หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. โดย นาโนเทค และ สอวช. เปิดเวที “สัมมนาประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนที่นำทางการวิจัย และพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย พ.ศ. 2571-2575”
วันที่ 14 สิงหาคม 2568  ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งาน อว.แฟร์ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)  ร่วมกันจัดงาน "สัมมนาประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนที่นำทางการวิจัย และพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย พ.ศ. 2571-2575” ซึ่งได้รับเกียรติจากศ.ดร.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) และประธานกรรมการบริหารศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยมี ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการนาโนเทค สวทช. และ ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. ร่วมให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและผู้เข้าร่วมงานจากทุกภาคส่วน พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมา ภายในงาน ยังมีกิจกรรมสัมมนาพิเศษ “ทิศทางการนำ วทน. ไปประยุกต์ใช้ในการยกระดับเศรษฐกิจระดับมหภาค”โดย คุณเปรมวิทย์ จรีเวฬุโรจน์ กรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ร่าง) แผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (Thailand Nanotechnology Roadmap) ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2571 – พ.ศ. 2575) มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยงานด้านการวิจัย สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และภาครัฐ ที่จะช่วยต่อยอดและยกระดับผลงานวิจัยทางด้านวิชาการ มุ่งสู่การใช้งานได้จริงในทุกภาคส่วน ประเด็นมุ่งเน้นภายใต้แผน TRM ฉบับใหม่ มีการกำหนดเป็น 4 ประเด็นมุ่งเน้น ประกอบด้วย ประเด็นมุ่งเน้นที่ 1 Nano for Advanced and High-Quality Healthcare การประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการยกระดับระบบการแพทย์แม่นยำและเวชศาสตร์เชิงป้องกัน ประเด็นมุ่งเน้นที่ 2 Nano for Green Technology & Climate Change Solutions การประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ประเด็นมุ่งเน้นที่ 3 Nano for Smart and Sustainable Agrifood การประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบเกษตรแม่นยำและระบบอาหารยั่งยืน ประเด็นมุ่งเน้นที่ 4 Nano safety & Nano ethics เป็นการจัดทำแนวทางการประยุกต์ใช้ นาโนเทคโนโลยีอย่างมีมาตรฐาน ความรับผิดชอบและความปลอดภัย  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. และ มรภ.อุดรธานี ผนึกกำลังจัดงาน Field day ถ่ายทอดเทคโนโลยีไม้ดอก “ปทุมมา” ตลอดห่วงโซ่การผลิต หนุนเกษตรกรไทยก้าวสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืน พร้อมต้อนรับมหกรรมพืชสวนโลกในปี 2569
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (มรภ.อุดรธานี) ร่วมกันจัดงานการถ่ายทอดเทคโนโลยีไม้ดอก “ปทุมมา” ตลอดห่วงโซ่การผลิต ภายใต้แนวคิด “ปทุมมา มนต์เสน่ห์แห่งพืชสวนโลก” ระหว่างวันที่ 14-15 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาท้องถิ่นบ้านตาด มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีเกี่ยวกับสายพันธุ์ปทุมมา กระบวนการผลิตอย่างครบวงจร และเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยี 2. สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ประกอบการในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ และ 3. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาพันธุ์และการผลิตปทุมมาของประเทศไทย และเตรียมความพร้อมสู่งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานีในปี 2569 พิธีเปิดงานมีขึ้น ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ได้รับเกียรติจาก นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.คณิศรา ธัญสุนทรสกุล อธิการบดี มรภ.อุดรธานี รวมถึงผู้บริหารหน่วยงาน พร้อมด้วยคณะทูตเกษตรประจำประเทศไทย จากเนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เข้าร่วมงาน เพื่อสร้างความร่วมมือทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยี การเชื่อมโยงตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งครอบคลุมกลุ่มไม้ดอก ปทุมมา รวมถึงการเกษตรด้านอื่น ๆ ด้วย คาดมีผู้ร่วมงานกว่า 250 คน จากกลุ่มเป้าหมายเครือข่ายเกษตรกรจากจังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู บึงกาฬ หนองคาย เลย ร้อยเอ็ด สุราษฎร์ธานี นราธิวาส รวมถึงนักวิชาการ นักวิจัย ผู้ประกอบการ (ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านดอกไม้ คาเฟ่) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งหวังให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการเกษตรและขยายศักยภาพตลาดต่างประเทศต่อไปในอนาคต นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า งานในวันนี้ที่ มรภ.อุดรธานี และ สวทช. ร่วมกันจัดขึ้น มีความสอดคล้องกับพันธกิจของจังหวัดในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก การท่องเที่ยว และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งการดำเนินงานโครงการและกิจกรรมการยกระดับคุณภาพการผลิต การวิจัย การพัฒนาศูนย์เรียนรู้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและใช้ประโยชน์จากปทุมมาครบวงจร จะทำให้เกษตรกรของจังหวัดอุดรธานีได้รับความรู้ เกิดทักษะ และมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน และร่วมขยายพื้นที่ปลูกปทุมมาให้เป็น ไม้ดอกอัตลักษณ์เชิงเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ปี 2566 จนถึง ปัจจุบัน สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) และ มรภ.อุดรธานี โดยศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการวิจัยและพัฒนาท้องถิ่น มีความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรและเกษตรสมัยใหม่ครบวงจร ได้สร้างกลไก “Train the Trainer” พัฒนาเกษตรกรต้นแบบผู้ผลิตปทุมมา สร้างแปลงสาธิต และรวบรวมสายพันธุ์ไว้มากกว่า 80 สายพันธุ์ ในพื้นที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาท้องถิ่นบ้านตาด ซึ่งกลายเป็นแหล่งเรียนรู้และศึกษาดูงานแบบครบวงจร และมีหลักสูตรการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เกิดการยกระดับทักษะความรู้เกษตรกรด้านการผลิต การบริหารจัดการแปลง และการเก็บเกี่ยวเพื่อให้ได้ผลผลิตสูง ปลอดภัย ได้คุณภาพดี และมีเกษตรกรให้ความสนใจเพิ่มขึ้นทุกปี รวมไม่น้อยกว่า 250 คน มีเกษตรกรแกนนำ 10 คน ที่จัดทำแปลงสาธิตต้นแบบ และเกิดการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.คณิศรา ธัญสุนทรสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าวเสริมว่า ในปีนี้ มรภ.อุดรธานี และ สวทช. ได้ร่วมกันจัดงานขึ้นมา เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้การผลิตปทุมมาตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่การวิจัยสายพันธุ์ใหม่ ๆ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การจัดการ การขยายพันธุ์ปลอดโรคเชิงปริมาณ รวมทั้งการใช้ประโยชน์และการตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศในอนาคต การจัดงานถ่ายทอดเทคโนโลยีในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งของแผนขับเคลื่อนการพัฒนาไม้ดอกปทุมมาอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ ระบบการจัดการทรัพยากรพันธุกรรม การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการสู่เกษตรกร และการเพิ่มมูลค่า รวมถึงสร้างเครือข่ายผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และเชื่อมโยงตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไม้ดอกของไทยสู่มาตรฐานสากล สร้างอาชีพทางเลือกที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรในระยะยาว สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งต่อยอดนำผลผลิตปทุมมาจากโครงการและเกษตรกรเครือข่าย ไปใช้ประโยชน์สำหรับเตรียมความพร้อมจัดมหกรรมพืชสวนโลกที่จังหวัดอุดรธานีเป็นเจ้าภาพ ในปี 2569 ต่อไป โดยไฮไลต์ของงาน ประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ แปลงแสดงพันธุ์ปทุมมา/กระเจียว ชมความหลากหลายมากกว่า 80 สายพันธุ์ การเสวนาวิชาการ “โอกาสและศักยภาพการขับเคลื่อนไม้ดอกปทุมมาของประเทศไทย” การแสดงนิทรรศการ เทคโนโลยีการผลิตปทุมมาครบวงจร และผลิตภัณฑ์จากเครือข่ายเกษตรกร การอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพิ่มมูลค่าและแปรรูปปทุมมา รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร สัมผัสประสบการณ์ “Agri-Green tourism” ในชุมชน สำหรับ “ปทุมมา (Siam Tulip) ราชินีแห่งป่าฝน” นับเป็นไม้ดอกเมืองร้อนที่มีศักยภาพสูงของประเทศไทย รูปทรงและใบประดับมีสีสันหลากหลาย ใช้ประโยชน์ได้ทั้งเป็นไม้ตัดดอก ไม้กระถาง ไม้ประดับภูมิทัศน์สร้างแลนด์มาร์คเสริมการท่องเที่ยว พร้อมทั้งจำหน่ายหัวพันธุ์หรือต้นพันธุ์ปลอดโรค รวมถึงแปรรูปเพิ่มมูลค่า ในปี 2561-2565 มูลค่าส่งออกปทุมมาประมาณ 94 ล้านบาท (สถาบันวิจัยพืชสวน, กรมวิชาการเกษตร 2566)
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สัมมนา “การเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพไทย ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน”
🚀 เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ของธุรกิจเกษตรและนวัตกรรม! พบกับแนวคิดและเทคโนโลยีสร้างมูลค่าเพิ่ม จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง พร้อมเคล็ดลับต่อยอดธุรกิจสู่อนาคตอย่างยั่งยืน 🌱✨   📌 งานสัมมนา “การเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพไทย ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน”   🗓 วันที่ 29 ส.ค. 2568 เวลา 08:30 – 16:00 น. 📍 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว   อย่าพลาดโอกาสสร้างเครือข่าย และอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อธุรกิจของคุณ!  
