ผลการค้นหา :

ประกาศรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท ไปทำวิจัยระยะสั้นที่สำนักงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิจัย สาธารณรัฐสิงคโปร์
รายละเอียด
1. จำนวนทุนที่เปิดรับ : จำนวน 4 ทุน
2. ระยะเวลาในการปฏิบัติงานวิจัย : ระยะเวลา 2 เดือน – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับโครงการ/หัวหน้าโครงการที่นักศึกษาจะไปปฏิบัติงานวิจัย
3.หัวข้อวิจัย : สามารถเลือกหัวข้อวิจัยใน 4 สาขา ได้แก่
1) Biomedical Sciences
2) Computing and Information Sciences
3) Engineering and Technology
4) Physical Sciences
คุณสมบัติของผู้สมัคร :
สัญชาติไทย
อายุไม่เกิน 35 ปี ณ วันที่ปิดรับสมัคร
กำลังศึกษาในชั้นปีที่ 2 – 3 ของหลักสูตรระดับปริญญาตรี หรือกำลังศึกษาในชั้นปีที่ 1 – 2 ของหลักสูตรระดับปริญญาโท ในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และต้องมีสถานภาพเป็นนักศึกษาตลอดระยะเวลาในการปฏิบัติงานวิจัยที่ห้องปฏิบัติการของ A-STAR
เกรดเฉลี่ยในการศึกษาระดับปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.30
มีความสนใจที่จะเป็นนักวิจัยอาชีพหลังสำเร็จการศึกษา
สามารถเดินทางไปร่วมวิจัยที่ห้องปฏิบัติการของ A-STAR ได้ตลอดระยะเวลาในการปฏิบัติงานวิจัย
สามารถในการเขียนและพูดภาษาอังกฤษในระดับดี-ดีมาก
กำหนดการ :
กิจกรรม ระยะเวลา
(1) ประกาศรับสมัคร 23 ธันวาคม 2567 – 14 มีนาคม 2568
(2) ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสัมภาษณ์ 19 มีนาคม 2568
(3) สัมภาษณ์และคัดเลือกเบื้องต้น 23 มีนาคม 2568 (จะเลื่อนเป็น 29 มีนาคม 2568)
(4) สัมภาษณ์โดย A*STAR supervisor 24 มีนาคม 2568 – 30 เมษายน 2568
(5) ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือก ภายใน 31 พฤษภาคม 2568
(6) ผู้ได้รับการคัดเลือกเดินทางไปร่วมปฏิบัติงานวิจัย
(ระยะเวลาปฏิบัติงานวิจัย 2 เดือน – 6 เดือนขึ้นอยู่กับ ตั้งแต่กันยายน – ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
โครงการ/หัวหน้าโครงการที่นักศึกษาจะไปปฏิบัติงานวิจัย) (ระยะเวลาที่ชัดเจนขึ้นอยู่กับหัวหน้า
โครงการที่นักศึกษาจะไปปฏิบัติงานวิจัย)
(7) นำเสนอผลการเข้าร่วมการปฏิบัติงานวิจัยต่อคณะกรรมการ หลังจากเดินทางกลับจากปฏิบัติงานวิจัย
สิ่งที่ผู้ได้รับการคัดเลือกจะได้รับ :
ค่าใช้จ่ายรายเดือน (ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ รวมค่าที่พัก) ในอัตราเดือนละ 2,000 เหรียญสิงคโปร์
จะได้รับสนับสนุนจาก A-STAR ภายใต้ Singapore International Pre-Graduate Award (SIPGA)
มูลนิธิฯ สนับสนุนค่าใช้จ่าย ดังนี้
ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
ค่าประกันภัยการเดินทาง (ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล)
ค่าเบี้ยเลี้ยงเพิ่มเติม (one-time settling-in allowance) 13,000 บาท
*** ไม่มีข้อผูกพันการชดใช้ทุน ***
หลักฐานการสมัคร:
ใบสมัครที่พิมพ์จากอินเทอร์เน็ต พร้อมติดรูปถ่ายหน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาดำ
ซึ่งถ่ายไว้ไม่เกิน 1 ปี จำนวน 1 ฉบับ พร้อมลงลายมือชื่อในใบสมัครให้ครบถ้วน
สำเนาระเบียนแสดงผลการเรียน (Transcript of records) ฉบับภาษาอังกฤษที่มีตรามหาวิทยาลัยประทับรับรอง จำนวน 1 ฉบับ
สำเนาปริญญาบัตร หรือสำเนาหนังสือรับรองการสำเร็จการศึกษาฉบับภาษาอังกฤษที่มีตรามหาวิทยาลัยประทับรับรอง จำนวน 1 ฉบับ หรือสำเนาหนังสือรับรองสถานภาพการศึกษา
กรณีผู้สมัครที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีสุดท้ายของหลักสูตรระดับปริญญาตรี
หนังสือรับรองจากอาจารย์ที่ปรึกษา เขียนเป็นภาษาอังกฤษ จำนวน 2 ท่าน รวม 2 ฉบับ
ประวัติส่วนตัวเป็นภาษาอังกฤษ (Curriculum vitae) จำนวน 1 ฉบับ
สำเนาผลการทดสอบภาษาอังกฤษ (ถ้ามีจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 1 ฉบับ
วิธีการสมัคร
ผู้ประสงค์จะสมัครคัดเลือก ดูรายละเอียดทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์ของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดําริฯ ที่ https://princess-it.org/scholarship-star/ โดยสามารถพิมพ์แบบฟอร์มที่ใช้ในการสมัคร
ผู้สมัครสามารถสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2568
ผู้สมัครจะต้องกรอกรายละเอียดในใบสมัคร พร้อมทั้งลงลายมือชื่อด้วยตนเอง และส่งใบสมัคร หลักฐานและเอกสารต่างๆ ไปที่ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เลขที่ 73/1 อาคาร สวทช. ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 โดยจะถือวันที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับเอกสารเป็นสำคัญ และหากผู้สมัครคัดเลือกนำส่งเอกสารเอง จะถือวันที่งานสารบรรณของมูลนิธิฯ ประทับตรารับเอกสามป็นสำคัญ
รายชื่อโครงการวิจัยที่นักศึกษาสามารถเลือกไปปฏิบัติการวิจัย (SIPGA Projects List) ดูได้ที่
SIPGA Project List (Web).xlsx
SIPGA Project List (Web).pdf
ข้อมูลเพิ่มเติม
ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการทุน SIPGA ของ A-STAR ดูได้ที่
https://www.a-star.edu.sg/Scholarships/for-undergraduate-studies/singapore-international-pre-graduate-award-sipga
A*STAR Research Institutes’ capabilities and research areas ดูได้ที่
1) A*STAR Research
https://www.a-star.edu.sg/Research/overview
2). A*STAR Biomedical Research Council (BMRC)
https://www.a-star.edu.sg/Research/biomedical-research-council
3). A*STAR Science and Engineering Research Council (SERC)
https://www.a-star.edu.sg/Research/science-and-engineering-research-council
11. ติดต่อเพิ่มเติม
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
