2025
🌿 เปิดมุมมองใหม่! กับ Workshop สุดพิเศษ “การรังสรรค์เมนูอาหารและเครื่องดื่มจากพืชผักสมุนไพรพรีเมี่ยม” ในงาน Smart Agri Days 2025 🍹 เรียนรู้ไอเดียการแปรรูปเมนูสุดว้าว 👨‍🍳 จากเชฟและผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร 🥤 พร้อมลงมือทำ Healthy Refreshing Drink สูตรพิเศษ ด้วยตัวเอง ✨ เปลี่ยนสมุนไพรไทยให้กลายเป็นเมนูสร้างมูลค่าได้จริง! 📌 พิเศษสำหรับผู้เข้าร่วม Workshop กับ อาจารย์เป็นเอก ทรัพย์สิน อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ โรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต 🗓 วันที่: 29 สิงหาคม 2568 ⏰ เวลา: 14.00 – 16.00 น. 📍 สถานที่: ลานกิจกรรม Event Square ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ปทุมธานี 💥 สมัครเข้าร่วมฟรี! (จำนวนจำกัด) 👉 https://www.nstda.or.th/agri2025/activity/workshop/  
ปฏิทินกิจกรรม
 
MEET THE FOOD EXPERT by FoodInnopolis การแปรรูปและถนอมอาหารโดยการใช้ความร้อน
MEET THE FOOD EXPERT by FoodInnopolisการแปรรูปและถนอมอาหารโดยการใช้ความร้อน ขอเชิญผู้ประกอบการอาหาร เข้าร่วมกิจกรรมให้คำปรึกษาแบบ One on Oneกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยสวนดุสิตเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือพบปัญหาในการแปรรูป/ถนอมอาหารด้วยกระบวนการที่ใช้ความร้อน อาทิ พาสเจอไรซ์ (Pasteurization) สเตอริไลซ์ (Sterilization) ยูเอชที (UHT) วันและเวลา: 18 - 19 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไปรูปแบบ: ออนไลน์ผ่าน Zoomวิทยากร: ผศ.ดร.ศวรรญา ปั่นดลสุข รศ.ดร.ภัทรทิพย์ รอดสำราญ พิเศษ!รับจำนวนจำกัดเพียง 10 บริษัทเท่านั้นปิดรับสมัครวันที่ 12 สิงหาคม 2568ประกาศผลผู้ได้รับสิทธิ์วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ลงทะเบียนได้ที่: [สแกน QR ในโปสเตอร์ หรือคลิกที่นี่] #หมายเหตุ:ผู้ได้รับสิทธิ์จะได้รับ Link เข้ารับคำปรึกษาผ่านทางออนไลน์
ปฏิทินกิจกรรม