ปฏิทินกิจกรรม
 
‘nPatch’ แผ่นแปะเข็มจิ๋ว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้กลัวเข็ม ใช้ง่าย ไม่เจ็บ
  เมื่อ ‘ความกลัวเข็ม’ และ ‘ความจำเป็นในการเข้ารับบริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง’ กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตัดสินใจรักษาของผู้ป่วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้พัฒนาเทคโนโลยี ‘แผ่นแปะไมโครนีดเดิล (microneedle patch)’ หรือ ‘แผ่นแปะเข็มจิ๋วขนาดระดับไมโครเมตร’ ที่ใช้งานง่าย เจ็บน้อย และมีรูปลักษณ์เป็นมิตรกับผู้ใช้ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับอุตสาหกรรมแพทย์และเวชสำอาง เพื่อการนำส่งสารลงสู่ชั้นผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ   [caption id="attachment_72524" align="aligncenter" width="450"] ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย นักวิจัย ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย นักวิจัย ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่าที่ผ่านมาทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาแผ่นแปะไมโครนีดเดิลสำหรับนำส่งสารออกฤทธิ์ เช่น ยา วิตามิน รวมถึงสารชีวโมเลกุลต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว 4 รูปแบบหลัก ได้แก่ เข็มตัน (solid microneedle) ใช้เจาะเปิดช่องเล็ก ๆ บนผิวก่อนทายาหรือสารออกฤทธิ์ เข็มเคลือบสารออกฤทธิ์บนผิวเข็ม (coated microneedle) ใช้ส่งสารออกฤทธิ์เข้าสู่ชั้นผิวหนัง โดยเมื่อเข็มเจาะผ่านผิวหนัง สารเคลือบจะละลายและซึมเข้าสู่ชั้นผิวอย่างรวดเร็ว “เข็มละลายได้บรรจุสารออกฤทธิ์ (dissolving microneedle) เป็นเข็มที่ทำจากพอลิเมอร์หรือน้ำตาลที่ละลายในชั้นผิวหนังได้ โดยภายในเนื้อเข็มจะผสมสารออกฤทธิ์ไว้ เมื่อเข็มเจาะผ่านชั้นผิวจะละลายและปลดปล่อยสารเข้าสู่ร่างกาย และชนิดสุดท้ายคือเข็มไฮโดรเจล (hydrogel microneedle) เป็นเข็มที่ทำจากพอลิเมอร์ชนิดดูดน้ำสูง เมื่อเจาะผ่านชั้นผิวจะดูดซับของเหลวทำให้โครงสร้างขยายตัว และปล่อยสารออกฤทธิ์ออกมาตามการควบคุมการปลดปล่อย (controlled release) “เข็มทั้ง 4 รูปแบบ ผลิตได้ตั้งแต่ความยาว 100-2,000 ไมโครเมตร มีรูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นแผ่นแปะคล้ายพลาสเตอร์ยาทั่วไป ทำให้ใช้งานง่าย ช่วยลดความหวาดกลัวเข็มได้เป็นอย่างดี โดยผู้เข้าร่วมทดสอบให้ข้อคิดเห็นว่าแทบไม่รู้สึกเจ็บหรือรู้สึกเจ็บในระดับต่ำมาก” แผ่นแปะไมโครนีดเดิลเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตรวจวินิจฉัยหรือการนำส่งสารออกฤทธิ์ผ่านผิวหนัง เนื่องจากผิวหนังชั้นนอกสุด (stratum corneum) ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการซึมผ่านของสารต่าง ๆ โดยเฉพาะสารโมเลกุลขนาดใหญ่และสารที่ชอบน้ำ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลจะช่วยสร้างรูพรุนขนาดเล็กระดับไมโครเมตรบนผิวหนังชั้นนอกสุด (มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า) ช่วยให้ส่งผ่านยาหรือสารออกฤทธิ์เข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งควบคุมปริมาณและอัตราการปล่อยได้อย่างแม่นยำ จึงประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ทั้งในอุตสาหกรรมการแพทย์ เครื่องสำอาง และเวชสำอาง ครอบคลุมทั้งการตรวจ วินิจฉัย รักษา และบำรุง   ดร.จีราพร อธิบายว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วหลายผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างแรก คือ ‘nPatch: Triamcinolone Acetonide’ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลชนิดละลายได้สำหรับรักษาคีลอยด์ (แผลเป็นนูนผิดปกติ) แทนการฉีดสเตียรอยด์ที่ต้องพบแพทย์เดือนละ 2 ครั้งต่อเนื่องนาน 6 เดือน ช่วยลดความถี่ในการพบแพทย์ และช่วยลดความเจ็บปวดจากการใช้เข็มฉีดดันยาเข้าสู่แผลได้อย่างมาก “ตัวอย่างที่สอง ‘nPatch: Vitamin C’ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลชนิดละลายได้สำหรับนำส่งวิตามินซีเข้าสู่ผิวหนัง เพื่อช่วยบำรุงผิวให้แลดูเรียบเนียน กระจ่างใส และมีสีผิวสม่ำเสมอ พร้อมช่วยบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี ตัวอย่างที่สาม ‘nPatch: Broad-Spectrum Antibiotics’ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลชนิดละลายได้สำหรับรักษาสิวอักเสบชนิดไม่รุนแรง ช่วยยับยั้งเชื้อจุลชีพ ลดการลุกลาม และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว “ตัวอย่างที่สี่ ‘nPatch: Phytohemagglutinin’ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลชนิดละลายได้สำหรับการทดสอบภูมิคุ้มกันทางผิวหนัง โดยใช้สารไฟโทฮีแมกกลูทินิน (phytohemagglutinin: PHA) กระตุ้นการตอบสนองของเซลล์เม็ดเลือดขาว เพื่อประเมินการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เหมาะสำหรับการคัดกรองภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้รับเคมีบำบัด ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้ที่ต้องติดตามสภาวะภูมิคุ้มกันในระยะยาว นอกจากนี้ยังใช้ตรวจภูมิคุ้มกันในสัตว์ เช่น โค กระบือ สุกร สุนัข รวมถึงสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ เพื่อเฝ้าระวังโรคและคัดกรองสุขภาพฝูงได้ด้วย “ตัวอย่างสุดท้ายคือ ‘nPatch: Nitrate/Nitrite’  ไมโครนีดเดิลชนิดไฮโดรเจลสำหรับตรวจวัดปริมาณไนเทรตและไนไทรต์ในอาหาร โดยใช้คุณสมบัติการดูดซับของไฮโดรเจลร่วมกับสารตรวจจับ ให้ผลรวดเร็ว แม่นยำ เหมาะสำหรับเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารทั้งในกระบวนการผลิตและการตรวจสอบภาคสนาม” นอกจากตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีข้างต้นแล้ว แพลตฟอร์มการผลิตไมโครนีดเดิลยังผ่านการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นในการวิจัยและพัฒนาสูง ทำให้พร้อมรองรับโจทย์การวิจัยจากผู้ประกอบการได้อย่างหลากหลาย และพร้อมต่อยอดสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ สำหรับผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจ สอบถามรายละเอียดได้ที่ ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อีเมล jeerapond@nanotec.or.th โทรศัพท์ 09 7124 6127 เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์​ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์​ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์​ และนาโนเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
NECTEC และ SWP สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การประยุกต์ใช้เอไอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน”
( 7 ส.ค. 2568) ณ ซอฟต์แวร์พาร์คไทยแลนด์ นนทบุรี : ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ร่วมกับเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (SWP) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การประยุกต์ใช้เอไอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน” คุณชัชวาล สังคีตตระการ (คุณโคนัน) วิศวกรอาวุโส กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช. ให้เกียรติมาบรรยายและแบ่งปันประสบการณ์กับผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 56 ท่านจากภาครัฐและเอกชนรวม 27 หน่วยงาน พร้อมเวิร์กช็อปการใช้เครื่องมือเอไอเพื่อคิดงาน เขียนคอนเทนต์ เปลี่ยนข้อมูลที่มีให้เป็นผู้ช่วยตอบคำถามหรือสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ และแลกเปลี่ยนมุมมองการใช้ AI อย่างมืออาชีพ ปลอดภัย มีจริยธรรม และรับผิดชอบ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“SolaRE- แผงโซลาร์เซลล์ที่ออกแบบเพื่อการรีไซเคิล” ได้รับคัดเลือกเป็นผลงานที่น่าลงทุนที่สุด และ “Pathumma Connect” เป็นผลงานที่นำเสนอได้ดีที่สุดในงาน Thailand Tech Show 2025