เลขที่ 73/1 อาคาร สวทช. ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
โดยจะถือวันที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับเอกสารเป็นสำคัญ
และหากผู้สมัครนำส่งเอกสารเอง จะถือวันที่งานสารบรรณของมูลนิธิฯ ประทับตรารับเอกสารเป็นสำคัญ
ติดต่อสอบถามได้ที่ :
คุณเยาวลักษณ์ คนคล่อง
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
โทรศัพท์ 02 564 7000 ต่อ 81813 , 089 452 4244 (เยาวลักษณ์)
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ : yaowalak@nstda.or.th
เว็ปไซด์ประชาสัมพันธ์ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
https://www.princess-it.org/scholarship/a-star/
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. ผนึกกำลัง วว. เพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยและเทคโนโลยี ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จุลินทรีย์ทางการเกษตร สู่เกษตรปลอดภัยและยั่งยืน
(4 มีนาคม 2568) ณ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างขีดความสามารถด้านการวิจัยพัฒนา และนวัตกรรมของประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อขยายผลการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง สอดคล้องตามนโยบาย วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ตรงความต้องการ และ “เน้นประเด็นสำคัญของประเทศ” ของกระทรวง อว. โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ร่วมลงนาม และผู้บริหาร นักวิจัยทั้งสองหน่วยงานร่วมงานแถลงข่าว
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สวทช. เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีเป้าหมายหลักในการสร้างขีดความสามารถด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ของประเทศไทย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและแก้ไขปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ สวทช. มุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงการทำงานกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขยายผลการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม”
สวทช. และ วว. ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระยะเวลา 5 ปี (1 กรกฎาคม 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2567) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น ชีวภัณฑ์ราเมตาไรเซียม กำจัดไรแดง และสารชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ วว. เพื่อทดสอบพิษวิทยาและพัฒนาชีวภัณฑ์ตามเกณฑ์กรมวิชาการเกษตร
และเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ทั้งสองหน่วยงานได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือต่ออีก 5 ปี (ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 3 มีนาคม 2572) โดยแนวทางความร่วมมือในระยะต่อไปจะดำเนินงานวิจัยร่วมกันในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ทางการเกษตรสู่เกษตรกรและชุมชน การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตพืชผักและไม้ผลปลอดภัยด้วยชีวภัณฑ์ โดยอาศัยคู่มือแบบมาตรฐานจัดการศัตรูพืช (standard operating procedure: SOP) ของทุเรียน ถั่วฝักยาว เมล่อนและกาแฟ) และระบบ DAPbot เพื่อเข้าถึงชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพใน Line OA ซึ่งพัฒนาโดยคณะนักวิจัย ไบโอเทค สวทช. รวมทั้งการทดสอบพิษวิทยาสำหรับพัฒนาชีวภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อรองรับการขึ้นทะเบียนต่อกรมวิชาการเกษตร และผลักดันการเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนเกษตรกรรมของประเทศให้มีความปลอดภัยและยั่งยืน
“สวทช. ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาของประเทศ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับภาคการเกษตรของไทย สวทช. มุ่งมั่นที่จะทำให้ภาคการเกษตรของไทยประสบความสำเร็จตามเจตนารมณ์ทุกประการ และพร้อมที่จะขยายผลต่อยอดความร่วมมือด้านการวิจัยเทคโนโลยีในด้านอื่น ๆ ต่อไป” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า “วว. ในฐานะรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีพันธกิจสำคัญในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ในการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมความเข้มแข็งในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่ง วว. ตระหนักดีว่าการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของ วว. ในการสานพลังกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
ทั้งนี้ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เช่น การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย การพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ สังคม และเทคโนโลยี
“ผมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่าง วว. และ สวทช. ในครั้งนี้ จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สามารถนำพาประเทศชาติไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตอบโจทย์สำคัญสู่การพัฒนาประเทศไทย” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

มหาวิทยาลัยมหิดล – สวทช. แถลงเป้าหมายและแนวทางโครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ-เสริมแกร่งระบบวิจัยและนวัตกรรม