(วันที่ 13 สิงหาคม 2568) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยต่าง ๆ จัดกิจกรรม “Investment Pitching ในงาน Thailand Tech Show 2025 (TTS2025)” ภายใต้งาน อว.แฟร์ 2025 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีเชื่อมโยงระหว่างภาคอุตสาหกรรม นักลงทุน และผู้สนใจทั่วไป ให้สามารถเข้าถึงและนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่พัฒนาขึ้นจากสถาบันและหน่วยงานวิจัย รวมถึงมหาวิทยาลัย ไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้เป็นประธานกล่าวเปิดงาน Thailand Tech Show 2025 (TTS2025) อย่างเป็นทางการ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจบนเวทีกลาง การจัดแสดงนิทรรศการของ สวทช.และพันธมิตร ในโซน D: Valley of Growth เทคโนโลยีที่พร้อมต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีพร้อมใช้หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม สำหรับเวทีการนำเสนอผลงานวิจัยเด่นที่น่าลงทุน (Investment Pitching) ในปีนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 10 ผลงานจาก สวทช. 8 ผลงาน และพันธมิตร 2 ผลงาน ซึ่งผลปรากฎว่ารางวัลผลงานที่น่าลงทุนที่สุดประจำปี 2568 จากการโหวตจากนักลงทุนและประชาชนที่เข้าร่วมงาน โดยรางวัลผลงานที่น่าลงทุนที่สุดประจำปี 2568 ได้แก่ “SolaRE (โซลาร์รี): Innovative GREEN Solar Cells - แผงโซลาร์เซลล์ที่ออกแบบเพื่อการรีไซเคิล” ผลงานวิจัยและพัฒนาโดย ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี และทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ จากศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค-สวทช.) “SolaRE โซลาร์รี Innovative Green Solar Cells” แผงโซลาร์เซลล์โครงสร้างใหม่ที่สามารถถอดแยกส่วนประกอบหลักออกได้เมื่อสิ้นอายุใช้งาน โดยใช้เครื่องมือช่างพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องใช้กระบวนการทางความร้อนหรือสารเคมี สัดส่วนน้ำหนักซากที่นำกลับมาใช้ต่อได้ 85-95% สะดวกต่อการรีไชเคิลวัสดุ ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของแผงโซลาร์รีเทียบเท่าแผงโครงสร้างแบบดั้งเดิม ปัจจุบัน แผงโซลาร์รีขนาดเล็กกำลังการผลิตไฟฟ้า 15 วัตต์ สามารถประยุกต์ใช้ชาร์จแบตเตอรี่สำหรับโคมไฟแอลอีดีได้เทียบเท่ากับแผงสำเร็จที่มากับชุดอุปกรณ์ ผ่านการทดสอบใช้งานในสภาวะจริงต่อเนื่องนานกว่า 24 เดือน ส่วนผลงานที่นำเสนอได้ดีที่สุด ได้แก่ ผลงาน "Pathumma Connect" ผลงานวิจัยและพัฒนา โดย ดร.ศราวุธ คงยัง กลุ่มนวัตกรรมการผลิตยั่งยืน EECi สวทช. และกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค- สวทช.) "Pathumma Connect" เป็นระบบ Meeting Intelligence Platform ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการประชุมขององค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้แนวคิด "WHERE VOICE CAN BECOME ACTIONS" ระบบนี้รวมเทคโนโลยี 3 ส่วนหลัก ได้แก่ Partii Note - ระบบถอดเสียงการประชุมด้วยเทคโนโลยี AI ภาษาไทย, DocChat - ระบบ Chat และติดตามการประชุมแบบอัจฉริยะ, และ DocGen - ระบบร่างเอกสารอัตโนมัติจากผลการประชุม จุดเด่นของ Pathumma Connect อยู่ที่การเป็น Private AI Technology ที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับประเทศไทย โดยทีมวิจัยตั้งเป้าหมายในการพัฒนาระบบ AI ที่เข้าใจภาษา ข้อมูล และบริบทประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง รวมถึงการสร้างความมั่นใจในการใช้งาน AI โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลองค์กร ทั้งนี้ Pathumma Connect ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง งาน “อว.แฟร์2025 : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” งานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ด้วยพลังสหวิทยาการ สำหรับประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์ นักวิจัย ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจทุกท่าน ขอเชิญมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตของประเทศไทยไปด้วยกันได้ที่งาน “อว.แฟร์ 2025” และ “NST Fair 2025” ระหว่างวันที่ 9 - 17 สิงหาคม 2568 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยงาน “อว.แฟร์ 2025” จัดขึ้นที่ฮอลล์ 1-4 ชั้น G และงาน “NST Fair 2025” จัดขึ้นที่ฮอลล์ 5-6 ชั้น LG สามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.mhesifair.com และเฟซบุ๊ก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นวัตกรรมแคลเซียมจากก้างปลา ผศ.ดร.วัชระ ดำจุติ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี Pure Air Better Quality of Life ดร.ศุภมาส ด่านวิทยากุล : ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. ชุดตรวจวัดโลหะและสารเคมีในน้ำสำหรับการใช้งานภาคสนาม (CHEM Sense) ดร.วีรกัญญา มณีประกรณ์ : ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. เครื่องพิมพ์อาหารสามมิติแบบหลายหัวฉีดพร้อมเตาอบ ดร.โพธิวัฒน์ งามขจรวิวัฒน์ : สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ระบบตรวจสอบย้อนกลับทุเรียนข้ามพรมแดน (Durian Trace) ดร.สุพร พงษ์นุ่มกุล : ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. ชุดตรวจโรคกุ้งเพื่ออุตสาหกรรมกุ้ง (AquaDiag) ดร.ณรงค์ อรัญรุตม์ : ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. SolaRE โซลาร์รี: Innovative GREEN Solar Cells ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี : ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Roxizyme -Microbial antioxidant enzyme ดร.พิษณุ ปิ่นมณี : ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. FITKAN - เรา Young Fit ดร.วินัย ชนปรมัตถ์ : ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. Pathumma Connect ดร.ศราวุธ คงยัง : ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช.  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อว. ผนึก ดีอี โดย สวทช. จุฬาฯ และ สพธอ. เตรียมการจัดตั้ง “AI Thailand Hub” เดินหน้ายุทธศาสตร์ AI นำร่อง COE ประเทศ ลุยสร้างคน สร้างมาตรฐาน บริการ AI ครบวงจร
13 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ - ประเทศไทยปักหมุดอนาคตด้านปัญญาประดิษฐ์ครั้งสำคัญ ด้วยการเตรียมการจัดตั้ง ‘ศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITH: AI Thailand Hub’ จากความร่วมมือของ 2 กระทรวง โดย 3 หน่วยหลัก ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) เพื่อเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนการจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญ (AI Center of Excellence – COE) ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565-2570) โดย ใน 2 ด้าน ได้แก่ ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการศึกษา และศูนย์สอบเทียบสมรรถนะและทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ พร้อมให้บริการครอบคลุมการพัฒนาบุคลากร การสร้างมาตรฐานและรับรองผลิตภัณฑ์ การให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกล่าวแสดงความยินดี โดยมีผู้ลงนาม ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ สพธอ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากทั้ง 3 หน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน นำโดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. รศ.ดร.มาโนช โลหเตปานนท์ รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนางสาวรจนา ล้ำเลิศ ที่ปรึกษา สพธอ. หัวหน้าศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า “กระทรวง อว. มีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ มุ่งพัฒนาระบบนิเวศ AI ของประเทศ ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุน การเสริมศักยภาพบุคลากร การวิจัยและสร้างนวัตกรรม การกำกับดูแลตามมาตรฐานสากล และการผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้ AI ในทุกภาคส่วน ศูนย์ AITH จะเป็นกลไกกลางในการบูรณาการความร่วมมือให้การพัฒนาและการกำกับดูแล AI เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รองรับการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ขอชื่นชมในความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารทั้งสามหน่วยงานหลัก ที่ได้วางรากฐานสำคัญในครั้งนี้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศทางด้านเทคโนโลยี AI นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Building a Sustainable AI Innovation Ecosystem โดยกล่าวว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ มีมติเห็นชอบกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Program) โดยมีหัวใจสำคัญ คือ การพัฒนาระบบนิเวศ AI ผ่าน 2 แนวทางหลัก ได้แก่ (1) การสร้างความพร้อม AI (AI Readiness) ในด้านกำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และการกำกับดูแล (2) การผลักดันการนำ AI ไปใช้ ในทุกภาคส่วน (AI Adoption) โดยมีกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนผ่านการจัดตั้งภาคีเครือข่าย (Consortium) และศูนย์ความเชี่ยวชาญ (AI Center of Excellence – COE) อย่างน้อย 9 แห่ง ที่ตอบโจทย์ในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ “การเตรียมการจัดตั้งศูนย์ AITH ในวันนี้ นับเป็นการวางรากฐานนำร่องศูนย์ COE ใน 2 ด้านสำคัญ ได้แก่ การสร้างกำลังคน ผ่านศูนย์นวัตกรรม AI ด้านการศึกษา และ การสร้างมาตรฐานกลางสำหรับการประเมิน AI ผ่านศูนย์สอบเทียบสมรรถนะ และทดสอบมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ AI ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้กับการจัดตั้งศูนย์ COE ในสาขาอื่น ๆ ต่อไป” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าว การเตรียมการจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเข้าถึง สร้างความเข้าใจ และสนับสนุนการนำ AI ไปใช้เพื่อสร้างคุณค่าให้กับภาคส่วนต่าง ๆ บนพื้นฐานของจริยธรรมและความปลอดภัย ภายใต้กรอบความร่วมมือระยะเวลา 3 ปี สวทช. มีความพร้อมอย่างยิ่งในการสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ AITH ด้วยโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านเทคโนโลยีที่ สวทช. ได้พัฒนาจนเชี่ยวชาญและได้รับการยอมรับในระดับสากล “ในส่วนศูนย์สอบเทียบสมรรถนะฯ สวทช. โดย เนคเทค จะนำศักยภาพของห้องปฏิบัติการทดสอบเฉพาะทาง (SQUAT) ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการทดสอบซอฟต์แวร์แห่งแรกของไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025 เข้ามาเป็นกลไกหลักในการทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ AI เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐาน ขณะเดียวกันศูนย์ AITH จะเป็นช่องทางสำคัญให้ภาคอุตสาหกรรมและนักวิจัยสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI ของประเทศ ที่ สวทช. ดูแลอยู่ ทั้งระบบลันตาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (LANTA HPC) และแพลตฟอร์ม AI for Thai ให้บริการ API AI สัญชาติไทย ได้สะดวกยิ่งขึ้น ถือเป็นการนำสินทรัพย์ทางเทคโนโลยีของประเทศมาต่อยอดและขยายผลผ่านความร่วมมือเพื่อสร้างระบบนิเวศ AI ที่เข้มแข็งและแข่งขันได้จริง” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ อธิบาย ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า “ภารกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษาคือการสร้าง ‘ทุนมนุษย์’ ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคตของประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ AI University จุฬาฯ เป็นต้นแบบของสถาบันอุดมศึกษาของไทยได้บุกเบิกและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการประยุกต์ใช้ AI เพื่อการศึกษา ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ ChulaGENIE (Generative AI ของจุฬาฯ) อย่างต่อเนื่อง แต่ความรู้นี้ไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงในรั้วมหาวิทยาลัย ความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ AITH จึงเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้จุฬาฯ นำร่องให้สถาบันอุดมศึกษาของไทยสามารถนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของบุคลากร ไปถ่ายทอดและต่อยอดสู่การพัฒนากำลังคนของประเทศในวงกว้าง เพื่อสร้างนักนวัตกร AI ที่มีคุณภาพ พร้อมตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตอย่างยั่งยืน” ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ สพธอ. กล่าวว่า “สพธอ. มีภารกิจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในระบบดิจิทัล ผ่านการวางกรอบธรรมาภิบาล AI ที่ชัดเจนและได้มาตรฐาน โดยเฉพาะในยุคที่ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน สพธอ. อยู่ระหว่างเดินหน้าพัฒนา (ร่าง) หลักการของกฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ AI และหลักการทดสอบ AI Regulatory sandbox รวมถึงเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา การเตรียมการจัดตั้งศูนย์ AI Thailand Hub ในครั้งนี้จะเป็นกลไกที่เป็นกลางและโปร่งใส สำหรับทดสอบ ยืนยันวิเคราะห์ และประเมินระบบ AI ในเชิงปฏิบัติ เพื่อรองรับกรอบนโยบายในระดับประเทศของเรา ศูนย์นี้จึงเป็นหน่วยงานกลางเพื่อเชื่อมระหว่าง ผู้กำหนดนโยบาย และ ภาคปฏิบัติการ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้งานทั่วไป และเป็นพลังขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและยั่งยืน” ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียด และลงทะเบียนเพื่อรับบริการ ศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITH: AI Thailand Hub) ได้ที่ https://www.ai.in.th/AITH  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. มอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ในงาน Thailand Tech Show 2025 ภายใต้งาน อว. แฟร์