(4 มีนาคม 2568) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม : มหาวิทยาลัยมหิดล และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัดกิจกรรม “การประชาสัมพันธ์โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. ประจำปี 2568” โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยมหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา ร่วมแถลงเป้าหมาย แนวทาง และทิศทางของความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ โดยมีคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายพันธมิตรการวิจัยสหวิทยาการ คณะอนุกรรมการบริหารความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ และคณะผู้บริหารและนักวิจัยทั้งสองหน่วยงานเข้าร่วมงาน
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดล มีปณิธานที่จะเป็นปัญญาของแผ่นดิน ให้ความสำคัญการงานวิจัยมุ่งเป้าเพื่อตอบยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยของประเทศ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพในระดับนานาชาติ การจัดตั้งเครือข่ายพันธมิตรการวิจัยสหวิทยาการ ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช.หรือ MU-NSTDA Interdisciplinary Research Consortium เป็นการขับเคลื่อนพันธกิจในการสร้างความเป็นเลิศด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน มุ่งสร้างองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรวิจัย พร้อมต่อยอดสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการวิจัย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บุคลากรทั้งสองหน่วยงาน และนำไปสู่การสร้างผลงาน Research and Innovation ที่มีผลกระทบสูงสู่ Real world impact ใน 3 ประเด็น ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชน สนับสนุนให้เกิดนโยบายสาธารณะที่เป็นประโยชน์ และผลักดันให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจและผลดีต่อสิ่งแวดล้อม
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งเน้นการสร้างเสริมการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรม จนสามารถถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญ เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เป็นพันธมิตรวิจัยกันมาอย่างยาวนานกว่า 25 ปี โดยการทำงานส่งเสริมกันและกัน ที่เป็นความเข้มแข็งของสองหน่วยงาน จึงได้จัดตั้งโครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ เพื่อสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการสร้างเครือข่ายการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ ที่นำไปสู่การพัฒนางานวิจัยที่มีแผนการนำผลงานไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ หรือเชิงนโยบายได้มากขึ้น เพื่อผลักดันให้เกิดโครงการที่ตอบโจทย์ประเทศ 4 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ การพึ่งพาตนเอง การลดความเหลื่อมล้ำ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ตามกลยุทธ์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช. ที่ทำให้งานวิจัย เข้าถึงประชาชนจำนวนมาก และถึงผู้ใช้ประโยชน์จริง โดยความร่วมมือนี้ไม่ได้เป็นเพียงการรวมทรัพยากรของสองหน่วยงาน แต่เป็นการเสริมพลังซึ่งกันและกัน จนเกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าผลรวมของแต่ละฝ่าย (Synergy) และเป็นแรงผลักดันให้ความรู้และนวัตกรรมเข้าถึงประชาชนอย่างกว้างขวาง สอดคล้องกับเป้าหมายของทั้งสองหน่วยงาน
ภายในงาน ยังมีการเสวนา “จากความสำเร็จสู่อนาคต: แนวทางและทิศทางใหม่ของความร่วมมือ” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยมหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา ที่ให้รายละเอียดแนวทางและปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานมีความเข้มแข็งและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยมากขึ้น กิจกรรมเสวนา “MU-NSTDA sharing session: แชร์ประสบการณ์การทำงาน รุ่นที่ 1” โดย รศ.ดร.อุรุษา แทนขำ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. ดร.รัฐพล เฉลิมโรจน์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. และ รศ.ดร.สุรพล พิบูลโภคานันท์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การทำงานร่วมกัน พร้อมแนวทางการประสานงานที่ช่วยเสริมจุดแข็งของแต่ละฝ่าย เพื่อขับเคลื่องานวิจัยให้ก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วงสุดท้าย แผนกิจกรรม “การขับเคลื่อนความร่วมมือวิจัยและกิจกรรมสร้างเครือข่าย ประจำปี 2568” โดย ดร.วงศกร พูนพิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม สวทช.ซึ่งได้ประชาสัมพันธ์รายละเอียดการเปิดรับสมัครโครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ประจำปี 2568 ซึ่งเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 โดยให้การสนับสนุนโครงการร่วมวิจัย ไม่เกิน 3 โครงการต่อปี งบประมาณรวมไม่เกิน 4 ล้านบาทต่อโครงการ (ปีละไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อโครงการ) นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานยังมีแผนจัดกิจกรรม Networking & Lab Visit เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัยได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และต่อยอดสู่การพัฒนา Virtual Research Group หรือ Cluster ในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของระบบวิจัยและนวัตกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการ นำเสนอข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อสร้างการรับรู้ และเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้รู้จักและเข้าถึงทรัพยากรด้านการวิจัยที่พร้อมรองรับการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกัน
รายละเอียด โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ รุ่นที่ 2 (MU-NSTDA 2nd CALL)