(13 สิงหาคม 2568) ณ เวทีกลาง ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในงาน อว.แฟร์: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยต่าง ๆ ได้จัดงาน “Thailand Tech Show” เพื่อเป็นเวทีเชื่อมโยงให้ภาคอุตสาหกรรม นักลงทุน และผู้สนใจ สามารถเข้าถึงและนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่พัฒนาจากสถาบันการศึกษา และหน่วยงานวิจัย ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งเป็นการประสานจุดแข็งของภาคธุรกิจเข้ากับนักวิจัย เพื่อนำทรัพย์สินทางปัญญาที่มีไปต่อยอดเป็นธุรกิจเทคโนโลยีได้ การจัดงานฯ ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องและได้รับความสนใจจากนักลงทุน ผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งนักวิชาการ เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานในการมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลงานวิจัยของหน่วยงานพันธมิตรและสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ที่ร่วมจัดแสดงผลงานในงาน Thailand Tech Show และมีผู้บริหารของสถานประกอบการเป็นผู้รับเกียรติบัตร และนักวิจัยข้อเสนอจัดกิจกรรม “กิตติกรรมประกาศความสำเร็จในการถ่ายทอดเทคโนโลยี” เจ้าของผลงาน และผู้บริหารหน่วยงานต้นสังกัดของนักวิจัย ร่วมถ่ายรูปและเป็นสักขีพยานการมอบเกียรติบัตรบนเวทีหลักของงาน Thailand Tech Show 2025 เพื่อประกาศความสำเร็จของงาน Thailand Tech Show ต่อสาธารณชน สำหรับหน่วยงานที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมกิตติกรรมประกาศฯ รับเกียรติบัตรในงาน Thailand Tech Show 2025 ประกอบด้วย นักวิจัยสวทช. พันธมิตรมหาวิทยาลัย รวม 16 ผลงาน ได้แก่ เครื่องดื่มโปรตีนชนิดผงจากพืชที่มีส่วนผสมของไข่น้ำ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร และ บริษัท นิมิต เนชั่น แอไวซอรี่ จำกัด การกักเก็บสารออกฤทธิ์เชิงหน้าที่จากสารสกัดสมุนไพรไทยในรูปไมโครเอนแคปซูเลชั่นสำหรับเป็นวัตถุดิบใหม่ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต และบริษัท ไดอารี่ กรุ๊ป (2007) จำกัด กระบวนการเตรียมและใช้สารสกัดใบเหงือกปลาหมอดอกขาวเพื่อเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เวชสำอางสำหรับผิว ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และบริษัท เอ็ม.วาย.อาร์.คอสเมติคส์ โซลูชั่น จำกัด เครื่องรีดเนื้อสัตว์แผ่นบางเพื่อการแปรรูป ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และบริษัท วินซินเทคโนโลยี จำกัด สารสกัดทุเรียนอ่อนสำหรับใช้ในเครื่องสำอาง ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท อินโนไฟโตเทค จำกัด สารสกัดอินนูลินจากแก่นตะวัน ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท เค.พี.เอ็น.ซีเนียร์ โซลูชั่น จำกัด และ ผลงานของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. 10 ราย (จาก 7 ผลงาน) ได้แก่ อุปกรณ์การเรียนการสอนระบบอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งสำหรับอุตสาหกรรมแบบพกพา (I2-Starter Kit) ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และบริษัท ซีนเนอร์ยี่ เทคโนโลยี จำกัด น้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรด ของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ และบริษัท ซินอา บริว จำกัด ชุดของเล่นจากยางพารา (enR Plearn Series) : Para Dough ยางปั้น ของศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ และบริษัท กู๊ดรับเบอร์ครีเอชั่น จำกัด ผลิตภัณฑ์ Plant-based meat ของศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ และบริษัท กรีน สพูนส์ จำกัด และบริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล อินโนเทค จำกัด สารสกัดผสมของ Active Z และสารสกัดผสมของ Active Z ในเบสเครื่องสำอาง และสารสกัดผสมของ Active R ของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และบริษัท โครโนไลฟ์ จำกัด ชุดตรวจวัดอัลบูมินเชิงคุณภาพ ของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และบริษัท อินโนซุส จำกัด, บริษัท เมดไบโอซิน จำกัด และบริษัท ไฮไลฟ์ เฮลท์ จำกัด แผงเซลล์แสงอาทิตย์ ของศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ และบริษัท ที.เอ.เอส. คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทั้งนี้งาน “Thailand Tech Show” ถือเป็นเวทีเชื่อมโยงให้ภาคอุตสาหกรรม นักลงทุน และผู้สนใจสามารถเข้าถึงและนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่พัฒนาจากสถาบัน หน่วยงานวิจัยของรัฐ และมหาวิทยาลัย ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจน จูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานฯ และให้ความสนใจการนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เผย 10 เทคโนโลยีพลิกโฉมธุรกิจ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 10 Technologies to Watch 2025
สุดทึ่งกับเทคโนโลยี ‘แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่’ ออกแบบแอนติบอดีให้มี ‘แขนสองข้างที่แตกต่างกัน’ ช่วยดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันจัดการมะเร็งตรงเป้าหมาย ปัจจุบันเริ่มพัฒนาเป็นยารักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวแล้ว ด้านภาคการเกษตรเริ่มใช้เทคโนโลยีปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวที่ช่วยลดการปลดปล่อยมีเทนได้ถึง 70% ขณะที่เทคโนโลยีด้าน AI ยังมีบทบาทสำคัญเพิ่มศักยภาพด้านอุตสาหกรรมและการแพทย์-ดูแลสุขภาพคนทั่วโลก (วันที่ 13 สิงหาคม 2568) ณ เวทีกลาง ชั้น G Hall 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษหัวข้อ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2568” (10 Technologies to Watch 2025) ภายในงาน “Thailand Tech Show 2025” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม จัดโดย สวทช. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “อว. Fair 2025” ธีม Creators of Tomorrow จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. จัดทำ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองเป็นประจำทุกปีนานกว่า 15 ปี สำหรับปีนี้ เทคโนโลยีที่คัดเลือกมาแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือเทคโนโลยีด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีหุ่นยนต์, AI และการเข้ารหัส และสุดท้ายคือเทคโนโลยีเกี่ยวกับสุขภาพและการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทั้งนี้เริ่มจากเทคโนโลยีแรก ได้แก่ ไฮโดรเจนสีฟ้าเทอร์คอยส์ (Turquoise Hydrogen) หนึ่งในกระบวนการผลิตไฮโดรเจนที่น่าจับตามองและเหมาะกับประเทศไทยซึ่งผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูง เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซธรรมชาติผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมอย่างระบบท่อก๊าซได้ โดยนำก๊าซธรรมชาติมาผ่านการแยกสลายด้วยความร้อนเพื่อให้ได้ไฮโดรเจนโดยที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แถมยังให้ผลพลอยได้เป็นผงคาร์บอนที่นำไปใช้ต่อได้อีก