https://www.nstda.or.th/ChairProfessor/mahidol-nstda-excellence.html
https://op.mahidol.ac.th/ra/2025/03/03/20250530_mu-nstda/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

Open House : เปิดโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรม…สู่โอกาสแห่งอนาคต
📢🎉หนึ่งปีมีครั้งเดียว! โอกาสพิเศษที่ทุกท่านจะได้เจาะลึกห้องปฏิบัติการวิจัยสุดล้ำกับ 9 เส้นทางนวัตกรรม โดยนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!
.
🚨หากคุณสนใจด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ห้ามพลาด! สัมผัสงานวิจัยสุดล้ำและเทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย
.
🏢อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) เราพร้อมแล้ว! ที่จะเปิดบ้านต้อนรับทุกท่านสู่โลกของ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมชมผลงานวิจัยจากห้องปฏิบัติการมาตรฐานระดับสากล ที่ช่วยแก้โจทย์ความท้าทายของโลกธุรกิจ และเปิดโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือ
.
📅26 และ 28 มีนาคม 2568 | ⏰08.30 - 16.00 น.
📍โถงอาคาร INC2C อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
.
✨9 เส้นทางไฮไลต์นวัตกรรมที่คุณต้องมา
✅ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
✅เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมสุดล้ำ
✅อาหารและอุตสาหกรรมชีวภาพ
✅Wellness Tech เส้นทางสู่ Thailand Health Hub
✅เครื่องสำอางเพื่ออนาคต
✅เกษตรอัจฉริยะ
✅โรงงานสมัยใหม่เพื่ออุตสาหกรรมที่ยั่งยืน
✅From Concept to Certification
✅Quality Assurance in Action
🔑หนึ่งปีมีครั้งเดียวเท่านั้น! เปิดประตูสู่โลกแห่งนวัตกรรม ที่อาจเปลี่ยนอนาคตของคุณ!
📌ข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงาน (ฟรี) https://www.nstda.or.th/nac/2025/open-house/
.
👉สอบถามรายละเอียด
☎️โทร. 0-2564-7200
📧อีเมล ikd-kas@nstda.or.th
#NAC2025 #OpenHouse #Innovation #TSP #อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย #สวทช #NSTDA #เยี่ยมชม
ปฏิทินกิจกรรม

จุฬาฯ จับมือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยฯ และ สวทช. วิจัยและพัฒนาโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ และศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ) ในการวิจัยและพัฒนาโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ณ ห้องประชุม 202 อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาฯ กล่าวต้อนรับ และกล่าวถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยฯ และ สวทช. จากนั้นเป็นพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาฯ นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย และ ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลทางนิเวศวิทยา สัตว์ป่าหลายชนิดมีจำนวนประชากรลดลงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การทำลายที่อยู่อาศัย และการล่าสัตว์ ซึ่งเป็นภัยต่อระบบนิเวศและการอยู่รอดของสัตว์ป่า พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยฯ และ สวทช. ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการจัดเก็บข้อมูลชีวภาพ การศึกษาเชิงลึกด้านนิเวศวิทยา วิทยาการสืบพันธุ์ ตลอดจนนิติวิทยาศาสตร์ของสัตว์ป่า โดยการบูรณาการองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้ผลงานวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในการอนุรักษ์สัตว์ป่าอย่างยั่งยืน ในการขับเคลื่อนความร่วมมือครั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ และองค์การสวนสัตว์แห่ง ประเทศไทยฯ จะให้การสนับสนุนตัวอย่างชีวภาพจากสัตว์ในสถานเพาะเลี้ยง ส่วน สวทช. จะสนับสนุนงานวิจัยทางเทคโนโลยีชีวภาพและนวัตกรรม โดยมีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการความรู้ทางวิชาการและการพัฒนาบุคลากร
โครงการความร่วมมือในครั้งนี้จะนำเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง มัลติโอมิกส์ (Multi-omics) เช่น จีโนมิกส์ (Genomics) โปรตีโอมิกส์ (Proteomics) และเมตาโบโลมิกส์ (Metabolomics) มาใช้เพื่อศึกษาการธำรงเผ่าพันธุ์ของสัตว์ป่าหายากอย่างยั่งยืน เทคโนโลยีจีโนมิกส์จะช่วยวิเคราะห์ความหลากหลายทางพันธุกรรม ลดความเสี่ยงจากภาวะเลือดชิด และกำหนดพ่อแม่พันธุ์ที่เหมาะสม ขณะที่โปรตีโอมิกส์และเมตาโบโลมิกส์จะช่วยวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพเพื่อการดูแลสัตว์ป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ชัดจากกรณีศึกษาหลายโครงการ เช่น การวิเคราะห์พันธุกรรมของละมั่งพันธุ์ไทย เพื่อหาแนวทางเพิ่มประชากรให้แข็งแรง การถอดรหัสจีโนมของพญาแร้ง ความร่วมมือกับต่างประเทศในการความสัมพันธ์ในกลุ่มประชากรเสือลายเมฆทั่วโลก เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมของสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์
ความร่วมมือในครั้งนี้จะขยายผลไปสู่โครงการอนุรักษ์ที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น การศึกษาการปรับตัวของสัตว์ป่า ต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง การพัฒนาแนวทางขยายพันธุ์สัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ และปล่อยคืนสัตว์ป่าสู่ป่าธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การอนุรักษ์สัตว์ป่าอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ชมผลงานวิจัย สวทช. แสวงหาความร่วมมือ ในการพัฒนาโครงการสำคัญสำหรับอวกาศ ในอนาคต