ที่สำคัญยังใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ปัจจุบันการผลิตไฮโดรเจนสีฟ้าเทอร์คอยส์ก้าวหน้าไปมาก เช่น บริษัท Monolith สหรัฐอเมริกา เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ด้วยเทคโนโลยีพลาสมาความร้อนสูง ได้ไฮโดรเจนและผงคาร์บอนปริมาณสูง ลดก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึงร้อยละ 99 เหล็กกล้ารักษ์โลก (Green Steel) อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงทั่วโลกราว 7%  ถือว่าสูงที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมหนักทั้งหมด ปัจจุบันจึงมีแนวคิดการผลิต “เหล็กกล้าสีเขียวหรือเหล็กกล้ารักษ์โลก (Green Steel)” คือ เหล็กที่ผลิตโดยใช้กระบวนการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได- ออกไซด์ เปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิม คือ BF-BOF ที่ใช้เตาหลอมแบบ Blast Furnace (BF) และ Basic Oxygen Furnace (BOF) มาสู่กระบวนการแบบใหม่ คือ “DRI-EAF (Direct Reduce Iron–Electric Arc Furnace)” นำพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวมาใช้ในการผลิตเหล็กพรุน ก่อนนำมาหลอมรวมกับเศษเหล็กในเตาหลอมไฟฟ้าระบบอาร์ก (Electric Arc Furnace: EAF) ที่ใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิตจนได้เหล็กกล้าปลอดฟอสซิล ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อการผลิตเหล็ก 1 ตัน จาก 2,300 กิโลกรัม เหลือ 200-600 กิโลกรัม เทคโนโลยีพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน (Low Fumarate, High Ethanol or LFHE Eco-friendly Rice) “การปลูกข้าว” เป็นกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในภาคการเกษตร ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งเสริม “การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดทำได้เฉพาะนาชลประทาน การพัฒนา “พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน” จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง เพราะใช้ได้ทั้งนาน้ำฝนและนาชลประทาน พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนมีคุณสมบัติสำคัญคือ รากผลิตเอทานอลปริมาณมาก และผลิตฟูมาเรตน้อยลง โดยฟูมาเรตเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่สร้างมีเทน จึงทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ไม่ดี และปล่อยมีเทนน้อยกว่าข้าวปกติ ปัจจุบันประเทศจีนพัฒนาพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนจากข้าวสายพันธุ์ “Heijing (เฮจิง)” สามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้สูงถึงร้อยละ 70 และให้ผลผลิตสูงถึง 1.4 ตันต่อไร่ ทั้งนี้การผลิตข้าวลดการปล่อยมีเทนยังมีจุดเด่น คือ ต้นทุนการผลิตต่ำ ขยายผลสู่เกษตรกรได้จริง ตอบโจทย์เชิงนโยบายและการตลาดไปพร้อมกัน ด้วยการแสดงข้อมูลสิ่งแวดล้อมสำหรับตลาดพรีเมียม สวทช. มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการพัฒนาพันธุ์ข้าว เป็นศูนย์กลางการใช้เทคโนโลยี Marker Assisted Selection ระดับประเทศและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พร้อมพัฒนาพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ (Humanoid Robot) หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ หรือ หุ่นยนต์ที่ออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีล้ำสมัย เพราะมี “ความอเนกประสงค์” ไม่ว่าจะเดินสองขาเหมือนมนุษย์ หยิบจับสิ่งของแม่นยำ หรือแม้แต่เรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมจากการฝึกฝนในโลกเสมือน ที่สำคัญยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นมิตร ปัจจุบันมีการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์เพื่อนำไปใช้ในงานด้านต่าง ๆ เช่น หุ่นยนต์ Optimus ของบริษัท Tesla ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต, หุ่นยนต์ Atlas ของบริษัท Boston Dynamics ใช้ในสภาพแวดล้อมอันตรายและภัยพิบัติ และ หุ่นยนต์ Unitree G1 ของบริษัท Unitree Robotics เป็นฮิวแมนอยด์ที่เปรียบเหมือนเป็นร่างอวตารของ AI มีความยืดหยุ่นเหนือระดับคนทั่วไป และเคลื่อนไหวได้แบบไร้ขีดจำกัด ปัญญาประดิษฐ์ที่รู้คิดและตัดสินใจได้เอง (Agentic AI) Agentic AI คือ ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองจนวางแผนดำเนินงาน พร้อมปฏิบัติงานมุ่งเป้าและตัดสินใจเองได้ ทั้งยังเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วย ปัจจุบัน Agentic AI มีทิศทางการพัฒนาไปสู่การสร้างระบบนิเวศของ AI ที่ซับซ้อนและทำงานร่วมกันได้มากขึ้น ผ่านระบบหลายตัวแทน หรือที่เรียกกันว่า AI Agent ซึ่งเริ่มนำไปประยุกต์ใช้ในแวดวงการเงินและการธนาคาร เช่น บริษัท Finnomena ใช้ AI Agent คัดกรองอีเมลจากพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ ก่อนจะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อส่งต่อไปยังนักลงทุน และยังใช้เพื่อตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ ขณะที่ประเทศจีนนำ AI Agent มาจำลองบทบาทนักเรียนที่มีบุคลิก ลักษณะนิสัย และความสามารถที่แตกต่างกัน เพื่อฝึกสอนครู สวทช. มีงานวิจัย Agentic AI ที่ใช้ช่วยเหลือคนพิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยประยุกต์ใช้สร้างคำบรรยายแทนเสียงแบบอัตโนมัติ ช่วยคนหูหนวกเข้าถึงข้อมูลด้วยการอ่านข้อความแทนการฟังเสียง การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม (Post-Quantum Cryptography: PQC) คอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ที่เร็วขึ้น แต่เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนกฎของการคำนวณ ทำให้ถอดรหัสข้อมูลที่เคยปลอดภัยได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งภัยคุกคามที่น่ากังวลที่สุดคือผู้ไม่หวังดีอาจดักเก็บข้อมูลที่เข้ารหัส แล้วรอถอดรหัสในวันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมพร้อมใช้งาน เทคโนโลยี "การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม" จึงเป็นเทคโนโลยีที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ เป็นการสร้างกุญแจที่ถอดรหัสยากขึ้นกว่าเดิม โดยอัลกอริทึมเหล่านี้มักใช้ขนาดกุญแจหรือลายเซ็นที่ใหญ่ขึ้น  ทั้งนี้มีสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIST) เป็นผู้กำหนดมาตรฐานอัลกอริทึม PQC ที่ป้องกันการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม ตัวอย่างบริการแบบนี้ในตลาดโลก เช่น Amazon Web Services (AWS), IBM Quantum Safe, Google Cloud ที่ได้นำลายมือชื่อดิจิทัลที่ทนทานต่อควอนตัมมาใช้ อุปกรณ์อัจฉริยะฝังในร่างกาย (Smart Implants) Smart Implants คือ อุปกรณ์ฝังในร่างกาย ที่นอกจากจะทำหน้าที่พื้นฐาน เช่น ทดแทนอวัยวะหรือช่วยการทำงานของอวัยวะบางส่วนแล้ว ยังตรวจวัดสัญญาณชีพ ประมวลผล และส่งข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์ อุปกรณ์ประเภทนี้มักประกอบด้วยเซนเซอร์ขนาดเล็ก ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ระบบสื่อสารไร้สาย และอัลกอริทึม AI เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ปัจจุบันมีการใช้งาน Smart Implants ในหลายรูปแบบ เช่น อุปกรณ์กระตุ้นสมองส่วนลึก สำหรับผู้ป่วยพาร์กินสันที่ควบคุมอาการสั่นได้ และบางรุ่นสามารถตรวจจับคลื่นสมองเพื่อปรับแรงกระตุ้นได้อัตโนมัติ อุปกรณ์ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องแบบฝังในผิวหนัง เช่น Eversense CGM ที่ติดตามค่ากลูโคสได้ยาวนานถึง 365 วันโดยไม่ต้องเปลี่ยนเซนเซอร์บ่อย ๆ และประสาทหูเทียมอัจฉริยะที่ส่งสัญญาณและปรับระดับเสียงได้ พร้อมด้วยหน่วยความจำสำหรับจัดเก็บข้อมูลการได้ยิน เช่น Cochlear Nucleus Nexa เทคโนโลยีเอพิเจเนติกเพื่อการตรวจประเมินสุขภาพระดับเซลล์ (Epigenetic Technology for Cellular Health Assessment) เทคโนโลยีด้านการแพทย์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพันธุกรรมมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากจนล่วงรู้ถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของยีน ช่วยเปิดเผยความเสื่อมของร่างกายและทำนายโรคได้แม่นยำขึ้น ดังเช่น เทคโนโลยีเอพิเจเนติกที่ศึกษาการควบคุมการทำงานของยีนในร่างกาย โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับดีเอ็นเอ ผ่านวิธีที่เรียกว่า นาฬิกาทางชีวภาพ วิธีที่นิยมคือการวิเคราะห์รูปแบบการเติมหมู่เมทิล (Methyl Group) บนตำแหน่งจำเพาะของ DNA เพื่อดูว่ายีนนั้นมีการแสดงออกหรือไม่ ทำให้รู้อายุขัยที่ “ตรงตามความเป็นจริง” มากกว่าการดูจากอายุตามปฏิทิน ตัวอย่าง บุคคลที่มีอายุ 35 ปี แต่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ เครียด ไม่ออกกำลังกาย ทำให้อายุชีวภาพที่แท้จริงของร่างกายเริ่มเสื่อมจนเท่ากับคนอายุ 45 ปี นับเป็นข้อมูลที่ช่วยให้วางแผนปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ปัจจุบันเริ่มมีบริษัทให้บริการการตรวจเอพิเจเนติกแก่บุคลทั่วไปในหลายประเทศ เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัย (Longevity Cosmeceuticals) การดูแลสุขภาพผิวและความงามในปัจจุบันไม่ได้เน้นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังให้ความสำคัญถึงสุขภาพที่ดีจากภายในเพื่อผลในระยะยาวด้วย เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เพียงเน้นการดูแลสุขภาพผิวภายนอก เช่น การลดริ้วรอย หรือเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวเท่านั้น แต่มีจุดเด่นคือการค้นหาสารออกฤทธิ์ที่แก้ปัญหากับกลไกหลักของความชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชราของผิว เช่น การลดจำนวนเซลล์ชรา หรือกระตุ้นการทำงานของยีนซ่อมแซมผิว และยืดอายุผิวออกไปได้อย่างมีนัยสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นการแก้ไขความชราในระดับเซลล์ ทั้งนี้ในต่างประเทศมีบริษัทที่ขยายตลาดทางด้านเวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยแล้ว เช่น AstaReal และ Beiersdorf ในประเทศไทยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจพัฒนาเวชสำอางอยู่จำนวนหนึ่ง สวทช. มีงานวิจัยด้านเวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ ผ่าน “แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย” มีบริษัทสตาร์ตอัปจากงานวิจัย เช่น Krono-Life ที่ได้นำส่วนผสมของสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย มาพัฒนาเป็นนวัตกรรมสารออกฤทธิ์ Zenolase และผลิตภัณฑ์ ZenoLase Evanesce Serum แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ (Bispecific Antibody) โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรโลก ซึ่งยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลดีและหายขาด แต่ขณะนี้เทคโนโลยีแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่กำลังได้รับการจับตาในฐานะเทคโนโลยีแห่งความหวังที่จะเข้ามาปฏิวัติการรักษามะเร็งแบบให้ผลแม่นยำและอาจส่งผลให้การติดเชื้อไวรัสอย่าง HIV หายขาดได้ ปกติแอนติบอดีในร่างกายจะมี “แขนสองข้างที่เหมือนกัน” ทำให้จับกับเป้าหมายบนผิวเซลล์เชื้อโรคได้เพียงชนิดเดียว แต่แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ เป็นการออกแบบให้มี “แขนสองข้างที่แตกต่างกัน” ทำให้จับกับเป้าหมายที่ต่างกัน 2 ชนิดได้ในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างการนำไปใช้งาน เช่น ทีเซลล์ เอนเกจเจอร์ (T cell Engager) เป็นการออกแบบแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ที่แขนข้างหนึ่งจับกับโปรตีนบนผิวเซลล์มะเร็ง และแขนอีกข้างหนึ่งจับกับโปรตีนบนผิวทีเซลล์ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เสมือนดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันเข้ามาใกล้เซลล์มะเร็งเป้าหมาย และช่วยให้ทำลายเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น เปรียบได้กับการสร้างสะพานให้กองกำลังทหารเข้าโจมตีผู้ร้ายได้ตรงจุด ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้เริ่มใช้งานอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็งเม็ดเลือดและไขกระดูก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ยาบลินไซโต (Blincyto®) หรือ บลินาทูโมแมบ (Blinatumomab)  เป็นแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน และขยายผลสู่การรักษาโรคมะเร็งชนิดก้อน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม รวมถึงโรคภูมิคุ้มกันต่อตนเอง ที่สำคัญคือการใช้รักษาโรคติดเชื้อ เช่น HIV อย่างไรก็ดี สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 10 เทคโนโลยีที่คัดเลือกมานั้น จะเป็นข้อมูลให้นักธุรกิจเลือกลงทุนใน “เทคโนโลยีดาวรุ่ง” ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผ่านการสนับสนุนหน่วยงานวิจัยไทย เช่น สวทช. เพราะมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร ความรู้ และโครงสร้างพื้นฐาน ไม่แน่ว่าเทคโนโลยีแบบใดแบบหนึ่งอาจจะเป็น Game Changer สำหรับประเทศก็เป็นได้
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
10 Technologies to Watch 2025
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษเรื่อง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch) ที่งานสัมมนา ที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ จากความรู้และนวัตกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน "CREATORS OF TOMORROW" ซึ่ง สวทช. จัดขึ้นภายใต้งาน อว. แฟร์ 2025 เป็นการคาดการณ์เทคโนโลยีที่จะมีผลกระทบได้อย่างชัดเจนใน 5 – 10 ปีข้างหน้า ดาวน์โหลดไฟล์ Presentation (24 MB)   เชิญชวนร่วมทำแบบสำรวจความพึงพอใจ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2025   10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ปี 2025 ในการนำเสนอ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองของ สวทช. เรามีวัตถุประสงค์ตั้งแต่เริ่มต้นที่จะนำเสนอแนวโน้มหรือเทรนด์ของเทคโนโลยีโลกที่กำลังจะส่งผลกระทบกับพวกเราทุกคน เพื่อให้นักธุรกิจและคนทั่วไปเกิดความสนใจ และมีข้อมูลเบื้องต้นประกอบการตัดสินใจในกรณีที่ต้องการลงทุน โดยตั้งเป้าไว้ที่การเห็นผลกระทบในวงกว้างภายใน 5-10 ปี
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
“สุดาวรรณ” นำคณะผู้บริหาร อว. ลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 93 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
(12 สิงหาคม 2568) ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง : นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะผู้บริหาร ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 93 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 จากนั้นเวลาประมาณ 11.00 น. รมว.อว. นำคณะผู้บริหาร อว. ลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 ของกระทรวง อว. บริเวณพื้นที่จัดงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ วิจัย และนวัตกรรม (อววน.) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยพลังสหวิทยาการ หรือ “อว.แฟร์ 2025 : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” และงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2568” (NST Fair 2025) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นำคณะผู้บริหารประกอบด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย. ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ และพนักงานสวทช. เข้าร่วมพิธีในครั้งด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมแชร์แนวคิดรวมพลังสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเวที อว.แฟร์ 2025 ขับเคลื่อนเทคโนโลยีสู่ชุมชน สร้างรายได้เพิ่มด้วยนวัตกรรมที่เหมาะสม
 วันที่ 10 สิงหาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วม Share & Learn ในหัวข้อ “The Blueprint: พิมพ์เขียวการพัฒนากลไกเทคโนโลยีเพื่อชุมชนแห่งอนาคต” ในการประชุม “การขยายผลเทคโนโลยีและนวัตกรรมพร้อมใช้และการออกแบบพัฒนากลไกการถ่ายทอดและบริการเทคโนโลยีสู่ชุมชน” ภายใต้แผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. “ครัวเรือนในชนบทและผู้ประกอบการในพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม (12,000 ครัวเรือนในชนบท มีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 5,000 บาทต่อเดือน ภายใน 2 ปี)” ประจำปีงบประมาณ 2568  จัดโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาพื้นที่ (บพท.)  ในงาน อว.แฟร์ 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองของการนำระบบและกลไกในการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปใช้ประโยชน์ในระดับชุมชนที่มุ่งเน้น การใช้เทคโนโลยีและงานวิจัยเพื่อสร้างประโยชน์อย่างแท้จริง โดยในการดำเนินโครงการควรต้องคำนึงถึงว่าท้ายที่สุดแล้วชุมชนหรือผู้ใช้ปลายทางจะได้รับประโยชน์จริงหรือไม่ และโครงการเหล่านั้นจะยั่งยืนได้อย่างไร ปัจจุบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่กระบวนการทำงานของเรากลับเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น แรงกดดันในหลายปัจจัย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม โรคอุบัติใหม่ ความไม่เป็นธรรมในการใช้เทคโนโลยี วิกฤตการเงิน และการใช้ทรัพยากรเกินขอบเขตเพื่ออุตสาหกรรม ซึ่งอาจก่อผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ามูลค่าที่สร้าง เช่น กรณีอุตสาหกรรมเหล็กที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม ต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism – CBAM เทคโนโลยีจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่โจทย์ใหญ่คือจะทำอย่างไรให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี บางคนมองเพียงมิติการสร้างรายได้ แต่จริง ๆ แล้วต้องมองว่าชาวบ้านและชุมชนได้ประโยชน์จริงหรือไม่ เช่น ใช้เทคโนโลยีเกษตรที่ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน หรือเป็นเทคโนโลยีเหมาะสม (Appropriate Technology) ที่ตอบโจทย์ปัญหาของชุมชน ปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยคือ เรามีองค์ความรู้และงานวิจัยมาก แต่ยังไม่ต่อเนื่องและไม่ตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของสังคม ในดัชนีความสามารถด้านการแข่งขันของ IMD (IMD World Competitiveness Ranking) ประเทศไทยยังอยู่ในอันดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ทั้งที่เรามีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการมากกว่า ดัชนี IMD มีตัวชี้วัดด้านวิทยาศาสตร์และวิจัยหลายตัวประกอบด้วย จำนวนบทความวิจัย (Publication) ที่ตีพิมพ์ จำนวนสิทธิบัตร (IP) งบประมาณวิจัยต่อ GDP สัดส่วนนักวิจัยต่อประชากร และพยายามเพิ่มตัวเลขเหล่านี้ แต่หากมุ่งเพียงตัวชี้วัดโดยไม่คำนึงถึงการใช้ประโยชน์จริง ก็ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมได้ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการทำวิจัย ที่เราควรจะต้องกำหนดโจทย์ของเราเอง โดยใช้ความสามารถระดับสากลมาแก้ปัญหาของประเทศให้ตรงจุด ได้ผลดีที่สุดด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด และสร้างประโยชน์สูงสุดให้ประชาชนและภาคอุตสาหกรรม สิ่งสำคัญคือการปรับทิศทางการทำงานวิจัยและพัฒนา ไม่ใช่เพื่อตีพิมพ์หรือจดสิทธิบัตรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มจากปัญหาจริงของประชาชน เช่น การพัฒนาพันธุ์ข้าวที่เหมาะกับพื้นที่และเพิ่มผลผลิต การทำเครื่องจักรสำหรับการเกษตรให้มีราคาที่ชาวบ้านสามารถจับต้องได้และใช้งานได้จริง ผู้อำนวยการ สวทช. เชิญชวนให้ร่วมปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำงาน "ทำเพื่อตัวชี้วัด" เป็น "ทำเพื่อแก้ปัญหา"  เราอาจไม่เน้นทำวิจัยเพื่อปริมาณตัวเลขบทความหรือสิทธิบัตร แต่ควรใช้ความรู้และเทคโนโลยีที่มีมาช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงให้กับประชาชน ชุมชน และภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็ก โจทย์ต้องมาจากผู้ใช้งาน: แทนที่นักวิจัยจะทำในสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว นักวิจัยควรรับฟังและทำความเข้าใจความต้องการของชาวบ้านหรือผู้ประกอบการ SME เพื่อนำไปตั้งโจทย์วิจัยที่สามารถสร้างมูลค่าและนำไปใช้ได้จริง เรียนรู้: ยกตัวอย่างการพัฒนาของจีนที่ไม่ได้เน้นเพียงงานวิจัยขั้นสูง แต่ส่งนักวิจัยลงพื้นที่เพื่อช่วยชาวบ้านแก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่การเพาะปลูกไปจนถึงการทำบัญชีครัวเรือน ซึ่งการทำงานแบบนี้แม้จะดูไม่หวือหวา แต่ช่วยสร้างประโยชน์มหาศาลในระดับชุมชน และปรับเปลี่ยนระบบการประเมิน: ระบบการประเมินผลงานของนักวิจัยควรเปลี่ยนจากการนับจำนวนบทความหรือสิทธิบัตร มาเป็นการประเมินจาก "มูลค่าและผลกระทบที่สร้างขึ้นจริง" โดยเฉพาะโครงการที่สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนจำนวนมากได้ การประชุมในครั้งนี้ มีผู้ร่วมรับฟัง และร่วมประชุมเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในภาคการวิจัย ประกอบด้วยหัวหน้าโครงการวิจัย  คณะทำงานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล  คณะทำงานเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ และคณะทำงาน Appropriate Technology ปี 2568  นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการบูรณาการความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากภาควิจัยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง บพท. ภาคเอกชน และนักวิจัยผู้ได้รับทุน เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อชุมชน สู่การใช้จริงในพื้นที่ สร้างคุณค่าเชิงเศรษฐกิจและสังคม พร้อมวางรากฐานสู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์