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี คณะจากองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) นำโดย คุณซายากะ อูเมมูระ ผู้จัดการ Space Environment Utilization Center เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีขั้นสูงของ สวทช. ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี พร้อมหารือความร่วมมือในอนาคต
ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ ให้การต้อนรับ คณะ JAXA ในโอกาสที่คณะได้มาร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ Kibo Utilization Workshop ระหว่างวันที่ 26-27 กุมภาพันธ์ 2568
ในโอกาสนี้ น.สพ.ดร.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้บรรยายภาพรวมของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะและส่งเสริมการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ พร้อมเปิดโอกาสความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และแสวงหาความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน และนำเสนอศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็ก TSC-1 ในส่วนของแบตเตอรี่และการทดสอบวัสดุของดาวเทียม
พร้อมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่สำคัญ โดย ดร. ณัฐนัย คุณานุสนธิ์ นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน นำเสนองานมาตรฐานด้านประจุแบตเตอรี่ ของห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) คุณเอนก มีมูซอ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) นำเสนองานมาตรฐานการทดสอบทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สำหรับผลิตภัณฑ์ทดสอบแบตเตอรี่ในอวกาศ และ คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน FabLab เน้นการใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์รองรับการทดลอง ฝึกฝนและสร้างชิ้นงานต้นแบบเชิงวิศวกรรม และห้องฝึกโครงงานวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพพืช สำหรับเยาวชน ครู อาจารย์ ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร
สวทช. ในฐานะ เป็นหนึ่งในสมาชิกของภาคีความร่วมมืออวกาศไทย (Thai Space Consortium ) มีความร่วมมือกับ JAXA ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 โดยการจัดตั้งโครงการ Kibo-ABC (Asian Beneficial Collaboration through "Kibo" Utilization) ที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์การทดลองทางวิทยาศาสตร์จากโมดูลทดลองคิโบะ (Kibo) บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) มีกิจกรรมสำหรับเยาวชน เช่น โครงการ Asian Try Zero-G และ Kibo Robot Programming Challenge มีเยาวชนไทยได้เข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันที่ศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น อย่างต่อเนื่อง และในปี พ.ศ. 2562 นักวิจัยไบโอเทค สวทช. ได้ส่งสารโปรตีนขึ้นไปบนสถานีอวกาศนานาชาติโดยผ่านความร่วมในโครงการนี้ เพื่อทดลองปลูกผลึกในโมดูลทดลองคิโบะ ในด้านวิจัยและพัฒนายาต้านมาลาเรียชนิดใหม่ ซึ่งผลึกโปรตีนที่ปลูกขึ้นในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงบนอวกาศ จะได้ลักษณะและคุณภาพของผลึกโปรตีนที่ดีกว่าการปลูกผลึกโปรตีนบนพื้นโลก
การเยี่ยมชมครั้งนี้เป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์อันดีระหว่าง สวทช. และ JAXA และเป็นโอกาสในการขยายความร่วมมือในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดโลก AI ในงาน NAC2025 การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20
กระทรวง อว. โดย สวทช. พร้อมจัดยิ่งใหญ่! การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 หรือ NAC2025 ระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม 2568 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน”
โดยการจัดงานตลอด 3 วัน สวทช. ขอเชิญชวนประชาชนทั่วไปหรือผู้ที่สนใจ มาร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ภายในงาน มีทั้งสัมมนาวิชาการ 40 หัวข้อ ที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI ในด้านต่าง ๆ ... นิทรรศการ กว่า 100 บูท พร้อมจัดแสดงเทคโนโลยี AI สุดล้ำ และนวัตกรรมน่าสนใจจาก สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร ... กิจกรรม OpenHouse จำนวน 9 เส้นทาง เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้เข้าถึงห้องปฏิบัติการวิจัย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ ... รวมทั้งยังมี กิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน ที่จะส่งเสริมการเรียนรู้เทคโนโลยี AI ผ่านการเวิร์กช็อปและกิจกรรมการแข่งขันต่าง ๆ
สำหรับผู้ที่สนใจร่วมงาน การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 หรือ NAC2025 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

KSL จับมือ สวทช. ร่วมวิจัยและพัฒนานวัตกรรมจากอ้อย ตอบรับเทรนด์อาหารที่ดีต่อสุขภาพผู้บริโภค
(วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL Group และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มจากน้ำตาลและผลพลอยได้ ตลอดจนการขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นายชลัช ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เป็นประธานลงนามความร่วมมือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ตลอดจนผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ที่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สร้างทางเลือก และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ ได้มาตรฐานสากล และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภค โดยมี ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) นายสุขุม โตการัณยเศรษฐ์ กรรมการบริษัท บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) คุณโสมนัส โพธิสัตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักแผนกลยุทธ์และนวัตกรรมองค์กร และ คุณธีระ สงวนดีกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายปฏิบัติการ เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เป็นรากฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ในขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการผลิตอ้อย การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น และการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสุขภาพยังเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ ขณะเดียวกันมีโอกาสที่สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มจากน้ำตาลและผลพลอยได้ รวมถึงการขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวต่อว่า ในมิติของ สวทช. ซึ่งเป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ที่สามารถใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม ให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด ให้สามารถตอบโจทย์ประเทศในมิติทางเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการพึ่งพาตนเอง ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความพร้อมขององค์กรในการแข่งขันระดับสากล ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่ออนาคตอุตสาหกรรมในการร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำตาลให้แข็งแกร่งและมีความยั่งยืน อีกทั้งยังตอบโจทย์ มิติ สร้างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในโครงการ แพลตฟอร์มการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) และตอบโจทย์ มิติที่สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโครงการ Industry 4.0 Platform แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมช่วยผู้ประกอบการไทย ตามกลยุทธ์ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช. ซึ่งนับเป็นการสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนางานด้านวิชาการร่วมกันทั้งในปัจจุบันและอนาคต”
ด้าน นายชลัช ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL Group เป็น “ผู้อยู่เบื้องหลังความหวาน” ในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ ที่ดำเนินธุรกิจผลิตจำหน่ายน้ำตาล และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2448 จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 80 ของการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการ ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ มุ่งเน้นผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ได้มาตรฐานสากล ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยโรงงานผลิตน้ำตาลของบริษัทฯ ดำเนินงานตามแนวคิด Bio-Refinery Complex ซึ่งเป็นระบบการจัดการโรงงานน้ำตาลและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ประกอบด้วย โรงงานเอทานอล โรงไฟฟ้า และโรงงานปุ๋ยอินทรีย์ ไว้ในที่เดียวกัน เพื่อสร้างระบบธุรกิจแบบครบวงจรที่มีของเสียเป็นศูนย์ (Zero Waste) เป็นการส่งเสริมแนวคิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดต้นทุนทางการผลิต และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานในหลายมิติ เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม เช่น การจัดหาวัตถุดิบ โดยการเก็บเกี่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำตาลเพื่อสุขภาพ เพื่อ “ตอบสนองความต้องการ และเทรนด์การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพผู้บริโภค”
สำหรับด้านผลงานวิจัยผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องจากอ้อยและน้ำตาล บริษัทฯ ได้มีการร่วมศึกษาวิจัยกับ สวทช. ทั้งที่สำเร็จเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมต่อยอดธุรกิจ และอยู่ระหว่างการวิจัยหลายผลงาน โดยบริษัทฯ และ สวทช. มีแผนงานวิจัยที่จะศึกษาและพัฒนาร่วมกัน เช่น Functional Sugar การสกัดลิกนิน ระบบ Automation การพัฒนาปุ๋ย รวมถึงการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากกากอ้อย ดังนั้นการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ตลอดจนผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องซึ่งจะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมความร่วมมือการพัฒนาด้านวิชาการ สร้างโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มศักยภาพทางแข่งขัน และสร้างทางเลือกที่ดีกว่าให้แก่ผู้บริโภค ตลอดจนช่วยกันสร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนและพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ให้สามารถเติบโตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก และสังคมอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับประเทศและในระดับสากลต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

การประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ภายในประเทศ ประจำปี 2568 Student Innovation Challenge Thailand 2025
📢 การประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ภายในประเทศ 🇹🇭 ประจำปี 2568
🚨Student Innovation Challenge Thailand 2025 🇹🇭 🎉
📌นี่คือโอกาสสำคัญของคุณ! นักเรียน นิสิต นักศึกษา หากคุณมี 🧠 ไอเดียสร้างสรรค์และต้องการพัฒนา นวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือคนพิการและผู้สูงอายุ เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศ สู่การแข่งขันระดับนานาชาติ (gSIC 2025)✨
.
🌍 คุณสมบัติผู้เข้าร่วม
✅ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับปริญญาตรี-โท หรือเทียบเท่า
✅ จัดทีม 1-5 คน
✅ สนใจพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือคนพิการและผู้สูงอายุ
✅ สามารถนำเสนอและสื่อสารภาษาอังกฤษได้
.
📅 กำหนดการรับสมัคร
🔹 เปิดรับสมัคร: วันนี้ - 31 มีนาคม 2568
🔹 ประกาศผลคัดเลือก: 1 พฤษภาคม 2568
🔹 แข่งขันระดับประเทศ: 13 มิถุนายน 2568
🔹 แข่งขันระดับนานาชาติ (gSIC 2025) ที่กรุงเทพมหานคร: 24-26 พฤศจิกายน 2568
.
📍 สมัครได้ที่ https://forms.gle/CWzHr5UGXiexScbU6
.
📲 ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
🔗Facebook: Student Innovation Challenge Thailand
📞 โทรศัพท์: 0 2564 6900 ต่อ 72093, 2345
📩 อีเมล: SIC_Thailand@nstda.or.th
🚀 กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
.
🤝ร่วมสร้างนวัตกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกให้ดียิ่งขึ้น! ✨
ปฏิทินกิจกรรม

ขอเรียนเชิญเข้าร่วมกิจกรรมความร่วมมือ ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. ประจำปี 2568
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมกิจกรรม ประชาสัมพันธ์โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. ประจำปี 2568 ในวันอังคารที่ 4 มีนาคม 2568 เวลา 10.30 – 12.00 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า ถนนพระรามที่ 6 กระทรวง อว.
พบกับหัวข้อเสวนา
✅ เป้าหมายความร่วมมือทางวิจัยระหว่างสองหน่วยงาน
✅ แนวทางและทิศทางใหม่ของความร่วมมือในอนาคต
✅ การแบ่งปันประสบการณ์วิจัย MU-NSTDA
✅ การขับเคลื่อนความร่วมมือวิจัยและกิจกรรมสร้างเครือข่าย ประจำปี 2568
กลุ่มเป้าหมาย/ผู้เข้าร่วมประชุม
นักวิจัยและบุคลากร สวทช. ที่ต้องการสร้างความร่วมมือวิจัย ขยายเครือข่าย และสร้างผลงานที่มีผลกระทบสูง ร่วมกับ มหาวิทยาลัยมหิดล
กด link เพื่อลงทะเบียน >> https://forms.gle/qrqa4XoKDrymXfKB8
📞 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
☎️ คุณรัชพล 02-5647000 ต่อ 6445 / ratchapon@nstda.or.th
☎️ ดร.สิริกัญจณ์ 02-5647000 ต่อ 6430 / sirikan.nawapan@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ และสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนเครือข่ายวิจัยเพื่อศึกษาไบโอชาร์ (Biochar) สำหรับการเป็นนวัตกรรมกักเก็บคาร์บอน
วันที่ 27 มกราคม 2568 ณ สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MoU) เพื่อขับเคลื่อนเครือข่ายวิจัยด้านถ่านชีวภาพ (BioChar) สำหรับการพัฒนาเป็นนวัตกรรมกักเก็บคาร์บอน เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ณ สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ภายในพิธีลงนามดังกล่าว ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการ เอ็มเทค และ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สัญชัย จตุรสิทธา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล ผู้อำนวยการสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารและนักวิจัยจากทั้งสามหน่วยงานเข้าร่วม โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไบโอชาร์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก รวมถึงการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมดังกล่าวในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไ
ในช่วงบ่ายได้มีการจัดกิจกรรม "Kick Off Thai BioChar Consortium" ซึ่งเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สามารถอ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. – ผนึกพันธมิตร พร้อมเปิดรับสมัครโครงการ IDEx 2025 พัฒนาผู้ประกอบการไทยด้านการส่งออก ให้สามารถแข่งขันในระดับสากล
(วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568) ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 5 โรงแรม S31 Sukhumvit Hotel: ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี ม.ล. ภาสกร อาภากร ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ คุณสิริกาญจน์ ประเสริฐยิ่ง ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) คุณประเสริฐจิต ศรีนิลทา ผู้บริหารธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ผู้บริหารสำนักงานนโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ผู้บริหาร ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย นายกสมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด เข้าร่วมงาน
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของการดำเนินโครงการ IDEx (ไอ-ดี-อี-เอ็กซ์) ปี 2024 และการเปิดตัวโครงการ IDEx 2025 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องเป็นที่ 2 โครงการดังกล่าวถือเป็นโครงการ Flagship project ของประเทศ เพื่อนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยผู้ประกอบการ SMEs ไทยในการสร้างความพร้อม สู่การส่งอออกต่างประเทศ โดยการดำเนินงานในโครงการ IDEx 2024 แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี วิจัยและพัฒนาด้วยผลงานวิจัย สวทช. โดยใช้กลไก ITAP ด้วยการคัดสรรผู้เชี่ยวชาญที่จำเป็นมาร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมความพร้อมการส่งออก และใช้เครือข่ายทางธุรกิจ ที่ปรึกษา ที่เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศของฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) ให้เข้าใจตลาดและธุรกิจในประเทศเป้าหมาย ออกแบบโครงการตลอดจนผสมผสานกลไกต่าง ๆ ทั้งใน สวทช. และพันธมิตร ในหลายมิติ เพื่อเชื่อมโยงสร้างโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล เกิดความร่วมมือกันเพื่อจะทำธุรกิจกับต่างประเทศได้ ซึ่งความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้นำศักยภาพด้านนวัตกรรมไปสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ
สำหรับปีนี้ IDEx 2025 ได้ถูกออกแบบให้ต่อยอดความสำเร็จเดิม พร้อมทั้งเพิ่มแนวทางใหม่ ๆ พันธมิตรใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจมากขึ้น ทั้งนี้ สวทช. ในฐานะองค์กรหลักในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย พร้อมที่จะให้บริการ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเติบโตในตลาดสากล โดยนำงานวิจัยที่พร้อมใช้และพร้อมให้บริการ SMEs อาทิ การให้คำปรึกษาและถ่ายทอดเทคโนโลยี สำหรับงานวิจัยที่พร้อมถ่ายทอด การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ โดยทีมวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อใหธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“สวทช.พร้อมนำความสามารถของนักวิจัยมาเป็นขุมพลังขับเคลื่อน สนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถยกระดับการแข่งขันในระดับสากลได้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการ IDEX 2025 จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทย สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเครื่องมือในการขยายตลาดต่างประเทศ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับโลก” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) สวทช. กล่าวว่า โครงการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ผู้ประกอบการไทยยุคใหม่ เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ IDEx ได้ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งนับได้ว่าเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสองหน่วยงานของ สวทช. ได้แก่ ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) และ ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างเข้มแข็ง ผ่านกลไกการสนับสนุนที่ สวทช. มีความเชี่ยวชาญ อาทิ การสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การให้คำแนะนำในการจัดทำแผนธุรกิจ การเชื่อมโยงการเปิดตลาดต่างประเทศผ่านกิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจโดยผู้เชี่ยวชาญในตลาดเป้าหมาย
ทั้งนี้ผลสำเร็จเป็นรูปธรรมที่ผ่านมาของ IDEx 2024 คือ ผู้ประกอบการมากกว่า 67 ราย ได้รับการประเมินความพร้อมด้านการส่งออก และสามารถขยายตลาดไปสู่ระดับสากลได้จำนวน 11 บริษัท ใน 4 ประเทศ (ไต้หวัน เวียดนาม เกาหลีใต้ บาห์เรน) นอกจากนี้ผู้ประกอบการมากกว่า 35 บริษัท ยังได้รับคำปรึกษาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นกำลังใจให้เราเร่งดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องในปี 2568 แต่ยังทำให้เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้โครงการ IDEx 2025 สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยการเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ ทั้งในด้านการลงทุน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดโลก ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับในปีนี้ IDEx 2025 ได้รับความอนุเคราะห์จากพันธมิตรที่ดีของ สวทช. ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ที่จะร่วมมือกันนำพาผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดสากล ผ่านกลไกต่าง ๆ เท่าที่ภาครัฐจะสามารถสนับสนุนให้ท่านเติบโตได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งโครงการฯ ยังมีแผนที่จะนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น Big Data, AI, Social Listening พร้อมกลไกสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญของ ITAP และทีมวิจัยจากแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) มาร่วมให้คำปรึกษาอีกด้วย
“IDEx 2025 ยังเน้นความสำคัญของการสร้างเครือข่ายระดับนานาชาติ โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านการค้ำ การลงทุน และเทคโนโลยีจากประเทศ เกาหลีใต้ จีน และฮ่องกง มาร่วมแบ่งปันความรู้และแนวปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดได้อย่างเป็นระบบ ทั้งกลยุทธ์การเจาะตลาด การบริหารความเสี่ยงด้านการค้าระหว่างประเทศ หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม เป็นต้น
ทั้งนี้ขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ IDEx 2025 ซึ่งกำลังเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพันธมิตรทุกภาคส่วนระร่วมกันเป็รเพื่อส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในระดับสากลได้อย่างยั่งยืน” ผู้อำนวยการฝ่าย BID สวทช. กล่าวทิ้งท้าย
โครงการ IDEx 2025 เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel : 0 2564 7000 ต่อ 71746,71748,71749 อีเมล: idex@nstda.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์